25. ฉันสามารถแยกแยะระหว่างพระคริสต์ที่แท้จริงกับพระคริสต์เทียมเท็จได้

โดย Xiangwang, มาเลเซีย

พระเจ้าซึ่งทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ได้รับการเรียกขานพระนามว่าพระคริสต์ และดังนั้นแล้วพระคริสต์ที่ทรงสามารถประทานความจริงแก่ผู้คนได้จึงมีพระนามเรียกขานว่าพระเจ้า ไม่มีอะไรที่เกินเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพระองค์ทรงครองเนื้อแท้ของพระเจ้า พระองค์ทรงครองเนื้อแท้ของพระเจ้า และทรงครองพระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระปรีชาญาณในพระราชกิจของพระองค์ ที่ไม่สามารถบรรลุได้โดยมนุษย์ บรรดาพวกที่เรียกตัวเองว่าพระคริสต์ ทว่ากลับไม่สามารถทำงานของพระเจ้าได้นั้น ทว่ากลับไม่สามารถทำงานของพระเจ้าได้นั้นเป็นพวกฉ้อฉล พระคริสต์ไม่ได้ทรงเป็นแค่การสำแดงของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกเท่านั้น แต่ยังทรงเป็นเนื้อหนังพิเศษเฉพาะที่ทรงได้รับการดูแลรับผิดชอบโดยพระเจ้าในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินการและทำให้พระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์เสร็จสิ้น เนื้อหนังนี้ไม่สามารถแทนที่ได้โดยมนุษย์คนใด แต่เป็นเนื้อหนังที่สามารถแบกรับพระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกได้อย่างเพียงพอ และสามารถแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเป็นตัวแทนพระเจ้าได้เป็นอย่างดี และสามารถจัดเตรียมชีวิตให้แก่มนุษย์ได้ สามารถจัดเตรียมชีวิตให้แก่มนุษย์ได้(ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยว่าการจุติเป็นมนุษย์คืออะไร และจะแยกแยะพระคริสต์ที่แท้จริง จากพระคริสต์เทียมเท็จได้ยังไง ฉันไม่ได้เข้าใจความจริงตอนที่ฉันกำลังติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า และไม่รู้ว่าจะจำพระคริสต์เทียมเท็จได้ยังไง ฉันแค่ฟังศิษยาภิบาลและพวกผู้อาวุโส ฉันกลัวว่าฉันจะถูกทำให้หลงผิด ดังนั้นการเฝ้าระวังพระคริสต์เทียมเท็จจึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของฉันในความเชื่อ ผลก็คือ เพราะมัวแต่ระวัง ฉันจึงไม่กล้าแสวงหาการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ฉันเกือบพลาดความรอดแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่าฉันรอดมาได้อย่างหวุดหวิด

ฉันไปคริสตจักรและอ่านพระคัมภีร์กับแม่ของฉันตั้งแต่ฉันยังเล็ก และเข้าร่วมกับกลุ่มเยาวชนเมื่อฉันโตขึ้นมาอีกหน่อย ศิษยาภิบาลของเราจบปริญญาเอกด้านเทววิทยา และพูดเสมอว่าการเป็นศิษยาภิบาลเป็นงานหนัก ว่าเราต้องได้รับการดลใจโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อเดินหน้าต่อไป เรายกย่องเขาจริงๆ เราคิดว่าเขาได้รับการดลใจโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์และคิดว่าเขาทำให้องค์พระผู้เป็นเจ้าปีติยินดี มีข้อพระคัมภีร์ที่เขายกมาพูดบ่อยๆ: “ในเวลานั้นถ้าใครจะบอกท่านทั้งหลายว่า ‘นี่แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่’ หรือ ‘อยู่ที่โน่น’ อย่าเชื่อเลย เพราะว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนปรากฏขึ้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อล่อลวงแม้พวกที่พระเจ้าทรงเลือกถ้าเป็นได้(มัทธิว 24:23-24) เขาบอกเราเสมอว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จหลอกลวงผู้คนในยุคสุดท้าย ดังนั้นเราจึงต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะสำหรับพวกเราที่ความรู้ทางพระคัมภีร์ยังไม่แน่น ด้วยวุฒิภาวะที่ยังด้อยนัก เขาบอกเราว่าอย่าไปฟัง อ่าน หรือตรวจสอบอะไรจากนิกายอื่นๆ เพื่อไม่ให้เราหลงผิด หมอสอนศาสนายังชอบพูดถึงฟ้าแลบจากทิศตะวันออกในแง่ลบ และบอกเราให้รักษาระยะห่างไว้อีกด้วย เขาพูดว่าเราแค่ต้องอ่านพระคัมภีร์ สารภาพและกลับใจต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกวัน และตื่นตัวอยู่เสมอเพื่อให้ถูกรับเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา ในตอนนั้นฉันเชื่อเรื่องนี้อย่างเต็มที่ และไม่กล้าไปคริสตจักรอื่นๆ ฉันทำตามที่ศิษยาภิบาลพูดทุกอย่าง ฉันคิดว่าการทำแบบนั้น คือฉันกำลังรอการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างปลอดภัย

วันหนึ่งพี่น้องหู่จากคริสตจักรพบฉันที่โรงเรียน และพูดว่าดูเหมือนแม่กับน้องสาวของฉันจะเข้าร่วมกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกแล้ว ฉันตกตะลึงที่ได้ยินเรื่องนี้ ฉันคิดว่า “ศิษยาภิบาลบอกเราเสมอให้อยู่ให้ห่างจากฟ้าแลบจากทิศตะวันออกไม่ใช่เหรอ แม่ไปเข้าร่วมกับพวกเขาได้ยังไง” แล้วพี่น้องหู่ ก็บอกข่าวลือแย่ๆ เกี่ยวกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกให้ฉันฟัง ฉันยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ ฉันรู้สึกตื่นตระหนก พี่น้องหู่ขอให้ฉัน กลับบ้านและบันทึกเสียงตอนฉันถามแม่ว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แล้วส่งคลิปเสียงนั้นไปให้เขา ฉันตอบตกลง ด้วยกลัวว่าแม่อาจจะหลงผิด

แน่นอนทีเดียว เมื่อฉันกลับถึงบ้าน แม่ก็บอกฉันว่าองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาแล้วในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ บอกว่าพระองค์กำลังทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า เพื่อชำระผู้คนให้สะอาดและเปลี่ยนแปลงพวกเขา และช่วยเราให้รอดจากบาปโดยสมบูรณ์ แม่ต้องการให้ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทันที และตรวจสอบพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ พอได้ยินแม่พูดแบบนี้ ทำให้ฉันคิดถึงเรื่องแย่ๆ ที่ศิษยาภิบาลได้พูดเกี่ยวกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ฉันต่อต้านอย่างมาก แต่ในเมื่อฉันอัดเสียงแม่อยู่ ฉันจึงข่มใจตัวเองและรับฟัง

วันรุ่งขึ้นแม่เร่งเร้าให้ฉันตรวจสอบพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกครั้ง ในตอนนั้น ในหัวของฉันเต็มไปด้วยเรื่องแย่ๆ ที่ศิษยาภิบาลพูดไว้เกี่ยวกับมัน ฉันไม่ได้รับฟังเลยจริงๆ ฉันแนะนำแม่ว่า “ศิษยาภิบาลกับบรรดาผู้อาวุโสพูดเสมอว่าไม่ให้ฟังฟ้าแลบจากทิศตะวันออก อยู่ให้ห่างจากพวกเขาเถอะค่ะ!” แม่ตอบอย่างใจเย็น “พวกเขาจะขัดขวางไม่ให้เราตรวจสอบพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าทำไมกันล่ะ นั่นสอดคล้องกับคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือเปล่า องค์พระเยซูเจ้าทรงบอกเราว่า ‘คนที่ยากจนด้านจิตวิญญาณก็เป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาทั้งหลาย’ (มัทธิว 5:3) ‘เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด”‘ (มัทธิว 25:6) พระเจ้าทรงต้องการให้เราแสวงหาอย่างถ่อมใจ ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกให้คำพยานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว ดังนั้นเราควรตรวจสอบดู แต่ศิษยาภิบาลต้องการหยุดเราไม่ให้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า นั่นขัดแย้งกับคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่เหรอ เราควรฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ฟังศิษยาภิบาลอย่างมืดบอด ในยุคขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้เชื่อศาสนายิวไม่ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ แต่กลับเห็นด้วยกับคำโกหกของพวกมหาปุโรหิต ธรรมาจารย์ และฟาริสี กล่าวโทษและต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกันตรึงกางเขนองค์พระเยซูเจ้า และถูกพระเจ้าลงโทษ เราต้องเรียนรู้จากบทเรียนของพวกเขา!  มีคำเผยพระวจนะหนึ่งในวิวรณ์ว่า ‘ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย’ (วิวรณ์ บทที่ 2, 3) มันแปลว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะตรัสเพิ่มเมื่อพระองค์ทรงกลับมา หากเราต้องการต้อนรับพระองค์ เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะจำพระสุรเสียงของพระเจ้าให้ได้ ลูกดูเองเถอะว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าหรือเปล่า แล้วลูกจะรู้ว่าพระองค์ใช่องค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาไหม” แม่พูดพลางหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในยุคสุดท้าย ฉันกลับเข้าห้องตัวเองด้วยความหัวเสียเพราะเรื่องนี้

ฉันสงบใจแล้วคิดย้อนไปถึงสิ่งที่แม่พูด การเรียนรู้ที่จะจำพระสุรเสียงของพระเจ้าได้และแสวงหาอย่างถ่อมใจที่จะต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า สอดคล้องกับคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้าค่ะ เนื่องด้วยฟ้าแลบจากทิศตะวันออกกำลังให้คำพยานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกลับมาแล้วและได้ทรงแสดงความจริง การหลับหูหลับตาฟังศิษยาภิบาลโดยไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จึงรู้สึกว่าขาดวุฒิภาวะไปหน่อยค่ะ ฉันคิดได้ว่าหากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาแล้วฉันไม่ยอมรับพระองค์ ฉันจะไม่พลาดโอกาสต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าหรอกเหรอ แต่แล้วฉันก็จำได้ว่าศิษยาภิบาลบอกเราซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าพระคริสต์เทียมเท็จจะปรากฏขึ้นในยุคสุดท้าย ความเชื่อของฉันจะไม่สูญเปล่าเหรอหากฉันหลงผิดไป ความคิดฉันสับสนไปหมด และฉันไม่รู้ว่าจะฟังใครดี ดังนั้นฉันจึงมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำฉัน

ต่อมา แม่ของฉันก็แนะนำฉันอีกครั้งให้ฟังการสามัคคีธรรมจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ตอบตกลงค่ะ ตอนแรกฉันไม่ได้ตั้งใจฟังเลย แต่พอพวกเขาพูดถึงความจริงเกี่ยวกับ ความลึกลับของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าเพื่อความรอดและพระราชกิจสามระยะของพระองค์ มันก็ดึงดูดใจฉันโดยทันที ทั้งหมดดูใหม่มาก ฉันเคยเข้าร่วมกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์มากมาย แต่ฉันไม่เคยได้ยินอะไรแบบนั้นเลยค่ะ หลังจากการชุมนุมครั้งฉันก็เปลี่ยนใจ ฉันตัดสินใจตรวจสอบพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า และลบคลิปเสียงแม่ฉันทิ้ง

ในการชุมนุมครั้งที่สอง พี่น้องจางพูดถึงเรื่องหญิงพรหมจารีมีปัญญาและโง่ เขาพูดว่า “หญิงพรหมจารีมีปัญญานั้นฉลาด เพราะพวกเขาโหยหาการทรงปรากฏของพระเจ้า และสามารถฟังพระสุรเสียงของพระองค์ เมื่อพวกเขาได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาแล้ว พวกเขาก็แสวงหาและสอบสวนอย่างแข็งขัน พวกเขาไม่ถูกคนอื่นบีบบังคับ และไม่ยึดติดกับมโนคติที่หลงผิดของตัวเอง เมื่อพวกเขายืนยันว่านั่นคือพระสุรเสียงของพระเจ้า พวกเขาก็ต้อนรับและติดตามพระองค์โดยไม่หันหลังกลับ คนแบบนั้นจะไม่ถูกพระคริสต์เทียมเท็จทำให้หลงผิด หญิงพรหมจารีโง่ขาดปัญญาแยกแยะและไม่รักความจริง พวกเขาไม่พยายามฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อต้อนรับพระองค์ แต่ชื่นชมสถานะและอำนาจ ฟังพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสเหมือนคนอื่นๆ ไม่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเคาะยังไง พวกเขาก็ปิดหูและปิดประตูของตัวเอง พวกเขาเบาปัญญา บางคนจำพระสุรเสียงของพระเจ้าได้จริง แต่ไม่กล้าติดตามพระองค์ กลัวว่าผู้คนจะไม่ยอมรับพวกเขาและคริสตจักรของพวกเขาจะไล่พวกเขาออกมา พวกเขาไม่แสวงหาความจริงสักนิด แล้วพวกเขาจะสามารถต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ยังไง”

การได้ยินแบบนี้ปลุกฉันให้ตื่นค่ะ ฉันเห็นว่า ฉันได้แต่รับฟังศิษยาภิบาลกับพวกผู้อาวุโสมาเป็นเวลานาน ไม่กล้าแสวงหาพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ หากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาจริงๆ และฉันไม่ยอมรับพระองค์ ฉันจะไม่ถูกตีแผ่ในฐานะหญิงพรหมจารีโง่เหรอคะ องค์พระเยซูเจ้าทรงบอกเราว่า “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน(มัทธิว 7:7) ฉันหวังที่จะต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า นี่ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเป็นพยานว่าพระองค์ทรงกลับมาแล้ว ฉันควรเป็นหญิงพรหมจารีมีปัญญาที่แสวงหาและตรวจสอบ นั่นคือน้ำพระทัยของพระเจ้า!  ดังนั้นฉันจึงแบ่งปันความสับสนของฉันให้พวกเขาฟัง “องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘ในเวลานั้นถ้าใครจะบอกท่านทั้งหลายว่า “นี่แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่” หรือ “อยู่ที่โน่น” อย่าเชื่อเลย เพราะว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนปรากฏขึ้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อล่อลวงแม้พวกที่พระเจ้าทรงเลือกถ้าเป็นได้’ (มัทธิว 24:23-24) พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสใช้ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ เพื่อเตือนเราให้ระวังพระคริสต์เทียมเท็จในยุคสุดท้าย พูดว่าข่าวใดๆ เกี่ยวกับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นความเท็จ เราไม่กล้าสอบสวนการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า กลัวว่าจะถูกทำให้หลงผิด แต่ดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่การปฏิบัติที่ถูกต้องค่ะ แล้วเราควรเข้าใจสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสยังไง เราจะสามารถหลีกเลี่ยงการถูกพระคริสต์เทียมเท็จทำให้หลงผิดและต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ยังไง”

พี่น้องจางสามัคคีธรรมว่าอย่างนี้ค่ะ “ผู้คนที่ได้อ่านพระคัมภีร์รู้ ว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จที่หลอกลวงผู้คนเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา โดยเฉพาะเนื่องจากหมอสอนศาสนา ใช้พระคัมภีร์นี้เพื่อให้พวกเขาเฝ้าระวังพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จอยู่เสมอ คนส่วนใหญ่เห็นเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากในความเชื่อของพวกเขา พวกเขาคิดว่าข่าวทั้งหมดเรื่องการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นความเท็จ แต่นั่นสอดคล้องกับความหมายที่แท้จริงของพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าไหม องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘ในเวลานั้นถ้าใครจะบอกท่านทั้งหลายว่านี่แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่” หรือ “อยู่ที่โน่น” อย่าเชื่อเลย เพราะว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนปรากฏขึ้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อล่อลวงแม้พวกที่พระเจ้าทรงเลือกถ้าเป็นได้’ (มัทธิว 24:23-24) นี่แสดงให้เราเห็น ว่าองค์พระเยซูเจ้าแค่ทรงบอกเราว่าพระคริสต์กับฃผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จจะปรากฏในยุคสุดท้าย ว่าพวกเขาจะแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่เพื่อหลอกลวงผู้คน ดังนั้นเราจึงควรแยกแยะ พระองค์ไม่เคยตรัสว่าข่าวเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมาจะเป็นเท็จทั้งหมด เราลืมไม่ได้ว่าองค์พระเยซูเจ้าตรัสด้วยว่าพระองค์จะเสด็จมาอีกครั้ง ดังนั้นด้วยการพูดว่าข่าวใดก็ตามเกี่ยวกับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเท็จ หมอสอนศาสนาไม่ได้กำลังปฏิเสธการทรงกลับมาของพระองค์ ปฏิเสธพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าและกล่าวโทษการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าอย่างโจ่งแจ้งเหรอ พวกเขาไม่ได้กำลังนำผู้คนไปในทางที่ผิดและขัดแย้งกับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างเปิดเผยเหรอ หากเราเข้าใจข้อพระคัมภีร์เหล่านี้นอกบริบทและเข้าใจความหมายขององค์พระผู้เป็นเจ้าผิด จำกัดข่าวแบบนี้ว่าเป็นเท็จ นั่นไม่เป็นการกล่าวโทษการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าเหรอ แล้วเราจะสามารถต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ยังไง”

การได้ยินการสามัคคีธรรมของเขาทำให้ฉันตาสว่าง ข้อพระคัมภีร์เหล่านั้นกล่าวจริงๆ ว่าพระคริสต์เทียมเท็จ จะแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ในยุคสุดท้ายเพื่อหลอกลวงผู้คน พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสรู้พระคัมภีร์ดี ดังนั้นทำไมพวกเขาถึงไม่เห็นสิ่งนี้เกี่ยวกับการแยกแยะพระคริสต์เทียมเท็จล่ะคะ แล้วพี่น้องจางก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สองบทตอนค่ะ “หากในระหว่างยุคปัจจุบันมีบุคคลผู้หนึ่งโผล่ออกมาซึ่งสามารถแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ไล่ผี รักษาคนป่วย และทำปาฏิหาริย์มากมาย และหากบุคคลผู้นี้อ้างว่าพวกเขาคือพระเยซูผู้ได้เสด็จมา เช่นนั้นแล้วนี่จะเป็นสิ่งเทียมเท็จที่ทำขึ้นโดยพวกวิญญาณชั่วที่เลียนแบบพระเยซู  จงจดจำการนี้ไว้!  พระเจ้าไม่ทรงทำพระราชกิจเดียวกันซ้ำ  ช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระเยซูได้ครบบริบูรณ์ไปแล้ว และพระเจ้าจะไม่มีวันทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะนั้นอีกครั้ง…หากในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้ายังคงทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และยังคงทรงไล่ผีและรักษาคนป่วย—หากพระองค์ทรงทำอย่างเดียวกันกับพระเยซู—เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็คงจะกำลังทรงทำพระราชกิจเดียวกันซ้ำ และพระราชกิจของพระเยซูก็จะไม่มีนัยสำคัญหรือคุณค่า  ดังนั้นในทุกยุคพระเจ้าจึงทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะเดียวจนแล้วเสร็จ  ทันทีที่แต่ละช่วงระยะของพระราชกิจของพระองค์ได้ดำเนินการครบบริบูรณ์แล้ว ในไม่ช้าก็ถูกเลียนแบบโดยพวกวิญญาณชั่ว และหลังจากซาตานเริ่มตามหลังพระเจ้าไปติดๆ พระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนแปลงไปสู่วิธีการที่ต่างออกไป  ทันทีที่พระเจ้าได้ทรงเสร็จสิ้นช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจของพระองค์ ก็จะถูกเลียนแบบโดยพวกวิญญาณชั่ว  พวกเจ้าต้องชัดเจนเกี่ยวกับการนี้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้)  “หากในระหว่างยุคสุดท้าย ‘พระเจ้า’ ทรงเป็นเช่นเดียวกับที่พระเยซูทรงปรากฏ ผู้ที่รักษาคนป่วย ขับไล่ปีศาจ และถูกตรึงกางเขนเพื่อมนุษย์แล้ว ‘พระเจ้า’ องค์นั้นแม้ว่าจะเหมือนกับคำอธิบายถึงพระเจ้าในพระคัมภีร์และมนุษย์ยอมรับได้ง่าย แต่ในแก่นสารแล้วจะไม่ใช่เนื้อหนังที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงจุติมา หากแต่เป็นวิญญาณชั่วร้าย  เพราะหลักการของพระราชกิจของพระเจ้าคือทรงไม่มีวันทำสิ่งที่พระองค์ทรงได้ทำจนครบบริบูรณ์แล้วซ้ำ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงประทับ)

หลังจากอ่านบทตอนนี้ เขาก็แบ่งปันการสามัคคีธรรมว่า “พระเจ้าทรงใหม่เสมอและไม่มีวันเก่า พระองค์ไม่กระทำพระราชกิจของพระองค์ซ้ำ ทุกครั้งที่พระเจ้าทรงเริ่มพระราชกิจระยะใหม่ พระองค์ดำรัสพระวจนะใหม่และทรงนำผู้คนไปบนวิถีปฏิบัติใหม่ ตัวอย่างเช่น เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมา พระองค์ไม่ได้ทรงประกาศธรรมบัญญัติและพระบัญญัติอีกครั้ง แต่ทรงพระราชกิจแห่งการไถ่บนรากฐานของพระราชกิจก่อนหน้านั้น พระองค์ทรงแสดงหนทางแห่งการกลับใจ ทรงสอนผู้คนให้สารภาพและกลับใจ รักศัตรูของพวกเขา ให้อภัย รักกันและกัน และอีกมากมาย ท้ายที่สุดพระองค์ทรงถูกตรึงกางเขนในฐานะเครื่องบูชาไถ่บาปให้มนุษย์ ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ได้ทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ หรือรักษาคนป่วยและขับผี แต่พระองค์กลับทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการชำระให้สะอาด ตั้งอยู่บนพระราชกิจแห่งการไถ่ พระองค์ทรงแสดงความจริง ตีแผ่อุปนิสัยเสื่อมทรามและธรรมชาติแบบซาตานของมนุษย์ และพระองค์ทรงพิพากษาความไม่ชอบธรรมของพวกเขา พระองค์ประทานความจริงทั้งหมดที่พวกเขาต้องการเพื่อให้ได้รับการชำระให้สะอาดและช่วยให้รอดอย่างครบถ้วน ช่วยพวกเขาให้รอดจากอิทธิพลมืดของซาตานและความเสื่อมทรามของพวกเขาอย่างสมบูรณ์ เพื่อที่พวกเขาจะถูกรับโดยพระเจ้า นี่คือวิธีที่พระราชกิจของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดปิดฉากลงอย่างบริบูรณ์ พระราชกิจของพระเจ้ายกระดับขึ้นในทุกระยะและไม่เคยซ้ำเดิม หากองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ รักษาคนป่วย และขับผี พระราชกิจของพระเจ้าจะซ้ำเดิม มันก็จะไร้ความหมาย แต่บางคนอ้างว่าพระเจ้าสามารถทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ รักษาคนป่วย และขับผีได้เท่านั้น พวกเขาจำกัดพระเจ้าและคิดว่าพระราชกิจของพระองค์ไม่สามารถรุดหน้าได้ นั่นเป็นเหตุผลที่พระเจ้าไม่มีทางทรงพระราชกิจของพระองค์ซ้ำ และใครก็ตามที่ทำสิ่งเหล่านั้น เป็นพระคริสต์เทียมเท็จอย่างแน่นอน พระคริสต์เทียมเท็จส่วนใหญ่ถูกสิงโดยวิญญาณชั่ว พวกเขาไม่สามารถแสดงความจริงได้ และยิ่งไม่มีทางเริ่มยุคใหม่และจบยุคเก่าลงได้ ทั้งหมดที่พวกเขาทำได้คือการเลียนแบบพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้า และแสดงการอัศจรรย์ง่ายๆ เพื่อหลอกลวงผู้คน แต่สิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำไว้ อย่างการอัศจรรย์ที่ปลุกคนตายให้ฟื้น และเลี้ยงคนห้าพันด้วยขนมปังห้าแถวและปลาสองตัว พระคริสต์เทียมเท็จไม่สามารถเลียนแบบได้ พระเจ้าเท่านั้นทรงมีฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจแบบนั้น ไม่ใช่พระคริสต์เทียมเท็จ ถ้าใครสักคนไม่สามารถแสดงความจริงได้ แต่แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เล็กน้อย และเรียกตัวเองว่าพระคริสต์ พวกเขาก็ไม่ใช่ของจริงอย่างแน่นอน เราสามารถแยกแยะพระคริสต์เทียมเท็จจากพระคริสต์ที่แท้จริงได้ด้วยหลักการนี้”

ฉันเรียนรู้จากการสามัคคีธรรมของพี่น้องจาง ว่าพระราชกิจของพระเจ้านั้นใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า ว่าพระองค์ไม่มีทางทรงพระราชกิจเดียวกันซ้ำสอง พระคริสต์เทียมเท็จไม่สามารถทำพระราชกิจของพระเจ้าได้ พวกเขาแค่เลียนแบบพระราชกิจเก่าของพระองค์และแสดงการอัศจรรย์บางอย่างเพื่อหลอกลวงผู้คน นี่เป็นหลักการหนึ่งเพื่อแยกแยะพระคริสต์เทียมเท็จ มันเหมือนกับของเทียมทั้งหมดในโลกที่ทำให้ดูเหมือนของจริง แต่สุดท้ายก็เป็นของปลอมอยู่ดี พระคริสต์เทียมเท็จก็เหมือนกัน สิ่งนี้ให้ความรู้แจ้งแก่ฉัน

พี่น้องจางสามัคคีธรรมต่อไปว่า “สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับแยกแยะพระคริสต์เทียมเท็จคือการรู้จักแก่นแท้ของพระคริสต์ นี่เป็นส่วนที่พื้นฐานและสำคัญมากที่สุด” แล้วเขาก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สองบทตอนค่ะ “พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองการแสดงออกของพระเจ้า  ในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงก่อเกิดพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ และในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และจะทรงสามารถนำความจริงสู่มนุษย์ ประทานชีวิตให้เขาและชี้หนทางให้เขา  เนื้อหนังที่ไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่ถือว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ในเรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยแต่อย่างใด  หากมนุษย์ตั้งใจจะสืบค้นลงไปว่านั่นคือเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาต้องยืนยันเรื่องนี้จากพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกและพระวจนะที่พระองค์ตรัส  ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่จะยืนยันว่าเป็นเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ และเป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่นั้น คนเราต้องแยกแยะบนพื้นฐานของแก่นแท้ของพระองค์  และดังนั้น ในการกำหนดว่านั่นเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์หรือไม่ กุญแจอยู่ในแก่นแท้ของพระองค์ (พระราชกิจของพระองค์ ถ้อยดำรัสของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์และแง่มุมอื่นๆ มากมาย) มากกว่ารูปปรากฏภายนอก  หากมนุษย์พินิจพิเคราะห์เพียงแค่พระรูปปรากฏภายนอกของพระองค์ และส่งผลให้มองข้ามแก่นแท้ของพระองค์ นี่ก็แสดงว่ามนุษย์มืดบอดและไม่รู้เท่าทัน (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)  พระเจ้าซึ่งทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ได้รับการเรียกขานพระนามว่าพระคริสต์ และดังนั้นแล้วพระคริสต์ที่สามารถประทานความจริงแก่ผู้คนได้จึงมีพระนามเรียกขานว่าพระเจ้า  ไม่มีอะไรที่เกินเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพระองค์ทรงครองเนื้อแท้ของพระเจ้า และทรงครองพระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระปรีชาญาณในพระราชกิจของพระองค์ ที่ไม่สามารถบรรลุได้โดยมนุษย์  บรรดาพวกที่เรียกตัวเองว่าพระคริสต์ ทว่ากลับไม่สามารถทำงานของพระเจ้าได้นั้นเป็นพวกฉ้อฉล  พระคริสต์ไม่ได้ทรงเป็นแค่การสำแดงของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกเท่านั้น แต่ยังทรงเป็นเนื้อหนังพิเศษเฉพาะที่ทรงได้รับการดูแลรับผิดชอบโดยพระเจ้าในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินการและทำให้พระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์เสร็จสิ้น เนื้อหนังนี้ไม่สามารถแทนที่ได้โดยมนุษย์คนใด แต่เป็นเนื้อหนังที่สามารถแบกรับพระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกได้อย่างเพียงพอ และสามารถแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเป็นตัวแทนพระเจ้าได้เป็นอย่างดี และสามารถจัดเตรียมชีวิตให้แก่มนุษย์ได้ ไม่ช้าก็เร็ว พวกที่แสร้งแสดงตนเป็นพระคริสต์จะพินาศกันทั้งหมด เพราะแม้พวกเขาจะอ้างว่าเป็นพระคริสต์ พวกเขาก็ไม่ได้ครองเนื้อแท้ของพระคริสต์เลย  และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าความจริงแท้แห่งพระคริสต์ไม่สามารถนิยามได้โดยมนุษย์ แต่พระเจ้าจะเป็นผู้ตอบและตัดสินด้วยพระองค์เอง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่ทรงสามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้)

หลังจากอ่านบทตอนนี้ เขาสามัคคีธรรมว่า “พระคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าในเนื้อหนัง พระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณพระเจ้าที่นุ่งห่มเนื้อหนังของคนทั่วไป ด้วยความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และด้วยเทวสภาพโดยสมบูรณ์ พระคริสต์ทรงดูธรรมดาสามัญมาก แต่แก่นแท้ของพระองค์นั้นศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นพระองค์จึงสามารถทรงแสดงความจริงและพระอุปนิสัยชอบธรรมของพระเจ้า อีกทั้งเริ่มยุคใหม่และสิ้นสุดยุคเก่าได้ พระองค์สามารถทรงไถ่และช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ และพระองค์สามารถทรงแสดงความจริงเพื่อค้ำจุนและดูแลผู้คนได้ทุกเมื่อ ไม่มีใครสามารถแทนที่พระองค์ได้ องค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระคริสต์ พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงดูเหมือนคนทั่วไป แต่พระองค์ทรงจบยุคพระคุณและทรงเริ่มยุคธรรมบัญญัติ และประทานหนทางแห่งการกลับใจให้มนุษย์ พระองค์ทรงมีสิทธิอำนาจที่จะอภัยบาป และการตรึงกางเขนของพระองค์ก็ไถ่บาปของทุกคน พระองค์ทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์มากมาย อย่างการทำให้พายุสงบ ขนมปังห้าแถวและปลาสองตัว และนำผู้คนกลับมาจากความตาย พระองค์ทรงแสดงฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้า พระองค์ทรงประกาศไปกว้างไกล และทรงแสดงความจริงเพื่อค้ำจุนและดูแลผู้คนตามความต้องการของพวกเขาในตอนนั้นอีกด้วย พระราชกิจและพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าแสดงให้เราเห็น ว่าพระองค์ทรงเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต และพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์พิสูจน์อย่างที่สุด ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์และพระผู้ไถ่ของมวลมนุษย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสด็จมาในยุคสุดท้าย ทรงเริ่มยุคแห่งราชอาณาจักรและทรงจบยุคพระคุณ และทรงงานเพื่อพิพากษาและชำระผู้คนให้สะอาดในยุคสุดท้าย พระองค์แสดงพระอุปนิสัยชอบธรรมของพระองค์ที่ไม่ทนต่อการทำให้ขุ่นเคืองใดๆ พระวจนะของพระองค์ไม่เพียงเปิดเผยความลึกลับของแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระองค์เท่านั้น แต่ยังตีแผ่และพิพากษารากเหง้าว่าทำไมมนุษย์ทำบาปและต่อต้านพระเจ้า และอุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขา และแถลงอย่างชัดเจนมากถึงความจริงทั้งหมดที่พวกเขาต้องการ เพื่อให้ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์ด้วย นี่รวมถึงว่าพระเจ้าทรงพิพากษาและชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ยังไง พวกเขาควรเชื่อฟังและเชื่อในพระเจ้ายังไง ใครทำให้พระองค์พอพระทัย ใครที่พระองค์ทรงรังเกียจและกำจัดทิ้ง การไล่ตามใดสามารถนำไปสู่การถูกชำระให้บริสุทธิ์และทำให้มีความเพียบพร้อมได้ ผลลัพธ์และบั้นปลายของมวลมนุษย์ และอื่นๆ อีกมาก ผ่านการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระเจ้า เราเห็นความจริงของความเสื่อมทรามโดยซาตานของเรา และรู้ความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ และพระอุปนิสัยที่ไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้ของพระเจ้า เราหมอบกราบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและกลับใจ เราเริ่มกลัวและนบนอบต่อพระเจ้า และอุปนิสัยแห่งชีวิตของเราก็เริ่มเปลี่ยนแปลง พระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์พิสูจน์ ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าในเนื้อหนัง การทรงปรากฏของพระคริสต์ในยุคสุดท้าย พระคริสต์เทียมเท็จโดยแก่นแท้แล้วคือวิญญาณชั่ว พวกเขาไม่สามารถแสดงความจริงได้ ยิ่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขาแค่พ่นคำโกหกจอมปลอมและความคิดผิดๆ เพื่อทำให้ผู้คนหลงผิดและทำร้ายผู้คน ใครก็ตามที่ติดตามพระคริสต์เทียมเท็จไม่สามารถได้รับการบำรุงเลี้ยงชีวิต หรือพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ ไม่ว่าพวกเขาเชื่อมานานแค่ไหน พวกเขาก็จะไม่มีทางเข้าใจพระเจ้าหรือความจริง และอุปนิสัยแห่งชีวิตของพวกเขาจะไม่มีทางเปลี่ยน ที่จริงแล้ว การติดตามพระคริสต์เทียมเท็จก็คือการติดตามวิญญาณชั่ว ติดตามปีศาจ ใครก็ตามที่เรียกตัวเองว่าพระเจ้าหรือพระคริสต์แต่ไม่สามารถแสดงความจริงได้ เป็นพระคริสต์เทียมเท็จ เป็นวิญญาณชั่วที่หลอกลวงอย่างแน่นอน พระคริสต์เทียมเท็จไม่สามารถแสดงความจริงหรือทำพระราชกิจของพระเจ้าได้ ไม่ว่าพวกเขาจะพูดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าหรือพระคริสต์มากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่ใช่ ความจริงและความเท็จอยู่กันคนละโลก การพูดว่าใครบางคนเป็นพระคริสต์ไม่ได้ทำให้เป็นตามนั้น มันกำหนดโดยแก่นแท้ของเขาและงานที่เขาทำ พระคริสต์เท่านั้นทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต พระคริสต์ทรงแสดงความจริงและความชอบธรรมของพระเจ้า และทรงพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง มันกำหนดโดยแก่นแท้ของพระองค์ อะไรก็ตามจากพระเจ้าจะเจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าผู้คนจะต่อต้าน กล่าวโทษ และปฏิเสธพระราชกิจของพระเจ้ายังไง ก็ไม่มีใครหรืออำนาจใดสามารถหยุดมันได้ ไม่มีใครสามารถปฏิเสธแก่นแท้ของพระคริสต์ได้ พระองค์ทรงเป็นและจะทรงเป็นพระคริสต์เสมอ เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจ พวกผู้นำยิวและคณะปกครองโรมันกล่าวโทษและไม่ยอมรับพระองค์ และตรึงพระองค์กับกางเขน พระองค์ทรงถูกปฏิเสธโดยคนในยุคนั้น แต่ตอนนี้ 2,000 ปีต่อมา ข่าวประเสริฐของพระองค์ได้แผ่ออกไปยังทั่วทุกมุมโลก และทั้งโลกศาสนาก็ยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ ตอนนี้ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนและวงศาสนาต่อต้านและกล่าวโทษอย่างบ้าคลั่ง แต่หนทางที่แท้จริงและความจริงจะยืนยงเสมอ ไม่มีใครสามารถปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ได้!  พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ถูกเผยแพร่ออนไลน์มาสักพักแล้ว เป็นพยานต่อคนทั้งโลก ผู้คนจำพระสุรเสียงของพระเจ้าในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้มากขึ้น มองเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า และหันเข้าหาพระองค์ พระคริสต์เทียมเท็จขาดความจริง พวกเขาไม่สามารถพิชิตผู้คนได้ คำพูดและการกระทำของพวกเขาไม่สามารถอยู่ในที่แจ้งได้ และพวกเขาไม่มีทางกล้าเผยแพร่ออนไลน์เพื่อให้ทุกคนแสวงหาและสอบสวน เพราะพระคริสต์เทียมเท็จนั้นมืดดำและชั่วร้าย และไม่สามารถทนความสว่างได้ พวกเขาแค่แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เล็กน้อยและพ่นคำโกหกจอมปลอม ทำให้คนโง่เขลาเบาปัญญาหลงผิดจากเงามืด ไม่มีอะไรจากพระคริสต์เทียมเท็จหรือวิญญาณชั่วสามารถอยู่ตลอดไปได้ ไม่ช้าพวกเขาจะกระจัดกระจายหายไป”

การสามัคคีธรรมนี้แสดงให้ฉันเห็น ความจริงเกี่ยวกับการแยกแยะพระคริสต์เทียมเท็จกับพระคริสต์ที่แท้จริง ฉันตื่นเต้นมาก พระคริสต์เท่านั้นทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต พระองค์เท่านั้นที่สามารถทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองได้ ใครก็ตามที่อ้างว่าเป็นพระคริสต์แต่ไม่สามารถแสดงความจริงหรือช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ เป็นพระคริสต์เทียมเท็จ การรู้เรื่องนี้เป็นเรื่องยอดเยี่ยมมาก!  ฉันเคยชื่นชมศิษยาภิบาลอย่างมืดบอด และเชื่อสิ่งที่เขาพูดเสมอ กลัวว่าจะถูกพระคริสต์เทียมเท็จทำให้หลงผิด ฉันไม่กล้าแสวงหาพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ค่ะ ตอนนั้นฉันคิดว่าการยึดติดกับคริสตจักรและศิษยาภิบาลของฉันจะทำให้ปลอดภัย แล้วฉันจะได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา หมอสอนศาสนาพูดเสมอว่าข่าวใดๆ เกี่ยวกับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเป็นเท็จ และกีดกันไม่ให้เราตรวจสอบหนทางที่แท้จริง ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่าพวกเขาเป็นคนหลอกลวง เป็นผู้ชี้นำตาบอด ฉันก็โง่เขลาด้วย ฉันไม่คอยฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่แค่เชื่อพวกเขาอย่างงมงาย ฉันไม่ระวังและปิดประตู และเกือบพลาดโอกาสต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันรอดมาได้อย่างหวุดหวิด!

ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพิ่มขึ้นหลังจากนั้น และเรียนรู้เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความลึกลับของการจุติเป็นมนุษย์ ความแตกต่างระหว่างพระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์ และเบื้องหน้าเบื้องหลังของพระคัมภีร์ มันช่างให้ความรู้แจ้งจริงๆ ค่ะ ฉันแน่ใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา และฉันยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ค่ะ

ก่อนหน้า: 23. แขวนอยู่บนเส้นด้าย

ถัดไป: 26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger