91. ความจริงเบื้องหลังการไม่ใส่ใจ
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2021 พวกเราผลิตวิดีโอเสร็จหนึ่งชิ้น พวกเราทุ่มเทให้กับงานนี้มาก อุทิศเวลาและเรี่ยวแรงไปมากมาย แต่น่าแปลกที่เมื่อผู้นำตรวจงาน เขากลับชี้ให้เห็นปัญหาพร้อมด้วยรายละเอียดมากมาย เขาบอกว่าวิดีโอเรื่องนี้ทำได้ไม่ดี ไม่ได้พัฒนาให้ดีกว่าวิดีโอก่อนหน้านี้เลย และต้องเอาไปทำใหม่ พอได้ฟังเช่นนี้ ผมก็อึ้ง ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีปัญหาใหญ่ๆ อย่างนี้ นี่หมายความว่าความพยายามและทรัพยากรทั้งหมดที่พวกเราใช้ไปย่อมสูญเปล่าไม่ใช่หรือ? ดูเหมือนจะเป็นการสิ้นเปลืองครั้งใหญ่
ผมทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปอย่างไรหรือว่ามีบทเรียนอะไรที่ผมจำเป็นต้องเรียนรู้ ผมคิดเอาว่าวิดีโอนี้ตัดต่อมาหลายรอบแล้ว ระหว่างนั้นผู้นำก็ดูด้วยตลอด แต่กลับไม่เคยพูดถึงปัญหาเหล่านั้นเลย ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีขีดความสามารถ จึงเป็นเรื่องปกติที่ผมจะมองข้ามปัญหาเช่นนั้น แต่ผมก็มิวายเก็บเรื่องนี้มาคิดและรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ปัญหาใหญ่แบบนั้นจะเกิดขึ้นเพียงเพราะผมไม่มีขีดความสามารถเท่านั้นหรือ? ผมทำหน้าที่ได้แย่เหลือเกิน อะไรคือสาเหตุของปัญหานี้? แล้วผมก็นึกถึงบางสิ่งที่ผู้นำเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่า เขาตรวจดูแนวคิดและความต่อเนื่องของวิดีโอเท่านั้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าไม่มีปัญหา เขาเคยบอกให้พวกเราคอยทบทวนรายละเอียด ตรวจสอบให้ถี่ถ้วน และแก้ไขปัญหาอะไรก็ตามที่พบเจอ แต่ผมก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น ผมคิดไปว่าในเมื่อผู้นำดูวิดีโอไปแล้ว งานก็ควรจะใช้ได้ ดังนั้นในระหว่างการผลิต ผมจึงไม่ได้ตรวจดูอย่างละเอียดหรือใส่ใจใคร่ครวญมากนัก ท่าทีของผมนั้นไม่ใส่ใจและสุกเอาเผากินอย่างสิ้นเชิง และแล้วพอเกิดปัญหาขึ้น ผมก็บอกว่าผู้นำเคยตรวจดูงานแล้ว ผมกำลังโยนความรับผิดชอบไม่ใช่หรือ? ผมช่างไร้เหตุผลเหลือเกิน ตอนนั้นผมจึงคิดว่าต้องมีบทเรียนให้ผมเรียนรู้จากเรื่องนี้เป็นแน่ ผมจึงอธิษฐานและแสวงหา ขอพระเจ้าทรงนำผมให้รู้จักตัวเอง
ไม่กี่วันต่อมา พี่น้องหญิงที่ทำงานร่วมกับผมได้ขอให้ผมตรวจดูวิดีโอชิ้นหนึ่งที่ทำเสร็จแล้วด้วยกัน ผมพูดถึงปัญหาบางอย่างที่ผมสังเกตเห็นระหว่างตรวจดูงาน แต่เธอกลับบอกผมว่าผู้นำดูวีดีโอนี้แล้ว และเขาเอ่ยปากว่าเขาชอบแนวคิด ว่าพวกเราควรรีบทำให้เสร็จทันที ผมมีข้อเสนอแนะบางอย่างให้ใช้แก้งาน แต่พอได้ยินว่าผู้นำเคยดูแล้วและบอกว่าเขาชอบงาน ผมก็ไม่กล้าเอ่ยข้อเสนอแนะออกมา กลัวว่าดุลยพินิจของผมจะไม่ถูกต้องและพวกเราจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรให้กลายเป็นผิด ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็จะเป็นจระเข้ขวางคลองเสียเอง แต่ผมมองเห็นว่าวิดีโอนั้นมีปัญหาอยู่บ้างจริงๆ ผมจึงขอให้พี่น้องชายอีกคนมาดูและเขาก็รู้สึกเหมือนผม ผมคิดว่าตัวเองควรจะหยิบยกเรื่องวิดีโอนี้ขึ้นมาพูดอีกครั้ง แต่แล้วก็คิดว่าถ้าพวกเราแก้ไข แล้วการตัดต่อที่ผมเสนอแนะมีปัญหาขึ้นมา จากนั้นพอผู้นำถามว่าใครทำ นั่นจะไม่กลายเป็นความรับผิดชอบของผมหรอกหรือ? ผมจะไม่ถูกตัดแต่งหรือ? ถ้าพวกเราไปถามผู้นำ แล้วเขาบอกว่างานใช้ได้แล้ว ก็จะไม่ต้องแก้ไขอะไรเพิ่มเติม แบบนั้นจะได้ไม่เกิดปัญหา และพวกเราก็จะไม่ต้องมาย้ำคิดเรื่องนี้ ดังนั้นผมจึงแนะพี่น้องหญิงที่ผมจับคู่ทำงานด้วยว่าพวกเราควรถามผู้นำ เพื่อที่พวกเราจะได้สบายใจ แต่ทันทีที่พูดเช่นนี้ ผมกลับรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งไม่ถูกต้อง ผมคุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้ดี นั่นคือ เวลาได้ฟังความคิดเห็นที่ต่างออกไป ผมมีคำตอบให้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ ถามผู้นำ ให้เขาตัดสินใจ ถ้าผู้นำเห็นชอบ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลและสามารถไปทำอย่างอื่นต่อได้ กลับกัน ถ้าเขาบอกว่ามีปัญหา พวกเราก็ไปแก้งาน พวกเราทำเช่นนั้นกันทุกครั้ง ที่จริงแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่คุ้นเคยกับหลักธรรมและข้อพึงประสงค์ของการผลิตวิดีโอ พวกเราสามารถแสวงหาความจริงและลงมือตามหลักธรรมสำหรับปัญหานั้นๆ ได้ และผู้นำก็บอกชัดเจนว่าเขาแค่ตรวจดูวิดีโออย่างกว้างๆ ส่วนพวกเราจำเป็นต้องตรวจสอบและแก้ไขปัญหาในรายละเอียด นั่นคือความรับผิดชอบที่ผมควรทำให้ลุล่วง และเป็นงานของผมเอง ดังนั้น ทำไมผมถึงไม่ทุ่มเทหัวใจให้กับงานเลย? พอเจอปัญหาหรือความคิดเห็นที่แตกต่าง ผมก็ไม่แสวงหาหลักธรรมร่วมกับพี่น้องชายหญิงเพื่อลงมติ ผมไม่รับผิดชอบ กลับโยนเรื่องไปให้ผู้นำ และไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง จากนั้นผมก็นึกถึงพระวจนะบางส่วนของพระเจ้าขึ้นมา ความว่า “มีบางคนที่นิ่งเฉยอย่างมากอยู่เสมอในหน้าที่ของพวกเขา นั่งรอและพึ่งพาผู้อื่นเสมอ นี่คือท่าทีชนิดใด? นี่คือการไม่รับผิดชอบ… เจ้าเพียงแต่พูดถึงพระวจนะและคำสอนและเจ้าพูดแต่สิ่งที่น่าฟังเท่านั้น แต่เจ้าไม่ได้ทำงานจริง หากเจ้าไม่ปรารถนาที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าก็ควรลาออกไปเสีย จงอย่าถือครองตำแหน่งของเจ้าเอาไว้และไม่ทำสิ่งใดเมื่ออยู่ตรงนั้น การทำเช่นนั้นจะไม่ทำร้ายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและสร้างความเสียหายให้แก่งานของคริสตจักรหรอกหรือ? จากหนทางที่เจ้าพูดคุย ดูเหมือนเจ้าจะเข้าใจคำสอนทุกรูปแบบ แต่เมื่อขอให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ เจ้ากลับสุกเอาเผากิน และไม่มีมโนธรรมแม้แต่น้อย นั่นคือการสละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจหรือ? เจ้าไม่จริงใจเมื่อเป็นเรื่องของพระเจ้า กระนั้นเจ้ากลับแสร้งทำเป็นจริงใจ เจ้าสามารถหลอกลวงพระองค์ได้หรือ? ในหนทางที่เจ้าพูดคุยตามปกติ ดูเหมือนจะมีความเชื่อเป็นอันมาก เจ้าต้องการที่จะเป็นเสาหลักและศิลาของคริสตจักร แต่เมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ เจ้ากลับมีประโยชน์น้อยเสียกว่าไม้ขีดไฟ นี่เป็นการหลอกลวงพระเจ้าทั้งที่รู้แจ้งแก่ใจมิใช่หรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าการพยายามหลอกลวงพระเจ้าจะนำสิ่งใดมาสู่เจ้า? พระองค์จะทรงรังเกียจเดียดฉันท์และกำจัดเจ้าออกไป! ทุกคนย่อมถูกเปิดเผยในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของตน—เพียงจัดให้บุคคลทำหน้าที่หนึ่ง ก็จะมีการเปิดเผยในเวลาไม่นานว่าพวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์หรือเป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ว่าพวกเขาเป็นผู้ที่รักความจริงหรือไม่ ผู้ที่รักความจริงสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างจริงใจและค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้ ผู้ที่ไม่รักความจริงย่อมไม่ค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าแม้แต่น้อย และพวกเขาก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไม่มีความรับผิดชอบ สิ่งนี้ย่อมประจักษ์ชัดโดยทันทีแก่ผู้ที่มีสายตาชัดแจ้ง ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ไม่ดีไม่ใช่ผู้ที่รักความจริงหรือบุคคลที่ซื่อสัตย์ ผู้คนเช่นนั้นย่อมจะถูกเปิดเผยและกำจัดออกไปกันทุกคน” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงคนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง) พระเจ้าตรัสว่าพวกเราต้องมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตนและทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง นั่นเป็นหนทางเดียวที่พวกเราจะทำหน้าที่ได้ดี ถ้าพวกเราไม่ทุ่มเทหัวใจให้กับหน้าที่ กลับทำแต่พอเอาหน้ารอด ไม่จริงจังกับปัญหาหรือยอมรับผิดชอบ อยากผลักไปให้คนอื่นอยู่เสมอ และทำงานแต่เพียงผิวเผิน เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราย่อมจะทำหน้าที่ของตนให้ดีไม่ได้ และพระเจ้าก็จะไม่พอพระทัย ในสายพระเนตรของพระเจ้า ผู้คนเช่นนั้นไร้ประโยชน์และไม่คู่ควรแก่การทำหน้าที่ให้ลุล่วง ผมมองเห็นว่าตัวเองเป็นเหมือนที่พระเจ้าทรงเปิดโปงไม่มีผิด เวลาที่ผมพบเจอปัญหาในหน้าที่ของตนเอง ถ้าผมทุ่มเทหัวใจให้กับหน้าที่ อธิษฐาน แสวงหาและสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมกับพี่น้องชายหญิง พวกเราย่อมจะได้ฉันทามติและพบหนทางแก้ไข แต่ผมกลับมองการทำเช่นนั้นว่ายุ่งยาก และไม่อยากจะพยายาม ดังนั้นผมจึงอยากตรงไปหาผู้นำ คิดเอาว่าการให้เขาตัดสินชี้ขาดจะทำให้เรื่องยุ่งยากน้อยลง นั่นย่อมจะช่วยเลี่ยงปัญหาได้มาก หาไม่แล้ว พวกเราก็จะมัวแต่ถกกันอยู่ตรงนั้นเป็นนานสองนาน และอาจจะไม่ได้คำตอบเสียด้วย ผมจึงผลักปัญหามากมายไปให้ผู้นำ ส่วนผมในฐานะผู้นำทีมกลับไม่รับผิดชอบหรือยอมลำบากอย่างที่ผมควรจะทำ นอกจากนี้ เวลาพวกเราหารือกันเรื่องงาน บางครั้งผมเห็นปัญหาหรือมีความรู้แจ้งบางอย่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ทันทีที่ผมอธิบาย ถ้าพี่น้องชายหรือหญิงแสดงความเห็นที่ต่างออกไป ผมก็จะเอาแต่ปิดปากเงียบ ผมกลัวคนอื่นจะหาว่าผมโอหัง และที่ยิ่งน่ากลัวกว่าสำหรับผมก็คือว่าถ้ามีปัญหาขึ้นมา ผมจะต้องรับผิดชอบ ผมเพียงรู้สึกว่าในเมื่อผมแบ่งปันความเห็นไปแล้ว ย่อมขึ้นอยู่กับพวกเขาที่จะพิจารณา และถ้าพวกเราไม่มีมติที่เป็นเอกฉันท์ ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยไปถามผู้นำก็ได้ แบบนั้นถ้าเกิดปัญหาขึ้นมา อย่างน้อยทุกอย่างก็จะไม่วกมาลงที่ผมคนเดียว ผมไม่ได้แสวงหาว่าควรกระทำการตามหลักธรรมความจริงอย่างไร และผมยิ่งไม่ได้คิดว่าอะไรจะเป็นประโยชน์ต่อคริสตจักร ผมไม่อยากลำบากเลยแม้แต่น้อยและไร้ความรับผิดชอบ ดูภายนอกแล้วเหมือนผมกำลังจับสังเกตและหยิบยกปัญหาต่างๆ ขึ้นมาพูด แต่ผมไม่ได้แก้ไขปัญหาเหล่านั้น ผมปล่อยให้คนอื่นตัดสินชี้ขาดอยู่เสมอ และไม่ยอมตัดสินใจด้วยตัวเอง ผมกำลังเล่นไม่ซื่อ เห็นแก่ตัว และทำตัวน่าดูหมิ่นไม่ใช่หรือ? ผมไม่ได้ค้ำจุนผลประโยชน์ของคริสตจักร แต่ก่อนนี้ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่พวกเราพบเจอปัญหา ผมจะถามผู้นำเสมอ คิดไปว่าการถามเมื่อตัวเองไม่เข้าใจย่อมสมเหตุสมผลกว่าการหลับหูหลับตาเชื่อใจตัวเอง ด้วยการเปิดเผยในพระวจนะของพระเจ้า ผมจึงมองออกว่าผมไม่รับผิดชอบ ขาดความเอาใจใส่ในหน้าที่ และไม่ได้อุทิศตน พอตระหนักดังนั้นแล้ว ผมจึงมองเห็นว่าที่ผ่านมาผมสมองช้าและด้านชามาก เวลาเผชิญสถานการณ์เหล่านี้ ผมไม่เคยแสวงหาความจริงหรือเรียนรู้บทเรียนเลย ผมเพียงแต่ทำหน้าที่พอให้ผ่านไปอยู่เสมอ ไม่ได้รับผิดชอบอะไร นั่นเป็นวิธีการทำหน้าที่ที่อันตรายอย่างยิ่ง ตอนนี้ผมพบเจอปัญหา และคู่ทำงานก็มีแนวคิดที่แตกต่าง ถ้าผมไม่แสวงหาหลักธรรมความจริงร่วมกับเธอเพื่อหาข้อตกลงหรือแสวงหาหนทางแก้ไข แต่กลับวิ่งโร่ไปถามผู้นำ เห็นได้ชัดว่านั่นคือการทำหน้าที่แต่พอเอาหน้ารอด ผมตระหนักว่าผมต้องเปลี่ยนแปลงสภาวะของตัวเอง ว่าถ้าผมมัวเดินอยู่บนเส้นทางที่ครึ่งๆ กลางๆ และไร้ความรับผิดชอบต่อไป ผมย่อมกำลังจงใจทำผิด ดังนั้นผมจึงเสนอแนะคู่ทำงานให้พวกเราทำวิดีโออีกแบบหนึ่ง แล้วเอาสองแบบมาเทียบกัน จากนั้นก็ขอให้ผู้นำตรวจงานชิ้นที่พวกเราคิดว่าดีกว่า เธอเห็นด้วยกับการจัดแจงเช่นนี้ หลังจากปฏิบัติตามนี้แล้ว ผมก็รู้สึกสบายใจมาก
ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “คนที่กลัวการรับผิดชอบเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตนนั้นเป็นคนขลาด หรือว่าอุปนิสัยของพวกเขามีปัญหากันแน่? เจ้าต้องสามารถบอกความแตกต่างได้ ข้อเท็จจริงก็คือนี่ไม่ใช่เรื่องของความขลาด หากบุคคลนั้นไล่ตามความมั่งคั่ง หรือกำลังทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง พวกเขาสามารถกล้าขนาดนั้นได้อย่างไร? พวกเขาจะยอมรับความเสี่ยงทุกอย่าง แต่เมื่อพวกเขาทำสิ่งทั้งหลายให้คริสตจักร ให้พระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาไม่ยอมเสี่ยงอะไรเลย ผู้คนเช่นนี้เห็นแก่ตัวและเลวทราม เป็นพวกคิดคดทรยศที่สุดในบรรดาคนทั้งปวง ผู้ใดก็ตามที่ไม่รับผิดชอบการปฏิบัติหน้าที่ของตนย่อมไม่จริงใจต่อพระเจ้าแม้แต่น้อย ยิ่งไม่พักต้องพูดถึงความจงรักภักดีของพวกเขา บุคคลจำพวกใดที่กล้าแบกรับความรับผิดชอบ? คนแบบใดที่กล้ารับภาระอันหนักอึ้ง? คนที่เป็นผู้นำและกล้าเดินหน้าในช่วงเวลาที่สำคัญอย่างที่สุดต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ไม่กลัวที่จะแบกรับความรับผิดชอบอันหนักอึ้งและสู้ทนความยากลำบากอันใหญ่หลวงเมื่อพวกเขามองเห็นงานที่มีความสำคัญอย่างที่สุด นั่นคือคนที่จงรักภักดีต่อพระเจ้า เป็นทหารที่ดีของพระคริสต์ จริงหรือไม่ที่ทุกคนที่กลัวการรับผิดชอบในหน้าที่ของตน ทำเช่นนั้นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง? ไม่จริง นี่คือปัญหาเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ของพวกเขา พวกเขาไม่มีสำนึกในความยุติธรรมหรือสำนึกรับผิดชอบ พวกเขาคือผู้คนที่เห็นแก่ตัวและเลวทราม ไม่ใช่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริง และพวกเขาก็ไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องจ่ายราคาเพื่อให้ได้มาซึ่งความจริง และพวกเขาจะพบเจออุปสรรคมากมายในการปฏิบัติความจริง พวกเขาต้องละทิ้งสิ่งต่างๆ ละทิ้งผลประโยชน์ทางเนื้อหนังของตน และสู้ทนความทุกข์บางอย่าง เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ ดังนั้นคนที่กลัวการรับผิดชอบจะสามารถปฏิบัติความจริงได้หรือไม่? พวกเขาปฏิบัติความจริงไม่ได้อย่างแน่นอน นับประสาอะไรกับการได้มาซึ่งความจริง พวกเขากลัวการปฏิบัติความจริง กลัวการสูญเสียผลประโยชน์ของตน พวกเขากลัวการถูกเหยียดหยาม การดูถูกดูหมิ่น และการถูกตัดสิน และพวกเขาก็ไม่กล้าปฏิบัติความจริง ผลก็คือพวกเขาไม่สามารถได้รับความจริง และไม่ว่าจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปี พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าถึงความรอดของพระองค์ได้ ผู้ที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้าต้องเป็นผู้คนที่มีภาระเป็นงานของคริสตจักร รับผิดชอบ ค้ำจุนหลักธรรมความจริง สามารถทนทุกข์และยอมลำบากได้ หากคนใดไม่มีสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็ไม่เหมาะที่จะปฏิบัติหน้าที่ และไม่อยู่ในภาวะที่จะปฏิบัติหน้าที่ มีผู้คนมากมายกลัวที่จะรับผิดชอบการปฏิบัติหน้าที่ ความกลัวของพวกเขาสำแดงให้เห็นในสามหนทางหลัก หนทางแรกคือพวกเขาเลือกหน้าที่ที่ไม่พึงต้องรับผิดชอบ หากผู้นำคริสตจักรจัดการเตรียมการให้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่อย่างหนึ่ง พวกเขาย่อมถามก่อนว่าพวกเขาต้องรับผิดชอบอะไรในหน้าที่นั้นหรือไม่ หากใช่ พวกเขาก็ไม่ยอมรับหน้าที่นั้น หากไม่ต้องให้พวกเขาแบกรับความรับผิดชอบและไม่ต้องรับผิดชอบอะไร พวกเขาก็ยอมรับหน้าที่นั้นไว้อย่างเสียไม่ได้ แต่ก็ยังคงต้องดูว่างานนั้นเหน็ดเหนื่อยหรือยุ่งยากหรือไม่ และแม้พวกเขาจะยอมรับหน้าที่ไว้อย่างไม่เต็มใจแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ไร้แรงจูงใจที่จะปฏิบัติหน้าที่นั้นให้ดี เลือกที่จะสุกเอาเผากินอยู่ดี การพักผ่อน ไร้ซึ่งงานหนัก และไม่มีความยากลำบากทางกาย—นี่คือหลักการของพวกเขา หนทางที่สองคือเมื่อมีความลำบากยากเย็นบังเกิดกับพวกเขาหรือพวกเขาเผชิญปัญหา สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือรายงานผู้นำและให้ผู้นำรับมือและแก้ไขเรื่องนั้น โดยหวังว่าพวกเขาจะยังคงสบายต่อไป พวกเขาไม่ใส่ใจว่าผู้นำจะรับมือประเด็นปัญหาอย่างไรและไม่สนใจเรื่องนี้—ตราบใดที่พวกเขาไม่ต้องรับผิดชอบด้วยตนเอง ตราบนั้นทุกอย่างก็ดีแล้วสำหรับพวกเขา การปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้เป็นการจงรักภักดีต่อพระเจ้าหรือไม่? นี่เรียกว่าการโยนกลอง การละทิ้งหน้าที่ การเล่นตุกติก มีแต่ลมปากทั้งสิ้น พวกเขาไม่ทำสิ่งใดที่เป็นจริง พวกเขาบอกตนเองว่า ‘ถ้าฉันต้องแก้ไขเรื่องนี้ แล้วลงเอยด้วยการทำผิดพลาดขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้น? เมื่อพวกเขาตรวจสอบว่าใครผิด พวกเขาจะไม่จัดการฉันหรอกหรือ? ความรับผิดชอบจะไม่ตกเป็นของฉันก่อนเพื่อนหรอกหรือ?’ นี่คือสิ่งที่พวกเขากังวล แต่เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ทุกสิ่ง? ทุกคนย่อมทำผิด หากบุคคลที่มีเจตนาถูกต้องนั้นขาดพร่องประสบการณ์และไม่เคยจัดการเรื่องบางอย่างมาก่อน แต่พวกเขาทำดีที่สุดแล้ว นั่นย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่สายพระเนตรของพระเจ้า เจ้าต้องเชื่อว่าพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ทุกสรรพสิ่งและหัวใจของมนุษย์ หากคนเราไม่เชื่อแม้แต่สิ่งนี้ พวกเขาย่อมเป็นผู้ไม่เชื่อมิใช่หรือ? การที่คนเช่นนี้ปฏิบัติหน้าที่จะมีนัยสำคัญอะไรได้?… ยังมีอีกหนทางหนึ่งที่เป็นการสำแดงความกลัวที่จะต้องรับผิดชอบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลให้เห็น เมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน ผู้คนบางคนทำงานที่ผิวเผินเรียบง่ายเพียงเล็กน้อย งานที่ไม่พ่วงเอาการต้องรับผิดชอบมาด้วย ส่วนงานที่นำความลำบากยากเย็นและการต้องรับผิดชอบมาให้นั้น พวกเขาโยนให้ผู้อื่นทำ และหากบางสิ่งเกิดผิดพลาด พวกเขาก็โยนความผิดไปให้ผู้คนเหล่านั้น และทำให้ตัวเองไม่เดือดร้อน… หากพวกเขาไม่มีสำนึกรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้อย่างไร? ผู้ที่ไม่สละตนเพื่อพระเจ้าอย่างแท้จริงย่อมไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่อันใดได้ดี และผู้ที่กลัวการรับผิดชอบมีแต่จะทำให้สิ่งทั้งหลายล่าช้าเท่านั้นเมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน ผู้คนเช่นนี้ไว้ใจหรือพึ่งพาไม่ได้ พวกเขาทำหน้าที่ของตนเพียงเพื่อหาอาหารใส่ปากท้องของตนเท่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)) พระวจนะของพระเจ้ากระทบใจผมจริงๆ และผมรู้สึกเหมือนว่านี่คือการที่พระเจ้ากำลังทรงอธิบายสภาวะของผมในเวลานั้นโดยแท้ ในการทำงานที่คริสตจักรไว้วางใจมอบหมายมาให้นั้น ผมไม่ได้ทำงานตามหลักธรรมความจริงหรือพึ่งพิงพระเจ้าเพื่อที่จะทำให้ดีที่สุด ผมกลับหนีปัญหาและบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบ ผลักภาระไปไว้บนบ่าของผู้นำเพื่อให้เขารับมือเอาเอง ผมจะทำอะไรก็ตามที่ผู้นำบอก คิดเอาว่าถ้าสุดท้ายทำออกมาไม่ดี ก็ย่อมไม่ใช่ความรับผิดชอบของผม และผมก็จะไม่ถูกตัดแต่ง นั่นคือการเล่นไม่ซื่อไม่ใช่หรือ? ผมถึงกับเชื่อว่านี่คือวิธีทำสิ่งต่างๆ อย่างชาญฉลาด แต่ในพระวจนะของพระเจ้า ผมได้เห็นว่านี่คือการปัดความรับผิดชอบให้พ้นตัว ละเลยหน้าที่ และทำตัวเจ้าเล่ห์ ผมกำลังทำตัวฉลาดแกมโกงและหลอกลวงพระเจ้าในหน้าที่ของตน ผมเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองเสมอ เพื่อให้ผมเลี่ยงความรับผิดชอบได้ ผมไม่ได้จริงใจหรือยอมลำบากอย่างแท้จริง และผมก็ไม่ได้พยายามทำทุกอย่างเท่าที่ตัวเองจะทำได้ ผมแค่ทำพอให้ผ่านไปและไม่ซื่อสัตย์ และต่อให้ผมกำลังออกแรงทำงาน ผมก็ไม่ได้อุทิศตน ผมไม่คู่ควรกับหน้าที่ ผมตระหนักว่าไม่ว่าเมื่อใดที่พวกเราทำวิดีโอเสร็จ ตราบใดที่ผู้นำบอกว่าใช้ได้ในการตรวจงานเบื้องต้น ผมก็จะไม่ตรวจดูอย่างจริงจังหรือคิดทบทวนให้ถี่ถ้วน ต่อให้คนอื่นมีข้อเสนอแนะในระหว่างที่ยังอยู่ในกระบวนการผลิต ผมก็ไม่ใส่ใจในข้อเสนอแนะเหล่านั้นมากนัก ผมจะมองเพียงปราดเดียวและบอกว่าดีแล้ว ผมไร้ความรับผิดชอบจริงๆ ผลก็คือวิดีโอที่ทำเสร็จแล้วบางชิ้นมีปัญหาและต้องเอากลับมาแก้ไข บางครั้งเมื่อทีมมีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับวิดีโอหนึ่งๆ แม้ผมจะมองเห็นปัญหา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรให้ชัดเจน กลับเอาเรื่องนี้ไปให้ผู้นำตัดสินเท่านั้น บางครั้งพวกเราไม่เข้าใจหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับปัญหาจริงๆ ไม่สามารถแน่ใจได้ว่าทำสิ่งต่างๆ ได้ตรงตามมาตรฐานแล้ว และจำเป็นต้องได้รับการชี้แนะจากผู้นำเพื่อช่วยให้พวกเราแก้ไขข้อผิดพลาดได้ถูกต้อง แต่กับบางปัญหาที่พวกเราเข้าใจอยู่แล้วอย่างชัดเจน ผมก็ยังหาพบช่องโหว่ที่จะไม่ทำบางสิ่งที่ตัวเองพอจะทำได้อยู่ดี ผมไม่ได้ยอมลำบากหรือใส่ใจอย่างที่ตัวเองควรจะทำ กลับเลือกแต่ทางออกง่ายๆ แทน ผมไม่แสวงหาหลักธรรมความจริงหรือคำนึงถึงปัญหาที่ตัวเองมองเห็นอย่างแท้จริง และผมก็ไม่ได้พยายามสรุปหรือเรียนรู้บทเรียนจากความเบี่ยงเบนและความล้มเหลวต่างๆ นี่จึงกลายเป็นความเคยชินที่จะทำสิ่งต่างๆ แบบนี้ ผมถึงกับคิดว่าทุกคนล้วนทำผิดพลาดในหน้าที่ของตน ฉะนั้นถ้าผมมองข้ามปัญหาบางอย่าง นั่นก็เป็นเพราะผมไม่มีขีดความสามารถ เมื่อไม่สนใจว่าตัวเองมองเห็นปัญหาหรือไม่ ผมก็ยิ่งไม่รู้สึกถึงสำนึกรับผิดชอบที่ผมควรจะมี และเพื่อที่จะปกป้องตัวผมเอง ผมจึงไม่ใส่ใจและไม่รับผิดชอบเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน และเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา ผมก็ถึงกับผลักความรับผิดชอบไปให้ผู้นำ ผมกำลังบิดเบือนความจริง ทำให้ทุกสิ่งกลายเป็นปัญหาของคนอื่น ตอนนี้ผมเห็นแล้วว่านี่ไม่ใช่เรื่องของขีดความสามารถ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับสภาวะความเป็นมนุษย์ของผมเอง
จากนั้น ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง ความว่า “หากเจ้าปกป้องตนเองทุกครั้งที่มีบางสิ่งบังเกิดแก่เจ้าและเหลือทางหนีทีไล่หรือประตูหลังให้ตนเอง เจ้ากำลังนำความจริงไปปฏิบัติกระนั้นหรือ? นี่ไม่ใช่การปฏิบัติความจริง—แต่เป็นการทำตัวลับๆ ล่อๆ ตอนนี้เจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า หลักธรรมข้อแรกในการปฏิบัติหน้าที่คืออะไร? คือเจ้าต้องปฏิบัติหน้าที่นั้นๆ ด้วยหัวใจทั้งดวงของเจ้าเสียก่อน ใช้ความพยายามทั้งหมด และปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า นี่คือหลักธรรมความจริงข้อหนึ่ง เป็นหลักธรรมความจริงที่เจ้าควรนำไปปฏิบัติ การปกป้องตนเองด้วยการเหลือทางหนีทีไล่หรือประตูหลังเอาไว้ให้ตนเองนั้นคือหลักปฏิบัติที่ผู้ไม่มีความเชื่อทำกัน และเป็นปรัชญาที่พวกเขาให้การยกชูมากที่สุด การคำนึงถึงตนเองก่อนในทุกสิ่งทุกอย่างและให้ผลประโยชน์ของตนเองมาก่อนสิ่งอื่นใด ไม่นึกถึงผู้อื่น ไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าและผลประโยชน์ของผู้อื่น คิดถึงผลประโยชน์ของตนเองก่อน แล้วจากนั้นก็นึกถึงทางหนีทีไล่—นี่คือผู้ไม่มีความเชื่อมิใช่หรือ? นี่คือสิ่งที่ผู้ไม่มีความเชื่อเป็นโดยแท้ คนแบบนี้ไม่เหมาะที่จะปฏิบัติหน้าที่” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)) พระวจนะของพระเจ้าเสียดแทงความรู้สึกของผมอย่างมาก ผมไม่เคยคิดเลยว่ามุมมองที่ผมใช้ปฏิบัติหน้าที่ของตนคือมุมมองของผู้ไม่เชื่อ เมื่อเผชิญปัญหา ผมคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองก่อนเสมอ กลัวว่าปัญหามีแต่จะย้อนกลับมาหาผม ดังนั้นผมจึงดูเหมือนทำหน้าที่ของตัวเอง แต่ที่จริงแล้วผมไม่เคยทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมีให้กับหน้าที่ ไม่เคยแสวงหาความจริงหรือลงมือทำตามหลักธรรม อีกทั้งผมก็ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของคริสตจักร นอกจากนี้แล้ว ผมมีความสุขที่พอจะได้ใช้ความพยายามในหน้าที่ของตนอยู่บ้าง ทำแบบขอไปทีทุกวัน นั่นเหมือนกับที่ผู้ไม่เชื่อทำงานให้นายจ้างไม่ใช่หรือ? เวลาที่ผมกับคู่ทำงานมีความคิดเห็นต่างกัน ทำไมผมถึงอยากให้ผู้นำตัดสินใจ? นี่เป็นเรื่องของการไม่อยากแบกรับความรับผิดชอบ ดังนั้นแม้ผมจะสังเกตเห็นบางปัญหาอย่างชัดเจนจริงๆ แต่ผมก็ยกให้ผู้นำตัดสิน และผมถึงกับรู้สึกว่าการทำแบบนั้นเหมาะดีแล้ว ผมมองเห็นว่าการไม่ยอมรับผิดชอบได้กลายเป็นการเผยให้เห็นธรรมชาติของผมไปโดยปริยาย ผมฉลาดแกมโกงและเห็นแก่ตัวจริงๆ ทั้งยังพึ่งไม่ได้โดยสิ้นเชิง ผมกำลังเล่นไม่ซื่อ ทำตัวเจ้าเล่ห์ และไม่มีสภาพเสมือนของความจริงใจเลย ผู้คนเยี่ยงนี้ไม่คู่ควรกับการรับหน้าที่ไปทำให้ลุล่วงเลยจริงๆ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ผู้คนบางคนไม่ยอมรับผิดชอบอะไรเวลาที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาสุกเอาเผากินอยู่เสมอ แม้ว่าพวกเขาจะสามารถมองเห็นปัญหา แต่พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะแสวงหาทางแก้และกลัวการล่วงเกินผู้คน และดังนั้นพวกเขาจึงเอาแต่เร่งรุดทำสิ่งทั้งหลาย ส่งผลให้ต้องทำงานกันใหม่ ในเมื่อเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่นี้ เจ้าก็ควรรับผิดชอบหน้าที่นี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่จริงจังกับหน้าที่? เหตุใดเจ้าจึงสุกเอาเผากิน? แล้วเจ้าละเลยความรับผิดชอบของเจ้าเวลาที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางนี้หรือไม่? ไม่ว่าผู้ใดคือผู้รับผิดชอบหลัก ผู้อื่นที่เหลือย่อมต้องรับผิดชอบด้วยการจับตาดูสิ่งต่างๆ ทุกคนต้องมีภาระนี้และสำนึกรับผิดชอบนี้—แต่กลับไม่มีพวกเจ้าคนใดสนใจเลย พวกเจ้าสุกเอาเผากินจริงๆ พวกเจ้าไม่มีความจงรักภักดี พวกเจ้าละเลยหน้าที่ของตน! ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าไม่สามารถมองเห็นปัญหา แต่พวกเจ้าไม่เต็มใจที่จะรับผิดชอบต่างหาก—และเมื่อเจ้ามองเห็นปัญหา เจ้าก็ไม่ปรารถนาที่จะใส่ใจ เจ้าพอใจกับสภาพที่ ‘ดีพอแล้ว’ การทำตัวสุกเอาเผากินในหนทางนี้คือความพยายามที่จะหลอกลวงพระเจ้ามิใช่หรือ? หากว่าเวลาเราทำงานและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงแก่พวกเจ้า และเรารู้สึกว่า ‘ดีพอแล้ว’ เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าจะสามารถได้รับสิ่งใดจากการนั้นให้สมกับขีดความสามารถและการไล่ตามเสาะหาของพวกเจ้าแต่ละคนหรือ? หากเรามีท่าทีเช่นเดียวกับพวกเจ้า พวกเจ้าย่อมจะไม่สามารถได้รับสิ่งใด เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้? ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าพวกเจ้าไม่ตั้งใจทำอะไรเลย และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเจ้ามีขีดความสามารถค่อนข้างแย่ ค่อนข้างด้านชาทีเดียว เราต้องพูดโดยละเอียดเพราะเราเห็นพวกเจ้าทุกคนล้วนด้านชาและไม่รักความจริง ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง อีกทั้งมีขีดความสามารถที่แย่ เราต้องอธิบายทุกสิ่งให้ชัดเจน แบ่งสิ่งทั้งหลายออกมาแล้วประกอบกันเป็นวจนะของเรา และพูดถึงสิ่งทั้งหลายจากทุกแง่มุม ในทุกวิถีทาง เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเจ้าจึงเข้าใจอยู่บ้าง หากเราทำอย่างขอไปทีกับพวกเจ้า และพูดถึงหัวข้อใดก็ตามแค่เพียงเล็กน้อยในเวลาที่เรารู้สึกอยากพูด ไม่คิดให้ดีและไม่พยายามอย่างหนัก เป็นการพูดที่ไร้ซึ่งหัวใจของเรา ไม่มีการพูดเมื่อเราไม่อยากพูด พวกเจ้าจะได้รับอะไรหรือ? ด้วยขีดความสามารถอย่างที่พวกเจ้ามี พวกเจ้าย่อมจะไม่เข้าใจความจริง เจ้าจะไม่ได้รับสิ่งใดทั้งสิ้น นับประสาอะไรกับการได้มาซึ่งความรอด แต่เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ในทางกลับกัน เราต้องพูดอย่างละเอียด เราต้องลงรายละเอียดและยกตัวอย่างในเรื่องของสภาวะของบุคคลแต่ละจำพวก ท่าทีที่ผู้คนมีต่อความจริง และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามแต่ละชนิด เมื่อนั้นเท่านั้น พวกเจ้าจึงจะเข้าใจสิ่งที่เราพูดอยู่ และเข้าใจสิ่งที่พวกเจ้าได้ฟัง ไม่ว่าความจริงด้านใดจะได้รับการสามัคคีธรรม เราก็พูดผ่านวิถีทางอันหลากหลาย ด้วยลีลาการสามัคคีธรรมสำหรับทั้งผู้ใหญ่และเด็ก และในรูปของการใช้เหตุใช้ผลและเรื่องเล่า ยกมาทั้งทฤษฎีและวิธีปฏิบัติ และพูดคุยถึงประสบการณ์ต่างๆ เพื่อที่ผู้คนอาจเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริง ในหนทางนี้ผู้ที่มีขีดความสามารถและมีหัวใจย่อมจะมีโอกาสเข้าใจและยอมรับความจริงและได้รับการช่วยให้รอด แต่ท่าทีที่พวกเจ้ามีต่อหน้าที่ของตนนั้นเป็นท่าทีที่สุกเอาเผากินเสมอมา เป็นท่าทีของการประวิงเวลา และเจ้าไม่กังวลสนใจว่าตนเองทำให้ล่าช้าเพียงใด เจ้าไม่คิดทบทวนว่าควรแสวงหาความจริงเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาอย่างไร เจ้าไม่คิดเลยว่าควรปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไรจึงจะถูกต้องเหมาะสมเพื่อให้สามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าได้ นี่คือการละเลยหน้าที่ของเจ้า ดังนั้นชีวิตของเจ้าจึงเติบโตช้ามาก แต่เจ้าก็ไม่ได้วิตกว่าเจ้าสิ้นเปลืองเวลาไปมากเพียงใดแล้ว ในข้อเท็จจริงนั้น หากพวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างมีมโนธรรมและรับผิดชอบ ก็ย่อมจะใช้เวลาไม่ถึงห้าหรือหกปีด้วยซ้ำก่อนที่เจ้าจะสามารถพูดคุยถึงประสบการณ์ของเจ้าและเป็นคำพยานให้พระเจ้า และงานต่างๆ ก็ย่อมจะดำเนินไปจนเกิดผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่—แต่พวกเจ้ากลับไม่เต็มใจที่จะคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และไม่เพียรพยายามที่จะเข้าถึงความจริง มีบางสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ดังนั้นเราจึงสอนพวกเจ้าอย่างละเอียด พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องคิด พวกเจ้าเพียงต้องฟังและทำตามเท่านั้น นั่นคือความรับผิดชอบเพียงส่วนเดียวที่พวกเจ้าต้องมี—แต่แม้กระทั่งส่วนนั้นก็ยังพ้นวิสัยของพวกเจ้า ความจงรักภักดีของพวกเจ้าอยู่ที่ใด? ไม่มีให้เห็นในที่ใดเลย! ทั้งหมดที่พวกเจ้าทำคือพูดแต่สิ่งที่เสนาะหู ในหัวใจของเจ้า เจ้ารู้ว่าควรทำอะไร แต่เจ้าไม่ปฏิบัติความจริงเท่านั้นเอง นี่คือการกบฏต่อพระเจ้า และต้นเหตุนั้นอยู่ที่การไม่รักความจริง เจ้ารู้ดีอยู่เต็มหัวใจของเจ้าว่าจะปฏิบัติตนตามความจริงอย่างไร—เจ้าเพียงไม่ลงมือปฏิบัติเท่านั้น นี่คือปัญหาที่ร้ายแรง เจ้ากำลังจ้องมองความจริงโดยที่ไม่นำไปปฏิบัติ เจ้าไม่ใช่คนที่นบนอบพระเจ้าเลย ในการปฏิบัติหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้านั้น อย่างน้อยสิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือแสวงหาและปฏิบัติความจริง และกระทำการตามหลักธรรม หากเจ้าไม่สามารถปฏิบัติความจริงในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะสามารถปฏิบัติความจริงได้ในที่ใด? และหากเจ้าไม่ปฏิบัติความจริงอันใดเลย เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือผู้ไม่เชื่อ แท้จริงแล้วจุดประสงค์ของเจ้าคืออะไรหากเจ้าไม่ยอมรับความจริง—และยิ่งไม่พักต้องพูดถึงการปฏิบัติความจริง—และเอาแต่ทำไปอย่างไร้จุดมุ่งหมายในพระนิเวศของพระเจ้า? เจ้าปรารถนาที่จะทำให้พระนิเวศของพระเจ้าเป็นบ้านพักวัยเกษียณของเจ้าหรือเป็นโรงทานกระนั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็คิดผิดแล้ว—พระนิเวศของพระเจ้าไม่รับดูแลคนที่เอาแต่ได้ คนที่ดีแต่ผลาญ ผู้ใดก็ตามที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์อ่อนด้อย ไม่ยินดีที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน ไม่เหมาะที่จะปฏิบัติหน้าที่ ต้องถูกกำจัดออกไปทั้งสิ้น ผู้ไม่เชื่อทุกคนที่ไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใดต้องถูกกำจัดออกไป บางคนเข้าใจความจริงแต่ไม่สามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ เมื่อพวกเขามองเห็นปัญหา พวกเขาก็ไม่แก้ไขปัญหานั้น และแม้พวกเขารู้ว่าการแก้ไขปัญหาเป็นความรับผิดชอบของตน พวกเขาก็ไม่พยายามอย่างสุดความสามารถ หากเจ้าไม่ทำหน้าที่รับผิดชอบที่เจ้าสามารถทำได้ด้วยซ้ำ เช่นนั้นแล้ว การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าจะสามารถมีคุณค่าหรือมีผลใดได้หรือ? การเชื่อในพระเจ้าในหนทางนี้มีความหมายหรือไม่? บางคนที่เข้าใจความจริงแต่ไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ คนที่ไม่สามารถแบกรับความยากลำบากที่พวกเขาควรแบกรับได้—บุคคลเช่นนั้นย่อมไม่เหมาะที่จะปฏิบัติหน้าที่” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีนั้น คนเราต้องมีมโนธรรมและเหตุผลเป็นอย่างน้อย) ผมรู้สึกละอายใจมากเมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้าจบ พระเจ้าทรงจริงใจอย่างยิ่งในการที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คน เพื่อที่จะช่วยพวกเราให้รอด พระองค์จึงทรงใช้ทุกวิธีเพื่อสามัคคีธรรมกับพวกเรา ทรงสามัคคีธรรมถึงแง่มุมทั้งหลายของความจริงอย่างละเอียดยิ่ง และพระองค์ทรงอดทนมากในระหว่างที่ทรงทำเช่นนั้น พระองค์ทรงยกตัวอย่างมากมายเพื่อชี้แนะในกรณีที่พวกเราไม่เข้าใจ ทรงสามัคคีธรรมถึงความจริงเพื่อให้น้ำและจัดเตรียมให้แก่พวกเราอยู่เสมอ และทรงเผชิญกับความลำบากอันใหญ่หลวงที่สุด ผมคิดทบทวนท่าทีที่ตนเองมีต่อการทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงและตระหนักว่าคริสตจักรไว้วางใจให้ผมทำหน้าที่อันสำคัญเช่นนั้น แต่ผมกลับไม่ยอมรับผิดชอบ ผมเข้าหาหน้าที่อย่างมักง่าย ย่อหย่อนในทุกเรื่องที่ผมทำได้ เล่นแง่และเจ้าเล่ห์ สภาวะความเป็นมนุษย์ของผมอยู่ที่ไหน? พระเจ้าทรงจริงใจกับพวกเรา แต่ทั้งหมดที่ผมใช้ตอบแทนพระองค์คือการหลอกลวง เมื่อก่อนผมเคยอ่านพบในพระวจนะของพระเจ้าเรื่องที่บางคนมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่อ่อนด้อย แต่ผมก็ไม่เคยเชื่อมโยงมาที่ตัวเอง และแล้วผมก็เห็นว่าอันที่จริงผมมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่อ่อนด้อยและไร้มโนธรรม ผมดูเหมือนทำหน้าที่ของตนเองทุกวันและยอมลำบากอยู่บ้าง แต่ผมก็ทำแบบขอไปทีทั้งนั้น หัวใจของผมไม่ได้หันเข้าหาพระเจ้า ผมไม่ได้พยายามทำทุกอย่างที่ผมทำได้ในหน้าที่ของตน ไม่ได้พยายามทุ่มเททุกสิ่งที่ผมมีให้กับหน้าที่ ไม่ได้พยายามที่จะตรึกตรองและมีมโนธรรม ผมกลับสุกเอาเผากินและเพียงทำอย่างขอไปที ผมไม่ได้ทำหน้าที่—ผมทำได้ไม่ถึงมาตรฐานของการออกแรงทำงานด้วยซ้ำ ผมรู้ว่าผมไม่อาจชดใช้ให้กับความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับงานเพราะความไม่รับผิดชอบของผม ผมจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอพระองค์ประทานโอกาสกลับใจแก่ผม และจากนั้นเป็นต้นมา ผมก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเปลี่ยนแปลงท่าทีที่ตัวเองมีต่อหน้าที่ของตน ผมจะไม่ใส่ใจอยู่เช่นนี้ต่อไปไม่ได้
และแล้วผมก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “เพราะผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม บ่อยครั้งที่พวกเขามักจะสุกเอาเผากินในเวลาที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน นี่คือหนึ่งในปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด หากผู้คนจะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม พวกเขาต้องจัดการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความสุกเอาเผากินนี้เสียก่อน ตราบใดที่พวกเขามีท่าทีที่สุกเอาเผากินเช่นนี้ พวกเขาก็จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ซึ่งหมายความว่าการแก้ไขปัญหาความสุกเอาเผากินนี้สำคัญอย่างที่สุด ดังนั้นพวกเขาควรปฏิบัติอย่างไร? ก่อนอื่นพวกเขาต้องแก้ไขปัญหาด้านสภาวะจิตใจของพวกเขา พวกเขาต้องจัดการหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง และทำสิ่งต่างๆ ด้วยความจริงจังและสำนึกของความรับผิดชอบ พวกเขาไม่ควรเจตนาที่จะใช้เล่ห์ลวงหรือสุกเอาเผากิน คนเราปฏิบัติหน้าที่เพื่อพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หากผู้คนสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า พวกเขาก็จะมีสภาวะจิตใจที่ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากทำบางสิ่งบางอย่าง ผู้คนต้องตรวจสอบและคิดทบทวนเกี่ยวกับสิ่งนั้น และหากพวกเขายังรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยภายในหัวใจของตน และหลังจากตรวจสอบโดยละเอียดแล้ว พวกเขาพบว่ามีปัญหาอยู่จริง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ต้องทำการเปลี่ยนแปลง ทันทีที่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้แล้ว พวกเขาก็จะรู้สึกผ่อนคลายในหัวใจของพวกเขา เมื่อผู้คนรู้สึกไม่สบายใจ นี่ย่อมพิสูจน์ว่ามีปัญหาอยู่ และพวกเขาต้องตรวจสอบสิ่งที่พวกเขาทำลงไปอย่างขะมักเขม้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระยะที่เป็นกุญแจสำคัญ นี่คือท่าทีที่รับผิดชอบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา เมื่อคนเราสามารถเอาจริงเอาจัง มีความรับผิดชอบ และมอบหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของพวกเขา งานนั้นจะเสร็จสิ้นอย่างถูกต้องเหมาะสม บางครั้งเจ้าอยู่ในสภาวะจิตใจที่ไม่ถูกต้อง และไม่สามารถพบเจอและค้นพบความผิดพลาดซึ่งชัดเจนมาก หากเจ้ามีสภาวะจิตใจที่ถูกต้อง เช่นนั้นแล้ว ด้วยความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เจ้าก็จะสามารถระบุแยกแยะประเด็นปัญหานั้นได้ หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงนำเจ้าและได้ทรงมอบการตระหนักรู้หนึ่งให้เจ้า เปิดโอกาสให้เจ้ารู้สึกถึงความชัดเจนที่หัวใจและรู้ว่าความผิดพลาดอยู่ที่ไหน เจ้าก็จะสามารถแก้ไขความเบี่ยงเบนให้ถูกต้องและเพียรพยายามเพื่อหลักธรรมความจริงได้ หากเจ้าอยู่ในสภาวะจิตใจที่ไม่ถูกต้อง และหากเจ้าเจ้าใจลอยและไม่เอาใจใส่ เจ้าจะสามารถสังเกตเห็นความผิดพลาดนั้นได้หรือไม่? เจ้าย่อมจะไม่สามารถ สิ่งที่เห็นได้จากการนี้คืออะไร? นี่แสดงให้เห็นว่าการที่ผู้คนร่วมมือกันนั้นสำคัญมากสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี สภาพจิตใจทั้งหลายของพวกเขาสำคัญมาก และความคิดและแนวคิดของพวกเขามุ่งตรงไปยังที่ใดก็สำคัญมาก พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์และสามารถทอดพระเนตรเห็นผู้คนอยู่ในสภาพจิตใจเช่นไร และพวกเขาทุ่มเทพลังงานมากเพียงใดระหว่างที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน การที่ผู้คนใส่หัวใจและพละกำลังทั้งหมดของพวกเขาเข้าไปในสิ่งที่พวกเขาทำนั้นสำคัญอย่างยิ่ง ความร่วมมือกันของพวกเขาก็เป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างยิ่งอย่างหนึ่ง ผู้คนจะกระทำการด้วยหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของพวกเขา ก็ต่อเมื่อพวกเขาเพียรพยายามที่จะไม่เสียใจเกี่ยวกับหน้าที่ที่พวกเขาทำเสร็จสิ้นแล้วและสิ่งที่พวกเขาได้ทำลงไป และไม่เป็นหนี้ต่อพระเจ้า หากเจ้าล้มเหลวเป็นนิตย์ในการทุ่มเทหัวใจและแรงกายทั้งหมดของเจ้าลงไปในการปฏิบัติหน้าที่ของตน หากเจ้าสุกเอาเผากินตลอดเวลา และก่อความเสียหายใหญ่โตให้แก่งาน และห่างไกลจากผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ เช่นนั้นแล้วมีสิ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถเกิดขึ้นกับเจ้าได้ นั่นคือ เจ้าจะถูกกำจัดออกไป แล้วจะยังมีเวลาให้เสียใจอยู่อีกหรือ? ย่อมจะไม่มี การกระทำเหล่านี้จะกลายเป็นความเสียใจชั่วนิรันดร์ เป็นความด่างพร้อย! การสุกเอาเผากินตลอดเวลาคือรอยด่าง เป็นการฝ่าฝืนที่ร้ายแรง—ใช่หรือไม่? (ใช่) เจ้าต้องเพียรพยายามที่จะดำเนินการตามภาระหน้าที่ของเจ้าและตามทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าควรที่จะทำ ด้วยหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของเจ้า เจ้าต้องไม่สุกเอาเผากิน หรือทิ้งความเสียใจใดๆ เอาไว้ หากเจ้าสามารถทำเช่นนี้ได้ พระเจ้าย่อมจะทรงรำลึกถึงหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติ สิ่งที่พระเจ้าทรงรำลึกถึงนั้นคือความประพฤติดีงาม เช่นนั้นแล้ว อะไรคือสิ่งที่พระเจ้าไม่ทรงรำลึกถึง? (คือการฝ่าฝืนและความประพฤติชั่ว) เจ้าอาจจะไม่ยอมรับว่าสิ่งเหล่านั้นคือความประพฤติชั่วหากพรรณนาสิ่งเหล่านั้นด้วยเหตุนั้นในปัจจุบัน แต่หากวันหนึ่งมาถึงเมื่อมีผลสืบเนื่องร้ายแรงต่อสิ่งเหล่านั้น และสิ่งเหล่านั้นก่อให้เกิดอิทธิพลด้านลบ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะสำนึกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่การฝ่าฝืนด้านพฤติกรรม แต่เป็นความประพฤติชั่ว เมื่อเจ้าตระหนักถึงการนี้ เจ้าจะเสียใจ และคิดกับตัวเจ้าเองว่า ‘ฉันควรได้กันเอาไว้ก่อน! ด้วยความคิดและความพยายามอีกนิดหน่อยตั้งแต่แรก ก็คงจะสามารถหลีกเลี่ยงผลสืบเนื่องนี้ได้’ ไม่มีสิ่งใดที่จะลบรอยเปรอะเปื้อนชั่วนิรันดร์นี้จากหัวใจของเจ้า และหากการนั้นทิ้งให้เจ้าเป็นหนี้ถาวร เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะเดือดร้อน ดังนั้นวันนี้เจ้าจึงต้องเพียรพยายามทุ่มเทหัวใจและแรงกายทั้งหมดของเจ้าลงไปในพระบัญชาที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า เพื่อปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างด้วยมโนธรรมที่ชัดเจน ปราศจากความเสียใจใดๆ และในรูปแบบที่พระเจ้าจะทรงระลึกถึง ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใด จงอย่าสุกเอาเผากิน หากเจ้าทำผิดพลาดด้วยความคิดชั่วแล่น และนั่นเป็นการฝ่าฝืนที่ร้ายแรง นี่จะกลายเป็นความด่างพร้อยชั่วนิรันดร์ ทันทีที่เจ้ามีความเสียใจ เจ้าจะไม่สามารถชดเชยความเสียใจเหล่านี้ได้ และนั่นจะเป็นความเสียใจอย่างถาวร ควรมองเส้นทางทั้งสองนี้ให้เห็นอย่างชัดเจน เจ้าควรเลือกเส้นทางใดเพื่อให้ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า? การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าด้วยหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของพวกเจ้า และการตระเตรียมและการสะสมความประพฤติดีงาม โดยไม่มีการเสียใจใดๆ ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใดก็ตาม จงอย่าทำความชั่วที่จะก่อกวนการปฏิบัติหน้าที่ของผู้อื่น จงอย่าทำสิ่งใดที่ขัดแย้งกับความจริงและเป็นการต้านทานพระเจ้า และอย่าทำให้เกิดความเสียใจไปตลอดชีวิต เกิดอะไรขึ้นเมื่อบุคคลหนึ่งได้กระทำการฝ่าฝืนมากเกินไป? พวกเขากำลังทำให้พระโมหะที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเขาเพิ่มพูนขึ้นในการทรงสถิตของพระองค์! หากเจ้าฝ่าฝืนตลอดไป และพระพิโรธที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้าใหญ่หลวงยิ่งขึ้นทุกที เช่นนั้นแล้ว ในท้ายที่สุดแล้วเจ้าจะถูกลงโทษ” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) ก่อนที่จะอ่านบทตอนนี้ ผมได้ยอมรับว่าตัวเองทำหน้าที่แบบขอไปที แต่ผมไม่เคยตระหนักถึงผลลัพธ์ที่อาจเกิดกับตัวผมเอง หรือตระหนักว่าพระเจ้าจะทรงมองและนิยามคนแบบนั้นอย่างไร ตอนนี้ผมมองเห็นจากพระวจนะของพระเจ้าแล้วว่าดูภายนอกแล้วผู้คนเช่นนั้นเหมือนไม่ได้ทำความชั่วร้ายแรง แต่ท่าทีที่พวกเขามีต่อหน้าที่นั้นน่าชังสำหรับพระเจ้า และถ้าพวกเขาไม่กลับใจ ในที่สุดพวกเขาย่อมจะหมดโอกาสที่จะได้รับความรอด เมื่อถูกเปิดโปงในสถานการณ์เช่นนี้ ผมจึงมองเห็นว่าปัญหาของการที่ผมทำหน้าที่แต่พอเอาหน้ารอดและไร้ความรับผิดชอบนี้ร้ายแรงขนาดไหน การที่วิดีโอชิ้นนั้นต้องถูกแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งส่งผลให้งานทั้งหมดของพวกเราล่าช้า เกิดจากความไม่รับผิดชอบของผม นั่นคือการฝ่าฝืนอย่างหนึ่ง ถ้าผมไม่แก้ไขสภาวะของตัวเองให้ถูกต้องในทันที และยังคงไม่ใส่ใจและไม่รับผิดชอบต่อไป ผมก็อาจล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าและถูกกำจัดออกไปได้ทุกเมื่อ ถึงตอนนั้นย่อมจะสายเกินไปที่จะเสียใจ จากพระวจนะของพระเจ้า พวกเราได้ค้นพบเส้นทางปฏิบัติเพื่อที่จะแก้ไขความไม่เอาใจใส่ในหน้าที่ของตน ก่อนอื่นพวกเราต้องมีชุดความคิดที่ถูกต้องเหมาะสม แบกรับความรับผิดชอบ และยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า จากนั้นพวกเราต้องตรวจดูสิ่งต่างๆ อย่างรอบคอบ ไม่กลบเกลื่อนปัญหาที่ตัวเองพบเจอ
ถัดมาพวกเราก็นำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติ พวกเราสรุปสาเหตุที่พวกเราล้มเหลว และตั้งใจตรวจทานวิดีโอตามหลักธรรม ไม่ปล่อยให้รายละเอียดหลุดรอดไปสักอย่างเดียว พวกเราแสวงหาหลักธรรมของความจริงร่วมกัน และคิดหาวิธีแก้ไขงาน การสามัคคีธรรมและหารือกับพี่น้องชายหญิงในครั้งนี้ช่วยให้พวกเราเข้าใจหลักธรรมดีขึ้น และพวกเราก็ตระหนักว่าถึงแม้พวกเราจะตรวจดูวิดีโอบางชิ้นไปหลายครั้งแล้ว แต่เมื่อพวกเราตระหนักรู้มากขึ้นในตอนนี้ พวกเราก็ตรวจพบปัญหามากขึ้นในส่วนที่เกี่ยวกับรายละเอียด นี่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นว่าปัญหาของการที่พวกเราทำหน้าที่แต่พอให้ผ่านไปในอดีตนั้นร้ายแรงขนาดไหน จากนั้นพวกเราก็วิเคราะห์ว่าควรแก้ไขวิดีโอเหล่านี้ตามหลักธรรมอย่างไร ดำเนินการแก้ไขให้เสร็จสมบูรณ์เท่าที่พวกเราจะสามารถทำได้ และพอพวกเราไม่เห็นปัญหาอะไรแล้ว จึงค่อยส่งให้ผู้นำตรวจดู หลังจากที่พวกเราปฏิบัติตามนี้ ทุกคนก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก เมื่อแก้ไขวิดีโอเหล่านั้นเสร็จ พวกเราก็ส่งต่อให้ผู้นำตรวจ เขาบอกว่า “วิดีโอเหล่านี้ดีมาก ผมไม่เจอปัญหาอะไรเลย คราวนี้พวกคุณทำได้ดี” พอผู้นำพูดอย่างนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะขอบคุณพระเจ้าจากหัวใจ ผมรู้ว่าไม่ใช่พวกเราที่ทำงานได้ดี พระเจ้าต่างหากที่ทรงนำทางและประทานความรู้แจ้งแก่พวกเราในยามที่พวกเราเต็มใจที่จะกลับตัวกลับใจนิดหน่อยและเลิกทำตัวไม่เอาใจใส่อย่างนั้นอีก ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมเห็นจริงๆ ว่าเฉพาะเมื่อพวกเราทุ่มเทหัวใจลงไปในหน้าที่เท่านั้นจึงจะมีความหมาย และพวกเราเองก็จะรู้สึกมีสันติสุข ขอบคุณพระเจ้า!