95. วิธีรับมือกับการถูกตัดแต่ง
วันพุธที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2022 ฟ้าโปร่ง
วันนี้ฉันได้เริ่มต้นหน้าที่ใหม่ นั่นคืองานที่เกี่ยวกับต้นฉบับ แม้จะไม่ได้คาดคิด ฉันก็มีความสุขมากที่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ ฉันรู้ว่านี่คือพระคุณของพระเจ้า และรู้ว่าพระองค์กำลังมอบโอกาสให้ฉันได้ฝึกฝน ฉันต้องการที่จะทำงานนี้ให้ดี แต่ฉันไม่คุ้นเคยกับงานนี้เลย นอกจากนี้ฉันยังได้รู้ว่าในงานชนิดนี้ คนอื่นๆ ถูกตัดแต่งเพราะทำตัวเอาแต่ใจและไร้ซึ่งหลักธรรม ฉันจึงเริ่มกังวล พลางคิดว่า “ฉันจะถูกตัดแต่งในหน้าที่นี้เหมือนกันไหม? แต่ถึงอย่างไร หากฉันสามารถเรียนรู้บทเรียนจากการถูกตัดแต่งได้ ก็ย่อมจะเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือ? นี่คือโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในการได้รับความจริง!”
วันอาทิตย์ 4 กันยายน ค.ศ. 2022 ฟ้าครึ้ม
เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน พริบตาเดียวฉันก็ทำงานด้านต้นฉบับนี้มากว่าครึ่งเดือนแล้ว ด้วยการที่ผู้นำสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมและชี้แนะเรื่องงาน ฉันก็เริ่มคุ้นเคยกับงานนี้มากขึ้นเล็กน้อยและได้เรียนรู้หลักธรรมบางอย่าง แต่เวลาเห็นพี่น้องชายหญิงบางคนถูกตัดแต่งเพราะพวกเขาไม่ทำหน้าที่ตามหลักธรรมและทำตัวเอาแต่ใจ ฉันก็ค่อนข้างกังวล กลัวว่าตัวเองจะถูกตัดแต่ง แม้ฉันจะรู้ว่าการตัดแต่งของผู้นำคือการชี้ให้เห็นถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้ของปัญหาตามพระวจนะของพระเจ้า และสิ่งนี้ช่วยให้เรารู้จักตัวเองและเข้าสู่หลักธรรมความจริง ฉันก็ยังไม่ต้องการที่จะถูกตัดแต่ง วันนี้พี่น้องชายซอลถูกตัดแต่งเพราะเขาไม่ทำหน้าที่โดยสอดคล้องตามหลักธรรม ผู้นำได้สามัคคีธรรมและแก้ไขปัญหานี้กับเขาหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ยังคงทำผิดพลาดแบบเดิมอยู่ ผู้นำบอกว่าเขาขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและไม่เข้าใจหลักธรรม ถึงแม้คำพูดเหล่านี้ไม่ได้พูดกับฉันโดยตรง แต่เมื่อได้ยินคำว่า “ขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ” ฉันก็ค่อนข้างรู้สึกว่าคำพูดนั้นแทงใจดำทีเดียว ฉันเตือนตัวเองว่า “ฉันต้องปฏิบัติตนตามหลักธรรมและห้ามทำผิดพลาดเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฉันจะถูกตัดแต่ง ฉันจะเดือดร้อนหากแสดงออกไปว่าขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ คนแบบนั้นจะได้รับการช่วยให้รอดได้อย่างไร? พวกเขาคู่ควรที่จะได้รับการบ่มเพาะงั้นหรือ?” ความคิดเหล่านี้ทำให้ฉันกังวลใจมากกว่าเดิม ตอนทำหน้าที่ค่ำวันนี้ ฉันรู้สึกตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา ฉันทำสิ่งต่างๆ ด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุดเพราะกลัวว่าจะทำพลาด แต่ฉันไม่เข้าใจว่าเหตุใดการที่ผู้อื่นถูกตัดแต่งจึงส่งผลต่อฉันมากขนาดนี้
วันศุกร์ที่ 9 กันยายน ค.ศ. 2022 ฟ้าโปร่ง
ช่วงนี้ฉันเปี่ยมด้วยความหวาดหวั่นในหน้าที่ของตัวเองและคอยระวังตัวอยู่เสมอ ฉันกลัวว่าจะทำผิดพลาด บางครั้งคนอื่นก็จะมาขอมุมมองจากฉัน แต่แม้แต่ตอนที่ฉันมีทัศนะที่ฉันมั่นใจว่าสอดคล้องกับหลักธรรม ฉันก็กลัวจะพูดสิ่งที่ผิดออกไป ฉันต้องไปขอความเห็นชอบจากคนอื่นอีกหลายๆ คนก่อนที่จะแสดงทัศนะของตัวเองออกไป ด้วยความสัตย์จริงแล้ว การที่ฉันทำหน้าที่เช่นนี้ช่างเหนื่อยเหลือเกิน และฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองห่างเหินจากพระเจ้ามากขึ้น วันนี้ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งซึ่งทำให้ฉันประทับใจอย่างยิ่ง พระเจ้าตรัสว่า “ศัตรูของพระคริสต์บางคนที่ทำงานในพระนิเวศของพระเจ้าตั้งปณิธานเงียบๆ ว่าจะกระทำการอย่างรอบคอบ หลีกเลี่ยงความผิดพลาด การถูกตัดแต่ง การทำให้เบื้องบนโกรธเคืองหรือถูกผู้นำทั้งหลายจับได้ว่าทำสิ่งไม่ดี และพวกเขาก็ตรวจดูให้แน่ใจว่ามีคนมองเห็นพวกเขาเวลาพวกเขาทำดี ไม่ว่าพวกเขาจะรอบคอบเพียงใด แต่เนื่องจากแรงจูงใจกับเส้นทางที่พวกเขาใช้นั้นไม่ถูกต้อง และเพราะพวกเขาพูดและทำเพียงเพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ ไม่เคยแสวงหาความจริง พวกเขาจึงมักจะละเมิดหลักธรรม ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร ทำตัวเป็นลูกสมุนของซาตาน และถึงกับมีการกระทำผิดมากมายอยู่บ่อยๆ เป็นเรื่องปกติธรรมดามากที่ผู้คนแบบนี้มักจะละเมิดหลักธรรมและมีการกระทำผิด ดังนั้น แน่นอนว่าการที่พวกเขาจะหลีกเลี่ยงการถูกตัดแต่งจึงเป็นเรื่องยากมาก พวกเขามองเห็นแล้วว่าศัตรูของพระคริสต์บางคนถูกเผยและกำจัดออกไปเพราะคนเหล่านั้นได้ถูกตัดแต่งอย่างเข้มงวดมาโดยตลอด พวกเขามองเห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยตาของตนเองแล้ว เหตุใดศัตรูของพระคริสต์จึงกระทำการอย่างระมัดระวังเช่นนั้น? แน่นอนว่าสาเหตุหนึ่งก็คือพวกเขากลัวว่าจะถูกเผยและกำจัดออกไป พวกเขาคิดว่า ‘ฉันต้องรอบคอบ—ไม่ว่าอย่างไร “การระวังระไวเป็นบ่อเกิดของความปลอดภัย” และ “คนดีมีชีวิตที่เปี่ยมสันติสุข” ฉันต้องทำตามหลักธรรมเหล่านี้และเตือนตัวเองทุกขณะให้หลีกเลี่ยงการทำผิดหรือทำให้ตัวเองเดือดร้อน และฉันต้องเก็บกดความเสื่อมทรามและเจตนาของตนเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น ตราบใดที่ฉันไม่ได้ทำผิดและสามารถมุมานะไปจนสุดทาง ฉันย่อมจะได้รับพร หลบหลีกความวิบัติ และได้รับบางสิ่งบางอย่างในการเชื่อในพระเจ้า!’ พวกเขามักจะกระตุ้นตัวเอง สร้างแรงจูงใจและหนุนใจตัวเองแบบนี้ ลึกลงไปนั้นพวกเขาเชื่อว่าถ้าตนทำผิด โอกาสที่พวกเขาจะได้รับพรก็จะลดน้อยลงมาก นี่คือการคิดคำนวณและเป็นความเชื่อที่ยึดครองส่วนลึกในหัวใจของพวกเขาอยู่มิใช่หรือ? หากวางเรื่องที่ว่าการคิดคำนวณหรือการเชื่อของศัตรูพระคริสต์นี้ถูกหรือผิดเอาไว้ก่อน เมื่อดูตามนี้แล้ว พวกเขาจะกังวลเรื่องใดมากที่สุดเวลาที่ถูกตัดแต่ง? (ความสำเร็จในอนาคตและลิขิตชีวิตของตน) พวกเขาเชื่อมโยงการถูกตัดแต่งเข้ากับความสำเร็จในอนาคตและลิขิตชีวิตของตน—นี่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติอันเลวร้ายของพวกเขา” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่แปด)) บทตอนนี้อธิบายถึงสภาวะของฉันอย่างแม่นยำ เมื่อฉันเห็นผู้อื่นถูกตัดแต่ง ฉันก็ไม่ยอมรับว่านั่นเป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้า หรือแสวงหาว่าเหตุใดคนเหล่านี้จึงถูกตัดแต่ง พวกเขาเบี่ยงเบนไปอย่างไร ฉันจะสามารถเรียนรู้จากความล้มเหลวของพวกเขาได้อย่างไร และฉันควรหลีกเลี่ยงการเบี่ยงเบนในหนทางเดียวกันในอนาคตเพื่อที่จะกระทำให้สอดคล้องกับหลักธรรมอย่างไร แต่ฉันกลับลากสายสัมพันธ์ที่มองไม่เห็นทว่าลึกซึ้งระหว่างการถูกตัดแต่งกับชะตากรรมของตัวเอง ฉันรู้สึกว่ายิ่งเราถูกตัดแต่งอย่างจริงจังมากเท่าไร เรายิ่งมีหวังที่จะได้รับการอวยพรน้อยลงเท่านั้น ฉันกลายเป็นคนที่ระมัดระวังและรอบคอบมากขึ้น คิดว่าตราบใดที่ฉันไม่ได้ทำผิดพลาดมากมายหรือไม่ได้ถูกตัดแต่ง ฉันก็มีหวังที่จะได้รับการอวยพร เพราะความเข้าใจผิดของฉันเรื่องการถูกตัดแต่ง และเพราะฉันให้คุณค่ากับพระพรมากเกินไป ฉันจึงอ่อนไหวอย่างมากต่อสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชะตากรรมของตัวเอง และฉันก็ระมัดระวังตัวมากเกินไปในทุกสิ่งที่ทำ ฉันกลัวว่าหากไม่ระมัดระวังฉันจะถูกตัดแต่งและสูญเสียจุดจบที่ดีไป ฉันเห็นได้ว่าตัวเองนั้นเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเหลือเกิน! ผู้นำสามัคคีธรรมเรื่องหลักธรรมกับเราอยู่หลายครั้งและจับมือพวกเราทำ แต่เราไม่ได้จริงจังกับคำพูดของเขา พวกเรายังคงทำตามอำเภอใจและสุ่มสี่สุ่มห้าจนทำให้งานหยุดชะงัก การตัดแต่งพวกเราจึงเป็นสิ่งที่ปกติโดยสิ้นเชิงที่จะทำไม่ใช่หรือ? บุคคลที่มีเหตุผลจะทบทวนตนเองตามความจริงในเรื่องนี้ ดูว่าพวกเขายังขาดพร่องหรือขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณตรงจุดไหน และแสวงหาความจริงกับแก้ไขการเบี่ยงเบนของตัวเองทันที นี่คือคนที่มีการเข้าสู่ที่เป็นบวกและเป็นคนที่แสวงหาความจริง พวกเราถูกตัดแต่งเพื่อที่จะช่วยให้เราเข้าสู่ความจริงและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี แต่นอกจากฉันจะไม่แสวงหาความจริงหรือคิดทบทวนแล้ว ฉันยังระวังตัวและเข้าใจผิดอีกด้วย ฉันแยกแยะดีชั่วไม่ได้เลย! เพราะการเปิดเผยแห่งพระวจนะของพระเจ้า ตอนนี้ฉันถึงได้มีความเข้าใจในสภาวะของตัวเองขึ้นบ้าง
วันจันทร์ที่ 12 กันยายน ค.ศ. 2022 ฝนตกหนัก
ระหว่างการชุมนุมวันนี้ ผู้นำได้รู้ว่าหลังจากที่ซอลถูกตัดแต่งเขาก็กลายเป็นคนคิดลบ และได้รู้ว่าเขารู้สึกอึดอัดและเก็บกด ผู้นำถามเราว่าพวกเรารู้สึกอึดอัดหรือไม่ ฉันนึกถึงสภาวะของตัวเองในช่วงนี้และบอกไปว่าฉันก็รู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง จากนั้นผู้นำจึงให้การสามัคคีธรรมบางอย่างที่จับใจฉันจริงๆ เขากล่าวว่า “ทำไมบางคนถึงถูกตัดแต่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ยังไม่ได้รับความจริง ทั้งยังบอกว่าพวกเขารู้สึกอึดอัด ถูกกดขี่ และเจ็บปวด? นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่มุ่งเน้นที่การเข้าใจหรือได้รับความจริง ซึ่งแปลว่าพวกเขาไม่ได้รับอะไรเลย เมื่อถูกตัดแต่ง พวกเขาก็รู้สึกแข็งขืนและโมโห พวกเขามีปัญหากับผู้อื่น นี่คือบุคคลที่ยอมรับความจริงหรือ? อันที่จริงคนเหล่านี้ถูกตัดแต่งเพราะพวกเขาได้ละเมิดหลักธรรมความจริง แต่พวกเขาไม่ยอมที่จะทบทวน และถึงกับทำตัวหย่อนยาน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ยอมรับความจริง อีกทั้งขัดแย้งและไม่ลงรอยกับความจริง การไม่ลงรอยกับความจริงนั้น โดยแก่นแท้ก็คือการไม่ลงรอยกับพระเจ้า ธรรมชาติของเรื่องนี้ร้ายแรงมาก” การสามัคคีธรรมของผู้นำทำให้ฉันตระหนักในที่สุดว่าธรรมชาติของการปฏิเสธความจริงหรือปฏิเสธการถูกตัดแต่งนั้นร้ายแรงแค่ไหน และสภาวะนี้อันตรายเพียงใด เมื่อกลับถึงบ้านฉันก็รู้สึกว้าวุ่นอย่างหนักอยู่นาน ทั้งยังนอนไม่หลับอยู่บนเตียงนานมาก ฉันเริ่มสงสัยว่า “การไม่ยอมรับความจริงสำแดงออกมาอย่างไรกันแน่? ฉันจะสามารถเรียนรู้บทเรียนและทบทวนในสถานการณ์นี้ได้อย่างไร?”
วันพุธที่ 14 กันยายน ค.ศ. 2022 ฟ้าโปร่ง
วันนี้ซอลโดนปลด อีกสองสามคนก็โดนปลดเช่นกันเนื่องจากไม่ยอมรับความจริงและไม่เกิดความก้าวหน้าในหน้าที่ ฉันรู้มาจากพี่น้องหญิงคนหนึ่งว่า ซอลมักจะทำหน้าที่ตามอำเภอใจและละเมิดหลักธรรม ซึ่งแต่ละครั้งผู้นำก็สามัคคีธรรมถึงหลักธรรมกับเขาอย่างใจเย็น บางครั้งผู้นำก็จะตัดแต่งเขาและชี้ให้เห็นถึงแก่นแท้ของปัญหาของเขา แต่ซอลไม่ได้แสวงหาความจริงหรือคิดทบทวน ซอลตอบสนองการถูกตัดแต่งด้วยการทำตัวหย่อนยานและไม่ยอมแบ่งปันทัศนะของตัวเองเวลาหารือเรื่องงาน ครั้งหนึ่งในการชุมนุม เขาถึงกับพูดว่า “ผู้นำไม่มองตอนที่ผมทำงานดี แต่พอทำงานไม่ดีผมก็ถูกตัดแต่ง” ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะพูดเช่นนี้ รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเขาแสดงออกมาได้ว่าเขาไม่ยอมรับความจริงเลย! ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าในสองสามบทตอนที่ว่า “เมื่อศัตรูของพระคริสต์ถูกตัดแต่ง สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือต้านทานและปฏิเสธอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ พวกเขาต่อสู้ แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? นี่เป็นเพราะตามแก่นแท้ธรรมชาติจริงๆ ของพวกเขาแล้ว ศัตรูของพระคริสต์รังเกียจและเกลียดชังความจริง พวกเขาไม่ยอมรับความจริงเลย โดยธรรมชาติแล้ว แก่นแท้และอุปนิสัยของศัตรูพระคริสต์ย่อมกีดกันพวกเขาจากการรับรู้ความผิดพลาดหรือรับรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง เมื่อดูตามข้อเท็จจริงสองข้อนี้แล้ว ท่าทีที่ศัตรูของพระคริสต์มีต่อการถูกตัดแต่งจึงเป็นการปฏิเสธและท้าทายอย่างสิ้นเชิงและอย่างถึงที่สุด พวกเขารังเกียจและต้านทานจากก้นบึ้งของหัวใจ และไม่มีวี่แววของการยอมรับหรือการนบนอบแม้แต่น้อย และยิ่งไม่มีวี่แววของการคิดทบทวนหรือการกลับใจอย่างแท้จริง เมื่อศัตรูของพระคริสต์ถูกตัดแต่ง ไม่ว่าใครจะเป็นคนลงมือก็ตาม ไม่ว่าจะด้วยเรื่องใด ไม่ว่าพวกเขาจะถูกตำหนิในเรื่องนั้นถึงขั้นไหน ไม่ว่าความผิดของพวกเขาจะโจ่งแจ้งเพียงใด พวกเขาทำความชั่วไปมากเพียงใด หรือความชั่วของพวกเขาก่อให้เกิดผลเช่นไรต่องานของคริสตจักร—ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่คำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ ในสายตาของศัตรูพระคริสต์ คนที่ตัดแต่งพวกเขากำลังหมายหัวพวกเขา หรือกำลังจับผิดเพื่อที่จะทรมานพวกเขา ศัตรูของพระคริสต์อาจถึงขั้นคิดไปว่าตนกำลังถูกกลั่นแกล้งและเหยียดหยาม ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างมนุษย์คนหนึ่ง พวกเขากำลังถูกดูเบาและปรามาส หลังจากที่ศัตรูของพระคริสต์ถูกตัดแต่ง พวกเขาก็ไม่เคยคิดทบทวนว่าแท้จริงแล้วตนทำอะไรผิด ตนเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอันใดออกมา เคยแสวงหาหลักธรรมที่พึงยึดปฏิบัติตามบ้างหรือไม่ เคยกระทำการตามหลักธรรมความจริงหรือลุล่วงความรับผิดชอบของตนในเรื่องที่พวกเขาถูกตัดแต่งบ้างหรือไม่ พวกเขาไม่ตรวจสอบหรือคิดทบทวนเรื่องเหล่านี้ ไม่ครุ่นคิดและไตร่ตรองปัญหาเหล่านี้ แต่กลับมีท่าทีต่อการตัดแต่งตามเจตจำนงและความหัวร้อนของตน เมื่อใดก็ตามที่ศัตรูของพระคริสต์ถูกตัดแต่ง พวกเขาย่อมจะเต็มไปด้วยความโกรธ ความไม่เชื่อฟัง และความขุ่นเคือง และจะไม่ยอมฟังคำแนะนำของใคร พวกเขาไม่ยอมรับการถูกตัดแต่ง และไม่สามารถกลับมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อทำความรู้จักและทบทวนตนเอง จัดการแก้ไขการกระทำของตนที่ละเมิดหลักธรรม เช่น การทำตัวสุกเอาเผากิน หรือทำตัวเกะกะระรานในหน้าที่ของตน และไม่ใช้โอกาสนี้แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน แต่พวกเขากลับหาข้ออ้างมาปกป้องตัวเอง มาแก้ตัว และพวกเขาจะพูดแม้กระทั่งสิ่งที่ยั่วยุให้เกิดความไม่ลงรอยกันและถึงขั้นยุแยงผู้อื่น” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สิบสอง: พวกเขาอยากถอนตัวเมื่อไม่มีสถานะและไม่มีความหวังที่จะได้รับพร) “ไม่ว่าสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นแบบปุบปับจะเป็นอย่างไร—โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เผชิญหน้ากับความทุกข์ยาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระเจ้าทรงเผยหรือทรงเปิดโปงผู้คน—สิ่งแรกที่คนเราควรทำคือมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อทบทวนตนเองและตรวจสอบวาจา ความประพฤติ และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน แทนที่จะตรวจสอบ ศึกษา และตัดสินว่าพระวจนะและการกระทำของพระเจ้านั้นถูกหรือผิด หากเจ้าอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสมของเจ้า เจ้าก็ควรรู้อย่างแน่ชัดถึงสิ่งที่เจ้าควรที่จะกำลังทำอยู่ ผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและไม่เข้าใจความจริง นี่ไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่อะไรนัก แต่เมื่อผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและไม่เข้าใจความจริง ทว่ายังคงไม่แสวงหาความจริง—คราวนี้พวกเขาย่อมมีปัญหาใหญ่ เจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและไม่เข้าใจความจริง เจ้าจึงสามารถตัดสินพระเจ้าตามอำเภอใจ เข้าหาและมีปฏิสัมพันธ์กับพระองค์ตามที่ความรู้สึก ความชอบ และภาวะอารมณ์ของเจ้าบอกให้ทำ อย่างไรก็ดี หากเจ้าไม่แสวงหาและปฏิบัติความจริง สิ่งทั้งหลายจะไม่เรียบง่ายเช่นนั้น ไม่เพียงเจ้าจะไม่สามารถนบนอบพระเจ้าได้เท่านั้น แต่เจ้าอาจเข้าใจพระองค์ผิดและบ่นพระองค์ กล่าวโทษ ต่อต้าน และถึงขั้นต่อว่าและปฏิเสธพระองค์ในหัวใจของเจ้าได้ บอกว่าพระองค์ไม่ทรงชอบธรรม ว่าไม่จำเป็นที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำนั้นต้องชอบธรรม การที่เจ้าอาจทำให้เกิดสิ่งทั้งหลายดังกล่าวขึ้นนั้น ไม่เป็นภัยอันตรายหรอกหรือ? (เป็น) นั่นเป็นภัยอันตรายอย่างมาก การไม่แสวงหาความจริงสามารถทำให้คนเราเสียชีวิตได้! และเรื่องนี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่และทุกเวลา” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สิบ (ภาคที่สาม)) “ทุกคนที่คิดลบอยู่บ่อยๆ ล้วนเป็นเช่นนั้นเพราะพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริง ถ้าเจ้าไม่ยอมรับความจริง การคิดลบก็จะเกาะติดตัวเจ้าเหมือนมารตนหนึ่ง ทำให้เจ้าคิดลบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นเหตุให้เจ้าเกิดภาวะอารมณ์ที่เป็นความพยศ ความไม่พอใจ และความคับข้องใจต่อพระเจ้า จนกระทั่งเจ้าพบว่าตนนั้นขัดแย้งกับพระเจ้า ต่อต้าน และส่งเสียงคัดค้านพระองค์—นั่นคือเวลาที่เจ้าเดินไปสุดทางแล้ว ใบหน้าที่แท้จริงและอัปลักษณ์ของเจ้าจะถูกเปิดเผย ผู้คนเริ่มเปิดโปงเจ้า ชำแหละและตีตราเจ้า และเจ้าก็เริ่มรู้สึกเสียใจเมื่อเผชิญความเป็นจริงอันน่าเศร้าในตอนนี้เท่านั้น นี่คือเวลาที่เจ้าล้มทรุดลงและเริ่มทุบอกด้วยความสิ้นหวัง—เจ้าจงรอรับการลงโทษจากพระเจ้าไปเถิด!” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (17)) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันเข้าใจในที่สุดว่าตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนที่สุดว่าบุคคลหนึ่งยอมรับความจริงหรือไม่ คือวิธีที่พวกเขารับมือกับการถูกตัดแต่ง เมื่อถูกตัดแต่ง บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาและยอมรับความจริงย่อมสามารถคิดทบทวน และไม่ว่าพวกเขาถูกตัดแต่งอย่างรุนแรงแค่ไหน พวกเขาก็สามารถอธิษฐานถึงพระเจ้า พิจารณาว่าพวกเขาผิดพลาดไปตรงไหนกันแน่ สาเหตุของเรื่องนี้คืออะไร และพวกเขาเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดออกไปได้เสมอ จากนั้นก็แสวงหาความจริงและเรียนรู้จากเรื่องนี้ แม้อาจจะมีความคิดลบและความอ่อนแออยู่บ้าง นี่ก็เป็นเพราะพวกเขาเห็นถึงส่วนลึกในความเสื่อมทรามของตัวเองและความร้ายแรงของการฝ่าฝืนของพวกเขา พวกเขาเริ่มรู้สึกผิดและกลับใจ แล้วจึงเกลียดตัวเองจากหัวใจ แต่พวกจะไม่ติดอยู่ในความคิดลบ พวกเขาจะแสวงหาความจริงและทบทวนตัวเองต่อไปจากความล้มเหลวเหล่านี้ และเมื่อพวกเขารู้ถึงปัญหาของตัวเองอย่างแท้จริงและเห็นถึงธรรมชาติของการกระทำของตนโดยชัดเจนแล้ว พวกเขาย่อมมองเห็นความรักและการทรงคุ้มครองของพระเจ้าภายในการถูกตัดแต่ง และพวกเขาย่อมขอบคุณพระเจ้า นี่คือจังหวะที่สภาวะของบุคคลหนึ่งถูกต้องและเป็นบวก แต่คนที่ไม่ยอมรับความจริงนั้นมองการถูกตัดแต่งต่างออกไป ถึงแม้บางคนจะไม่พร่ำบ่นอย่างเปิดเผย พวกเขาก็ไม่เคยทบทวนหรือรู้จักตัวเองจากพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาโต้แย้ง แข็งขืน และหาข้อแก้ตัวอยู่ภายใน ยิ่งนึกถึงเรื่องนี้พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกเสียใจและเจ็บปวด จนถึงจุดที่รู้สึกว่าไม่เป็นธรรมด้วยซ้ำ สิ่งนี้ย่อมก่อให้เกิดอารมณ์ที่เป็นลบไปโดยธรรมชาติ อารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ประกอบด้วยความไม่พอใจที่พวกเขามีต่อความจริงและต่อผู้อื่น บรรดาผู้ที่ยอมรับความจริงพบว่าการถูกตัดแต่งทำให้พวกเขาได้รู้ถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง กลับใจ และเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง และนั่นคือจุดเปลี่ยนในความเชื่อของพวกเขา แต่พวกที่ไม่ยอมรับความจริงย่อมจะถูกเปิดโปงและถูกกำจัดออกไป ทุกคนที่กลายเป็นคิดลบอย่างมากล้วนไม่ยอมรับความจริง เหนื่อยหน่ายความจริงโดยธรรมชาติ และไม่สามารถก้าวหน้าไปได้ไม่ว่าพวกเขามีความเชื่อกี่ปีก็ตาม เมื่อถูกตัดแต่ง ซอลไม่คิดทบทวนหรือยอมรับธรรมชาติและผลที่ตามมาของการทำงานตามอำเภอใจ นับประสาอะไรกับการแสวงหาหลักธรรมในการปฏิบัติ เขากลับรู้สึกอึดอัด คิดลบ และเฉื่อยชา ทีแรกฉันคิดว่าการรู้สึกแย่หลังจากถูกตัดแต่งเป็นเรื่องที่ปกติ และจะหายดีเมื่อได้คิดทบทวนสักสองสามวัน แต่พี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ บอกว่าเขาเคยเป็นเช่นนี้มาก่อน—ที่ภายนอกดูกระตือรือร้นและแข็งขัน แต่ทันทีที่เกิดปัญหาขึ้นในงานและเขาถูกตัดแต่ง เขาก็กลายเป็นคนคิดลบและเฉื่อยชา และหยุดมีส่วนร่วมในการหารือถึงปัญหาทั้งหลาย เขาจะพูดว่ายิ่งเขามีข้อเสนอแนะในงานมากเท่าไร ปัญหาก็ยิ่งถูกเปิดโปงมากเท่านั้น แถมยังบอกว่าเขาจะเสนอแนะและแสดงความคิดเห็นให้น้อยลง ปัญหาที่ถูกเปิดโปงจะได้มีน้อยลง การที่เขาถูกตัดแต่งในช่วงนี้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดและเก็บกดในหน้าที่ ทั้งยังรู้สึกหดหู่และเจ็บปวดด้วย ท่าทีที่เป็นลบเช่นนี้ของเขาโดยแท้แล้วคือการปฏิเสธความจริง และเป็นการติเตียนและแข็งขืนต่อพระเจ้า เขาได้เปิดเผยอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ออกมา ในที่สุดฉันก็ตระหนักว่า เบื้องหลังความคิดลบนี้แอบซ่อนอุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่แข็งขืนต่อพระเจ้าเอาไว้ การที่ซอลกำลังเดินบนเส้นทางที่ผิดเป็นการเตือนสติฉันไม่ใช่หรือ? เรื่องนี้ยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษตอนที่ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวว่า “การไม่แสวงหาความจริงสามารถทำให้คนเราเสียชีวิตได้! และเรื่องนี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่และทุกเวลา” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สิบ (ภาคที่สาม)) ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้มีประสบการณ์ส่วนตัวในเรื่องนี้มากนัก แต่จากสิ่งที่ฉันพบเจอในช่วงนี้ พระวจนะเหล่านี้ทำให้หัวใจของฉันเปี่ยมด้วยการยอมรับ การไม่แสวงหาหรือยอมรับความจริงเมื่อถูกตัดแต่งนั้นอันตรายมาก อันที่จริงพี่น้องชายหญิงที่ถูกปลดไปช่วงนี้เป็นคนมีพรสวรรค์ แต่จุดอ่อนที่ร้ายแรงของพวกเขาคือการเหนื่อยหน่ายและไม่แสวงหาความจริงจนทำให้พวกเขาไม่เกิดผลลัพธ์ในหน้าที่เลย และสุดท้ายก็ถูกปลดออก ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร ฉันก็ยิ่งเห็นถึงความสำคัญของการแสวงหาความจริงมากขึ้นเท่านั้น
วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน ค.ศ. 2022 ฝนพรำ
การสามัคคีธรรมของผู้นำในคืนนั้นแล่นอยู่ในหัวของฉันอยู่สองวัน และฉันก็เอาแต่นึกถึงพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าที่ว่า “หากเจ้ามีความเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่แสวงหาความจริงหรือเจตนารมณ์ของพระเจ้า อีกทั้งไม่รักหนทางซึ่งพาเจ้าเข้าสนิทกับพระเจ้ายิ่งขึ้น เช่นนั้นแล้ว เราบอกว่าเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่กำลังพยายามเลี่ยงหนีการพิพากษา และเจ้าเป็นหุ่นเชิดและคนทรยศที่หลบหนีจากมหาบัลลังก์สีขาว” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง) เมื่อก่อน เวลาฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เจ้าเป็นผู้หนึ่งที่กำลังพยายามเลี่ยงหนีการพิพากษา” และ “เจ้าเป็นหุ่นเชิดและคนทรยศที่หลบหนีจากมหาบัลลังก์สีขาว” ฉันก็นึกถึงคนในโลกศาสนาที่ยึดติดมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาขึ้นมาทันที พวกเขาเพียงต้องการที่จะได้รับการช่วยให้รอดผ่านพระคุณ พวกเขาไม่ยอมรับพระราชกิจพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้า พวกเขาเป็นหุ่นเชิด และเป็นคนทรยศที่หนีไปจากพระที่นั่งใหญ่สีขาวของพระเจ้า แต่ฉันนึกสงสัยว่า “การยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าหมายถึงการยอมรับการพิพากษาของพระองค์ใช่หรือไม่? พระเจ้าทอดพระเนตรเรื่องนี้แบบนั้นหรือ? การยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าโดยแท้จริงหมายความว่าอย่างไรกันแน่?” เมื่อใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักว่าการยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าไม่ได้หมายถึงการยอมรับอย่างแท้จริงถึงการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระองค์ อย่างน้อยเราต้องสามารถยอมรับการถูกตัดแต่งเพื่อที่จะยอมรับการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้า หากเราไม่สามารถยอมรับการถูกตัดแต่ง ก็ไม่มีทางที่เราจะยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้า ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่พูดถึงวิธีรับมือการถูกตัดแต่งให้ถูกต้องเพิ่มเติม พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เมื่อพูดถึงการถูกตัดแต่ง อย่างน้อยที่สุดผู้คนควรรู้อะไร? คนเราต้องผ่านประสบการณ์ของการถูกตัดแต่งเพื่อให้ทำหน้าที่ของตนได้ดีพอ—นี่เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เป็นสิ่งที่ผู้คนต้องเผชิญเป็นประจำทุกวันและมักจะมีประสบการณ์ด้วยเพื่อที่จะได้รับความรอดในความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้า ไม่มีใครสามารถได้รับการยกเว้นจากการถูกตัดแต่งได้ การตัดแต่งใครบางคนเป็นบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จในอนาคตและลิขิตชีวิตของพวกเขาหรือไม่? (ไม่) ดังนั้นการตัดแต่งใครบางคนทำไปเพื่อสิ่งใด? ทำไปเพื่อกล่าวโทษพวกเขากระนั้นหรือ? (ไม่ใช่ ทำไปเพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริงและช่วยให้พวกเขาทำหน้าที่ของตนตามหลักธรรม) นั่นถูกต้องแล้ว นั่นคือความเข้าใจที่ถูกต้องที่สุดเกี่ยวกับการนั้น การตัดแต่งใครบางคนคือการบ่มวินัยประเภทหนึ่ง เป็นการสั่งสอนอย่างหนึ่ง และแน่นอนว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการช่วยเหลือและเยียวยาผู้คนให้ดีขึ้นอีกด้วย การถูกตัดแต่งเปิดโอกาสให้เจ้าปรับเปลี่ยนการไล่ตามเสาะหาอันไม่ถูกต้องของเจ้าได้ทันเวลา นั่นเปิดโอกาสให้เจ้าตระหนักรู้ปัญหาที่เจ้ามีอยู่ในปัจจุบันได้อย่างทันท่วงที และเปิดโอกาสให้เจ้าตระหนักรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหลายที่เจ้าเผยออกมาได้ทันเวลา ไม่ว่าอย่างไร การถูกตัดแต่งก็ช่วยให้เจ้าตระหนักรู้ข้อผิดพลาดและทำหน้าที่ของตนตามหลักธรรม ช่วยให้เจ้าไม่ก่อให้เกิดความเบี่ยงเบนและไม่หลงผิดได้ทันเวลา และป้องกันไม่ให้เจ้าสร้างความหายนะอีกด้วย นี่คือการช่วยเหลือผู้คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นการเยียวยาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมิใช่หรือ? ผู้ที่มีมโนธรรมและเหตุผลควรที่จะมีท่าทีต่อการถูกตัดแต่งได้อย่างถูกต้อง” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่แปด)) พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ชัดเจนมากในเรื่องของท่าทีที่ถูกต้องและเส้นทางในการปฏิบัติที่พวกเราควรมีต่อการถูกตัดแต่ง อันที่จริงการถูกตัดแต่งนั้นไม่เกี่ยวข้องกับชะตากรรมของพวกเราเลย ไม่ว่าภาษาที่ใช้จะดุดันและน่าเสียใจ หรือถึงกับเป็นการกล่าวโทษหรือไม่ ทั้งหมดก็เพื่อช่วยให้เรารับรู้ถึงความเสื่อมทรามของตัวเองและมองเห็นการเบี่ยงเบนในงานของเรา เพื่อช่วยให้เราแสวงหาความจริงและทำหน้าที่ของตัวเองตามหลักธรรม การถูกตัดแต่งอย่างรุนแรงหรือบ่อยครั้งไม่ได้หมายความว่าบุคคลหนึ่งไม่มีชะตากรรมที่ดี และการไม่ถูกตัดแต่งก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลหนึ่งจะมีชะตากรรมที่ดี แม้ว่าบางคนอาจจะถูกตัดแต่งอยู่บ่อยๆ และบางครั้งก็อาจจะรุนแรง สาหัส หรือดูเหมือนเป็นการเปิดโปงหรือการกล่าวโทษ แต่ในภายหลังคนเหล่านี้ก็สามารถแสวงหาความจริง คิดทบทวน และได้รับความเข้าใจบางอย่างต่ออุปนิสัยอันเสื่อมทราม ข้อบกพร่อง และการเบี่ยงเบนของตัวเอง พวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงและเติบโตขึ้นได้ในชีวิต และท้ายที่สุด พวกเขาก็ยังสามารถรับผิดชอบงานที่สำคัญได้ ฉันเริ่มหวนนึกถึงท่าทีที่ฉันมีต่อการถูกตัดแต่งนับตั้งแต่มาเป็นผู้เชื่อ ฉันเชื่อในพระเจ้ามาเก้าปีแล้ว และตลอดเก้าปีนั้น ฉันก็แทบไม่เคยถูกตัดแต่งหรือเกิดความพลั้งเผลอหรือความล้มเหลวใหญ่หลวงเลย ในเรื่องของการถูกตัดแต่งนั้น ฉันมีทัศนะที่ต่างไปเสมอ ฉันรู้สึกว่าการถูกตัดแต่งเป็นเรื่องที่เลวร้าย เป็นเช่นเดียวกับการถูกเปิดโปงหรือถูกกล่าวโทษ เมื่อเห็นผู้อื่นถูกตัดแต่ง ฉันก็ถอยกรูดด้วยความหวาดหวั่น กลัวว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับฉันเช่นกันถ้าฉันไม่ระวังตัว ฉันเข้าใจผิดว่าการถูกตัดแต่งคือการกล่าวโทษและการเปิดโปง จึงปฏิเสธและแข็งขืนต่อสิ่งนั้น ต้องการที่จะเชื่ออยู่ในพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง การไล่ตามเสาะหาของฉันต่างจากพวกที่แค่ต้องการกินขนมปังให้อิ่มท้องในศาสนาอย่างไร? ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้ามามากและรู้ชัดเจนว่าพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระองค์มีเป้าหมายเพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาดและทำให้พวกเขาเพียบพร้อมด้วยการพิพากษา กระบวนการถลุง และการตัดแต่ง แต่ฉันไม่ได้มีความรู้จริงและไม่เต็มใจที่จะยอมรับการถูกตัดแต่งหรือถูกถลุง เพราะฉะนั้นไม่ว่าฉันเชื่อในพระเจ้ากี่ปี ฉันก็จะไม่เกิดความก้าวหน้าใดๆ ฉันจะไม่ได้รับความจริงหรือสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยในการดำเนินชีวิต และท้ายที่สุดฉันก็จะถูกลงโทษ ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ฉันก็ยิ่งตระหนักว่าสภาวะของฉันอันตรายแค่ไหน ฉันโหยหาความชูใจและไล่ตามไขว่คว้าพระคุณ ดังนั้นต่อให้ฉันไม่ถูกตัดแต่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะมีจุดจบที่ดี หากฉันไม่เคยแสวงหาความจริงหรือเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง สุดท้ายฉันก็จะไม่ได้รับการช่วยให้รอด การถูกตัดแต่งไม่ได้เปิดเผยจุดจบของบุคคลหนึ่ง แต่ท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงต่างหากที่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา ฉันคิดมาตลอดว่าการถูกตัดแต่งเป็นสิ่งที่เลวร้าย และคิดว่าบางทีนั่นอาจเป็นความไม่พอพระทัยหรือการกล่าวโทษของพระเจ้า แต่ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่าทัศนะของฉันบิดเบี้ยวแค่ไหน! ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าทั้งน้ำตาว่า “ข้าแต่พระเจ้า ในที่สุดข้าพระองค์ก็เห็นถึงความไม่รู้ความและความโง่เขลาของตัวเองเสียที ตลอดหลายปีที่มีความเชื่อ ข้าพระองค์ไม่เคยแสวงหาความจริง อีกทั้งธรรมชาติของข้าพระองค์ก็เหนื่อยหน่ายความจริง ข้าพระองค์หลบเลี่ยงการถูกตัดแต่งอยู่เสมอ พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการที่จะกลับใจ ข้าพระองค์เต็มใจที่จะเรียนรู้บทเรียนจากการถูกตัดแต่งแล้ว” หลังจากอธิษฐานฉันก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก พร้อมทั้งมีสำนึกของความปรารถนาและความโหยหาอีกด้วย ฉันหวังว่าฉันจะสามารถมีประสบการณ์กับการถูกตัดแต่ง เพื่อที่ฉันจะก้าวหน้าในชีวิตได้
วันพุธที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2022 ฟ้าครึ้ม
วันนี้มีเรื่องที่ฉันจะไม่มีวันลืมเกิดขึ้น ขณะกำลังทำโครงการหนึ่งอยู่ เพราะฉันทำหน้าที่ตามอำเภอใจและไม่แสวงหาหลักธรรม งานจึงจำเป็นต้องถูกทำใหม่ ซึ่งทำให้ความคืบหน้าของงานล่าช้า ผู้นำชี้ให้เห็นถึงธรรมชาติของปัญหานี้ และตัดแต่งฉันที่ทำตัวโอหังและขาดขีดความสามารถ เขาบอกว่าสิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณของฉัน คำพูดของเขาวิ่งวนอยู่ในใจของฉัน ฉันรู้สึกผิดหวังอย่างมากและเริ่มตีกรอบตัวเอง คิดว่า “ผู้นำมองเห็นฉันอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาคิดว่าฉันไม่เหมาะกับหน้าที่นี้ ตอนนี้ฉันจะถูกปลดออกวันไหนก็ได้แล้ว” ฉันรู้สึกหดหู่มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อตระหนักว่าสภาวะของฉันไม่ถูกต้อง ฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า วันนี้ข้าพระองค์ถูกตัดแต่ง ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าตัวเองควรเรียนรู้สิ่งใดจากเรื่องนี้หรือควรทบทวนตัวเองอย่างไร โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำข้าพระองค์ให้รู้จักตัวเองและสลัดทิ้งอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ไปด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ฉันก็นึกขึ้นได้ว่าในยามที่ถูกตัดแต่ง การแสวงหาความจริงคือกุญแจสำคัญ การคิดลบจะแก้ไขอะไรล่ะ? ฉันควรทบทวนว่าที่จริงแล้วปัญหาของฉันคืออะไร และฉันขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาญอย่างไร เมื่อพิจารณาด้วยความสงบใจแล้ว ฉันก็ตระหนักว่าคราวนี้ที่ฉันถูกตัดแต่ง โดยหลักแล้วเป็นเพราะฉันทำหน้าที่ตามอำเภอใจ โดยไม่ได้ใคร่ครวญหรือแสวงหาหลักธรรม ผู้นำเคยสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว แต่ฉันก็มัวยึดติดกฎเกณฑ์ ฉันถึงกับรู้สึกว่าการได้ฟังหลักธรรมเหล่านี้หลายต่อหลายครั้ง ฉันก็ย่อมเชี่ยวชาญในหลักธรรมเหล่านี้แล้ว และไม่จำเป็นต้องพยายามในเรื่องนี้อีก ฉันหลับหูหลับตาเชื่อในตัวเอง ไม่สนใจหลักธรรม มองว่าความคิดเห็นของตัวเองถูกต้อง และไม่แสวงหาความคิดเห็นจากผู้อื่น ฉันเอาแต่ใจมากเกินไป ไม่ปฏิบัติตนตามหลักธรรม ทั้งยังหลับหูหลับตาทำตามกฎ นี่คือการไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณไม่ใช่หรือ? หากฉันไม่ถูกตัดแต่งแบบนี้ ฉันก็จะมึนชาต่อไป คิดว่าฉันทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีแล้ว โดยไม่รู้เลยจริงๆ ว่าฉันอาจจะทำชั่วอะไรได้บ้าง การถูกตัดแต่งเป็นการตักเตือนฉันและเป็นการคุ้มครองสำหรับฉัน ขณะนี้ที่ฉันเห็นถึงสิ่งนี้แล้ว ฉันก็ไม่รู้สึกเชิงลบอีกต่อไป ฉันสามารถมุ่งเน้นที่การแสวงหาหลักธรรม และเตือนตัวเองไม่ให้ทำผิดพลาดเช่นนี้อีก
วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 2022 ฟ้าโปร่ง
วันนี้เราชุมนุมร่วมกับผู้นำ เขาสามัคคีธรรมกับพวกเราอย่างใจเย็นถึงหลักธรรมในการทำหน้าที่ แล้วถามว่าช่วงนี้เราได้รับอะไรบ้างหรือไม่ เขาหนุนใจเราให้ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่ว่าในสถานการณ์ใด การเรียนรู้บทเรียนย่อมสำคัญที่สุด เขายังอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้เราฟังอีกด้วยว่า “ในระหว่างที่มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะล้มเหลว ล้มลง ถูกตัดแต่ง หรือถูกเผยตัวตนสักกี่ครั้งก็ตาม เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี ไม่ว่าเจ้าจะถูกตัดแต่งอย่างไร หรือจะโดยผู้นำ คนทำงาน หรือพี่น้องชายหญิงของเจ้า เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งดี เจ้าต้องจดจำไว้ดังนี้ว่า ไม่ว่าเจ้าจะทนทุกข์มากเพียงใด แท้จริงแล้วเจ้ากำลังได้ประโยชน์ ผู้ใดก็ตามที่มีประสบการณ์ย่อมสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การถูกตัดแต่งหรือเผยตัวย่อมเป็นเรื่องดีเสมอ นี่ไม่ใช่การกล่าวโทษ นี่คือความรอดจากพระเจ้าและเป็นโอกาสดีที่สุดที่เจ้าจะได้รู้จักตัวเอง นี่สามารถปรับเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตของเจ้า หากไม่มีการตัดแต่งหรือเผยตัวเจ้าออกมา เจ้าจะไม่มีทั้งโอกาส ภาวะ อีกทั้งบริบทที่จะสามารถเข้าถึงความเข้าใจความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของเจ้า หากเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง และสามารถขุดคุ้ยสิ่งเสื่อมทรามที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของเจ้าออกมาได้ หากเจ้าสามารถแยกแยะสิ่งเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน เช่นนั้นแล้วนี่ก็เป็นการดี นี่ย่อมแก้ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตแล้ว และมีประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย การที่สามารถรู้จักตัวเจ้าเองได้อย่างแท้จริงนั้น เป็นโอกาสเหมาะที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าที่จะกลับตัวเสียใหม่และกลายเป็นคนใหม่ มันเป็นโอกาสเหมาะที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าที่จะได้มาซึ่งชีวิตใหม่ ทันทีที่เจ้ารู้จักตัวเจ้าเองอย่างแท้จริง เจ้าจะสามารถเห็นได้ว่าเมื่อความจริงกลายเป็นชีวิตของคนเรา มันเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างแท้จริง และเจ้าจะกระหายความจริง ปฏิบัติความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริง นี่ช่างเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้! หากเจ้าสามารถคว้าโอกาสเหมาะนี้ และทบทวนตัวเจ้าเองอย่างจริงจังตั้งใจ และได้รับความรู้อันถ่องแท้เกี่ยวกับตัวเจ้าเองเมื่อใดก็ตามที่เจ้าล้มเหลวหรือตกต่ำ เช่นนั้นแล้ว ในท่ามกลางความเป็นลบและความอ่อนแอ เจ้าจะสามารถกลับขึ้นมายืนได้ ทันทีที่เจ้าได้ข้ามธรณีประตูนี้ไปแล้ว เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะสามารถก้าวครั้งใหญ่ไปข้างหน้าและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การที่จะได้รับความจริง คนเราต้องเรียนรู้จากผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายรอบตัว) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันตื้นตันใจจริงๆ จนฉันไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ แม้ว่าการถูกตัดแต่งจะเป็นเรื่องที่น่าเสียใจและเจ็บปวด และบางครั้งก็รู้สึกเหมือนฉันกำลังจะพังทลายลงด้วยความคิดลบ ประสบการณ์นี้ก็ทำให้ฉันเห็นถึงความรักของพระเจ้าจริงๆ สถานการณ์ประเภทนี้เองที่บีบให้ฉันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อทบทวนและรู้ถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง และทบทวนดูว่าปัญหาของฉันอยู่ตรงไหน เมื่อฉันเข้าใจตัวเองขึ้นบ้างแล้ว ฉันก็รู้สึกถึงสันติสุขและความผ่อนคลายจากภายใน หากฉันไม่ได้ถูกตัดแต่ง ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะก่อความไม่สงบอะไรในหน้าที่ หรืออาจจะเกิดปัญหาหรือการตกหล่นอะไรขึ้นได้ การถูกตัดแต่งเช่นนี้เองที่ทำให้ฉันใส่ใจที่จะแสวงหาหลักธรรมในหน้าที่ของตัวเองมากขึ้น ฉันได้เห็นด้วยตัวเองว่าการถูกตัดแต่งนั้นไม่อาจแยกจากการทำหน้าที่ของพวกเราได้