26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกา

ในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว  เราทุกคนได้มีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาตั้งแต่รุ่นคุณตาของฉัน ดังนั้นเราจึงได้พบคริสตจักรจีนแห่งหนึ่งในย่านคนจีนในนิวยอร์กไม่นานหลังจากมาถึงอเมริกาเพื่อที่จะเราได้ร่วมพิธีมิสซา  เราไม่เคยขาดการเข้าร่วมพิธีเลยสักครั้ง และแม่กับพี่สาวของฉันก็ปฏิบัติดีเป็นพิเศษในเรื่องการอ่านคัมภีร์เมื่อใดก็ตามที่พวกเขามีเวลาเพื่อที่จะแสวงหาพระพรและการคุ้มครองปกป้องจากพระเจ้า  บาทหลวงจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่า “เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมานั้น พระองค์จะทรงพิพากษาผู้คนอย่างเปิดเผยและจำแนกพวกเขาออกเป็นพวกๆ  ผู้ที่กลับใจอย่างแท้จริงและสารภาพบาปและปฏิบัติตามความเชื่อของตนจะไปสวรรค์ได้  ผู้ที่ทำบาปเบาแต่ไม่ใช่บาปหนักจะต้องทนทุกข์กับความทรมานของไฟชำระ แต่พวกเขาจะยังสามารถได้รับการช่วยให้รอดและขึ้นสวรรค์ได้ ผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าหรือทำบาปที่หนักเกินไปจะต้องทนทุกข์กับการลงทัณฑ์แห่งนรก”  คำพูดเหล่านี้ฝังลึกอยู่ที่หัวใจของฉัน ราวกับว่ามันถูกประทับตราไว้ที่นั่นเลย  มันกระตุ้นให้ฉันเชื่อในพระเจ้าอย่างแรงกล้า และไม่ว่าฉันจะยุ่งขนาดไหน ฉันก็ไม่เคยขาดการไปร่วมพิธีมิสซาเลย

ภายในเวลาที่ดูเหมือนไม่ทันไรเลย ปี ค.ศ. 2014 ก็มาถึง  วันหนึ่ง อยู่ดีๆ สมาชิกโบสถ์คนหนึ่งได้บอกฉันว่า “ตอนนี้พี่สาวคุณเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์…”  และเขาก็พูดอะไรอีกหลายอย่างด้วย พูดจาให้ร้ายและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เมื่อได้ยินข่าวอันไม่คาดคิดนี้ ฉันก็กระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง และกลายมาเป็นกังวลอย่างมากว่าพี่สาวของฉันได้หลงเจิ่นไป  ข่าวเรื่องพี่สาวของฉันได้ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งโบสถ์อย่างรวดเร็ว  บาทหลวงเตือนสติให้ฉันรักษาระยะห่างจากเธอ และมีสมาชิกโบสถ์คนอื่นๆ อีกหลายคนที่กล่าวหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นการให้ร้ายและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ใส่หน้าฉันเช่นกัน  หลังจากที่คุณพ่อท่านนั้นและสมาชิกโบสถ์คนอื่นๆ ได้ “ช่วย” ฉันไปหลายครั้ง ฉันก็เริ่มเชื่อคำพูดของพวกเขาและได้กำหนดตัดสินว่าพี่สาวของฉันได้หลงเจิ่นไปแล้ว  ฉันบอกคุณพ่อท่านนั้นและสมาชิกโบสถ์ว่าฉันจะไม่ฟังพี่สาวของฉันอีกต่อไป และบอกว่าหากได้โอกาส ฉันก็จะพยายามนำเธอกลับเข้ามาในฝูงแกะเพื่อที่เธอจะสามารถกลับใจมาเชื่อองค์พระผู้เป็นพระเจ้า  ฉันโทรศัพท์ถึงพวกพี่ชายของฉันหลังจากที่ฉันกลับมาบ้าน และพวกเขาก็เข้าข้างฉัน  เราทุกคนพยายามร่วมกันโน้มน้าวพี่สาวของฉัน แต่เธอไม่ได้เพียงแค่มั่นคงในความเชื่อของเธอในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เท่านั้น แต่เธอยังเป็นพยานแก่เราว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ได้เสด็จกลับมาด้วย  เธอได้พยายามโน้มน้าวเราให้ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายเพื่อที่เราจะได้ไม่พลาดโอกาสในการได้มาซึ่งความรอดของพระเจ้า  แต่หัวใจของฉันก็เต็มไปด้วยแนวคิดที่เป็นลบ ที่คุณพ่อท่านนั้นและสมาชิกโบสถ์ได้ปลูกฝังไว้ในตัวฉันแล้ว  ไม่ว่าพี่สาวของฉันจะได้สามัคคีธรรมกับฉันอย่างไรหรือไม่ว่าเธอจะได้เป็นพยานอย่างไร ฉันก็ไม่ยอมฟังเลย

ต่อมา แม่ของฉันกับฉันได้ถกเถียงกันกับพี่สาวของฉันหลายครั้งเพราะความเชื่อของเธอในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร ฉันก็ยังคงเชื่อคุณพ่อท่านนั้นและข่าวลือที่ฉันได้อ่านทางอินเตอร์เน็ตต่อไป ไม่เคยกล้าที่จะแสวงหาหรือเจาะลึกเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เลย  การถกเถียงของเราไม่เคยได้มีการคลี่คลายใดๆ แต่ฉันได้ตระหนักว่าแม่ของฉันค่อยๆ เริ่มเห็นด้วยกับการสามัคคีธรรมและคำพยานของพี่สาวของฉัน  เธอได้สร้าง “แนวร่วม” กับพี่สาวของฉันจริงๆ และในท้ายที่สุดก็ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย  พอเห็นอย่างนี้ฉันก็เริ่มกังวล  หากอะไรๆ เป็นอย่างที่คุณพ่อท่านนั้นและสมาชิกโบสถ์อ้างจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับครอบครัวของฉันล่ะ?  ด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง ฉันไปหาซิสเตอร์เชียนเฮ่อซึ่งเข้ากันได้ดีกับทั้งพี่สาวของฉันและฉัน และทำให้เธอพยายามโน้มน้าวแม่และพี่สาวของฉัน  แต่ท่านไม่ได้เพียงแค่ไม่อาจโน้มน้าวพวกเขาเท่านั้น แต่ท่านเองยังมาเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกด้วย  นี่เป็นปริศนามากสำหรับฉัน  ซิสเตอร์ท่านนี้น่านับถือและเธอก็เป็นผู้แสวงหาที่แรงกล้าด้วย แล้วเป็นไปได้อย่างไรกันที่เธอไม่สามารถโน้มน้าวพวกเขาได้ แต่ได้มาเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสียเองอย่างแท้จริง?  พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มีอำนาจมากอย่างแท้จริงหรือ?  เป็นได้ไหมว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สามารถจัดเตรียมการบำรุงเลี้ยงให้แก่ชีวิตมนุษย์ได้อย่างแท้จริง?  อย่างไรก็ดี ทันทีที่ฉันนึกถึงคำพูดของคุณพ่อท่านนั้นและสมาชิกโบสถ์ที่โจมตีพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และสิ่งที่ฉันได้เห็นในอินเตอร์เน็ตที่ต่อต้านและกล่าวโทษคริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันก็รู้สึกถึงความกลัวในหัวใจของตัวเองอีกครั้งและไม่ได้ติดต่อพวกเขาอีกต่อไป  หลังจากนั้นฉันไม่ค่อยได้ไปพบแม่เท่าไหร่  บางทีฉันก็ไปเพื่อที่จะไปเยี่ยมเฉยๆ แล้วก็รีบกลับ และฉันปฏิเสธที่จะฟังการสามัคคีธรรมของแม่กับพี่สาวของฉัน  “สงครามเย็น” กับแม่และพี่สาวของฉันนี้ดำเนินไปเช่นนี้เป็นเวลาปีครึ่ง

วันหนึ่งในเดือนมีนาคมปี ค.ศ. 2016 ฉันได้ยินว่าสมาชิกคนสำคัญบางคนของโบสถ์ก็ได้ไปโน้มน้าวพี่สาวของฉันเช่นกัน ฉันจึงต้องการไปดูว่าเธอได้มีการเปลี่ยนแปลงในหัวใจหรือไม่  พอฉันเห็นเธอฉันก็ถามเธอว่าเธอคิดอย่างไร  เธอพูดกับฉันว่า “ฉันได้ตามทันย่างพระบาทของพระเมษโปดกและได้ประเมินยืนยันว่าหนทางของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นหนทางที่แท้จริง  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ได้เสด็จกลับมาและฉันก็จะไม่ไปจากพระองค์อย่างแน่นอน”  สายตาที่เขม้นมองมานิ่งๆ และคำตอบที่ดังก้อง หนักแน่นของพี่สาวของฉันทำให้หัวใจของฉันหวั่นไหวอยู่สักหน่อย ทั้งยังกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของฉันด้วย  ฉันคิด ในบรรดาผู้เชื่อในครอบครัวของเรา พี่สาวของฉันเป็นผู้แสวงหาที่จริงจังที่สุด และในโบสถ์ของเราซิสเตอร์เชียนเฮ่อก็เป็นคนที่เป็นผู้แสวงหาคนหนึ่งและมีวิจารณญาณด้วย  แม่ของฉันเองก็เช่นกัน ท่านมีความเชื่ออันแข็งแกร่งในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอมา  ณ ตอนนี้ พวกเขาเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กันทุกคน และความเชื่อของพวกเขาก็ได้เติบโตยิ่งขึ้นไปอีกหลังจากที่ได้ติดตามพระองค์  พวกเขาพูดด้วยความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่มากขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีใครสามารถทำให้พวกเขาสั่นคลอนหรือหาหลักฐานมาหักล้างพวกเขาได้  อำนาจที่สามารถทำให้พวกเขาคงไว้ซึ่งความเชื่อที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้เมื่อเผชิญหน้ากับการต่อต้านของผู้คนตั้งมากมายนี้คืออำนาจใดหรือ?  เป็นไปได้ไหมว่าพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายเป็นหนทางอันแท้จริง?  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นการเสด็จมาครั้งที่สองขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้จริงๆ หรือ?  เป็นเวลาเกือบสองปีแล้วตั้งแต่ที่พี่สาวของฉัน ซิสเตอร์เชียนเฮ่อ และแม่ของฉันได้ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่พอฉันเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดีสำหรับพวกเขา ฉันก็มองเห็นว่าความวิตกเกินเหตุและกลวิธีสร้างความกลัวของคุณพ่อท่านนั้นและสิ่งที่ฉันได้อ่านมาจากอินเตอร์เน็ตไม่ได้เกิดขึ้นจริงในกรณีของพวกเขา…  เมื่อตระหนักดังนี้ ใจฉันก็อ่อนลงหน่อยและฉันก็ต้องการจะเจาะลึกเกี่ยวกับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ด้วย  ฉันบอกพี่สาวของฉันว่าฉันคิดอะไร  เธอเห็นด้วยอย่างมีความสุขมากและเชิญฉันไปที่บ้านของแม่ฉันเพื่อที่ผู้เชื่อคนหนึ่งจากคริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะได้สามารถสามัคคีธรรมกับฉันและเป็นพยานให้กับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย

ฉันขับรถไปที่บ้านของแม่ตอนสุดสัปดาห์นั้น  พี่สาวของฉัน ซิสเตอร์เชียนเฮ่อ และจาง เสี่ยว ผู้เชื่อจากคริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ล้วนอยู่ที่นั่นกันหมด  ซิสเตอร์เชียนเฮ่อมีความสุขเป็นพิเศษเมื่อท่านได้ยินว่าฉันต้องการแสวงหาและเจาะลึก  เธอสามัคคีธรรมกับฉันดังนี้  “เหตุผลหลักของการเสด็จมาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายก็คือการตรัสพระวจนะและทรงพระราชกิจการพิพากษาและชำระผู้คนให้สะอาดเพื่อที่จะช่วยเราให้รอดจากพันธนาการของบาป  ณ ปัจจุบัน ผู้คนในยุคพระคุณกำลังใช้ชีวิตอยู่ในวงจรแห่งการทำบาปแล้วก็สารภาพบาป  แม้ว่าเราจะพากเพียรในการเข้าร่วมพิธีมิสซาและอ่านคัมภีร์ รวมทั้งการสารภาพบาปกับคุณพ่อ เราก็ยังคงพูดโกหกและหลอกลวงต่อไป และใช้ชีวิตในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเราอย่างความโอหัง ความโลภ และความเห็นแก่ตัว  แม้จะไม่อยากทำบาปและต่อต้านพระเจ้า แต่เราก็ทำเช่นนั้น และไม่มีใครสามารถเป็นอิสระจากพันธนาการของธรรมชาติบาปนี้ได้ อีกทั้งไม่มีใครสามารถบรรลุถึงความบริสุทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์โดยอาศัยการสารภาพบาปและการกลับใจได้  ด้วยเหตุนี้เราจึงยังคงจำเป็นต้องยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาและชำระผู้คนให้สะอาดซึ่งพระเจ้าได้ทรงมากระทำในยุคสุดท้าย  โดยการทำเช่นนี้เท่านั้นเราจึงจะสามารถเป็นอิสระจากพันธนาการของบาป ได้รับการชำระให้สะอาดและแปรสภาพ และได้บรรลุความรอดจากพระเจ้าอย่างสมบูรณ์”  เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉันก็ถามด้วยความสับสน “คุณพ่อบอกอยู่เสมอว่า ‘ถ้าคนทำบาปเบา เช่นนั้นแล้วเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาพิพากษาผู้คนอย่างเปิดเผย ทันทีที่พวกเขารับความทุกข์ในไฟชำระจนเสร็จสิ้นแล้วพวกเขาก็จะสามารถขึ้นสวรรค์ได้  คนที่ทำบาปหนักจะตรงไปสู่นรกเพื่อรับการลงโทษ’  ซิสเตอร์พูดได้อย่างไรว่าพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าจะทรงกระทำเมื่อพระองค์เสด็จกลับมาคือการชำระผู้คนให้สะอาดและช่วยผู้คนให้รอด?”  ซิสเตอร์เชียนเฮ่อกล่าวว่า “ฉันก็เคยเชื่อคำพูดของคุณพ่อเหมือนกัน  ฉันเคยมีมโนคติอันหลงผิดแบบเดียวกันกับคุณเกี่ยวกับวิธีที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จกลับมาเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา แต่พอคิดเรื่องนี้ในตอนนี้ สิ่งที่คุณพ่อพูดนั้นสอดคล้องกันกับพระคัมภีร์โดยแท้จริงหรือ?  สิ่งที่ท่านพูดมีพื้นฐานอยู่ที่พระวจนะของพระเจ้าหรือ?  องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสว่ามีไฟชำระหรือ?  พระองค์ได้ตรัสอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าผู้คนที่ทำบาปเบาสามารถขึ้นสวรรค์หลังจากรับความทุกข์ในไฟชำระเสร็จแล้ว และตรัสว่ามีแต่ผู้ที่ทำบาปหนักเท่านั้นที่ไปนรกหรือ?  ไม่ใช่แน่ๆ!  ถ้าอย่างนั้นคำพูดเหล่านั้นมาจากไหนล่ะ?  เห็นได้ชัดอยู่ว่าคำพูดเหล่านี้มาจากมโนคติอันหลงผิดและจินตนาการของผู้คน และเป็นเพียงการสันนิษฐานและการเดาของมนุษย์แต่เพียงเท่านั้น  คำกล่าวเหล่านั้นไม่ได้สอดคล้องกันกับพระวจนะของพระเจ้าแต่อย่างใด และก็ไม่ได้สอดคล้องกันกับความเป็นจริงของพระราชกิจของพระเจ้า  เราจะยึดมั่นในสิ่งนี้ไปเพื่อประโยชน์อันใดกัน?”  ตอนที่ฟังการสามัคคีธรรมของเธอนั้น ฉันพยักหน้าเงียบๆ  เธอกล่าวต่อไป “ณ ปัจจุบันเราทุกคนเต็มไปด้วยบาป และไม่มีใครบริสุทธิ์  ตามที่คุณพ่อกล่าวนั้น เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาพิพากษามนุษย์ทุกหมู่เหล่าอย่างเปิดเผย ผู้คนที่ทำบาปเบาจะไปสู่ไฟชำระและผู้คนที่ทำบาปหนักจะไปนรก  หากเป็นเช่นนั้น เราทุกคนจะไม่ถูกกล่าวโทษและทนทุกข์กับโทษทัณฑ์แห่งการไปนรกหรอกหรือ?  พระราชกิจแห่งการช่วยมนุษยชาติให้รอดของพระเจ้าจะไม่สูญเปล่าโดยสิ้นเชิงหรือ?  จะมีความหมายใดในการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ?”  สิ่งที่ซิสเตอร์สามัคคีธรรมสัมผัสหัวใจของฉัน  มันเป็นความจริง—แม้ว่าเราจะเชื่อในพระเจ้า หากว่าทุกสิ่งที่เราทำคือการทำบาปอยู่ตลอดแล้วก็มาสารภาพบาป ก็จะไม่มีใครได้รับการชำระให้สะอาด  แท้จริงแล้ว ไม่มีใครสมควรที่จะได้เห็นพระเจ้า และถ้าพระเจ้าได้เสด็จมาพิพากษา กล่าวโทษ และลงโทษผู้คนอย่างเปิดเผย เช่นนั้นแล้ว ทุกคนก็จะต้องลงนรก  ไม่มีใครสามารถบรรลุซึ่งความรอดได้…  เมื่อนั้นเองฉันจึงได้ตระหนักว่า คำที่ว่า “เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อพิพากษามนุษย์ทุกหมู่เหล่าอย่างเปิดเผย บรรดาผู้ที่ทำบาปหนักจะตรงไปสู่นรกและบรรดาผู้ที่ทำบาปเบาจะไปอยู่ในไฟชำระ และหลังจากรับความทุกข์ของพวกเขาที่นั่นเสร็จสิ้นแล้วก็จะขึ้นไปอยู่ในสวรรค์” นั้นขัดกันกับความเป็นจริงมากเพียงใด  ไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอดเลย  แล้วซิสเตอร์เชียนเฮ่อก็กล่าวว่า “ส่วนเรื่องพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายนั้น ขอให้เราทุกคนมาพิจารณากันเถิดว่ามีการบรรยายเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างไรในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า ‘พระเจ้าไม่ได้เสด็จมาเพื่อประหัตประหารหรือทำลายล้าง แต่เพื่อพิพากษา สาปแช่ง ตีสอน และช่วยให้รอด  จนกว่าแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระองค์จะมาถึงจุดปิดตัว—ก่อนที่พระองค์จะทรงเผยผลลัพธ์ของมนุษย์แต่ละประเภท—พระราชกิจของพระเจ้าบนโลกจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของความรอด โดยมีจุดประสงค์เฉพาะโดยล้วนที่จะทำให้ผู้ที่รักพระองค์มีความครบบริบูรณ์—อย่างถ้วนทั่วเช่นนั้น—และเพื่อนำพวกเขามาอยู่ในความจำนนภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ ไม่สำคัญว่าพระองค์จะทรงช่วยผู้คนให้รอดอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนั้นทรงกระทำโดยการทำให้พวกเขาสลัดหนีธรรมชาติเยี่ยงซาตานแบบเดิมของพวกเขาไปเสีย นั่นคือ พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้รอดโดยการทำให้พวกเขาแสวงหาชีวิต  หากพวกเขาไม่ทำเช่นนั้น พวกเขาจะไม่มีหนทางที่จะยอมรับความรอดของพระเจ้าได้เลย(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรพักการขอพรเกี่ยวกับสถานะเอาไว้ก่อน และทำความเข้าใจกับน้ำพระทัยของพระเจ้าในการทรงนำความรอดมาสู่มนุษย์)  ‘ในยุคสุดท้ายนั้น พระคริสต์ทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์  พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้าอย่างไร มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้าอย่างไร มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดาอย่างไร รวมไปถึงพระปรีชาญาณและพระอุปนิสัยของพระเจ้า และอื่นๆ พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่แก่นแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยเสื่อมทรามของเขา  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระวจนะซึ่งตีแผ่ให้เห็นว่ามนุษย์เหยียดหยันพระเจ้าอย่างไรนั้น ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นร่างทรงของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า  ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ได้สูญเสียไปจนหมดสิ้น  เพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจให้ยอมหมอบราบต่อพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า  สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจของมนุษย์ต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง  พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในน้ำพระทัยของพระเจ้า ในจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในบรรดาความล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเขา  มันยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงธาตุแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความน่าเกลียดของมนุษย์  ผลกระทบเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะสาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่เปิดแผ่ความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์  พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ’ (“พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง” ในพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)”  

หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า พี่สาวจางเสี่ยวก็ให้การสามัคคีธรรม โดยกล่าวว่า “พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทำให้นัยสำคัญของพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย ธรรมชาติอันแน่แท้ของการพิพากษา และบทอวสานของพระราชกิจแห่งการพิพากษาท่ามกลางมนุษย์ชัดเจนอย่างครบถ้วนบริบูรณ์  พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าไม่ใช่การฆ่าหรือลงโทษผู้คนเหมือนกับในมโนคติอันหลงผิดและจินตนาการของพวกเรา  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระราชกิจนี้ใช้ประโยชน์จากพระวจนะเพื่อตีแผ่ความคิด วาทะ และการกระทำของผู้คน เพื่อขุดรากถอนโคนธรรมชาติเยี่ยงซาตานและอุปนิสัยเสื่อมทรามอันฝังลึกของพวกเราซึ่งต้านทานพระเจ้า  พระราชกิจนี้เปิดโอกาสให้พวกเราระลึกรู้ถึงความจริงที่ว่า พวกเราได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างไร และในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้พวกเราได้รู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมและบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เมื่อพวกเราได้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ พวกเราก็เริ่มเกลียดชังตัวเอง และการนี้ก่อให้เกิดการกลับใจใหม่อย่างแท้จริงและเกิดหัวใจซึ่งเคารพพระเจ้าโดยแท้จริง  โดยผ่านทางการพิพากษาแห่งพระวจนะของพระเจ้า พวกเราสามารถเข้าใจและเข้าถึงความจริงได้ดีขึ้น และดำรงชีวิตตามธรรมชาติโดยพึ่งพาความจริงโดยธรรมชาติ  ด้วยหนทางนี้ สิ่งเยี่ยงซาตานอันใดก็ตามซึ่งพวกเรายึดถืออยู่ภายในก็จะค่อยๆ ถูกเหวี่ยงทิ้งไป และพวกเราก็จะสามารถปรองดองกับพระเจ้าได้  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป พวกเราย่อมจะไม่กบฏต่อพระเจ้าหรือต้านทานพระองค์อีกต่อไป แต่จะสามารถเชื่อฟังพระองค์ได้อย่างแท้จริง—เฉพาะการนี้เท่านั้นที่เป็นการบรรลุซึ่งความรอด  หลังจากถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม พวกเราก็ไม่มีสภาพเสมือนมนุษย์อีกต่อไปและพวกเราสูญเสียมโนธรรมและเหตุผลที่บุคคลซึ่งถูกต้องเหมาะสมคนหนึ่งควรที่จะมี  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเรากลับเต็มไปด้วยความโอหัง เชื่อมั่นในตัวเอง เห็นแก่ตัว และแง่มุมอื่นของอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  นอกจากนั้นท่าทีและมโนคติอันหลงผิดของพวกเราเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายก็เข้ากันไม่ได้กับพระเจ้าอีกต่อไป  ตัวอย่างเช่น เมื่อเผชิญหน้าอยู่กับพระราชกิจการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย พวกเราทุกคนต่างก็มีสิ่งที่ตัวเองยอมรับซึ่งแตกต่างกันไปและพวกเราทุกคนล้วนเกาะติดอยู่กับมโนคติอันหลงผิดของพวกเราเอง โดยไม่คำนึงว่าจะมีพื้นฐานอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่  พวกเราไม่ได้แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่เชื่ออย่างมืดบอดว่าวิธีคิดของพวกเราเองถูกต้อง  เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าไม่ได้ประจวบพ้องกับมโนคติอันหลงผิดและจินตนาการของพวกเรา พวกเราก็ทำการตัดสินของพวกเรากันไปเองเกี่ยวกับพระเจ้า และพวกเราก็ปฏิเสธ โจมตี และกล่าวโทษพระองค์  นี่คือผลลัพธ์ของอุปนิสัยโอหังของพวกเรา  ด้วยธรรมชาติเยี่ยงซาตานเช่นนั้น พวกเราทุกคนก็มีความโน้มเอียงมากเกินไปที่จะต้านทานพระเจ้า ดังนั้นพวกเราจึงมีความต้องการที่จำเป็นอันเร่งด่วนที่จะให้พระเจ้าเสด็จมาดำเนินช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจแห่งการพิพากษาให้เสร็จสิ้น และให้พระองค์ทรงชำระให้สะอาดและแปรสภาพอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเรา  หากปราศจากการนั้น ก็จะไม่มีใครสามารถหลุดพ้นจากความเสื่อมทรามและบรรลุความรอดได้”

หลังจากการฟังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และการสามัคคีธรรมของ พี่น้องหญิงท่านนี้แล้ว หัวใจของข้าพเจ้าก็ได้กลายเป็นชัดเจนและเปิดกว้าง และข้าพเจ้า รู้สึกว่านี่เป็นการสื่อสารที่ดีมาก  แม้ว่าได้มีบางอย่างที่ข้าพเจ้าไม่ได้เข้าใจเสียทีเดียว แต่นั่นก็ยังให้ข้าพเจ้าได้มีสำนึกรับรู้ถึงพระปรีชาญาณที่อยู่ในพระราชกิจของพระเจ้า ตลอดจนได้มีสำนึกรับรู้ว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์มากเพียงไหน  ในอดีต เมื่อพิจารณาถึงการที่พระเจ้าเสด็จมาพิพากษามวลมนุษย์ ข้าพเจ้าคิดว่าผู้คนจะลงนรกหรือไม่ก็ทนทุกข์กับความทรมานของไฟชำระ  ในข้อเท็จจริงแล้ว พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเราจินตนาการเลย แต่กลับเป็นการที่พระเจ้าเสด็จมาในเนื้อหนังเพื่อทรงแสดงความจริงและดำเนินพระราชกิจแห่งการพิพากษาจนเสร็จสิ้นในลักษณะที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงต่างหาก  นี่คือวิธีที่พระองค์ทรงชำระผู้คนให้สะอาดและทรงช่วยผู้คนให้รอด  พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้านั้นเปี่ยมไปด้วยความหมาย  เป็นสิ่งที่พวกเราซึ่งเป็นมนุษย์ผู้เสื่อมทรามจำเป็นต้องได้รับอย่างแน่แท้!

ขณะที่ข้าพเจ้าได้กำลังฟังทั้งหมดนี้อย่างตั้งอกตั้งใจ จู่ๆ สามีของข้าพเจ้าก็โทรศัพท์มาบอกว่าเขาต้องการจะใช้รถ  เมื่อเห็นว่าคราวนี้ข้าพเจ้าสามารถได้ยินทั้งหมดนีแล้ว ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจะผละมานั้นเอง แม่ก็ให้หนังสือเล่มหนึ่งแก่ข้าพเจ้า ซึ่งมีชื่อว่า หนังสือม้วนนั้นได้เปิดออกแล้วโดยพระเมษโปดก และพูดว่าคำพูดทั้งหลายที่อยู่ในนั้นเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าพระองค์เอง  และท่านยังชี้แนะแนวอย่างหนักแน่นให้ข้าพเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกด้วย  หลังจากกลับมาบ้านแล้ว ข้าพเจ้า ก็จะอ่านหนังสือเล่มนั้นเมื่อใดก็ตามที่มีเวลา  ข้าพเจ้าได้เข้าใจความจริงหลายประการและได้รับความรู้มากมายทีเดียวโดยผ่านทางการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  ในขณะเดียวกัน ข้าพเจ้าก็ยังได้รับประสบการณ์อย่างแท้จริงเกี่ยวกับการทรงพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าในเรื่องความลึกซึ้งแห่งดวงจิตมนุษย์อีกด้วย  ทุกพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสียดแทงข้าพเจ้าตรงทะลุมาที่หัวใจ  เปิดเผยธรรมชาติอันเสื่อมทรามภายในของข้าพเจ้า  บางคราวที่ข้าพเจ้าเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยความเสื่อมทรามของพวกเราอย่างไร ข้าพเจ้าก็รู้สึกได้ว่าพระองค์ทรงเกลียดมันมากเป็นพิเศษเพียงไร  ดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงกำลังทรงแสดงพระโมหะของพระองค์ที่มีต่อเรา และหัวใจที่ด้านชาและไม่รู้สึกรู้สาของข้าพเจ้าก็รู้สึกเร้าใจโดยทันใด  ข้าพเจ้าได้เกิดความเกรงขามพระเจ้าขึ้นมาในหัวใจของข้าพเจ้า  และข้าพเจ้าก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ตัวเองเคยเป็นอีกต่อไป สมัยที่ข้าพเจ้าได้ทำบาปโดยปราศจากความยำเกรง  โดยผ่านทางประสบการณ์มากมายและการให้ความรู้แจ้งและการทรงนำของพระวจนะของพระเจ้า ข้าพเจ้าได้เห็นว่าพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สามารถช่วยผู้คนให้รอดจากบาปและเปิดโอกาสให้พวกเขาได้หนีรอดจากบาปโดยแท้จริง  พระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้านั้นช่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงเหลือเกิน!  ข้าพเจ้ารู้สึกสำนึกผิดอย่างมากเมื่อนึกย้อนไปว่าตนเองได้ต้านทานพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าอย่างไรในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมา  ข้าพเจ้าเกลียดชังตัวเองที่โง่เขลาและไม่รู้เท่าทัน ไม่ได้พยายามที่จะเข้าใจหรือเจาะลึกเกี่ยวกับเรื่องที่ยิ่งใหญ่อย่างการเสด็จมาครั้งที่สองขององค์พระผู้เป็นเจ้า  แต่ไม่หรอก ข้าพเจ้า ได้รับฟังข่าวลือเหล่านั้นอย่างมืดบอด ข้าพเจ้าปิดกั้นพระเจ้าออกไป ข้าพเจ้ากล่าวโทษพระเจ้า และข้าพเจ้าต่อต้านพระเจ้า  ข้าพเจ้าเกือบจะพลาดความรอดขององค์พระผู้เป็นเจ้าในยุคสุดท้าย  ข้าพเจ้าตาบอดสนิทจริงๆ!  ข้าพเจ้าได้เห็นอย่างชัดเจนว่าการใส่ร้ายป้ายสี การพิพากษา และหมิ่นประมาทพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และการทำให้คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสื่อมเสียชื่อเสียงนั้นล้วนเป็นแต่เพียงการโป้ปดมดเท็จจากซาตานทั้งสิ้น  สิ่งเหล่านั้นเป็นเพทุบายที่ซาตานใช้เพื่อที่จะทำให้ผู้คนสับสนและติดกับ รวมทั้งขัดขวางไม่ให้พวกเขายอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายโดยเฉพาะ  ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อการโป้ปดมดเท็จเท็จของซาตานอีกต่อไป  ไม่ว่าข้าพเจ้าจะเผชิญกับสิ่งใดหรือได้ยินสิ่งใดในอนาคตก็ตาม ข้าพเจ้าก็จะตัดสินความผิดถูกตามพระวจนะของพระเจ้าและความเป็นจริงเสมอ  ข้าพเจ้าจะไม่ฟังคำโกหกและการเล่ห์ลวงของซาตานอีกต่อไป—เฉพาะการทำเช่นนั้นเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถเป็นไปโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าได้  ด้วยสิ่งนี้ในจิตใจ ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างจริงใจสำหรับความปรานีและความรอดที่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมให้แก่ข้าพเจ้า  พระเจ้ามิได้ทรงล้มเลิกการช่วยข้าพเจ้า ให้รอดเพราะการกบฏและการต้านทานของข้าพเจ้า  แต่ได้ทรงจัดการเตรียมการให้ผู้คนมาเผยแผ่ข่าวประเสิรฐกับข้าพเจ้าต่อไปและนำพาข้าพเจ้ากลับเข้ามาสู่พระนิเวศของพระเจ้า  ความรักของพระเจ้าช่างยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้!  ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้ยินคำร้องของมิวสิกวิดีโอเพลง เพลงแห่งความผูกพันที่หัวใจสัมผัสได้ ที่ว่า “นี่คือพระองค์นั้น  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าในเนื้อหนัง  สิ่งที่พระองค์ตรัส สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น  พระปัญญาของพระองค์ ความชอบธรรมของพระองค์ ข้าฯ รักโดยทั้งสิ้น  ข้าฯ ได้พบพระองค์ เชื่อฟังพระองค์  พระพรที่ข้าฯ ได้รับนั้นช่างประเสริฐ” หัวใจของฉันก็ได้รับการสัมผัสและการดลใจเป็นพิเศษ  ฉันรู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีที่ได้ต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและประสบกับพระวจนะของพระเจ้าโดยตรง  นี่ช่างเป็นพระพรที่ยิ่งใหญ่นัก!

ต่อมาฉันก็เริ่มมีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักรของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  พี่น้องชายหญิงขับร้องเพลงสรรเสริญ เต้นรำ และสรรเสริญพระเจ้าร่วมกัน  พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า และหากมีความเสื่อมทรามใดๆ ที่จะเปิดเผย พวกเขาก็เปิดใจของพวกเขาและสามัคคีธรรมในเรื่องนั้น  ทุกคนคุยกันเกี่ยวกับความรู้และประสบการณ์ของตนเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และแสวงหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติและมีส่วนร่วม  ชีวิตในคริสตจักรแบบนี้มีเสรีภาพเป็นพิเศษและฉันก็ได้รับการหล่อเลี้ยงจากคริสตจักรอย่างดีมาก  ฉันได้ตระหนักโดยแท้จริงว่ามีแต่คริสตจักรที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจอยู่ภายในเท่านั้นที่สามารถเป็นพระนิเวศของพระเจ้าได้  นี่เป็นที่ที่เหมาะกับฉัน  ตอนนี้ฉันมั่นใจโดยสมบูรณ์แล้วว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นการเสด็จมาครั้งที่สองขององค์พระผู้เป็นเจ้า และฉันก็ตัดสินใจแล้วว่าจะติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไปจวบจนวาระสุดท้าย!

ก่อนหน้า: 25. ฉันสามารถแยกแยะระหว่างพระคริสต์ที่แท้จริงกับพระคริสต์เทียมเท็จได้

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger