92. ตัวเลือกที่ทุกข์ทรมาน

โดย อาลีนา, ประเทศสเปน

ค.ศ. 1999 ฉันยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และไม่นานฉันก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร  เที่ยงวันหนึ่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2000 ที่ฉันกำลังกินอาหารอยู่กับลูกทั้งสองคน มีเจ้าหน้าที่ห้าคนบุกเข้ามาในบ้าน และเริ่มรื้อค้นไปทั่ว เป็นการค้นสถานที่โดยไม่แสดงหมายค้น  ในเวลานั้นลูกชายของฉันมีอายุเพียงหกขวบ และเด็กๆ เอามือกุมเสื้อผ้าฉันไว้แน่นด้วยความกลัว มือของลูกๆ สั่นเทา  ในที่สุดพวกเจ้าหน้าที่ก็ค้นพบพระคัมภีร์หนึ่งเล่มและบันทึกการเฝ้าเดี่ยวที่ฉันเขียนไว้อีกเล่มหนึ่ง  พวกเขาดึงและผลักฉัน พยายามเอาตัวฉันขึ้นรถตำรวจให้ได้  ลูกๆ ร้องไห้กันใหญ่และตะโกนว่า “แม่!  อย่าไป!”  ตอนนั้นน้ำตาเริ่มไหลอาบแก้มฉันในทันใด เพราะฉันไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเห็นหน้าลูกๆ อีกครั้งหรือเปล่า  หัวใจของฉันเต็มไปด้วยความเศร้า  ต่อมาพวกเขาพาฉันเข้าห้องสอบสวนของสำนักงานความมั่นคงสาธารณะ ที่ซึ่งพวกเขาใส่กุญแจมือฉันไว้กับเก้าอี้เหล็กตัวหนึ่ง  มีคนหลายคนอยู่ที่นั่น จ้องมาที่ฉันอย่างดุร้าย  ในเวลานั้นฉันกลัวมาก และอธิษฐานถึงพระเจ้าไม่หยุด ขอให้พระองค์ประทานความเชื่อแก่ฉัน  ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “บัดนี้เป็นเวลาที่เราจะทดสอบเจ้า เจ้าจะมอบความรักภักดีแก่เราหรือไม่?  เจ้าสามารถติดตามเราอย่างรักภักดีไปจนสุดทางได้หรือไม่?  จงอย่ากลัวเลย ด้วยการสนับสนุนของเรา ใครเล่าจะสามารถขวางกั้นถนนสายนี้ได้?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10)  พระวจนะของพระเจ้าได้ให้ความเชื่อแก่ฉัน และเมื่อคิดว่าพระเจ้าทรงสนับสนุนฉัน ฉันก็รู้สึกกลัวน้อยลง  ไม่ว่าตำรวจจะโหดร้ายขนาดไหน พวกเขาก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  ฉันสาบานว่าไม่ว่าพวกเขาจะทรมานฉันอย่างไร ฉันจะไม่ยอมเป็นยูดาสและทรยศพระเจ้า  ฉันปฏิญาณด้วยชีวิตของตนว่าจะยืนหยัดเป็นพยานให้พระเจ้า!

หนึ่งในพวกเจ้าหน้าที่เริ่มสอบปากคำว่า “ใครเปลี่ยนแกให้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์?  ผู้นำของแกเป็นใคร?  เงินของคริสตจักรเก็บอยู่ที่ไหน?”  ฉันบอกไปว่า “ฉันไม่รู้อะไรเลย”  ผู้อำนวยการกองพลความมั่นคงแห่งชาติพูดว่า “วันนี้พวกเราพบบ้านของแก เพราะพวกเรามีหลักฐานเรื่องความเชื่อของแกอยู่แล้ว  ต่อให้แกไม่พูดอะไรสักคำ พวกเราก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าแกมีความผิด  แต่ถ้าแกบอกพวกเราในเรื่องที่แกรู้ พวกเราก็จะปล่อยแกกลับบ้านเดี๋ยวนี้”  ฉันไม่ตอบคำ  เขาจึงพูดว่า “ลูกๆ ของแกยังเล็กนัก—คงแย่น่าดูถ้าพวกเขาไม่มีแม่ของตัวเองคอยดูแล  ถ้าพวกครูและเพื่อนร่วมชั้นรู้ว่าแม่ของพวกเขาติดคุก พวกเขาก็จะถูกล้อและดูถูก  นั่นย่อมจะเป็นอันตรายต่อจิตใจของพวกเขามากไม่ใช่หรือ?  แกจะใจแข็งทนรับเรื่องนั้นไหวหรือ?  แกคงไม่ปฏิเสธลูกๆ ของแกเพื่อความเชื่อของแกหรอกจริงไหม?”  พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น ใบหน้าที่หวาดกลัวของลูกๆ ตอนที่ฉันถูกจับก็ผุดขึ้นมาในใจฉันทันที และหัวใจของฉันก็บีบรัดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง  ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ย่อมจะสร้างความบอบช้ำและส่งผลต่อเด็กๆ อย่างมากมายยิ่ง!  ถ้าฉันถูกตัดสินลงโทษ ใครจะดูแลพวกเขา?  โดยเฉพาะลูกชายของฉันที่มักจะเจ็บป่วยง่าย ถ้าไม่มีฉันคอยอยู่ดูแล เขาจะทำอย่างไร?  ถ้าพวกเขาถูกครูและเพื่อนร่วมชั้นเลือกปฏิบัติและหัวเราะเยาะ พวกเขาจะรับมือได้ไหม?  พอคิดถึงเรื่องพวกนี้ น้ำตาฉันก็ไหลไม่หยุด และฉันก็รีบอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์เป็นห่วงลูกๆ และรู้สึกวิตกกังวลมาก  ได้โปรดคุ้มครองหัวใจของข้าพระองค์ เพื่อให้ข้าพระองค์สงบใจลงได้ วางใจในพระองค์ และยืนหยัดเป็นพยานได้ด้วยเถิด”  หลังอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าที่ว่า “ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือเจ้าอยู่ที่นี่เบื้องหน้าเรา ทำสิ่งต่างๆ เพื่อเรา แต่ลึกลงไปเจ้าก็ยังคงกำลังคิดถึงภรรยา ลูก และบิดามารดาของเจ้าที่บ้าน  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นทรัพย์สมบัติของเจ้าหรือไร?  เหตุใดเจ้าจึงไม่วางใจฝากพวกเขาไว้ในมือของเราเล่า?  เจ้าไม่มีความเชื่อในเราเพียงพอหรอกหรือ?  หรือเป็นเพราะเจ้ารู้สึกกลัวว่าเราจะลงมือจัดการเตรียมการที่ไม่เหมาะสมกับเจ้า?  เหตุใดเจ้าจึงกังวลเกี่ยวกับครอบครัวแห่งเนื้อหนังของเจ้าอยู่เสมอ?  เจ้าคะนึงหาผู้เป็นที่รักทั้งหลายของเจ้าอยู่เสมอ!  เรามีที่สักแห่งอยู่ในหัวใจของเจ้าบ้างไหม?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 59)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้หัวใจของฉันสว่างไสวขึ้นมาทันที  พระเจ้าคือพระผู้สร้าง ทรงมีอำนาจครอบครองและอำนาจกำกับดูแลชะตากรรมของทุกคน  ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดในภายภาคหน้ากับลูกทั้งสอง ย่อมอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และความเป็นห่วงของฉันย่อมไม่มีประโยชน์  ฉันต้องมีความเชื่อในพระเจ้า และวางใจมอบพวกเขาไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์  เมื่อคิดดังนี้ ฉันก็สงบลงและไม่กังวลเรื่องพวกเขามากดังเดิมอีกต่อไป  ฉันรู้ว่าตำรวจกำลังใช้ลูกๆ มาขู่กรรโชกให้ฉันขายคริสตจักร  พวกเขาต่างหากที่จับกุมฉันอย่างผิดกฎหมาย ทำลายชีวิตครอบครัวที่ปกติของฉัน แล้วตอนนี้พวกเขามาบอกว่าเป็นความเชื่อของฉันที่ทำให้ฉันไม่ได้ดูแลลูกๆ  นี่ไม่ใช่การบิดเบือนข้อเท็จจริงและกลับดำให้เป็นขาวหรอกหรือ?  เมื่อฉุกคิดเช่นนั้น ฉันจึงสวนกลับไปว่า “เป็นเพราะความเชื่อของฉัน หรือเป็นเพราะพวกคุณจับฉันมาขังไว้ที่นี่กันแน่?  ผู้เชื่อในพระเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าและพยายามเป็นคนดี พวกเขาไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมายเลย  แล้วทำไมคุณถึงจับกุมผู้เชื่ออยู่เรื่อย?”  พอฉันพูดแบบนั้น พวกเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น และเจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็พูดว่า “เธอช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน  ถ้าทุกคนเชื่อในพระเจ้า แล้วใครจะฟังพรรคคอมมิวนิสต์จีนกันล่ะ?  แล้วพรรคจะไปชี้นำใครกัน?  เพราะอย่างนั้นพวกเราถึงปล่อยให้เธอเชื่อไม่ได้ และถ้าเธอเชื่อ เธอก็จะต้องถูกจับ!”  ฉันโมโหมาก และนี่ก็ทำให้ฉันนึกถึงบางสิ่งที่พระเจ้าเคยตรัสไว้ว่า “ในสังคมมืดเช่นสังคมแห่งนี้ ที่ซึ่งพวกปีศาจไร้ความปรานีและไร้มนุษยธรรม กษัตริย์แห่งพวกมารที่ฆ่าผู้คนโดยไม่แสดงความรู้สึกใดจะสามารถทนยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงดีงาม ทรงเมตตาและยังทรงบริสุทธิ์อีกด้วยได้อย่างไร?  มันจะสามารถปรบมือและแซ่ซ้องการเสด็จมาถึงของพระเจ้าได้อย่างไร?  ข้ารับใช้พวกนี้!  พวกมันตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง พวกมันเริ่มปฏิบัติต่อพระเจ้าประหนึ่งศัตรูมานานแล้ว พวกมันล่วงเกินพระเจ้า พวกมันป่าเถื่อนอย่างที่สุด พวกมันไม่เคารพพระเจ้าแม้แต่น้อย พวกมันจี้ปล้นและช่วงชิง พวกมันได้สูญเสียมโนธรรมทั้งหมด พวกมันต่อต้านมโนธรรมทั้งหมด และพวกมันทดลองผู้บริสุทธิ์ใจให้เข้าสู่ความสิ้นสำนึกรับรู้  เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ?  บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ?  พวกเขาล้วนต่อต้านพระเจ้า!  การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย!  เสรีภาพทางศาสนาหรือ?  สิทธิ์และผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ?  ทั้งหมดนั้นคือเพทุบายเพื่อที่จะปิดบังบาป!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8))  ด้วยพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงมองเห็นเข้าไปถึงแก่นแท้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน  พวกเขาช่างวิปลาสและต่อต้านสวรรค์  พระเจ้าต่างหากที่ทรงสร้างสรรพสิ่ง ทรงสร้างมนุษยชาติ และเป็นพระเจ้าที่ทะนุบำรุงและค้ำจุนมวลมนุษย์ทั้งหมด  การนมัสการพระเจ้าถูกสวรรค์ลิขิตไว้แล้วและแผ่นดินโลกก็รับรู้ แต่พรรคคอมมิวนิสต์ไม่ปล่อยให้ผู้คนเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้า พวกเขาส่งเสริมความเชื่อแบบอเทวนิยมและทฤษฎีวิวัฒนาการเพื่อชักนำผู้คนไปในทางที่ผิด  พวกเขาถึงกับอ้างอย่างไม่ละอายว่า “ไม่มีพระเจ้าในโลกนี้อย่างแน่นอนที่สุด” และว่า “ความสุขของผู้คนล้วนมาจากพรรคทั้งสิ้น”  พวกเขาอยากให้ประชาชนสำนึกในบุญคุณอย่างสุดซึ้ง ให้รับฟังและเชื่อฟังพวกเขา  พรรคคอมมิวนิสต์จีนช่างชั่วและน่าดูหมิ่นอย่างเหลือเชื่อ!  ในยุคสุดท้าย พระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดด้วยพระองค์เอง แสดงพระวจนะหลายล้านคำ  สิ่งที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนกลัวที่สุดก็คือผู้คนจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าและเข้าใจความจริง และจะดูพรรคออก และเมื่อไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของมันอีกต่อไป ก็จะหันไปหาพระเจ้า  นั่นคือสาเหตุที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำได้เพื่อจับกุมชาวคริสเตียน หวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะปราบปรามพระราชกิจของพระเจ้าและบรรลุจุดหมายของตนในการควบคุมมนุษยชาติไว้ตลอดไป  เมื่อฉันมีประสบการณ์กับการข่มเหงของพวกเขาด้วยตัวเองมาครั้งหนึ่งแล้ว ฉันก็ได้เห็นแก่นแท้เยี่ยงปีศาจของพวกเขาที่เกลียดชังความจริงและเป็นศัตรูของพระเจ้า และนึกดูหมิ่นปีศาจชั่วที่ต้านทานพระเจ้าฝูงนี้  ฉันตั้งปณิธานว่าจะติดตามพระเจ้าอย่างมั่นคงและยืนหยัดเป็นพยานให้พระเจ้า ไม่ว่าฉันจะทนทุกข์เพียงไหน

ในเวลาต่อมาสามีของฉันก็จ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาให้ใครบางคนจนได้ประกันตัวฉันออกมา  วันที่ฉันได้รับการปล่อยตัว ตำรวจคนหนึ่งพูดว่า “ดูจากท่าทีปัจจุบัน เธอจะยังคงเชื่อต่อไปอีกแน่นอน  พวกเราจะจับตาดูเธอ และจะพาเธอกลับมาที่นี่ทันทีที่พวกเราพบว่าเธอเข้าร่วมการชุมนุมหรือแบ่งปันข่าวประเสริฐ!”  ฉันถูกบีบให้ต้องย้ายบ้านหลายครั้งเพื่อให้ฉันสามารถเชื่อต่อไปและทำหน้าที่ของฉันได้ตามปกติ  ในตอนนั้นสามีของฉันเป็นรองหัวหน้าเขตการปกครองท้องถิ่น และเขาเสียโอกาสที่จะได้เลื่อนตำแหน่งไปตั้งแต่ฉันถูกจับด้วยเรื่องความเชื่อของฉัน  จากนั้นในเดือนเมษายน ค.ศ. 2007 เย็นวันหนึ่งเขากลับมาที่บ้านแล้วพูดว่า “เร็วๆ นี้ฝ่ายบริหารในเมืองบางคนจะได้เลื่อนขั้น  เพราะความเชื่อของคุณ ผมถึงไม่ผ่านการตรวจสอบประวัติทางการเมืองตอนที่ผมมีโอกาสเมื่อสองสามครั้งที่ผ่านมา  ผมบอกผู้นำของผมไปแล้วว่าครั้งนี้ผมอยากจะลงสนามด้วย และเขาก็บอกว่าเขาจะแนะนำผมให้ ตราบใดที่คุณยอมละทิ้งศาสนาของคุณ”  เขายังบอกฉันด้วยว่า “คุณแค่ต้องเลิกเชื่อเท่านั้น เพื่อให้พวกเรามีชีวิตที่ดี และให้ลูกๆ ของพวกเรามีบ้านที่มั่นคงได้  ถ้าคุณยืนกรานที่จะเชื่อต่อไป พวกเราก็ต้องหย่า  ผมไม่อยากถูกลากเข้าไปติดร่างแหด้วยอีกแล้ว  ลองคิดดูก็แล้วกัน!”  ฉันรู้สึกเจ็บปวดจริงๆ ที่ได้ฟังเขาพูดทั้งหมดนี้  ถ้าเราสองคนหย่ากัน ก็จะทำร้ายความรู้สึกของลูกๆ อย่างมาก!  เขาเคยดีกับฉันมาตลอด และลูกๆ ของพวกเราก็เชื่อฟัง  เขามีงาน ส่วนฉันก็ทำธุรกิจ และพวกเราก็มีชีวิตที่มีความสุขจริงๆ  ครอบครัวที่แสนวิเศษของพวกเรากำลังถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เพราะการข่มเหงของรัฐบาลจีน  เมื่อคิดเช่นนี้ฉันก็รู้สึกกลัดกลุ้มมาก เหมือนหัวใจถูกแยกออกเป็นเสี่ยงๆ  ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ทิ้งพระองค์ไปไม่ได้ แต่ข้าพระองค์ก็ปล่อยมือจากสามีและลูกๆ ไม่ได้  ข้าพระองค์ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร  ได้โปรดประทานความรู้แจ้งให้ข้าพระองค์ได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด”  จากนั้นฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างสามีที่เชื่อกับภรรยาที่ไม่มีความเชื่อ และไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างลูกๆ ที่เชื่อกับบิดามารดาที่ไม่มีความเชื่อ กล่าวคือ ผู้คนสองประเภทนี้ไม่สามารถเข้ากันได้โดยสิ้นเชิง  ก่อนที่จะเข้าสู่การหยุดพัก คนเรามีญาติพี่น้องทางกายภาพ แต่ทันทีที่คนเราเข้าสู่การหยุดพัก เขาจะไม่มีญาติพี่น้องทางกายภาพให้พูดถึงอีกต่อไป(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน)  ฉันตรึกตรองตามพระวจนะของพระเจ้าและเข้าใจว่า คนที่มีความเชื่อและคนที่ปราศจากความเชื่อคือคนสองจำพวกที่มีแก่นแท้ต่างกัน  ทัศนคติที่พวกเขามีต่อชีวิตและค่านิยมของพวกเขาแตกต่างกัน  ฉันอยู่บนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องเกี่ยวกับความเชื่อ เส้นทางชีวิตแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง  ส่วนสามีของฉันอยู่บนเส้นทางอาชีพของเจ้าหน้าที่รัฐ เส้นทางที่ต้องไต่ลำดับขั้นและหาเงิน  เพื่อที่จะเจริญก้าวหน้าจนได้เลื่อนตำแหน่ง เขากำลังมองข้ามช่วงเวลาหลายต่อหลายปีของชีวิตสมรสและความรู้สึกของลูกๆ และเลือกการหย่าร้างแทน  นั่นเป็นเพราะในหัวใจของเขา สถานะและอนาคตของเขามีความสำคัญต่อเขามากกว่าฉันและลูกๆ  ถึงแม้เขาจะอ้างว่าเขาต้องการให้ลูกๆ มีบ้านที่มั่นคง และมีชีวิตที่มีความสุข แต่ทั้งหมดคือภาพลวงตา  เมื่อก่อนเขาดีกับฉันเพราะฉันไม่ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ส่วนตัวของเขา  มาตอนนี้ความเชื่อของฉันและการถูกจับกุมกำลังมีผลกระทบต่ออาชีพเจ้าหน้าที่รัฐของเขา และกลายเป็นอุปสรรคต่อการเลื่อนตำแหน่งและการหาเงินได้มากขึ้น ดังนั้นเขาจึงต้องการที่จะหย่า  ดูช่างเย็นชาจริงๆ เมื่อฉันคิดเช่นนั้น  ฉันได้เห็นว่าไม่มีความรักที่แท้จริงระหว่างมนุษย์ มีแต่เล่ห์ลวงและการแสวงหาประโยชน์  สามีของฉันรู้ดีทีเดียวว่าพรรคคอมมิวนิสต์เป็นพรรคที่ชั่ว แต่เขาก็ยังคงเข้าข้างมัน บอกให้ฉันละทิ้งความเชื่อของฉัน ถึงกับใช้การหย่ามากดดันฉัน  เราสองคนมีทัศนคติที่แตกต่างกัน และอยู่บนเส้นทางที่แตกต่างกัน และต่อให้พวกเราอยู่ด้วยกันก็ย่อมจะไม่มีความสุข  เมื่อตระหนักเช่นนี้ ฉันก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร

เราทั้งคู่ไปที่สำนักงานกิจการพลเรือนในเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อจัดการเอกสารการหย่าร้างของพวกเรา และระหว่างทางเขาก็พูดว่า “คุณรู้ไหม ผมไม่ได้อยากหย่าเลย แต่ไม่มีทางเลือกอื่น  ดูแลตัวเองให้ดีนะ”  การได้ยินเขาพูดเช่นนี้ทำให้ฉันน้ำตารื้นขึ้นมาทันที  ฉันนึกถึงความยากลำบากทั้งหมดและการถูกคนอื่นเย้ยหยัน ที่ฉันจะต้องเผชิญหลังการหย่า แล้วความเจ็บปวดก็เข้ามาเกาะกุมฉัน  ฉันรีบอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงปกป้องคุ้มครองหัวใจของฉัน  ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เจ้าต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อความจริง เจ้าต้องมอบตัวเจ้าให้กับความจริง เจ้าต้องสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อความจริง และเจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์มากขึ้นเพื่อที่จะได้รับความจริงมากขึ้น  นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ  เจ้าต้องไม่โยนความจริงทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ชีวิตครอบครัวอันสงบสุข และเจ้าจะต้องไม่สูญสิ้นศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของชีวิตเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีชั่วครู่ชั่วยาม  เจ้าควรไล่ตามเสาะหาทั้งหมดที่ดีงามและงดงาม และเจ้าควรไล่ตามเสาะหาเส้นทางในชีวิตที่เปี่ยมความหมายมากขึ้น  หากเจ้าดำเนินชีวิตที่ช่างหยาบช้าสามานย์เช่นนั้น และไม่เสาะหาวัตถุประสงค์ใดๆ เจ้าไม่ได้ทิ้งชีวิตไปอย่างสูญเปล่าหรอกหรือ?  เจ้าสามารถได้รับอะไรบ้างจากชีวิตเช่นนั้น?  เจ้าควรละทิ้งความชื่นชมยินดีทั้งหมดของเนื้อหนังเพื่อเห็นแก่ความจริงหนึ่งประการ และไม่ควรโยนความจริงทั้งหมดทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีเพียงเล็กน้อย ผู้คนเช่นนี้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตหรือศักดิ์ศรีเลย การดำรงอยู่ของพวกเขาช่างปราศจากความหมาย!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา)  ฉันมองเห็นจากพระวจนะของพระเจ้าว่า ไม่ว่าใครจะมีชีวิตทางเนื้อหนังที่ดีขนาดไหน ไม่ว่าคนอื่นจะอิจฉาและเลื่อมใสพวกเขากันกี่คน สิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีความหมายใดๆ  มีเพียงการไล่ตามเสาะหาความจริงและการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเท่านั้นที่จะสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  มีเพียงชีวิตเช่นนี้เท่านั้นที่เป็นชีวิตที่ซื่อสัตย์สุจริตและมีศักดิ์ศรี และเป็นชีวิตที่มีความหมายและทรงคุณค่าที่สุด  พอคิดเช่นนี้ก็รู้สึกเป็นอิสระจริงๆ และฉันก็จัดการขั้นตอนการหย่าโดยไม่มีความสงสัยเคลือบแคลงใดๆ

เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2011 ขณะที่กำลังชุมนุม ฉันก็ถูกจับกุมอีกครั้ง  พวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่กลุ่มเดียวกันกับเมื่อสิบปีก่อน  พวกเขาเจอบัตรประชาชนของฉัน และเรียกชื่อฉัน บอกว่า “สิบปีมานี้พวกเราไปที่บ้านแกหลายครั้ง แต่ไม่เจอแกเลย และตอนนี้พวกเราก็ได้ของดีเข้าจริงๆ  ครั้งนี้พวกเราไม่ปล่อยแกไปแน่!”  พวกเขาพูดพลางใส่กุญแจมือฉันและพาขึ้นรถตำรวจ  ภายในรถนั้น ฉันนึกถึงพี่น้องหญิงสามคนที่ถูกจับไปก่อนหน้านี้ และถูกตำรวจทรมานอย่างทารุณถึงหนึ่งเดือนเต็ม  หนึ่งในนั้นต้องทนทุกข์กับการใช้แขนซ้ายไม่ได้อีกอย่างถาวร เพราะเธอถูกแขวนห้อยไว้นานเกินไป  เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น หัวใจของฉันก็เต้นแรง  ฉันกลัวว่าจะถูกทุบตีจนพิการหรือไม่ก็ตาย  ฉันร้องเรียกหาพระเจ้าในหัวใจของฉันโดยด่วนว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ได้โปรดคุ้มครองและนำให้ข้าพระองค์ผ่านสภาพแวดล้อมเช่นนี้ไปได้ด้วยเถิด  ต่อให้ถูกทุบตีจนตาย ข้าพระองค์ก็จะไม่มีวันเป็นยูดาส”  ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าขึ้นมาหลังจากอธิษฐาน ความว่า “เจ้ารู้ว่าทุกอย่างในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเจ้าล้วนมีอยู่เพราะการยอมอนุญาตของเรา ทุกอย่างเราเป็นคนวางแผนไว้ทั้งหมด  จงมองให้ชัดเจนและทำให้เราพึงพอใจในสภาพแวดล้อมที่เรามอบให้เจ้า จงอย่ากลัว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จอมทัพจะอยู่กับเจ้าอย่างแน่นอน พระองค์ทรงอยู่เบื้องหลังพวกเจ้า และพระองค์คือโล่ของเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 26)  นี่เป็นเรื่องจริง  ชีวิตและความตายของฉันล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าทั้งสิ้น และพวกเขาก็ไม่สามารถเอาชีวิตฉันไปได้หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต  ฉันนึกถึงโยบที่ก้าวผ่านบททดสอบของเขา  พระเจ้าจะไม่ทรงยอมให้ซาตานทำอันตรายชีวิตของโยบ และซาตานก็ไม่อาจไม่ทำตามที่พระเจ้าตรัส  สิ่งนี้นำสันติสุขมาให้แก่หัวใจของฉันอยู่บ้าง และมอบความเชื่อให้ฉันเผชิญสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า

ต่อมา หัวหน้าของกองพลความมั่นคงแห่งชาติก็สอบปากคำฉัน  เขาพูดว่า “นี่เป็นคดีใหญ่ที่สำคัญอย่างยิ่งยวดต่อเมืองของเราในตอนนี้  คุณเคยถูกจับกุมเมื่อสิบปีก่อน และในปี 2009 ก็มีคนรายงานว่าคุณเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  ความพยายามที่จะจับกุมคุณหลายครั้งไม่เป็นผล  คราวนี้พวกเราได้ตัวคุณจากสถานที่จัดการชุมนุม ดังนั้นต่อให้คุณไม่พูดอะไร พวกเราก็ยังทำให้คุณรับโทษเจ็ดถึงสิบปีได้อยู่ดี  พอถูกตัดสินลงโทษเมื่อไร วิทยาลัยก็จะไม่รับลูกทั้งสองคนของคุณเข้าเรียน และพวกเขาจะไม่มีวันได้งานของทางการ  แล้วพวกเขาก็จะถูกทุกคนเลือกปฏิบัติด้วยเพราะมีแม่อย่างคุณ  คุณจะต้องถูกตำหนิที่ทำลายอนาคตของพวกเขา  พวกเขาจะเกลียดคุณไปตลอดชีวิต! ต่อให้คุณไม่คิดถึงตัวเอง ก็นึกถึงอนาคตของลูกๆ บ้าง  ถ้าคุณให้ความร่วมมือ บอกพวกเราว่าใครคือผู้นำเหนือคุณขึ้นไป และเอาเงินของคริสตจักรมาให้พวกเรา พวกเราก็จะปล่อยคุณไป”  พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น ฉันก็รู้สึกขยะแขยงอย่างไม่น่าเชื่อ  พรรคคอมมิวนิสต์นั่นละที่ไม่หยุดข่มเหงคริสเตียน—พวกเขาถึงกับใช้อนาคตลูกๆ ของฉันมาข่มขู่ฉัน บีบให้ฉันขายคริสตจักรและหักหลังพระเจ้า จากนั้นก็อ้างว่าเป็นความเชื่อของฉันที่ทำลายโอกาสในอนาคตของพวกเขา  นั่นเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง!

วันนั้นพวกเขาสอบปากคำฉันอย่างต่อเนื่องจนเลยเวลาบ่ายสองโมง  เมื่อพวกเขาเห็นว่าฉันไม่ยอมพูด พวกเขาก็ส่งฉันไปยังสถานกักกัน  เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดว่า “คราวนี้เธอจะต้องโทษและติดคุก!”  ห้องขังทั้งมืดและชื้น  โรคไขข้ออักเสบและโรคหัวใจรูมาติกของฉันก็มีอาการแย่ลงเรื่อยๆ และเจ็บปวดไปทุกข้อ  ฉันต้องยืนยามสองชั่วโมงทุกคืน และหลังจากยืนไปสักพัก ฉันก็มีอาการใจสั่นและแน่นหน้าอก  มันแย่มาก  ฉันนึกถึงที่เจ้าหน้าที่พูดว่าฉันอาจติดคุกเจ็ดถึงสิบปี และฉันก็เริ่มคำนวณว่าในเจ็ดปีมีทั้งหมดกี่วัน แล้วในสิบปีมีกี่วัน  นั่นจะเป็นเวลาหลายพันวันและหลายพันคืน  ฉันจะทนฝ่าไปได้อย่างไร?  ฉันจะมีชีวิตรอดจนได้เดินออกไปจากที่นี่หรือเปล่า?  พอคิดเรื่องนี้ ฉันก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้ และฉันก็รู้สึกว่าความมืดมิดเข้าครอบงำหัวใจฉัน  ฉันตระหนักว่าฉันไม่อยู่ในสภาวะที่ถูกต้อง ดังนั้นฉันจึงกล่าวอธิษฐานโดยด่วน ขอให้พระเจ้าทรงคุ้มครองหัวใจของฉันและประทานความเชื่อให้ฉันทนฝ่ารูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ไปได้  ฉันนึกจดจำพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ในโลกอันกว้างใหญ่นี้ ผู้ใดเล่าได้รับการตรวจดูโดยเราเป็นการส่วนตัวไปแล้ว?  ผู้ใดเล่าได้ยินวจนะของวิญญาณของเราเป็นการส่วนตัวไปแล้ว?  ผู้คนมากมายเหลือเกินคลำหาและสำรวจค้นในความมืด ผู้คนมากมายเหลือเกินอธิษฐานท่ามกลางความทุกข์ยาก ผู้คนมากมายเหลือเกินซึ่งทั้งหิวและหนาวเฝ้าดูในความหวังและผู้คนมากมายเหลือเกินถูกซาตานพันธนาการไว้ กระนั้นผู้คนมากมายก็ไม่รู้ว่าจะหันไปทางใด ผู้คนมากมายเหลือเกินทรยศเราท่ามกลางความสุขของพวกเขา ผู้คนมากมายเหลือเกินไม่สำนึกขอบคุณ และผู้คนมากมายเหลือเกินภักดีต่อกลอุบายอันหลอกลวงของซาตาน  ผู้ใดเล่าท่ามกลางพวกเจ้าคือโยบ?  ผู้ใดเล่าคือเปโตร?  เหตุใดเราจึงได้พูดพาดพิงถึงโยบซ้ำๆ?  เหตุใดเราจึงอ้างอิงถึงเปโตรหลายครั้งเหลือเกิน?  พวกเจ้าได้เคยสืบให้แน่ใจแล้วหรือไม่ว่าความหวังของเราสำหรับพวกเจ้าคืออะไร?  เจ้าควรใช้เวลามากขึ้นในการใคร่ครวญสิ่งต่างๆ เช่นนี้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 8)  หลังจากใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจ ว่าพระเจ้าทรงให้ความเห็นชอบในตัวโยบและเปโตร เพราะพวกเขาเชื่อและนบนอบอย่างแท้จริง โยบก้าวผ่านบททดสอบ สูญเสียความมั่งคั่งและลูกๆ ของเขา และร่างกายของเขาก็มีฝีขึ้นจนทั่ว กระนั้นเขาก็ยังคงสามารถสรรเสริญพระนามของพระเจ้าและกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21) ซึ่งเป็นการเหยียดหยามซาตาน  และเปโตรก็ถูกตรึงกางเขนกลับหัวเพื่อพระเจ้า เชื่อฟังจนตัวตาย กลายเป็นพยานที่กึกก้อง  ส่วนฉันนั้น ฉันได้ชื่นชมการให้น้ำและสิ่งบำรุงเลี้ยงจากพระวจนะของพระเจ้าอย่างมากมายเหลือเกิน แต่ฉันกลับอยากจะหนีไปทันทีที่เผชิญหน้าความทุกข์เพียงเล็กน้อย  ความเชื่อของฉันอยู่ที่ไหน?  ความเชื่อฟังของฉันอยู่ที่ไหน?  ฉันยังห่างไกลจากสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์อย่างมาก  ฉันยึดติดกับชีวิตของฉันมากนัก ฉันจะให้คำพยานแก่พระเจ้าได้อย่างไร? ฉันรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดกับเรื่องนี้จริงๆ และฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์พร้อมแล้วที่จะวางตัวเองไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์  ไม่ว่าข้าพระองค์จะถูกจำคุกสักกี่ปีหรือทนทุกข์สักเพียงใด ข้าพระองค์ก็ปรารถนาที่จะยืนหยัดเป็นพยานให้พระองค์และเหยียดหยามซาตาน”  ฉันประหลาดใจมากที่หลังจากที่ฉันมอบถวายทุกสิ่งทุกอย่างและพร้อมที่จะยืนหยัดเป็นพยาน ฉันกลับได้รับการปล่อยตัว  ฉันมารู้ทีหลังว่าอดีตสามีของฉันกลัวว่าการถูกจำคุกของฉันจะส่งผลกระทบต่อการเข้ามหาวิทยาลัยของลูกๆ จึงติดสินบนใครบางคนให้ปล่อยตัวฉัน

อดีตสามีของฉันขับรถมาหาฉันที่สถานกักกันในวันปล่อยตัว  เขาได้เห็นว่าฉันดูผิดไปจากเดิมขนาดไหนหลังจากที่น้ำหนักลดลงไปมาก และถามฉันว่า “ผ่านไปแค่เดือนเดียว คุณก็ผอมขนาดนี้แล้ว ถ้าหลายปีคุณคงไม่รอดแน่  ครั้งนี้คุณจะเลิกเชื่อใช่ไหม?”  เมื่อฉันไม่ตอบ เขาก็กดดันฉันต่อไปว่า “ตอบมาสิ คุณจะหยุดเชื่อแล้วใช่ไหม?”  ฉันบอกเขาอย่างใจเย็นว่า “ฉันจะเชื่อต่อไป!  การมีความเชื่อคือสิ่งที่สวรรค์ลิขิต และฉันจะเชื่อตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่”  พอได้ยินฉันพูดแบบนี้ เขาก็ทุบพวงมาลัยด้วยความโมโห ถอนหายใจ และส่ายหัว จากนั้นก็พูดโพล่งออกมาว่า “ผมต้องยกให้พระเจ้าของคุณจริงๆ!  พรรคพยายามทุกอย่างเพื่อเอาชนะใจผู้คน แต่ก็ไม่เคยทำได้เลย ในขณะที่ผู้เชื่ออย่างพวกคุณยืนกรานที่จะเชื่อโดยไม่มีผลตอบแทนทางวัตถุเลย แถมยังถูกจับกุมตั้งหลายครั้ง  พระเจ้าของคุณนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ!”  ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ทรงนำให้ฉันยืนหยัดเป็นพยาน

กลับบ้านได้ไม่กี่วัน ลูกชายของฉันก็กลับมาจากโรงเรียน และพูดกับฉันอย่างจริงจังว่า “แม่ วันนี้แม่ต้องเลือกแล้ว  ถ้าแม่อยากให้ผมเป็นลูกชายของแม่ต่อ แม่ก็ต้องยอมล้มเลิกความเชื่อของแม่  ถ้าแม่ยังนับถือศาสนาของแม่อยู่ ผมจะออกจากบ้าน และแม่จะไม่ได้เจอผมอีก”  ฉันอึ้งไปเลย  ลูกชายของฉันสนิทกับฉันมาตลอด และเขาไม่เคยต่อต้านความเชื่อของฉันมาก่อน  ทำไมวันนี้เขาถึงพูดแบบนี้?  ช่างเจ็บปวดจริงๆ และฉันรู้สึกว่าเส้นทางแห่งความเชื่อนี้ช่างเต็มไปด้วยความทุกข์ยากจริงๆ แล้วก็ลุ่มๆ ดอนๆ  ทุกก้าวล้วนต้องเลือก  ฉันรู้สึกว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ยากเกินไป ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าและขอให้พระองค์ทรงนำให้ฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์  หลังจากอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในตัวผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการรบกวนของมนุษย์  แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานที่พวกเขามีให้พระเจ้า  เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังวางเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือการกระทำของมนุษย์และการรบกวนของพวกมนุษย์  เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังทั้งหมดนั้นคือการสู้รบ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง)  พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ฉันเข้าใจว่า แม้จะดูเหมือนเป็นลูกชายของฉันที่ขอให้ฉันเลือก แต่ที่จริงแล้วกลับเป็นซาตานมาทดลองและโจมตีฉัน เพื่อดูว่าฉันจะเลือกสัมพันธภาพในครอบครัวกับลูกชาย หรือจะเลือกพระเจ้า  ฉันต้องยืนหยัดเป็นพยานเพื่อทำให้ซาตานอับอาย  เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉันจึงบอกลูกชายไปว่า “แม่ไม่สามารถแยกจากพระเจ้าได้  การเลือกที่จะไปจากพระเจ้าก็เหมือนที่ลูกตัดสินใจไปจากแม่ในวันนี้  มันย่อมจะผิดต่อสามัญสำนึกและทำให้พระเจ้าทรงผิดหวัง  แม่จะติดตามพระเจ้าเสมอ  นั่นคือสิ่งที่แม่เลือก!”  เมื่อได้ยินฉันพูดแบบนี้ เขาก็จากไปทั้งน้ำตา  ฉันเองก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน แต่ฉันรู้ว่าฉันเลือกถูกแล้ว!

ประมาณครึ่งชั่วโมงให้หลัง เขาก็กลับมาบอกฉันว่า “แม่ ผมผิดเอง  ผมไม่ควรบีบให้แม่เลือกแบบนั้น  พ่อบอกว่าถ้าแม่ถูกจับอีก แม่จะไม่มีวันได้ออกมา  ผมกลัวว่าแม่จะถูกจับ ผมเลยอยากใช้วิธีนั้นมาทำให้แม่ยอมทิ้งความเชื่อของแม่”  พอได้ยินเขาอธิบายแบบนี้ ฉันก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองต่อปีศาจพรรคคอมมิวนิสต์ที่ต่อต้านพระเจ้านี่  เพียงเพราะฉันเชื่อในพระเจ้า พรรคคอมมิวนิสต์ก็จับกุมและข่มเหงฉัน ทำลายครอบครัวของฉัน และลากสามีกับลูกๆ ของฉันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  ยิ่งพรรคข่มเหงฉันมากเท่าใด ฉันก็จะยิ่งละทิ้งมันมากเท่านั้น และจะติดตามพระเจ้าด้วยเจตจำนงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง!

ก่อนหน้า: 91. ความจริงเบื้องหลังการไม่ใส่ใจ

ถัดไป: 93. การร่วมมือกันอย่างปรองดองคือกุญแจสำคัญในหน้าที่

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger