90. หน้าที่ของคุณไม่ใช่อาชีพการงานของคุณ

โดย ไคลี, ประเทศฝรั่งเศส

ค.ศ. 2020 ฉันรับผิดชอบงานของคริสตจักรสองแห่ง  บางคราวก็จำเป็นต้องมีการโอนย้ายคนจากคริสตจักรของเราให้ไปทำหน้าที่ที่อื่น  ตอนแรกฉันก็ยินดีให้ความร่วมมือและจะจัดเตรียมคนให้ทันที  แต่พอผ่านไปสักพัก ฉันก็ได้ตระหนักว่า งานของฉันทำสำเร็จยากขึ้นเมื่อคนฝีมือดีถูกโอนย้ายไป  ฉันกังวลว่า การสร้างผลงานของฉันอาจจะได้รับผลกระทบ และเหล่าผู้นำจะปลดฉันเพราะทำงานไม่ได้ผลลัพธ์ และศักดิ์ศรีกับสถานะของฉันก็จะตกอยู่ในภาวะอันตราย  ภายหลังต่อมา ฉันจึงไม่ค่อยพร้อมและไม่เต็มใจจัดเตรียมคน

ไม่นานมานี้ ฉันสังเกตเห็นว่าพี่น้องหญิงรันนาซึ่งเป็นผู้เชื่อใหม่มีขีดความสามารถที่ดี และกระตือรือร้นในการไล่ตามเสาะหา  เธออ่านพระวจนะของพระเจ้าและดูวิดีโอของคริสตจักรบ่อยครั้ง และมักถามคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  ฉันคิดถึงการที่คริสตจักรของเราจำเป็นต้องมีผู้ให้น้ำสักหนึ่งคน และฉันควรปั้นเธอเพื่อการนั้นทันที  ในหนทางนี้ ฉันก็จะไม่เพียงกำลังให้น้ำผู้เชื่อใหม่เท่านั้น แต่นั่นจะแสดงให้เห็นว่า ฉันกำลังได้ผลลัพธ์ในการทำหน้าที่ของฉันอีกด้วย และเหล่าผู้นำก็จะได้เห็นว่าฉันมีความสามารถจริงๆ—นั่นคงจะเป็นการดีต่อทั้งสองฝ่าย  ด้วยเหตุผลนี้ ฉันจึงจัดเตรียมความช่วยเหลือให้กับเธออย่างมากมาย เพื่อที่เธอจะได้เข้าใจความจริงมากขึ้น และมีความสามารถที่จะรับงานให้น้ำ  ฉันไม่ได้คาดคิดเลยแม้แต่น้อยว่า อยู่มาวันหนึ่ง ผู้นำคนหนึ่งได้บอกฉันว่าอีกคริสตจักรหนึ่งจำเป็นต้องมีใครบางคนมารับงานให้น้ำ และต้องการให้พี่น้องหญิงรันนาเข้ารับหน้าที่นั้นที่นั่น  พอได้ยินอย่างนั้น ฉันก็หัวเสียอย่างมากและรู้สึกต่อต้านเรื่องนี้จริงๆ โดยคิดว่าคริสตจักรแห่งนั้นไม่ใช่คริสตจักรเพียงแห่งเดียวที่ต้องการคน  ไม่กี่วันต่อมา ผู้นำก็หยิบยกความคิดที่จะโอนย้ายพี่น้องหญิงรันนาขึ้นมาอีกครั้ง โดยพูดว่าเธอมีขีดความสามารถดี และอาจจะสามารถฝึกฝนให้รับผิดชอบมากขึ้นได้  ยิ่งได้ยินฉันก็ยิ่งเกิดความรู้สึกต้านทานมากขึ้นไปอีก และคิดว่า “คุณอยากให้เธอไปในสภาพนั้นเลยหรือ?  ถ้างานของคริสตจักรเรายังคงประสบปัญหาต่อไป ฉันก็จะถูกปลดนะสิ”  พอตระหนักตรงนี้ ฉันก็พูดโพล่งไปว่า “ฉันกำลังคิดว่าให้เธออยู่ที่นี่ และรับการบ่มเพาะให้รับตำแหน่งผู้นำก็ได้นะคะ”  ตามที่เป็นจริงนั้น ฉันรู้ว่ามีผู้มาใหม่เพิ่มขึ้นพอสมควรทีเดียวในคริสตจักรอื่นแห่งนั้น และพวกเขาจำเป็นต้องมีการให้น้ำมากขึ้น  ฉันไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ ว่าฉันจะไม่ปล่อยพี่น้องหญิงรันนาไป แต่ฉันกลับข่มความโกรธเต็มที่เอาไว้และรู้สึกแย่มากๆ และยังไงฉันก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องนั้นได้เลย  ผู้นำคนนั้นได้โอนย้ายหัวหน้ากลุ่มสองคนไปจากคริสตจักรเราแล้วไม่นานก่อนหน้านั้น จนฉันจึงต้องคอยบ่มเพาะคนใหม่ๆ และคอยเติมตำแหน่งที่ว่างอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญที่สุดก็คือ ตัวเลือกดีๆ นั้นหาได้ไม่ง่ายเลย  ถ้าฉันไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีในงานของฉัน ฉันก็จะไม่มีทางได้รับโอกาสที่จะโดดเด่น ที่จะแสดงให้เห็นสิ่งที่ตัวฉันทำได้  ฉันรู้สึกเหมือนว่า ฉันไม่อาจทำหน้าที่นั้นได้เลยและทุกข์ระทมมากขึ้นทุกที  ฉันรู้สึกได้รับการปฏิบัติแบบไม่เป็นธรรมเหลือเกิน จนฉันไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้  ผู้นำเห็นฉันเป็นแบบนั้นจึงสามัคคีธรรมกับฉันถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและหลักธรรมทั้งหลายของคริสตจักรสำหรับการจัดการเตรียมหน้าที่ แต่นั่นก็แค่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา  ต่อมา เธอก็พูดว่าการที่ฉันทำตัวแบบนั้น ฉันกำลังขัดแข้งขัดขางานของคริสตจักร แต่ฉันไม่สามารถยอมรับเรื่องนั้นได้เลย  ฉันคิดว่า “แต่นี่ไม่ใช่เพราะฉันคำนึงถึงงานของคริสตจักรเราเหรอ?  ถ้าคุณคิดว่าฉันกำลังยืนขวางทาง ก็เชิญคุณทำไปเลย  ก็แค่ไล่ฉันออก แล้วฉันก็จะได้ไม่สร้างปัญหาอะไรเพิ่มอีก”  ฉันรู้สึกไม่ดีเลยตอนที่คิดไปแบบนั้น ฉันจึงกล่าวอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ยังไงข้าพระองค์ก็ไม่อาจนบนอบต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ได้  ข้าพระองค์รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมมากเหลือเกิน  ข้าแต่พระเจ้า ได้โปรดทรงนำข้าพระองค์ให้ข้าฯ สามารถเข้าใจว่าตัวเองผิดปกติตรงไหนด้วยเถิด”

หลังการอธิษฐาน ฉันคิดทบทวนถึงเหตุผลที่ว่า เหตุใดเวลาที่ผู้นำคนนั้นจำเป็นต้องทำการเปลี่ยนแปลงตามปกติ คนอื่นๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ฉันกลับมีปัญหา  ฉันแค่จำเป็นต้องต่อสู้กับมันและเหนี่ยวรั้งมันไว้ ในใจของฉันรู้สึกต่อต้านมันอย่างหนัก  และไม่ใช่แค่ครั้งหรือสองครั้งที่ฉันทำตัวแบบนั้น  ทำไมมันจึงยากนักที่ฉันจะนบนอบ?  จากนั้นฉันก็นึกได้ถึงพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าที่ว่า “หน้าที่ไม่ใช่การดำเนินการของเจ้าเอง อาชีพของเจ้าเอง หรืองานของเจ้าเอง  นั่นคือพระราชกิจของพระเจ้า  พระราชกิจของพระเจ้าพึงประสงค์ความร่วมมือของเจ้า ซึ่งทำให้เกิดหน้าที่ของเจ้าขึ้นมา  พระราชกิจของพระเจ้าในส่วนซึ่งมนุษย์ต้องร่วมมือก็คือหน้าที่ของเขา  หน้าที่คือส่วนหนึ่งในพระราชกิจของพระเจ้า—นั่นไม่ใช่อาชีพของเจ้า ไม่ใช่กิจการในครอบครัวของเจ้า อีกทั้งไม่ใช่กิจการส่วนตัวในชีวิตของเจ้าด้วย  ไม่ว่าหน้าที่ของเจ้าจะเกี่ยวข้องกับกิจการภายนอกหรือภายในก็ตาม ไม่ว่าจะใช้แรงใจหรือแรงกาย นี่คือหน้าที่ที่เจ้าควรปฏิบัติ นี่คืองานของคริสตจักร ก่อเกิดเป็นส่วนหนึ่งในแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า และเป็นภารกิจที่พระเจ้าได้ทรงมอบแก่เจ้า  นี่ไม่ใช่กิจธุระส่วนตัวของเจ้า  เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เจ้าควรปฏิบัติกับหน้าที่ของเจ้าอย่างไร?  อย่างน้อยที่สุด เจ้าต้องไม่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในหนทางใดก็ได้ตามแต่เจ้าจะพอใจ เจ้าต้องไม่กระทำการอย่างหุนหันพลันแล่น(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการแสวงหาหลักธรรมความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี)  “หน้าที่คืออะไรกันแน่?  คือพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้ผู้คนทำ เป็นส่วนหนึ่งของงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนควรแบกรับ  หน้าที่คืออาชีพของเจ้าใช่หรือไม่?  เป็นเรื่องในครอบครัวของใครหรือไม่?  เป็นธรรมหรือไม่ที่จะพูดว่า ทันทีที่เจ้าได้รับมอบหน้าที่แล้ว หน้าที่นี้ก็กลายเป็นกิจธุระส่วนบุคคลของเจ้า?  ไม่ใช่เช่นนั้นอย่างแน่นอนที่สุด  ดังนั้นแล้วเจ้าควรทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงอย่างไร?  โดยการทำตามข้อพึงประสงค์ พระวจนะและมาตรฐานของพระเจ้า และโดยการประพฤติตนตามหลักธรรมความจริงมากกว่าความอยากได้อยากมีส่วนตัวของมนุษย์  ผู้คนบางคนพูดว่า ‘ทันทีที่ฉันได้รับมอบหน้าที่แล้ว หน้าที่นี้ไม่ใช่กิจธุระของฉันเองหรอกหรือ?  หน้าที่ของฉันคือการควบคุมดูแลของฉัน แล้วสิ่งที่ฉันได้รับมอบหมายให้ควบคุมดูแลนั้นไม่ใช่กิจธุระของฉันเองหรอกหรือ?  หากฉันจัดการรับมือกับหน้าที่ของฉันดังกิจธุระของตัวฉันเอง นั่นไม่หมายความว่าฉันจะทำหน้านั้นอย่างถูกต้องเหมาะสมหรอกหรือ?  หากฉันไม่ได้ปฏิบัติต่อหน้าที่นั้นเสมือนเป็นกิจธุระของฉันเอง ฉันจะทำหน้าที่นั้นได้ดีกระนั้นหรือ?’  คำพูดเหล่านี้ถูกต้องหรือผิด?  คำพูดเหล่านี้ผิด คำพูดเหล่านี้ไม่ลงรอยกันกับความจริง  หน้าที่ไม่ใช่กิจธุระส่วนตัวของเจ้า แต่เป็นกิจการของพระเจ้า หน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของพระราชกิจของพระเจ้า และเจ้าต้องทำตามที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอ  มีเพียงเมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ด้วยหัวใจที่นบนอบพระเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถทำได้ถึงมาตรฐาน  หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเจ้าเอง และตามความอยากทำของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมไม่มีวันทำได้ตามมาตรฐาน  การทำหน้าที่ตามอำเภอใจของเจ้าเท่านั้นหาใช่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าไม่ เพราะสิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่นั้นไม่อยู่ในขอบเขตแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้า นั่นไม่ใช่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้ากำลังดำเนินงานของเจ้าเองต่างหาก ดำเนินกิจของเจ้าเอง และนี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าจะทรงรำลึกถึง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการแสวงหาหลักธรรมความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี)  ฉันนำพระวจนะของพระเจ้ามาคิดทบทวนและได้ตระหนักว่าหน้าที่ไม่ใช่อาชีพการงาน และว่าหน้าที่คือพระบัญชาที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คน ดังนั้นจึงควรดำเนินไปอย่างสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้า  ฉันไม่ควรแค่ทำอะไรก็ตามที่ตัวเองอยากทำ โดยขึ้นอยู่กับความปรารถนาและแผนการส่วนตัวของฉัน  หากฉันทำเช่นนั้น มันอาจดูเหมือนฉันกำลังทำงานเยอะมาก แต่นั่นจะไม่ใช่การที่กำลังทำหน้าที่ มันจะเป็นการประกอบกิจการของตัวเอง และต้านทานพระเจ้า  เมื่อนึกย้อนถึงพฤติกรรมของตัวเอง เมื่อใดก็ตามที่ฉันถูกขอให้จัดเตรียมผู้คน ฉันก็กังวลว่าถ้าฉันปล่อยให้สมาชิกคริสตจักรที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการทำหน้าที่ให้ลุล่วงหลุดมือไป คริสตจักรของเราก็ย่อมจะไม่ได้รับผลลัพธ์ที่ดี และฉันก็อาจสูญเสียตำแหน่งของฉันได้  เพื่อที่จะปกป้องความมีหน้ามีตาและสถานะตัวเอง ฉันจึงไม่ต้องการจัดเตรียมผู้คน  ฉันรู้ว่าในทางทฤษฎีแล้ว หน้าที่ของฉันนั้นได้รับมอบมาจากพระเจ้า และเป็นความรับผิดชอบของฉัน แต่ในทางปฏิบัติ ฉันปฏิบัติต่อหน้าที่เหมือนเป็นกิจธุระของตัวเอง เป็นการงานของฉันเอง  นับตั้งแต่ที่ฉันได้รับการงานนั้นมา ฉันก็คิดไปว่ามันเป็นกิจธุระของฉัน และฉันเป็นคนตัดสินใจขั้นเด็ดขาด  ฉันเต็มใจช่วยจัดเตรียมคนก็ต่อเมื่อมันไม่ส่งผลกระทบต่องานฉัน แต่ทันทีที่มันส่งผลกระทบ ฉันก็จะปักหลักยืนกรานอย่างหัวเด็ดตีนขาดและไม่ยอมปล่อยใครไป  ดังนั้นพอฉันเกิดได้มารู้ว่าพี่น้องหญิงรันนากำลังจะถูกโอนย้ายไป ฉันก็รู้สึกใจสลายและไม่ต้องการปล่อยเธอไป  ฉันรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างเหลือเชื่อ และถึงกับอยากระเบิดอารมณ์ออกมา อยากหยุดทำหน้าที่  นั่นใช่การทำหน้าที่ตรงไหนหรือ?  เห็นชัดอยู่ว่าฉันขัดขวางงานและทำให้งานของพระนิเวศหยุดชะงัก  ในขณะที่กำลังทำหน้าที่ให้ลุล่วง ฉันไม่ได้พิจารณาภาพรวม และฉันก็ไม่ได้ค้ำจุนผลประโยชน์ของคริสตจักร แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฉันกลับกำลังวางอุบายเพื่อตัวเอง โดยใช้หน้าที่ของฉันเป็นโอกาสที่จะทำงานเพื่อความมีหน้ามีตาและสถานะของตัวเอง  ไม่ใช่ว่าฉันกำลังดำเนินปฏิบัติการของตัวฉันเองอยู่หรอกหรือ?  ไม่สำคัญว่าฉันอาจจะทำงานมากแค่ไหน พระเจ้าจะไม่ทรงมีวันรำลึกถึงพฤติกรรมเช่นนั้น  ฉันจึงควรให้ความร่วมมือด้วยใจกระตือรือร้นยามใดก็ตามที่คริสตจักรต้องการใครสักคน  ฉันจะคิดถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตนเท่านั้นไม่ได้

ในการชุมนุมวันต่อมา ผู้นำได้กล่าวว่า การงานของผู้นำคริสตจักรคือการให้น้ำพี่น้องชายหญิง พร้อมกันนั้นก็บ่มเพาะผู้คนเพื่อให้ทุกคนได้ทำหน้าที่ที่เข้ากันพอเหมาะกับตัวเอง  พอได้ยินอย่างนั้น ก็เหมือนเป็นการปลุกให้ฉันตื่นจากฝัน  เธอพูดถูก  การให้น้ำพี่น้องชายหญิงและช่วยให้พวกเขาพบหน้าที่ที่เหมาะสม เป็นส่วนหนึ่งของการงานของฉัน  แต่เมื่อคริสตจักรอีกแห่งต้องการใครสักคน แม้ภายนอกแล้ว ฉันไม่กล้าจะปฏิเสธ แต่ฉันก็กำลังต่อสู้กับมันอยู่ในใจ ข้ออ้างสารพัดชนิดผุดขึ้นมาเพื่อที่จะไม่ยอมโอนย้ายพวกเขา  นั่นไม่ใช่การทำหน้าที่ของฉัน  ฉันไม่ได้กำลังทำให้ความรับผิดชอบในบทบาทนั้นลุล่วงและถึงกับโทษผู้นำคนนั้นที่วางฉันในตำแหน่งที่หนักใจ  อีกทั้งฉันก็ไม่ได้ทบทวนตนเอง และแทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับแค่ยืนขวางทางงานของคริสตจักร  พฤติกรรมประเภทนี้ไม่ใช่การตั้งใจขวางทางสิ่งต่างๆ อย่างที่พี่น้องหญิงคนนั้นพูดหรอกหรือ?  ฉันจำได้ว่า ในตอนแรกที่รับหน้าที่ ฉันเพียงต้องการทำส่วนที่ถ่อมใจของฉันในงานข่าวประเสริฐ  แต่ตอนนี้ ฉันกลับกลายเป็นอุปสรรคกีดขวาง เป็นสิ่งที่ทำให้สะดุด  ฉันรู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้ และบอกกับตัวเองว่าคราวหน้าฉันต้องปฏิบัติความจริง ว่าฉันไม่อาจใส่ใจแต่ตัวเองในหนทางที่เห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นเช่นนั้นได้

ไม่กี่วันต่อมา ผู้นำคนนั้นก็ได้ส่งข้อความมาขอให้ฉันโอนย้ายสมาชิกทีมสองคนไปยังอีกคริสตจักรหนึ่ง  ตอนที่เห็นข้อความ ฉันรู้สึกสงบนิ่งใจเย็นมาก และเห็นว่าสภาพการณ์นี้เกิดขึ้นกับฉันเพื่อเป็นโอกาสให้ฉันได้ปฏิบัติความจริง  แต่ตอนที่ฉันกำลังประเมินสมาชิกในทีม ฉันกลับรู้สึกลังเลอยู่บ้าง  และฉงนฉงายว่าฉันต้องปล่อยพี่น้องหญิงที่เก่งที่สุดสองคนในทีมไปจริงๆ หรือว่าบางที ฉันอาจจะโอนย้ายสมาชิกสองคนที่ไม่ค่อยเก่งนักไปก็ได้  ตอนที่คิดเช่นนั้น ฉันก็รู้ตัวเลยว่าฉันกำลังเห็นแก่ตัวและกำลังทำผิดพลาดแบบเดิมอีกแล้ว  จากนั้นฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “หัวใจของผู้คนที่เลวและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความทะเยอทะยาน แผนการ และกลอุบายส่วนตัวของพวกเขา  สิ่งเหล่านี้วางได้ง่ายหรือไม่?  (ไม่ง่าย)  เจ้าควรทำเช่นไรหากเจ้ายังคงปรารถนาที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม แต่ไม่สามารถวางสิ่งเหล่านี้?  ตรงนี้มีเส้นทางอยู่ กล่าวคือ เจ้าต้องชัดเจนในธรรมชาติของสิ่งที่เจ้ากำลังทำ  หากมีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพระนิเวศของพระเจ้าและมีความสำคัญอย่างยิ่ง เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องไม่วางพักสิ่งนั้นไว้ก่อน ทำความผิดพลาด ทำร้ายผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า หรือก่อกวนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  นี่คือหลักธรรมที่เจ้าควรทำตามในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  หากเจ้าต้องการหลีกเลี่ยงการทำให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้รับความเสียหาย ก่อนอื่นเจ้าต้องละจงวางความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีของเจ้าเอาไว้ก่อน ผลประโยชน์ของเจ้าต้องถูกกระทบกระเทือนบ้าง ต้องถูกละวาง และในไม่ช้าเจ้าจะทนทุกข์กับความยากลำบากนิดหน่อยดีกว่าที่จะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า ซึ่งเป็นเส้นตายเจ้าไม่ควรข้าม  หากเจ้าทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสียหายเพื่อที่จะสนองความมักใหญ่ใฝ่สูงและความถือดีอันน่าสมเพชของเจ้า ในท้ายที่สุดผลสืบเนื่องสำหรับเจ้าจะเป็นเช่นใด?  เจ้าจะถูกเปลี่ยนตัวและอาจถูกกำจัดออกไป  เจ้าจะยั่วยุพระอุปนิสัยของพระเจ้า และอาจไม่มีโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอดอีกเลย  จำนวนครั้งของโอกาสที่พระเจ้าประทานแก่ผู้คนนั้นมีจำกัด  ผู้คนได้รับโอกาสที่จะถูกพระเจ้าทรงทดสอบกี่ครั้งกัน?  การนี้กำหนดพิจารณาไปตามแก่นแท้ของพวกเขา  หากเจ้าทำให้โอกาสที่เจ้าได้รับนั้นเกิดประโยชน์สูงสุด หากเจ้าสามารถปล่อยวางความหยิ่งยโสและความไร้แก่นสารของเจ้าเอง และให้ความสำคัญสูงสุดกับการงานของคริสตจักรให้ดีได้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็มีวิธีคิดที่ถูกต้อง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการแสวงหาหลักธรรมความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี)  ทันทีที่ได้อ่านพระวจนะนี้ ฉันก็รู้ตัวเลยว่า อย่างน้อยที่สุดก็คือ ฉันไม่สามารถเหนี่ยวรั้งหรือทำให้เกิดผลกระทบต่องานของคริสตจักรได้ ต่อให้ศักดิ์ศรีและประโยชน์ส่วนตนต้องประสบความเสียหายก็ตาม  ก่อนหน้านี้ ฉันกังวลเสมอมาว่า ถ้าบรรดาสมาชิกคริสตจักรที่ดีที่สุดถูกโอนย้ายไป งานของคริสตจักรเราก็จะประสบความเสียหาย และฉันก็จะถูกปลด  แต่จะมีใครถูกปลดเพราะค้ำจุนผลประโยชน์ของคริสตจักรและเอาใจใส่น้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไร?  ไม่มีใครเลย  ในทางกลับกัน ใครบางคนซึ่งเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่น ที่ไม่ยอมปล่อยสมาชิกคริสตจักรที่ดีๆ ไป อันเป็นการส่งผลกระทบต่องานและผลประโยชน์ของคริสตจักรจึงจะเป็นคนที่ถูกปลดและกำจัดออกไป  และต่อให้ฉันรั้งพี่น้องหญิงเหล่านั้นไว้ ก็ไม่ได้หมายความว่าคริสตจักรของเราจำเป็นต้องทำได้ดีเสมอไป  หากเหตุจูงใจทั้งหลายของฉันนั้นผิดไป และฉันกำลังปกป้องชื่อและตำแหน่งของตัวฉันเอง เช่นนั้นแล้ว ฉันก็จะไม่ได้รับงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วฉันจะได้ผลลัพธ์ที่ดีในหน้าที่ของฉันได้อย่างไรหากปราศจากการทรงนำของพระเจ้า?  ความคิดเหล่านี้ทำให้จิตใจของฉันสงบลงไปบ้าง และฉันก็พูดกับพระเจ้าในใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการที่จะปฏิบัติความจริงและทำให้พระองค์พึงพอพระทัย และต้องการที่จะหยุดปกป้องชื่อและสถานะของตัวเอง”  หลังจากนั้น ฉันก็เสนอสมาชิกในทีมสองคนที่มีผลการปฏิบัติงานดีที่สุดไปให้กับคริสตจักรอื่นแห่งนั้น  ทันทีที่นำมาปฏิบัติแบบนี้ ฉันก็รู้สึกสงบสุขจริงๆ  ฉันรู้สึกดีที่เป็นบุคคลประเภทนั้น

หลังจากประสบการณ์ครั้งนั้น ฉันคิดว่าฉันได้เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แต่ที่ฉันแปลกใจก็คือ หลังจากนั้นไม่นานนัก ฉันก็ถูกตีแผ่จนหมดเปลือก  มีอยู่วันหนึ่ง ผู้นำคนหนึ่งพูดว่า เธอต้องการให้ฉันจัดเตรียมบุคคลากรให้น้ำเพิ่มอีกสองสามคน เพราะที่คริสตจักรของเรา มีผู้มาใหม่หลายคนที่พูดสองภาษา  หากเป็นกรณีนั้น ฉันก็ย่อมจำเป็นต้องสละแทบทุกคนที่พูดสองภาษาและมีขีดความสามารถที่ดี  ถึงจุดนั้น ฉันเริ่มกังวลเกี่ยวกับศักดิ์ศรีและตำแหน่งของฉันขึ้นมาอีกแล้ว  หากคนเหล่านั้นจากไป ฉันกลัวว่า งานข่าวประเสริฐของคริสตจักรของเราต้องได้รับผลกระทบแน่ๆ  เย็นวันนั้น ผู้นำคนนั้นได้ส่งข้อความถึงฉันเพื่อตรวจสอบสถานการณ์  ฉันรู้สึกมีแรงต้านทานอย่างมากอยู่ภายใน  ทุกๆ ชื่อที่เธอหยิบยกขึ้นมา ฉันแค่ตอบด้วยคำเดียวว่า “ได้ค่ะ” “สบายมากค่ะ”  พอเธอถามถึงรายละเอียด ฉันก็ไม่ต้องการพูดอะไร  ฉันคิดว่า “ฉันไม่อยากสละคนเหล่านี้ให้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่คุณก็เอาแต่ตั้งคำถามอยู่นั่น  คุณกำลังรีดเลือดปูจนคริสตจักรเราขาดคนที่สามารถทำหน้าที่ได้  แล้วจะให้ฉันทำงานของตัวเองอย่างไรหรือ?”  ฉันรู้สึกต้านทานจริงๆ และไม่อาจนบนอบได้เลย

ในการชุมนุมหนึ่งหลังจากนั้น ฉันได้เห็นวิดีโอแสดงการขับขานพระวจนะ ที่ช่วยให้ฉันเข้าใจความเสื่อมทรามของตัวเอง  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “แก่นแท้ของความเห็นแก่ตัวและความเลวทรามของศัตรูพระคริสต์นั้นชัดเจน การสำแดงในลักษณะนี้ของพวกเขาโดดเด่นเป็นพิเศษ  เมื่อคริสตจักรไว้วางใจมอบหมายงานชิ้นหนึ่งแก่พวกเขา หากงานนี้นำชื่อเสียงและผลประโยชน์มาให้ ทั้งยังทำให้พวกเขาได้อวดโฉมหน้าของตน พวกเขาย่อมสนใจมากและเต็มใจยอมรับงาน  หากเป็นงานที่ไม่มีใครเห็นค่าหรือมีการล่วงเกินผู้คน หรือไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้เสนอหน้า หรือไม่เป็นประโยชน์ต่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ หรือสถานะของพวกเขา พวกเขาย่อมไม่สนใจและจะไม่ยอมรับ ราวกับงานนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเขาและไม่ใช่งานที่พวกเขาควรทำ  เมื่อเผชิญความยากลำบาก พวกเขาจะไม่มีทางแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความยากลำบากเหล่านั้น และยิ่งจะไม่พยายามมองภาพให้กว้างขึ้นและคำนึงถึงงานของคริสตจักร  ตัวอย่างเช่น ภายในขอบเขตงานของพระนิเวศของพระเจ้า อาจมีการโยกย้ายบุคลากรบ้างตามความจำเป็นของงานในภาพรวม  หากมีผู้คนสองสามคนถูกย้ายมาจากคริสตจักรแห่งหนึ่ง เหล่าผู้นำในคริสตจักรแห่งนั้นควรจะปฏิบัติต่อเรื่องดังกล่าวเช่นไรจึงจะสมเหตุสมผล?  หากพวกเขามัวกังวลแต่ประโยชน์ของคริสตจักรตนเอง แทนที่จะสนใจประโยชน์ส่วนรวม และหากพวกเขาไม่เต็มใจแต่อย่างใดที่จะโอนย้ายผู้คนเหล่านั้น ปัญหาย่อมเป็นเช่นไร?  ในฐานะผู้นำคริสตจักร เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถนบนอบการจัดแจงเตรียมการจากส่วนกลางคือพระนิเวศของพระเจ้า?  คนแบบนี้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขาใส่ใจภาพรวมของงานหรือไม่?  หากพวกเขาไม่นึกถึงภาพรวมของงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ทว่านึกถึงแต่ผลประโยชน์ของคริสตจักรของพวกเขา พวกเขาย่อมเห็นแก่ตัวและต่ำช้าอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  ผู้นำคริสตจักรควรนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และต่อการจัดการเตรียมการและประสานงานจากส่วนกลางของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไข  นี่คือสิ่งที่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง  เมื่องานของพระนิเวศของพระเจ้ากำหนดมา  ทุกคนไม่ว่าใครก็ควรนบนอบต่อการประสานงานและการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ควรถูกผู้นำหรือคนทำงานคนใดควบคุมราวกับพวกเขาเป็นของคนคนนั้นหรือขึ้นกับการตัดสินใจของคนคนนั้นโดยเด็ดขาด  การที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเชื่อฟังการจัดแจงเตรียมการจากส่วนกลางแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเป็นเรื่องปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ และไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจท้าทายการจัดเตรียมเหล่านี้ได้ เว้นเสียแต่ว่ามีผู้นำหรือคนทำงานคนใดทำการโยกย้ายตามอำเภอใจโดยไม่สอดคล้องกับหลักธรรม—ซึ่งเป็นกรณีที่อาจไม่เชื่อฟังการจัดเตรียมนี้  ถ้าเป็นการโยกย้ายตามปกติและสอดคล้องกับหลักธรรม เช่นนั้นแล้วประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนก็ควรเชื่อฟัง และไม่มีผู้นำหรือคนทำงานคนใดมีสิทธิ์หรือเหตุผลที่จะพยายามควบคุมผู้ใด พวกเจ้าว่า มีงานอันใดหรือไม่ที่ไม่ใช่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า?  มีงานอันใดหรือไม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแผ่ขยายข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า?  ทั้งหมดคืองานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า แต่ละงานนั้นเท่าเทียมกัน และไม่มี ‘ของคุณ’ และ ‘ของฉัน’… ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรได้รับการจัดสรรหน้าที่ให้จากส่วนกลางโดยพระนิเวศของพระเจ้า  นี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผู้นำ หัวหน้ากลุ่ม หรือปัจเจกบุคคลคนใดเลย  ทุกคนต้องกระทำการตามหลักธรรม นี่คือกฎเกณฑ์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ศัตรูของพระคริสต์ย่อมไม่กระทำการตามหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาวางอุบายเพื่อสถานะและผลประโยชน์ของตนอยู่เป็นนิตย์ ทั้งยังให้พี่น้องชายหญิงที่มีขีดความสามารถดีคอยรับใช้พวกเขาเพื่อเสริมอำนาจและสถานะของพวกเขาให้แข็งแกร่ง  นี่เห็นแก่ตัวและเลวทรามมิใช่หรือ?  การเก็บผู้คนที่มีขีดความสามารถดีไว้ข้างกายและไม่ยอมให้พระนิเวศของพระเจ้าโยกย้ายผู้คน ดูภายนอกแล้วเหมือนว่าพวกเขากำลังคำนึงถึงงานของคริสตจักร  ทว่าอันที่จริง พวกเขาคิดถึงแต่อำนาจและสถานะของตนเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงงานของคริสตจักรเลย  พวกเขากลัวว่าตัวเองจะทำงานของคริสตจักรได้ไม่ดี ถูกแทนที่ และสูญเสียสถานะของตนไป  ศัตรูของพระคริสต์ไม่คำนึงถึงงานที่กว้างกว่าแห่งพระนิเวศของพระเจ้า คิดถึงแต่สถานะของตน ปกป้องสถานะของตนโดยไม่รู้สึกผิดต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ทั้งยังปกป้องสถานะและผลประโยชน์ของตนจากความเสียหายในงานของคริสตจักร  นี่ย่อมเห็นแก่ตัวและเลวทราม  เมื่อเผชิญสถานการณ์ดังกล่าว อย่างน้อยที่สุดคนเราต้องคิดด้วยมโนธรรมของตนว่า ‘ผู้คนเหล่านี้ล้วนเป็นของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนบุคคลของฉัน  ฉันก็เป็นสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้าเหมือนกัน  ฉันมีสิทธิ์อะไรที่จะหยุดพระนิเวศของพระเจ้าไม่ให้โอนย้ายผู้คน?  ฉันควรพิจารณาผลประโยชน์โดยรวมของพระนิเวศของพระเจ้า แทนที่จะเอาแต่จดจ่ออยู่กับงานภายในขอบเขตความรับผิดชอบของฉันเอง’  เช่นนั้นคือความคิดที่ควรพบเจอในตัวผู้คนที่มีมโนธรรมและเหตุผล และเช่นนั้นคือเหตุผลที่ผู้เชื่อในพระเจ้าควรมี  พระนิเวศของพระเจ้าทำงานในภาพรวม ส่วนคริสตจักรต่างๆ ก็ทำงานในส่วนปลีกย่อย  เพราะฉะนั้น เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าต้องการอะไรจากคริสตจักรเป็นพิเศษ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้นำและคนทำงานก็คือการทำตามการจัดแจงเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  พวกผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ไม่มีมโนธรรมและเหตุผลเช่นนั้น  พวกเขาทุกคนเห็นแก่ตัวมากทีเดียว คิดถึงแต่ตนเอง และไม่คิดถึงงานของคริสตจักร  พวกเขาเพียงคำนึงถึงประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้า โดยไม่คำนึงถึงงานที่กว้างกว่าในพระนิเวศของพระเจ้า ดังนั้น พวกเขาจึงไม่อาจเชื่อฟังการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้โดยสิ้นเชิง  พวกเขาเห็นแก่ตัวและเลวทรามอย่างที่สุด!  ในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาถึงกับกล้าพอที่จะขัดขวางและถึงขั้นกล้าดีที่จะปักหลักดื้อแพ่ง เหล่านี้คือผู้คนที่ขาดพร่องความเป็นมนุษย์มากที่สุด พวกเขาคือคนชั่ว  พวกศัตรูของพระคริสต์คือผู้คนประเภทนั้น  พวกเขาปฏิบัติต่องานของคริสตจักรและพี่น้องชายหญิง และแม้กระทั่งสินทรัพย์ทั้งหมดแห่งพระนิเวศของพระเจ้าที่อยู่ในขอบข่ายความรับผิดชอบของพวกเขา ประหนึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลของตนเอง  พวกเขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะถูกแจกจ่าย โอนย้าย และใช้อย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับพวกเขา และไม่อนุญาตให้พระนิเวศของพระเจ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว  ทันทีที่สิ่งเหล่านี้อยู่ในมือของพวกเขา ก็เหมือนอยู่ในการครอบครองของซาตาน ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้แตะต้องสิ่งเหล่านี้  พวกเขาคือนายใหญ่ คือหัวโจก และใครก็ตามที่ไปยังอาณาเขตของพวกเขาย่อมต้องเชื่อฟังคำสั่งและการจัดแจงเตรียมการของพวกเขาโดยทำตัวดีๆ และว่าง่าย คอยดูสัญญาณจากสีหน้าของพวกเขา  นี่สำแดงถึงความเห็นแก่ตัวและความเลวทรามที่มีอยู่ในลักษณะนิสัยของศัตรูพระคริสต์  พวกเขาไม่ติดตามหลักธรรมแม้แต่น้อยนิด พวกเขาไม่คำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และคิดถึงผลประโยชน์และสถานะของตัวเองเท่านั้น—ซึ่งล้วนเป็นลักษณะตามแบบฉบับของความเห็นแก่ตัวและเลวทรามของพวกศัตรูของพระคริสต์(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, บทความเสริม สี่: สรุปลักษณะนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์และแก่นนิสัยของพวกเขา (ภาคที่หนึ่ง))  พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยสภาวะของตัวฉันเอง ความต้องการของฉันที่จะเก็บพี่น้องชายหญิงไว้ภายใต้การควบคุมของฉัน และไม่ส่งพวกเขาให้กับคริสตจักรอื่นนั้นทั้งเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่น และฉันก็กำลังแสดงอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ออกมาให้เห็น  ตลอดเวลานั้น ฉันรู้สึกต่อต้านและไม่เต็มใจจริงๆ เมื่อใดก็ตามที่ผู้นำคนนั้นต้องการโอนย้ายใครสักคนไปจากคริสตจักรของเรา  ฉันถึงขั้นโพล่งออกไปอย่างฉุนเฉียว แสดงอาการโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง รู้สึกว่าถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเสียจนขับดันให้ฉันต้องหลั่งน้ำตา  ฉันไม่เห็นด้วยกับการนั้น จนกระทั่งผู้นำได้สามัคคีธรรมเพื่อช่วยให้ฉันเปลี่ยนความคิด และพูดสิ่งดีๆ กับฉัน  ฉันเหมือนเป็นสุนัขจ่าฝูงที่ถูกพระเจ้าทรงตีแผ่ ที่ต้องการมีส่วนตัดสินใจเรื่องการโอนย้ายคนจากคริสตจักรที่ฉันรับผิดชอบ  ถ้าคนไหนเป็นที่ต้องการ พวกเขาก็ไปได้หากฉันบอกให้ไป แต่ถ้าหากปราศจากการอนุญาตของฉันก็ไม่มีใครแตะต้องพวกเขาได้  ไม่มีใครสามารถเดินหน้าได้หากฉันไม่พยักหน้าให้ทำได้  ฉันกำลังเก็บคริสตจักรไว้อย่างแน่นหนาภายใต้การควบคุมของฉัน ให้ทุกอย่างอยู่ใต้คำบัญชาของฉัน  พระคริสต์ไม่ใช่ผู้กำกับดูแลคริสตจักร—ฉันต่างหาก  ราวกับว่าผู้มาใหม่ที่ถูกบ่มเพาะมานั้นเป็นของฉัน  ฉันอยากใช้สิ่งที่พวกเขาได้สัมฤทธิ์ผลในหน้าที่มาเสริมความมั่นคงให้กับตำแหน่งฉัน  ฉันไร้ยางอายเหลือเกินที่ทำเช่นนั้น!  ฉันไม่ได้อยู่บนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ที่ต่อต้านพระเจ้าหรอกเหรอ?  สถานการณ์นี้ยังทำให้ฉันนึกถึงพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสในโลกศาสนา  พวกเขารู้ว่าคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นพยานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว และได้ทรงแสดงความจริงไปแล้วมากมาย แต่พวกเขากลัวว่าชุมนุมชนของตนจะติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เมื่อผู้คนเหล่านั้นได้เห็นความจริงเหล่านี้ และตัวพวกเขาเองจะเสียสถานะ ความมีหน้ามีตาและการทำมาหากินไป พวกเขาจึงทำทุกอย่างภายในอำนาจของตนเพื่อกันเหล่าผู้เชื่อให้พ้นจากหนทางที่แท้จริง  พวกเขากล่าวอ้างออกมาแบบล้วนๆ ว่าแกะเป็นของพวกเขา และจะไม่ยอมให้แกะเหล่านั้นได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและติดตามพระองค์  พวกเขาปฏิบัติต่อผู้เชื่อเสมือนเป็นทรัพย์สินส่วนตัว โดยควบคุมคนเหล่านั้นอย่างแน่นหนาและต่อสู้กับพระเจ้าเพื่อที่จะได้ผู้เชื่อเหล่านั้นไป  พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสเป็นผู้รับใช้ชั่ว เป็นศัตรูของพระคริสต์ที่ถูกเปิดโปงในยุคสุดท้าย  ในแก่นแท้แล้ว การกระทำของฉันแตกต่างจากพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสตรงไหนหรือ?  ฉันกำลังควบคุมผู้อื่นเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีและตำแหน่งของฉัน  ฉันรู้ว่าถ้าฉันไม่กลับใจ ฉันจะจบลงด้วยการถูกพระเจ้าแช่งด่าและลงโทษไปพร้อมกับพวกศัตรูของพระคริสต์  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเป็นของพระเจ้า ไม่ใช่ของมนุษย์คนใด  ผู้ใดก็ตามที่เป็นที่ต้องการสำหรับหน้าที่ในคริสตจักรอื่นสามารถถูกโอนย้ายได้ตามที่จำเป็น  ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะเก็บใครไว้ในคริสตจักรทั้งหลายที่ฉันบริหารจัดการอยู่  ยามที่บรรดาผู้นำกำลังจัดการเตรียมการงานและโอนย้ายผู้คน การที่พวกเขาเอ่ยขอการร่วมลงขันจากฉันนั้นก็มาจากมารยาท ตลอดจนเพื่อการให้ความร่วมมือที่ราบรื่นยิ่งขึ้น  ในข้อเท็จจริงนั้น แม้แต่การโอนย้ายใครสักคนโดยที่ไม่ได้รับความยินยอมจากฉันก็จะเป็นเรื่องสมเหตุสมผลอยู่ดี  ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะเก็บใครไว้ภายใต้การควบคุมของฉัน  ฉันรู้ว่าฉันไม่อาจดำรงชีวิตต่อไปอย่างเห็นแก่ตัวแบบนั้นได้  พระเจ้าได้ทรงมอบ ลมหายใจให้ฉัน แล้วเหตุใดเล่า ฉันจึงกำลังต่อสู้เพื่อตนเอง?  ฉันอาจจะไม่สามารถสร้างคุณูปการให้กับคริสตจักร แต่อย่างน้อยที่สุด ฉันก็ไม่ควรเข้าไปแทรกแซง  ฉันต้องทำเพื่อประโยชน์ต่องานของคริสตจักรให้มากกว่านี้  หลังจากนั้น เมื่อไรก็ตามที่จำเป็น ฉันก็ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือด้วยการโอนย้ายโดยไม่ต้องมีการร้องขอ และหยุดคิดถึงชื่อและตำแหน่งของตัวฉันเอง

ต่อมา พี่น้องหญิงคนหนึ่งที่ฉันโอนย้ายไปยังอีกคริสตจักรได้ส่งข้อความถึงฉัน บอกว่าเธอกับพี่น้องคนอื่นๆ ได้รับอะไรมากมายจากงานในการเผยแผ่ศาสนาที่นั่น  ฉันทั้งรู้สึกชื่นบานเป็นล้นพ้นและทั้งละอายใจ  เหตุที่ฉันมีความชื่นบานเป็นล้นพ้นก็เป็นเพราะพวกเขาสามารถทำส่วนของตัวเองในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรได้ แต่สิ่งที่ทำให้ฉันละอายใจก็เป็นเพราะว่า ถ้าฉันได้เต็มใจที่จะจัดเตรียมคนให้โดยไม่ยืนขวางทาง พวกเขาก็คงได้ฝึกฝนเร็วกว่านี้  ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ไม่ต้องการที่จะดำรงชีวิตอยู่โดยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามอีกต่อไป แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับต้องการที่จะจัดเตรียมผู้ที่เป็นตัวเลือกดีๆ ให้ ต้องการที่จะทำส่วนของฉันสำหรับงานข่าวประเสริฐและทำหน้าที่ของฉันให้ลุล่วง

ก่อนหน้า: 89. เห็นพ่อแม่ของฉันในสิ่งที่พวกท่านเป็น

ถัดไป: 91. ความจริงเบื้องหลังการไม่ใส่ใจ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger