94. ผู้นำต้องไม่ปิดกั้นคนที่มีความสามารถ

โดย เซซิเลีย, ประเทศสเปน

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2020 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ และได้ดูแลงานเกี่ยวกับวิดีโอของคริสตจักร  เพราะฉันยังใหม่กับงานอยู่ เลยไม่คุ้นเคยกับหลักธรรมหลายอย่างและพบเจอปัญหาบ้างขณะทำงาน  ฉันจึงไปหาผู้นำทีมคือพี่น้องหญิงมาร์ชาเพื่อขอคำแนะนำและคำปรึกษา  มาร์ชาคุ้นเคยกับหลักธรรมและงานดี  เธอช่วยเหลือฉันได้มาก  ฉันสังเกตว่าเธอเป็นคนที่ละเอียดถี่ถ้วน ทำหน้าที่อย่างจริงจัง และมีสำนึกรับผิดชอบ  บางครั้งเมื่องานของฉันเยอะเกินไป ฉันจะส่งต่องานบางส่วนให้เธอ  พวกเราเป็นทีมที่ดี

ต่อมา ฉันค่อยๆ รู้ว่าเมื่อไรที่พี่น้องชายหญิงพบเจอปัญหา พวกเขาจะไปหามาร์ชาและถึงกับตัดสินใจทันทีหลังจากพบเธอ  ฉันไม่พอใจสภาพการณ์นี้เท่าไร  ฉันคิดกับตัวเองว่า “ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ฉันจะไม่เสียตำแหน่งผู้นำของฉันหรือ?  แบบนี้ไม่ได้แล้ว  ในอนาคตฉันจะทำงานที่ฉันได้รับมอบหมายทั้งหมดเองและจะไม่ขอให้มาร์ชาช่วย  ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะคิดว่าเธอเป็นคนทำงานที่ดีและมีความสามารถ”  ครั้งหนึ่ง มาร์ชาพบว่าพี่น้องชายคนหนึ่งไม่ค่อยมีความคืบหน้าในงานผลิตวิดีโอของเขา  เมื่อเธอตรวจสอบก็ค้นพบว่าเขามีทักษะไม่ดีพอ และเขาไม่แสวงหาหลักธรรมในหน้าที่ของตน จึงต้องแก้งานใหม่อยู่บ่อยๆ  เธอมอบหมายให้พี่น้องชายอีกคนที่มีความสามารถมากกว่ามาช่วยเขา  ฉันไม่รู้เรื่องนี้จนเวลาผ่านไปแล้วระยะหนึ่ง  มาร์ชาตัดสินใจถูกแล้ว แต่ฉันยังคงรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อยกับสถานการณ์ดังกล่าว  ฉันรู้สึกว่าการตัดสินใจเรื่องใหญ่ขนาดนี้โดยไม่ให้ฉันรู้ก่อนแสดงถึงการไม่ให้เกียรติ  ฉันกลายเป็นผู้นำที่มีไว้ประดับไปแล้วหรือ?  ต่อมา ฉันถามเธอว่าทำไมถึงไม่แจ้งเรื่องนี้ให้ฉันรู้ก่อน  แต่ฉันก็ต้องประหลาดใจเมื่อเธอพูดว่า “ฉันยุ่งอยู่และลืมบอกคุณ”  พอได้ยินแบบนั้น ฉันก็อารมณ์เสียและคิดในใจว่า “คุณมีอำนาจตัดสินใจมากขึ้นเรื่อยๆ และตัดสินใจโดยไม่ถามความเห็นชอบจากฉันก่อน  คุณไม่เคารพฉันเลยสักนิด!  นั่นไม่ทำให้ดูเหมือนว่าคริสตจักรไม่ต้องการฉันแล้วหรอกหรือ?  ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป พี่น้องชายหญิงจะคิดกับฉันอย่างไร?  พวกเขาจะต้องคิดว่าฉันไร้ประโยชน์แน่นอน  แล้วฉันจะรับใช้ในฐานะผู้นำได้อย่างไร?”  เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ความรู้สึกตื่นตระหนกของฉันก็ยิ่งรุนแรงขึ้น  มีอีกครั้งหนึ่ง มาร์ชาบอกฉันว่าเธอรวบรวมสื่อการเรียนรู้บางอย่างเอาไว้และวางแผนจะให้ทุกคนมาเรียนรู้ทักษะบางอย่างด้วยกัน  ฉันรู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้ยินแบบนี้และคิดว่า “บางครั้งฉันก็เป็นคนคอยเตือนคุณให้ทำเรื่องนี้ แต่แล้ว พอพวกเราคุยกันจบ คุณกลับเป็นคนที่ได้สามัคคีธรรมและนำคนอื่น  ไม่มีใครรู้เรื่องงานที่ฉันทำอยู่เบื้องหลังเลย แล้วทุกคนก็ต้องคิดว่าคุณแบกรับภาระหนักกว่าฉัน  ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่อีก ฉันจะรักษาตำแหน่งผู้นำของตัวเองไว้ได้อย่างไร?”  ที่จริงแล้ว ฉันรู้ว่าเป็นความรับผิดชอบของมาร์ชาที่จะต้องนำพี่น้องชายหญิงในการศึกษาและฉันรู้ว่างานนี้รอช้าไม่ได้ ดังนั้นฉันจึงไม่ควรทำให้เป็นเรื่องขึ้นมา  แต่ฉันแค่ไม่อยากให้มาร์ชาจัดการงานนี้  ฉันคิดว่า “มาร์ชามีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงบางงานที่ฉันรับผิดชอบ  คนอื่นก็เลือกที่จะไปหาเธอเวลาพวกเขามีปัญหา  ฉันจะถูกเธอแทนที่ในอีกไม่ช้าแล้วหรือเปล่า?”  ความคิดทั้งหมดนี้ทำให้ฉันไม่พอใจมาก  ฉันเลยเริ่มมองหาข้อเสียและปัญหาในงานของเธอ  ฉันอยากแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเธอไม่ได้เก่งในงานของเธอขนาดนั้น และฉันมีความสามารถมากกว่าอยู่ดี

วันหนึ่ง ระหว่างที่หารือกับผู้นำระดับสูงขึ้นไปเรื่องงานของพวกเรา เธอก็พูดขึ้นมาลอยๆ ว่าหนึ่งในโครงการวิดีโอของมาร์ชาไม่ค่อยคืบหน้า  นี่เป็นสิ่งที่ฉันอยากได้ยินพอดีและฉันก็ตอบไปทันทีว่า “ใช่แล้ว  เธอได้รับมอบหมายโครงการเยอะมาก แต่เธอจัดการทั้งหมดไม่ได้ บางโครงการที่เธอทำอยู่ไม่ค่อยจะเกิดผลเท่าไรเช่นกัน  ฉันคิดว่าอย่ามอบงานให้เธอมากเกินไปจะเป็นการดีที่สุด  เธอไม่ควรได้รับมอบอำนาจในการตัดสินใจมากขนาดนี้”  พอพูดไปแบบนี้ ฉันก็รู้สึกผิดนิดหน่อยว่าฉันพูดอะไรแบบนั้นได้อย่างไร?  หน้าที่คือพระบัญชาของพระเจ้า  ฉันพูดอย่างกับว่าฉันมอบหมายหน้าที่เหล่านี้ให้เธอ อย่างกับว่าฉันมอบอำนาจตัดสินใจในการทำงานเหล่านี้ให้เธอ และตอนนี้ฉันก็กำลังจะยึดอำนาจนี้คืน  ฉันอยู่ในตำแหน่งที่ผิดไม่ใช่หรือ?  ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะพูดอะไรแบบนั้นออกไปได้และรู้สึกตกใจกับตัวเองมากเอาการ  นอกจากนี้ บางส่วนของงานนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งในหน้าที่ของมาร์ชา แต่ฉันกลับพยายามจะไม่ให้เธอได้ทำส่วนนั้นและมองหาข้อบกพร่องในงานของเธอ  ฉันอยากให้ทุกคนเห็นว่าเธอไม่ใช่คนทำงานที่ดีและเธอด้อยกว่าฉัน  ฉันทำตัวน่าดูหมิ่นขนาดนี้ได้อย่างไร?

หลังจากนั้น ฉันเริ่มมองหาบทตอนที่เกี่ยวข้องในพระวจนะของพระเจ้าเพื่อแก้ไขสภาวะของฉัน  ฉันเจอบทตอนหนึ่งที่พระเจ้าทรงเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ซึ่งตรงกับสภาวะของฉัน  พระเจ้าตรัสว่า “แก่นแท้ของศัตรูพระคริสต์มีลักษณะที่เด่นชัดที่สุดอยู่อย่างหนึ่งคือ พวกเขาผูกขาดอำนาจและใช้ความเผด็จการของตนเอง กล่าวคือ พวกเขาไม่ฟังใคร  ไม่ให้ความเคารพผู้ใด และไม่ว่าผู้คนจะมีจุดแข็งอันใด หรือแสดงทัศนะที่ถูกต้องหรือความคิดเห็นด้วยปัญญาว่าอย่างไร หรือเสนอวิธีการอะไรที่เหมาะสม พวกเขาก็ไม่สนใจ เหมือนว่าไม่มีใครมีคุณสมบัติที่จะร่วมมือกับตน หรือมีส่วนร่วมในสิ่งใดก็ตามที่ตนทำอยู่  นี่คืออุปนิสัยแบบที่ศัตรูของพระคริสต์มี  บางคนบอกว่านี่คือความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี—แต่จะเป็นความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดีซึ่งพบเห็นกันทั่วไปได้อย่างไร?  นี่คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานโดยแท้ และอุปนิสัยเยี่ยงนี้ก็โหดร้ายอย่างยิ่ง  เหตุใดเราจึงบอกว่าอุปนิสัยของพวกเขาโหดร้ายอย่างยิ่ง?  ศัตรูของพระคริสต์ยึดทุกสิ่งไปจากพระนิเวศของพระเจ้าและยึดเอาทรัพย์สินของคริสตจักร ทำเหมือนสิ่งเหล่านั้นเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของตนเอง จึงต้องให้ตนบริหารจัดการทั้งหมด และพวกเขาไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าไปก้าวก่ายเรื่องนี้  สิ่งเดียวที่พวกเขานึกถึงเวลาทำงานของคริสตจักรก็คือผลประโยชน์ของตนเอง สถานะของตนเอง และความภาคภูมิใจของตนเอง  พวกเขาไม่ยอมให้ใครทำให้ผลประโยชน์ของตนเสียหาย และยิ่งไม่ยอมให้คนที่มีขีดความสามารถหรือคนที่กล่าวคำพยานจากประสบการณ์ของตนได้ มาคุกคามความมีหน้ามีตาและสถานะของพวกเขา… เมื่อใครบางคนทำให้ตนเองโดดเด่นขึ้นมาด้วยงานเล็กๆ น้อยๆ หรือเมื่อใครบางคนสามารถกล่าวคำพยานจากประสบการณ์จริง และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้รับประโยชน์ ได้รับความเจริญใจ และการเกื้อหนุน รวมทั้งได้รับการสรรเสริญจากทุกคนอย่างใหญ่หลวง ความอิจฉาและความเกลียดชังก็จะพอกพูนขึ้นในหัวใจของศัตรูพระคริสต์ พวกเขาพยายามกีดกันและกำราบคนคนนั้นเอาไว้  ไม่ว่าภายใต้รูปการณ์แบบใดพวกเขาก็ไม่ยอมให้ผู้คนดังกล่าวได้ทำงาน เพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้คุกคามสถานะของตน… ศัตรูของพระคริสต์คิดในใจว่า ‘ไม่มีทางที่ฉันจะยอมทนเรื่องนี้  คุณอยากมีบทบาทในพื้นที่ของฉัน อยากแข่งกับฉัน  นั่นย่อมทำไม่ได้ อย่าคิดที่จะทำด้วยซ้ำ  คุณมีการศึกษาสูงกว่าฉัน พูดจาฉะฉานกว่า ได้รับความนิยมมากกว่าฉัน และคุณก็ไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยความขยันหมั่นเพียรมากกว่าฉัน  ถ้าฉันร่วมมือกับคุณและคุณแย่งความสนใจไปจากฉัน แบบนั้นฉันจะทำอย่างไร?’  พวกเขาคำนึงถึงประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่?  ไม่  พวกเขาคิดถึงอะไร?  พวกเขาเอาแต่คิดหาวิธีรักษาสถานะของตน  แม้ศัตรูของพระคริสต์จะรู้ตัวว่าไม่สามารถทำงานจริงได้ แต่พวกเขาก็ไม่บ่มเพาะหรือส่งเสริมผู้คนที่มีขีดความสามารถดีและไล่ตามเสาะหาความจริง ผู้คนกลุ่มเดียวที่พวกเขาส่งเสริมคือคนที่ยกยอพวกเขา พร้อมที่จะเคารพบูชาผู้อื่น เห็นชอบและเลื่อมใสพวกเขาอยู่ในหัวใจ เป็นคนที่ประสานงานคล่อง ไม่เข้าใจความจริง และไม่สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะอะไรได้(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง))  ในอดีต ฉันคิดเสมอว่าบทตอนนี้เปิดโปงศัตรูของพระคริสต์และไม่เกี่ยวกับฉัน  แต่แล้วฉันก็ตระหนักว่าอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูพระคริสต์ของฉันนี้ร้ายแรงทีเดียว  ตอนแรก ฉันนึกถึงว่ามาร์ชามีความรับผิดชอบและทำงานหนักขนาดไหน ฉันจึงยินดีที่จะมอบหมายงานบางส่วนของฉันให้เธอทำ แต่พอฉันเห็นว่าคนอื่นชื่นชมเธอ ไปหาเธอพร้อมกับคำถามมากมายของพวกเขา และเธอก็ดำเนินบางโครงการไปโดยไม่ผ่านฉันก่อน ฉันจึงกังวลว่าเธอจะแย่งความสนใจและผลงานไปจากฉัน และรู้สึกว่าเธอเป็นภัยคุกคามสถานะของฉัน ฉันเลยพยายามทำให้เธอไม่ได้มีส่วนร่วมในโครงการต่างๆ ไปมากกว่านี้ รวมถึงโครงการที่จริงๆ แล้วเป็นส่วนหนึ่งในหน้าที่ของเธอด้วย  ฉันห่วงว่าถ้าเธอทำได้ดี พี่น้องชายหญิงจะยิ่งชื่นชมเธอมากขึ้นและฉันจะดูแย่ลงเมื่อเทียบกัน  ฉันถึงกับชักจูงผู้นำระดับสูงขึ้นไปในทางที่ผิด ไม่ให้มอบงานแก่มาร์ชามากขึ้น  พอคิดทบทวนพฤติกรรมเหล่านี้แล้ว ฉันก็มองเห็นว่าฉันไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์จริงๆ และกำลังกีดกันคนอื่นเพื่อรักษาสถานะของตนเองอย่างชัดเจน  ศัตรูของพระคริสต์ให้ค่ากับอำนาจในการตัดสินใจเหนือสิ่งอื่นใดและไม่เคยคำนึงถึงงานหรือผลประโยชน์ของคริสตจักรเลย  ไม่ว่างานอะไรก็ตามที่พวกเขาทำ พวกเขาจะสนใจเพียงสถานะของตนเอง และเมื่อใครมีความสามารถมากกว่าและเป็นภัยคุกคามสถานะของพวกเขา พวกเขาก็จะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อข่มปรามและกีดกันคนเหล่านั้นไม่ให้พวกเขามีบทบาทสำคัญในหน้าที่ใดๆ ที่พวกเขารับผิดชอบอยู่  พฤติกรรมของฉันต่างจากศัตรูของพระคริสต์บ้างไหม?  ฉันทำเหมือนกับว่างานของคริสตจักรเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว  เวลาพิจารณาว่าจะมอบหมายหน้าที่ไหนให้ใครและควรมอบหมายงานให้มากเท่าใด ฉันจะห่วงเสมอว่าพวกเขาจะคุกคามสถานะและชื่อเสียงของฉันไหม  ฉันไม่ได้คิดสักนิดว่าสิ่งนี้จะส่งผลกับงานของคริสตจักรอย่างไร  ฉันถึงกับข่มปรามและกีดกันผู้คนเพื่อรักษาสถานะของตนเอง ซึ่งเปิดโปงอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ของฉัน  ฉันนี่แย่จริงๆ!

ฉันเจอบทตอนนี้ที่ว่า “เมื่อบุคคลผู้หนึ่งเห็นใครบางคนดีกว่าตน และพยายามโค่นล้มคนเหล่านั้น แพร่ข่าวลือเกี่ยวกับคนเหล่านั้น หรือใช้วิธีการที่น่าดูหมิ่นมาหาความคนเหล่านั้นและบ่อนทำลายชื่อเสียงของคนเหล่านั้น—ถึงกับเหยียบย่ำคนเหล่านั้นไปทั่ว—เพื่อปกป้องที่ทางของตนเองในความรู้สึกนึกคิดของผู้คน นี่คืออุปนิสัยแบบใด?  นี่ไม่ใช่ความโอหังและความทะนงตนเท่านั้น แต่เป็นอุปนิสัยของซาตาน เป็นอุปนิสัยที่มุ่งร้าย  การที่บุคคลผู้นี้สามารถโจมตีและทำให้ผู้คนที่ดีกว่าและแกร่งกว่าตนหมางใจกันได้นั้นย่อมเลวและร้ายกาจ  และการที่พวกเขาโค่นล้มผู้คนอย่างไม่หยุดยั้งก็แสดงให้เห็นว่ามีมารอยู่ในตัวพวกเขามากมาย!  เมื่อใช้ชีวิตตามอุปนิสัยของซาตาน พวกเขาย่อมโน้มเอียงที่จะดูเบาผู้คน ที่จะพยายามใส่ความผู้คน ทำให้สิ่งทั้งหลายยากสำหรับผู้คน  นี่ไม่ใช่การทำชั่วหรอกหรือ?  และแม้จะใช้ชีวิตเยี่ยงนี้ พวกเขาก็ยังคงคิดว่าพวกเขาใช้ได้ ว่าพวกเขาเป็นคนดี—แต่ทว่าเมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนดีกว่าตน พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะทำให้คนเหล่านั้นลำบากและเหยียบย่ำคนเหล่านั้นทั่วทั้งตัว  ประเด็นปัญหาตรงนี้คืออะไร?  ผู้คนที่สามารถประพฤติชั่วเช่นนั้นย่อมไม่ซื่อสัตย์และไม่ฟังใครมิใช่หรือ?  ผู้คนเช่นนั้นคิดถึงผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น พวกเขาคำนึงถึงความรู้สึกของตนเองเท่านั้น และทั้งหมดที่พวกเขาต้องการก็คือการสัมฤทธิ์ความอยากได้อยากมี ความมักใหญ่ใฝ่สูง และจุดมุ่งหมายของตนเอง  พวกเขาไม่ใส่ใจว่าพวกเขาก่อความเสียหายให้กับงานของคริสตจักรมากเพียงใด และพวกเขาเลือกที่จะพลีอุทิศผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อปกป้องสถานะของตนในความรู้สึกนึกคิดของผู้คนและความมีหน้ามีตาของตนเองเสียมากกว่า  ผู้คนเช่นนี้ไม่โอหัง คิดว่าตนชอบธรรมเสมอ เห็นแก่ตัว และต่ำทรามหรอกหรือ?  คนพวกนี้ไม่เพียงโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอเท่านั้น พวกเขายังเห็นแก่ตัวและต่ำทรามเป็นที่สุดอีกด้วย  พวกเขาไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเลย  คนพวกนี้มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขาไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเลย  นี่คือสาเหตุที่พวกเขาปฏิบัติตนอย่างไม่รู้จักยั้งคิดและทำทุกสิ่งตามที่ตนต้องการ โดยปราศจากสำนึกของการติเตียน ไม่มีความหวั่นเกรงอันใด ไม่มีความประหวั่นพรั่นใจหรือกังวลใจอันใด และไร้ซึ่งการคำนึงถึงผลที่จะตามมา  พวกเขาทำเช่นนี้บ่อยครั้ง และประพฤติตนเช่นนี้เสมอมา  อะไรคือธรรมชาติของพฤติกรรมเช่นนี้?  พูดอย่างเบาๆ ก็คือ ผู้คนเช่นนี้มีความอิจฉามากเกินไป ความอยากมีหน้ามีตาและความอยากได้สถานะของพวกเขาก็รุนแรงเกินไป พวกเขาหลอกลวงและยอกย้อนเกินไป  พูดให้แรงกว่านั้นก็คือ แก่นแท้ของปัญหาอยู่ที่ผู้คนเช่นนี้ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเลย  พวกเขาไม่เกรงกลัวพระเจ้า พวกเขาเชื่อว่าตัวพวกเขาเองสำคัญที่สุด และพวกเขาถือว่าทุกแง่มุมของตัวพวกเขาเองสูงส่งกว่าพระเจ้าและสูงส่งกว่าความจริง  ในหัวใจของพวกเขา พระเจ้าไม่ทรงมีค่าควรให้เอ่ยถึง และไม่ทรงมีนัยสำคัญ และพระเจ้าจึงไม่ทรงมีสถานะในหัวใจพวกเขาแต่อย่างใดเลย  พวกที่ไม่มีที่สำหรับพระเจ้าในหัวใจพวกเขาและพวกที่ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้หรือไม่?  แน่นอนที่สุดว่าไม่ได้  ดังนั้นแล้ว ตอนที่พวกเขามักจะเที่ยวทำตัวเองให้มีธุระยุ่งหัวหมุนไปทั่ว และทุ่มเทพลังงานไปค่อนข้างมากมายนั้น พวกเขากำลังทำอะไรหรือ?  ผู้คนเช่นนั้นถึงกับกล่าวอ้างว่าได้ทอดทิ้งทุกสิ่งเพื่อที่จะสละเพื่อพระเจ้าและได้ทนทุกข์ไปอย่างมหาศาล แต่อันที่จริงแล้ว สิ่งจูงใจ หลักธรรมและวัตถุประสงค์ของการกระทำทั้งหมดของพวกเขานั้นเป็นไปเพื่อสถานะและเกียรติยศของพวกเขาเอง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทั้งปวงของพวกเขา  พวกเจ้าจะพูดหรือจะไม่พูด ว่าบุคคลจำพวกนี้ร้ายแรง?  คนที่ไม่เคารพพระเจ้านั้นเป็นบุคคลจำพวกไหนหรือ?  พวกเขาไม่โอหังหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ใช่ซาตานหรอกหรือ?  สิ่งประเภทใดกันที่ไม่เคารพพระเจ้า?  ผู้คนประเภทใดหรือที่ได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่กระนั้นกลับไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเลย?  พวกเขาไม่ได้โอหังหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ใช่ซาตานกันหรอกหรือ?  แล้วหัวใจของสิ่งใดที่ไม่ยำเกรงพระเจ้ามากที่สุด?  นอกเหนือจากพวกสัตว์ร้ายแล้ว ก็คือพวกคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ หมู่มารและพลพรรคของซาตานนั่นเอง  พวกเขาไม่ยอมรับความจริงเลย พวกเขาไร้ซึ่งหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  พวกเขาสามารถทำความชั่วเช่นไรก็ได้ พวกเขาคือศัตรูของพระเจ้า และศัตรูของประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เงื่อนไขห้าประการที่ต้องทำเพื่อออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า)  พอได้อ่านพระวจนะแล้ว ฉันก็รู้สึกราวกับว่าพระองค์ทรงอยู่ตรงนั้น พิพากษาฉัน  เป็นที่ชัดเจนว่างานที่มาร์ชาดูแลไม่มีปัญหาเลย แต่เพราะเธอเป็นภัยคุกคามสถานะของฉัน ฉันจึงหาทางข่มปรามเธอ ลิดรอนโอกาสของเธอเพื่อดูเบาเธอต่อหน้าผู้นำระดับสูงขึ้นไป หวังจะชักนำในทางที่ผิดให้เธอมอบงานแก่มาร์ชาน้อยลงเพื่อที่ฝ่ายหลังจะได้ไม่มาแทนที่ตำแหน่งของฉัน  ฉันข่มปรามและลงโทษคนอื่นเพื่อเสริมให้สถานะของตนเองมั่นคง  ฉันมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าบ้างไหม?  ฉันใช้ชีวิตตามพิษของซาตานเช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “จ่าฝูงมีได้เพียงหนึ่ง” และ “ทั่วทั้งจักรวาลนี้ เราเท่านั้นที่ครองราชย์สูงสุด”  ฉันเห็นแก่ตัวและโอหังมาก  ฉันนึกถึงพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ทั้งทรราชย์และเผด็จการ ปราบปรามและกีดกันใครก็ตามที่เป็นภัยคุกคามตำแหน่งของพรรค ฉันก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่หรือ?  ฉันข่มปรามพี่น้องชายหญิงที่มีความสามารถและทำงานมีประสิทธิผล  ฉันพยายามสถาปนาสิทธิอำนาจของตนในคริสตจักร พยายามทำให้พี่น้องชายหญิงเอาแต่ชื่นชมฉันและมีฉันอยู่ในหัวใจเท่านั้น  ฉันกำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์!  ฉันนึกถึงศัตรูของพระคริสต์เหล่านั้นที่ใช้ทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ลงโทษและทารุณผู้คนเพื่อที่จะรักษาสถานะของตน ปฏิบัติต่อทุกคนที่เป็นภัยคุกคามสถานะของตนเหมือนเป็นหนามยอกเนื้อหนังของตน กล่าวหาพวกเขาอย่างผิดๆ ลงโทษพวกเขา และไม่มีวันยอมแพ้จนกว่าตัวเองจะถูกขับไล่  หลังจากทำชั่วไปสารพัดชนิด ศัตรูของพระคริสต์เหล่านั้นก็ถูกขับไล่ออกจากพระนิเวศของพระเจ้าในท้ายที่สุด  ถ้าฉันเป็นอย่างนั้นต่อไปและกลับใจไม่ได้ สุดท้ายแล้วฉันก็จะพบชะตากรรมแบบเดียวกันไม่ใช่หรือ?  พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการแยกแยะศัตรูของพระคริสต์และวิธีหลีกเลี่ยงการเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์มาโดยตลอด  พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมไว้ชัดเจนมากเกี่ยวกับความจริงในแง่มุมนี้ เพื่อให้พวกเรามีวิจารณญาณแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ ทบทวนพฤติกรรมเยี่ยงศัตรูพระคริสต์ของพวกเรา และไล่ตามเสาะหาความจริง การกลับใจ และการเปลี่ยนแปลง  แต่ฉันไม่ได้มุ่งเน้นที่การแก้ไขอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ในการทำงานของฉัน ไม่ได้ใคร่ครวญว่าจะทำหน้าที่ของตนและปกป้องงานของคริสตจักรให้ดีที่สุดอย่างไร  ฉันกลับแก่งแย่งสถานะ ปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนเหมือนเป็นกิจการของตัวเอง เหมือนเป็นวิถีทางให้ได้มาซึ่งสถานะและความเลื่อมใสของพี่น้องชายหญิง และต้องการกุมอำนาจตัดสินใจทั้งหมดในหน้าที่ของตน  ฉันเสียการควบคุมตัวเองเพราะความอยากได้อยากมีของฉัน

ครั้งหนึ่งในระหว่างการเฝ้าเดี่ยว ฉันเจอพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอนที่เป็นประโยชน์อย่างมาก  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน หากเจ้าคิดอยู่เสมอว่าตัวเองเหนือกว่าผู้อื่น และสุขสำราญในหน้าที่ของเจ้าเสมือนเจ้าหน้าที่รัฐ ปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงระเริงไปกับผลประโยชน์แห่งสถานะของเจ้าอยู่เสมอ สร้างแผนการของตัวเองอยู่เสมอ คิดคำนึงและชื่นชมกับชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตัวเองอยู่เสมอ ดำเนินการของตัวเองอยู่เสมอ และพยายามให้ได้รับสถานะที่สูงขึ้นอยู่เสมอ พยายามบริหารจัดการและควบคุมผู้คนให้มากขึ้น และพยายามขยายขอบเขตอำนาจของเจ้า นี่ย่อมสร้างความเดือดร้อน  การปฏิบัติต่อหน้าที่อันสำคัญเสมือนโอกาสที่จะสุขสำราญกับตำแหน่งของเจ้าราวกับว่าเจ้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นสิ่งที่อันตรายมาก  หากเจ้าปฏิบัติตัวเช่นนี้ตลอดเวลา ไม่ปรารถนาที่จะร่วมมือกับผู้อื่น ไม่ต้องการลดทอนและแบ่งปันอำนาจของตนกับผู้อื่น ไม่ต้องการให้ผู้ใดได้เปรียบเจ้า ขโมยความเป็นจุดสนใจ หากเจ้าต้องการสุขสำราญกับอำนาจเพียงลำพังตัวเจ้าเท่านั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือศัตรูของพระคริสต์  แต่หากมีบ่อยครั้งที่เจ้าแสวงหาความจริง ปฏิบัติการกบฏต่อเนื้อหนัง แรงจูงใจและแนวคิดของเจ้า และสามารถอาสาเข้ามาร่วมมือกับผู้อื่น เปิดใจปรึกษาหารือและแสวงหาร่วมกับผู้อื่น รับฟังแนวคิดและข้อเสนอแนะของผู้อื่น และยอมรับคำแนะนำที่ถูกต้องและเป็นไปตามความจริงไม่ว่าจะมาจากผู้ใด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังปฏิบัติอย่างมีปัญญาและถูกต้อง และสามารถหลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางที่ผิด ซึ่งเป็นการปกป้องตัวเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง))  “ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสำคัญหรือไม่ เจ้าจำเป็นจะต้องมีใครสักคนอยู่ตรงนั้นเสมอเพื่อคอยช่วยเหลือเจ้า ให้คำชี้แนะและคำแนะนำ หรือร่วมมือทำสิ่งต่างๆ กับเจ้า  นี่เป็นทางเดียวที่จะแน่ใจได้ว่าเจ้าจะทำสิ่งทั้งหลายให้ถูกต้องยิ่งขึ้น ผิดพลาดน้อยลง และมีแนวโน้มที่จะหลงผิดน้อยลง—นี่จึงเป็นเรื่องดี  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับใช้พระเจ้านั้นเป็นเรื่องใหญ่ และการไม่แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองก็อาจทำให้เจ้ามีภัยได้!  เมื่อผู้คนมีอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน พวกเขาสามารถต่อต้านและกบฏต่อพระเจ้าเมื่อใดและที่ใดก็ได้  ผู้คนที่ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานสามารถปฏิเสธ ต่อต้าน และทรยศพระเจ้าได้ทุกเมื่อ  ศัตรูของพระคริสต์นั้นโง่เขลามาก พวกเขาไม่ตระหนักในเรื่องนี้ คิดไปว่า ‘กว่าจะมีอำนาจ ฉันก็เจอปัญหามามากพอแล้ว จะแบ่งอำนาจให้ใครอื่นเพื่ออะไร?  การมอบอำนาจให้คนอื่นหมายความว่าฉันจะไม่มีอำนาจเป็นของตัวเองไม่ใช่หรือ?  แล้วถ้าไม่มีอำนาจ ฉันจะแสดงความสามารถพิเศษและฝีมือของตัวเองได้อย่างไร?’  พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้ผู้คนนั้นไม่ใช่อำนาจหรือสถานะ แต่เป็นหน้าที่  ศัตรูของพระคริสต์ยอมรับแต่อำนาจและสถานะเท่านั้น พวกเขาละเลยหน้าที่ และไม่ทำงานจริง  แต่กลับไล่ตามไขว่คว้าเพียงชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ เอาแต่อยากชิงอำนาจ ควบคุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และหลงระเริงกับผลประโยชน์จากสถานะเท่านั้น  การทำสิ่งต่างๆ แบบนี้อันตรายมาก—นี่คือการต่อต้านพระเจ้า!  ใครก็ตามที่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ แทนที่จะทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม ย่อมกำลังเล่นกับไฟและเล่นกับชีวิตของตนเอง  ผู้ที่เล่นกับไฟและชีวิตของตนย่อมจะพาให้ตัวเองจบสิ้นได้ทุกขณะ  วันนี้ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน เจ้ากำลังรับใช้พระเจ้า ซึ่งไม่ใช่เรื่องธรรมดา  เจ้าไม่ได้กำลังทำสิ่งต่างๆ เพื่อใครบางคน และยิ่งไม่ได้ทำงานเพื่อชำระค่าใช้จ่ายและหาอาหารมาเลี้ยงดูครอบครัว แต่เจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนในคริสตจักร  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงว่าหน้าที่นี้มาจากพระบัญชาของพระเจ้า การปฏิบัติหน้าที่แสดงนัยว่าอย่างไร?  ว่าเจ้าต้องรายงานหน้าที่ของเจ้าต่อพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีหรือไม่ก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วต้องมีคำอธิบายต่อพระเจ้า และต้องมีผลลัพธ์  สิ่งที่เจ้าได้รับไว้แล้วคือพระบัญชาของพระเจ้า เป็นความรับผิดชอบอันศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นไม่ว่าความรับผิดชอบนี้จะสำคัญหรือเล็กน้อยเพียงใด ก็เป็นเรื่องจริงจัง  จริงจังขนาดไหน?  ถ้ามองในวงแคบ นี่คือเรื่องที่ว่าเจ้าสามารถได้มาซึ่งความจริงในชีวิตนี้หรือไม่และพระเจ้าทรงมองเจ้าว่าอย่างไร  ถ้ามองภาพให้กว้างขึ้น นี่สัมพันธ์โดยตรงกับโอกาสในอนาคตและชะตากรรม รวมทั้งจุดจบของเจ้า ถ้าเจ้าทำความชั่วและต่อต้านพระเจ้า เจ้าก็จะถูกกล่าวโทษและลงทัณฑ์  พระเจ้าทรงบันทึกทุกสิ่งที่เจ้าทำเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน พระเจ้าทรงมีหลักธรรมและมาตรฐานของพระองค์เองว่าจะให้คะแนนและประเมินอย่างไร พระเจ้าทรงพิจารณาจุดจบของเจ้าตามทุกสิ่งที่เจ้าสำแดงออกมาเวลาปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง))  ที่ผ่านมา ฉันมองตำแหน่งผู้นำเหมือนเป็นสัญลักษณ์ทางด้านสถานะ  หลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้วเท่านั้นที่ฉันตระหนักว่าหน้าที่ของฉันคือพระบัญชาที่พระเจ้าทรงมอบให้ฉัน เป็นความรับผิดชอบ และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสถานะและสิทธิอำนาจเลย  การทำหน้าที่ในคริสตจักรของคนเราไม่มีการแบ่งแยกสถานะว่าต่ำหรือสูง  ทุกคนทำตามความรับผิดชอบในตำแหน่งของตนเองให้ลุล่วง  หลังจากที่ได้เป็นผู้นำแล้ว ฉันมีโอกาสให้ฝึกฝนปฏิบัติมากมาย และฉันค่อยๆ เรียนรู้วิธีกระทำการตามหลักธรรมและได้เข้าใจความจริงบางอย่าง  พระเจ้าทรงมอบหมายให้พี่น้องชายหญิงที่มีความสามารถเป็นพิเศษและเข้าใจหลักธรรมมาทำงานกับฉันเพื่อให้ฉันสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างดีที่สุดและทำงานของคริสตจักรให้ดี  แต่ฉันไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือทำงานกับคนอื่นอย่างปรองดอง  ฉันกลับทะนุถนอมสถานะและถึงขั้นข่มปรามและกีดกันคนอื่นเพื่อรักษาสถานะของฉัน พรากโอกาสในการฝึกฝนปฏิบัติของพี่น้องชายหญิง  ฉันไม่เพียงทำร้ายพี่น้องชายหญิงของตนเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดผลกระทบกับงานของคริสตจักรด้วย  ดูจากพฤติกรรมทั้งหมดของฉันแล้ว ฉันไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำจริงๆ  ฉันไม่อยากเดินต่อไปบนเส้นทางที่ผิดนี้  ฉันแค่อยากจะทำงานที่ตนรับผิดชอบอย่างซื่อสัตย์และอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง อยากทำหน้าที่ของตัวเองให้ลุล่วงเท่านั้น  หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มพยายามขยันทำหน้าที่มากขึ้น และพอเห็นคนอื่นไปหามาร์ชาพร้อมกับคำถาม ฉันก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอย่างเมื่อก่อนเท่าไรแล้ว และเลิกกังวลว่าพวกเขาจะยอมรับนับถือเธอแทนฉัน  ฉันคิดเพียงว่าจะทำงานกับมาร์ชาให้ดีที่สุดเพื่อทำหน้าที่ของพวกเราให้ลุล่วงได้อย่างไร  พอฉันสังเกตเห็นว่ามาร์ชามีปัญหากับงานของเธอ ฉันก็จะสื่อสารกับเธอและช่วยให้เธอทำงานต่อได้  พอบางโครงการดำเนินการได้ช้า ฉันก็จะหารือกับเธอเกี่ยวกับวิธีเพิ่มประสิทธิภาพ  ถ้าฉันขาดความเข้าใจเชิงลึกหรือไม่รู้จะจัดการบางปัญหาอย่างไร ฉันก็จะไปหาเธอเพื่อสามัคคีธรรม  เมื่อเวลาผ่านไป พวกเราก็เริ่มทำงานด้วยกันได้ดีขึ้นเรื่อยๆ และฉันก็รู้สึกมั่นคงและเป็นอิสระ

ฉันยังนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “ในฐานะผู้นำคริสตจักร เจ้าไม่เพียงจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะใช้ความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเท่านั้น เจ้ายังจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะค้นพบและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถพิเศษ และเจ้าต้องไม่ริษยาหรือกดขี่คนเหล่านี้เด็ดขาด  การปฏิบัติเช่นนี้ย่อมเป็นผลดีต่องานของคริสตจักร  หากเจ้าสามารถบ่มเพาะให้ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงสักสองสามคนร่วมมือกับเจ้าได้และทำงานทั้งปวงได้ดี และในท้ายที่สุดพวกเจ้าทุกคนก็มีคำพยานจากประสบการณ์ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมเป็นผู้นำหรือคนทำงานที่มีคุณสมบัติเหมาะสม  หากเจ้าสามารถรับมือทุกสิ่งได้ตามหลักธรรม เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จงรักภักดี  บางคนกลัวอยู่เสมอว่าผู้อื่นจะเก่งกว่าตนหรืออยู่เหนือตน ว่าผู้อื่นจะได้รับการยอมรับขณะที่ตนถูกมองข้าม และนี่ก็พาให้พวกเขาเล่นงานและกีดกันผู้อื่น  นี่เป็นเรื่องของการอิจฉาผู้คนที่มีความสามารถพิเศษมิใช่หรือ?  นั่นย่อมเห็นแก่ตัวและควรดูหมิ่นมิใช่หรือ?  นี่คืออุปนิสัยจำพวกใด?  นี่คือความมุ่งร้าย!  ผู้ที่คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น เอาแต่ตอบสนองความอยากได้อยากมีที่เห็นแก่ตัวของตนเองเท่านั้น ไม่นึกถึงผู้อื่นหรือคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ย่อมมีอุปนิสัยที่ไม่ดี และพระเจ้าก็ไม่ทรงรักพวกเขา  หากเจ้าสามารถคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง เจ้าย่อมจะสามารถปฏิบัติต่อผู้อื่นได้อย่างเป็นธรรม  หากเจ้าแนะนำคนที่ดีและเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้ารับการฝึกอบรมและปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นการเพิ่มคนที่มีความสามารถพิเศษให้แก่พระนิเวศของพระเจ้า นั่นย่อมจะทำให้งานของเจ้าง่ายขึ้นมิใช่หรือ?  เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะแสดงให้เห็นความจงรักภักดีในหน้าที่ของเจ้ามิใช่หรือ?  นั่นคือการทำดีเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เป็นมโนธรรมและเหตุผลขั้นต่ำสุดซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่ผู้นำควรมี(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้รู้ว่าการบ่มเพาะคนที่มีความสามารถพิเศษคือความรับผิดชอบของผู้นำและเป็นความจำเป็นในงานของคริสตจักร  ประสบการณ์นี้ช่วยให้ฉันตระหนักว่างานนี้มีความหมายมากขนาดไหน  ในทางหนึ่ง นี่เป็นประโยชน์กับงานของคริสตจักรโดยรวม เปิดโอกาสให้มีผู้คนมากขึ้นได้แสดงความสามารถพิเศษของตนในการทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง และในการดำเนินงานของคริสตจักรให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น  ในอีกทางหนึ่ง นี่ก็ทำให้พี่น้องชายหญิงได้ฝึกฝนปฏิบัติมากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความประพฤติที่ดีและพระเจ้าย่อมจะทรงรำลึกถึง  พอนึกย้อนดูแล้ว มาร์ชาช่วยเหลือฉันเอาไว้มาก  เธอช่วยให้ฉันเข้าใจหลักธรรมบางอย่างและทำให้งานคืบหน้า และงานของพวกเราก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นขึ้น  ฉันเห็นแล้วว่าการปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของพระเจ้าเและเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับคนอื่นเพื่อทำหน้าที่ให้ลุล่วงนั้นสำคัญมากขนาดไหน  ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่พวกเราจะสามารถทำงานของคริสตจักรและทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงได้ดี

ผ่านทางประสบการณ์นี้ ฉันจึงมีความเข้าใจบางอย่างในอุปนิสัยเยี่ยงซาตานและทรรศนะที่คลาดเคลื่อนของฉัน สามารถปล่อยมือจากความอยากได้ชื่อเสียงและอยากมีสถานะ และสามารถทำหน้าที่ให้ลุล่วง  นี่คือความรอดที่พระเจ้าทรงมีให้ฉัน  ขอคำขอบคุณจงมีแด่พระเจ้า!

ก่อนหน้า: 93. การร่วมมือกันอย่างปรองดองคือกุญแจสำคัญในหน้าที่

ถัดไป: 95. วิธีรับมือกับการถูกตัดแต่ง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger