43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน พวกเขาไม่ได้ยืนเพียงลำพัง และชีวิตของพวกเขาทั้งไม่ธรรมดาสามัญและไม่เสื่อม ดังนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงเป็นที่ยกย่องท่ามกลางทั้งหมดเช่นกัน พระวจนะของพระองค์แผ่ซ่านท่ามกลางมนุษย์ ผู้คนดำรงชีวิตอยู่ในความสันติสุขต่อกันและอยู่ภายใต้การดูแลเอาใจใส่และการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้า แผ่นดินโลกถูกเติมด้วยการปรองดอง โดยไม่มีการแทรกแซงจากซาตาน และพระสิริของพระเจ้าก็มีความสำคัญสูงสุดท่ามกลางมนุษย์ ผู้คนเช่นนั้นเป็นเหมือนบรรดาทูตสวรรค์ กล่าวคือ บริสุทธิ์ มีชีวิตชีวา ไม่เคยบ่นเรื่องพระเจ้า และอุทิศความพยายามทั้งหมดของพวกเขาแด่พระสิริของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกเพียงประการเดียว” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่งพระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 16) พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้เราเห็นว่า อุปนิสัยของคนปกติไม่ได้ประกอบด้วยความทุจริต ความหลอกลวง ความเห็นแก่ตัว และความเลวทราม การทำหน้าที่ที่พระเจ้าทรงมอบหมายอย่างจริงใจ ทำงานอย่างปรองดองกับพี่น้องชายหญิง และทำทุกอย่างที่พวกเขาทำได้เพื่อหน้าที่ของพวกเขา เป็นสิ่งพื้นฐานที่สุดที่บุคคลหนึ่งควรสามารถทำได้ ผมเคยใช้ชีวิตตามปรัชญาแบบซาตานอย่างเช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” และ “ทันทีที่นักศึกษาคนหนึ่งรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจารย์รู้ อาจารย์จะเสียการทำมาหากินของเขาไป” ผมเคยเห็นแก่ตัว เลวทราม ทุจริต และมีเล่ห์เหลี่ยม ขาดลักษณะความเป็นมนุษย์อย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งผมได้รับประสบการณ์การพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้านั่นแหละ ที่อุปนิสัยแบบซาตานพวกนี้ของผมเริ่มเปลี่ยนไป
ในเดือนมิถุนายน 2018 ตอนพี่น้องจางเข้าร่วมทีมของเราเพื่อมาร่วมงานในหน้าที่ของผม ตอนนั้นผมคิดว่า “ฉันทำหน้าที่นี้มาสักพักแล้ว ดังนั้นฉันเข้าใจหลักปฏิบัติต่างๆ และได้เห็นผลลัพธ์บางประการ บางทีพอถึงจุดหนึ่ง ฉันจะออกจากทีมนี้เพื่อไปรับหน้าที่รับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่กว่า ฉันจำเป็นต้องช่วยพี่น้องจางตามให้ทันให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อให้เขาสามารถรับช่วงต่องานในทีมของเราได้” ผมลงมือสอนทักษะพื้นฐานที่ผมได้เรียนรู้ในหน้าที่ของผมให้แก่เขา สามเดือนต่อมา ผมเห็นว่าพี่น้องจางมีความเข้าใจพื้นฐานทุกอย่างแล้ว และเขามีความคืบหน้ารวดเร็วมาก ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มรู้สึกถูกคุกคาม ผมคิดว่า “พี่น้องจางทำหน้าที่ของเขาได้ดีขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป อีกหน่อยเขาจะไม่ล้ำหน้าฉันหรือ ถ้าผู้นำรู้ว่าเขาคืบหน้าเร็วแค่ไหน ผู้นำจะไม่ให้ตำแหน่งสำคัญแก่เขาหรือ” พอคิดได้แบบนี้ ผมก็บอกตัวเอง “ไม่ ฉันต้องยั้งไว้ ฉันแบ่งปันทุกอย่างที่ฉันรู้แก่เขาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว” ตั้งแต่นั้นในงานของเรา เมื่อผมพบว่าทักษะของพี่น้องจางยังบกพร่องเล็กน้อย ผมก็แค่บอกเรื่องผิวเผินสองสามอย่างแก่เขา โดยไม่แบ่งปันความรู้ของผมอย่างเต็มที่ ผมรู้ดีว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องที่จะทำ แต่แล้วผมก็นึกถึง คำโบราณที่ว่า “ทันทีที่นักศึกษาคนหนึ่งรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจารย์รู้ อาจารย์จะเสียการทำมาหากินของเขาไป” เมื่อเขาเป็นจุดสนใจ ผมจะโอ้อวดตัวเองได้อย่างไร ผมปล่อยให้เขามาแทนที่ผมไม่ได้ เมื่อเราทำงานร่วมกันต่อไป ไม่ว่าพี่น้องจางถามผมเรื่องอะไร ผมก็ตอบเขาครึ่งๆ กลางๆ และเก็บงำส่วนที่เหลือไว้
ไม่นานหลังจากนั้น ผู้นำก็เรียกตัวพี่น้องจางไปหารือเรื่องงานสำคัญ พอได้ยินเรื่องนี้หัวใจของผมก็เต้นรัว ผมคิด “ฉันอยู่ในทีมมานานกว่าพี่น้องจาง ทำไมผู้นำถึงไม่อยากคุยกับฉันล่ะ ฉันดีสู้เขาไม่ได้หรือ ฉันเป็นคนฝึกเขามาตลอด แต่ตอนนี้เขากลายเป็นลูกรักส่วนฉันโดนเขี่ยตกกระป๋อง เขาเป็นจุดสนใจส่วนฉันกลับถูกลืม ถ้าฉันสอนเขาต่อไป เขาจะไม่เรียนรู้เร็วขึ้นอีกหรือ ถ้าเขาได้ตำแหน่งสำคัญ ใครจะยกย่องฉันล่ะ” ดังนั้นในงานที่เราทำร่วมกันหลังจากนั้น เมื่อผมเห็นพี่น้องจางเจอเรื่องยากๆ ผมก็ไม่อยากช่วยเขา ความคืบหน้าของเราชะงัก อันเป็นผลจากการที่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว จนสุดท้ายงานของคริสตจักรก็ค้างเติ่ง ผมรู้สึกผิดและไม่สบายใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ทบทวนตัวเองสักนิด วันหนึ่งอยู่ๆ รักแร้ของผมก็เริ่มคัน และผมก็ทำให้มันหยุดคันไม่ได้ แม้จะทายารักษาก็ไม่ช่วยเลย วันต่อมา แขนของผมก็เริ่มเจ็บมากจนขยับไม่ได้ ผมตระหนักว่าอาการนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ผมจึงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในการอธิษฐานและแสวงหา ผมพูดว่า “โอ้พระเจ้า อาการนี้เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ข้าพระองค์ทราบว่าน้ำพระทัยอันดีของพระองค์อยู่เบื้องหลัง แต่ข้าพระองค์ความรู้สึกช้าเกินไป และไม่ทราบว่าน้ำพระทัยของพระองค์คืออะไร ได้โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำข้าพระองค์”
วันหนึ่งระหว่างการสักการะของผม อยู่ๆ พระวจนะนี้ของพระเจ้าก็ผุดขึ้นในใจ “หากเจ้าไม่เต็มใจที่จะทุ่มเทอุทิศทั้งหมดที่เจ้ามี หากเจ้าซ่อนเร้นและซุกซ่อนมันไว้ และปลิ้นปล้อนในการกระทำทั้งหลายของเจ้า…” (“เพียงโดยการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์เท่านั้น คนเราจึงจะสามารถมีความสุขอย่างแท้จริงได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะนี้เตือนสติผม ผมใช้ชีวิตโดยหมกมุ่นอยู่กับการแข่งขันเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ กลัวว่าพี่น้องคนนี้จะล้ำหน้าผม ดังนั้นผมจึงไม่เคยตรงไปตรงมาในงานของเรา และผมไม่อยากแบ่งปันความรู้ของผมกับเขา ผมเห็นว่านี่คือพระเจ้าทรงเตือนผมด้วยอาการนั้น เพื่อที่ผมจะทบทวนตัวเอง ต่อมาผมอ่านบทตอนนี้ของพระวจนะของพระเจ้า “ผู้ไม่เชื่อทั้งหลายมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เป็นประเภทเฉพาะบางอย่าง เมื่อพวกเขาสอนความรู้เชิงวิชาชีพเสี้ยวหนึ่งหรือทักษะอย่างหนึ่งแก่ผู้คนอื่นๆ พวกเขาเชื่อในแนวคิดที่ว่า ‘ทันทีที่นักศึกษาคนหนึ่งรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจารย์รู้ อาจารย์จะเสียการทำมาหากินของเขาไป’ พวกเขาเชื่อว่าหากพวกเขาสอนทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขารู้ให้คนอื่น เช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีผู้ใดเลยนิยมบูชาพวกเขาอีกต่อไป และพวกเขาจะเสียสถานะของพวกเขาไปแล้ว ด้วยเหตุผลนี้ พวกเขารู้สึกถึงความจำเป็นต้องเก็บกักบางส่วนของความรู้นี้ไว้ โดยการสอนเพียงร้อยละแปดสิบของสิ่งที่พวกเขารู้ให้แก่ผู้คนและทำให้มั่นใจว่าพวกเขามีทีเด็ดซ่อนไว้อยู่ พวกเขารู้สึกว่านี่เป็นเพียงหนทางเดียวที่พวกเขาสามารถแสดงให้เห็นลำดับชั้นของครูของพวกเขาได้ การเก็บกักข้อมูลและการมีไพ่เด็ดซ่อนไว้เสมอ—นี่เป็นอุปนิสัยจำพวกใดกัน? มันเป็นความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง…จงอย่าคิดว่าเจ้ากำลังไปได้สวยทีเดียวหรือคิดว่า โดยการที่แค่บอกสิ่งทั้งหลายอันผิวเผินหรือเป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่สุดแก่ผู้คนนั้นคือการที่เจ้าไม่ได้เก็บกักความรู้เอาไว้ นี่ย่อมจะใช้ไม่ได้ บางครั้งเจ้าอาจจะเพียงสอนทฤษฎีไม่กี่ทฤษฎีหรือสิ่งไม่กี่สิ่งที่ผู้คนสามารถเข้าใจได้อย่างตามตัวอักษรเท่านั้น แต่บรรดาผู้กลับใจใหม่ทั้งหลายนั้นไร้ความสามารถที่จะตระหนักได้ถึงแก่นสารหรือประเด็นสำคัญอันใดแต่อย่างใดเลย เจ้าให้แต่เพียงภาพรวมเท่านั้น โดยไม่มีการแจกแจงหรือลงรายละเอียด พลางยังคงคิดกับตัวเจ้าเองว่า ‘เอาล่ะ ถึงอย่างไรก็ตาม ฉันได้บอกท่านแล้ว และฉันไม่ได้ตั้งใจหน่วงเหนี่ยวสิ่งใดไว้เลย หากท่านไม่เข้าใจ นั่นเป็นเพราะขีดความสามารถของท่านนั้นต่ำเกินไป ดังนั้นอย่ามาโทษฉัน พวกเราก็แค่จะต้องเห็นวิธีที่พระเจ้าทรงนำทางเจ้าในตอนนี้’ ความสุขุมรอบคอบเช่นนั้นบรรจุไปด้วยเล่ห์ลวงใช่หรือไม่? มันไม่เป็นการเห็นแก่ตัวและต่ำศักดิ์หรอกหรือ? เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถสอนทุกสิ่งทุกอย่างในหัวใจของเจ้าและทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าเข้าใจให้แก่ผู้คน? เหตุใดเจ้ากลับเก็บกักความรู้เอาไว้แทน? นี่คือปัญหาตรงเจตนาของเจ้าและอุปนิสัยของเจ้า” (“โดยการแสวงหาความจริงในทุกสิ่งทุกอย่างเท่านั้นคนเราจึงสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยสถานการณ์ของผมเองอย่างแม่นยำ ผมไม่อยากสอนทักษะที่ผมเรียนรู้มาแก่เขา เพื่อประโยชน์ด้านชื่อและตำแหน่งของผมเอง ผมกลัวว่าเขาจะได้มันไปแล้วทิ้งผมไว้ในฝุ่นผง โดยคิดว่าศิษย์จะชิงตำแหน่งของครู ด้วยการยั้งเอาไว้เสมอ ผมเห็นแก่ตัว น่าดูหมิ่น คดโกง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเกินไป ผมยังคิดถึงเรื่องตอนที่พี่น้องจางเพิ่งเข้าร่วมทีมของเรา แรงจูงใจของผมในการสอนงานเขา ก็เพื่อที่ว่าเขาจะสามารถรับช่วงต่องานของทีมทันทีที่เป็นไปได้ แล้วผมจะมีคนที่ผมส่งมอบหน้าที่ต่อให้ เพราะผมหวังที่จะรับตำแหน่งที่สำคัญมากขึ้น แต่พอผมเห็นว่าเขาเรียนรู้เร็วแค่ไหน และผู้นำก็เห็นค่าของเขาจริงๆ ผมก็เริ่มเป็นกังวลอย่างมาก ผมห่วงว่าถ้าเขาทำได้ดีไปเรื่อยๆ เขาจะล้ำหน้าผมไม่ช้าก็เร็ว และเขาจะแย่งตำแหน่งผม ผลก็คือ ผมไม่อยากแบ่งปันสิ่งที่ผมรู้กับเขา บางครั้งเมื่อผมรู้ว่าเขาเจอเรื่องยากๆ ในหน้าที่ของเขา ผมก็ไม่อยากช่วยเขา จนสุดท้ายงานของคริสตจักรก็ล่าช้า ผมเห็นว่าผมทำงานเพื่อปกป้องชื่อและตำแหน่งของผมเองอยู่ตลอด โดยไม่พิจารณาใดๆ ต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเลย ผมช่างเห็นแก่ตัวและหลอกลวงจริงๆ หากไม่มีการบ่มวินัยที่ถูกเวลาของพระเจ้า โดยให้ผมมีอาการนั้น ผมก็คงยังไม่ทบทวนตัวเอง จากนั้นผมก็อ่านพระวจนะนี้ของพระเจ้า “นับตั้งแต่ที่เชื่อในพระเจ้า เจ้าก็ได้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า นั่นคือ เจ้าได้ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์และได้ยอมรับความรอดของพระองค์ อย่างไรก็ตาม หากหลักธรรมที่เจ้าใช้ในการปฏิบัติตนและทิศทางที่เจ้าใช้ในการทำสิ่งทั้งหลายและประพฤติปฏิบัติตัวเจ้าเองในฐานะบุคคลหนึ่งไม่ได้เปลี่ยนไป หากเจ้าเป็นอย่างเดียวกับผู้ไม่เชื่อ พระเจ้าจะทรงยอมรับเจ้าในฐานะผู้ที่เชื่อในพระเจ้ากระนั้นหรือ? พระองค์จะไม่ทรงยอมรับ พระเจ้าจะตรัสว่าเจ้ายังคงกำลังเดินบนเส้นทางของพวกผู้ไม่เชื่อ ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าเจ้าจะกำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงหรือกำลังเรียนรู้ความรู้เชิงวิชาชีพ เจ้าก็ต้องปฏิบัติตามหลักธรรมในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ เจ้าต้องปฏิบัติต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำโดยสอดคล้องกับความจริง และฝึกฝนปฏิบัติโดยสอดคล้องกับความจริง เจ้าต้องใช้ความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา เพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ได้ถูกเปิดเผยในตัวเจ้า และเพื่อแก้ไขหนทางในการทำสิ่งทั้งหลายและความคิดทั้งหลายที่ผิดพลาดของเจ้า เจ้าต้องผ่านพ้นสิ่งเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง เหตุผลหนึ่งก็คือ เจ้าต้องตรวจสอบตัวเจ้าเอง ทันทีที่เจ้าได้ทำเช่นนั้นแล้ว หากเจ้าค้นพบอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เจ้าต้องแก้ไขมัน ทำให้มันสยบลง และละทิ้งมันไปเสีย ทันทีที่เจ้าได้แก้ไขปัญหาเหล่านี้แล้ว เมื่อเจ้าไม่ทำสิ่งทั้งหลายไปบนพื้นฐานของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าอีกต่อไป และเมื่อเจ้าสามารถปล่อยมือจากสิ่งจูงใจและผลประโยชน์ทั้งหลายของเจ้าและฝึกฝนปฏิบัติโดยสอดคล้องกับหลักการทั้งหลายของความจริง เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะทำสิ่งที่ผู้ที่ติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริงควรจะต้องทำ” (“โดยการแสวงหาความจริงในทุกสิ่งทุกอย่างเท่านั้นคนเราจึงสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) “เจ้าต้องรับแก่นสารและประเด็นหลักของความรู้เชิงวิชาชีพนั้น—สิ่งทั้งหลายที่ผู้อื่นไม่ได้หยั่งลึกหรือได้ตระหนัก—และบอกสิ่งเหล่านั้นแก่ผู้คนเพื่อที่พวกเขาทั้งหมดจะสามารถนำจุดแข็งทั้งหลายของพวกเขามาใช้ให้เกิดผล และด้วยประการนั้น จึงขบคิดให้ออกในสิ่งทั้งหลายที่ยิ่งมีจำนวนมากกว่า ลุ่มลึกยิ่งกว่า และเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเสียด้วยซ้ำ หากเจ้ามีส่วนร่วมสนับสนุนสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด สิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนที่กำลังทำหน้าที่นี้ให้ลุล่วง ตลอดจนเป็นประโยชน์ต่อพระราชกิจของพระนิเวศของพระเจ้า…เมื่อผู้คนส่วนใหญ่ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับแง่มุมเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับความรู้เชิงวิชาชีพ พวกเขาสามารถเพียงจับใจความความหมายตามตัวอักษรของมัน ในขณะที่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเด็นและแก่นสารหลักต้องใช้การฝึกฝนปฏิบัติเป็นช่วงเวลาหนึ่งเสียก่อน ผู้คนจึงสามารถจับความเข้าใจมันได้ หากเจ้าได้จับความเข้าใจประเด็นและแก่นสารหลักเหล่านี้แล้ว เจ้าควรบอกพวกเขาโดยตรง จงอย่าทำให้พวกเขาใช้เส้นทางอ้อมและใช้เวลามากเหลือเกินเพื่อจะไปยังที่นั่น นี่คือความรับผิดชอบของเจ้า มันคือสิ่งที่เจ้าควรทำ ต่อเมื่อเจ้าบอกพวกเขาถึงสิ่งที่เจ้าเชื่อว่าเป็นประเด็นและแก่นสารหลักแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะไม่ใช่กำลังรั้งสิ่งใดไว้เลย และเมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะไม่เห็นแก่ตัว” (“โดยการแสวงหาความจริงในทุกสิ่งทุกอย่างเท่านั้นคนเราจึงสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) จากพระวจนะของพระเจ้า ผมตระหนักว่าผมจำเป็นต้องจดจ่ออยู่กับการทบทวนตัวเองในหน้าที่ของผม และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขธรรมชาติเยี่ยงซาตานของผม ผมจำเป็นต้องละทิ้งความคิดและมุมมองที่ไม่ถูกต้องของตัวเอง และสามารถทำงานเป็นหนึ่งเดียวกับพี่น้องชายหญิงในหน้าที่ของผมได้ ผมตระหนักว่าเราทุกคนขาดอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในความจริงหรือในงานของเรา ดังนั้นพี่น้องชายหญิงจำเป็นต้องช่วยเหลือและสนับสนุนกันและกันในหน้าที่ของพวกเขา และเพื่อสามัคคีธรรมถึงสิ่งที่พวกเขาเข้าใจโดยไม่เก็บงำอะไรเอาไว้ ด้วยการทดแทนส่วนที่ขาดไปของกันและกันแบบนี้ โอกาสที่เราจะอ้อมไปมาก็น้อยลงมาก ที่จริง การที่ผมมีทักษะมากกว่าพี่น้องจางเล็กน้อย ทั้งหมดเป็นเพราะความกรุณาของพระเจ้า ผมควรจะพิจารณาน้ำพระทัยของพระเจ้า ละทิ้งความเห็นแก่ตัวของผม และสอนทุกอย่างที่ผมรู้แก่เขา เพื่อที่เขาจะสามารถทำหน้าที่ได้ดีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แบบนั้นเท่านั้นที่จะสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า ทันทีที่ผมตระหนักเรื่องนั้น ผมก็รีบอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ตั้งใจที่จะละทิ้งความคิดที่ไม่ถูกต้องของผมเอง และไม่ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของผมอีกต่อไป ต่อมาผมก็ไปหาพี่น้องจางเพื่อพูดคุยกับเขาอย่างเปิดอกเกี่ยวกับสภาวะที่ผ่านมาของผม และเพื่อชำแหละอุปนิสัยเยี่ยงซาตานนี้ของผม ผมแบ่งปันกุญแจสำคัญของทักษะที่ผมครอบครองกับเขาด้วย เมื่อผมเริ่มปฏิบัติแบบนี้ ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก แล้วปัญหาสุขภาพนั้นก็หมดไปก่อนที่ผมจะรู้ตัวเสียอีก
ผมคิดว่า หลังจากผ่านสิ่งนั้นมา ผมก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่อุปนิสัยเยี่ยงซาตานเหล่านี้ฝังรากลึกจริงๆ ทันที่ที่เหตุปัจจัยเหมาะเจาะ ผมก็ปล่อยให้พิษร้ายเหล่านั้นเผยออกมาอีกอย่างระงับไม่อยู่
ในเดือนมีนาคม 2019 พี่น้องจางกับผมได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักรพร้อมกัน ตอนแรก เราทำงานเข้าขากันดีมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในคริสตจักร หรือความยุ่งยากที่เราเจอ เราก็สามารถแสวงหาความจริงด้วยกันเพื่อแก้ไขมัน แต่แล้ววันหนึ่ง ผมเผอิญได้ยินคนในคริสตจักรพูดว่า “การสามัคคีธรรมเรื่องความจริงของพี่น้องจางน่ะสัมพันธ์กับชีวิตจริงทีเดียว และเขารับผิดชอบหน้าที่ของเขาจริงๆ” การได้ยินเรื่องนี้ส่งผมเข้าสู่ความสับสนภายในอีกครั้ง และผมคิดว่า “ถ้าฉันถูกพี่น้องจางล้ำหน้าเหนือกว่า ในไม่ช้าฉันจะไม่เหลือเกียรติอะไรเลย!” ในการหารือเรื่องงานของเราทั้งหมดหลังจากนั้น ผมชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดและข้อบกพร่องเท่านั้น และเก็บวิถีการปฏิบัติเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านั้นไว้กับตัวเอง บางครั้งเมื่อเขามาหาผมเพื่อแสวงหา ผมจะกัดฟันและบอกเรื่องไม่สำคัญให้เขาฟังนิดหน่อย กลัวว่าถ้าเขาเข้าใจมากเกินไป เขาจะไปแก้ปัญหาพวกนั้นโดยไม่ให้ผมได้อวดความสามารถ ผมจำได้ว่ามีครั้งหนึ่ง ตอนที่เขากำลังจะไปให้การช่วยเหลือพี่น้องชายหญิงสองสามคนที่กำลังประสบกับความอ่อนแอ เขากลัวว่าหากไม่มีการสามัคคีธรรมที่ถูกต้อง มันก็จะไม่ออกผล เขาเลยมาปรึกษาผมว่าควรมุ่งสนใจความจริงอะไรมากที่สุด แต่สิ่งที่ผมห่วงในตอนนั้นก็คือ ถ้าผมบอกทุกอย่างที่ผมรู้ให้เขาไปจัดการกับปัญหานั้น พี่น้องชายหญิงต้องยกย่องเขาอย่างแน่นอน แล้วผมจะแบ่งปันอะไรในการสามัคคีธรรมครั้งต่อไปล่ะ นั่นจะไม่ทำให้เขาดูดีกว่าผมหรือ ดังนั้น ในตอนนั้นผมจึงคิดว่า “ไม่ ฉันต้องเก็บอะไรไว้ให้ตัวเองสามัคคีธรรมในครั้งต่อไปบ้าง พวกเขาจะได้เห็นว่าฉันเป็นคนที่มีความสามารถมากกว่าในการแก้ไขปัญหาต่างๆ” ผมบอกภาพรวมสั้นๆ ให้พี่น้องจางเท่านั้น แต่ไม่ได้พูดถึงอะไรเป็นพิเศษ หรืออะไรที่สำคัญจริงๆ เลย ในเมื่อผมกำลังซ่อนเร้นความเห็นแก่ตัวของผมเองและไม่อยากแบ่งปันทุกอย่างที่ผมรู้กับเขา ผมจึงจงใจหลบหน้าพี่น้องจางในการทำงานร่วมกันของเรา และเราใช้เวลาหารือสิ่งต่างๆ กับอีกฝ่ายน้อยกว่าที่เคย ตอนนั้นผมรู้สึกผิดมากและคิดกับตัวเอง “ด้วยการทำหน้าที่ของฉันแบบนี้ ฉันไม่ได้ทำงานอย่างปรองดองกับพี่น้องของฉัน และพระเจ้าคงไม่ทรงยินดี” แต่แล้วผมก็คิดว่า “ถ้าเขาล้ำหน้าฉัน ทุกคนจะยกย่องเขา” ดังนั้นผมจึงไม่อยากปฏิบัติความจริงอีกต่อไป ในช่วงนั้นผมอยู่ในสภาวะที่แข็งกระด้างตลอดเวลา และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าก็ลงมาที่ผม จิตใจผมสับสนไม่หยุด การสามัคคีธรรมของผมในการชุมนุมขาดความสว่างใดๆ และผมก็ทำงานในหน้าที่ไม่สำเร็จเลย และผมก็ผล็อยหลับไปแต่หัวค่ำทุกคืน ผมยังรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย จุดนั้นเองที่ผมตระหนักว่าพระเจ้าได้ทรงแยกห่างจากผมแล้ว แล้วผมก็เกิดความกลัว ผมรีบมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า “โอ้พระเจ้า ข้าพระองค์เห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นเกินไป ข้าพระองค์รู้ว่านี่ทำให้พระองค์ทรงรังเกียจ แต่ข้าพระองค์หักห้ามใจไม่ได้ ข้าพระองค์ตัดสิ่งเหล่านั้นไม่ขาด พระเจ้า ได้โปรดทรงให้ความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้เข้าใจธรรมชาติและแก่นแท้ของข้าพระองค์เองอย่างแท้จริงมากขึ้น”
หลังจากอธิษฐาน ผมก็อ่านบทตอนนี้ของพระวจนะของพระเจ้า “ธรรมชาติของซาตานนี่เองที่กำกับดูแลและครอบงำผู้คนจากภายในจนกว่าพวกเขานั้นได้มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและได้รับความจริงแล้ว สิ่งใดหรือที่ธรรมชาตินั้นพ่วงท้ายมาด้วยเป็นพิเศษ? ตัวอย่างเช่น เหตุใดพวกเจ้าจึงเห็นแก่ตัว? เหตุใดพวกเจ้าจึงปกป้องตำแหน่งของตัวเจ้าเอง? เหตุใดพวกเจ้าจึงมีภาวะอารมณ์รุนแรงเช่นนั้น? เหตุใดพวกเจ้าจึงชื่นชมสิ่งที่ไม่ชอบธรรมเหล่านั้น? เหตุใดพวกเจ้าจึงชอบคนชั่วพวกนั้น? อะไรคือพื้นฐานของความชื่นชอบของพวกเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายดังกล่าว? สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? เหตุใดพวกเจ้าจึงมีความสุขยิ่งนักที่จะยอมรับสิ่งเหล่านี้ ถึงตอนนี้ พวกเจ้าล้วนได้มาเข้าใจว่า เหตุผลหลักเบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดก็คือว่า พิษของซาตานอยู่ภายในตัวพวกเจ้า สำหรับสิ่งที่พิษของซาตานเป็นนั้น มันสามารถแสดงออกมาอย่างครบถ้วนด้วยคำพูด ตัวอย่างเช่น หากพวกเจ้าถามพวกคนทำชั่วว่าเหตุใดพวกเขาจึงปฏิบัติตนในหนทางที่พวกเขาทำ พวกเขาก็จะตอบว่า ‘เพราะมนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’ วลีเดียวนี้แสดงถึงรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหา ตรรกะของซาตานได้กลายมาเป็นชีวิตของผู้คนไปแล้ว พวกเขาอาจทำสิ่งทั้งหลายเพื่อจุดประสงค์นี้นั้น แต่พวกเขาก็แค่กำลังทำมันเพื่อตัวพวกเขาเอง ทุกคนคิดว่าในเมื่อ มันเป็นว่ามนุษย์ทุกคนทำเพื่อตนเองและมารก็เอาตัวคนรั้งท้ายไป ผู้คนก็ควรดำรงชีวิตเพื่อประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง และทำทุกสิ่งทุกอย่างในอำนาจของพวกเขาเพื่อที่จะรักษาความปลอดภัยให้กับสถานภาพที่ดีเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของอาหารและเครื่องนุ่งห่มอันวิจิตร ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’—นี่คือชีวิตและปรัชญาของมนุษย์ และมันยังเป็นตัวแทนธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย คำพูดเหล่านี้ของซาตานเป็นพิษของซาตานอย่างแน่แท้ และเมื่อผู้คนรับมันไว้ภายใน มันจึงกลายเป็นธรรมชาติของพวกเขา ธรรมชาติของซาตานนั้นถูกเปิดโปงโดยผ่านทางคำพูดเหล่านี้ คำพูดเหล่านี้เป็นตัวแทนซาตานอย่างครบบริบูรณ์ พิษนี้กลายเป็นชีวิตของผู้คนเช่นเดียวกับเป็นรากฐานแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขา และมนุษยชาติซึ่งถูกทำให้เสื่อมทรามก็ได้ถูกครอบงำโดยพิษนี้เป็นเวลาหลายพันปี” (“วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ผมแค่อดไม่ได้ที่จะปฏิบัติตนอย่างเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่น เพราะพิษร้ายและปรัชญาของซาตานอย่าง “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” ได้กลายเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของผมไปแล้ว ผมเห็นมันเป็นเป็นกฎเกณฑ์ดีๆ ที่จะใช้ในการดำเนินชีวิต คิดไปว่าคนควรใช้ชีวิตแบบนั้น คิดว่ามันเป็นทางเดียวที่จะปกป้องตัวเอง ผลก็คือ ผมเห็นแก่ตัวและน่าชังมากขึ้นเรื่อยๆ คิดถึงแต่ตัวเอง ผมกลัวอยู่ตลอดเวลาว่าพี่น้องจางจะดีกว่าผม ในหน้าที่ที่เราทำด้วยกัน ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่เราคุยเรื่องงาน ผมจะแค่พูดบิดเบือนสิ่งต่างๆ ทำให้น้อยที่สุด โดยไม่แบ่งปันทุกอย่างที่ผมรู้ เมื่อพี่น้องจางเจอปัญหาในหน้าที่ของเขา และมาหาผมเพื่อแสวงหา ผมก็ไม่ได้กังวลเรื่องงานของพระนิเวศของพระเจ้า แต่กังวลว่าถ้าผมสอนทุกอย่างให้เขา ผมจะไม่มีโอกาสโดดเด่นในคริสตจักรอีกต่อไป แม้แต่ตอนที่ผมรู้ดีมากว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง ผมก็ยังไม่อยากช่วยเขา ผมเห็นได้ว่าผมไม่ได้ทำหน้าที่ของผม จากการพิจารณาน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า แต่ผมทำเพื่อไล่ตามชื่อเสียงและสถานะของตัวเอง เป็นความเห็นแก่ตัวและเจ้าเล่ห์ของผมอย่างที่สุด ถ้าพึ่งพาพิษแบบซาตานพวกนั้นในหน้าที่ของผม ผมจะได้รับการทรงนำและพระพรของพระเจ้าได้อย่างไร ผมคิดว่าด้วยการไม่สอนสิ่งที่ผมรู้แก่ใครเลย ผมก็สามารถเป็นคนเก่งที่สุดในคริสตจักรและได้รับการนับถือจากทุกคน แต่ที่จริงแล้วปรากฏว่า ยิ่งผมเก็บงำมากเท่าไหร่ จิตวิญญาณของผมก็ยิ่งมืดดำลง และผมก็ไม่มีการทรงนำจากพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น มันไปถึงจุดที่ผมไม่สามารถแม้แต่จะทำสิ่งที่ผมเคยสามารถทำได้ก่อนหน้านั้น แล้วพระวจนะจากองค์พระเยซูเจ้านี้ก็ผุดขึ้นในใจ “เพราะว่าใครมีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้คนนั้นมีเหลือเฟือ แต่คนที่ไม่มีนั้น แม้ที่เขามีอยู่ก็จะเอาไปจากเขา” (มัทธิว 13:12) การผ่านเรื่องนั้นทำให้ผมสำนึกในคุณค่าของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอย่างแท้จริง เมื่อผมใคร่ครวญเพิ่มขึ้น ผมเห็นว่าการสามารถเห็นปัญหาบางประการในหน้าที่ของผมเป็นการทรงนำและการให้ความรู้แจ้งของพระเจ้าทั้งหมด และเมื่อไม่มีการนำจากพระวจนะของพระเจ้า ผมก็ดวงตามืดบอด ไม่สามารถเข้าใจอะไรเลย และไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้ แต่ผมขาดการรู้เท่าทันตัวเองอย่างสิ้นเชิง และผมเข้าใจผิดว่าการทรงให้ความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นความสามารถของผมเองอย่างหน้าไม่อาย นี่ผมพยายามปล้นพระสิริของพระเจ้าจากพระองค์ไม่ใช่หรือ พระเจ้าสามารถทอดพระเนตรเข้าไปในหัวใจและความคิดของผู้คนได้ ผมรู้ว่าถ้าผมยังเห็นแก่ตัวและน่าเหยียดหยามต่อไป ผมจะถูกพระเจ้าทรงปฏิเสธและทรงกำจัดอย่างแน่นอน พอคิดแบบนั้น ผมรีบอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์จะไม่เห็นแก่ตัวและทำตัวน่าเหยียดหยามอย่างมากในหน้าที่ของข้าพระองค์อีกต่อไป ข้าพระองค์อยากทำงานกับพี่น้องจางได้ดีและทำหน้าที่ของข้าพระองค์ได้ดีจริงๆ”
หลังจากนั้น ผมอ่านพระวจนะนี้ของพระเจ้า “จงอย่าทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองเสมอ และจงอย่าพิจารณาผลประโยชน์ทั้งหลายของตัวเจ้าเองเป็นนิตย์ จงอย่าพิจารณาสถานะ เกียรติยศ หรือความมีหน้ามีตาของตัวเจ้าเอง จงอย่าพิจารณาถึงผลประโยชน์ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน อันดับแรกเจ้าต้องพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และทำให้ผลประโยชน์เหล่านั้นมีความสำคัญเป็นที่หนึ่ง เจ้าควรมีความคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและเริ่มโดยการใคร่ครวญว่าเจ้าได้มีราคีในการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงหรือไม่ ว่าเจ้าได้ทำจนถึงที่สุดของเจ้าที่จะจงรักภักดีต่อพระเจ้า ทำดีที่สุดของเจ้าที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า และให้ทั้งหมดของเจ้าไปแล้วหรือยัง ตลอดจนว่าเจ้าได้ให้ความคิดโดยหมดทั้งหัวใจต่อหน้าที่ของเจ้าและงานในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่ เจ้าต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้ จงคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นอยู่เนืองนิจ และจะง่ายยิ่งขึ้นสำหรับเจ้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ได้ดี” (“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) “เมื่อเจ้าเปิดเผยตัวเจ้าเองว่าเห็นแก่ตัวและต่ำศักดิ์ และได้กลับกลายเป็นรู้สึกตัวเกี่ยวกับการนี้ เจ้าควรแสวงหาความจริงว่า ฉันควรทำสิ่งใดเพื่อให้อยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า? ฉันควรปฏิบัติตนอย่างไรเพื่อให้มันเป็นประโยชน์ต่อทุกคน? นั่นคือ เจ้าต้องเริ่มต้นโดยการพักวางผลประโยชน์ของเจ้าเองลง ค่อยๆ ล้มเลิกสิ่งเหล่านั้นไปทีละน้อยโดยสอดคล้องกับวุฒิภาวะของเจ้า หลังจากที่เจ้าได้รับประสบการณ์กับการนี้ไปสักสองสามครั้ง เจ้าก็จะได้พักวางสิ่งเหล่านั้นแล้วอย่างครบบริบูรณ์ และเมื่อเจ้าทำเช่นนั้น เจ้าจะรู้สึกหนักแน่นมั่นคงมากขึ้นทุกที ยิ่งเจ้าพักวางผลประโยชน์ของเจ้าลงมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งรู้สึกว่าในฐานะมนุษย์แล้ว เจ้าควรมีมโนธรรมและมีเหตุผลมากขึ้นเท่านั้น เจ้าจะรู้สึกว่าหากไม่มีสิ่งจูงใจทั้งหลายที่เห็นแก่ตัว เจ้าก็กำลังเป็นบุคคลที่ตรงไปตรงมาและซื่อตรง และเจ้าก็กำลังทำสิ่งทั้งหลายทั้งหมดทั้งมวลเพื่อที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เจ้าจะรู้สึกว่าพฤติกรรมเช่นนั้นทำให้เจ้าควรค่าที่จะถูกเรียกว่า ‘มนุษย์’ และว่าในการดำรงชีวิตแบบนี้บนแผ่นดินโลก เจ้ากำลังเปิดกว้างและซื่อสัตย์ เจ้ากำลังเป็นบุคคลที่จริงแท้ เจ้ามีมโนธรรมที่ชัดเจน และควรค่ากับสรรพสิ่งทั้งมวลที่พระเจ้าประทานให้เจ้า ยิ่งเจ้าดำรงชีวิตเยี่ยงนี้มากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งรู้สึกหนักแน่นมั่นคงและสดใสมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจะไม่ได้ก้าวเท้าไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องแล้วหรอกหรือ?” (“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) หลังจากอ่านพระวจนะนี้ ผมก็เข้าใจว่า หากผมต้องการทำหน้าที่ให้ดี ก่อนอื่นผมต้องคิดเรื่องที่ว่าจะค้ำจุนงานของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างไร จะทุ่มเทเต็มที่ในหน้าที่ของผมอย่างไร และจะทำไปด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ได้อย่างไร พระเจ้าทรงมุ่งไปที่เจตคติของเราในหน้าที่ของเรา พระองค์ทรงหวังว่าเราจะเผชิญพระพักตร์พระองค์ด้วยหัวใจที่จริงแท้ ทรงหวังว่าเราจะทุ่มเทเต็มที่ในการทำหน้าที่ของเราให้ดี และทรงหวังว่าเราจะกลายเป็นคนที่มีมโนธรรมและมนุษยธรรม เมื่อผมเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ ผมก็กล่าวอธิษฐานต่อพระเจ้าในหัวใจของผม บอกพระองค์ว่าผมพร้อมจะปล่อยวางความเห็นแก่ตัวของผม และหยุดพิจารณาผลประโยชน์ส่วนตัวของผม และบอกว่าผมจะทำอะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อคริสตจักรและชีวิตของพี่น้องชายหญิงของผม หลังจากนั้น ผมก็ไปพูดคุยกับพี่น้องจาง บอกเขาเรื่องแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของผม เราแสวงหาความจริงร่วมกัน ในเรื่องปัญหาและข้อบกพร่องในงานของเราเพื่อแก้ไขมันอีกด้วย และผมแบ่งปันสามัคคีธรรมในทุกสิ่งที่ผมรู้ โดยไม่เก็บงำไว้เลย เมื่อผมปฏิบัติแบบนั้น ผมก็ประสบกับความรู้สึกสันติสุขอย่างมาก ผมรู้สึกว่ามันวิเศษแค่ไหนในการเป็นคนแบบนั้น เป็นคนเปิดเผยและตรงไปตรงมา สภาพจิตใจของผมค่อยๆ ดีขึ้น และผมเริ่มเห็นผลบางประการในหน้าที่ของผม แม้ว่าบางครั้งผมยังคงมีความคิดที่เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจของผม แต่ทันทีที่ผมคิดว่านั่นทำให้พระเจ้าทรงรังเกียจแค่ไหน ผมจะมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ละทิ้งความคิดที่ไม่ถูกต้องของผม และปรารถนาจะปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์
เมื่อได้ก้าวผ่านประสบการณ์แบบนั้น ผมรู้สึกจริงๆ ว่าการทำหน้าที่ของเราโดยพึ่งพาอุปนิสัยแบบซาตานและพิษร้ายของซาตาน ทำให้เราเห็นแก่ตัว เลวทราม และทำเพื่อตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ได้เท่านั้น เราจะสูญเสียลักษณะของมนุษย์ไปทั้งหมด ไม่เพียงทำให้ตัวเราเองเจ็บปวด แต่ยังกลายเป็นไม่สามารถทำงานกับคนอื่นได้ดีอีกด้วย อีกอย่าง มันไม่ได้อะไรเลยนอกจากสร้างความเสียหายให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เมื่อผมปฏิบัติความจริงในฐานะคนที่ซื่อสัตย์ตามพระวจนะของพระเจ้า และไม่วางแผนการเพื่อประโยชน์ของตัวเองอีกต่อไป ผมก็มีการให้ความรู้แจ้งและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในหน้าที่ของผม และผมรู้สึกถึงสันติสุขภายใน เป็นการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้า ที่ให้ความเข้าใจเล็กน้อยเกี่ยวกับอุปนิสัยแบบซาตานของผม และในที่สุดผมก็สามารถปฏิบัติตามความจริงและใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ได้บ้างแล้ว