89. เห็นพ่อแม่ของฉันในสิ่งที่พวกท่านเป็น
ตั้งแต่เด็ก ฉันเห็นพ่อแม่เป็นต้นแบบของการเชื่อในพระเจ้าเสมอ ฉันมีภาพจำว่าพวกท่านทั้งสองคนมีความขะมักเขม้นอย่างมากในความเชื่อของตนและเต็มใจที่จะพลีอุทิศ หลังจากยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายได้ไม่นาน แม่ของฉันก็ออกจากงานที่ดีมากเพื่อมาทำหน้าที่ของท่านอย่างเต็มตัว แม่พอมีทักษะและความรู้อยู่บ้าง อีกทั้งเต็มใจที่จะยอมลำบาก ดังนั้นท่านจึงได้ทำหน้าที่สำคัญในคริสตจักรอยู่เสมอ ต่อมาครอบครัวของเราถูกยูดาสคนหนึ่งหักหลัง พ่อแม่และฉันที่ยังเด็กมากจึงไปซ่อนตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน แม้เป็นเช่นนั้น ท่านทั้งสองก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป นอกจากนี้พวกท่านยังใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และพฤติกรรมโดยทั่วไปของพวกท่านก็ดูเคร่งครัดและเป็นฝ่ายวิญญาณ และฉันมักจะได้ยินสมาชิกในคริสตจักรพูดว่าพ่อแม่ของฉันมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี พวกท่านเป็นผู้เชื่อที่แท้จริง และเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ฉันจำเป็นต้องแยกจากพ่อแม่ตอนที่ฉันอายุได้สิบปีเพราะการกดขี่ของพรรค และถึงแม้พวกเราจะไม่มีทางได้เจอกันอีกต่อไป ฉันก็ยังคงมีความประทับใจที่ยิ่งใหญ่ในตัวพ่อกับแม่อยู่เสมอ ฉันเคารพและเทิดทูนพวกท่านจริงๆ และรู้สึกเหมือนพวกท่านมีความเชื่อมหาศาล รู้สึกว่าจากการพลีอุทิศทั้งหมดนั้น พวกท่านต้องไล่ตามเสาะหาความจริงและมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี อีกทั้งพระเจ้าต้องทรงเห็นชอบในตัวพวกท่านแน่ ฉันถึงกับรู้สึกว่าพวกท่านคือคนที่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้ ฉันภูมิใจมากที่มีพ่อแม่แบบนั้น
ต่อมา พวกเราสามคนลงเอยด้วยการหนีออกนอกประเทศเพราะการข่มเหงของพรรค หลังจากนั้นไม่นานเมื่อได้ติดต่อพ่อกับแม่ ฉันก็เห็นว่าท่านทั้งสองยังคงทำหน้าที่อยู่ที่ต่างประเทศ ยิ่งตอนที่ได้รู้ว่าแม่เป็นหัวหน้างานของโครงการต่างๆ มากมาย ฉันก็ยิ่งนับถือท่านมากกว่าเดิม พ่อกับแม่ของฉันเป็นผู้เชื่อมาหลายปีมาก ก้าวผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย และตอนนี้พวกท่านก็กำลังทำหน้าที่ที่สำคัญเช่นนั้น ฉันรู้สึกมั่นใจว่าพวกท่านเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง มีวุฒิภาวะ และหลังจากนั้นเมื่อไรก็ตามที่ฉันมีสภาวะหรือความลำบากยากเย็นใดๆ ก็ตาม ฉันก็สามารถไปขอความช่วยเหลือจากพวกท่านได้ นี่เป็นเรื่องที่ดีเหลือเกิน
ในเวลาต่อมา บางครั้งเราก็จะสามัคคีธรรมถึงสภาวะที่แต่ละคนเป็นในช่วงนั้น ครั้งหนึ่งพ่อของฉันบอกว่าท่านกำลังทำงานที่ท่านมองว่าไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะทางเทคนิคเลย และท่านก็หวังอยู่เสมอว่าจะได้สลับไปทำหน้าที่อื่น บังเอิญคราวนี้ฉันก็กำลังใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะเดียวกัน พวกเราจึงสามัคคีธรรมแก่กันและกันและแบ่งปันพระวจนะของพระเจ้าบางส่วนเพื่อเข้าสู่ไปด้วยกัน เมื่อเวลาผ่านไป ฉันก็มาตระหนักจากการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าว่าฉันกำลังทำตัวช่างเลือกในเรื่องหน้าที่ของตัวเอง และฉันเต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ที่ทำให้ฉันเข้าถึงชื่อเสียงและผลประโยชน์ แต่หากไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้ฉันก็จะสุกเอาเผากิน ฉันเป็นคนที่ช่างเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ และไร้ซึ่งหัวใจที่จริงใจต่อพระเจ้า ฉันมาเกลียดและดูหมิ่นตัวเอง และสามารถออกจากสภาวะนั้นมาได้ แต่พ่อของฉันยังคงใช้ชีวิตติดอยู่ในสภาวะนี้ และท่านก็ไม่มีแรงจูงใจในการทำหน้าที่ของตัวเอง ฉันรู้สึกสับสน ในเมื่อพ่อเป็นผู้เชื่อมาสิบกว่าปี ท่านก็ควรมีวุฒิภาวะอยู่บ้าง แล้วเหตุใดท่านจึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาการช่างเลือกในหน้าที่ของท่านได้? ฉันยังตระหนักด้วยว่า บ่อยครั้งเวลาที่ฉันพูดคุยกับพ่อแม่ถึงความลำบากยากเย็นและปัญหาของฉัน ถึงแม้พวกท่านจะส่งพระวจนะของพระเจ้ามาให้บ้าง อีกทั้งสามัคคีธรรมถึงทัศนะที่พวกท่านมีต่อสิ่งต่างๆ อันที่จริงสิ่งที่พวกท่านพูดก็ไม่ได้แก้ไขปัญหาให้ฉันเลย ฉันเริ่มเกิดความรู้สึกลางๆ ว่าพ่อแม่ไม่ได้เข้าใจความจริงโดยแท้อย่างที่ฉันจินตนาการไว้ ต่อมา พี่น้องชายหญิงทุกคนต่างเขียนเรียงความประสบการณ์เพื่อเป็นพยานยืนยันแด่พระเจ้า ฉันคิดว่าในฐานะที่เป็นผู้เชื่อมานาน พ่อกับแม่ต้องมีประสบการณ์มากมาย โดยเฉพาะแม่ ท่านถูกศัตรูของพระคริสต์กดขี่และถูกขับไล่ออกจากคริสตจักรด้วยความเข้าใจผิด แต่ท่านก็ยังคงเผยแพร่ข่าวประเสริฐต่อไปอย่างสุดความสามารถ หลังจากได้รับกลับเข้ามาในคริสตจักร ท่านก็ทุ่มเททั้งหมดให้กับหน้าที่ที่ท่านมี แม่ยังเคยประสบกับการถูกปลดและได้รับมอบหมายงานใหม่อยู่หลายครั้งด้วย ดังนั้นท่านต้องมีมีประสบการณ์อย่างล้นเหลือแน่ ฉันคิดว่าแม่ควรเขียนถึงประสบการณ์เหล่านี้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อเป็นพยานยืนยันแด่พระเจ้า ฉันจึงเริ่มรบเร้าให้แม่เขียนบทความโดยเร็วที่สุด แต่แม่กลับเอาแต่เลี่ยงที่จะทำเช่นนั้น โดยบอกว่าท่านก็อยากเขียน แต่ท่านยุ่งอยู่กับหน้าที่มากเกินไปและไม่สามารถสงบใจเพื่อทำเช่นนั้นได้ ฉันยังคงผลักดันแม่ต่อไป แต่แม่ก็ไม่เคยเขียนอะไรเลย ครั้งหนึ่งแม่บอกฉันว่าท่านต้องการเขียนเรียงความ แต่ท่านไม่สามารถจัดระเบียบความคิดของตัวเองได้และไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน ท่านจึงอยากหารือกับฉัน ฉันมีความสุขมาก ฉันอยากฟังประสบการณ์ทั้งหมดตลอดหลายปีของแม่จริงๆ แต่หลังจากพูดคุยถึงสิ่งต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับแม่และความเสื่อมทรามที่แม่แสดงออกมา ฉันก็ประหลาดใจมากที่ท่านไม่ได้พูดถึงความเข้าใจที่แท้จริงเลย แต่กลับพูดถึงสิ่งที่เป็นลบมากมายมาตีกรอบตัวเอง การนึกถึงประสบการณ์บางอย่างในอดีตดูเป็นเรื่องที่แสนเจ็บปวดสำหรับแม่ ราวกับแม่แค่นบนอบไปโดยไม่มีทางเลือก ฉันไม่ได้ยินแม่พูดถึงเรื่องจริงใดๆ ที่ท่านได้รับจากประสบการณ์ของท่าน หลังจากที่เราคุยกันฉันก็รู้สึกหงุดหงิดใจจริงๆ ฉันเคยคิดว่าหากแม่ได้รับความเข้าใจหรือประโยชน์จริงๆ ไม่ว่าในตอนนั้นประสบการณ์นี้อาจเป็นลบหรือเจ็บปวดแค่ไหน ตราบใดที่แม่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า แสวงหาความจริง มาเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับตัวท่านและเกี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว ท้ายที่สุดย่อมจะมีสำนึกรู้สึกถึงความหวานและความชื่นชมยินดีบางอย่าง แต่ในการที่แม่พูดถึงประสบการณ์ในอดีตของตัวเอง ท่านยังคงดูเหมือนเจ็บปวดและคิดลบอยู่มาก และดูเหมือนว่าความเข้าใจในตัวเองของท่านนั้นมีความอ่อนไหวและไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างลึกซึ้ง สิ่งนี้แปลว่าแม่ขาดประสบการณ์จริงใช่หรือไม่? ทันใดนั้นเองฉันก็เข้าใจเรื่องนี้–ไม่แปลกใจว่าทำไมแม่ถึงอึกอักมากที่จะเขียนเรียงความเป็นพยานยืนยันแด่พระเจ้า การที่ท่านบอกว่าไม่มีเวลาเป็นเพียงแค่การปกปิด แก่นของเรื่องนี้คือท่านไม่ได้บรรลุความจริงหรือได้รับประโยชน์จริงใดๆ เลย ท่านจึงไม่สามารถเขียนคำพยานเชิงประสบการณ์ได้ ส่วนพ่อของฉัน ถึงแม้ท่านจะเต็มใจเขียนเรียงความ ความพยายามของท่านก็เต็มไปด้วยเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ อีกทั้งไม่ได้มีการรู้จักตัวเองโดยแท้จริงหรือสิ่งที่ท่านได้รับจากประสบการณ์ของท่านมากนัก สิ่งนี้ดูไม่สมกับความเชื่อหลายปีของท่าน ฉันนึกถึงที่พระเจ้าตรัสว่า “การที่เจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าความอาวุโสของเจ้านั้นมีมากน้อยเพียงใดหรือว่าเจ้าได้ทำงานมาแล้วจนถึงขณะนี้เป็นเวลากี่ปีแล้ว และนับประสาอะไรที่มันจะขึ้นอยู่กับว่าเจ้าได้สร้างสมวิทยฐานะมามากน้อยเพียงใด แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มันขึ้นอยู่กับว่าการไล่ตามเสาะหาของเจ้าได้ให้ผลแล้วหรือไม่ เจ้าควรที่จะรู้ว่าบรรดาผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดคือ ‘ต้นไม้’ ที่ให้ผล ไม่ใช่ต้นไม้ที่มีใบไม้เขียวชอุ่มและดอกไม้อันอุดมที่ยังไม่เคยออกผลเลย ต่อให้เจ้าได้ใช้เวลาหลายปีร่อนเร่ไปตามท้องถนน นั่นสำคัญอะไรเล่า? คำพยานของเจ้าอยู่ที่ใด?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (7)) นั่นทำให้ฉันฉุกคิด สิ่งที่พระวจนะกล่าวนั้นเป็นจริง ไม่ว่าบุคคลหนึ่งเชื่อในพระเจ้ามานานเพียงใด ทำงานมามากมายขนาดไหน หรือพวกเขามีประสบการณ์กับสิ่งทั้งหลายมากเพียงไร หากพวกเขาไม่ได้ประโยชน์ที่แท้จริงจากสิ่งที่ผ่านมา และหากพวกเขาไม่ได้รับความจริงแต่อย่างใดและไม่สามารถเป็นคำพยานได้ นั่นก็หมายความว่าพวกเขาไร้ซึ่งชีวิต บุคคลประเภทนั้นไม่มีวันได้รับการช่วยให้รอดได้ ต่อให้พวกเขาเชื่อไปจนถึงปลายทางก็ตาม เมื่อฉันตระหนักเรื่องนี้ ฉันก็ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกที่มีได้เลย ภาพที่ฉันมีต่อพ่อแม่ในฐานะของคนที่ “เข้าใจความจริง” และ “มีวุฒิภาวะ” พังทลายลงเป็นครั้งแรก ฉันไม่เข้าใจ หลังจากตลอดหลายปีของความเชื่อและการพลีอุทิศทั้งหมดของพวกท่าน เหตุใดพวกท่านจึงยังไม่ได้รับความจริง? เมื่ออยู่ลำพัง ฉันก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา แม้ว่าหลังจากนั้นฉันจะไม่ได้เลื่อมใสในตัวพวกท่านมากนัก ฉันก็ยังคงคิดว่าหลังจากที่พลีอุทิศมาตลอดหลายปี ไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดนี่ก็หมายความว่าพวกท่านมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีและเป็นผู้เชื่อที่แท้จริง หากพ่อกับแม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ดีและเริ่มไล่ตามเสาะหาความจริงตอนนี้ พวกท่านก็ยังสามารถได้รับการช่วยให้รอด แต่แล้วก็มีบางสิ่งเกิดขึ้น ซึ่งเปลี่ยนแปลงทัศนะที่ฉันมีต่อพวกท่านไปอีกครั้ง
วันหนึ่ง ฉันพบว่าพ่อของฉันถูกปลดเพราะท่านทำหน้าที่อย่างขอไปที หลบเลี่ยงงานยาก และไม่เกิดผลลัพธ์ที่ดีอยู่เสมอ ไม่นานหลังจากนั้น ฉันพบว่าแม่ก็ถูกปลดเพราะมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ย่ำแย่ ไม่ค้ำจุนผลประโยชน์ของคริสตจักร มีอุปนิสัยโอหังเป็นพิเศษ และแสดงบทบาทที่เป็นบวกในหน้าที่ ตอนนั้นฉันตกใจมากและแทบไม่อยากเชื่อ พลางคิดกับตัวเองว่า “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง? โดยพื้นฐานแล้วการไม่สามารถทำหน้าที่ได้ก็เท่ากับการถูกเปิดโปงและถูกกำจัดออกไปไม่ใช่หรือ? พวกท่านมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ย่ำแย่หรือ? ทุกคนที่รู้จักพวกท่านมาก่อนต่างก็พูดเสมอว่าพ่อกับแม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ยอดเยี่ยม ไม่อย่างนั้นพวกท่านจะพลีอุทิศตั้งมากมายได้อย่างไร?” ฉันรู้สึกปั่นป่วนจริงๆ อีกทั้งความกังวลและความหวาดหวั่นทุกรูปแบบก็พาลผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ฉันสงสัยว่าพวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง พวกท่านเจ็บปวดหรือทนทุกข์อยู่หรือไม่ ยิ่งนึกถึงเรื่องนี้มากเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกหดหู่และเศร้าใจมากเท่านั้น ถึงฉันรู้ว่าคริสตจักรต้องจัดแจงเรื่องนี้ตามหลักธรรม และเรื่องนี้ย่อมเหมาะสม แต่ฉันก็ยากที่จะยอมรับ พลางคิดอยู่ในใจว่า “พ่อแม่ของฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีมาก พวกท่านผ่านอะไรมามากมาย พวกท่านเคยต้องไปหลบซ่อนเพราะการข่มเหงจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน และนับตั้งแต่ที่ฉันเป็นเด็ก พวกเราต้องแยกกันอยู่นานกว่าที่ได้อยู่ด้วยกันเสียอีก ฉันหวังเป็นอย่างมากว่าหลังจากพระราชกิจของพระเจ้าปิดตัวลง เราจะสามารถกลับมาอยู่ด้วยกันในราชอาณาจักร แต่ตอนนี้… หลังจากก้าวผ่านความยากลำบากมาหลายปีและทำงานมากมาย พวกท่านถูกปลดอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร?” ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ฉันก็ยิ่งรู้สึกผิดหวัง เป็นอีกครั้งที่ฉันไม่สามารถห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้ ตลอดสองสามวันนั้น ฉันเอาแต่ถอนหายใจ และไม่มีแรงจูงใจในการทำหน้าที่เลย เมื่อไรก็ตามที่นึกถึงเรื่องนี้ ฉันจะรู้สึกผิดหวัง และไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาทันที ราวกับว่าจู่ๆ ฉันก็เสียแรงจูงใจทั้งหมดในการไล่ตามเสาะหาไป ฉันรู้ว่าสภาวะของฉันไม่ถูกต้อง และฉันก็คอยบอกตัวเองด้วยเหตุผลว่า “การที่พ่อแม่ถูกปลดต้องเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว พระเจ้าทรงชอบธรรม” แต่ในหัวใจฉันกลับยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ และฉันก็อดไม่ได้ที่จะพยายามใช้เหตุผลกับพระเจ้าว่า “พี่น้องชายหญิงบางคนก็ไม่ได้มีส่วนช่วยเหลือจริงต่องานของคริสตจักรหรือทำหน้าที่ที่มีนัยยะสำคัญ แต่พวกเขาก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ แล้วทำไมพ่อกับแม่ของฉันถึงถูกปลด? ไม่ว่าพวกท่านมีปัญหาอะไร ต่อให้พวกท่านไม่ได้สัมฤทธิ์สิ่งใดเลยในตลอดหลายปีนั้น พวกท่านก็ยังคงพยายามอย่างหนัก อ้างอิงจากความทุกข์ทั้งหมดและงานที่พวกท่านทำมา พวกท่านจะไม่ได้โอกาสอีกสักครั้งเลยหรือ?” ฉันรู้ว่าสภาวะนี้ของฉันไม่ถูกต้อง แต่หัวใจของฉันก็ยังไม่ยอมแพ้ และฉันก็ไม่มีแรงจูงใจในการแสวงหาความจริงเลย ดังนั้นฉันจึงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เจ็บปวดเหลือเกิน โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำเพื่อให้ข้าพระองค์เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด”
ต่อมา ฉันไปถามพี่น้องหญิงคนหนึ่งถึงวิธีในการแก้ไขสภาวะของตัวเอง และขณะที่ฉันอธิบายทุกอย่างให้เธอฟัง ฉันก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา เธอสามัคคีธรรมกับฉันว่า “พ่อแม่ของคุณถูกปลด แต่พวกท่านก็ไม่ได้ถูกชำระหรือขับไล่ออกไป ทำไมคุณถึงรู้สึกเสียใจนักล่ะ? คุณควรเห็นว่าความรักของพระเจ้าอยู่ในเรื่องนี้ นี่คือการที่พระเจ้าทรงมอบโอกาสให้พวกท่านได้กลับใจ” เมื่อเธอพูดเช่นนั้น ในที่สุดฉันก็ตาสว่าง นี่เป็นเรื่องจริง พระเจ้าไม่เคยตรัสว่าการปลดออกหมายความว่าบุคคลหนึ่งถูกเปิดโปงและถูกกำจัดออกไปแล้ว หลังจากถูกปลด พี่น้องชายหญิงจำนวนมากถึงได้เริ่มต้นคิดทบทวน เสียใจ กลับใจและเปลี่ยนแปลงได้โดยแท้จริง หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้กลับมาทำหน้าที่ในคริสตจักรอีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การมีหน้าที่ไม่ได้รับประกันว่า เราสามารถได้รับการช่วยให้รอด หากเราไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เราก็จะถูกพระเจ้ากำจัดออกไปได้อยู่ดี ในความเป็นจริงนั้น การถูกปลดคือการที่พระเจ้าทรงให้โอกาสพ่อแม่ของฉันได้คิดทบทวนและกลับใจ แต่ฉันกลับคิดว่าการถูกปลดนั้นเหมือนกับการถูกเปิดโปงและถูกกำจัดออกไป ทัศนะนี้ไม่สอดคล้องกับความจริง! เมื่อคิดเช่นนี้ฉันก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นเวลานึกถึงเรื่องนี้ ฉันก็ยังคงผิดหวังอยู่มาก ฉันเอาแต่รู้สึกเหมือนกับว่าคริสตจักรเอาจริงเอาจังกับพวกท่านมากเกินไป
ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ยิ่งเจ้าขาดพร่องความเข้าใจในเรื่องหนึ่งๆ มากเท่าใด เจ้าก็ควรมีหัวใจที่เคร่งศรัทธาและยำเกรงพระเจ้ามากขึ้น และมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าและความจริงให้บ่อยขึ้นเท่านั้น เมื่อเจ้าไม่เข้าใจสิ่งทั้งหลาย เจ้าจำเป็นต้องได้ความรู้แจ้งและการนำจากพระเจ้า เมื่อเจ้าเผชิญสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ เจ้าก็ต้องร้องขอให้พระเจ้าทรงพระราชกิจในตัวเจ้าให้มากขึ้น เหล่านี้คือความคิดคำนึงที่เปี่ยมน้ำพระทัยของพระเจ้า ยิ่งเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้ามากขึ้นเท่าใด หัวใจของเจ้าก็จะยิ่งใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น และไม่จริงหรือว่ายิ่งหัวใจของเจ้าใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พระเจ้าก็จะยิ่งสถิตอยู่ในหัวใจของเจ้ามากขึ้นเท่านั้น? ยิ่งพระเจ้าทรงอยู่ในหัวใจของบุคคลหนึ่งมากเท่าใด การไล่ตามเสาะหาของพวกเขา เส้นทางที่พวกเขาเดิน และสภาวะในหัวใจของพวกเขาก็ย่อมจะดีขึ้นเท่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้าคือรากฐานของการเชื่อในพระเจ้า) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกสงบลงเล็กน้อย พระเจ้าตรัสว่ายิ่งเราเข้าใจบางสิ่งน้อยเท่าไร เราก็ยิ่งควรแสวงหาความจริงด้วยหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้ามากเท่านั้น นี่เป็นหนทางเดียวที่สภาวะของเราสามารถดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อใคร่ครวญการถูกปลดของพ่อและแม่ ฉันก็รู้จากคำสอนว่านี่ต้องเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่คริสตจักรจะทำ อีกทั้งฉันไม่ควรพร่ำบ่นหรือกระทำการตัดสิน และฉันพยายามที่จะไม่จมจ่อมอยู่กับมัน แต่ก็ยังไม่ได้แก้ไขความเข้าใจผิดหรือความห่างเหินจากพระเจ้าอย่างแท้จริง เวลานึกถึงเรื่องนี้ ฉันก็ยังคงมีความเจ็บปวดและรวดร้าวที่อธิบายไม่ได้ จุดนี้เองที่ทำให้ฉันได้มาเข้าใจว่าเมื่อเราเผชิญหน้ากับบางสิ่งที่ไม่เข้าใจหรือหยั่งรู้ไม่ได้ เราจำเป็นต้องแสวงหาความจริงอย่างแข็งขัน ไม่ยึดติดกฎเกณฑ์และจำกัดตัวเอง และปล่อยให้สิ่งทั้งหลายผ่านไปอย่างคลุมเครือ—ปัญหาไม่อาจแก้ไขได้ในหนทางนั้น ในความเป็นจริงแล้ว อันที่จริงฉันไม่ได้รู้จักพ่อแม่ของตัวเองดีนัก ฉันเพียงแต่เห็นว่าจากภายนอกพวกท่านดูกระทำการพลีอุทิศและสละตนเอง และได้ยินผู้อื่นพูดเรื่องที่ดีเกี่ยวกับพวกท่าน แต่สิ่งนี้ช่างคับแคบและเป็นการฟังความข้างเดียวจริงๆ ฉันควรฟังเรื่องของพวกท่านให้มากขึ้นจากพี่น้องชายหญิงที่พวกท่านติดต่อในช่วงนี้ ไม่ใช่แค่พึ่งพาความรู้สึกของตัวเอง ฉันเริ่มตรวจสอบพฤติกรรมที่เฉพาะเจาะจงของพ่อแม่ในหน้าที่ ฉันอ่านเรียงความของพวกท่านและการประเมินพวกท่านจากผู้อื่น พวกเขากล่าวว่าพ่อของฉันทำหน้าที่แบบขอไปทีและหลบเลี่ยงอะไรก็ตามที่ยาก และกล่าวว่าพ่อไม่เต็มใจที่จะทุ่มเทให้กับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความทุกข์ทางกายมากนัก และถึงแม้ท่านมีทักษะต่างๆ แต่ท่านก็ทำตัวนิ่งเฉยอยู่เสมอในหน้าที่โดยไม่ได้สัมฤทธิ์อะไรมากนัก พ่อถูกปลดและถูกโยกย้ายหลายครั้ง แต่ท่านก็ไม่ได้ทำหน้าที่ที่ถูกย้ายไปให้ดี ต่อมา เวลาที่พ่อประกาศข่าวประเสริฐ พ่อก็ยังคงทำแบบขอไปทีและหลบเลี่ยงงานหนัก ท่านไม่ได้ทำอะไรให้เสร็จสิ้นโดยปราศจากการกำกับดูแลของหัวหน้างานเลย เมื่อพี่น้องชายหญิงชี้ให้พ่อเห็นถึงปัญหาในหน้าที่ ท่านก็ไม่ได้ทบทวนตัวเอง ทั้งยังแก้ตัวอยู่เสมอ บอกว่าท่านกำลังแก่ตัวลงและมีปัญหาด้านสุขภาพ และหน้าที่นั้นก็ไม่ได้ใช้จุดแข็งของท่าน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีปัญหา และผู้อื่นคาดหวังในตัวท่านมากเกินไป ผลก็คือเมื่อพ่อไม่เคยได้ผลลัพธ์ที่ดีในหน้าที่ ท่านก็ถูกปลด และถึงแม้แม่ของฉันจะดูเหมือนขะมักเขม้นและสามารถยอมลำบากในหน้าที่ได้จริงๆ ท่านก็เพียงทำงานที่ผิวเผิน และส่วนใหญ่ก็แค่ทำไปพอพ้นตัวเท่านั้น แม่ไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง แถมยังทำให้ความคืบหน้าของงานล่าช้า ถึงแม้แม่จะทำงานมากมาย แต่ก็มีปัญหามากมายที่ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า นอกจากนี้แล้ว แม่ยังปกป้องตัวเองและคุ้มครองผลประโยชน์ของท่านแทนผลประโยชน์ของคริสตจักรอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น มีบางสิ่งที่จำเป็นต้องได้รับการจัดการในทันที และหากแม่ไปย่อมจะดีที่สุด แต่ท่านก็ส่งคนอื่นไปแทนเพราะกลัวจะล่วงเกินใครเข้า จนทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก พี่น้องชายหญิงยังบอกด้วยว่าแม่มีอุปนิสัยโอหังจริงๆ แถมยังดันทุรัง ท่านใช้ประสบการณ์ของตัวเองเป็นไม้ค้ำ ทำตามที่ตัวเองต้องการโดยไม่หารือสิ่งต่างๆ กับผู้อื่น ท่านยังไม่สามารถยอมรับข้อเสนอแนะของผู้อื่นได้ หวงงาน และขาดความโปร่งใส อีกทั้งพี่น้องชายหญิงต่างก็ไม่มั่นใจในรายละเอียดที่เจาะจงว่าท่านทำสิ่งต่างๆ มากมายอย่างไร และทันทีที่มีใครบางคนทำอะไรบางอย่างที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของท่าน ท่านก็จะฉุนเฉียวและต่อว่าพวกเขาด้วยความโมโห จนทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดเพราะท่าน พี่น้องชายคนหนึ่งรู้สึกอัดอั้นมาก จนพูดกับแม่ไปว่า “พี่สาว ผมขาดความสามารถ การทำงานกับผมคงทำให้คุณปวดหัวน่าดู ขอโทษด้วยครับ!” และคนอื่นก็พูดว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าที่ของฉัน ฉันคงจะไม่มีวันอยากมีปฏิสัมพันธ์กับคนอย่างเธอ” แม่ไม่เต็มใจยอมรับในยามที่ผู้อื่นชี้ให้ท่านเห็นถึงปัญหาของตนเอง ท่านยังต่อต้านและมีอคติต่อพี่น้องหญิงที่กำกับดูแลงานของท่านอย่างมาก แม่คิดอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นผู้อื่นเสมอที่ทำให้ชีวิตของท่านยากลำบาก และคิดว่าพวกเขาไม่สามารถปฏิบัติต่อท่านได้อย่างเป็นธรรม เมื่อได้อ่านการประเมินเหล่านี้ฉันก็ตกใจมาก ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าพ่อกับแม่ของฉันเป็นแบบนั้นจริงๆ
ต่อมา ฉันได้อ่านสิ่งนี้จากพระวจนะของพระเจ้า “ทั้งมโนธรรมและเหตุผลควรเป็นองค์ประกอบของสภาวะความเป็นมนุษย์ของบุคคลหนึ่ง สองสิ่งนี้คือสิ่งที่ เป็นรากฐานและสำคัญมากที่สุด บุคคลประเภทใดคือผู้ที่ขาดพร่องมโนธรรมและไม่มีเหตุผลของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ? พูดโดยทั่วไปแล้ว พวกเขาคือบุคคลที่ขาดพร่องสภาวะความเป็นมนุษย์ บุคคลที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ด้อยอย่างสุดขีด เมื่อลงรายละเอียด บุคคลผู้นี้แสดงให้เห็นถึงการสำแดงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่สูญหายไปเช่นไร? จงวิเคราะห์กันตามสบายว่ามีลักษณะเฉพาะอันใดที่พบเห็นได้ในตัวผู้คนแบบนี้ และพวกเขาแสดงให้เห็นถึงการสำแดงสิ่งใดเป็นการเฉพาะ (พวกเขาเห็นแก่ตัวและต่ำช้า) ผู้คนที่เห็นแก่ตัวและต่ำช้าย่อมสุกเอาเผากินในการกระทำของพวกเขาและปลีกตัวห่างจากสิ่งใดก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเป็นการส่วนตัว พวกเขาไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ได้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้รับภาระอันใดเกี่ยวกับ การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาหรือเป็นพยานยืนยันแด่พระเจ้า และพวกเขาไม่มีสำนึกรับรู้แห่งความรับผิดชอบเลย” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เมื่อมอบหัวใจของคนเราแก่พระเจ้า คนเราย่อมจะสามารถได้มาซึ่งความจริง) “เมื่อบุคคลหนึ่งมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี หัวใจที่แท้จริง มโนธรรม และเหตุผล เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ว่างเปล่าหรือคลุมเครือซึ่งไม่สามารถเห็นหรือสัมผัสได้ แต่กลับเป็นสิ่งที่สามารถค้นพบได้ทุกที่ในชีวิตประจำวันเสียมากกว่า สิ่งเหล่านี้คือทุกสรรพสิ่งแห่งความเป็นจริง สมมุติว่าบุคคลหนึ่งนั้นยิ่งใหญ่และเพียบพร้อม นั่นคือบางสิ่งที่เจ้าสามารถมองเห็นกระนั้นหรือ? เจ้าไม่สามารถมองเห็น สัมผัส หรือแม้กระทั่งจินตนาการได้ว่าการมีความเพียบพร้อมหรือยิ่งใหญ่นั้นเป็นเช่นไร แต่หากเจ้าพูดว่าใครคนหนึ่งเห็นแก่ตัว เจ้าสามารถมองเห็นการกระทำของบุคคลนั้นหรือไม่—และเขาสอดรับกับคำบรรยายนั้นหรือไม่? หากพูดกันว่าใครคนหนึ่งซื่อสัตย์ด้วยหัวใจที่แท้จริง เจ้าสามารถมองเห็นพฤติกรรมนี้หรือไม่? หากพูดกันว่าใครคนหนึ่งเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง คดโกง และต่ำช้า เจ้าสามารถมองเห็นสิ่งเหล่านั้นหรือไม่? ต่อให้เจ้าหลับตา เจ้าก็สามารถสำนึกรับรู้ได้ว่า สภาวะความเป็นมนุษย์ของบุคคลนั้นเป็นปกติ หรือน่ารังเกียจ โดยผ่านทางสิ่งที่พวกเขาพูดและวิธีที่พวกเขาปฏิบัติตน เพราะฉะนั้น ‘สภาวะความเป็นมนุษย์ดีหรือแย่’ จึงไม่ใช่วลีที่ว่างเปล่า ตัวอย่างเช่น ความเห็นแก่ตัวและความต่ำช้า ความคดโกงและความหลอกลวง ความโอหังและการเห็นว่าตนเองชอบธรรมเสมอ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เจ้าสามารถจับความเข้าใจได้ในชีวิตเมื่อเจ้ามาติดต่อบุคคลหนึ่ง เหล่านี้คือองค์ประกอบด้านลบของสภาวะความเป็นมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ องค์ประกอบด้านบวกของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ผู้คนควรครอง—เช่น ความซื่อสัตย์และความรักในความจริง—สามารถล่วงรู้ได้ในชีวิตประจำวันหรือไม่? ไม่ว่าใครบางคนจะมีความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถได้รับการทรงนำจากพระเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาจะมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่—เจ้าสามารถมองเห็นทั้งหมดนี้ได้หรือไม่? เจ้าสามารถแยกแยะทั้งหมดนี้ได้หรือไม่? บุคคลผู้หนึ่งต้องครองภาวะใดจึงจะได้รับความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้รับการนำจากพระเจ้า และปฏิบัติตนสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงในทุกสิ่ง? พวกเขาต้องมีหัวใจที่ซื่อสัตย์ รักความจริง แสวงหาความจริงในทุกสิ่ง และสามารถปฏิบัติความจริงได้ในทันทีที่พวกเขาเข้าใจความจริง การมีภาวะเหล่านี้หมายถึงการมีความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้อย่างง่ายดาย หากใครบางคนมิใช่บุคคลที่ซื่อสัตย์ และไม่รักความจริงในหัวใจของพวกเขา พวกเขาย่อมจะมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ยาก และต่อให้เจ้าสามัคคีธรรมถึงความจริงกับพวกเขา ก็จะไม่เกิดผล เจ้าจะบอกได้อย่างไรว่าใครบางคนเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์หรือไม่? เจ้าต้องไม่เพียงแค่ดูว่าเขาพวกโกหกและฉ้อโกงหรือไม่เท่านั้น แต่ที่สำคัญที่สุดคือต้องดูว่าพวกเขาสามารถยอมรับความจริงและนำความจริงไปปฏิบัติได้หรือไม่ด้วย นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด พระนิเวศของพระเจ้ากำจัดผู้คนออกไปตลอดเวลา และถึงตอนนี้ก็มีหลายคนแล้วที่ถูกกำจัดออกไป พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่ซื่อสัตย์ พวกเขาล้วนเป็นผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง พวกเขารักสิ่งที่ไม่ชอบธรรม พวกเขาไม่รักความจริงเลย ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปีแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจความจริงหรือเข้าไปสู่ความเป็นจริงได้ ผู้คนที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างจริงแท้ยิ่งมีน้อยกว่านั้นเสียอีก เพราะฉะนั้น การที่พวกเขาถูกกำจัดออกไปจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เวลาที่เจ้าเข้าไปติดต่อบุคคลผู้หนึ่ง เจ้าดูที่สิ่งใดเป็นอันดับแรก? จงดูที่คำพูดและความประพฤติของเขาเพื่อดูว่าพวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์หรือไม่ พวกเขารักความจริงหรือไม่ และพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่งยวด โดยพื้นฐานแล้วเจ้าสามารถเห็นแก่นแท้ของบุคคลผู้หนึ่งได้ตราบใดที่เจ้าสามารถกำหนดได้ว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์หรือไม่ พวกเขาสามารถยอมรับความจริงและนำความจริงไปปฏิบัติได้หรือไม่ หากปากของบุคคลหนึ่งเต็มไปด้วยคำพูดที่ไพเราะเสนาะหู แต่พวกเขาไม่ทำสิ่งใดที่เป็นจริงเลย—เมื่อถึงเวลาทำบางสิ่งที่เป็นจริง พวกเขาก็คิดถึงแต่ตัวพวกเขาเองเท่านั้นและไม่เคยคิดถึงผู้อื่น—เช่นนั้นแล้ว นี่คือสภาวะความเป็นมนุษย์ประเภทใด? (ความเห็นแก่ตัวและความต่ำช้า เขาไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์) เป็นการง่ายหรือไม่ที่บุคคลหนึ่งซึ่งปราศจากสภาวะความเป็นมนุษย์จะได้รับความจริง? ย่อมเป็นการยากสำหรับพวกเขา… จงอย่าสนใจสิ่งที่ผู้คนเช่นนั้นพูด เจ้าต้องดูว่าพวกเขาใช้ชีวิตตามสิ่งใด พวกเขาเปิดเผยสิ่งใด และท่าทีของพวกเขาเป็นอย่างไรเมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน ตลอดจนสภาวะภายในของพวกเขาเป็นอย่างไรและพวกเขารักสิ่งใด หากความรักที่พวกเขามีต่อชื่อเสียงและโชควาสนาของตนเองมีมากเกินกว่าความจงรักภักดีที่พวกเขามีต่อพระเจ้า หากความรักในชื่อเสียงและผลประโยชน์ของพวกเขาเองมีมากกว่าผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า หรือหากว่าความรักของพวกเขาที่มีต่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ของพวกเขาเองมากเกินกว่าการคำนึงถึงที่พวกเขาแสดงต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว ผู้คนดังกล่าวมีสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่? พวกเขา ไม่ใช่ผู้ที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ พฤติกรรมของพวกเขาสามารถมองเห็นได้โดยผู้อื่นและโดยพระเจ้า จึงลำบากยากเย็นอย่างยิ่งสำหรับผู้คนเช่นนั้นที่จะได้รับความจริง” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เมื่อมอบหัวใจของคนเราแก่พระเจ้า คนเราย่อมจะสามารถได้มาซึ่งความจริง) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเห็นว่าการประเมินสภาวะความเป็นมนุษย์ของใครบางคนว่าดีหรือแย่นั้น เราต้องดูจากท่าทีที่พวกเขามีต่อหน้าที่ของตนเองและต่อความจริง บรรดาผู้มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีนั้นรักความจริงและคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าในหน้าที่ พวกเขาปฏิบัติต่อหน้าที่ของตัวเองด้วยความรับผิดชอบ เป็นผู้ที่ไว้วางใจได้ และคุ้มครองผลประโยชน์ของคริสตจักร ส่วนพวกที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ย่ำแย่นั้นเห็นแก่ตัวและชั่วร้ายโดยแท้ ทั้งนึกถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น พวกเขาทำหน้าที่ให้พอพ้นตัว พยายามที่จะหย่อนยาน และเอาแต่พูดโดยไม่ได้ทำงานจริงให้เสร็จสิ้นเลย พวกเขาอาจถึงกับไม่ใส่ใจหรือขายผลประโยชน์ของคริสตจักรเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของตัวเองด้วยซ้ำ เมื่อมองดูพฤติกรรมของพ่อแม่ตามพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เห็นว่าอันที่จริงพวกท่านไม่ใช่คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีอย่างที่ฉันคิด เช่นเดียวกับพ่อของฉัน–ถึงแม้ท่านกระทำการพลีอุทิศอย่างผิวเผินมาบ้าง ท่านก็ไม่ได้มีภาระในหน้าที่ของตัวเอง แต่กลับทำอย่างขอไปทีและหลบเลี่ยงงานหนัก เมื่อมีเรื่องที่ต้องยอมลำบาก ท่านก็จะหาข้อแก้ตัวมากมายเพื่อใส่ใจเนื้อหนังของตัวเอง และไม่คำนึงถึงความต้องการของคริสตจักร พ่อจำเป็นต้องได้รับการกำกับดูแลและการกระตุ้นเตือนในหน้าที่อยู่เนืองๆ ท่านเป็นคนที่นิ่งเฉยโดยแท้ ส่วนแม่ของฉัน แม้ว่าท่านจะยุ่งอยู่ตลอดเวลา สามารถทนทุกข์และยอมลำบากเพื่อหน้าที่ และดูเหมือนท่านทำงานบางอย่างให้เสร็จสิ้น แต่ก็ไม่มีผลลัพธ์จริงจากหน้าที่ของท่านเลย และท่านก็ทำไปเพียงเพื่อเอาหน้า แม่เป็นคนที่ดูยุ่งอย่างเหลือเชื่อและมุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพ แต่ที่จริงแล้วท่านแค่มองหาผลประโยชน์ที่ได้มาอย่างรวดเร็วและทั้งหมดก็เพื่อชื่อเสียงและสถานะของตัวท่านเอง ท่านขาดหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าในการทำงาน และสิ่งนี้ก็ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อผลประโยชน์ของคริสตจักร ในสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของคริสตจักร แม่รู้ว่าแม่เป็นคนที่เหมาะสมกับงานนี้ที่สุดแต่กลับยืนกรานให้ผู้อื่นมาจัดการแทน ฉันเห็นว่าแม่ไม่ได้คุ้มครองผลประโยชน์ของคริสตจักรในเรื่องที่สำคัญยิ่งยวดเลย และท่านก็ไม่ได้มีหัวใจเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ฉันเพียงเห็นว่าแม่ทำงานมากมายให้เสร็จสิ้นและยอมลำบากหนักหนา แต่ฉันไม่ได้ดูที่เหตุจูงใจในการยอมลำบากนี้ หรือดูว่าท่านสัมฤทธิ์สิ่งใดในการทำงานเหล่านี้หรือไม่ ท่านมีส่วนช่วยคริสตจักรในเรื่องใดๆ จริงหรือไม่ หรือที่จริงแล้วท่านสร้างความเสียหายมากกว่าสร้างสิ่งที่ดี ในที่สุดฉันก็เห็นว่า การประเมินว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ของใครบางคนนั้นดีหรือย่ำแย่ไม่ได้เกี่ยวกับว่าพวกเขาดูพลีอุทิศหรือพยายามมากแค่ไหน แต่เป็นเรื่องที่ว่าพวกเขามีเหตุจูงใจที่ถูกต้องหรือไม่ นึกถึงงานของคริสตจักรอย่างจริงใจหรือทำสิ่งทั้งหลายเพื่อชื่อเสียงและสถานะของตัวเองมากกว่า ผู้คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีโดยแท้จริงอาจไม่เข้าใจความจริง แต่หัวใจของพวกเขาอยู่ถูกที่และพวกเขาทำตามมโนธรรมของตนเอง พวกเขามีหัวใจเป็นหนึ่งเดียวกับพระนิเวศของพระเจ้าและสามารถคุ้มครองผลประโยชน์ของคริสตจักรได้ในยามที่มีสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น พวกเขาจึงสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ดีได้ แต่สำหรับคนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ย่ำแย่นั้น ไม่ว่าพวกเขาดูทนทุกข์และเหน็ดเหนื่อยมากเพียงใด หรือพวกเขาพูดจาดีแค่ไหน ในความเป็นจริงพวกเขาก็ทำทุกสิ่งแบบขอไปที คิดคำนึงและวางแผนเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนเองโดยไม่ได้คิดถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศอย่างจริงใจเลย พวกเขาจึงมีการตกหล่นในงานมากมายและไม่บรรลุสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันเลย พวกเขาอาจทำอะไรบางอย่างให้เสร็จสิ้นด้วยการพึ่งพาพรสวรรค์หรือประสบการณ์ของตัวเองชั่วคราว แต่ในระยะยาว การใช้บุคคลประเภทนี้ย่อมเกิดความสูญเสียมากกว่าเกิดประโยชน์ เพราะสภาวะความเป็นมนุษย์และลักษณะนิสัยของพวกเขานั้นต่ำกว่ามาตรฐาน พวกเขาพึ่งพาไม่ได้และไม่ทำงานจริง เราไม่มีวันรู้เลยว่าพวกเขาจะก่อให้เกิดความสูญเสียต่องานของคริสตจักรตอนไหน เมื่อฉันตระหนักเช่นนั้นแล้ว ฉันก็เชื่อสุดหัวใจว่าพ่อและแม่ของฉันขาดสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี
ฉันเฝ้าคิดอยู่เสมอว่าพวกท่านล้มเลิกสิ่งต่างๆ รวมถึงชีวิตอันแสนสุขสบายไปมากมายเพียงไรในความเชื่อ เพื่อทำหน้าที่ของพวกท่านมาตลอดเกือบสองทศวรรษแห่งความท้าทาย และคิดว่าต่อให้พวกท่านไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง อย่างน้อยพวกท่านก็เป็นผู้เชื่อที่แท้จริงและเป็นผู้มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี แต่ที่จริงแล้ว มีผู้คนมากมายที่สามารถแสร้งว่ากำลังสู้ทนความยากลำบาก แต่แรงจูงใจและแก่นแท้ของแต่ละคนในการทำเช่นนี้อาจแตกต่างกันไป ฉันไม่ได้มองว่าสิ่งใดที่ขับเคลื่อนพ่อกับแม่ให้ทนทุกข์และสละตน หรือพวกท่านสัมฤทธิ์สิ่งใดในหน้าที่โดยแท้จริงหรือไม่ ฉันดูแค่ที่การพลีอุทิศและความพยายามในระดับผิวเผินของพวกท่าน และคิดว่าพวกท่านเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงซึ่งมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี ฉันช่างมีทัศนะที่ผิวเผินและโง่เขลาจริงๆ! ในฐานะที่เป็นผู้เชื่อมาตลอดหลายปี ถึงแม้พวกเราจะทนทุกข์กับการข่มเหงจากพรรคคอมมิวนิสต์และความเจ็บปวดจากการที่ครอบครัวของเราต้องแยกจากกัน เราก็ยังได้ชื่นชมพระคุณมากมายของพระเจ้า พระเจ้าไม่เพียงประทานความจริงมากมายแก่เราเท่านั้น ทว่าพระองค์ยังทรงมอบการค้ำจุนอันมากล้นแก่เราในสิ่งที่เราต้องการในชีวิตด้วย คนที่มีมโนธรรมและเหตุผลโดยแท้จริงก็ควรปฏิบัติหน้าที่ของตนและตอบแทนความรักของพระเจ้าอย่างสุดความสามารถ แต่ตลอดหลายปีของความเชื่อและการเข้าใจคำสอนมากมาย พ่อแม่ของฉันก็ยังไม่มีสำนึกพื้นฐานที่สุดเกี่ยวกับภาระหรือความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่พวกท่านควรมี พวกท่านไม่ได้คุ้มครองผลประโยชน์ของคริสตจักรด้วยซ้ำ จากการกระทำของพ่อกับแม่ การที่คริสตจักรปลดพวกท่านออกนั้นเป็นความชอบธรรมของพระเจ้าโดยแท้จริง! การรับมือกับพวกท่านในหนทางนี้ไม่เพียงแต่ดีต่องานของคริสตจักรเท่านั้น แต่ยังดีต่อพวกท่านด้วย หากการสะดุดและการล้มลงเช่นนั้นสามารถให้พวกท่านทบทวนและรู้จักตัวเองและหวนคืนสู่พระเจ้า เปลี่ยนแปลงท่าทีที่พวกท่านมีต่อหน้าที่ นั่นย่อมจะเป็นความรอดและเป็นจุดเปลี่ยนในเส้นทางแห่งความเชื่อสำหรับพวกท่าน หากพวกท่านยังคงปฏิบัติตนอย่างที่เคยโดยไม่ทบทวนตัวเอง กลับใจ หรือเปลี่ยนแปลงอะไรเลย พวกท่านก็สามารถถูกเปิดโปงและถูกกำจัดออกไปได้จริงๆ ฉันหวนนึกถึงบางสิ่งที่พระเจ้าตรัสว่า “พระเจ้าคือผู้ที่ทรงกำหนดว่าแต่ละบุคคลต้องทนทุกข์มากน้อยเพียงใดและพวกเขาต้องเดินไปบนเส้นทางของพวกเขาในระยะทางไกลแค่ไหน และไม่มีใครสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างแท้จริง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เส้นทาง… (6)) เมื่อถึงจุดนี้ ทั้งหมดที่ฉันสามารถทำได้คือชี้ให้พวกท่านมองเห็นปัญหาที่ฉันเห็น และช่วยเหลือพวกท่านอย่างสุดความสามารถ แต่เรื่องที่พวกท่านเลือกเส้นทางใด นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันควรจะกังวล เมื่อเข้าใจเรื่องเหล่านี้ในหัวใจฉันก็รู้สึกสว่างขึ้นมาก และฉันก็ไม่รู้สึกผิดหวังหรือเจ็บปวดแทนพวกท่านอีกต่อไป ฉันสามารถเข้าหาเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้อง
ต่อมา ฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติม “เจ้าต้องรู้ว่าเราพึงปรารถนาผู้คนประเภทใด พวกที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ราชอาณาจักร พวกที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำผืนดินศักดิ์สิทธิ์แปดเปื้อน แม้ว่าเจ้าอาจได้ทำงานมากมายแล้ว และได้ทำงานมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ในที่สุดหากเจ้ายังคงโสมมอย่างน่าสังเวช เช่นนั้นแล้วการที่เจ้าปรารถนาที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของเราก็เป็นเรื่องที่ธรรมบัญญัติแห่งสวรรค์ไม่อาจทนยอมรับได้! ตั้งแต่การแรกสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ เราไม่เคยเสนอช่องทางอันง่ายต่อการเข้าสู่ราชอาณาจักรของเราให้แก่พวกที่ประจบเรา นี่คือกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์ และไม่มีใครสามารถทำลายสิ่งนั้นได้!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน) “เราไม่ได้ตัดสินบั้นปลายของแต่ละบุคคลตามอายุ ความอาวุโส ระดับความทุกข์ และที่น้อยที่สุดคือ ระดับความชวนสังเวชของพวกเขา แต่เป็นไปโดยสอดคล้องกับการที่ว่า พวกเขาครองความจริงหรือไม่ ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากนี้ พวกเจ้าจำต้องตระหนักว่า ทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจะถูกลงโทษด้วยเช่นกัน นี่คือข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า) บทตอนเหล่านี้ดลใจฉันจริงๆ มาตรฐานหนึ่งเดียวของพระเจ้าในการพิพากษาว่าผู้คนสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่ คือพวกเขาครองความจริงและเกิดความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยหรือไม่ ตลอดหลายปีมานี้พระเจ้าทรงพระราชกิจและทรงแสดงความจริงมากมาย ทรงให้การสามัคคีธรรมที่ละเอียดและเจาะจงถึงเส้นทางในการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและสัมฤทธิ์ความรอด ดังนั้นตราบใดที่ใครบางคนสามารถรักและยอมรับความจริงได้ ก็ย่อมมีความหวังที่จะสัมฤทธิ์ความรอดของพระเจ้า แต่หากใครบางคนพอใจกับการพลีอุทิศโดยผิวเผินโดยไม่ปฏิบัติความจริงหรือเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองเลยแม้ว่าเชื่อมาหลายปี เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ยอมรับความจริง ทว่าเหนื่อยหน่ายความจริง สำหรับคนเช่นนั้น ไม่ว่าพวกพวกเขาพลีอุทิศมากเพียงใดหรือทำงานมาแล้วกี่ปี หรือไม่ว่าพวกเขาปฏิบัติหน้าที่สำคัญแค่ไหน หากสุดท้ายแล้วพวกเขาไม่ได้รับความจริงและชีวิต หรือไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยที่เสื่อมทราม ทั้งยังคงแข็งขืนและเป็นกบฏต่อพระเจ้า ก่อกวนและทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก พวกเขาก็ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้ พวกที่ทำชั่วมากมายย่อมจะถูกพระเจ้าทรงลงโทษ และสิ่งนั้นได้รับการกำหนดจากพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระเจ้า เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น ฉันก็ได้รับความกระจ่างมากขึ้นว่าพ่อกับแม่ของฉันมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ถึงแม้พวกท่านยอมทิ้งบ้านและการงานมา อีกทั้งทำงานหนัก พวกท่านก็ไม่ได้รักความจริง พวกท่านทำหน้าที่อย่างขอไปทีและเอาแต่ใจตัวเอง และไม่ได้ทบทวนหรือรู้จักตัวเองตามพระวจนะของพระเจ้า ในยามที่พี่น้องชายหญิงชี้ให้พวกท่านเห็นถึงปัญหาของพวกท่าน พ่อกับแม่ก็ไม่นบนอบ หาข้อแก้ตัว คิดว่าอีกฝ่ายพยายามสร้างความลำบากให้ชีวิตของพวกท่าน และผู้อื่นคาดหวังในตัวพวกท่านมากเกินไป นี่แสดงให้ฉันเห็นว่าพ่อกับแม่เหนื่อยหน่ายและไม่ยอมรับความจริง นั่นเป็นสาเหตุที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกท่านไม่เคยเปลี่ยนแปลงแม้ว่าพวกท่านเชื่อมาหลายปีแล้ว ในทางกลับกัน ยิ่งเวลาของการเป็นผู้เชื่อและบันทึกการทำงานของพวกท่านเพิ่มมากขึ้น อุปนิสัยโอหังของพวกท่านก็ยิ่งร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ฉันเห็นได้จากท่าทีที่พวกท่านมีต่อความจริงว่า การพลีอุทิศทั้งหมดของพวกท่านไม่ใช่เพื่อให้ได้รับความจริงและชีวิต แต่เป็นการทำไปโดยไม่เต็มใจเพื่อพระพร เช่นเดียวกับเปาโล ทุกสิ่งที่เขาทำก็เพื่อทำข้อตกลงกับพระเจ้า เขาไม่ใช่ผู้เชื่อแท้จริงที่สละตนเองอย่างจริงใจเพื่อพระเจ้า ในที่สุดฉันก็เข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจนว่า การที่ใครบางคนเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่ มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีหรือไม่ และสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่นั้น ควรตัดสินจากท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง เป็นเรื่องไม่ถูกต้องที่จะตัดสินพวกเขาจากปริมาณของการพลีอุทิศเพียงผิวเผิน พวกเขาทำงานหนักมาแค่ไหน หรือได้ทำหน้าที่ประเภทใดมา ถึงแม้พี่น้องชายหญิงบางคนอาจจะไม่ได้มีส่วนช่วยต่อคริสตจักรมากมายนัก และหน้าที่ของพวกเขาก็ดูไม่ได้มีนัยสำคัญ แต่พวกเขาก็แน่วแน่ในหน้าที่ของตัวเอง ทุ่มเทหัวใจและพละกำลังทั้งหมดให้กับหน้าที่นั้น สิ่งที่พวกเขามุ่งเน้นในหน้าที่คือการแสวงหาความจริงและทบทวนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง และการได้มารับรู้สิ่งนี้ก็ทำให้พวกเขาสามารถมีความเสียใจส่วนตัวและปฏิบัติความจริง อีกทั้งเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้ ผู้คนประเภทนี้สามารถตั้งมั่นอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าได้ ยิ่งฉันคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งเห็นว่าพระเจ้าทรงชอบธรรมโดยแท้จริง มาตรฐานในการประเมินผู้คนของพระเจ้าไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ฉันคิดเพ้อฝันไปเกี่ยวกับความรอด ฉันคิดอยู่เสมอว่าพระเจ้าไม่ควรละทิ้งหรือกำจัดผู้ที่ทำการพลีอุทิศอย่างใหญ่หลวงและทำงานหนักอย่างเห็นได้ชัดออกไป ต่อให้พวกเขาไม่ได้มีส่วนช่วยเหลืออะไรก็ตาม แต่จากกรณีของพ่อกับแม่ ฉันก็ได้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้าโดยแท้จริง พระเจ้าไม่ทรงทำสิ่งทั้งหลายตามอารมณ์หรือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ แต่พระองค์ทรงใช้มาตรฐานของความจริงในการพิพากษาและทอดพระเนตรแต่ละบุคคล ไม่เว้นแม้แต่ผู้คนที่มีบทบาทสำคัญในพระนิเวศของพระเจ้า การตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ทำให้หัวใจของฉันรู้สึกสว่างขึ้นและเป็นอิสระขึ้นมาก
ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติมอีกสองบทตอน พระเจ้าตรัสว่า “วันหนึ่ง เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงบ้างแล้ว เจ้าก็จะไม่คิดว่าแม่ของเจ้าคือบุคคลที่ดีที่สุด หรือพ่อแม่ของเจ้าเป็นคนที่ดีที่สุดอีกต่อไป เจ้าจะตระหนักว่าพวกเขาก็เป็นสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เสื่อมทรามเช่นกัน และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาล้วนเป็นเหมือนกัน สิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างจากคนอื่นคือสัมพันธภาพทางสายโลหิตกับเจ้า หากพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็เป็นเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อทั้งหลาย เจ้าจะไม่มองพวกเขาจากมุมมองของสมาชิกในครอบครัว หรือจากมุมมองของสัมพันธภาพทางเนื้อหนังของเจ้าอีกต่อไป แต่จะมองจากฝั่งของความจริง สิ่งใดคือแง่มุมหลักที่เจ้าควรมอง? เจ้าควรดูทรรศนะที่พวกเขามีเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้า ทรรศนะที่พวกเขามีต่อโลก ทรรศนะที่พวกเขามีต่อการรับมือเรื่องราวทั้งหลาย และที่สำคัญที่สุดก็คือท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้า หากเจ้าประเมินแง่มุมเหล่านี้อย่างถูกต้องแม่นยำ เจ้าก็จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาเป็นคนดีหรือไม่ดี วันหนึ่งเจ้าอาจมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาก็เป็นผู้คนที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นเดียวกับเจ้า นี่อาจชัดเจนยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำว่าพวกเขาไม่ใช่คนจิตใจดีที่มีความรักจริงให้กับเจ้าดังที่เจ้าจินตนาการ และพวกเขาไม่สามารถนำทางเจ้าไปสู่ความจริงหรือไปยังเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตได้เลย เจ้าอาจมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่พวกเขาทำให้เจ้าไม่ได้มีประโยชน์อันใหญ่หลวงต่อเจ้า และไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อการที่เจ้าจะเลือกเดินบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง เจ้าอาจพบอีกด้วยว่าการปฏิบัติและข้อคิดเห็นหลายประการของพวกเขาตรงกันข้ามกับความจริง ว่าพวกเขาเป็นฝ่ายเนื้อหนัง และนี่ทำให้เจ้าดูหมิ่นพวกเขา รู้สึกอยากผลักไสและรังเกียจพวกเขา หากเจ้าได้มาเห็นสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็จะสามารถปฏิบัติต่อพ่อแม่ของเจ้าได้อย่างถูกต้องในหัวใจ และเจ้าจะไม่คิดถึงพวกเขา กังวลเรื่องพวกเขา หรือไม่อาจใช้ชีวิตแยกจากพวกเขาได้อีกต่อไป พวกเขาทำภารกิจในฐานะพ่อแม่ของพวกเขาเสร็จสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นเจ้าจะไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะของผู้คนที่ใกล้ชิดเจ้าที่สุด หรือปลาบปลื้มหลงใหลพวกเขาอีกต่อไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าจะปฏิบัติต่อพวกเขาประหนึ่งผู้คนปรกติทั่วไป และเมื่อนั้นเจ้าจะหนีพ้นจากพันธนาการของความรู้สึกได้โดยสมบูรณ์ เจ้าจะออกจากความรู้สึกและความรักใคร่ผูกพันต่อครอบครัวได้อย่างแท้จริง” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเราเท่านั้นที่สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง) “ผู้คนมากมายทนทุกข์ทางอารมณ์โดยไม่จำเป็น อันที่จริงทั้งหมดนี้เป็นความทุกข์ที่ไม่จำเป็นและไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนั้น? ผู้คนถูกบีบคั้นโดยความรู้สึกของตนอยู่เสมอ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้าได้ นอกจากนี้ การถูกบีบคั้นโดยความรู้สึกไม่เป็นประโยชน์ต่อการทำหน้าที่หรือการติดตามพระเจ้าของคนเราเลย และยิ่งไปกว่านั้นก็ยังเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงต่อการเข้าสู่ชีวิตด้วย ดังนั้น การทนทุกข์จากการถูกบีบคั้นทางความรู้สึกจึงไม่มีความหมาย และพระเจ้าก็ไม่ทรงจดจำการนี้ แล้วเจ้าจะปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากความทุกข์อันไร้ความหมายนี้ได้อย่างไร? เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจความจริง รวมถึงมองเห็นและเข้าใจแก่นแท้ของสัมพันธภาพทางเนื้อหนังเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เช่นนั้นแล้วย่อมเป็นเรื่องง่ายที่เจ้าจะเป็นอิสระจากการถูกความรู้สึกทางเนื้อหนังบีบคั้น… ซาตานต้องการใช้ความรักใคร่เอ็นดูเพื่อจำกัดควบคุมและผูกมัดผู้คนเอาไว้ หากผู้คนไม่เข้าใจความจริง ย่อมเป็นเรื่องง่ายที่พวกเขาจะถูกหลอกลวง บ่อยครั้งทีเดียวที่พวกเขาไม่มีความสุข พวกเขาร่ำไห้ สู้ทนความยากลำบาก และยอมเสียสละเพราะเห็นแก่พ่อแม่และคนที่ตนรัก นี่คือความไม่รู้ความอันโง่เขลาของพวกเขา พวกเขายอมรับความผิดหวังอย่างกล้าหาญ และพวกเขายอมรับผลแห่งการกระทำ การทนทุกข์ต่อสิ่งเหล่านี้ไม่มีคุณค่า—เป็นความพยายามอันเปล่าประโยชน์ที่พระเจ้าจะไม่ทรงจดจำไว้เลย—และคนเราอาจกล่าวได้ว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในนรก เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงโดยแท้จริงและมองเห็นแก่นแท้ของพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง เจ้าย่อมจะเป็นอิสระ เจ้าจะรู้สึกว่าความทุกข์ของเจ้าก่อนหน้านี้คือความไม่รู้และความโง่เขลา เจ้าจะไม่ติเตียนผู้ใดเลย ทว่าเจ้าจะติเตียนความมืดบอด ความโง่เขลาของตัวเอง และข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าไม่เข้าใจความจริงหรือไม่ได้มองเห็นเรื่องต่างๆ อย่างชัดเจน” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเราเท่านั้นที่สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง) การอ่านพระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันซาบซึ้งใจจริงๆ พระเจ้าทรงเข้าใจพวกเราอย่างดี ทั้งหมดที่ฉันหลั่งน้ำตาและทุกข์ใจโดยไม่จำเป็นก็เป็นเพราะฉันมีอารมณ์อ่อนไหวมากเกินไปและไม่ได้เห็นสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจน เมื่อก่อนฉันไม่เข้าใจความจริงหรือมีวิจารณญาณเรื่องพ่อแม่ และแค่คิดว่าพวกท่านเป็นคนที่ยอดเยี่ยมและน่าเลื่อมใสโดยแท้ คิดว่าพวกท่านเป็นต้นแบบของฉัน และฉันควรพยายามที่จะเป็นเหมือนพวกท่าน ฉันถึงกับคิดว่าพวกท่านเป็นคนที่เข้าใจความจริงและใกล้การรับการช่วยให้รอด แต่เมื่อฉันมองพวกท่านตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง ในที่สุดฉันก็ตระหนักว่าทัศนะของตัวเองผิดอย่างเหลือเชื่อแค่ไหน และสุดท้ายฉันก็เกิดวิจารณญาณบางอย่างว่าจริงๆ แล้วพ่อกับแม่เป็นบุคคลประเภทใด ฉันได้เห็นหลายสิ่งในตัวพวกท่านที่ไม่เพียงแต่ฉันไม่เลื่อมใส ทว่าฉันยังดูหมิ่นด้วย ฉันเลิกเคารพและนับถือพวกท่าน ทั้งยังเลิกทนทุกข์และร้องไห้เพื่อพวกท่าน ฉันได้มาเห็นพวกท่านอย่างเป็นกลางและถูกต้องแล้ว
ผ่านการเปิดโปงของสถานการณ์นี้ ในที่สุดฉันก็เห็นว่าฉันมีอารมณ์อ่อนไหวมากเกินไป เมื่อใช้ชีวิตอยู่ในความรักใคร่ทางเนื้อหนัง ฉันก็คิดเพียงว่าพ่อกับแม่จะเจ็บปวดหรือทนทุกข์แค่ไหน และฉันไม่สามารถยอมรับวิธีที่คริสตจักรจัดการพวกท่านได้ ฉันเต็มไปด้วยความแข็งขืนและถึงกับพร่ำบ่นว่าพระเจ้าทรงไม่ชอบธรรม ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงชิงชังความผูกพันทางอารมณ์ระหว่างมนุษย์ นี่เป็นเพราะเมื่อผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในอารมณ์เหล่านี้ พวกเขาก็สับสนระหว่างถูกกับผิด ดีกับชั่ว อีกทั้งกลายเป็นห่างเหินและเป็นกบฏต่อพระเจ้า เมื่อก่อนนี้ฉันไม่รู้จักตัวเอง เวลาที่เห็นพี่น้องชายหญิงร้องไห้อยู่หลายวันเพราะญาติพี่น้องของพวกเขาถูกปลด ถูกชำระ หรือถูกขับไล่ ฉันก็ดูถูกพวกเขา ฉันคิดว่าหากเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นกับฉัน ฉันก็จะไม่อ่อนแอมากนัก แต่เมื่อฉันเผชิญกับเรื่องนั้นเข้าจริงๆ ฉันก็อ่อนแอมากกว่าใคร และฉันแตกสลายลงเป็นเสี่ยงๆ ไม่ใช่แค่ร้องไห้ไม่กี่ครั้ง แต่ฉันกลับใช้ชีวิตอยู่ในการคิดลบและสิ่งนั้นก็ส่งผลกระทบต่อหน้าที่ของฉัน ฉันเป็นคนที่โง่เขลาและไร้เดียงสาโดยแท้จริง ทั้งยังเป็นคนที่ค่อนข้างไร้เหตุผลด้วย ผ่านประสบการณ์นี้ ในที่สุดฉันก็ได้รับความเข้าใจบางอย่างต่อบรรดาพี่น้องชายหญิงที่พยายามหนีจากอารมณ์ของตนเอง และฉันก็เกิดความละอายขึ้นบ้างต่อความไม่รู้ความและการโอ้อวดในอดีตของตัวเอง ฉันยังได้เรียนรู้ด้วยว่าในทุกเรื่องที่เกิดขึ้นย่อมมีความจริงให้แสวงหา มีโอกาสให้พัฒนาวิจารณญาณและเรียนรู้บทเรียนเสมอ และเราจำเป็นต้องปฏิบัติต่อผู้คนรอบตัว แม้กระทั่งพ่อแม่ของตัวเอง ตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง เช่นนั้นเราจึงจะไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาตามอารมณ์และความคิดฝันของตัวเองหรือทำสิ่งทั้งหลายที่ต่อต้านพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า!