64. ความหยิ่งยโสมาก่อนความล้มเหลว

โดย ซินเจี๋ย ประเทศจีน

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ความโอหังคือรากเหง้าของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์  ยิ่งผู้คนโอหังมากขึ้นเท่าใด พวกเขาย่อมโน้มเอียงที่จะต้านทานพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  ปัญหานี้รุนแรงเพียงใดหรือ?  ผู้คนที่มีอุปนิสัยโอหังไม่เพียงพิจารณาว่าคนอื่นทุกคนอยู่ใต้พวกเขาเท่านั้น แต่ที่แย่ที่สุดในบรรดาทั้งหมดก็คือ พวกเขาถึงขั้นกำลังวางท่ายโสใส่พระเจ้า  แม้ว่าโดยภายนอกแล้วผู้คนบางคนอาจจะปรากฏว่าเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อพระองค์เฉกเช่นพระเจ้าแต่อย่างใดเลย  พวกเขารู้สึกอยู่เสมอว่า พวกเขาครองความจริงและหลงรักตัวเองเหลือเกิน  นี่คือแก่นแท้และรากเหง้าของอุปนิสัยโอหัง และมันมาจากซาตาน  เพราะฉะนั้น ปัญหาเรื่องความโอหังจึงต้องได้รับการแก้ไข  ความรู้สึกว่าคนเราดีกว่าผู้อื่น—นั่นเป็นเรื่องเล็กนัก  ประเด็นปัญหาที่วิกฤติก็คืออุปนิสัยโอหังของคนเรากีดกันคนเราจากการนบนอบต่อพระเจ้า กฎเกณฑ์ของพระองค์ และการจัดการเตรียมการของพระองค์ บุคคลเช่นนั้นรู้สึกเอนเอียงอยู่เสมอที่จะแข่งขันกับพระเจ้าเพื่ออำนาจเหนือผู้อื่น  บุคคลจำพวกนี้ไม่เคารพพระเจ้าแม้เพียงน้อยนิด ไม่พูดอะไรเลยเกี่ยวกับการรักพระเจ้าหรือการนบนอบต่อพระองค์(การสามัคคีธรรมของพระเจ้า)  การได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ทำให้ฉันนึกถึงบางสิ่งที่ฉันได้รับประสบการณ์เมื่อสักระยะหนึ่งที่ผ่านมาค่ะ ในเวลานั้น ฉันหยิ่งยโสและคิดว่าตัวเองถูกเสมอ ฉันเป็นผู้นำคริสตจักรอยู่หลายปี ฉันได้ทำงานและต้องทนทุกข์พอสมควร และสามารถแก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้บางส่วนในหน้าที่ของฉัน ดังนั้นฉันจึงใช้ทั้งหมดนี้เพื่อประโยชน์ของฉันเอง และไม่สนใจใครอื่นเลย จากนั้นฉันจึงถูกจัดการและบ่มวินัย และโดยอาศัยการพิพากษาและวิวรณ์จากพระวจนะของพระเจ้า ในที่สุดฉันก็ได้รับความเข้าใจบางส่วนในเรื่องธรรมชาติที่หยิ่งยโสของฉัน ฉันรู้สึกสำนึกผิดมากและเกลียดตัวเอง ฉันได้เริ่มต้นมุ่งปฏิบัติความจริง และได้ก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

ฉันได้รับตำแหน่งผู้นำในคริสตจักรแห่งหนึ่งในปี 2015 พี่หลี่ทำงานกับฉันค่ะ และเธอก็เพิ่งเริ่มรับหน้าที่ในฐานะผู้นำ มัคนายกที่คริสตจักรและพวกหัวหน้ากลุ่มค่อนข้างใหม่กับความเชื่อนี้ ดังนั้นการสามัคคีธรรมเรื่องความจริงของพวกเขาจึงออกจะตื้นเขินอยู่บ้าง ฉันคิดว่า “ฉันเป็นผู้เชื่อมานานกว่าพวกคุณทุกคน และฉันก็เป็นหัวหน้ามาได้สักพักหนึ่งแล้ว ฉันจะต้องรับบทบาทสำคัญที่นี่ และทำให้ทุกคนได้เห็นว่าประสบการณ์สร้างความแตกต่างได้ยังไง” ฉันจึงมักเป็นคนแถวหน้าที่เข้าไปจัดการปัญหาไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม และเมื่อใดก็ตามที่พี่น้องชายหรือหญิงอ่อนแอ หรือพบกับความยากลำบากในหน้าที่ เมื่อใดก็ตามที่งานในคริสตจักรเกิดความล่าช้า ในปัญหาใดก็ตามที่มีอุปสรรคขวากหนามที่สุด หรือสิ่งต่างๆ ที่คู่หูและเพื่อนร่วมงานของฉันไม่สามารถแก้ไขได้ ฉันจะก้าวออกมาเพื่อจัดการทั้งหมด งานของคริสตจักรเริ่มดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน และสภาพจิตใจของพี่น้องชายหญิงก็พลิกกลับมาได้ พวกเขาทุกคนสามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้พวกเขายังชอบตามตัวฉันเพื่อให้ฉันสามัคคีธรรมเรื่องปัญหาต่างๆ ของพวกเขา และขอความคิดเห็นจากฉันอีกด้วย ฉันพึงพอใจกับตัวเองมาก และอดไม่ได้ที่จะนับจำนวนงานทั้งหมดที่ฉันได้ทำไป โดยคิดว่า “ถ้าไม่มีฉันคอยถือหางเสือ ไม่มีทางเลยที่งานของคริสตจักรจะคืบหน้าได้ดีขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะการสามัคคีธรรมของฉัน สภาพจิตใจของคนอื่นๆ คงไม่ดีขึ้นมากขนาดนี้ ดูเหมือนว่าฉันจะมีความเป็นจริงของความจริงอย่างแท้จริง และฉันสามารถทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้” หลังจากนั้นพี่หลี่ต้องกลับบ้านเพื่อไปจัดการธุระบางอย่าง ฉันจึงต้องรับงานของคริสตจักรด้วยตัวเอง ตอนแรกฉันรู้สึกเครียดนิดหน่อยและเก็บพระเจ้าไว้ในหัวใจของฉันตลอดเวลา หลังการชุมนุมทุกครั้งฉันจะทบทวนดูว่าเป็นยังไงบ้าง และฉันจะเร่งให้การสนับสนุนทุกคนที่รู้สึกอ่อนแอหรือคิดลบ เมื่อเวลาผ่านไป ฉันเห็นว่าทุกคนรวมตัวกันและทำหน้าที่ของตัวเองตามที่ควรทำ และงานของคริสตจักรทั้งหมดก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอกและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกพึงพอใจกับตัวเอง ฉันรู้สึกว่าฉันได้พิสูจน์ตัวเองในช่วงเวลาหลายปีที่ทำหน้าที่ในฐานะผู้นำ ว่าฉันได้เห็นอะไรมาเยอะ และได้จัดการปัญหามาเยอะ ฉันมีประสบการณ์การทำงานที่หลากหลาย และสามารถดูแลสิ่งต่างๆ ได้ตามลำพัง ฉันนึกว่าตัวเองเป็นเสาหลักของคริสตจักรจริงๆ ยิ่งในช่วงนั้นที่ฉันตื่นแต่เช้าตรู่และทำงานจนดึกดื่น โดยไม่บ่นเรื่องความเหน็ดเหนื่อยหรือความยากลำบาก ฉันรู้สึกจริงๆ ว่าฉันควรได้รับความดีความชอบบ้าง ก่อนที่ฉันจะรู้ตัว ฉันก็มีชีวิตอยู่ในสถานะที่ยกยอตัวเองอย่างมาก และเมื่อใดก็ตามที่ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่พิพากษาและตีแผ่มนุษยชาติ ฉันก็ไม่ประยุกต์ใช้กับตัวเอง เมื่อพี่น้องชายหญิงมีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ ฉันก็ไม่ได้สามัคคีธรรมถึงความจริงกับพวกเขา แต่กลับดูถูกพวกเขาและมักดุว่าพวกเขาโดยบอกว่า “คุณเป็นผู้เชื่อมานานขนาดนี้แล้ว แต่คุณยังไม่ไล่ตามความจริง ทำไมคุณถึงยังไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด” บางครั้งหลังการสามัคคีธรรมในบางเรื่อง พี่น้องชายหญิงได้บอกว่าพวกเขายังคงไม่รู้ว่าต้องทำยังไง โดยที่ไม่ถามสาเหตุ ฉันก็ตำหนิพวกเขา โดยบอกว่า “มันไม่ใช่ว่าคุณไม่รู้ แต่คุณไม่อยากเอาไปปฏิบัติ!” พวกเขารู้สึกว่าถูกฉันบีบบังคับและไม่กล้าพูดคุยกับฉันเรื่องปัญหาของพวกเขาอีกต่อไป

ในภายหลังพี่หลิวได้รับเลือกให้เป็นผู้นำเพื่อทำงานเคียงคู่กับฉัน ฉันคิดว่าเธอยังไม่ได้เป็นผู้เชื่อมานานนัก และเธออาจไม่เข้าใจบางสิ่งแม้หลังจากได้หารือกันแล้วก็ตาม ดังนั้นฉันต้องมีสิทธิ์ขาดในเรื่องส่วนมากของคริสตจักรทั้งใหญ่และเล็ก บางครั้งฉันจะตัดสินใจอะไรสักอย่างและส่งพี่หลิวออกไปดำเนินการ ครั้งหนึ่งเราได้รับจดหมายจากผู้นำคนหนึ่งขอให้เราช่วยแนะนำคนไปทำหน้าที่บางอย่าง ฉันรู้ว่างานนี้เกี่ยวข้องกับงานของพระนิเวศของพระเจ้า ดังนั้นจึงต้องหารือกับคู่หูและพวกเพื่อนร่วมงานของฉัน แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ฉันทำหน้าที่ของฉันในคริสตจักรนี้มานานมาแล้ว ฉันรู้เรื่องพี่น้องชายหญิงทั้งหมด ดังนั้นคงไม่เป็นไรถ้าฉันจะตัดสินใจไปเลย” ดังนั้นฉันเลยตัดสินใจไปโดยไม่ได้หารือกับพี่หลิวก่อน และจากนั้นก็ส่งเธอไปเตรียมงาน แม้เราจะทำหน้าที่เป็นผู้นำด้วยกัน แต่ฉันก็ปฏิบัติต่อเธอเหมือนเป็นลูกน้อง บางครั้งเวลาที่พี่เขาดูแลอะไรได้ไม่ดี ฉันก็อารมณ์เสียใส่ เธอมีชีวิตอยู่ในความคิดลบๆ และรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถเข้าใจอะไรหรือทำหน้าที่ของเธอให้ดีได้เลย เธอไปถึงจุดนั้นก็เพราะฉันบีบคั้นเธอ แต่ฉันก็ยังไม่ได้ทบทวนตัวเอง แต่กลับกันเลยค่ะ ฉันรู้สึกมากกว่าเดิมว่าฉันมีความเป็นจริงของความจริงอยู่ และฉันมีความสามารถในงานของฉัน ดังนั้นฉันจึงต้องบริหารจัดการงานของคริสตจักร ฉันกลายเป็นเผด็จการและหยิ่งยโสยิ่งกว่าเดิม เวลาที่เพื่อนร่วมงานยกข้อเสนอแนะที่แตกต่างออกไปขึ้นมาตอนหาหรือกันเรื่องงาน มีหลายครั้งที่ฉันไม่ได้แสวงหาเลยแม้แต่น้อย และปฏิเสธพวกเขาไปดื้อๆ ฉันคิดว่า “คุณจะไปรู้เรื่องอะไร ฉันเป็นผู้นำมาตั้งหลายปี ฉันต้องรู้มากกว่าไม่ใช่หรือ” สุดท้ายฉันก็มีสิทธิ์ขาดในทุกเรื่องในงานของคริสตจักร หลังจากนั้นพระเจ้าได้ทรงอนุญาตให้เกิดสถานการณ์ต่างๆ ขึ้นเพื่อจัดการกับฉัน ฉันมักพบกับอุปสรรคในหน้าที่บ่อยๆ ฉันมักผิดนัดผู้คน และมอบหมายคนที่ไม่เหมาะสมกับหลักการปฏิบัติงาน ผู้นำได้ชี้ให้เห็นความผิดพลาดต่างๆ ในงานของฉัน รวมถึงจัดการและตัดแต่งฉัน แม้จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา ฉันก็ยังไม่ทบทวนตัวเอง ฉันคิดว่าฉันเพียงแค่ต้องตั้งใจมากขึ้นเท่านั้น มีเพื่อนร่วมงานเตือนฉันว่า “คุณควรทบทวนดูไม่ใช่หรือว่าทำไมถึงเกิดปัญหาพวกนี้ขึ้นมาได้” ฉันตอบแบบเหยียดหยามว่า “คนเราไม่มีใครเพียบพร้อมหรอกค่ะ และทุกคนก็ทำผิดพลาดได้ ไม่จำเป็นต้องทบทวนอะไรทั้งนั้น” พี่น้องชายหญิงบางคนได้ถามฉันว่าฉันเป็นอะไรหรือเปล่า และฉันก็บอกว่าฉันปกติดี แต่ข้างในฉันคิดว่า “ทำไมถึงจะมีอะไรไม่ปกติล่ะ ถึงแม้ว่าฉันจะมีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ ฉันก็จัดการกับมันเองได้ ไม่ต้องให้คุณมาเป็นห่วงหรอก ฉันเป็นผู้นำมานานขนาดนี้ ฉันต้องเข้าใจความจริงดีกว่าคุณไม่ใช่หรือ” ไม่ว่าพวกเขาจะเตือนฉันแค่ไหน ฉันก็ไม่ยอมฟัง ฉันมีชีวิตอยู่ภายใต้อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตัวเองโดยสิ้นเชิง และจิตวิญญาณของฉันก็กำลังมืดหม่นลง ฉันเริ่มผล็อยหลับเวลาที่ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้า และไม่มีอะไรจะพูดเวลาอธิษฐาน ในคริสตจักรเริ่มเกิดปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ ฉันดวงตามืดบอดโดยสิ้นเชิง ฉันขาดเชาวน์ปัญญาในปัญหาหลายเรื่อง และไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร ไม่นานก็มีการสำรวจความคิดเห็นทั่วไปในคริสตจักร และพี่น้องชายหญิงทั้งหมดก็กล่าวว่าฉันหยิ่งยโสมากๆ และไม่ยอมรับความจริง พวกเขาบอกว่าฉันน่ะเผด็จการ ว่าฉันมักดุว่าและบีบบังคับคนอื่น สุดท้ายฉันก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง วันนั้นผู้นำแจ้งผลการประเมินของทุกคนให้ฉันฟัง ฉันรู้สึกได้เลยว่าพระเจ้าระบายพระพิโรธมาที่ฉัน ผ่านการเปิดโปงและจัดการโดยพี่น้องชายหญิง ฉันรู้สึกเหมือนหนูข้างถนนที่ทุกคนรังเกียจ และถูกพระเจ้าทรงเหยียดหยามเสียด้วยซ้ำ ฉันไม่สามารถเข้าใจได้ว่าฉันตกต่ำขนาดนั้นได้อย่างไร ในความเจ็บปวดของฉัน ฉันได้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในการแสวงหาว่า “โอ้พระเจ้า ข้าพระองค์คิดว่าตัวเองมีความรับผิดชอบต่องานในคริสตจักรของข้าพระองค์ ว่าตัวเองมีความเป็นจริงของความจริงบางส่วนแล้ว ข้าพระองค์ไม่เคยคิดเลยว่าข้าพระองค์จะมีปัญหามากมายเหมือนที่มีอยู่ตอนนี้ ในสายตาคนอื่นๆ ข้าพระองค์เป็นบุคคลหยิ่งยโสที่ไม่ยอมรับความจริง พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร ขอทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำทางให้ข้าพระองค์รู้จักตัวเองและเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด”

จากนั้นฉันก็ได้อ่านพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าที่ว่า “จะเป็นการดีที่สุดสำหรับพวกเจ้าที่จะมอบอุทิศความพยายามมากขึ้นให้กับความจริงของการรู้จักตนเอง  เหตุใดเล่าพวกเจ้าจึงไม่ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า?  เหตุใดกันอุปนิสัยของเจ้าจึงเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนสำหรับพระองค์?  เหตุใดวาทะของเจ้าปลุกเร้าความเกลียดของพระองค์?  ทันทีที่เจ้าได้แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีสักเล็กน้อย เจ้าก็ขับร้องสรรเสริญตนเอง และเจ้าเรียกร้องบำเหน็จรางวัลสำหรับการมีส่วนร่วมสนับสนุนเพียงน้อยนิดของเจ้า เจ้าดูถูกผู้อื่นเมื่อเจ้าแสดงความเชื่อฟังเพียงเล็กน้อยและกลายเป็นเหยียดหยามพระเจ้าเมื่อได้สำเร็จลุล่วงในภารกิจยิบย่อยบางอย่าง…พวกที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนและพวกที่ไม่ปฏิบัติ  พวกที่เป็นผู้นำและพวกที่ติดตาม  พวกที่ต้อนรับขับสู้พระเจ้าและพวกที่ไม่ต้อนรับ  พวกที่บริจาคและพวกที่ไม่บริจาค  พวกที่ประกาศและพวกที่รับพระวจนะ และอื่นๆ กล่าวคือ มนุษย์เหล่านี้ทุกคนชมตัวเอง พวกเจ้าไม่คิดว่าสิ่งนี้น่าหัวเราะหรอกหรือ?  ทั้งที่รู้ดีอยู่เต็มอกว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เจ้าก็ไม่สามารถเข้ากันได้กับพระเจ้า  ทั้งที่รู้ดีอยู่เต็มอกว่าพวกเจ้าปราศจากคุณความดีอย่างสิ้นเชิง เจ้าก็ยังยืนกรานที่จะอวดตัวอยู่ดี  พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่า สำนึกรับรู้ของพวกเจ้าเสื่อมลงจนถึงจุดที่พวกเจ้าไม่มีการควบคุมตนเองอีกต่อไปแล้ว?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกที่เข้ากันไม่ได้กับพระคริสต์คือปรปักษ์ของพระเจ้าอย่างแน่นอน)  “จงอย่าคิดว่าเจ้าเข้าใจทุกสิ่ง  เราบอกเจ้าว่าทั้งหมดที่เจ้าเคยเห็นและเคยได้รับประสบการณ์มาแล้วนั้นไม่พอเพียงที่จะทำให้เจ้าเข้าใจแม้เพียงหนึ่งในพันของแผนการบริหารจัดการของเรา  ถ้าเช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงทำตัวหยิ่งผยองนัก?  พรสวรรค์อันเล็กน้อยและความรู้อันน้อยนิดที่เจ้ามีนั้นไม่พอเพียงที่จะให้พระเยซูทรงใช้แม้เพียงหนึ่งวินาทีในพระราชกิจของพระองค์!  จริงๆ แล้วเจ้ามีประสบการณ์มากเท่าใดกัน?  สิ่งที่เจ้าเคยเห็นและทั้งหมดที่เจ้าเคยได้ยินมาในช่วงชีวิตของเจ้า และสิ่งที่เจ้าเคยจินตนาการถึงนั้นน้อยกว่างานที่เราทำในชั่วขณะเดียวเสียอีก!  เจ้าอย่าจับผิดและมองหาความผิดพลาดจะดีที่สุด  เจ้าสามารถโอหังได้เท่าที่เจ้าต้องการ แต่เจ้าไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าสิ่งทรงสร้างซึ่งไม่แม้แต่จะเทียบเท่าได้กับมดสักตัว!  ทั้งหมดที่เจ้ามีในพุงเจ้านั้นน้อยกว่าสิ่งที่อยู่ในพุงของมดตัวหนึ่ง!  จงอย่าคิดว่านี่ทำให้เจ้ามีสิทธิทำท่าทางอย่างลำพองและคุยโตได้เพียงเพราะเจ้าเคยได้รับประสบการณ์และวัยวุฒิมาบ้างแล้ว  ประสบการณ์และวัยวุฒิของเจ้าไม่ใช่ผลิตผลของคำพูดที่เราได้เอ่ยออกไปหรอกหรือ?  เจ้าเชื่อหรือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนจากแรงงานและการตรากตรำงานหนักของเจ้าเองไหม?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การจุติเป็นมนุษย์สองครั้งทำให้นัยสำคัญของการจุติเป็นมนุษย์สมบูรณ์)  สิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าได้เผยออกมานั้นตรงกับสภาพจิตใจของฉันไม่มีผิด ฉันรู้สึกผิดหวังอย่างมาก และเพิ่งได้เริ่มทบทวนตัวเองก็ตอนนั้นเองค่ะ หลังจากทำหน้าที่ของฉันในฐานะผู้นำได้สองสามปี ฉันได้คิดว่าเนื่องจากฉันรับตำแหน่งนั้นมาได้พักหนึ่งแล้ว ฉันเข้าใจความจริงมากกว่าและมีความสามารถมากกว่าคนอื่นๆ และฉันเป็นเสาหลักของคริสตจักร และคริสตจักรไม่สามารถอยู่ได้ถ้าไม่มีฉัน พอฉันสร้างความสำเร็จได้นิดหน่อยในหน้าที่ของฉัน ฉันก็คิดว่าฉันเข้าใจทุกอย่างแล้ว ว่าฉันมีความเป็นจริงของความจริงแล้ว และฉันนั้นดีกว่าทุกคน ฉันคิดว่าการเชื่อมาพักหนึ่งแล้ว และการมีประสบการณ์บางส่วน ทำให้ฉันสามารถทำตัวหยิ่งยโสได้ และคิดว่าฉันอยู่เหนือกว่าคนอื่น ฉันไม่ได้ใส่ใจข้อเสนอแนะของพี่น้องชายหญิงเลยสักนิด อย่าว่าแต่แสวงหาที่จะยอมรับพวกเขาเลยค่ะ แม้กระทั่งตอนที่พวกเขายังใส่ใจในตัวฉันและถามไถ่ถึงสภาพจิตใจของฉัน ฉันก็รู้สึกว่าฉันมีวุฒิภาวะเหนือพวกเขา ดังนั้นฉันสามารถจัดการได้ และฉันไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือของพวกเขา เวลาฉันค้นพบข้อผิดพลาดและอุปสรรคของพวกเขา ฉันไม่ได้สามัคคีธรรมเรื่องความจริงและช่วยเหลือพวกเขา แต่ฉันดูถูกพวกเขา พวกเขาทำอะไรก็ไม่ถูกต้องสักอย่างในสายตาฉัน และฉันดุว่าพวกเขาหนักมาก ผลลัพธ์ก็คือ พี่น้องชายหญิงถูกฉันบีบบังคับและมีชีวิตที่คิดลบ อย่างนั้นจะเรียกว่าฉันทำหน้าที่ได้อย่างไร มันเป็นการทำชั่วชัดๆ ฉันไม่ได้เผยอะไรออกมาเลยนอกจากอุปนิสัยที่หยิ่งยโสอวดดีแบบซาตาน เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้าย ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด พระองค์ทรงทำได้อย่างดีมากๆ และพระองค์ไม่เคยทรงโอ้อวดเลย และพระองค์ไม่ได้แสดงพระองค์เองว่าเป็นพระเจ้า แต่กลับถ่อมพระองค์และเก็บพระองค์ ทรงพระราชกิจแห่งความรอดอย่างเงียบๆ ฉันได้เห็นว่าพระเจ้าถ่อมพระองค์และน่ารักมากๆ แต่ฉัน ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนักและเต็มไปด้วยอุปนิสัยแบบซาตาน กลับคิดถึงตัวเองและความสามารถมากเสียเหลือเกิน เพียงเพราะว่าฉันได้เชื่อมาสักพักหนึ่งแล้ว และฉันได้เข้าใจหลักคำสอนเพิ่มขึ้น และมีประสบการณ์การทำงานบ้างแล้ว ฉันได้ขึ้นแท่นบัลลังก์และไม่ยอมลงมา ฉันขาดความรู้จักตนเองอย่างสิ้นเชิง ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองเลย และฉันก็หยิ่งยโสเกินคำอธิบาย ฉันน่ารังเกียจมากค่ะ หลังจากถูกเปิดโปงโดยพระเจ้า ในที่สุดฉันก็มองเห็นวุฒิภาวะที่แท้จริงของฉัน ฉันสามารถแก้ไขปัญหาบางส่วนในหน้าที่ของฉันได้เพราะพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นเลยค่ะ เมื่อไม่มีพระราชกิจและการทรงนำของพระองค์ ฉันดวงตามืดบอดโดยสิ้นเชิงและไม่เข้าใจอะไรเลย ฉันไม่สามารถจัดการปัญหาของตัวเองได้ อย่าว่าแต่ปัญหาของคนอื่นเลยค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังทำตัวเจ้ากี้เจ้าการ ฉันนี่หยิ่งยโสจริงๆ ค่ะ ณ จุดนั้นฉันรู้สึกละอายกับพฤติกรรมตัวเอง

จากนั้นฉันก็ได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า “หากเจ้าครองความจริงภายในเจ้าจริงๆ เส้นทางที่เจ้าเดินนั้นย่อมจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้องไปเอง  หากปราศจากความจริง ย่อมง่ายดายที่จะทำชั่ว และเจ้าจะทำสิ่งนั้นไปทั้งที่เจ้าไม่ตั้งใจ  ตัวอย่างเช่น หากความโอหังและความทะนงตนมีอยู่ภายในตัวเจ้า เจ้าก็คงจะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเลี่ยงการไม่เยาะเย้ยท้าทายพระเจ้า เจ้าคงจะรู้สึกถูกบีบให้จำยอมเยาะเย้ยท้าทายพระองค์  เจ้าคงจะไม่ทำสิ่งนั้นโดยมีจุดประสงค์ เจ้าคงจะทำสิ่งนั้นไปภายใต้การครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของเจ้า ความโอหังและความทะนงตนของเจ้าคงจะทำให้เจ้าดูแคลนพระเจ้าและเห็นพระองค์ทรงไร้ค่าไม่สำคัญ  สิ่งเหล่านั้นคงจะเป็นเหตุให้เจ้ายกย่องตัวเจ้าเอง อวดแสดงตัวเองอยู่เป็นนิตย์ และในที่สุดก็นั่งในที่ของพระเจ้า และให้คำพยานสำหรับตัวเจ้าเอง  ในที่สุด เจ้าก็คงจะแปรแนวคิดของเจ้าเอง การคิดของเจ้าเอง และมโนคติที่หลงผิดของตัวเจ้าเองไปเป็นความจริงเพื่อที่จะได้รับการนมัสการ  จงดูเถิดว่า ผู้คนทำความชั่วไปมากเพียงใดภายใต้ภาวะครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของพวกเขา!  เพื่อที่จะแก้ไขการปฏิบัติตนชั่วของพวกเขา พวกเขาจะต้องแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับธรรมชาติของพวกเขาเสียก่อน  หากปราศจากการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย คงจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำพาการแก้ไขขั้นพื้นฐานมาสู่ปัญหานี้(“โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักได้ว่าธรรมชาติที่หยิ่งยโสของฉันนั้นเป็นรากเหง้าของการที่ฉันทำชั่วและต่อต้านพระเจ้า ด้วยแรงขับจากธรรมชาติที่หยิ่งยโสของฉัน ฉันรับเอาความดีความชอบจากผลลัพธิ์ของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์พอฉันประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยในหน้าที่ของฉัน เดินเฉิดฉายในฐานะลูกรักของคริสตจักร ฉันเชื่ออย่างไม่มีความละอายว่าตัวเองจะได้รับความรอดของพระเจ้า แต่ฉันก็ยังไม่มีความรู้จักตัวเองเลยสักนิด ในหน้าที่ของฉัน ฉันโอ้อวดความอาวุโสของฉันตลอดเวลา คิดว่าตัวเองดีกว่าและสูงส่งกว่าใครๆ คอยสั่งการคนอื่นๆ อยู่เสมอ ฉันถึงกับใช้พระวจนะของพระเจ้าตักเตือนพี่น้องชายหญิงด้วยซ้ำ และในการจัดการเตรียมการงานต่างๆ ฉันก็ไม่ได้หารือกับคุณพี่ที่ทำงานกับฉันเลย ตรงกันข้าม ฉันทำตัวว่ามีอำนาจเด็ดขาดและถือคำพูดตัวเองเป็นที่สุด ฉันถึงกับทำการตัดสินใจฝ่ายเดียวในเรื่องสำคัญๆ สำหรับงานของพระนิเวศของพระเจ้าด้วยซ้ำ ฉันทำให้พี่สาวคนนั้นกลายเป็นแค่หุ่นเชิดที่ไร้อำนาจ และได้สร้างอาณาจักรของฉันเองขึ้นในคริสตจักร เพราะธรรมชาติที่หยิ่งยโสของฉัน ฉันไม่สนใจใครอื่นเลย และไม่ได้เก็บพระเจ้าไว้ในหัวใจ ฉันไม่ได้แสวงหาหลักปฏิบัติแห่งความจริงเวลาเจอกับปัญหา และยังถือแนวคิดของตัวเองว่าเป็นความจริง ให้คนอื่นทั้งหมดเชื่อฟังและทำตามคำสั่งฉันด้วยซ้ำ มันทำให้ฉันนึกถึงพระเจ้าที่ประทานพลังให้แก่หัวหน้าเทวทูต เพื่อให้มันจัดการดูแลเทวทูตตนอื่นๆ ในสวรรค์ แต่มันกลับสูญเสียเหตุผลไปจนหมดสิ้นในความหยิ่งยโส เพราะรู้สึกว่ามันมีความพิเศษและอยากเทียบตัวเองเสมอพระเจ้า ผลลัพธ์ก็คือ มันได้ทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าขุ่นเคือง และพระเจ้าได้ทรงสาปแช่งมันและขับไล่มันลงจากสวรรค์ และตอนนี้ พระเจ้าได้ทรงยกระดับให้ฉันทำงานในฐานะผู้นำ เพื่อให้ฉันสรรเสริญและเป็นพยานให้พระองค์ในสรรพสิ่ง เพื่อให้ฉันสามารถสามัคคีธรรมเรื่องความจริงและแก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ ช่วยให้คนอื่นเข้าใจความจริงและนบนอบต่อพระเจ้า แต่ฉันไม่ได้แสวงหาความจริงหรือทำหน้าที่ตามข้อกำหนดของพระเจ้าเลยค่ะ ในทางตรงข้าม ฉันกลับคว้าอำนาจ วางตัวเองไว้ที่ศูนย์กลาง และให้ทุกคนเชื่อฟังและทำตามคำสั่งฉัน แล้วฉันแตกต่างจากหัวหน้าเทวทูตยังไงคะ พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการเพื่อกีดขวางหนทางของฉัน และจากนั้นก็ทรงตักเตือนฉันผ่านพี่น้องชายหญิง แต่ฉันไม่ได้ยอมรับหรือทบทวนตัวเองเลยสักนิด ตอนนั้นฉันดื้อดึงและกบฏมาก! ฉันได้ทำหน้าที่ของตัวเองมาด้วยอุปนิสัยที่หยิ่งยโส บีบคั้นพี่น้องชายหญิง ทำให้พวกเขามีชีวิตอยู่ในความคิดลบ และไม่สามารถแก้ไขอุปสรรคของพวกเขาได้ ในงานของคริสตจักรก็ไม่มีความคืบหน้าเลยด้วยค่ะ นั่นคือความชั่วทั้งหมดที่ฉันได้ทำไปเพราะถูกความหยิ่งยโสของตัวเองควบคุม! ฉันมีธรรมชาติที่ดื้อรั้นและหยิ่งยโส ถ้าพระเจ้าไม่ทรงเปิดโปงและจัดการฉันอย่างแข็งกร้าวผ่านทางพี่น้องชายหญิงของฉัน และทรงปลดฉันออกจากหน้าที่ ฉันคงไม่ได้ทบทวนตัวเองหรอกค่ะ ถ้ายังคงเป็นแบบนั้นต่อไป ฉันคงได้แต่ทำชั่วเพิ่มขึ้น ฉันคงทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าขุ่นเคือง และถูกพระเจ้าทรงสาปแช่งและทำโทษ เหมือนกับหัวหน้าเทวทูตนั่น ณ จุดนั้นฉันได้รับความเข้าใจในพระเจตนาอันมีเมตตาของพระเจ้า พระองค์ทรงทำเช่นนี้เพื่อทรงหยุดยั้งฉันในเส้นทางแห่งความชั่วร้าย และทรงให้โอกาสฉันได้กลับใจค่ะ นี่คือการที่พระเจ้าทรงปกป้องและทรงช่วยให้ฉันรอด ฉันขอบคุณพระเจ้าจากหัวใจค่ะ

หลังจากที่ฉันถูกเปลี่ยนตัว พี่หลิวก็สามารถทำหน้าที่ของเธอต่อไปได้ตามปกติ และจากที่คนอื่นๆ พูดก็คือ ถึงแม้ผู้นำที่ได้รับเลือกเข้ามาใหม่และเหล่ามัคนายกจะไม่ได้เป็นผู้เชื่อมานานนัก แต่เวลาหารือเรื่องงานก็ไม่มีใครยึดติดกับแนวคิดของตัวเอง ตรงกันข้าม พวกเขาอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้า แสวงหาหลักปฏิบัติแห่งความจริงด้วยกัน ทุกคนทำงานร่วมกัน และงานของคริสตจักรก็ค่อยๆ ดีขึ้นอีกครั้ง ฉันละอายมากๆ เลยค่ะที่ได้ยินแบบนี้ เดิมทีฉันคิดมาตลอดว่างานในคริสตจักรไม่สามารถดำเนินต่อได้ถ้าไม่มีฉัน แต่เมื่อได้เผชิญกับข้อเท็จจริง ฉันก็เห็นว่างานทั้งหมดพระนิเวศของพระเจ้านั้นดำเนินการและสนับสนุนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และไม่ใช่อะไรที่ใครจะทำได้โดยลำพัง ผู้คนแค่ทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่ว่าเราจะได้เชื่อในพระเจ้ามานานแค่ไหน ตราบใดที่เราเชื่อในพระเจ้าและแสวงหาและปฏิบัติความจริงในหน้าที่ของเรา เราจะได้รับการทรงนำและพระพรของพระเจ้า การที่ฉันทำหน้าที่โดยไม่แสวงหาความจริง แต่ทำตามที่ตัวเองต้องการอย่างหยิ่งยโส และทำตัวเผด็จการ เป็นสิ่งน่ารังเกียจสำหรับพระเจ้า เมื่อไม่มีการทรงนำของพระเจ้า ฉันได้สูญเสียงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์และกลายเป็นคนไร้ค่า ฉันไม่สามารถทำอะไรได้เลย ฉันเคยทำตัวหยิ่งยโสแบบมืดบอด อาละวาดกราดเกรี้ยว วางท่าถือตัวสั่งคนไปทั่ว บีบบังคับและทำร้ายพี่น้องชายหญิง และฉันได้ขัดขวางงานของคริสตจักร ฉันรู้สึกผิดเหลือเกิน และตำหนิตัวเองอย่างมาก ฉันได้อธิษฐานต่อพระเจ้า “พระเจ้า ข้าพระองค์ช่างดวงตามืดบอดเหลือเกิน ข้าพระองค์ยังไม่ได้รู้จักตัวเอง คิดเสมอว่าข้าพระองค์เข้าใจมากกว่าเพราะข้าพระองค์เป็นผู้นำมานานกว่า ดังนั้นข้าพระองค์จึงดีกว่าทุกคน ความหยิ่งยโสของข้าพระองค์นำทางในการทำหน้าที่ และสิ่งนี้เองที่ขัดขวางงานของพระนิเวศของพระองค์ โอ้พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อยากต่อต้านพระองค์อีกต่อไปแล้ว และข้าพระองค์ปรารถนาที่จะกลับใจอย่างแท้จริง”

จากนั้นฉันก็ได้อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้าค่ะ “เจ้าต้องรู้ว่าเราพึงปรารถนาผู้คนประเภทใด พวกที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ราชอาณาจักร พวกที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำผืนดินศักดิ์สิทธิ์แปดเปื้อน  แม้ว่าเจ้าอาจได้ทำงานมากมายแล้ว และได้ทำงานมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ในที่สุดหากเจ้ายังคงโสมมอย่างน่าสังเวช เช่นนั้นแล้วก็จะเป็นเรื่องที่มิอาจยอมผ่อนปรนได้ต่อธรรมบัญญัติแห่งฟ้าที่เจ้าปรารถนาที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของเรา!  ตั้งแต่การแรกสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ เราไม่เคยได้เสนอช่องทางอันง่ายดายสู่ราชอาณาจักรของเราให้แก่พวกที่ประจบเรา  นี่คือกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์ และไม่มีใครสามารถทำลายสิ่งนั้นได้!  เจ้าต้องแสวงหาชีวิต  วันนี้ บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมคือประเภทเดียวกันกับเปโตร นั่นคือ พวกเขาคือบรรดาผู้ที่แสวงหาการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของพวกเขาเอง และผู้ที่เต็มใจที่จะเป็นคำพยานต่อพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในฐานะสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า  มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน)  “เราตัดสินใจเรื่องบั้นปลายของแต่ละบุคคลโดยไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอายุ ความอาวุโส ปริมาณความทุกข์ และที่น้อยที่สุดคือ ระดับความชวนสังเวชของพวกเขา แต่เป็นไปโดยสอดคล้องกับการที่ว่า พวกเขาครองความจริงหรือไม่  ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากนี้  พวกเจ้าจำต้องตระหนักว่า ทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจะถูกลงโทษด้วยเช่นกัน  นี่คือข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า)  พระวจนะของพระเจ้านั้นชัดเจนอย่างสมบูรณ์ค่ะ พระเจ้าทรงกำหนดผลลัพธ์ของมนุษย์ ไม่ใช่จากระยะเวลาที่พวกเขาได้เชื่อ จากความสามารถในการประกาศ หรือจากงานที่พวกเขาได้ทำไป แต่ทรงดูว่าพวกเขาไล่ตามความจริงหรือไม่ ว่าพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตัวเองหรือไม่ และพวกเขาสามารถทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างได้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้สำคัญที่สุด ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยรู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ฉันได้เชื่อมาพักหนึ่ง ฉันมีประสบการณ์ในฐานะผู้นำอยู่สองสามปี และฉันก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่อยู่บ้าง ฉันใช้ทุกสิ่งเหล่านี้เพื่อประโยชน์ของฉันเอง ฉันคิดว่าถ้าฉันไล่ตามต่อไปแบบนั้น ฉันจะได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า ฉันจึงไม่ได้มุ่งเน้นที่จะรับประสบการณ์การพิพากษา การตีสอน การจัดการ และการตัดแต่งโดยพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉันไม่ได้สนใจการแสวงหาความจริงในหน้าที่เพื่อแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของฉัน ผลลัพธ์ก็คือ อุปนิสัยในชีวิตของฉันแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลยหลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามาเป็นปีๆ และฉันก็ใช้ชีวิตตามธรรมชาติแบบซาตานที่หยิ่งยโส ทำความชั่ว และต่อต้านพระเจ้า ฉันได้มองเห็นว่าเราไม่สามารถรู้จักตัวเองหรือกลับใจกับพระเจ้าได้อย่างแท้จริง ถ้าเราไม่ไล่ตามความจริงในความเชื่อของเรา ไม่ว่าเราจะทำงานไปมากแค่ไหน เราจะประกาศไปมากแค่ไหน ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยแห่งชีวิตของเรา เราก็จะยังถูกประณามและกำจัดโดยพระเจ้า นี่กำหนดไว้โดยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าและแก่นแท้อันบริสุทธิ์ หลังจากเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันก็ไม่ใช้ประโยชน์จากระยะเวลาที่ฉันได้เชื่อหรือปริมาณงานที่ฉันได้ทำอีกต่อไป แต่เริ่มมุ่งเน้นที่จะลงแรงไปกับพระวจนะของพระเจ้า ทบทวนและรู้จักตัวเอง และไล่ตามความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยแบบซาตานของฉัน

หลังจากนั้นฉันก็ได้รับอีกหน้าที่หนึ่งในคริสตจักร เวลาทำงานกับพี่น้องชายหญิง ฉันถ่อมตัวมากขึ้น และเวลาพวกเขายกมุมมองที่แตกต่างออกไปขึ้นมา บางครั้งฉันรู้สึกว่าฉันถูก และอยากให้พวกเขาฟังฉัน แต่ฉันก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าฉันกำลังแสดงอุปนิสัยที่หยิ่งยโสออกมาอีกแล้ว ดังนั้นฉันจะอธิษฐานต่อพระเจ้าและไม่ทำตามใจตัวเอง เพื่อแสวงหาความจริงเคียงข้างพี่น้องชายหญิง และแก้ไขสิ่งต่างๆ ผ่านการหารือกัน พี่น้องชายหญิงทุกคนบอกว่าฉันไม่หยิ่งยโสเท่ากับเมื่อก่อน และฉันมีวุฒิภาวะขึ้นมาก การได้ฟังคำประเมินนี้จากพวกเขาทำให้ฉันตื้นตันใจมากๆ ฉันรู้ว่าสิ่งนี้บรรลุได้ด้วยการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระเจ้าค่ะ แม้ฉันจะยังกำจัดอุปนิสัยที่หยิ่งยโสของฉันได้ไม่หมดซะทีเดียว และฉันก็ยังห่างไกลจากมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดอยู่มาก ฉันก็ได้เห็นความรักและความรอดของพระเจ้าแล้ว ฉันได้เห็นแล้วว่าพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าสามารถเปลี่ยนโฉมและทำให้มนุษย์บริสุทธิ์ได้จริงๆ

ก่อนหน้า: 63. ใครบอกว่าอุปนิสัยที่หยิ่งยโสไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

ถัดไป: 65. สภาพเสมือนมนุษย์นั้นบรรลุได้โดยการแก้ไขความโอหัง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger