25. คนเราควรเคารพหน้าที่ของตัวเองอย่างไร

โดย เจิ้งเย่ ประเทศเกาหลีใต้

ไม่นานหลังจากกลายมาเป็นผู้เชื่อ ผมได้สังเกตเห็นว่า พวกพี่น้องชายหญิงที่เป็นผู้นำมักจะจัดการชุมนุมและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงบ่อยๆ และบางคนมีหน้าที่ซึ่งต้องการทักษะ อย่างการทำวิดีโอ หรือการร้องเพลงและเต้นรำ  ผมชื่นชมพวกเขาจริงๆ และคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่น่านิยมยกย่อง  ส่วนพวกที่ทำหน้าที่เจ้าบ้านหรือจัดการกิจการงานของคริสตจักร หน้าที่พวกนั้นไม่มีอะไรให้พูดถึงมากนักและไม่ต้องการทักษะอะไร พวกเขาจึงไม่เคยสร้างชื่อให้ตัวเอง  ผมคิดไปว่า ในอนาคตผมต้องการหน้าที่ซึ่งทำให้ผมดูดีได้  สองปีหลังจากนั้น ผมก็ได้รับหน้าที่ในงานปรับปรุงแก้ไขเอกสาร  ผมมีความสุขมาก โดยเฉพาะในทุกครั้งที่ผมไปคริสตจักรเพื่อให้การแนะแนวเรื่องงานบรรณาธิการ  พี่น้องชายหญิงต่างก็อบอุ่นต่อผมมากและมองผมอย่างชื่นชม  ผมพอใจในตัวเองจริงๆ และรู้สึกว่าหน้าที่ของผมกอบโกยความชื่นชมมากกว่าหน้าที่อื่น  ใน ค.ศ. 2018 ผมถูกส่งไปทำหน้าที่ในอีกพื้นที่  ครั้งหนึ่งระหว่างที่อยู่ที่นั่นตอนที่พี่ชายคนหนึ่งรู้เข้าว่าผมมีหน้าที่อะไร เขาก็เริ่มชวนผมคุยเรื่องนั้น  การเห็นว่าเขายกย่องผมแค่ไหนทำให้ผมสุขใจจริงๆ และรู้สึกว่าการทำหน้าที่นั้นถือเป็นเกียรติอย่างมาก

ในช่วงเวลานั้นผมอยู่ในสภาวะที่อิ่มอกอิ่มใจและชื่นชมตัวเองตลอดเวลา  ผมชิงดีชิงเด่นเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ในหน้าที่ของผม และไม่ได้จริงจังกับหน้าที่นัก  สองเดือนต่อมาผมก็ถูกปลดจากหน้าที่เพราะทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง  นั่นทำให้ผมรู้สึกกลัดกลุ้มมากและคิดลบพอควร  ผู้นำก็เลยสามัคคีธรรมกับผมเรื่องน้ำพระทัยของพระเจ้าว่า “พระนิเวศของพระเจ้าต้องการคนมาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมเวทีสำหรับภาพยนตร์ของเรา  คุณทำได้นี่ ไม่ว่าหน้าที่ของคุณคืออะไร คุณก็ต้องไล่ตามเสาะหาความจริงและทุ่มเททำหน้าที่ของคุณให้ดีอย่างเต็มที่”  ผมไม่รู้จริงๆ ว่าหน้าที่นั้นจะนำมาซึ่งอะไร แต่ผมก็คิดได้ว่าควรยอมตามไปเถอะ เพราะผู้นำได้จัดการเตรียมการให้แล้ว  หลังจากเป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมเวทีสักพักผมก็ตระหนัก ว่าส่วนใหญ่เป็นงานใช้แรงกายอย่างหนัก คอยย้ายอุปกรณ์ประกอบฉากทั้งหลายแหล่ไปมา  ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทักษะอะไรเลย  เป็นแค่งานที่ต้องใช้ขาเดินไปมากับพวกงานจิปาถะเยอะมาก  ผมคิดว่า “ก่อนหน้านี้ หน้าที่งานบรรณาธิการของฉันจำเป็นต้องใช้สมอง  เป็นงานที่มีศักดิ์ศรีและได้รับการยกย่อง  การย้ายพวกชุดประกอบฉากทั้งหมดนี่ไปมาเป็นงานที่ใช้แรงงาน  ทั้งสกปรกและเหน็ดเหนื่อย  พี่น้องชายหญิงจะดูถูกฉันไหมนะ?”  พอคิดแบบนี้ใจผมก็จมดิ่ง และรู้สึกต่อต้านการทำหน้าที่นี้พอควร  ตั้งแต่นั้นมา ผมก็ทำงานอย่างไม่ค่อยเต็มใจ และบ่ายเบี่ยงหน้าที่เมื่อทำได้  บางครั้งเมื่อพวกเราขาดอุปกรณ์ประกอบฉากและจำเป็นต้องยืมจากพี่น้องชายหญิงสักคน ผมก็จะให้คนอื่นไปขอ เพราะกลัวว่าถ้าผมเป็นคนไปขอเอง พี่น้องชายหญิงที่รู้จักผมจะรู้เข้าว่าผมถูกสับเปลี่ยนออกจากหน้าที่เดิมแล้ว และตอนนี้ผมก็กำลังทำงานกองถ่ายที่ต้อยต่ำ แล้วพวกเขาจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับผม?  ผมไม่อยากเรียนรู้ทักษะที่เกี่ยวข้องด้วยเหมือนกัน เพราะกลัวว่าถ้าผมเรียนรู้มากขึ้น ผมก็จะต้องทำหน้าที่นั้นตลอดไป และวันที่ผมจะโดดเด่นก็คงไม่มีวันมาถึง  บางครั้งขณะที่เราอยู่ในกองถ่าย ผู้กำกับจะขอให้ผมจัดอุปกรณ์ประกอบฉากในแบบที่เฉพาะเจาะจง  นี่ทำให้ผมอึดอัดใจมากเสมอ เหมือนมันเป็นความขายหน้าอับอายสำหรับผม  ผมคิดถึงหน้าที่งานบรรณาธิการของผมก่อนหน้านี้ คนอื่นนับถือผมและทำตามการแนะแนวของผม แต่ตอนนี้ผมกลับเป็นฝ่ายถูกบอกว่าต้องทำอะไร  มันเป็นการลดชั้นลงจริงๆ  มีอยู่ครั้งหนึ่ง พี่ชายคนหนึ่งได้ให้ผมออกไปเอาฟางข้าวมาประกอบฉาก  ผมไม่อยากทำเลยจริงๆ  ผมคิดว่า “การออกไปทำแบบนั้นมันน่าอับอายมาก ถ้าพี่น้องชายหญิงมาเห็นเข้า พวกเขาต้องคิดว่าผมเป็นคนล้มเหลวแน่ ที่ต้องทำอะไรแบบนั้นตั้งแต่อายุยังน้อย”  แต่ในเมื่อเป็นหน้าที่ที่ผมต้องทำ ผมก็เลยรอจนไม่มีใครอยู่แถวนั้นแล้วแข็งใจไปทำ  ระหว่างที่ผมกำลังรวบรวมฟางข้าวก็เห็นพี่ชายคนหนึ่งผ่านมา  เขาสวมรองเท้าหนังกับถุงเท้าขาว—ดูสะอาดสะอ้านมาก  ส่วนผมกลับสกปรกตั้งแต่หัวจรดเท้า  ผมรู้สึกหดหู่และว้าวุ่นใจขึ้นมาทันที พลางคิดว่า “เราอายุพอๆ กัน แต่เขาทำหน้าที่ที่สะอาดและดูดี ในขณะที่ฉันทำได้แค่งานสกปรกอย่างการเก็บฟางข้าว  ช่างแตกต่างอะไรอย่างนี้!  น่าอับอายจริงๆ!  ฉันจะกลับไปบอกผู้นำว่าไม่อยากทำหน้าที่นี้อีกต่อไปแล้ว และขอให้เขามอบหมายงานอื่นให้ฉันแทน”

หลังจากกลับเข้าไป ผมก็รู้สึกขัดแย้งมาก นึกสงสัยว่าผมควรพูดอะไรกับผู้นำหรือไม่  ถ้าผมไม่พูด ผมก็ต้องทำหน้าที่นั้นต่อไป แต่ถ้าผมเปิดปากพูดว่าไม่อยากทำงานนั้น ก็จะเป็นการเดินหนีจากหน้าที่ของผม  พอคิดแบบนั้น ผมก็ข่มใจไม่พูดอะไร  ไม่นานหลังจากนั้น ผู้นำก็จัดการเตรียมการให้พวกเจ้าหน้าที่ควบคุมเวทีกับพวกผู้แสดงเข้าร่วมการชุมนุมด้วยกัน  ผมไม่พอใจเลยสักนิด พวกเขาสามารถสร้างชื่อให้ตัวเองและเฉิดฉายอยู่ในแสงสปอตไลท์  ในขณะที่ผมกำลังใช้แรงงานต่ำต้อย  เรามันคนละระดับกันจริงๆ  การชุมนุมร่วมกันจะไม่เป็นการเน้นความด้อยกว่าของผมหรอกหรือ?  ทุกคนมีส่วนร่วมการสามัคคีธรรมในการชุมนุมอย่างแข็งขัน แต่ผมไม่อยากแบ่งปันอะไรเลย  ในการชุมนุมกับพวกผู้แสดง ผมรู้สึกเหมือนผมแค่มีหน้าที่ทำให้พวกเขาดูดีขึ้นเท่านั้น  มันน่าหดหู่ใจ  เมื่อเวลาผ่านไปความมืดในจิตวิญญาณของผมก็เติบโตขึ้น และผมก็ไม่อยากแม้แต่ไปงานชุมนุมอีกต่อไปด้วยซ้ำ  บ่อยครั้งที่ผมหวนนึกถึงช่วงเวลาที่ผมทำหน้าที่งานบรรณาธิการ  ตอนที่พี่น้องชายหญิงทักทายผมด้วยใจกระตือรือร้น อีกทั้งผู้นำก็เห็นคุณค่าของผม  ตั้งแต่ผมถูกปลดจากหน้าที่ ผมก็ทำแต่งานจิปาถะ และไม่มีใครยกย่องผมอีกต่อไป  ผมเศร้าซึมและตรอมใจ รู้สึกด้อยกว่าและต่อต้านสังคมมากขึ้นทุกที  ผมสลดใจตลอดเวลา และแทบไม่รู้สึกเหมือนเป็นตัวเองเลย  ผมน้ำหนักลดลงฮวบฮาบ ค่ำวันหนึ่ง ขณะที่ผมเดินเล่นอยู่คนเดียว ผมก็ไม่อาจเก็บกดความทุกข์ภายในใจได้อีกต่อไป  ผมร้องไห้พลางอธิษฐานต่อพระเจ้า “โอ้พระเจ้า!  ในอดีต ข้าพระองค์มุ่งมั่นไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่เพื่อให้พระองค์พึงพอพระทัย แต่ตอนนี้ข้าพระองค์ไม่มีโอกาสอวดโอ้ในหน้าที่  ข้าพระองค์รู้สึกด้อยกว่าคนอื่น  ข้าพระองค์คิดลบและอ่อนแอจริงๆ และข้าพระองค์รู้สึกเหมือนจวนเจียนจะทรยศพระองค์ได้ทุกเมื่อ  ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อยากคิดลบมากแบบนี้ต่อไป แต่ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร  ขอทรงโปรดนำข้าพระองค์ออกจากสภาวะนี้ด้วยเถิด”

หลังจากนั้น ผมก็อ่านพระวจนะนี้ของพระเจ้าที่ว่า “หน้าที่เกิดขึ้นได้อย่างไร?  หากจะพูดกว้างๆ แล้ว มันเกิดขึ้นโดยเป็นผลมาจากพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้าในการนำพาความรอดมาสู่มนุษยชาติ พูดอย่างเฉพาะเจาะจงก็คือ ขณะที่พระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้าเปิดเผยคลี่คลายท่ามกลางมวลมนุษย์ กิจอันหลากหลายซึ่งจำเป็นต้องทำก็เกิดขึ้น และกิจเหล่านั้นพึงประสงค์ให้ผู้คนให้ความร่วมมือและทำกิจเหล่านั้นให้เสร็จสิ้น  การนี้ทำให้เกิดความรับผิดชอบและภารกิจที่ผู้คนจะต้องทำให้ลุล่วง และความรับผิดชอบกับภารกิจเหล่านี้ก็คือหน้าที่ทั้งหลายที่พระเจ้าประทานแก่มวลมนุษย์(“อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  ไม่ว่าหน้าที่ของเจ้าจะเป็นสิ่งใด จงอย่าเลือกที่รักมักที่ชังระหว่างสูงและต่ำ  สมมติว่าเจ้าพูดว่า ‘แม้ว่ากิจนี้จะเป็นพระบัญชาจากพระเจ้าและพระราชกิจของพระนิเวศของพระเจ้า หากข้าพระองค์ทำภารกิจนี้ ผู้คนอาจจะดูแคลนข้าพระองค์  คนอื่นได้ทำงานที่ปล่อยให้พวกเขาโดดเด่น  กิจนี้ที่ข้าพระองค์ได้รับมา ซึ่งไม่ได้ปล่อยให้ข้าพระองค์โดดเด่นแต่กลับจะทำให้ข้าพระองค์ทุ่มเทตัวข้าพระองค์อยู่เบื้องหลังฉาก จะสามารถเรียกได้ว่าหน้าที่ได้อย่างไรกัน?  นี่คือหน้าที่ที่ข้าพระองค์ไม่สามารถยอมรับได้ นี่ไม่ใช่หน้าที่ของข้าพระองค์  หน้าที่ของข้าพระองค์ต้องเป็นหน้าที่ที่ทำให้ข้าพระองค์โดดเด่นต่อหน้าคนอื่น และเปิดโอกาสให้ข้าพระองค์ได้สร้างชื่อให้ตัวข้าพระองค์เอง—และต่อให้ข้าพระองค์ไม่ได้สร้างชื่อให้ตัวข้าพระองค์เองหรือโดดเด่น ข้าพระองค์ก็ยังคงจำเป็นที่จะต้องได้รับประโยชน์จากหน้าที่นั้นและรู้สึกสุขสบายทางกาย’  นี่เป็นท่าทีที่ยอมรับได้อยู่หรือ?  การเลือกมากคือการไม่ยอมรับสิ่งที่มาจากพระเจ้า มันคือการตัดสินใจโดยสอดคล้องกับการเลือกชอบของเจ้าเอง  นี่ไม่ใช่การยอมรับหน้าที่ของเจ้า มันคือการปฏิเสธหน้าที่ของเจ้า  ทันทีที่เจ้าพยายามบรรจงเลือก เจ้าย่อมไม่สามารถที่จะยอมรับได้อย่างแท้จริงอีกต่อไป  การเลือกมากเช่นนั้นเจือปนไปด้วยการเลือกชอบและความอยากได้อยากมีแบบปัจเจกบุคคลของเจ้า เมื่อเจ้าพิจารณาถึงผลประโยชน์ของเจ้าเอง ความมีหน้ามีตาของเจ้า และอื่นๆ ท่าทีของเจ้าต่อหน้าที่ของเจ้าจึงไม่นบนอบ  ท่าทีต่อหน้าที่คือตรงนี้ กล่าวคือ ประการแรก เจ้าไม่อาจวิเคราะห์มัน อีกทั้งไม่อาจคิดเกี่ยวกับว่าผู้ใดได้มอบหมายมันให้เจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าควรยอมรับมันจากพระเจ้า ในฐานะหน้าที่ของเจ้าและในฐานะสิ่งที่เจ้าควรทำ ประการที่สอง จงอย่าเลือกที่รักมักที่ชังระหว่างสูงและต่ำ และจงอย่าเอาตัวเองไปเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติของมัน—ไม่ว่ามันจะถูกทำไปต่อหน้าผู้คนหรือนอกสายตาพวกเขา ไม่ว่ามันจะให้เจ้าโดดเด่นหรือไม่  จงอย่าพิจารณาสิ่งเหล่านี้  เหล่านี้คือคุณลักษณะสองประการของท่าทีที่ผู้คนควรใช้ในการเข้าหาหน้าที่ของพวกเขา(“อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  การอ่านบทตอนนี้แสดงให้ผมเห็นว่า ผมมีมุมมองและทัศนคติผิดๆ ต่อหน้าที่ของผม  พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้พวกเราทำหน้าที่ของพวกเรา และย่อมเป็นการถูกต้องและเหมาะสมที่พวกเราทำหน้าที่นั้น  พวกเราไม่ควรมีตัวเลือกในเรื่องนี้  แต่ผมปล่อยให้การเลือกชอบมาเป็นอุปสรรค ต้องการเพียงแค่หน้าที่ที่ได้รับความเคารพนับถือชื่นชมเท่านั้น ผมต่อต้านและไม่ยอมรับการทำงานเบื้องหลังหรืองานที่ธรรมดาไม่สำคัญ  ผมไม่ได้นบนอบต่อการปกครองและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  ผมถึงขนาดหละหลวม คิดลบ และไม่ยอมทำงาน อีกทั้งต่อต้านพระเจ้า  ผมคิดย้อนไปถึงตอนที่ยังใหม่ในความเชื่อ  ผมอิจฉาบรรดาผู้นำและพี่น้องชายหญิงที่กำลังปฏิบัติงาน  ผมคิดว่าหน้าที่พวกนั้นเป็นงานสำคัญจริงๆ และได้รับการชื่นชมจากคนอื่น และคิดว่าคนที่ทำงานใช้แรงกายซึ่งโดดเด่นน้อยกว่านั้น ไม่มีทักษะฝีมือจริงๆ ให้พูดถึงเลย  หน้าที่ประเภทนั้นต่ำต้อยและถูกผู้คนดูแคลน  ในเมื่อความคิดของผมถูกนำไปผิดทาง ผมจึงจัดหมวดหมู่หน้าที่เป็นระดับต่างๆ ดังนั้น พอผมเริ่มทำหน้าที่เจ้าหน้าที่ควบคุมเวที ผมก็คิดว่าผมแค่ทำงานจิปาถะที่ต่ำต้อย และมันจะทำให้ภาพพจน์และภาพลักษณ์ของผมเสียหาย  ผมต่อต้านมันและไม่อยากยอมตามจริงๆ  ผมไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของผม และไม่อยากเรียนรู้ทักษะที่ผมควรได้เรียนรู้  ผมถึงขนาดคิดถอดใจโยนผ้าขาวยอมแพ้และทรยศพระเจ้า  ผมมองเห็นว่า ผมสนใจแต่การเลือกชอบส่วนตัวในหน้าที่ของผมเท่านั้น และเห็นว่าผมคิดถึงแต่ความถือดีและเกียรติยศของผม และผลประโยชน์ของผมเองเท่านั้น  ผมขาดความเชื่อฟังที่แท้จริงอย่างสิ้นเชิง นับประสาอะไรที่ผมจะคำนึงถึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือการปฏิบัติหน้าที่ให้ดียิ่ง  ท่าทีของผมเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจและขยะแขยงมาก!  การตระหนักในเรื่องนี้ทำให้ว้าวุ่นใจ และผมก็ตำหนิตัวเอง

หลังจากนั้นผมอ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าที่ว่า “พวกมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลาย  สิ่งใดหรือคือหน้าที่รับผิดชอบของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลาย?  การนี้แตะต้องไปถึงการฝึกฝนปฏิบัติและหน้าที่ทั้งหลายของผู้คน  เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างสิ่งหนึ่ง พระเจ้าได้ทรงมอบพรสวรรค์ในการขับร้องให้เจ้า  เมื่อพระองค์ทรงใช้ให้เจ้าขับร้อง เจ้าควรทำสิ่งใด?  เจ้าก็ควรยอมรับกิจนี้ที่พระเจ้าได้ทรงวางใจมอบหมายให้เจ้าและขับร้องให้ดี  เมื่อพระเจ้าทรงใช้ให้เจ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างสิ่งหนึ่ง เจ้ากลายเป็นสิ่งใด?  เจ้าย่อมกลายเป็นผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐคนหนึ่ง  เมื่อพระองค์ทรงจำเป็นต้องให้เจ้านำทาง เจ้าควรเข้ารับพระบัญชานี้ หากเจ้าสามารถลุล่วงหน้าที่นี้โดยสอดคล้องกับหลักการทั้งหลายของความจริง เช่นนั้นแล้วนี่ก็จะเป็นหน้าที่รับผิดชอบอีกอย่างที่เจ้าทำ  ผู้คนบางคนทั้งไม่เข้าใจความจริงและไม่แสวงหาความจริง พวกเขาสามารถแค่ทุ่มเทความพยายาม  ดังนั้นแล้ว สิ่งใดหรือคือหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเหล่านั้น?  มันก็คือการทุ่มเทความพยายามและการทำการปรนนิบัตินั่นเอง(“เพียงโดยการแสวงหาความจริงเท่านั้น คนเราจึงสามารถรู้จักกิจการของพระเจ้าได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  ผมได้เรียนรู้จากพระวจนะของพระเจ้าว่า ไม่ว่าคนเราทำหน้าที่อะไรในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ว่ามันจะดูโดดเด่นหรือไม่ ก็มีแค่ชื่อและลักษณะงานที่แตกต่างกันในหน้าที่เท่านั้น แต่ความรับผิดชอบโดยส่วนตัวก็ยังเหมือนกัน  ตัวตนและแก่นแท้โดยธรรมชาติของคนเราไม่เปลี่ยน—พวกเขายังเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเสมอ  ผมเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในหน้าที่งานบรรณาธิการ และผมยังเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในหน้าที่เจ้าหน้าที่ควบคุมเวทีอีกด้วย  ไม่มีลำดับชั้นในหน้าที่ต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้า และทั้งหมดถูกจัดการเตรียมการโดยขึ้นอยู่กับความจำเป็นของคริสตจักร และตามวุฒิภาวะ ขีดความสามารถ และจุดแข็งของแต่ละคน  ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่อะไร น้ำพระทัยของพระเจ้าก็คือให้พวกเราทุ่มเต็มที่ให้กับหน้าที่อย่างแท้จริง คือให้พวกเราหนักแน่นในการไล่ตามเสาะหาความจริง แก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเราและทำหน้าที่ให้ดี เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ในพระวจนะของพระเจ้า “การทำหน้าที่ไม่เป็นแบบเดียวกัน  มีร่างกายหนึ่งร่าง  แต่ละร่างทำหน้าที่ของเขา แต่ละร่างอยู่ในสถานที่ของเขาและกำลังทำสุดความสามารถของเขา—สำหรับแต่ละประกายไฟมีความสว่างวาบหนึ่ง—และกำลังแสวงหาวุฒิภาวะในชีวิต  เช่นนั้นแล้วเราจึงจะพึงพอใจ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 21)  ผู้นำคริสตจักรจัดการเตรียมการให้ผมทำหน้าที่เจ้าหน้าที่ควบคุมเวทีเพราะเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับงาน และผมไม่ควรช่างเลือกหรือจุกจิกตามการเลือกชอบของผมเอง แต่ผมควรนบนอบต่อการปกครองและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  ผมควรติดตั้งอุปกรณ์ประกอบฉากตามที่จำเป็นต่อแผนงาน และทำส่วนของผมสำหรับทุกการผลิตที่เป็นพยานต่อพระเจ้า  นี่เป็นหน้าที่รับผิดชอบของผม  หลังจากเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า  มุมมองของผมก็ได้เปลี่ยนไปพอสมควร และผมปล่อยมือจากสิ่งที่เป็นภาระต่อผมมายาวนาน  ผมยังสามารถเข้าหาหน้าที่ของผมอย่างถูกต้องอีกด้วย  ตั้งแต่นั้นมา ผมมองหาวัสดุและข้อมูลอ้างอิงเพื่อฝึกฝนทักษะอย่างขะมักเขม้น และในการชุมนุมกับพวกผู้แสดง ผมก็ไม่เปรียบเทียบหน้าที่ของเราอีกต่อไป แต่ผมเปิดใจเรื่องความกบฏและความเสื่อมทรามของผมแทน  ผมสามัคคีธรรมเรื่องความเข้าใจทั้งหมดที่ผมมี  บางครั้งความกลัวจะถูกดูแคลนก็ผุดขึ้นมาในหน้าที่ของผมหลังจากนั้น และผมก็ตระหนักว่าผมกำลังจัดลำดับหน้าที่ว่าสูงหรือต่ำอีกแล้ว ดังนั้นผมจึงรีบอธิษฐานต่อพระเจ้าและละทิ้งความคิดที่ไม่ถูกต้องไป ตั้งใจทำหน้าที่ และทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยเป็นลำดับแรก  ผมรู้สึกผ่อนคลายและเบาใจมากหลังจากปฏิบัติแบบนี้ไปสักพัก  ผมไม่รู้สึกว่าการทำงานเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ประกอบฉากไปมาในกองถ่ายเป็นหน้าที่ที่ต่ำต้อยอีกต่อไป  แต่ผมกลับรู้สึกว่าพระเจ้าได้ทรงไว้วางใจมอบหมายความรับผิดชอบให้แก่ผม  ผมรู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจที่สามารถทำหน้าที่นี้ และทำงานส่วนของผมสำหรับการผลิตภาพยนตร์ของพระนิเวศของพระเจ้าได้

ผมคิดว่าผมได้รับวุฒิภาวะบางประการหลังจากถูกเปิดโปงแบบนั้น  คิดว่าผมสามารถนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้าในหน้าที่ของผม และผมจะไม่คิดลบและเป็นกบฏเพราะการที่หน้าที่ของผมไม่มีอะไรพิเศษอีกต่อไป  แต่ครั้งต่อมาที่ผมเผชิญสถานการณ์ที่ผมไม่ชอบ ปัญหาเก่าก็โผล่ขึ้นมาอีกครั้ง

สองเดือนหลังจากนั้น ตอนที่เป็นฤดูที่ชาวนายุ่งกับงานจริงๆ มีพี่น้องชายหญิงบางคนออกไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐแล้วไม่สามารถกลับมาเก็บเกี่ยวได้ทันเวลา  ผู้นำถามผมว่าสามารถช่วยงานไร่นาของพวกเขาได้ไหม  ผมคิดว่า “นี่สามารถทำให้พี่น้องชายหญิงเหล่านั้นจดจ่ออยู่กับงานข่าวประเสริฐได้อย่างสบายใจ และมันจะเป็นประโยชน์ต่องานของพระนิเวศของพระเจ้า  ฉันควรรับงานนี้”  แต่พอผมลงไปในนา ผมก็เห็นว่าพี่ชายคนอื่นๆ อยู่ในวัย 40 หรือ 50 ปี  ไม่มีใครอยู่ในวัย 20 เหมือนผมเลยสักคน  ผมไม่ค่อยพอใจนัก  ตอนนั้นเองที่พี่ชายคนหนึ่งเข้ามาถามอย่างประหลาดใจว่า “น้องชาย คุณมีเวลามาทำงานในทุ่งนาได้ยังไง?  ไม่ได้กำลังทำหน้าที่งานบรรณาธิการอยู่หรอกหรือ?”  หน้าผมร้อนผ่าวทันที และผมรีบตอบกลับไปว่า “ผมแค่มาช่วยชั่วคราวน่ะครับ”  หลังจากที่เขาเดินจากไป ผมก็คิดว่า “เขาจะคิดยังไงกับฉันนะ?  เขาจะคิดไหมว่า การมาทำงานแบบนี้ในวัยของฉัน แปลว่าฉันไม่มีขีดความสามารถหรือความสามารถพิเศษอะไรเลย และแปลว่าฉันมาตรงนี้ก็เพราะฉันไม่สามารถรับหน้าที่สำคัญได้ นั่นมันเป็นการลดชั้นกันชัดๆ!”  ผมรู้สึกเสียใจมากขึ้นทุกที  แม้ว่าร่างกายของผมกำลังทำงานอยู่ แต่ในใจผมเต็มไปด้วยความคิดว่าพวกพี่ชายที่นั่นคิดกับผมอย่างไร และพวกเขาจะดูแคลนผมหรือเปล่า  ผมเลยทำงานไปอย่างเลื่อนลอย  พอผมกลับถึงบ้าน ผมก็เห็นพี่ชายหลายคนกำลังทำหน้าที่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองต่ำชั้นกว่า  ผมคิดว่า “หน้าที่ของคนอื่นดีกว่าของฉัน  ทำไมฉันต้องไปตรากตรำในทุ่งนาด้วย  ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร อย่างน้อยฉันก็ได้เข้าเรียนวิทยาลัยแล้ว และฉันทุ่มเทเล่าเรียนอย่างหนัก  นั่นก็เพื่อหนีจากชะตากรรมของชาวไร่ชาวนาที่ต้องทำงานในไร่นาทั้งวันไม่ใช่หรือ?  พรุ่งนี้ฉันจะไม่ไปแล้ว”  ผมรู้ว่าไม่ควรคิดแบบนั้น แต่ผมรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม ผมคิดว่าการให้ผมทำงานในไร่นาเป็นการทิ้งขว้างความสามารถพิเศษของผมและเป็นความเสื่อมเสียสำหรับผม  ยิ่งผมคิดผมก็ยิ่งว้าวุ่นใจ ดังนั้นผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รู้สึกว่าการตรากตรำอาบเหงื่อต่างน้ำทำงานไร่นาเป็นหน้าที่ที่ด้อยกว่า ที่คนอื่นจะดูหมิ่นดูแคลน  ข้าพระองค์ไม่อยากทำอีกต่อไปแล้ว  ข้าพระองค์รู้ว่าความคิดของข้าพระองค์ในเรื่องนี้นั้นผิด  แต่ข้าพระองค์ห้ามใจไม่ได้จริงๆ  ข้าพระองค์เป็นทุกข์อย่างยิ่ง  ขอพระองค์ทรงโปรดให้ความรู้แจ้งและทรงนำข้าพระองค์ให้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์และเชื่อฟังด้วยเถิด”

หลังจากอธิษฐาน ผมอ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “การนบนอบที่แท้จริงคืออะไรหรือ?  เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำสิ่งที่ดำเนินไปตามหนทางของเจ้า และเจ้ารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นน่าพึงพอใจและถูกต้องเหมาะสม และเจ้าได้รับอนุญาตให้โดดเด่นได้ เจ้ารู้สึกว่านี่ค่อนข้างมีสง่าราศีทีเดียว และเจ้าพูดว่า ‘ขอบคุณพระเจ้า’ และสามารถนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ได้  อย่างไรก็ตาม เมื่อใดก็ตามที่เจ้าได้รับการมอบหมายให้ไปยังสถานที่ซึ่งไม่มีความสลักสำคัญ ที่ซึ่งเจ้าไม่มีวันสามารถที่จะโดดเด่นได้ และในนั้นไม่มีใครเลยที่เคยยอมรับเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมหยุดการรู้สึกมีความสุข และพบว่าลำบากยากเย็นที่จะนบนอบ…การนบนอบในขณะที่สภาพเงื่อนไขน่าโปรดปรานนั้นมักจะง่าย  หากเจ้าสามารถนบนอบได้ในรูปการณ์แวดล้อมที่ทุกข์ยาก—บรรดารูปการณ์แวดล้อมซึ่งสิ่งทั้งหลายไม่ดำเนินไปตามหนทางของเจ้าและเจ้ากำลังรู้สึกถูกทำร้าย ที่ทำให้เจ้าอ่อนแอ ที่ทำให้เจ้าทุกข์ทนทางกาย และรับผลกระทบต่อความมีหน้ามีตา ที่ไม่สามารถสนองความไร้ค่าและความเย่อหยิ่งของเจ้าได้ และที่ทำให้เจ้าทุกข์ทนในทางจิตวิทยา—เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมมีวุฒิภาวะที่แท้จริง  นี่มิใช่เป้าหมายที่เจ้าควรกำลังไล่ตามเสาะหาหรอกหรือ?  หากพวกเจ้ามีแรงขับเคลื่อนดังกล่าว มีเป้าหมายดังกล่าวแล้ว เช่นนั้นแล้ว ก็ย่อมมีความหวัง(การสามัคคีธรรมของพระเจ้า)

ผมรู้สึกละอายใจเมื่อพิจารณาพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะเหล่านี้เปิดเผยสภาวะของผมที่ชัดเจนไม่มีผิด  ตอนที่ผมคิดว่าผมสามารถอวดโอ้ได้ระหว่างที่ทำหน้าที่งานบรรณาธิการ  ผมก็ยินดีอย่างมากที่จะยอมรับและยอมตาม และผมก็ได้ทำหน้าที่อย่างมีใจกระตือรือร้น  แต่ตอนที่ผมไปช่วยงานในทุ่งนา ซึ่งมีผลกระทบต่อความถือดีและหน้าตาของผม ผมก็ไม่สบอารมณ์และไม่เต็มใจทำ  โดยเฉพาะเมื่อผมเห็นพี่ชายคนอื่นๆ ทำงานที่คอมพิวเตอร์ของพวกเขา ผมก็รู้สึกเหมือนผมไม่ดีเท่าพวกเขา  ผมสูญเสียสมดุลในจิตใจ โดยคิดไปว่า ในเมื่อผมมีการศึกษา ผมก็ควรทำหน้าที่ที่มีศักดิ์ศรีซึ่งต้องใช้ทักษะต่างๆ สิ  ผมต่อต้านและตัดพ้อ และผมไม่อยากทำงานไร่นาอีกต่อไป  ในหน้าที่ของผม ผมไม่ได้พิจารณาว่าอะไรจะเป็นประโยชน์ต่อพระนิเวศของพระเจ้า อีกทั้งไม่คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระองค์  แต่ผมกลับคิดถึงความถือดีของผมเองในทุกย่างก้าว  ผมช่างเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นมาก  ผมไม่มองตัวเองในฐานะสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้าเลยสักนิด  ผู้เชื่อจริงแท้ที่คำนึงน้ำพระทัยของพระเจ้าจะทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างเป็นความรับผิดชอบของตัวเอง เสนอตัวเข้าร่วมเมื่อพวกเขาเป็นที่ต้องการ ต่อให้ยากเย็น เหน็ดเหนื่อย หรือเป็นผลเสียต่อความมีหน้ามีตาและผลประโยชน์ของพวกเขา  ตราบใดที่มันดีสำหรับงานของคริสตจักร พวกเขาก็ริเริ่มที่จะทำมันให้ดี  ผู้คนแบบนั้นเท่านั้นที่ครองความเป็นมนุษย์ และยืนหยัดไปกับพระนิเวศของพระเจ้า  ผมนึกถึงงานล่าสุดของผมที่เป็นการเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วง  พี่น้องชายหญิงบางคนต้องการความช่วยเหลือ และก็มีผู้คนอื่นๆ จำนวนหนึ่งที่สามารถทำได้เหมือนกัน แล้วทำไมพระเจ้าจึงทรงให้หน้าที่นี้ตกมาถึงมือผม?  ไม่ใช่ว่าผมเพิ่มคุณค่าอะไรให้กับงานนั้นสักนิด  แต่พระเจ้าทรงเปิดโปงท่าทีที่ผมมีต่อหน้าที่ด้วยการทรงให้ผมทำงานเปรอะเปื้อนและเหน็ดเหนื่อย เพื่อให้ผมระลึกได้ถึงความเสื่อมทรามและมลทินทั้งหลายของผมในขณะที่ทำหน้าที่นั้น แล้วแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของผม  แต่ผมไม่เข้าใจเจตนารมณ์อันเปี่ยมเมตตาของพระเจ้า  ผมยังจุกจิกเรื่องหน้าที่ของผมและมีการเลือกชอบและข้อเรียกร้องของตัวเองเสมอ  ผมไม่สามารถนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าได้ แต่กลับเป็นกบฏและต้านทานพระเจ้า  ผมทำร้ายพระองค์จริงๆ!  เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมจึงได้เข้าใจว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าก็คือเพื่อเปิดโปงและชำระอุปนิสัยเสื่อมทรามของผมให้สะอาดโดยผ่านทางสถานการณ์นั้น และเพื่อแก้ไขท่าทีที่ผมมีต่อหน้าที่ให้ถูกต้อง  นี่คือความรักของพระเจ้า  ไม่สำคัญเลยถ้าผมจะได้รับมอบหมายให้ทำงานเปรอะเปื้อน เหน็ดเหนื่อย หรือไม่น่าประทับใจ  ตราบใดที่มันเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักร ผมก็ควรรับทำอย่างไม่มีเงื่อนไข นบนอบ และทุ่มเททำอย่างเต็มที่  แบบนั้นเท่านั้นจึงจะเป็นบุคคลที่มีมโนธรรมและเหตุผล  พอผมเข้าใจแบบนี้ ผมก็ค่อยๆ ได้รับความรู้สึกสงบ

ผมอดไม่ได้ที่จะทบทวนตัวเองว่า ทำไมผมจึงต่อต้านและหัวเสียนักตอนที่ต้องทำหน้าที่ธรรมดาๆ?  ทำไมผมถึงไม่สามารถยอมรับและยอมตามอย่างแท้จริงได้?  ในการแสวงหาของผม ผมอ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าที่ว่า “ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามโดยผ่านทางการศึกษาและอิทธิพลของพวกรัฐบาลแห่งชาติกับของผู้มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่  คำพูดฝ่ายผีปีศาจของพวกเขาได้กลายเป็นธรรมชาติชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว  ‘ทุกคนทำเพื่อตนเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’ เป็นหนึ่งคติพจน์เยี่ยงซาตานอันเป็นที่รู้จักกันดีที่ได้ถูกปลูกฝังเข้าไปในทุกคนและที่ได้กลายเป็นชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว  ยังมีคำพูดอื่นๆ ของปรัชญาทั้งหลายสำหรับการดำรงชีวิตที่เป็นเหมือนคติพจน์นี้อยู่อีก  ซาตานใช้วัฒนธรรมตามประเพณีอันประณีตของแต่ละชนชาติในการให้การศึกษาผู้คน เป็นเหตุให้มวลมนุษย์ตกลงไปและถูกกลืนกินโดยนรกขุมลึกแห่งการทำลายล้างซึ่งไร้พรมแดน และในตอนสุดท้ายแล้ว ผู้คนก็ถูกพระเจ้าทรงทำลายเพราะพวกเขารับใช้ซาตานและต้านทานพระเจ้า…ยังคงมีพิษซาตานอีกมากมายในชีวิตของผู้คน ในการประพฤติปฏิบัติและพฤติกรรมของพวกเขา พวกเขาแทบจะไม่ครองความจริงแต่อย่างใดเลย  ตัวอย่างเช่น ปรัชญาทั้งหลายของพวกเขาสำหรับการดำรงชีวิต หนทางของพวกเขาในการทำสิ่งทั้งหลาย และคำคมสารพันล้วนเต็มไปด้วยสารพัดพิษของพญานาคใหญ่สีแดง และพวกมันทั้งหมดล้วนมาจากซาตาน  ด้วยเหตุนั้น ทุกสรรพสิ่งซึ่งไหลเวียนผ่านกระดูกและเลือดของผู้คนเป็นสรรพสิ่งของซาตาน(“วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ผมเข้าใจ ว่าการไม่เชื่อฟังและช่างเลือกเกี่ยวกับหน้าที่ของผมนั้น เป็นเพราะผมถูกปลูกฝังความเชื่อและทำให้เสื่อมทรามด้วยพิษร้ายของซาตานอย่าง “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “คนใช้แรงงานเป็นขี้ข้า คนใช้สมองดีกว่า เพราะได้เป็นนาย” และ “มีเพียงคนที่ฉลาดและโง่ที่สุดเท่านั้นที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้” และเป็นเพราะผมเฝ้าพยายามที่จะโดดเด่น เป็นคนที่ดีกว่าคนอื่น  ผมได้นึกย้อนไปถึงตอนที่ผมเป็นนักเรียน  พวกครูและพ่อแม่บอกผมเสมอว่าให้ตั้งใจเรียนมากๆ เพื่อให้ผมสามารถเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ และหนีจากชีวิตชาวไร่ชาวนาได้  นั่นเป็นทางเดียวที่จะก้าวหน้า  นั่นเป็นเหตุผลที่ผมเรียนหนักตั้งแต่ผมยังเล็ก โดยหวังว่าผมจะสามารถได้ปริญญาดีๆ และได้งานที่ได้รับความนับถือในฐานะหัวหน้างานหรือผู้จัดการ อะไรที่น่าชื่นชมซึ่งคนอื่นนิยมยกย่อง  หลังจากมาเป็นผู้เชื่อ ผมก็ยังประเมินหน้าที่ต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้าด้วยดวงตาของผู้ไม่เชื่อคนหนึ่ง  จัดระดับหน้าที่ว่าสูงหรือต่ำ ผมคิดว่าการเป็นผู้นำหรือทำบางอย่างที่ต้องใช้ทักษะนั้นน่านับถือ และพี่น้องชายหญิงคงเคารพนับถือหน้าที่แบบนั้น ในขณะที่หน้าที่ที่ใช้แรงงานหนักเบื้องหลังฉากนั้นต่ำต้อย และคงถูกดูหมิ่นดูแคลน  ผมได้เห็นว่า พิษร้ายแบบซาตานเหล่านี้ได้กลายเป็นธรรมชาติของผมเอง ครอบงำความคิดของผม ทำให้ผมไล่ตามชื่อเสียงและสถานะอย่างหัวรั้น ต้องการเป็นใครบางคนที่พิเศษเสมอ  เมื่อมีบางอย่างคุกคามเกียรติยศและสถานะของผม ผมก็มีความรู้สึกเชิงลบและต่อต้าน  ผมไม่สามารถยอมรับที่ทางของผมและทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้เลย  ผมขาดมโนธรรมและเหตุผลทั้งหมดทั้งมวล  ผมรู้ว่าถ้าผมดำรงชีวิตตามพิษร้ายแบบซาตานพวกนี้ต่อไป ไม่แสวงหาความจริง และไม่ทำหน้าที่ตามที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ ผมไม่เพียงแค่ไม่สามารถได้รับความจริงและชีวิตเท่านั้น แต่ผมทำให้พระเจ้าทรงขยะแขยงและกำจัดผมทิ้ง  หลังจากเข้าใจทั้งหมดนี้ ผมก็ตัดสินใจละทิ้งเนื้อหนังของผมและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  ผมไม่ได้ต้องการที่จะดำรงชีวิตตามพิษร้ายของซาตานให้นานไปกว่านั้น วันรุ่งขึ้นผมจึงได้ไปทำงานในทุ่งนาอีกครั้ง

หลังจากนั้น ผมก็ได้อ่านพระวจนะบางส่วนจากพระเจ้า “เราตัดสินใจเรื่องบั้นปลายของแต่ละบุคคลโดยไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอายุ ความอาวุโส ปริมาณความทุกข์ และที่น้อยที่สุดคือ ระดับความชวนสังเวชของพวกเขา แต่เป็นไปโดยสอดคล้องกับการที่ว่า พวกเขาครองความจริงหรือไม่  ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากนี้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า)  “ท้ายที่สุดแล้ว การที่ผู้คนจะสามารถบรรลุความรอดได้หรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาลุล่วงหน้าที่ใด แต่ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาได้เข้าใจและได้รับความจริงหรือไม่ และขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาสามารถนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าและเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอันจริงแท้หรือไม่  พระเจ้าทรงชอบธรรม และนี่คือหลักธรรมที่พระองค์ทรงใช้ในการประเมินวัดมวลมนุษย์ทั้งปวง  หลักธรรมนี้มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ และเจ้าต้องจดจำการนี้ไว้  จงอย่าคิดเรื่องการค้นหาเส้นทางอื่นบางเส้นทาง หรือการไล่ตามเสาะหาบางสิ่งที่ไม่เป็นจริง  มาตรฐานทั้งหลายที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากทุกคนที่บรรลุความรอดก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล มาตรฐานเหล่านั้นยังคงเป็นอย่างเดิมไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร(“ท่าทีที่มนุษย์ควรมีต่อพระเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  ผมสามารถเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าภายในพระวจนะของพระองค์  พระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดจุดจบและบั้นปลายของบุคคลหนึ่งบนพื้นฐานว่าพวกเขาทำหน้าที่อะไร พวกเขาทำงานไปมากแค่ไหน หรือพวกเขาได้ให้สิ่งต่างๆ มากแค่ไหน พระองค์ทรงดูที่ว่าพวกเขาสามารถนบนอบต่อการปกครองและการจัดการเตรียมการของพระองค์และทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้หรือไม่ และพวกเขาสามารถได้รับความจริงและเปลี่ยนอุปนิสัยแห่งชีวิตของพวกเขาในท้ายที่สุดได้หรือไม่  หากปราศจากการไล่ตามเสาะหาความจริงในความเชื่อของผม ไม่ว่าหน้าที่ของผมอาจจะดูอัศจรรย์หรือน่าประทับใจต่อผู้อื่นแค่ไหน ผมก็ไม่มีทางสามารถได้รับความจริง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเห็นชอบจากพระเจ้าและความรอดอย่างของพระองค์  ผมคิดถึงศัตรูของพระคริสต์ที่คริสตจักรของเราได้ขับไล่ออกไป  เธอได้ปฏิบัติหน้าที่สำคัญอยู่บ้างและเคยทำงานในฐานะผู้นำ และสมาชิกใหม่ของคริสตจักรบางคนก็คิดกับเธออย่างสูงส่ง  แต่เธอไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือการเปลี่ยนอุปนิสัยในหน้าที่ของเธอ เธอกลับชิงดีชิงเด่นเพื่อชื่อเสียงและสถานะ อีกทั้งเกาะติดอยู่กับเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์  เธอทำชั่วทุกรูปแบบและทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงัก  เพราะแบบนั้นเธอจึงถูกเขี่ยออกไปในที่สุด  ผมยังเห็นด้วยว่ามีพี่น้องชายหญิงบางคนกำลังทำหน้าที่ทั่วไป ซึ่งดูไม่เหมือนอะไรที่พิเศษเลย แต่พวกเขาก็แค่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเงียบๆ โดยไม่บ่นสักนิด  เมื่อพวกเขาไปเจอปัญหา พวกเขาก็จะแสวงหาความจริงและน้ำพระทัยของพระเจ้า  พวกเขามีการให้ความรู้แจ้งและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในหน้าที่ของพวกเขา และพวกเขาก็ทำงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ  พวกเขาใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนของมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ  นี่แสดงให้ผมเห็นว่า การได้รับความจริงในความเชื่อนั้นไม่เกี่ยวเลยว่าคนเราทำหน้าที่อะไร  ไม่ว่าคนเราจะทำหน้าที่อะไรก็ตาม การไล่ตามเสาะหาความจริงและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยคือกุญแจสำคัญ  นั่นเป็นเส้นทางที่ถูกต้องเส้นทางเดียวที่ควรเลือก  ตอนนี้ ไม่ว่าผู้นำจะให้ผมทำงานเจ้าหน้าที่ควบคุมเวทีหรือคนงานทำไร่นา ทั้งหมดคือการปกครองและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเข้าสู่ชีวิตของผม  ผมควรอ้าแขนรับและนบนอบต่อสิ่งนี้เสมอ  ในหน้าที่ของผม ผมควรแสวงหาความจริง ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และปฏิบัติตนตามหลักธรรมแห่งความจริง  แบบนั้นเท่านั้นจึงจะเป็นไปในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  การตระหนักในเรื่องนี้ทั้งหมดทำให้ผมรู้สึกเป็นอิสระ  ต่อมาผู้นำก็มอบหมายให้ผมทำหน้าที่ที่ธรรมดาสามัญยิ่งขึ้น ซึ่งผมก็ยอมรับอย่างสงบ  ผมถึงกับเสนอตัวช่วยพี่น้องชายหญิงทำงานบ้านในเวลาว่างของผมด้วยซ้ำ  เมื่อผมปฏิบัติแบบนั้น ผมพบว่าไม่ว่าผมจะกำลังช่วยทำความสะอาด ปลูกต้นไม้ หรือขุดลอกคูคลอง ก็มีบทเรียนให้เรียนรู้เสมอ  พระเจ้าไม่ได้ทรงมีอคติต่อผมเพราะผมทำงานใช้แรงงาน  ตราบใดที่ผมใส่ใจทำเต็มที่ แสวงหาความจริง และปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า ผมก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตในอะไรก็ได้

หลังจากได้รับประสบการณ์นี้ ผมก็เข้าใจอย่างแท้จริง ว่าไม่ว่าหน้าที่ของผมคืออะไร มันก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการให้ และมันเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อผมเพื่อการเข้าสู่ชีวิต  ผมควรยอมรับและเชื่อฟังเสมอ ทำหน้าที่และความรับผิดชอบของผมให้ลุล่วง และแสวงหาความจริงและความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยผ่านทางกระบวนการนี้  แม้ว่าผมจะแบ่งระดับหน้าที่ต่างๆ เสมอ และได้ต่อต้านเมื่อเผชิญกับหน้าที่ที่ผมไม่ชอบ จนเต็มไปด้วยความเป็นกบฏและการต่อต้านพระเจ้า แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงปฏิบัติต่อผมตามการฝ่าฝืนของผม  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์กลับทรงนำผมเป็นขั้นเป็นตอนด้วยพระวจนะของพระองค์ ทรงเปิดโอกาสให้ผมเข้าใจความจริง และรู้ถึงความรับผิดชอบและภารกิจของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  พระองค์ทรงเปลี่ยนมุมมองของผมที่ถูกชักนำมาผิดๆ เพื่อที่ผมจะสามารถเข้าหาหน้าที่ของผมได้อย่างเหมาะสม และเริ่มเชื่อฟังพระองค์  นี่คือความรักของพระเจ้า ขอขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 24. รางวัลแห่งการทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง

ถัดไป: 26. เจ้าควรมองหน้าที่ตนเช่นไร

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger