26. เจ้าควรมองหน้าที่ตนเช่นไร

โดย จงเฉิง ประเทศจีน

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ข้อพึงประสงค์พื้นฐานที่สุดของความเชื่อในพระเจ้าของมนุษย์ก็คือว่า เขามีหัวใจที่ซื่อสัตย์ และว่าเขาอุทิศตัวเขาเองอย่างสุดใจ และเชื่อฟังอย่างแท้จริง  สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับมนุษย์คือการจัดเตรียมชีวิตของเขาทั้งชีวิตเพื่อแลกกับความเชื่อที่แท้จริง ซึ่งเขาสามารถได้รับความจริงทั้งหมดทั้งมวลโดยผ่านทางการนั้น และลุล่วงหน้าที่ของเขาในฐานะสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน)  “หน้าที่ทั้งหลายคือกิจที่พระเจ้าทรงวางใจมอบหมายให้แก่ผู้คน หน้าที่ก็คือภารกิจสำหรับผู้คนที่จะทำให้ครบบริบูรณ์  อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าหน้าที่นั้นไม่ใช่ธุรกิจที่ได้รับการบริหารจัดการเป็นการส่วนตัวของเจ้าเอง อีกทั้งหน้าที่ก็ไม่ใช่ตัวถ่วงต่อการที่เจ้าจะโดดเด่นออกมาจากฝูงชน  ผู้คนบางคนใช้หน้าที่ของพวกเขาเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการของตัวพวกเขาเอง บางคนใช้เพื่อสนองความอยากได้อยากมีของพวกเขาเอง บางคนใช้เพื่อเติมความว่างที่พวกเขารู้สึกภายใน และบางคนใช้เพื่อตอบสนองวิธีการคิดของพวกเขาที่ว่าอะไรควรเกิดมันก็ต้องเกิด โดยคิดว่าตราบเท่าที่พวกเขาลุล่วงในหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาย่อมจะมีส่วนแบ่งในพระนิเวศของพระเจ้าและในบั้นปลายอันอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสำหรับมนุษย์  ท่าทีทั้งหลายดังกล่าวเกี่ยวกับหน้าที่นั้นไม่ถูกต้อง ท่าทีเช่นนั้นทำให้พระเจ้าทรงขยะแขยงและต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน(“อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะของพระเจ้าบอกพวกเราว่า หน้าที่ทั้งหลายนั้น คือพระบัญชาของพระเจ้าสำหรับมวลมนุษย์ และบอกว่า พวกเราต้องเข้าหาหน้าที่ของพวกเราด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์  จำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราต้องละวางผลประโยชน์ของตัวพวกเราเอง และทำสุดความสามารถของพวกเราเพื่อลุล่วงความรับผิดชอบทั้งหลายของพวกเรา  นี่คือท่าทีที่พวกเราควรยึดมั่นถือมั่นต่อหน้าที่ของพวกเรา  แต่ในอดีตนั้น ผมปฏิบัติต่อหน้าที่ของผมราวกับมันเป็นภาระหน้าที่ของตัวผมเองเสมอ โดยใช้ประโยชน์จากมันเพื่อให้ตัวผมโดดเด่น และเพื่อให้ได้รับความเลื่อมใสจากผู้อื่น  ผมไม่ต้องการมุ่งเน้นไปที่การนำความจริงมาสู่การปฏิบัติ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ผมกลับคิดอยู่ตลอดเวลาเกี่ยวกับจุดที่ผมยืนอยู่ว่ามีโอกาสกำไรหรือขาดทุน  นี่เป็นการขัดขวางงานของคริสตจักร  การผ่านการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้าได้ให้ความเข้าใจแก่ผมในเรื่องของธรรมชาติและผลพวงของการปฏิบัติหน้าที่ของผมในหนทางนั้น และตอนนี้ ผมก็ได้เปลี่ยนทัศนะที่ผมมีต่อหน้าที่ของผมไปแล้ว  

ใน ค.ศ. 2017 หน้าที่ของผมในคริสตจักรก็คือ แก้ไขปรับปรุงเอกสาร  ต่อมาผู้นำคริสตจักรได้จัดการเตรียมการให้น้องชายหลินมาทำงานร่วมกับผม และบอกให้ผมคอยช่วยเหลือเขาให้ดี  ผมตอบตกลงด้วยความยินดี พลางคิดว่า “ฉันเคยได้ยินมาว่าน้องชายหลินมีความสามารถจริงๆ  ถ้าเขาสามารถเข้าใจหลักปฏิบัติได้เร็ว พวกเราย่อมจะได้เห็นความสำเร็จในงานของทีมเรามากขึ้นทุกทีอย่างแน่นอน  ผู้นำย่อมจะคิดว่าฉันมีความสามารถและเห็นคุณค่าฉันจริงๆ เพราะฉะนั้นฉันต้องช่วยเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”  ผมยกหลักปฏิบัติทุกอย่างที่เกี่ยวข้องซึ่งผมได้รวบรวมไว้ให้เขาเอาไปศึกษา เพื่อที่เขาจะได้เข้าใจทุกอย่างที่จำเป็นต้องรู้โดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้  เมื่องานของเขาติดปัญหาระหว่างทาง ผมก็จะสามัคคีธรรมกับเขา และช่วยแก้ปัญหาให้เขาอย่างอดทน  หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เข้าใจหลักปฏิบัติต่างๆ ขึ้นบ้างพอควร และทำหน้าที่สำเร็จไปบ้างแล้ว  การได้เห็นเขาคืบหน้าอย่างรวดเร็วแบบนั้นทำให้ผมมีความสุขมาก  เขาเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้เร็วมากๆ ผมคิดเลยว่า เขามีศักยภาพมากจริงๆ!  ทีมของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น และภาระของผมก็ลดไปเยอะทีเดียว  ผมคิดว่าถ้ามีเวลาให้น้องชายหลินได้ฝึกมากขึ้นอีกหน่อย ผลลัพธ์ในงานของเราก็จะยิ่งดีขึ้น

วันหนึ่ง ผู้นำคริสตจักรบอกว่ามีคริสตจักรหนึ่งต้องการคนด่วนเพื่อไปดูแลรับผิดชอบงานด้านบรรณาธิการและเนื่องจากน้องชายหลินถนัดเรื่องนั้น และมีความรับผิดชอบในงานของตัวเอง เขาจึงจะถูกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ที่คริสตจักรนั้น  พอได้ยินเรื่องนี้ผมก็ตกใจ พลางคิดว่า “อะไรนะ?  คุณจะย้ายเขาไปหรือ?  คุณทำแบบนั้นไม่ได้นะ ผมทุ่มความพยายามทั้งหมดนี้ลงไปเพื่อให้เขาคุ้นเคยกับงาน และหลักปฏิบัติต่างๆ และทีมงานของพวกเราก็เพิ่งเริ่มจะเข้ารูปเข้ารอย ถ้าเขาถูกโยกย้ายไปตอนนี้ งานของพวกเราได้รับผลกระทบอย่างหนักแน่นอน  แล้วคนอื่นจะคิดกับฉันอย่างไร?  พวกเขาจะบอกว่าฉันไม่มีความสามารถน่ะสิ”  ยิ่งคิดเรื่องนั้นผมก็ยิ่งอารมณ์เสีย  ผู้นำบอกว่าหลังจากที่น้องชายหลินย้ายไปแล้ว ผมก็สามารถฝึกคนอื่นได้  ผมไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่ผมรู้สึกต่อต้านความคิดนั้น  ผมคิดว่า “คุณพูดอย่างกับนั่นเป็นเรื่องเล็กๆ  คุณคิดว่าการฝึกใครสักคนมันง่ายหรือไง?  มันใช้ทั้งเวลาและความพยายามมากนะ!  อีกอย่าง หลังจากที่น้องชายหลินถูกย้ายไป ความรับผิดชอบทั้งหมดก็จะตกมาที่ฉันอีกครั้ง  อะไรๆ มันก็วุ่นอยู่แล้ว ยิ่งคนทำงานหายไปแบบนี้ ต้องกระทบงานของพวกเราแน่”  ยิ่งผมคิดถึงมันมากเท่าไหร่ ผมยิ่งรู้สึกต่อต้านมากเท่านั้น  สองวันต่อมา ผู้นำให้ผมเขียนประเมินน้องชายหลิน  ผมคิดว่า “ฉันควรเน้นไปที่จุดอ่อนของเขาและการที่เขาแสดงความเสื่อมทรามออกมา แทนที่จะเขียนข้อดีของเขา  บางทีผู้นำอาจจะไม่ย้ายเขาไปก็ได้”  หลังจากประเมินเสร็จ ผมก็รู้สึกผิดนิดหน่อย และสงสัยว่าตัวเองไม่ซื่อสัตย์หรือเปล่า  แต่แล้วผมก็คิดได้ว่า ผมก็แค่คิดถึงงานของทีมเท่านั้นเอง  ผมจึงส่งแบบประเมินของผมให้กับผู้นำ  สองสามวันผ่านไปโดยไม่มีการตอบรับใดๆ จากผู้นำ และผมก็เริ่มรู้สึกกังวล พลางคิดว่า “หรือว่าเขาจะยังไม่เห็น และอย่างไรก็จะย้ายน้องชายหลินไปอยู่ดี?  ไม่เอาละ ฉันอยู่เฉยมากเกินไปไม่ได้ละ  ฉันต้องคิดหาหนทางรั้งเขาไว้”  ผมพยายามเลียบๆ เคียงๆ โดยถามน้องชายหลินว่า “ถ้าคุณถูกขอให้ย้ายไปทำหน้าที่บรรณาธิการที่อีกคริสตจักรหนึ่ง คุณจะว่าอย่างไร?”  เขาตอบมาโดยไร้อาการตื่นตระหนกว่า “ผมจะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของคริสตจักร  ผมเต็มใจที่จะไปครับ”  ผมเลยรีบตอบกลับไปว่า “เวลาที่รับผิดชอบงานบรรณาธิการ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจหลักปฏิบัติและมีความสามารถ  ถ้าไม่มีสิ่งนั้น ก็จะเป็นการขัดขวางความก้าวหน้าของงานแน่นอน  ผมว่าถ้าคุณทำหน้าที่อยู่ที่นี่ต่อไปคงจะดีกับคุณมากกว่านะ”  แล้วผมก็ต้องประหลาดใจที่น้องชายหลินไม่สะทกสะท้านอะไรเลย แต่กลับพูดออกมาอย่างมั่นใจมากว่า “ถ้าโอกาสมาถึง ผมก็ยินดีที่จะไปและพึ่งพาพระเจ้าครับ”  ผมผิดหวังที่ความพยายามของตัวเองไม่เป็นผล และผมก็รู้สึกหงุดหงิดกับเขามากพอดู  ครั้งหนึ่ง ผมเห็นว่าเขามีปัญหาบางอย่างในหน้าที่ และผมก็ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้โมโหและสั่งสอนเขาได้  ช่วงระหว่างเวลานั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมคิดถึงเรื่องน้องชายหลินถูกย้ายขึ้นมา ผมจะรู้สึกปั่นป่วนมากๆ  ผมไม่มีความรู้สึกสงบในการทำงานเลย  ผมไม่มีความรู้ความเข้าใจลึกซึ้งในปัญหาเรื่องงานด้วย  ผมรู้สึกงงๆ อยู่ตลอด  ผมรู้สึกทรมานมาก  ดังนั้นผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า เพื่อขอพระองค์ทรงนำให้ผมได้รู้จักตัวเอง

จากนั้น ผมก็อ่านพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าที่ว่า “ผู้คนแทบไม่ปฏิบัติความจริง กล่าวคือ บ่อยครั้งที่พวกเขาหันหลังให้กับความจริง และพวกเขาดำรงชีวิตอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน ซึ่งเห็นแก่ตัวและสามานย์  พวกเขามองหาเกียรติยศ ความมีหน้ามีตา สถานะ และผลประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง และพวกเขาก็ไม่เคยได้รับความจริง  เพราะฉะนั้นเอง ความทุกข์ของพวกเขาจึงใหญ่หลวงนัก ความกังวลของพวกเขาจึงมากมายนัก และโซ่ล่ามที่จองจำพวกเขานั้นก็เหลือคณานับ(“การเข้าสู่ชีวิตต้องเริ่มต้นด้วยประสบการณ์แห่งการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  “สิ่งใดคือมาตรฐานซึ่งใช้ตัดสินความประพฤติของบุคคลว่าดีหรือชั่ว?  มันขึ้นอยู่กับว่า ในความคิด การแสดงออก และการกระทำทั้งหลายของเจ้านั้น เจ้าครองคำพยานแห่งการนำความจริงไปปฏิบัติและการใช้ชีวิตไปตามความจริงความเป็นจริงหรือไม่  หากเจ้าไม่มีความเป็นจริงนี้หรือไม่ได้ใช้ชีวิตไปตามนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็เป็นคนทำชั่วอย่างไม่ต้องกังขาเลย  พระเจ้าทรงมองคนทำชั่วอย่างไรหรือ?  ความคิดและการปฏิบัติตนภายนอกของเจ้าไม่ได้เป็นคำพยานต่อพระเจ้า อีกทั้งสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้ซาตานอดสูหรือทำให้ซาตานปราชัย แทนที่จะเป็นเช่นนั้น สิ่งเหล่านั้นทำให้พระเจ้าทรงอดสู และพรุนไปด้วยริ้วรอยที่เป็นเหตุให้พระเจ้าทรงอดสู  เจ้าไม่ได้กำลังให้คำพยานเพื่อพระเจ้า ไม่ได้กำลังสละตัวเจ้าเองให้พระเจ้า อีกทั้งเจ้าไม่ได้กำลังลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้าที่มีต่อพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้ากลับกำลังกระทำเพื่อประโยชน์ของเจ้าเอง  สิ่งใดหรือคือความหมายโดยนัยของ ‘เพื่อประโยชน์ของเจ้าเอง’?  เพื่อซาตาน  เพราะฉะนั้น ในตอนสุดท้าย พระเจ้าจะตรัสว่า ‘เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’  ในสายพระเนตรของพระเจ้า เจ้ายังไม่ได้ทำความประพฤติดี แต่ในทางกลับกัน พฤติกรรมของเจ้าได้แปรสภาพไปเป็นชั่ว  เจ้าจะไม่ได้รับบำเหน็จและพระเจ้าจะไม่ทรงจดจำเจ้า  นี่ไม่เป็นการสูญเปล่าอย่างสิ้นเชิงหรอกหรือ?(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  เมื่อผมใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ผมก็ตระหนักได้ว่า การที่พระเจ้าตัดสินพระทัยว่า ผู้คนนั้นทำความดีหรือความชั่วนั้น ไม่ใช่จากการที่พวกเขาทุ่มเทตัวเองแบบผิวเผินหรือไม่ พวกเขาทนทุกข์แค่ไหน หรือพวกเขายอมลงทุนลำบากแค่ไหน แต่โดยหลักแล้ว ทรงดูที่เหตุจูงใจของผู้คน และดูว่าการกระทำของพวกเขานั้นเป็นไปเพื่อพระเจ้าหรือเพื่อตัวเอง และพวกเขาปฏิบัติความจริงกันหรือไม่  ผมทบทวนสภาวะของตัวเองในช่วงเวลานั้น และได้เห็น ว่า ความพยายามในการช่วยให้น้องชายหลินเข้าใจหลักปฏิบัติได้อย่างรวดเร็วของผม ไม่ใช่เพื่อการงานของคริสตจักร  ผมแค่อยากปรับปรุงประสิทธิภาพของทีมผ่านทางเขา เพื่อที่ตัวผมจะได้ดูดี  เมื่อผมเห็นว่าเขากำลังจะถูกย้าย ผมก็กลัวว่าจะกระทบงานของทีม กลัวว่าภาพพจน์และสถานะของผมจะเสียหาย ดังนั้นตอนผมเขียนประเมิน ผมจึงตั้งใจเน้นความผิดพลาดของเขา พยายามทำให้ผู้นำเข้าใจผิด  ผมถึงกับพูดสิ่งที่เป็นลบบางอย่างไป เพื่อลดความมีใจกระตือรือร้นในหน้าที่ของเขา  แล้วนั่นจะเป็นการปฏิบัติความจริงและการทำหน้าที่ของผมได้อย่างไร?  ผมทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเห็นแก่ตัว ไม่ได้พิจารณาถึงงานโดยรวมของคริสตจักร แต่คิดถึงแค่ผลลัพธ์ของงานที่ผมรับผิดชอบ และคิดว่าภาพพจน์และสถานะของผมจะเสียหายหรือไม่  ผมยังหลอกลวงและขัดขวางการงานของคริสตจักรที่ผู้นำได้จัดการเตรียมการไว้อีกด้วย  เป็นตัวผมนั่นเองที่สร้างความวุ่นวายให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ทำชั่วและต่อต้านพระเจ้า!  เมื่อผมได้เห็นว่าตัวเองอยู่ในสภาวะที่อันตรายแค่ไหน ผมจึงเอ่ยคำอธิษฐานนี้ต่อพระเจ้า “โอ้พระเจ้า ข้าพระองค์เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจยิ่งนัก  ข้าพระองค์ก่อความวุ่นวายต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง  ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะกลับใจต่อพระองค์”

ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะนี้ของพระเจ้า “จงอย่าทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองเสมอ และจงอย่าพิจารณาผลประโยชน์ทั้งหลายของตัวเจ้าเองเป็นนิตย์ จงอย่าพิจารณาสถานะ เกียรติยศ หรือความมีหน้ามีตาของตัวเจ้าเอง  จงอย่าพิจารณาถึงผลประโยชน์ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน  อันดับแรกเจ้าต้องพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และทำให้ผลประโยชน์เหล่านั้นมีความสำคัญเป็นที่หนึ่ง  เจ้าควรมีความคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและเริ่มโดยการใคร่ครวญว่าเจ้าได้มีราคีในการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงหรือไม่ ว่าเจ้าได้ทำจนถึงที่สุดของเจ้าที่จะจงรักภักดีต่อพระเจ้า ทำดีที่สุดของเจ้าที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า และให้ทั้งหมดของเจ้าไปแล้วหรือยัง  ตลอดจนว่าเจ้าได้ให้ความคิดโดยหมดทั้งหัวใจต่อหน้าที่ของเจ้าและงานในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่  เจ้าต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้  จงคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นอยู่เนืองนิจ และจะง่ายยิ่งขึ้นสำหรับเจ้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ได้ดี(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  ผมได้พบเส้นทางของการปฏิบัติอยู่ภายในพระวจนะของพระเจ้า  ผมต้องแก้ไขเหตุจูงใจในหน้าที่ของตัวเองให้ถูกต้อง ยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า ปล่อยมือจากผลประโยชน์ส่วนตัว และค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  น้องชายหลินมีความสามารถที่ดี และแสวงหาความจริงเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ ดังนั้น ถ้าเขารับผิดชอบงานในอีกคริสตจักรหนึ่งได้ มันก็จะเป็นประโยชน์ต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  เขาจะปฏิบัติได้มากขึ้นในทางนั้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นผมจึงควรสนับสนุนเขา  หลังจากนั้น ผมก็ตามหาผู้นำและเปิดใจเรื่องเหตุจูงใจที่เห็นแก่ตัวและฉลาดแกมโกงของตัวเอง และให้การประเมินน้องชายหลินแบบที่เป็นจริงและเป็นธรรม  สุดท้ายเขาก็จบลงตรงที่ถูกย้ายไปอยู่อีกคริสตจักรหนึ่งจริงๆ และในที่สุดผมก็ได้รู้สึกถึงสันติสุขภายใน

ในตอนนั้น ผมคิดว่าตัวเองเปลี่ยนไปบ้างแล้ว  ผมไม่เคยจินตนาการเลยว่าเมื่อเผชิญสถานการณ์ที่คล้ายกัน ธรรมชาติแบบซาตานของผมจะโผล่ขึ้นมาอีก

ในฤดูหนาว ค.ศ. 2018 ผมกับน้องชายเฉินทำงานร่วมกันในฐานะผู้นำทีม  พวกเราช่วยเติมเต็มจุดอ่อนของกันและกัน และด้วยการทรงนำของพระเจ้า พวกเราก็ได้เห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ในงานของเรา  ผมเพลิดเพลินในการทำงานร่วมกับน้องชายเฉินอย่างมาก  มีอยู่ครั้งหนึ่งหลังจากการชุมนุม ผู้นำพูดคุยกับผมและบอก ว่าอีกทีมต้องการความช่วยเหลือ และน้องชายเฉินอาจจะถูกย้ายไป  ผมรู้สึกว่าน้องชายเฉินมีขีดความสามารถที่ดี เขาเข้าใจความจริงได้อย่างรวดเร็ว และมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงมีประโยชน์มากในการขับเคลื่อนให้งานของพวกเราเดินไปข้างหน้า  ถ้าเขาย้ายไปและงานของพวกเราได้รับผลกระทบ ผู้นำจะคิดกับผมอย่างไร?  เขาจะคิดว่าผมไร้สมรรถภาพในงานของตัวเองหรือเปล่า?  ผมไม่อยากเห็นน้องชายเฉินย้ายไปเลย แต่เมื่อพิจารณาถึงงานของคริสตจักรแล้ว ผมก็จำเป็นต้องเห็นด้วย  แล้วผมก็ต้องประหลาดใจเมื่อผู้นำพูดต่อไปอีกว่า ยังมีอีกคริสตจักรที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน และเขาต้องการให้น้องสาวลู่ สมาชิกอีกคนในทีมไปช่วย  พอได้ยินข่าวนี้หัวใจผมก็หยุดเต้นจริงๆ  ผมคิดในใจว่า “คุณจะเอาตัวน้องสาวลู่ไปงั้นหรือ?  น้องชายเฉินกำลังจะถูกย้าย และคราวนี้น้องสาวลู่ก็จะไปด้วย  สองตัวหลักในทีมของพวกเรากำลังจะไป ดังนั้น งานของพวกเราจะต้องกระทบแน่  ไม่มีทาง!  ผมปล่อยให้คุณเอาน้องสาวลู่ไปไม่ได้”  แต่แล้วความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมา “ถ้าฉันปฏิเสธไปตรงๆ ผู้นำจะไม่บอกว่าฉันเห็นแก่ตัวหรือ?”  จากนั้น ผมก็เสนอน้องสาวอีกคนที่ไม่ได้มีขีดความสามารถดีเยี่ยมขนาดนั้นไป  หลังจากตรวจทานทุกอย่างแล้ว ผู้นำก็ยังรู้สึกว่าน้องสาวลู่เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าอยู่ดี และขอให้ผมสามัคคีธรรมกับเธอเรื่องเปลี่ยนหน้าที่ครั้งนี้  ผมบอกว่าผมจะทำให้ แต่ในใจผมค้านหัวชนฝากับความคิดนี้  หลังจากนั้นผมก็ไปโวยให้น้องชายอีกคนหนึ่งฟัง บ่นเรื่องที่ผู้นำไม่คำนึงถึงความลำบากยากเย็นของผมกับการย้ายคนสำคัญสองคนไปแบบกะทันหัน  แล้วผมจะทำหน้าที่ในฐานะผู้นำทีมได้อย่างไร?  ผมบ่นไปเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ ผมก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่พูดนั้นผิด  นี่ผมไม่ได้กำลังพยายามเอาน้องชายคนนี้เป็นพวกและกำลังกระพือความคับข้องใจของตัวเองอยู่หรอกหรือ?  นั่นคือการล่วงเกินพระเจ้า  ยิ่งคิดเรื่องนี้เท่าไหร่ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่  ผมจึงรีบมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและทบทวนตัวเอง  หลังการอธิษฐาน ผมก็ขบคิดว่า ทำไมทุกครั้งที่มีคนในความควบคุมดูแลของผมกำลังจะถูกย้ายออกไป ผมก็จะดึงดัน พยายามทำทุกอย่างเพื่อหยุดยั้ง  อะไรคือธรรมชาติจริงที่อยู่เบื้องหลังการกระทำแบบนั้นของผม?

ผมได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าที่ว่า “หน้าที่ทั้งหลายคือกิจที่พระเจ้าทรงวางใจมอบหมายให้แก่ผู้คน หน้าที่ก็คือภารกิจสำหรับผู้คนที่จะทำให้ครบบริบูรณ์  อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าหน้าที่นั้นไม่ใช่ธุรกิจที่ได้รับการบริหารจัดการเป็นการส่วนตัวของเจ้าเอง อีกทั้งหน้าที่ก็ไม่ใช่ตัวถ่วงต่อการที่เจ้าจะโดดเด่นออกมาจากฝูงชน  ผู้คนบางคนใช้หน้าที่ของพวกเขาเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการของตัวพวกเขาเอง บางคนใช้เพื่อสนองความอยากได้อยากมีของพวกเขาเอง…ท่าทีทั้งหลายดังกล่าวเกี่ยวกับหน้าที่นั้นไม่ถูกต้อง ท่าทีเช่นนั้นทำให้พระเจ้าทรงขยะแขยงและต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน(“อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  “ในบริบทของพระราชกิจในวันนี้นั้น ผู้คนยังคงทำสิ่งต่างๆ ในประเภทเดียวกับที่ถูกแสดงแทนด้วยคำว่า ‘พระวิหารยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า’  ตัวอย่างเช่น ผู้คนมองเห็นว่าการทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงคืองานของตน พวกเขามองเห็นว่าการเป็นพยานต่อพระเจ้าและการต่อสู้กับพญานาคใหญ่สีแดงคือการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อปกป้องสิทธิมนุษย์ เพื่อประชาธิปไตยและอิสรภาพ พวกเขาเปลี่ยนหน้าที่ของพวกเขาเป็นการใช้ทักษะของพวกเขาในอาชีพการงาน แต่พวกเขาปฏิบัติต่อการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วเสมือนไม่ใช่สิ่งใดนอกจากคำสอนศาสนาชิ้นหนึ่งที่ควรทำตาม เป็นต้น  โดยพื้นฐานแล้วพฤติกรรมเหล่านี้ไม่เหมือนกับคำว่า ‘พระวิหารยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า’ หรอกหรือ?  ความแตกต่างคือ เมื่อสองพันปีก่อน ผู้คนทำกิจธุระส่วนตัวของตนในพระวิหารทางกายภาพ แต่วันนี้ ผู้คนทำกิจธุระส่วนตัวของตนในพระวิหารที่ไม่อาจจับต้องได้  ผู้คนที่ให้คุณค่ากับกฎเหล่านั้นมองเห็นว่ากฎยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า ผู้คนที่รักสถานะเหล่านั้นมองเห็นว่าสถานะยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า ผู้คนที่รักอาชีพการงานของตนเหล่านั้นมองเห็นว่าอาชีพการงานยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า และอื่นๆ อีกมากมาย—การแสดงออกของพวกเขาทั้งหมดทำให้เรากล่าวว่า:  ‘ผู้คนสรรเสริญพระเจ้าว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดโดยผ่านทางคำพูดของพวกเขา แต่ในสายตาของพวกเขา ทุกสิ่งยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า’  นี่เป็นเพราะว่าทันทีที่ผู้คนพบโอกาสที่จะแสดงพรสวรรค์ของตนเอง หรือทำกิจธุระของตนเองหรือประกอบอาชีพการงานของตนเองตามเส้นทางในการติดตามพระเจ้าของตน พวกเขาเว้นระยะห่างตัวพวกเขาเองจากพระเจ้า และทุ่มเทตนเองในอาชีพการงานที่ตนรัก  ส่วนสิ่งที่พระเจ้าได้มอบความไว้วางพระทัยให้กับพวกเขาและน้ำพระทัยของพระองค์นั้น สิ่งเหล่านั้นได้ถูกละทิ้งไปนานแล้ว  สภาวะของผู้คนเหล่านี้กับบรรดาผู้ที่ทำกิจธุระของตนในพระวิหารเมื่อสองพันปีก่อนมีความแตกต่างกันอย่างไร?(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3)

เมื่อพิจารณาพระวจนะของพระเจ้า ผมก็กระจ่างในแก่นแท้ของการกระทำของตัวเองมากขึ้น  ผมต่อต้านและยืนขวางทางทุกครั้งที่ผู้นำย้ายคนในทีมของผมไป หลักๆ แล้วก็เป็นเพราะผมถือเอาหน้าที่ของตัวเองเป็นการประกอบกิจการส่วนตัว  ผมมักจะคิดว่าพี่น้องชายหญิงเหล่านั้นคือคนที่ผมฝึกมา ดังนั้นพวกเขาก็ควรทำหน้าที่ของตัวเองภายในขอบเขตของผม โดยการขับเคลื่อนงานในทีมของผมให้ไปข้างหน้า และพวกเขาไม่ควรถูกโยกย้าย  ความคิดของผมช่างไร้เหตุผล ไร้สาระเหลือเกิน  ไม่ว่าพี่น้องชายหญิงเหล่านั้นจะมีขีดความสามารถหรือมีจุดแข็งอะไร ทั้งหมดก็คือการทรงกำหนดล่วงหน้าโดยพระเจ้าเพื่อพระราชกิจของพระองค์  พวกเขาควรถูกวางตัวในที่ที่จำเป็นภายในพระนิเวศของพระเจ้า  นั่นคือสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว  แต่ผมกลับพยายามเก็บพวกเขาไว้ใต้การควบคุมของตัวเอง ปฏิบัติราวกับพวกเขาเป็นเครื่องมือเพื่อให้การปรนนิบัติผม ใช้แรงงานเพื่อผม  ผมต่อต้านใครก็ตามที่ต้องการย้ายคนออกไป และผมถึงขนาดตัดสินและพยายามแบ่งพรรคแบ่งพวกอยู่เบื้องหลัง  ผมต่างจากพวกฟาริสีที่ต่อต้านองค์พระเยซูเจ้าอย่างไรหรือ?  พวกฟาริสีมองพระวิหารเป็นเขตอิทธิพลของตัวเอง และไม่อนุญาตให้เหล่าผู้เชื่อออกจากที่นั่นเพื่อไปติดตามองค์พระเยซูเจ้า  พวกเขาพยายามสุดเหวี่ยงที่จะควบคุมเหล่าผู้เชื่อ เพื่อให้พวกเขาสามารถสงวนสถานะและรายได้ของตัวเองเอาไว้ และอ้างอย่างไร้ยางอายว่าเหล่าผู้เชื่อเป็นคนของตัวเอง  สำหรับผม ผมได้เก็บเหล่าพี่น้องชายหญิงไว้ในการควบคุมของตัวเอง ไม่ต้องการให้พระนิเวศของพระเจ้าโยกย้ายพวกเขาไปไหน  ผมไม่ได้กำลังขยายเขตอิทธิพลของตัวเองและกำลังต่อต้านพระเจ้าหรือ?  ผมกำลังใช้เส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ ต่อต้านพระเจ้า และล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์!  ความคิดนี้ทำให้ผมหวาดผวา และผมเริ่มรังเกียจความเห็นแก่ตัวและความใจร้ายของตัวเอง  ผมเร่งอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อกลับใจ  หลังจากนั้น ผมได้ไปพูดกับน้องสาวลู่เรื่องการโยกย้ายของเธอ  แล้วก็ไปคุยกับน้องชายคนที่ผมเคยหลอก สามัคคีธรรมและชำแหละธรรมชาติ รวมถึงผลพวงของสิ่งที่ผมพูดไป เพื่อที่เขาจะได้มีวิจารณญาณแยกแยะขึ้นมาบ้าง  ในที่สุดผมก็ได้รับสันติสุขขึ้นมาพอสมควร

หลังจากที่น้องสาวลู่และน้องชายเฉินถูกย้ายไป  น้องสาวลี่ก็เข้ามาในทีม  เธอมีขีดความสามารถที่ดีและเรียนรู้ได้เร็ว  งานของทีมก็ไม่ล่าช้าเลย  ผมได้รับประสบการณ์อย่างแท้จริงแล้วว่า การทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ใช่ทำเพื่อปลายทางของตัวเองนั้น เป็นหนทางที่แท้จริงที่จะได้เห็นพระพรของพระเจ้า  พระเจ้าจะทรงจัดการเตรียมการผู้คนที่ถูกต้องแล้วสำหรับงานนั้น  พระองค์จะทรงค้ำจุนพระราชกิจของพระองค์เอง  อยู่มาวันหนึ่งหลังจากนั้นได้สามเดือน ตอนที่น้องสาวหลินกลับมาจากการชุมนุม เธอได้บอกผมว่า คริสตจักรใกล้ๆ กันทำได้ดีมากเรื่องงานข่าวประเสริฐ และพวกเขาต้องการคนเพื่อให้น้ำแก่บรรดาผู้มาใหม่  ผู้นำเสนอให้น้องสาวลี่ไปรับหน้าที่ให้น้ำนั้น  ผมรู้สึกขัดเคืองขึ้นมาอีกมากพอดู แต่ผมตระหนักได้ทันทีว่าสภาวะของผมนั้นผิด  ผมนึกถึงทุกๆ ครั้งก่อนหน้านี้ ที่ผมไม่คำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าก็เพื่อชื่อเสียงและสถานะของตัวเอง  ผมรู้สึกแย่ รู้สึกผิดมากๆ แล้ว พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าก็ผุดขึ้นมาในความคิด  “หน้าที่ไม่ใช่กิจธุระส่วนตัวของเจ้าเอง และโดยการลุล่วงในหน้าที่นั้น เจ้าไม่ได้กำลังทำบางสิ่งเพื่อตัวเจ้าเองหรือบริหารจัดการธุรกิจส่วนตัวของเจ้าเอง  ในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้าทำสิ่งใด เจ้าไม่ได้กำลังทำงานอยู่ในการประกอบการของเจ้าเอง นั่นเป็นพระราชกิจของพระนิเวศของพระเจ้า นั่นเป็นพระราชกิจของพระเจ้า  เจ้าต้องจดจำความรู้นี้ไว้ในจิตใจเป็นนิตย์และพูดว่า ‘นี่ไม่ใช่เรื่องของฉันเอง ฉันกำลังทำหน้าที่ของฉันและทำให้ความรับผิดชอบของฉันได้ลุล่วง  ฉันกำลังทำพระราชกิจของพระนิเวศของพระเจ้า  นี่คือภารกิจที่พระเจ้าได้ทรงวางใจมอบหมายให้ฉันและฉันกำลังทำภารกิจนั้นเพื่อพระองค์  นี่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของฉันเอง’  หากเจ้าคิดว่านั่นเป็นกิจธุระส่วนตัวของเจ้าเอง และเจ้าทำการนั้นไปโดยสอดคล้องกับเจตนา หลักการ และสิ่งจูงใจทั้งหลายของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังจะมีเรื่องเดือดร้อน(“อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ชัดเจนมากขึ้น ว่า หน้าที่ของผมคือพระบัญชาของพระเจ้าสำหรับผม ไม่ใช่การประกอบกิจการส่วนตัวของตัวเอง  ผมไม่สามารถแค่ทำตามความพอใจเพื่อสนองผลประโยชน์ของตัวเองได้  ผมควรพิจารณาถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า แสวงหาความจริง และทำตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า  นั่นคือท่าทีและเหตุผลเดียวที่สิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างควรมีในหน้าที่ของตัวเอง  ผมเคยคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองเสมอ และทำหลายสิ่งเหลือเกินที่สร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า รวมถึงต่อต้านพระเจ้า  ผมรู้ว่าผมไม่สามารถมีชีวิตแบบนั้นได้อีกต่อไป  ผมต้องละทิ้งความความอยากได้อยากมีแบบเห็นแก่ตัวของตัวเอง และปฏิบัติความจริง  พอคิดแบบนี้ ผมก็รู้สึกโล่งอกจริงๆ  ผมพูดกับน้องสาวหลินว่า “ผู้นำได้จัดการเตรียมการเช่นนี้เพื่อประโยชน์ของงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเราควรคุยกับน้องสาวลี่ทันทีเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนี้ในหน้าที่ของเธอ  พวกเราจะทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้รับผลกระทบไม่ได้”

การเรียนรู้ที่จะปล่อยมือจากผลประโยชน์ส่วนตัวในหน้าที่ของผม โดยคิดถึงงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า รู้ที่ทางของตัวเอง อีกทั้งมีมโนธรรมและเหตุผลอยู่บ้างนั้น ล้วนมาจากการได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้า  ขอขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 25. คนเราควรเคารพหน้าที่ของตัวเองอย่างไร

ถัดไป: 27. การแก้ไขสิ่งจูงใจของฉันในหน้าที่ของฉันให้ถูกต้อง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger