96. เส้นทางสู่การเลิกสร้างภาพ

โดย เดซี, ประเทศเกาหลีใต้

เมื่อต้นปี ค.ศ. 2021 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำทีม รับผิดชอบงานให้น้ำของหลายทีม  ตอนนั้นฉันคิดว่าการได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนั้นหมายความว่าฉันมีขีดความสามารถและมีฝีมืออยู่บ้าง ว่าฉันนำหน้าพี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ในด้านความเข้าใจที่ฉันมีต่อความจริงและการเข้าสู่ชีวิต  ฉันรู้สึกว่าต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมด้วยความจริงและตั้งใจทำหน้าที่ให้ดี เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าฉันสามารถทำงานนั้น

ตอนแรกฉันไม่คุ้นชินกับงาน ดังนั้นพอมีอะไรเกิดขึ้นซึ่งฉันยังไม่ค่อยเข้าใจ ฉันก็จะถามผู้นำหรือพี่น้องชายหญิงที่ฉันทำงานด้วย  ฉันคิดว่าในเมื่อฉันใหม่ในงานนั้น ทุกคนย่อมจะเข้าใจว่าต้องมีบางอย่างที่ฉันไม่รู้ และการแสวงหาให้มากขึ้นอาจช่วยให้ฉันเติบโตเร็วขึ้น  เมื่อทำเช่นนั้น ฉันย่อมจะทำให้ทุกคนประทับใจ และพวกเขาก็จะคิดว่าฉันแสวงหาความจริงอย่างจริงจังตั้งใจ  แต่ภายหลังฉันประสบปัญหามากมายอย่างต่อเนื่อง และลังเลที่จะถามอยู่ร่ำไป  ถึงตอนนั้นฉันก็ทำหน้าที่นั้นมานานพอสมควรแล้ว ทุกคนจะคิดกับฉันอย่างไรถ้าฉันยังมีคำถามมากมายอยู่เรื่อยๆ?  พวกเขาจะคิดไหมว่าฉันมีขีดความสามารถไม่ดีนัก ว่าแม้แต่ปัญหาง่ายๆ ก็แก้ไม่ได้ และทำงานเป็นผู้นำทีมไม่ได้?  ดังนั้นพอพบพานปัญหาอื่นๆ ที่ฉันไม่ค่อยเข้าใจ ฉันจึงอดคิดไม่ได้ว่าคำถามเหล่านี้ควรค่าที่จะถามหรือไม่ มีเหตุผลพอที่จะถามไหม?  ฉันกังวลว่าการคิดอ่านของฉันจะดูเหมือนไม่รอบด้าน  สำหรับปัญหาบางอย่างที่ดูไม่ซับซ้อน ฉันจะไม่ถาม แต่จะพยายามคิดหาคำตอบเอาเอง  ผลก็คือปัญหาต่างๆ พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ และมีหลายปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที  นี่ทำให้ฉันร้อนใจยิ่งขึ้นว่าทุกคนจะคิดว่าฉันไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำทีม  ระหว่างการชุมนุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาผู้นำของฉันอยู่ด้วย ขณะที่ฉันสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็จะกังวลตลอดเวลาว่า “การสามัคคีธรรมของฉันสัมพันธ์กับชีวิตจริงไหม?  ความเข้าใจของฉันชัดเจนแจ่มแจ้งหรือเปล่า?”  หลังการสามัคคีธรรมของตัวเอง ฉันจะจับสังเกตปฏิกิริยาของทุกคน และถ้ามีใครขยายความจากสิ่งที่ฉันเพิ่งพูดไป นั่นหมายความว่าการสามัคคีธรรมของฉันกระทบใจ มีความรู้แจ้ง และแสดงว่าฉันเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าอย่างถ่องแท้ และสามารถจัดการงานได้  แต่ถ้าไม่มีใครตอบสนองเมื่อฉันพูดจบ ฉันจะรู้สึกเสียใจมาก  ผ่านไปสักพัก หน้าที่ของฉันเริ่มทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า  ฉันจะย้ำคิดมากเกินไปในทุกคำที่ฉันพูดและทุกความคิดเห็นที่ฉันกล่าวอยู่เสมอ และไม่สามารถผ่อนคลายได้  ฉันอยากปฏิบัติหน้าที่ให้ดี แต่ฉันก็กระวนกระวายตลอดเวลา และฉันไม่ได้เติบโตหรือได้เรียนรู้อะไรเลย

ฉันมาอธิษฐานและแสวงหาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และอ่านพระวจนะของพระองค์บทตอนหนึ่ง ความว่า “ผู้คนเองก็เป็นสิ่งที่ทรงสร้าง  สิ่งที่ทรงสร้างสามารถสัมฤทธิ์มหิทธานุภาพไม่สิ้นสุดได้หรือ?  พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ความเพียบพร้อมและความไร้ข้อตำหนิได้หรือ?  พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ความเชี่ยวชาญในทุกสิ่งทุกอย่าง มาเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง มองทะลุทุกสิ่งทุกอย่าง และมีความสามารถในทุกสิ่งทุกอย่างได้หรือ?  พวกเขาไม่สามารถ  อย่างไรก็ตาม ภายในตัวมนุษย์มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและจุดอ่อนที่ร้ายแรงอยู่ กล่าวคือ ทันทีที่พวกเขาเรียนรู้ทักษะหรืออาชีพ ผู้คนก็รู้สึกว่าพวกเขาสามารถ ว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่มีสถานะและคุณค่า และว่าพวกเขาเป็นมืออาชีพ  ไม่ว่าพวกเขาจะธรรมดาเพียงใด พวกเขาก็ล้วนต้องการนำเสนอตัวเองว่าเป็นใครบางคนที่มีชื่อเสียงหรือบุคคลพิเศษ ต้องการเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนดังที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง และทำให้ผู้คนคิดว่าพวกเขาเพียบพร้อมและไร้ที่ติ ไม่มีข้อบกพร่องสักอย่างเดียว พวกเขาปรารถนาที่จะกลายเป็นคนมีชื่อเสียง มีอำนาจ หรือยิ่งใหญ่ในสายตาของผู้อื่น และพวกเขาอยากกลายเป็นคนที่ยอดเยี่ยม สามารถทำได้ทุกสิ่งโดยไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาทำไม่ได้  พวกเขารู้สึกว่าหากพวกเขาได้แสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น พวกเขาก็คงจะดูเหมือนไม่สามารถ อ่อนแอและด้อยกว่า และว่าผู้คนจะดูแคลนพวกเขา  ด้วยเหตุผลนี้ พวกเขาจึงมีหน้าฉากตั้งไว้เสมอ  เมื่อถูกขอให้ทำบางสิ่ง ผู้คนบางคนจะพูดว่าพวกเขารู้วิธีทำทั้งที่พวกเขาทำไม่ได้จริง  หลังจากนั้นพวกเขาก็ค้นดูและพยายามเรียนรู้วิธีทำอย่างลับๆ แต่หลังจากศึกษามาหลายวันแล้ว พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจว่าควรทำสิ่งนี้อย่างไร  เมื่อถามว่าพวกเขาทำไปถึงไหนกันแล้ว พวกเขาก็บอกว่า ‘จะเสร็จแล้ว อีกไม่นาน!’  แต่ในหัวใจของพวกเขา พวกเขากลับคิดว่า ‘ฉันยังไปไม่ถึงไหนเลย ฉันไม่รู้จริงๆ ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร  ฉันต้องไม่เผยความลับ ฉันต้องเสแสร้งแกล้งทำต่อไป ฉันไม่อาจปล่อยให้ผู้คนเห็นข้อบกพร่องและความไม่รู้ความของฉันได้ ฉันไม่อาจปล่อยให้พวกเขาดูถูกฉันได้!’  ปัญหานี้คืออะไร?  นี่คือนรกคนเป็นซึ่งก็คือการพยายามทุกวิถีทางเพื่อรักษาหน้า  นี่คืออุปนิสัยประเภทใด?  ความโอหังของผู้คนเช่นนี้ไม่มีขอบเขต พวกเขาสูญสิ้นเหตุผลทั้งปวงไปแล้ว  พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะเป็นเหมือนคนอื่น พวกเขาไม่ต้องการเป็นคนธรรมดา เป็นคนปกติ แต่ต้องการเป็นคนที่เหนือมนุษย์ เป็นบุคคลพิเศษ หรือดาวรุ่ง  นี่เป็นปัญหาที่ใหญ่โตยิ่งนัก!  สำหรับจุดอ่อน ข้อบกพร่อง ความไม่รู้เท่าทัน ความโง่เขลา และการขาดพร่องความเข้าใจภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ พวกเขาจะห่อสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไว้ และไม่ให้ผู้อื่นมองเห็น และจากนั้นก็ปลอมแปลงตัวพวกเขาเองต่อไป… ผู้คนเช่นนี้ไม่ได้มีชีวิตอย่างเหม่อลอยฝันกลางวันหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ได้กำลังฝันอยู่หรอกหรือ?  พวกเขาไม่รู้ว่าตัวพวกเขาเองเป็นใคร อีกทั้งพวกเขาก็ไม่รู้วิธีที่จะนำสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติมาทำให้เป็นชีวิตจริง  พวกเขาไม่เคยได้ปฏิบัติตนเหมือนพวกมนุษย์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเลยสักครั้ง  หากเจ้าใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างขอไปที ฝันกลางวัน และไม่ทำสิ่งใดตามความเป็นจริง หากเจ้าดำเนินชีวิตตามจินตนาการของตนเสมอ เช่นนั้นแล้ว นี่คือปัญหา เส้นทางในชีวิตที่เจ้าเลือกนั้นไม่ถูกต้อง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เงื่อนไขห้าประการที่ต้องทำเพื่อออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า)  การคิดทบทวนเรื่องนี้ทำให้ฉันเข้าใจสภาวะของตัวเองขึ้นบ้าง  ฉันคิดเรื่องตัวเองมากเกินไป รู้สึกเหมือนว่าการได้รับเลือกเป็นผู้นำทีมหมายความว่าฉันมีขีดความสามารถและฝีมือในการทำงานระดับหนึ่ง  พอมองตัวเองแบบนั้น ฉันก็เริ่มห่วงว่าคนอื่นจะคิดกับฉันอย่างไร และอยากพิสูจน์ให้เร็วที่สุดว่าตัวเองสามารถทำงานได้  ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาและความยากลำบากมากขึ้นในหน้าที่ ฉันจึงไม่สามารถหยิบยกขึ้นมาพูดได้ง่ายๆ และกังวลเสมอว่าคนอื่นจะมองฉันออก และพูดว่าฉันไม่มีขีดความสามารถและไม่เก่งพอที่จะทำงาน  ฉันเริ่มสร้างภาพ ไม่ปริปากเมื่อเกิดปัญหาขึ้น และคิดหาทางออกด้วยตัวเอง  นั่นพาให้ปัญหามากมายในหน้าที่ของฉันไม่ได้รับการจัดการ ซึ่งทั้งขัดขวางงานของพวกเราให้ช้าลงและส่งผลกระทบต่อสภาวะของฉันเอง  การคิดอ่านของฉันขาดความชัดเจน และฉันเริ่มสับสนในสิ่งต่างๆ ที่ฉันเคยเข้าใจ  ฉันถึงกับสงสัยการสามัคคีธรรมของตนเองในที่ชุมนุมอยู่เรื่อย กลัวว่าทุกคนจะดูแคลนฉันถ้าการสามัคคีธรรมนั้นไม่ดี  ฉันรู้สึกอึดอัดทุกครั้ง  ฉันตระหนักว่าทั้งหมดนี้เป็นความผิดของฉันทั้งสิ้น  ฉันโอหังและไม่มีเหตุผลอย่างมาก และไม่สามารถเผชิญหน้าข้อเสียและข้อบกพร่องของตัวเองอย่างถูกต้องเหมาะสม  ฉันเสแสร้งแกล้งทำเสมอเพื่อให้คนอื่นยกย่องฉัน  ที่จริงแล้วหน้าที่นั้นคือโอกาสที่คริสตจักรมอบให้ฉันฝึกฝนตัวเอง และไม่ได้แฝงความนัยว่าฉันเข้าใจความจริงหรือสามารถทำงานได้ดีแต่อย่างใด  ฉันเพียงแต่มีความสามารถในการจับใจความ แต่มีหลายสิ่งที่ฉันไม่สามารถเข้าใจและไม่มีประสบการณ์ส่วนตัวด้วยเลย  ฉันไม่มีอะไรพิเศษอย่างสิ้นเชิง แต่กลับยกย่องตัวเอง แสร้งทำเป็นสูงส่ง เป็นคนที่เข้าใจความจริง  ฉันประเมินตัวเองไว้สูงเกินไปมากๆ!  ฉันควรจะยืนอยู่บนความเป็นจริงและทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปเท่านั้น ถามคนอื่นเมื่อฉันไม่เข้าใจบางสิ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่กับความเป็นจริงและสมควรที่จะทำ

ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งซึ่งให้แนวทางบางอย่างที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงแก่ฉัน  พระเจ้าตรัสว่า “เจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาอันใดที่เกิดขึ้น ไม่สำคัญว่านั่นคือสิ่งใด และไม่ปลอมแปลงตัวเองหรือสวมใบหน้าเทียมเท็จเป็นผู้อื่นในวิถีทางใดเลย  ข้อบกพร่องของเจ้า ความขาดตกบกพร่องของเจ้า ความผิดของเจ้า อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า—จงเปิดกว้างอย่างครบบริบูรณ์เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  จงอย่าเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ภายใน  การเรียนรู้วิธีเปิดใจตัวเอง คือขั้นตอนแรกสู่การเข้าสู่ชีวิต และนี่คืออุปสรรคขวางกั้นแรก ซึ่งเอาชนะได้ลำบากยากเย็นที่สุด  ทันทีที่เจ้าได้เอาชนะอุปสรรคขวางกั้นนั้นแล้ว การเข้าสู่ความจริงก็ย่อมง่าย  การลงมือทำขั้นตอนนี้มีนัยสำคัญว่ากระไร?  การนี้หมายความว่าเจ้ากำลังเปิดกว้างหัวใจของเจ้าและกำลังแสดงทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามี ไม่ว่าดีหรือแย่ เป็นบวกหรือเป็นลบ โดยแผ่ตัวเองออกให้ผู้อื่นเห็นและให้พระเจ้าทอดพระเนตร ไม่ซ่อนเร้นสิ่งใดจากพระเจ้า ไม่ปกปิดสิ่งใด ไม่ปลอมแปลงสิ่งใด ปลอดเล่ห์ลวงและเล่ห์เพทุบาย และเปิดกว้างและซื่อสัตย์ต่อผู้คนอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน  ในหนทางนี้ เจ้าย่อมใช้ชีวิตอยู่ในความสว่าง และไม่เพียงแค่พระเจ้าจะทรงพินิจพิเคราะห์เจ้าเท่านั้น แต่ผู้คนอื่นๆ ด้วยเช่นกันที่จะมีความสามารถมองเห็นได้ว่าเจ้าปฏิบัติตนโดยมีหลักธรรมและความโปร่งใสระดับหนึ่ง  เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการอันใดมาปกป้อง ความมีหน้ามีตา ภาพลักษณ์ และสถานะของเจ้า และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังหรืออำพรางความผิดพลาดของเจ้า  เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามที่เปล่าประโยชน์เหล่านี้  หากเจ้าสามารถปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ได้ เจ้าก็จะผ่อนคลายเป็นอย่างมาก เจ้าจะมีชีวิตที่ปราศจากการบีบบังคับหรือความเจ็บปวด และเจ้าจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างโดยบริบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  การคิดทบทวนเรื่องนี้ช่วยให้ฉันตระหนักว่าการที่จะทำหน้าที่อย่างผ่อนคลายและไร้กังวลนั้น ก้าวแรกคือต้องเรียนรู้ที่จะเปิดใจถึงข้อบกพร่องของตนเองและเลิกสร้างภาพ  ฉันต้องปฏิบัติความจริงและเป็นคนซื่อสัตย์  ฉันเป็นเพียงคนเสื่อมทรามที่แทบจะไม่เข้าใจความจริง ดังนั้นแน่นอนว่าย่อมมีหลายเรื่องที่ฉันไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้  นั่นปกติธรรมดาที่สุด  ไม่จำเป็นต้องแสร้งแสดงบทบาทปกปิดอะไรเพื่อภาพลักษณ์ของตัวเอง  ถ้ามีคำถาม ฉันก็ควรปล่อยวางความภาคภูมิใจ และแสวงหาการชี้แนะและการสามัคคีธรรมจากพวกเขาอย่างเปิดเผย นี่เป็นหนทางเดียวที่จะผ่อนคลายในหน้าที่ของตนเอง  พอตระหนักเช่นนี้ หัวใจของฉันก็เบิกบาน และฉันก็เริ่มตั้งใจปฏิบัติในหนทางนี้  เมื่อฉันไม่แน่ใจในบางสิ่งบางอย่าง ฉันก็ขวนขวายที่จะไถ่ถาม และเวลาแบ่งปันความคิดเห็นของตัวเอง ฉันก็พูดสิ่งที่ฉันคิดจริงๆ และสามัคคีธรรมถึงสิ่งที่ฉันรู้เท่านั้น  เมื่อฉันปฏิบัติเช่นนี้ ฉันก็เริ่มเข้าใจบางสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนอย่างช้าๆ สามารถค้นพบและแก้ไขข้อผิดพลาดในหน้าที่ของฉันได้  ฉันเข้าใจข้อบกพร่องของตนเองมากขึ้นด้วย  ฉันตระหนักในที่สุดว่าการที่คนอื่นมองเห็นฉันอย่างที่ฉันเป็นนั้นคือสิ่งดี ว่านี่ช่วยให้เข้าใจหลักธรรมความจริงและช่วยให้ค้นพบข้อเสียของตัวเอง  ถึงจุดนี้ ฉันรู้สึกเป็นอิสระขึ้นมาก และสามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติในเวลาต่อมา

ไม่นานกลุ่มต่างๆ ที่ฉันรับผิดชอบก็ก้าวหน้าดีในชีวิตคริสตจักร และพี่น้องชายหญิงก็อยากนำปัญหามาสามัคคีธรรมกับฉัน  แต่โดยไม่ทันรู้ตัว ฉันเริ่มหมกมุ่นอีกว่าคนอื่นคิดอย่างไรกับฉัน  ครั้งหนึ่งในการประชุมผู้ร่วมงาน ผู้นำของฉันพูดถึงปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นในคริสตจักรของพวกเราและถามพวกเราว่าคิดอย่างไร  ฉันคิดขึ้นมาว่า “ตรงนี้มีพี่น้องชายหญิงอยู่กันมากมาย ถ้าฉันสามารถให้ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่ไม่เหมือนใครได้ นั่นก็จะแสดงให้เห็นว่าฉันมีความสามารถขนาดไหน”  แต่ใช้ความคิดอยู่เป็นนาน ฉันก็ยังทำความเข้าใจไม่ได้  ในตอนนั้นเองผู้นำก็ถามความคิดเห็นของฉัน  ฉันพูดจาตะกุกตะกักอยู่นาน จากนั้นก็ให้ข้อเสนอแนะที่คลุมเครือออกมาอย่างหนึ่ง  หลังจากนั้นครู่หนึ่งพี่น้องหญิงอีกสองคนก็แบ่งปันความคิดเห็นของพวกเธอ และข้อเสนอแนะเหล่านั้นก็ตรงข้ามกับของฉัน  สิ่งที่พวกเธอพูดมีเหตุผลดีมากและผู้นำก็เห็นด้วย  ฉันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที คิดไปว่าไม่เพียงทำให้ตัวเองดูดีไม่สำเร็จเท่านั้น ฉันยังทำให้ตัวเองได้อายอีกด้วย  ผู้นำจะคิดกับฉันอย่างไร?  เธอจะคิดว่าฉันไม่มีความรู้ความเข้าใจอะไรในเรื่องง่ายๆ แบบนี้หรือเปล่า คิดว่าฉันไม่ได้เติบโตขึ้นเลยหรือเปล่า?  ในช่วงสองสามวันต่อมา มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นในกลุ่มต่างๆ ที่ฉันรับผิดชอบอยู่  ฉันไม่เข้าใจปัญหาเหล่านั้น ดังนั้นฉันควรขอความช่วยเหลือในทันที  แต่แล้วฉันก็นึกสงสัยว่าถ้าฉันถามทั้งหมดนั้น จะดูเหมือนว่าฉันไม่สามารถทำงานของตนเองไหม?  จะทำลายภาพลักษณ์ดีๆ ที่ฉันสร้างไว้หรือเปล่า?  ในทางกลับกัน ฉันรู้ว่าปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขจะขัดขวางงานของพวกเรา ฉันจึงคิดกลยุทธ์เฉพาะหน้าขึ้นมาว่าฉันจะแบ่งคำถามเอาไปถามหลายๆ คน เช่นนี้ปัญหาก็จะได้รับการแก้ไขโดยที่ไม่ดูเหมือนว่าฉันถามมากเกินไปและไม่รู้อะไรเอาเสียเลย  เมื่อฉันสร้างภาพด้วยวิธีการเช่นนี้ สภาวะของฉันก็เสื่อมลงเรื่อยๆ  ฉันคิดอ่านอะไรไม่ออกมากขึ้นและเริ่มต้องดิ้นรนพยายามกับหลายสิ่งหลายอย่าง  จากนั้นฉันก็คิดทบทวนและมองเห็นว่าในเมื่อฉันไม่เกิดความรู้ความเข้าใจลึกซึ้งในบางสิ่งที่ตัวเองเคยเข้าใจ ปัญหาจะต้องอยู่ที่สภาวะของฉัน  ดังนั้นฉันจึงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า เห็นได้ชัดว่าข้าพระองค์มีปัญหา แต่กลับไม่กล้าซื่อสัตย์และเปิดใจเกี่ยวกับข้อด้อยของตัวเอง  ข้าพระองค์อยากทำการใหญ่โตอยู่เสมอ  ทำไมถึงได้ยากเย็นนักที่จะถามเวลาข้าพระองค์ไม่เข้าใจบางสิ่ง?  ราวกับว่าริมฝีปากของข้าพระองค์ถูกปิดผนึกเอาไว้  การทำหน้าที่แบบนี้เหนื่อยล้ายิ่งนัก  ได้โปรดนำข้าพระองค์ให้รู้จักและเปลี่ยนแปลงความเสื่อมทรามของตนเองด้วยเถิด”

หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอนซึ่งเปิดโปงสภาวะของฉันโดยสมบูรณ์  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “มนุษย์ที่เสื่อมทรามเก่งเรื่องการอำพรางตน  ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดหรือเผยความเสื่อมทรามอันใดออกมา พวกเขาก็ต้องอำพรางตนอยู่เสมอ  หากเกิดเรื่องผิดพลาดหรือพวกเขาทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พวกเขาก็อยากที่จะโยนความผิดให้ผู้อื่น  พวกเขาอยากได้ความดีความชอบจากการทำเรื่องที่ดีไว้กับตัว และให้ผู้อื่นรับผิดในเรื่องไม่ดี  ในชีวิตจริงมีการอำพรางเช่นนี้อยู่มากมิใช่หรือ?  มีอยู่มากเกินไป  เป็นการทำผิดพลาดหรือการอำพรางตนที่เชื่อมโยงกับอุปนิสัย?  การอำพรางเป็นเรื่องของอุปนิสัย เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันโอหัง ความเลว และความหลอกลวง พระเจ้าทรงเกลียดชังการอำพรางเป็นพิเศษ… หากเจ้าไม่พยายามเสแสร้งแกล้งทำหรือสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง หากเจ้ายอมรับความผิดพลาดของเจ้าได้ ทุกคนย่อมจะพูดว่าเจ้าซื่อสัตย์และมีปัญญา  แล้วอะไรเล่าทำให้เจ้ามีปัญญา?  ทุกคนทำความผิดพลาด  ทุกคนมีข้อผิดพลาดและข้อตำหนิ  และอันที่จริงแล้ว ทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเดียวกัน  จงอย่าคิดว่าตัวเจ้าเองสูงศักดิ์ เพียบพร้อม และใจดีกว่าผู้อื่น นั่นเป็นการไม่สมเหตุสมผลอย่างที่สุด  ทันทีที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนและแก่นแท้และโฉมหน้าที่แท้จริงของความเสื่อมทรามของพวกเขาเป็นที่ชัดเจนสำหรับเจ้า เจ้าย่อมจะไม่พยายามปิดบังความผิดพลาดของตัวเอง และเจ้าจะไม่ถือสาความผิดพลาดของผู้อื่น—เจ้าจะเผชิญหน้าทั้งสองกรณีนี้ได้อย่างถูกต้อง  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะเกิดความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและไม่ทำสิ่งที่โง่เขลา ซึ่งจะทำให้เจ้ามีปัญญา  พวกที่ไม่มีปัญญาย่อมเป็นคนที่โง่เขลา พวกเขาย่อมวนเวียนอยู่กับความผิดพลาดเล็กน้อยของพวกเขาอยู่เสมอ พลางทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่หลังฉาก  เห็นแล้วชวนให้ขยะแขยง  ในข้อเท็จจริงแล้ว สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่นั้นเห็นได้ชัดในทันทีทันใดสำหรับผู้คนอื่นๆ แต่กระนั้นเจ้าก็ยังคงเล่นละครอย่างไม่รู้จักอาย  สำหรับผู้อื่นแล้ว นี่ดูเหมือนการแสดงตลก  นี่ย่อมโง่เขลามิใช่หรือ?  นี่โง่เขลาจริงๆ  ผู้คนที่โง่เขลาย่อมไม่มีปัญญาแม้แต่น้อย  ไม่สำคัญว่าพวกเขาได้ยินคำเทศนามากมายเพียงใด พวกเขายังคงไม่เข้าใจความจริงหรือมองสิ่งอันใดในสิ่งที่มันเป็นจริงๆ  พวกเขาไม่ยอมเลิกทำตัวหยิ่งยโส นึกว่าพวกเขานั้นแตกต่างจากทุกคนและน่าเคารพกว่า นี่คือความโอหังและความคิดว่าตนเองชอบธรรมเสมอ นี่คือความโง่เขลา คนเขลาย่อมไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณใช่หรือไม่?  เรื่องใดที่เจ้าเขลาและไม่มีปัญญา นั่นก็คือเรื่องที่เจ้าไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ และไม่สามารถเข้าใจความจริงได้โดยง่าย  นี่คือความเป็นจริงของเรื่องนี้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หลักการที่คนเราควรมีในการประพฤติตน)  “ในเวลาที่ผู้คนปั้นหน้าอยู่เสมอ ล้างความผิดให้ตัวเองอยู่เสมอ ทำตัวใหญ่โตอยู่เสมอเพื่อให้ผู้อื่นคิดว่าพวกเขาสูงส่ง และไม่สามารถมองเห็นความผิดหรือข้อบกพร่องของพวกเขาได้ ในเวลาที่พวกเขาพยายามอยู่เสมอที่จะนำเสนอด้านที่ดีที่สุดของพวกเขาต่อผู้คนนั้น นี่คืออุปนิสัยชนิดใด?  นี่คือความโอหัง ความจอมปลอม ความหน้าซื่อใจคด นี่คืออุปนิสัยของซาตาน เป็นสิ่งที่เลว  จงดูสมาชิกของระบอบซาตานเอาเถิดว่า ไม่ว่าพวกเขาจะต่อสู้ พิพาทบาดหมาง หรือฆ่ากันในความมืดมากมายเพียงใด ก็ไม่ยอมให้ใครรายงานหรือเปิดโปงพวกเขา  พวกเขากลัวว่าผู้คนจะมองเห็นโฉมหน้าเยี่ยงปีศาจของตน และพวกเขาทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อปิดบังการนั้นไว้  ในที่สาธารณะ พวกเขาทำสุดความสามารถที่จะล้างความผิดให้ตัวเอง โดยพูดว่าพวกเขารักประชาชนมากเพียงใด พวกเขายิ่งใหญ่ รุ่งโรจน์ และไม่มีทางผิดพลาดเพียงใด  นี่คือธรรมชาติของซาตาน  ลักษณะที่โดดเด่นที่สุดในธรรมชาติของซาตานคือเล่ห์เพทุบายและการหลอกลวง  แล้วอะไรเล่าคือจุดมุ่งหมายของเล่ห์เพทุบายและการหลอกลวงนี้?  การตบตาผู้คน การหยุดพวกเขาไม่ให้เห็นแก่นแท้และตัวตนที่แท้จริงของมัน และด้วยเหตุนี้จึงสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของการทำให้การปกครองของมันยืนยาวขึ้น  ผู้คนธรรมดาอาจขาดพร่องอำนาจและสถานะดังกล่าว แต่พวกเขาก็ปรารถนาเช่นกันที่จะทำให้ผู้อื่นมีทัศนะที่เป็นคุณต่อตัวพวกเขา และปรารถนาที่จะให้ผู้คนมีการประเมินคุณค่าสูงเกี่ยวกับพวกเขา และยกชูสถานะของพวกเขาในหัวใจของคนเหล่านั้นให้สูง  นี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม และหากผู้คนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาย่อมไม่สามารถตระหนักรู้เรื่องนี้ได้  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเป็นสิ่งที่ตระหนักรู้ได้ยากที่สุดเหนือทุกสิ่ง การตระหนักรู้ข้อผิดพลาดและข้อบกพร่องของตนเองนั้นง่าย แต่การตระหนักรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเจ้าเองไม่ใช่เรื่องง่าย  ผู้คนที่ไม่รู้จักตนเองย่อมไม่ยอมพูดถึงสภาวะอันเสื่อมทรามของพวกเขา—พวกเขาคิดเสมอว่าตนเองใช้ได้  และเมื่อไม่ตระหนักรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็เริ่มอวดตนว่า ‘ตลอดหลายปีที่เชื่อมา ฉันก้าวผ่านการข่มเหงมามากเหลือเกิน และทนทุกข์กับความยากลำบากมามากนัก  พวกคุณรู้ไหมว่าฉันฝ่าฟันทั้งหมดนั้นมาได้อย่างไร?’  นี่ใช่อุปนิสัยอันโอหังหรือไม่? มีแรงจูงใจอันใดอยู่เบื้องหลังการแสดงออกของพวกเขา?  (เพื่อให้ผู้คนยกย่องพวกเขา)  สิ่งใดคือเหตุจูงใจให้พวกเขาทำให้ผู้อื่นมายกย่องตนเอง?  (เพื่อให้มีสถานะในความรู้สึกนึกคิดของผู้คนเหล่านั้น)  เมื่อเจ้ามีสถานะในความรู้สึกนึกคิดของใครบางคน เมื่อนั้นเวลาพวกเขาอยู่กับเจ้า พวกเขาย่อมมีสัมมาคารวะกับเจ้า และพูดคุยกับเจ้าด้วยความสุภาพเป็นพิเศษ  พวกเขาเทิดทูนเจ้าอยู่เสมอ พวกเขายอมให้เจ้าเสมอในทุกสิ่ง พวกเขาหลีกทางให้เจ้า อีกทั้งประจบประแจงและเชื่อฟังเจ้า  พวกเขามาหาเจ้าและให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินใจในทุกเรื่อง  เจ้าย่อมรู้สึกถึงความชื่นชมยินดีในการนี้—เจ้ารู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่งกว่าและดีกว่าใคร  ทุกคนชอบความรู้สึกนี้  นี่คือความรู้สึกของการมีสถานะในหัวใจของใครบางคน ผู้คนปรารถนาที่จะดื่มด่ำกับความรู้สึกนี้  นี่คือสาเหตุที่ผู้คนแข่งขันกันเพื่อสถานะ และต่างปรารถนาที่จะมีสถานะในหัวใจของผู้อื่น ได้รับการยกย่องและบูชาจากผู้อื่น  หากพวกเขาไม่รู้สึกถึงความชื่นชมยินดีจากทั้งหมดนี้ พวกเขาย่อมจะไม่ไล่ตามไขว่คว้าสถานะ(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หลักการที่คนเราควรมีในการประพฤติตน)  เมื่อไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็สามารถมองเห็นว่าระหว่างการสร้างภาพเทียมเท็จกับการทำผิดพลาด การสร้างภาพเท็จร้ายแรงกว่า  ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ดังนั้นการประสบปัญหาและผิดพลาดในหน้าที่จึงเป็นเรื่องปกติที่สุด  แต่เบื้องหลังฉากหน้าอันเป็นเท็จคืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่โอหัง ฉลาดแกมโกง และชั่ว  การเก็บซ่อนความไม่สมบูรณ์แบบและข้อบกพร่องของตนอยู่เสมอ ให้ผู้คนเห็นแต่ด้านดีของตัวเอง เพื่อจะได้เป็นที่ยอมรับนับถิอและเลื่อมใสนั้น ยิ่งเป็นที่เกลียดชังของพระเจ้ามากขึ้นไปอีก  คนที่มีปัญญาอย่างแท้จริงย่อมเผชิญหน้าข้อบกพร่องของตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริง และเติมเต็มสิ่งที่ตนขาดพร่อง  เมื่อทำเช่นนั้น พวกเขาก็จะสามารถเติบโต  แต่คนเขลา รู้ไม่เท่าทัน ไม่ตระหนักรู้ในตนเองนั้นไม่มีวันยอมรับข้อด้อยของตัวเองได้ และพวกเขาถึงกับสร้างภาพซึ่งหมายความว่าปัญหาบางอย่างจะไม่มีวันได้รับการแก้ไข และพวกเขาก็จะไม่มีวันเติบโตในชีวิต  เมื่อย้อนทบทวนพฤติกรรมของตนเอง ฉันจึงตระหนักว่าตัวเองเป็นหนึ่งในคนเขลาและโอหังที่พระเจ้าทรงเปิดโปง  ตอนที่ฉันเริ่มมีผลงานในหน้าที่ของตนบ้าง ฉันรู้สึกเหมือนว่าจริงๆ แล้วฉันก็ไม่ได้แย่ และมีความสามารถพอที่จะทำงานเป็นผู้นำทีม  นอกจากนี้ฉันยังสามารถแก้ไขปัญหาได้อีกด้วย  ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ฉันจึงยกชูตัวเองและคิดขึ้นมาจริงๆ ว่าตัวเองสูงส่งมาก  ดังนั้นพอเผชิญสิ่งที่ฉันไม่รู้จะรับมืออย่างไร ฉันก็ระวังตัวและไม่กล้าตัดสินใจ กังวลว่าฉันจะพูดอะไรผิดและทำลายภาพลักษณ์ที่ดีของตัวเอง  และแล้วฉันก็ตัดสินใจแสดงความเห็นน้อยลงและถามให้น้อยลง  แม้แต่ตอนที่ฉันขอความช่วยเหลือ ฉันก็จะเลือกคำถามที่ยากขึ้นเพื่อแสดงความสามารถของตนเอง ไม่ต้องการให้ทุกคนมองเห็นข้อบกพร่องของฉัน  ฉันถึงกับเล่นสงครามจิตวิทยา แบ่งไปถามคนนั้นทีคนนี้ที ผู้คนจะได้มองฉันไม่ออก  ฉันโอหังและฉลาดแกมโกงจริงๆ และไม่รู้จักตัวเองอย่างสิ้นเชิง  ฉันเล่นละครต่างๆ นานาเพื่อให้ผู้คนยอมรับนับถือฉัน  ฉันช่างเขลาจริงๆ เป็นที่ชิงชังของพระเจ้าและเป็นที่รังเกียจของคนอื่น  ฉันซ่อนข้อเสียของตัวเองเพื่อปกป้องชื่อและสถานะ ส่งผลให้ปัญหาต่างๆ ในหน้าที่ของฉันไม่ได้รับการแก้ไข  ฉันกำลังขัดขวางงานของคริสตจักร  นี่ฉันคิดอะไรอยู่?  ฉันช่างน่าดูหมิ่นและชั่วนัก  ในระยะสั้นฉันสามารถรักษาฐานะของตนเอาไว้ได้ด้วยการเสแสร้ง แต่พระเจ้าทรงสังเกตดูทุกสิ่ง และไม่ช้าก็เร็วฉันก็จะถูกพระเจ้าเปิดโปงและกำจัดออกไปเพราะเล่นไม่ซื่อกับพระองค์และถ่วงงานของคริสตจักรให้ช้าลง  ฉันนึกขึ้นได้ว่าศัตรูของพระคริสต์มองสถานะว่าล้ำค่าเป็นพิเศษ และเพื่อสถานะของตนแล้ว พวกเขาจะไม่ละเว้นแม้กระทั่งผลประโยชน์ของคริสตจักร  อุปนิสัยและมุมมองที่ฉันมีต่อการไล่ตามเสาะหานั้นต่างจากที่ศัตรูของพระคริสต์มีตรงไหน?  สถานะมีประโยชน์ต่อฉันสักนิดหรือไม่?  สถานะทำให้ฉันไม่เต็มใจที่จะยอมรับรู้หรือเผชิญหน้าข้อเสียของตัวเอง สูญเสียเหตุผลของตัวเอง  เมื่อฉันพบเจอปัญหา ฉันก็ไม่อยากแสวงหา แต่กลับเล่นละครและฉลาดแกมโกงมากขึ้นเรื่อยๆ  ด้วยเหตุนี้ฉันย่อมจะลงเอยบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ ถูกพระเจ้าดูหมิ่นและกำจัดออกไป  นั่นจะทำร้ายงานของคริสตจักรและทำลายตัวฉันเอง  เมื่อคิดถึงจุดนั้น ฉันก็ตระหนักว่าการเดินบนหนทางนั้นต่อไปจะเป็นอันตรายขนาดไหน  นี่คือการปลุกฉันให้ตื่นว่าจะทำหน้าที่แบบนั้นต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติมในส่วนที่มีเส้นทางให้ปฏิบัติ และนี่ก็ยิ่งทำให้ฉันเป็นอิสระมากขึ้นอีก  พระเจ้าตรัสว่า “บางคนได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะจากคริสตจักร ได้รับโอกาสอันดีที่จะฝึกฝน  นี่เป็นสิ่งที่ดีงาม  อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาได้รับการยกชูและได้รับพระคุณจากพระเจ้า  ดังนั้นพวกเขาควรทำหน้าที่ของตนอย่างไรต่อจากนั้น?  หลักธรรมข้อแรกที่พวกเขาควรปฏิบัติตามก็คือการทำความเข้าใจความจริง—เมื่อพวกเขาไม่เข้าใจความจริง พวกเขาก็ต้องแสวงหาความจริง และหลังจากแสวงหาด้วยตนเองแล้ว ถ้าพวกเขายังคงไม่เข้าใจ พวกเขาก็สามารถหาคนที่เข้าใจความจริงมาสามัคคีธรรมและแสวงหาด้วย ซึ่งจะทำให้แก้ปัญหาได้เร็วขึ้นและทันเวลามากขึ้น  ถ้าเจ้ามุ่งแต่จะใช้เวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยตนเองให้มากขึ้น และใช้เวลาใคร่ครวญพระวจนะเหล่านี้ให้มากขึ้น เพื่อที่จะสัมฤทธิ์การเข้าใจความจริงและแก้ปัญหา นี่ย่อมช้าเกินไป ดังคำกล่าวที่ว่า ‘น้ำที่อยู่ห่างไกลดับกระหายทันทีไม่ได้’  เมื่อเป็นเรื่องของความจริง หากเจ้าอยากก้าวหน้าโดยเร็ว เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องเรียนรู้ว่าจะทำงานกับผู้อื่นอย่างกลมเกลียวได้อย่างไร จะตั้งคำถามให้มากขึ้นได้อย่างไร และต้องแสวงหาให้มากขึ้น  เมื่อนั้นเท่านั้นชีวิตของเจ้าจึงจะเติบโตอย่างรวดเร็ว และเจ้าจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที โดยไม่มีการประวิงเวลาในด้านใดด้านหนึ่ง  เนื่องจากเจ้าเพิ่งได้รับการส่งเสริมและยังอยู่ในช่วงเวลาของการทดสอบ ไม่เข้าใจความจริงหรือมีความเป็นจริงความจริงอย่างแท้จริง—เนื่องจากเจ้ายังขาดวุฒิภาวะเช่นนี้—จงอย่าคิดว่าการเลื่อนตำแหน่งให้เจ้าหมายความว่าเจ้ามีความเป็นจริงความจริงแล้ว ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย  นี่เป็นเพียงเพราะเจ้าสำนึกในภาระที่เจ้ามีต่องานและมีขีดความสามารถที่จะเป็นผู้นำ เจ้าจึงถูกเลือกให้ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ  เจ้าควรมีเหตุผลตามนี้(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (5))  ฉันคิดทบทวนเรื่องนี้และเห็นว่าคริสตจักรส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนเพื่อให้พวกเขามีโอกาสปฏิบัติ  นี่ไม่ได้หมายความว่าแต่อย่างใดพวกเขาเข้าใจความจริง แก้ได้ทุกปัญหา หรือเหมาะที่จะให้พระเจ้าทรงใช้งาน  ในการปฏิบัติของพวกเขา พวกเขาย่อมจะเผชิญปัญหาทุกรูปแบบตามจริง และถ้าพวกเขาแสวงหาและสามัคคีธรรมต่อไป พวกเขาก็จะค่อยๆ เข้าใจแง่มุมต่างๆ ของหลักธรรม  เมื่อถึงจุดนี้ พวกเขาจึงจะสามารถแก้ปัญหาและทำหน้าที่ของตนได้ดี  ฉันรู้ว่าฉันจำต้องเผชิญหน้าข้อเสียของตนเองอย่างถูกต้องเหมาะสมและรู้จักตัวเองว่าเป็นใคร  แสวงหาความจริงมากขึ้น หารือและสามัคคีธรรมกับคนอื่นมากขึ้นเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น และทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่มี  เมื่อนั้น ต่อให้เห็นได้ชัดในวันหนึ่งว่าฉันมีขีดความสามารถไม่เพียงพอจริงๆ ว่าฉันทำงานนี้ไม่ได้ อย่างน้อยมโนธรรมของฉันก็จะชัดเจน  พอคิดตก ฉันก็รู้สึกโล่งใจจริงๆ  ฉันไม่ต้องสร้างภาพอีกต่อไป แต่ฉันต้องซื่อสัตย์ และเผชิญหน้าข้อด้อยกับข้อบกพร่องของตัวเองตรงๆ

ตอนที่พวกเราหารือกันในทีมหลังจากนั้น ฉันได้แบ่งปันความคิดเห็นของตนตามความสัตย์จริง  ฉันค่อนข้างลังเลในตอนแรก กังวลว่าจะพูดอะไรผิดและดูเหมือนมีความเข้าใจที่ตื้นเขินและมีขีดความสามารถอ่อนด้อย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามีปัญหาที่ฉันไม่ค่อยเข้าใจ ความคิดเห็นที่ฉันแบ่งปันก็พลอยไม่ชัดเจนนัก และเมื่อพูดจบ หัวใจของฉันจะเริ่มเต้นตุบๆ พลางนึกสงสัยว่าทุกคนจะมองฉันออกหรือเปล่า  แต่แล้วฉันก็จะเตือนตัวเองว่าฉันอยู่ที่ระดับนี้จริงๆ และถ้าพวกเขาดูแคลนฉัน ก็ไม่เป็นไร  สิ่งสำคัญคือการเป็นคนซื่อสัตย์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเป็นหน้าที่ของฉันที่จะแสดงความคิดของตัวเองออกมาและมีส่วนร่วมในการหารือทั้งหลาย  นั่นเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะดำรงชีวิตอย่างมีสันติสุข  หลังจากนั้นเมื่อฉันมีคำถามในหน้าที่ของตนเอง ฉันก็จะพยายามไปขอความคิดเห็นจากคนอื่น  ในบางครั้งฉันจะยังคงกังวลเรื่องการถูกดูแคลนอยู่บ้าง แต่พอตระหนักว่าการซ่อนเร้นข้อด้อยของตัวเองเพื่อปกป้องความภาคภูมิใจส่วนตนอาจทำร้ายงานของคริสตจักรได้ ฉันก็พยายามหันหลังให้กับความรู้สึกชั่วแล่นนั้นและขอความช่วยเหลือ  พอทำแบบนั้น ฉันก็เริ่มเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน และฉันรู้สึกสงบลง มีสันติสุขมากขึ้น  บางครั้งพี่น้องชายหญิงมีความเข้าใจที่ถูกต้องกว่าฉัน และฉันก็จะเริ่มนึกสงสัยว่าทุกคนกำลังคิดว่าฉันไม่เก่งหรือเปล่า  แต่ฉันมองออกว่านั่นไม่ใช่การมองสิ่งต่างๆ ที่ถูกต้อง  ฉันต้องเรียนรู้จากจุดแข็งของคนอื่นเพื่อชดเชยจุดอ่อนของตนเอง  นั่นไม่ใช่ของประทานอย่างหนึ่งหรอกหรือ?  พอคิดในมุมนั้น ฉันก็ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ และเมื่อเวลาผ่านไป ฉันก็เริ่มรู้สึกเป็นอิสระมากขึ้นเรื่อยๆ  ฉันขอบคุณการทรงนำของพระเจ้าที่ทำให้ฉันมีประสบการณ์ว่าการเป็นคนซื่อสัตย์ให้อิสระขนาดไหน แล้วตอนนี้ฉันก็มีความเชื่อมากขึ้นที่จะนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติ

ก่อนหน้า: 95. วิธีรับมือกับการถูกตัดแต่ง

ถัดไป: 97. ผลสืบเนื่องของการผูกพันทางอารมณ์มากเกินไป

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger