25. การเผยแผ่ข่าวประเสริฐในช่วงเกิดโรคระบาด

วันหนึ่งของเดือนพฤษภาคมปี 2023 พี่น้องหญิงจ้าวเฟยเชิญฉันไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าให้กับผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ากับเธอ คนหนึ่งชื่อของผู้เชื่อคือหลี่ห่าว ก่อนหน้านี้เธอเคยเป็นผู้นำการชุมนุมของเยาวชนในคริสตจักร แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีผู้เข้าคริสตจักรน้อยลง และคนหนุ่มสาวถูกดึงดูดด้วยเสน่ห์ของวัตถุและเงินทอง โดยทำตามกระแสของโลก มีเพียงคนสูงวัยเท่านั้นที่ยังคงหลงเหลือเป็นผู้เชื่อในคริสตจักร ความเชื่อของหลี่ห่าวเริ่มเสื่อมถอย เธอหยุดเข้าร่วมการชุมนุมและเพียงแค่อ่านพระคัมภีร์ที่บ้าน เธอรู้ว่าการเกิดภัยพิบัติบ่อยครั้งขึ้น เป็นสัญญาณชัดเจนว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาในไม่ช้า และเธอรอคอยการเสด็จกลับมาของพระองค์อยู่เสมอ เมื่อตระหนักว่าหลี่ห่าวเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงและปรารถนาการเสด็จกลับมาของพระเจ้า ฉันก็ยิ่งกระตือรือร้นที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้เธอมากขึ้น  

เมื่อได้พบกัน เราได้พูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ในความเชื่อและความหวังในการเชื่อของเรา เรายังได้พูดคุยเกี่ยวกับปรากฏการณ์ชั่วร้ายและมืดมนต่างๆ ในโลกปัจจุบัน ความเสื่อมทรามและความเสื่อมโทรมของมนุษยชาติ จะเกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์หากไม่มีการช่วยให้รอดจากพระเจ้า ฯลฯ หลี่ห่าวเห็นด้วยโดยกล่าวว่า “ทุกวันนี้ผู้คนเสื่อมทรามเกินไปจริงๆ และจะทำทุกอย่างเพื่อผลกำไรและผลประโยชน์ หากพระเจ้าไม่เสด็จมาช่วยมนุษย์ให้รอด พวกเขาจะถูกทำลาย” หลังจากนั้น ฉันได้เป็นพยานให้เธอเห็นถึงพระราชกิจสามระยะของพระเจ้า ฉันพูดถึงว่าในยุคหลังของยุคธรรมบัญญัติ ผู้คนทำบาปมากขึ้นและบ่อยขึ้น ไม่มีเครื่องบูชาลบล้างบาปที่จะถวายอย่างเพียงพอ และทุกคนตกอยู่ในอันตรายของการถูกตัดสินและสาปแช่งโดยธรรมบัญญัติ จากนั้นพระเจ้าก็ประสูติเป็นมนุษย์เพื่อทำการไถ่บาปในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขนเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปเพื่อมวลมนุษย์ ไถ่มนุษย์จากเงื้อมมือของซาตาน และรับรองความอยู่รอดของพวกเขา เรายังได้พูดคุยกันถึงเรื่อง ที่แม้ว่าผู้คนจะได้รับการอภัยบาปในฐานะผู้เชื่อ และได้รับพรและพระคุณมากมาย แต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า พวกเขายังไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของบาปได้ และทุกคนต่างก็ดำเนินชีวิตในวัฏจักรแห่งการทำบาปและการสารภาพบาปอย่างต่อเนื่อง ไม่สามารถปฏิบัติตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ พวกเขาไม่สามารถอดทนและอดกลั้นต่อผู้อื่นได้ พวกเขาโกหก หลอกลวง เห็นแก่ตัว เลวร้าย และโลภ พวกเขาไม่สามารถทิ้งความเสื่อมทรามนี้ได้ พี่น้องชายหญิงต่างอิจฉาริษยาและแข่งขันกัน แบ่งพรรคแบ่งพวก และเมื่อเป็นเรื่องของผลประโยชน์ส่วนตัว พวกเขากลับตัดสินกันลับหลังและโจมตีกันเอง พระเจ้าตรัสว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์(เลวีนิติ 11:45)  “คนที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้หรือไม่?” ฉันถาม หลี่ห่าวกล่าวว่า “คนไม่บริสุทธิ์ไม่สามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้แต่เราจะบริสุทธิ์ได้อย่างไร?” ฉันตอบกลับไปว่า “เราไม่สามารถชำระล้างตัวเราเองได้ เราต้องได้รับความช่วยให้รอดจากพระเจ้า หากพระเจ้าไม่เสด็จมาช่วยเราให้รอด เราก็จะไม่สามารถหลุดพ้นจากบาปด้วยตัวเราเองได้ โดยการเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า บาปของเราก็ได้รับการอภัย แต่ธรรมชาติบาปของเรายังคงฝังรากลึกอยู่ในตัวเรา หากเราไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เราก็จะยังคงทำบาปต่อไป เช่นเดียวกับหญ้าที่เติบโตขึ้นใหม่หลังจากถูกตัด นี่แสดงให้เห็นว่าเรายังคงอยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน และไม่ได้รับไว้โดยพระเจ้าอย่างแท้จริง เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากบาป ดึงพวกเขาออกจากเงื้อมอิทธิพลมืดของซาตาน และให้พวกเขาได้รับการช่วยให้รอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ องค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จกลับมาในยุคสุดท้ายเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์ผ่านพระวจนะ บนพื้นฐานของพระราชกิจแห่งการไถ่ พระองค์ทรงแสดงความจริงเพื่อเปิดโปงและพิพากษารากเหง้าของบาปของมนุษย์—อุปนิสัยและแก่นแท้ที่เสื่อมทรามของมนุษย์ โดยการพิพากษาด้วยพระวจนะของพระองค์เท่านั้น เราถึงตระหนักว่าเราถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำเหลือเกินโดยซาตานและขาดลักษณะของมนุษย์ และหลังจากนั้นเราเริ่มเกลียดชังและขัดขืนตนเอง และเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง แสวงหาที่จะใช้ชีวิตตามลักษณะของมนุษย์ที่แท้จริง และได้รับการช่วยให้รอด นี่ลุล่วงพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ว่า ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล(ยอห์น 16:12-13)”  จากนั้น หลี่ห่าวจึงกล่าวว่า “ฉันเข้าใจ เราไม่ได้ทิ้งบาปเพียงเพราะเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า และยังไม่คู่ควรที่จะเข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ เรายังต้องยอมรับการพิพากษาและการช่วยให้รอดของพระเจ้าเพื่อจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์” ฉันบอกเธอว่า “ใช่ เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจสามระยะ ในยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคราชอาณาจักร เช่นเดียวกับการทำฟาร์ม ซึ่งเราต้องไถพรวน ปลูก และเก็บเกี่ยว งานจะเสร็จสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อผ่านสามระยะเท่านั้น และไม่สามารถละเลยระยะใดระยะหนึ่งได้ การได้รับเพียงการไถ่บาปจากองค์พระเยซูเจ้านั้นไม่เพียงพอ เพียงการยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายเท่านั้นที่จะทำให้อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ทำให้เรามีชีวิตรอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้” เรายังได้เป็นพยานให้เธอว่าพระราชกิจสามระยะนั้นสำเร็จโดยพระเจ้าองค์เดียวกัน โดยแต่ละระยะจะต่อยอดและทำให้งานระยะก่อนหน้านั้นมีความลึกซึ้งยิ่งขึ้น และล้วนมีเป้าหมายเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดและนำเขาเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า หลี่ห่าวเข้าใจเรื่องนี้ทั้งหมดและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “องค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาเพื่อช่วยเราให้รอดแล้วเหรอ? เป็นข่าวดีจริงๆ!”

คืนหนึ่งไม่กี่วันต่อมา เราไปเยี่ยมหลี่ห่าวที่บ้านของเธออีกครั้ง แต่ทันทีที่เราเข้าไป เธอดูตื่นตระหนกและบอกเราว่า “พวกคุณต้องออกไปทันที ฉันต้อนรับพวกคุณที่นี่ไม่ได้!” ฉันสับสนจึงถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น เธอตอบอย่างวิตกกังวลว่า “ฉันติดโควิด ฉันกินอาหารไม่ได้เลย ท้องเสียและรู้สึกอ่อนแรง ฉันรู้สึกว่าอยู่ได้ไม่นาน พวกคุณต้องไปเดี๋ยวนี้ ฉันไม่อยากแพร่เชื้อให้พวกคุณ” เมื่อเห็นว่าเธอผอมและอ่อนแอลงขนาดไหน ฉันอยากอยู่กับเธอและสามัคคีธรรมกับเธอถึงวิธีมีประสบการณ์กับสถานการณ์นี้ แต่ฉันก็กังวล ว่าถ้าฉันอยู่ต่อ ฉันอาจติดเชื้อได้ หลายคนเสียชีวิตจากโควิดในช่วงหลัง และฉันเกรงว่าฉันอาจติดเชื้อได้หากสัมผัสใกล้ชิดกับเธอ ฉันควรอยู่ต่อหรือไป? ฉันตัดสินใจไม่ได้ ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าในใจและนึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่งของพระองค์ “พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา และหลังจากที่ได้ทรงสร้างแล้ว พระองค์ก็ทรงมีอำนาจครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่ง  นอกเหนือจากการมีอำนาจครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่งแล้ว พระเจ้ายังทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง  แนวคิดที่ว่า ‘พระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง’ นี้หมายความว่าอย่างไร?  จะสามารถอธิบายแนวคิดนี้ได้อย่างไร?  แนวคิดนี้ใช้ได้อย่างไรกับชีวิตจริง?  การเข้าใจข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างนั้นจะสามารถนำไปสู่การเข้าใจสิทธิอำนาจของพระองค์ได้อย่างไร?  จากวลีที่ว่า ‘พระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง’ นี้นี่เองที่พวกเราควรมองเห็นว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงควบคุมนั้นหาใช่ส่วนหนึ่งของหมู่ดาวเคราะห์หรือส่วนหนึ่งของสิ่งทรงสร้างไม่ และยิ่งไม่ใช่ส่วนหนึ่งของมวลมนุษย์ แต่เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง กล่าวคือ จากสิ่งที่มีขนาดใหญ่โตไปจนถึงสิ่งที่เล็กจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า จากสิ่งที่มองเห็นได้ไปจนถึงสิ่งที่มองไม่เห็น จากหมู่ดาวแห่งห้วงจักรวาลไปจนถึงสิ่งต่างๆ ที่มีชีวิตบนแผ่นดินโลก ตลอดจนเหล่าจุลชีพที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่ดำรงอยู่ในรูปแบบอื่นๆ  นี่คือนิยามอันเที่ยงตรงของ ‘ทุกสิ่งทุกอย่าง’ ที่พระเจ้าทรง ‘ควบคุม’ เป็นวงเขตแห่งสิทธิอำนาจของพระองค์ ขอบข่ายแห่งอธิปไตยและกฎเกณฑ์ของพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3)  พระเจ้ามีอำนาจเหนือทุกสิ่ง รวมถึงโรคระบาดและไวรัสต่างๆ ด้วยเนื่องจากหลี่ห่าวเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงและมีความเข้าใจทีบริสุทธิ์และไร้เดียงสา ฉันจึงต้องเป็นพยานต่อพระวจนะของพระเจ้าให้เธอขณะที่เธอรับมือกับโควิด พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง เป็นหนทาง และเป็นชีวิต มีแต่พระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เราจะได้รับการเกื้อหนุนที่เหมาะสม หากไม่มีพระวจนะของพระองค์ เธอคงไม่รู้วิธีรับประสบการณ์ และคงรู้สึกหลงทางอยู่ในความวิบัติ ส่วนฉันจะติดเชื้อหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพระเจ้า แม้ว่าจะติดเชื้อ หากพระเจ้าทรงไม่อนุญาตฉันก็จะไม่ตาย ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และต่อให้ฉันจะต้องติดโควิดเพื่อให้พี่น้องหญิงยอมรับหนทางที่แท้จริง ฉันก็จะนบนอบ ฉันพูดกับหลี่ห่าวว่า “อย่ากังวลไปเลย พระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเราตอนนี้คือการพึ่งพาพระเจ้าและอ่านพระวจนะของพระองค์ ไม่มีใครช่วยเราให้รอดได้นอกจากพระเจ้า” ฉันได้สามัคคีธรรมกับเธอเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้า และว่าแม้แต่โรคระบาดและจุลินทรีย์ก็ล้วนอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้า และซาตานไม่สามารถทำร้ายชีวิตของเราได้โดยปราศจากการได้รับอนุญาตจากพระเจ้า พระเจ้าตรัสว่า “หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า ก็เป็นการยากที่ซาตานจะแตะต้องแม้น้ำสักหยดหรือทรายสักเม็ดบนแผ่นดินได้  หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า ซาตานก็ไม่มีอิสระที่จะเคลื่อนย้ายฝูงมดไปมาบนแผ่นดินด้วยซ้ำ ไม่พักต้องพูดถึงมวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1)  หลังจากได้ฟังสามัคคีธรรมของฉันแล้ว เธอได้เชิญเราเข้าไปข้างใน  

พวกเราดำเนินการสามัคคีธรรมกับเธอต่อไปโดยพูดว่า “องค์พระเยซูเจ้าได้เผยพระวจนะไว้ในพระคัมภีร์ว่าจะมีภัยพิบัติครั้งใหญ่เมื่อพระองค์เสด็จมา หนังสือวิวรณ์ยังเผยพระวจนะไว้ด้วยว่าจะมีภัยพิบัติครั้งใหญ่เมื่อโลกถึงกาลอวสาน เมื่อภัยพิบัติทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร” หลี่ห่าวตอบกลับ พูดว่า “วันสิ้นโลกกำลังมาถึง และพระเจ้าจะทรงทำลายล้างมนุษยชาติ” ฉันจึงพูดว่า “จุดประสงค์เดียวของภัยพิบัติคือการทำลายล้างมวลมนุษย์หรือเปล่า? มาดูกันว่าพระวจนะของพระเจ้าเอ่ยเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร พระเจ้าตรัสว่า ‘พระเจ้าทรงใช้เหตุการณ์ปัจจุบันทั่วทั้งโลกมาเป็นโอกาสทำให้มนุษย์รู้สึกตื่นตระหนก ซึ่งกระตุ้นให้พวกเขาแสวงหาพระเจ้าเพื่อที่พวกเขาอาจหลั่งไหลกลับมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์  ดังนั้น พระเจ้าจึงตรัสว่า “นี่เป็นหนึ่งในวิธีทำงานของเรา และเป็นการกระทำเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดอย่างไม่ต้องสงสัย และสิ่งที่เราหยิบยื่นให้พวกเขายังคงเป็นความรักอย่างหนึ่ง”(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 10)  จากนี้เราจะเห็นว่าพระเจ้าทรงใช้ภัยพิบัติเพื่อทำให้ผู้คนแสวงหาหนทางที่แท้จริง และแสดงให้พวกเขาเห็นว่าพระองค์ได้เสด็จมาแล้ว เพื่อที่พวกเขาจะได้ตื่นรู้และต้อนรับพระเจ้าโดยไม่รีรอ สำหรับคนทำชั่ว ภัยพิบัติคือการลงโทษและการทำลายล้างให้สิ้น แต่สำหรับผู้เชื่อที่แท้จริงที่ตั้งใจแสวงหา ภัยพิบัติเหล่านั้นคือคำเตือนและความรอด” หลี่ห่าว ตอบกลับมาว่า “ฉันเข้าใจ ผู้คนจะแสวงหาพระเจ้าก็ต่อเมื่อเผชิญกับความยากลำบากเท่านั้น เจตนารมณ์อันดีของพระเจ้าสะท้อนอยู่ในทั้งหมดนี้!” ฉันพูดว่า “ใช่ แต่เมื่อหลายคนในโลกแห่งศาสนาได้ยินเรื่องการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาไม่ได้มุ่งแสวงหา โดยคิดว่าต่อให้ภัยพิบัติครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงคุ้มครองพวกเขาและพวกเขาจะรอดชีวิต พวกเขาคิดว่าทันทีที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา พวกเขาจะถูกรับขึ้นไปสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์โดยตรง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มต้นจากพระนิเวศของพระเจ้า คนเราจะสามารถต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้จริงๆ หรือถ้าเพียงแค่รออยู่ในคริสตจักร? นี่ก็เหมือนกับตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมา หลายคนก็อยู่แต่ในวิหาร นมัสการพระยาห์เวห์ และไม่ไปฟังคำเทศนาขององค์พระเยซูเจ้า แล้วพวกเขาจะบรรลุหนทางแห่งการกลับใจใหม่และพระคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร? ในตอนนั้น องค์พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงงานในวิหาร พระองค์เทศนาแก่ผู้ติดตามบนยอดเขาและในถิ่นทุรกันดาร นอกจากเปโตร ยอห์น และคนอื่นๆ อีกไม่กี่คนที่ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าในตอนนั้นแล้ว คนส่วนใหญ่ในวิหาร ก็ติดตามมหาปุโรหิตและฟาริสีในการต่อต้านและการกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า พวกเขาล้วนถูกพระเจ้าทรงทอดทิ้งและกำจัดออกไป และท้ายที่สุดก็เผชิญกับการลงโทษและคำสาปแช่งของพระองค์ สิ่งเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ ขณะที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงพระราชกิจพิพากษาในยุคสุดท้าย มีคนจำนวนมากในโลกศาสนาที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์แต่ไม่แสวงหาหรือต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า บางคนถึงกับพยายามต่อต้านและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าหรือยอมรับความจริง แต่พวกเขายังคงต้องการไปสวรรค์ พวกเขาคงจะฝันไป ภัยพิบัติกำลังกลายเป็นหายนะมากขึ้นเรื่อย ๆ และถ้าเราไม่กลับใจให้ทันเวลา เราก็จะถูกทำลายในภัยพิบัติเช่นเดียวกับผู้ไม่มีความเชื่อ ประตูแห่งพระคุณกำลังจะปิดลงในเร็วๆ นี้ แต่พระเจ้ายังคงประทานโอกาสให้เรากลับใจ ทุกคนที่ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าและยอมมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และได้รับการชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนให้บริสุทธิ์ จะได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้าในช่วงภัยพิบัติ” จากนั้น เราได้ชมวิดีโอคำพยานข่าวประเสริฐสองสามรายการ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพี่น้องชายหญิงแสวงหาและฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า และต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า แม้ว่าจะอ่อนแอและป่วยมาก หลี่ห่าวก็ยังจ้องหน้าจอและตั้งใจที่จะสืบค้นต่อไป หลังจากได้ร่วมสามัคคีธรรมกับเธอในวันนั้น ฉันรู้สึกว่าไม่ว่าต้องจ่ายราคาอะไรเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่เธอนั้นคุ้มค่า  

ไม่กี่วันต่อมา เมื่อถึงเวลาที่ต้องไปร่วมสามัคคีธรรมกับหลี่ห่าวอีกครั้ง จ้าวเฟย บอกฉันว่า หลี่ห่าว และสามีของเธอป่วยหนักทั้งคู่และต้องให้น้ำเกลือ และสามีของหลี่ห่าวรู้ว่าเรากำลังเผยแผ่พระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และห้ามไม่ให้เธอรับเชื่อ เขายังออกไปข้างนอกและบอกเพื่อนบ้านหลายคน ว่าเราแพร่โควิดให้พวกเขา ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ฉันก็คิดว่า “เขาพูดแบบนี้ได้ยังไง ฉันไม่ได้เป็นโควิด แล้วฉันจะแพร่เชื้อให้พวกเขาได้ยังไง? หลี่ห่าวป่วยหนักมาก แต่เธอไม่ได้แพร่เชื้อให้ฉัน และตอนนี้สามีของเธอก็พูดแบบนี้ เป็นเรื่องโกหกหน้าด้านๆ ข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง!” ฉันยังคิดว่า “ตอนนี้สามีของหลี่ห่าวบอกว่าฉันแพร่เชื้อโควิดให้พวกเขา ชาวบ้านคนอื่นจะเรียกตำรวจมาจับฉันถ้าพวกเขาเห็นฉันหรือเปล่า? ฉันเคยถูกจับไปแล้วครั้งหนึ่งเพราะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ แล้วพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะผ่อนปรนกับฉันจริงๆ มั้ย ถ้าฉันถูกจับอีกครั้ง?” เมื่อพิจารณาจากทั้งหมดนี้แล้ว ฉันก็ไม่มั่นใจที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่หลี่ห่าว และฉันบอกกับจ้าวเฟยว่าฉันจะคอยติดตามสถานการณ์และไปเมื่อทำได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น ฉันรู้สึกผิด คิดว่า “ลี่ห่าวไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากนัก อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเธอถูกหลอกให้เชื่อข่าวลือ? ในเมื่อเธอยังไม่ฟื้นตัว เธอจึงต้องการสามัคคีธรรม เกื้อหนุน และการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามากกว่าที่เคย ไม่ถูกต้องที่ฉันจะไม่ไป แต่ฉันควรทำอย่างไร?” ต่อมา ฉันเห็นบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ขณะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ คนเราย่อมจะเผชิญการเย้ยหยัน ล้อเลียน เหยียดหยาม และว่าร้าย หรือถึงกับพบว่าพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย  ตัวอย่างเช่น พี่น้องชายหญิงบางคนถูกพวกคนชั่วประณามหรือลักตัวไป และคนอื่นๆ ก็ถูกแจ้งให้ตำรวจจับและส่งตัวให้ทางรัฐบาล  บางคนอาจถูกจับและติดคุก ขณะที่คนอื่นอาจถึงกับถูกทุบตีจนถึงแก่ความตาย  ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้น  ทว่าในตอนนี้ที่พวกเรารู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แล้ว พวกเราควรเปลี่ยนท่าทีที่มีต่องานเผยแผ่ข่าวประเสริฐหรือไม่?  (ไม่)  การประกาศข่าวประเสริฐเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของทุกคน  ในเวลาใดก็ตาม ไม่ว่าพวกเราจะได้ยินสิ่งใด หรือพวกเราจะเห็นสิ่งใด หรือพวกเราจะเผชิญกับการปฏิบัติประเภทใดก็ตาม พวกเราจะต้องดำรงความรับผิดชอบในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเอาไว้เสมอ  ไม่มีรูปการณ์แวดล้อมใดที่พวกเราจะสามารถละทิ้งหน้าที่นี้เพราะความคิดแง่ลบหรือความอ่อนแอได้  หน้าที่ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น แต่เต็มไปด้วยอันตราย  เมื่อพวกเจ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พวกเจ้าจะไม่พบกับทูตสวรรค์ หรือมนุษย์ต่างดาว หรือหุ่นยนต์  พวกเจ้าจะเผชิญหน้ากับมนุษยชาติที่ชั่วร้ายและเสื่อมทราม พวกปีศาจที่มีชีวิต พวกสัตว์ร้ายเท่านั้น—ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นมนุษย์ที่อยู่รอดในพื้นที่อันชั่วร้ายนี้ โลกอันชั่วนี้ ผู้ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกและต้านทานพระเจ้า  ดังนั้น ในกระบวนการแห่งการเผยแผ่ข่าวประเสริฐย่อมมีอันตรายอยู่ทุกรูปแบบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการนินทาเล็กๆ น้อยๆ การเหยียดหยามทั้งหลาย และความเข้าใจผิดทั้งหลาย ซึ่งเกิดขึ้นทั่วไป  หากเจ้ามองว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นความรับผิดชอบ เป็นภาระผูกพัน และเป็นหน้าที่ของเจ้าอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถมองสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องและกระทั่งจัดการสิ่งเหล่านี้อย่างถูกต้องด้วย  เจ้าจะไม่ละทิ้งความรับผิดชอบของเจ้าและภาระผูกพันของเจ้า อีกทั้งเจ้าจะไม่หันเหไปจากเจตนารมณ์ดั้งเดิมของเจ้าที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าเพราะสิ่งเหล่านี้ และเจ้าจะไม่ละเลยความรับผิดชอบนี้ เพราะนี่คือหน้าที่ของเจ้า  พวกเราควรทำความเข้าใจหน้าที่นี้อย่างไร?  นี่คือคุณค่าและภาระผูกพันเบื้องต้นในชีวิตมนุษย์  การเผยแผ่ข่าวดีเกี่ยวกับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าและข่าวประเสริฐแห่งพระราชกิจของพระเจ้าคือคุณค่าของชีวิตมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การประกาศข่าวประเสริฐเป็นสิ่งที่ผู้เชื่อทุกคนต้องทำให้ลุล่วงโดยหน้าที่)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันเข้าใจว่า หนทางที่แท้จริงนั้นถูกข่มเหงมาตลอด การเผยแผ่ข่าวประเสริฐจะมีอันตรายและความยากลำบากอยู่เสมอ เมื่อสาวกขององค์พระเยซูเจ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระองค์ บางคนถูกหินขว้างจนตาย บางคนถูกเลื่อยตัด บางคนถูกม้าฉีกเป็นชิ้นๆ ในขณะที่บางคนถูกตรึงบนไม้กางเขน พวกเขาได้รับประสบการณ์ความตายอันน่าสยดสยองทุกประเภท แต่พวกเขาก็เป็นพยานให้กับพระเจ้าและทำให้ซาตานอับอาย ในยุคสุดท้าย พระเจ้าได้ประสูติเป็นมนุษย์อีกครั้งและเสด็จมาในหมู่มนุษย์เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ทรงแสดงความจริงเพื่อพิพากษาและชำระให้ผู้คนบริสุทธิ์ ซาตานไม่พอใจที่จะเห็นทุกคนติดตามพระเจ้าและได้รับการช่วยให้รอด ดังนั้นมันจึงพยายามอย่างยิ่งที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้า ไม่เพียงแต่รัฐบาลเท่านั้น แต่โลกศาสนาล้วนพยายามต่อต้านพระราชกิจของพระเจ้า และแต่งข่าวลือสารพัดเพื่อใส่ร้ายและกล่าวโทษพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ครอบครัวและเพื่อนบ้านของเรา ถูกคำพูดเยี่ยงมารของระบอบซาตานทำให้ลังเลใจจนปฏิเสธและต่อต้านพระเจ้า ล้อเลียนและใส่ร้ายเรา และบางคนถึงกับแจ้งความให้พวกเราถูกจับกุม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ดูอย่างสามีของหลี่ห่าว เขาได้ยินข่าวลือแพร่กระจายไปทั่วโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนและไม่ยอมให้เราเผยแผ่ข่าวประเสริฐกับเธอ ฉันกลัวว่าจะถูกแจ้งความและถูกจับกุม จึงไม่กล้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้เธอฟัง ฉันเห็นว่าฉันขลาดกลัวเมื่อเผชิญกับความยากลำบาก และไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันกังวลเพียงเรื่องการคุ้มครองตัวเอง ไม่รับผิดชอบต่อชีวิตของหลี่ห่าว และไม่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างจริงจัง ฉันสูญเสียบทบาทหน้าที่ของตัวเองในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างไปแล้วไม่ใช่หรือ? การเผยแผ่ข่าวประเสริฐคือภาระหน้าที่และพันธกิจของฉัน การมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นคำพยานให้พระผู้สร้างคือการไล่ตามเสาะหาที่มีความหมายที่สุด ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด ฉันก็ไม่สามารถละทิ้งหน้าที่ของตัวเองได้ ฉันต้องพึ่งพาพระเจ้าเพื่อหาทางให้หลี่ห่าวอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์นำทางฉัน และประทานสติปัญญาและปัญญาแก่ฉัน เพื่อให้ฉันทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี หลังจากอธิษฐานแล้ว ฉันก็ตระหนักว่าถึงแม้จะไปบ้านของหลี่ห่าวไม่ได้ แต่ฉันก็สามารถเขียนพระวจนะของพระเจ้าลงไปแล้วให้คนอื่นมอบให้แก่เธอแทนฉันได้  

หลังจากนั้นไม่นาน ฉันบอกว่าอยากไปเยี่ยมหลี่ห่าว แต่จ้าวเฟยบอกฉันด้วยความตื่นตระหนกว่า “ตอนนี้โควิดระบาดหนักมาก คนในครอบครัวของหลี่ห่าวเสียชีวิตติดต่อกันสี่คน และแม่ของเธอก็เสียชีวิตเช่นกัน ตอนนี้เธอไม่อยากเจอใครเลย” ฉันไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรในตอนนั้น ไม่เพียงแต่สามีของหลี่ห่าวไม่อยากให้ฉันไปบ้านของพวกเขาเท่านั้น แต่ตัวหลี่ห่าวเองก็ไม่อยากเจอฉันด้วย ฉันควรทำอย่างไรดี? นอกจากนี้ โควิดยังร้ายแรงมาก ฉันกลัวว่าชาวบ้านจะแจ้งความจับฉัน ฉันจึงเลิกคิดที่จะไป ไม่กี่วันต่อมา ฉันเจอบทความคำพยานจากประสบการณ์ที่ชื่อว่า “ช่วงเวลาที่ฉันประกาศอยู่แนวหน้า” ซึ่งส่งผลกระทบต่อฉันอย่างลึกซึ้ง ไม่นานหลังจากที่พี่น้องชายซึ่งเป็นผู้เขียนบทความยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย เขาก็เสี่ยงชีวิตเพื่อไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐในหมู่บ้านที่อยู่แนวหน้าของสงคราม แม้ว่าเขาจะทรยศต่อความอ่อนแอบางอย่างเมื่อเผชิญกับอันตราย แต่พี่น้องชายก็วางใจในพระเจ้าเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐต่อไป ผ่านประสบการณ์นั้น เขาประจักษ์การคุ้มครองของพระเจ้าและกิจการของพระองค์ ในการนำผู้คนมากมายกลับมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ฉันรู้สึกอับอายเมื่อเปรียบเทียบประสบการณ์ของฉันกับพี่น้องชายคนนี้ แม้ว่าจะเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีและกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามากมาย แต่ฉันก็ไม่สามารถทำหน้าที่ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้ ทันทีที่ได้ยินสามีของหลี่ห่าวพูดจาหยาบคายและห้ามไม่ให้ฉันไปที่บ้านของพวกเขา และเมื่อรู้ว่าหลี่ห่าวเองก็ไม่ต้องการพบฉัน ฉันก็ไม่เต็มใจที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้เธอ ฉันเห็นว่าศรัทธาของฉันอ่อนแอเกินไป  

ฉันพบอีกบทตอนหนึ่งจากพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “แล้วควรปฏิบัติต่อใครบางคนที่กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริงอย่างไร?  ตราบใดที่พวกเขาปฏิบัติตามหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้าวางไว้ว่าใครบ้างที่สามารถประกาศข่าวประเสริฐให้ฟังได้ พวกเราก็มีภาระผูกพันในการประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา และต่อให้ท่าทีในปัจจุบันของพวกเขาย่ำแย่และพวกเขาไม่ยอมรับข่าวประเสริฐ พวกเราก็ต้องใช้ความอดทน  พวกเราต้องอดทนนานเพียงใดและมากแค่ไหนกัน?  จนกว่าพวกเขาปฏิเสธเจ้าและไม่ยอมให้เจ้าเข้าไปในบ้านของพวกเขา และไม่ว่าเจ้าจะพยายามพูดคุยหารือกับพวกเขาเพียงใดก็ล้วนไม่เป็นผล รวมทั้งการโทรหา หรือการให้ผู้อื่นไปเชิญชวนพวกเขา และพวกเขาเมินเฉยใส่เจ้า  ในกรณีนี้ย่อมไม่มีหนทางที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา  นั่นคือเวลาที่เจ้าจะได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนแล้ว  นั่นคือความหมายของการทำหน้าที่ของตน  ตราบใดที่มีความหวังอยู่เล็กน้อย เจ้าก็ควรคิดหาทุกๆ หนทางที่สามารถทำได้ และทำอย่างสุดความสามารถในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและเป็นพยานให้พระราชกิจของพระองค์แก่พวกเขา  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าได้ติดต่อกับใครบางคนมานานสองถึงสามปี  เจ้าได้พยายามประกาศข่าวประเสริฐและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าแก่พวกเขาอยู่หลายครั้งแต่พวกเขาก็ไม่มีความตั้งใจที่จะยอมรับ  ทว่าพวกเขามีความเข้าใจที่ค่อนข้างดี และพวกเขาเป็นคนที่จะสามารถประกาศข่าวประเสริฐให้ได้โดยแท้จริง  เจ้าควรทำอย่างไร?  ประการแรกเจ้าต้องไม่วางมือจากพวกเขาอย่างเด็ดขาด  แต่ควรรักษาปฏิสัมพันธ์ที่ปกติกับพวกเขา รวมถึงเป็นพยานให้พระราชกิจของพระเจ้าและอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟังต่อไป  จงอย่าละทิ้งพวกเขา จงอดทนไปจนถึงปลายทาง  ถึงจุดหนึ่งพวกเขาก็จะตื่นรู้และเริ่มสืบค้นหนทางที่แท้จริง  เพราะฉะนั้น การใช้ความอดทนและเพียรพยายามไปจนถึงปลายทางนั้นสำคัญมากในการประกาศข่าวประเสริฐ  แล้วเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้?  เพราะนี่คือหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  ตั้งแต่ที่เจ้าติดต่อกับพวกเขา เจ้าก็มีภาระผูกพันและความรับผิดชอบในการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าแก่พวกเขา  ตั้งแต่ที่พวกเขาได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและข่าวประเสริฐเป็นครั้งแรกจนกระทั่งพวกเขาเปลี่ยนใจนั้นมีหลายระยะ และการนี้ต้องใช้เวลา  ในช่วงเวลานี้เจ้าต้องอดทนและรอคอยจนกว่าจะถึงวันที่พวกเขาเปลี่ยนใจ และจากนั้นเจ้าก็ควรพาพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า กลับมายังพระนิเวศของพระองค์  นี่คือภาระผูกพันของเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การประกาศข่าวประเสริฐเป็นสิ่งที่ผู้เชื่อทุกคนต้องทำให้ลุล่วงโดยหน้าที่)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เรียนรู้ว่า ตราบใดที่มีคนปฏิบัติตามหลักคำสอนในการรับข่าวประเสริฐและสามารถเข้าใจความจริงได้ ไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญกับความยากลำบากใดหรือมีท่าทีต่อเราอย่างไร เราก็ไม่ควรละทิ้งพวกเขาไปง่ายๆ เราต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้พวกเขาด้วยความรัก นี่คือเจตนารมณ์ของพระเจ้าและเป็นความรับผิดชอบของเรา หลี่ห่าวเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง สามารถเข้าใจความจริงและมีมนุษยธรรมที่ดี สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดทำให้เธอเป็นผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ เป็นเพราะสามีของเธอขัดขวาง การเสียชีวิตในครอบครัวของเธอ และข่าวลือแพร่กระจายไปทั่วโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทำให้ใจของเธออ่อนแอลง ฉันต้องทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อสามัคคีธรรมกับเธอแลเกื้อหนุนเธอ แต่ฉันไม่ต้องการเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้เธอเพราะเกรงว่าจะถูกสามีของเธอแจ้งความจับ ความรับผิดชอบของฉันอยู่ที่ไหน? ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ทีนี้ก็เป็นการง่ายมาก กล่าวคือ จงเฝ้ามองเราด้วยหัวใจของเจ้า และจิตวิญญาณของเจ้าจะเติบโตแข็งแกร่งในทันที  เจ้าจะมีเส้นทางให้ปฏิบัติ และเราจะนำทางทุกย่างก้าวของเจ้า  วจนะของเราจะถูกเปิดเผยแก่เจ้าตลอดเวลาและในทุกหนแห่ง  ไม่สำคัญว่าที่ใดหรือเมื่อใด หรือไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะส่งผลร้ายขนาดไหน เราจะทำให้เจ้ามองเห็นอย่างชัดเจน และหัวใจของเราจะถูกเปิดเผยแก่เจ้าหากเจ้ามองมาที่เราด้วยหัวใจของเจ้า  ในลักษณะนี้เจ้าจะวิ่งล่องไปข้างหน้าตามถนนสายนี้ และไม่มีวันสูญเสียหนทางของเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 13)  พระวจนะของพระเจ้าให้เส้นทางในการปฏิบัติแก่ฉัน ฉันต้องอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้าในหน้าที่ของฉัน หลี่ห่าวป่วยหนักมาก แต่ฉันก็ยังไม่ติดโควิดจากเธอ ส่วนสามีของเธอ ความคิดของเขาก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าด้วยไม่ใช่หรือ? หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต เขาก็ทำอะไรฉันไม่ได้ ฉันต้องพึ่งพาพระเจ้าในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่หลี่ห่าวและลุล่วงความรับผิดชอบของฉัน เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้ ฉันก็กลับมามีความเชื่อและความเข้มแข็งในการทำหน้าที่ของฉันอีกครั้ง  

ฉันรู้สึกประหลาดใจที่สามีของหลี่ห่าวไม่พูดอะไรเลยเมื่อเขาเห็นเรา และหลี่ห่าวก็ต้อนรับเราอย่างยินดี สิ่งนี้ทำให้ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “หัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ถูกกุมไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และทุกอย่างในชีวิตของเขาก็อยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อเรื่องทั้งหมดนี้หรือไม่ก็ตาม ทุกสิ่งและทุกอย่าง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นมาใหม่และปลาสนาการไปตามพระดำริของพระเจ้า  นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์)  พระคัมภีร์ยังกล่าวอีกว่า “พระทัยพระราชาเหมือนธารน้ำในพระหัตถ์พระยาห์เวห์ พระเจ้าจะทรงชักนำไปทางไหนก็ตามแต่จะโปรด” (สุภาษิต 21:1)  นี่ถูกต้องที่สุด! พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง และทุกสิ่ง ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือตาย ก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ เมื่อฉันเต็มใจให้ความร่วมมือ สถานการณ์ทั้งหมดก็เปลี่ยนไป ฉันมีความสุขมากและถามเธอว่า “คุณอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ฉันคัดลอกมาให้คุณแล้วหรือยัง?” เธอตอบว่า “ใช่ ฉันทำฉันคิดจริงๆ ว่าฉันจะทำไม่ได้ แต่แล้วฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้า: ‘พระวจนะของพระเจ้าคือยาแรง!’ ‘พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือแพทย์ผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งปวง!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 6)  สิ่งนี้ทำให้ฉันมีความเชื่อและความเข้มแข็ง พระวจนะของพระเจ้าช่วยฉันไว้” ในระหว่างการพบกันนั้น ฉันได้พูดถึงการต่อสู้ทางจิตวิญญาณในบริบทของข่าวลือที่แพร่กระจายไปทั่วโดยมังกรแดงตัวใหญ่และโลกแห่งศาสนา การก่อกวนและการข่มเหงของซาตานติดตามพระราชกิจของพระเจ้าไปทุกที่ เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจ ผู้คนก็แพร่กระจายข่าวลือไปทั่วเกี่ยวกับพระองค์ กล่าวโทษพระองค์ และกระทั่งตรึงพระองค์บนไม้กางเขน การข่มเหงที่เกิดขึ้นกับพระเจ้าขณะที่ทรงพระราชกิจในยุคสุดท้ายนั้นเลวร้ายยิ่งกว่า สิ่งนี้ทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าเป็นจริง “แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน(ลูกา 17:25)  เมื่อพระองค์เสด็จกลับมาในยุคสุดท้ายเพื่อทรงแสดงพระวจนะของพระองค์และทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา องค์พระผู้เป็นเจ้าต้องตกอยู่ภายใต้การข่มเหงจากโลกแห่งศาสนาและรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เป็นซาตานอยู่เสมอ แต่พระปัญญาของพระเจ้าได้รับการใช้โดยอาศัยแผนการของซาตาน และพระองค์ใช้การข่มเหงของซาตานในการรับใช้พระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงเปิดเผยผู้เชื่อเทียมเท็จจากผู้เชื่อที่แท้จริง และยังทรงเปิดเผยคนขี้ขลาดและคนที่เพียงแต่ต้องการ กินขนมปังในส่วนของตัวเอง ผู้ที่มีความเชื่อที่แท้จริงที่รักความจริงอย่างแท้จริงล้วนติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างใกล้ชิด กินและดื่มพระวจนะของพระองค์ และไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ละทิ้งหนทางที่แท้จริงไม่ว่าจะเผชิญกับความยากลำบากและการถูกข่มเหงใดๆ ก็ตาม และผ่านประสบการณ์การพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และการถลุงจากพระวจนะของพระเจ้า ในที่สุดพวกเขาก็ทิ้งนิสัยที่เสื่อมทรามของตน และได้รับการทำให้เพียบพร้อมและได้รับโดยพระเจ้า วิวรณ์บอกลักษณะของพวกเขาไว้ดังนี้ “คนเหล่านี้เป็นคนที่มาจากความทุกข์ลำบากอันใหญ่หลวง พวกเขาชำระล้างเสื้อผ้าของเขาด้วยพระโลหิตของพระเมษโปดกจนขาวสะอาด(วิวรณ์ 7:14)  ผู้เชื่อเทียมเท็จที่ขี้ขลาด เกรงกลัว จะถูกเปิดเผยและกำจัดออกไป หากไม่มีการข่มเหงและความยากลำบาก ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะแยกผู้เชื่อที่แท้จริงออกจากผู้เชื่อเทียมเท็จ หลี่ห่าวพูดว่า “พระเจ้าทรงมีปัญญาอย่างแท้จริง! ฉันไม่รู้ว่าเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ พระองค์จะแยกแต่ละคนตามประเภทของพวกเขาด้วยวิธีนี้”  

จากนั้นเราอ่านด้วยกันอีกสองสามบทตอนเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย นี่คือหนึ่งในบทตอนนั้น “ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงเปิดโปงและตัดแต่งเป็นเวลายาวนาน  วิธีการเปิดโปงและตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดนี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยคำพูดธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกกำราบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในเจตนารมณ์ของพระเจ้า ในพระประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในข้อล้ำลึกทั้งหลายที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงแก่นแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความอัปลักษณ์ของมนุษย์ ผลที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะแก่นแท้ของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่เปิดเผยความจริง ชีวิต ทางของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันให้การสามัคคีธรรมเพิ่มเติม “ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงความจริงหลายประการเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา พระองค์ได้อธิบายความลึกลับของแผนบริหารจัดการของพระเจ้า เบื้องลึกของพระราชกิจสามระยะ ความล้ำลึกของการประสูติเป็นมนุษย์ ความหมายของพระนามของพระเจ้า ฯลฯ พระองค์ยังได้ทรงอธิบายอย่างชัดเจนว่าซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้อย่างไร พระเจ้าทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้อย่างไร และมนุษย์ควรไล่ตามเสาะหาด้วยวิธีใดเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการของบาป ได้รับการช่วยให้รอด และเข้าสู่รายอาณาจักรแห่งสวรรค์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยังได้เปิดโปงรากเหง้าของความเปี่ยมบาปของมนุษย์ ลักษณะของการต่อต้านพระเจ้าในธรรมชาติของมนุษย์ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ และพิษเยี่ยงซาตานทั้งหมด หากพระเจ้าไม่เสด็จมาทรงแสดงความจริง เราคงไม่มีวันได้รู้เกี่ยวกับรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเรา เราคงไม่มีวันได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ต่อให้เราจะมีความเชื่อในโลกแห่งศาสนาตลอดชีวิตก็ตาม พระราชกิจแห่งการพิพากษาเป็นขั้นตอนสุดท้ายของพระราชกิจในแผนบริหารจัดการของพระเจ้า พระราชกิจสุดท้ายในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า ดังนั้นการยอมรับการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายจึงเป็นหนทางเดียวที่มวลมนุษย์จะบรรลุถึงการชำระให้บริสุทธิ์และการช่วยให้รอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ ผู้ที่ไม่ยอมรับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงในยุคสุดท้ายและถึงกับต่อต้านและกล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้า รวมถึงผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปีแต่ยังคงดำเนินชีวิตในบาป และผู้ที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามยังไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลง จะไม่ได้รับการช่วยให้รอด และจะถูกทำลายในภัยพิบัติครั้งใหญ่ของยุคสุดท้าย พระราชกิจบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้ากำลังจะสิ้นสุดลงและมหันตภัยทุกประเภทกำลังเกิดขึ้น ผู้ที่ไม่ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าและยอมรับการพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์ของพระองค์ในยุคสุดท้าย จะไม่มีโอกาสเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า ประตูแห่งพระคุณกำลังจะปิดลง เราโชคดีมากที่ได้ทันพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้า นี่คือพระคุณของพระเจ้า” หลี่ห่าวตอบด้วยความตื่นเต้น “ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่ทอดทิ้งฉัน และเคลื่อนไหวผ่านคุณเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐของยุคสุดท้ายให้ฉันเพื่อที่ฉันจะได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันรู้สึกได้รับพรมากที่ได้ทันพระราชกิจของพระเจ้า ฉันต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างตั้งใจจริงๆ!”

ในขณะที่แบ่งปันข่าวประเสริฐกับหลี่ห่าว ฉันได้เห็นความยิ่งใหญ่และอธิปไตยของพระเจ้า รวมถึงการคุ้มครองอันยอดเยี่ยมของพระองค์ ฉันไม่ได้ติดโควิดแม้จะได้พูดคุยกับหลี่ห่าวแบบตัวต่อตัวเป็นเวลาสองชั่วโมง สิ่งนี้แสดงให้ฉันเห็นมากขึ้นว่าทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และทำให้ฉันมีความเชื่อในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐมากขึ้น!

ก่อนหน้า: 1. การเข้าสู่ชีวิตเป็นไปได้ในเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่

ถัดไป: 28. การไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์นำมาซึ่งชีวิตที่มีความสุขไหม?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger