97. ทางเลือกเมื่อตกอยู่ในอันตราย

โดย หลี่ซินม้อว ประเทศจีน

หน้าหนาวเมื่อหลายปีก่อน ผู้นำของผมบอกผมว่า ผู้นำและคนทำงานในคริสตจักรใกล้เคียงถูกตำรวจจับกุม ในคริสตจักรมีงานที่ต้องติดตามให้จัดการ แต่ไม่เหลือใครเกื้อหนุนพี่น้องเลย บางคนขาดกลัว คิดลบและอ่อนแอ และไม่อาจร่วมชีวิตคริสตจักรได้ เธอถามผมว่าอยากดูแลงานของคริสตจักรนั้นไหม ตอนที่เธอถามผม ผมรู้สึกขัดแย้งเล็กน้อยว่า มีพี่น้องชายหญิงเพิ่งถูกจับกุมที่คริสตจักรนั้น ถ้าผมรับดูแลคริสตจักรนั้น และถูกจับจะเกิดอะไรขึ้นกับผม? เนื่องจากอายุผมก็มากแล้ว ร่างกายของผมจะทนการทรมานและทุบตีของพญานาคใหญ่สีแดงได้จริงหรือ? ถ้าผมกลายเป็นยูดาส และทรยศพระเจ้า หลายปีที่ผมเชื่อมาจะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ? แต่ผมก็คิดว่าจากสภาพทุกข์ยากในตอนนี้ งานของคริสตจักรต้องการคนก้าวเข้ามาดูแลในช่วงวิกฤต ผมจึงฝืนใจตอบตกลงไป

พอไปถึงคริสตจักร พี่น้องหวังซินจิงก็แจ้งผม ว่าผู้นำ คนทำงาน และพี่น้องชายหญิงบางคนถูกจับกุมไปแล้ว และจากทั้งคริสตจักรเธอก็ติดต่อพี่น้องชายหญิงได้ไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนใหญ่ขาดการติดต่อ จึงชุมนุมไม่ได้ พอผมได้ยิน ก็คิดในใจว่า “พญานาคใหญ่สีแดงกำลังใช้เพื่อนบ้านมาจับตาดูพวกเรา ถ้าหากตอนฉันไปเกื้อหนุนพี่น้องชายหญิงเหล่านี้ พวกเพื่อนบ้านเกิดสังเกตเห็นแล้วรายงานเรื่องฉันล่ะ? อีกอย่าง พี่น้องชายหญิงถูกจับไปเยอะมาก ถ้ามีใครทนถูกทรมานไม่ไหวแล้วปูดเรื่องพี่น้องคนอื่น ตำรวจก็จะเฝ้าจับตาดูพวกเขา ถ้าฉันไปพบพี่น้องชายหญิงเหล่านี้ ฉันจะไม่ได้กำลังเดินเข้าสู่กับดักหรอกหรือ? ถ้าฉันถูกจับ ทนการทรมานไม่ได้และกลายเป็นยูดาส ที่ฉันเป็นผู้เชื่อมาตลอดจะไม่สูญเปล่าหรือ? ฉันจะไม่ได้รับความรอดอย่างแน่นอน” ยิ่งผมคิดผมก็ยิ่งกลัว และดูเหมือนว่าการไปทำหน้าที่ที่นั่นจะอันตรายเกินไป มันรู้สึกเหมือนเดินฝ่ากับระเบิด ก้าวผิดครั้งเดียวก็จบเห่ ตอนนั้น ผมนึกเสียใจที่มาดูแลงานที่คริสตจักรนี้ และไม่มีแรงใจจะทำหน้าที่ให้ลุล่วง ผมคิดว่า “ซินจิงเป็นคนของคริสตจักรนี้ และเข้าใจสถานการณ์โดยรวมของที่นี่มากกว่า ให้เธอไปพบพี่น้องชายหญิงจะสะดวกมากกว่า ฉันเพิ่งมาถึง และยังไม่ค่อยรู้เรื่องดี ให้ซินจิงไปเยี่ยมพี่น้องชายหญิงก็ได้ แบบนั้นฉันก็ไม่ต้องเอาตัวเองไปเสี่ยง” แต่ผมก็คิดว่า “ซินจิงยังไม่เข้าใจหลักธรรมมากมาย และขาดประสบการณ์ เมื่อพิจารณาแล้ว เธอจะสามารถติดตามงานได้จริงหรือ? เธอจะแก้ไขปัญหาของพี่น้องชายหญิงได้ไหม? แต่ถ้าฉันไปด้วยตัวเอง จะไม่เป็นการหาเหาใส่หัวหรอกหรือ?” หลังจากใคร่ครวญดู ผมก็ตัดสินใจให้ซินจิงไปปฏิบัติงานนั้น แต่ผ่านไปสองสามวัน งานของเธอก็ไม่คืบหน้า พอผมเห็นแบบนี้ ผมก็รู้ว่าผมควรไปเกื้อหนุนพี่น้องชายหญิง ไม่อย่างนั้น ปัญหาของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการแก้ไข การเข้าสู่ชีวิตก็จะเสียหาย แต่จากการที่สภาพการณ์อันตรายมาก เมื่อไหร่ที่ผมติดต่อกับพี่น้องชายหญิง ผมก็เสี่ยงที่จะถูกจับกุม ผมจึงไม่กล้าทำงานนั้นด้วยตัวเอง ส่งผลให้ผ่านไปหนึ่งเดือนเต็มๆ แต่งานของคริสตจักรก็ไม่คืบหน้ามากนัก ซินจิงอยู่ในสภาวะคิดลบ ผมก็รู้อยู่ แต่ช่วงหลายวันนั้นผมตกอยู่ในความขลาดกลัว ผมจึงไม่กล้าทำงานร่วมกันกับเธอ

วันหนึ่ง ผมรู้สึกเจ็บเข่าซ้ายขึ้นมา ภายในไม่กี่วัน เข่าก็บวมเป่ง เป็นสีเขียวช้ำ มันเจ็บมากจนผมเดินแทบไม่ได้ ตอนนั้น ผมตระหนักว่านนี่อาจจะเป็นการที่พระเจ้าทรงบ่มวินัยผม ผมจึงอธิษฐานถึงพระองค์ ขอทรงดลให้ผมทราบพระเจตนารมย์ หลังอธิษฐาน ผมก็เห็นพระวจนะบทตอนนี้ “ความเศร้าของพระองค์เกิดขึ้นเพราะมวลมนุษย์ซึ่งพระองค์ทรงตั้งความหวังไว้ กลับร่วงหล่นลงสู่ความมืด เพราะพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำกับมนุษย์นั้นไม่เป็นไปตามความคาดหวังของพระองค์ และเพราะมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงรักไม่สามารถใช้ชีวิตในความสว่างได้ทั้งหมด  พระองค์ทรงรู้สึกเศร้ากับมวลมนุษย์ที่ไม่ประสา มนุษย์ที่ซื่อสัตย์ แต่ไม่รู้เท่าทัน และมนุษย์ที่ดีงาม แต่ขาดพร่องในทรรศนะของเขาเอง  ความเศร้าของพระองค์คือสัญลักษณ์แห่งความดีงามของพระองค์และความกรุณาของพระองค์ สัญลักษณ์แห่งความงดงามและความใจดีมีเมตตา(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสำคัญมาก)  พระวจนะกระทบใจผมอย่างแรง โดยเฉพาะตรงที่ว่า “ความเศร้าของพระองค์เกิดขึ้นเพราะมวลมนุษย์ซึ่งพระองค์ทรงตั้งความหวังไว้ กลับร่วงหล่นลงสู่ความมืด” ผมค่อนข้างรู้สึกผิด เนื่องจากการจับกุมของพญานาคใหญ่สีแดง พี่น้องชายหญิงจึงใช้ชีวิตคริสตจักรตามปกติไม่ได้ พวกเขาจึงหดหู่ มืดมน และชีวิตก็เสียหาย พระเจ้าทรงเศร้าและกังวล และทรงหวังอย่างเร่งด่วนว่าจะมีใครใส่ใจน้ำพระทัย และรีบมาช่วยพี่น้องชายหญิงให้ใช้ชีวิตคริสตจักรตามปกติได้ แต่สำหรับผม ผมโยนงานไปให้ซินจิง เพื่อดำรงไว้ซึ่งความปลอดภัยของตัวผมเอง และหลบในกระดองเพื่อยืดชีวิตอันชั่วช้าของผมออกไป ผมตระหนักดีว่าพี่น้องชายหญิงใช้ชีวิตคริสตจักรตามปกติไม่ได้ และชีวิตของพวกเขาก็เสียหาย แต่ผมไม่เข้าแก้ไขปัญหา สภาวะความเป็นมนุษย์ของผมอยู่ที่ไหน? ผมช่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจนัก! ผมคิดถึงตอนปกติ เมื่อไม่อยู่ในสถานการณ์อันตราย ผมเชื่อว่าตัวเองรักพระเจ้าและสามารถพลีอุทิศและสละตัวเองได้ ผมสามัคคีธรรมกับคนอื่นถึงความจำเป็นที่ต้องรักและสนองพระเจ้าด้วยซ้ำ แต่พอเจอกับสถานการณ์นี้ ผมกลับคิดถึงแต่ความปลอดภัยของตัวเอง ผมไม่คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าเลย หรือชีวิตของพี่น้องชายหญิงจะได้รับความเสียหายหรือไม่ ผมเห็นว่าผมเพียงแค่พูดถึงความรู้ตามหลักคำสอนมาตลอด ผมหลอกลวงพระเจ้าและผู้คนอยู่ นี่เจ็บปวดและน่าชิงชังต่อพระเจ้า พอตระหนักเช่นนี้ ผมสำนึกผิด และอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองตลอด และไม่คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระองค์ ข้าพระองค์ขาดมโนธรรมและเหตุผลจริงๆ พระเจ้า ข้าพระองค์พร้อมใส่ใจน้ำพระทัย และเกื้อหนุนพี่น้องชายหญิงให้ดีที่สุด”

หลังจากนั้น ผมก็เริ่มช่วยเหลือสนับสนุนพี่น้องชายหญิง และแก้ไขปัญหาของพวกเขา วันหนึ่ง ผมได้ยินพี่น้องหญิงพูดว่า “เมื่อสองปีก่อน พี่น้องชายหญิงจากคริสตจักรนี้มากกว่าสืบคนถูกจับกุม ถึงตอนนี้ บางคนก็ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว ตำรวจถึงกับขู่ว่าจะรื้อถอนคริสตจักรของเราให้ราบคาบ” พอได้ยินผมก็โกรธมาก ปีศาจพวกนี้โอหังและบ้าอำนาจนัก! แต่ผมก็เกิดกลัวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวด้วยว่า ผ่านไปแค่สองปี พวกนั้นก็มาจับกุมสมาชิกอีกมากมาย และขู่ว่าจะรื้อถอนคริสตจักรให้ราบคาบ ถ้าตำรวจรู้เข้าว่าผมเป็นผู้นำคริสตจักร ผมจะไม่กลายเป็นเป้าหมายหลักของพวกมันหรือ? เมื่อคิดว่าพี่น้องชายหญิงถูกทรมานอย่างไรหลังจากถูกจับกุม ทำให้ผมสั่นเทาด้วยความกลัว ถ้าผมถูกจับเข้าจริงๆ ผมจะสามารถทนการทรมานได้ไหม? ถ้าผมถูกซ้อมจนตายหรือกลายเป็นยูดาส แบบนั้นจะไม่เป็นจุดจบของผมหรอกหรือ? พอผมได้ยินว่ามีพี่น้องชายหญิงถูกจับกุมมากขึ้นอีก ก็ดูเหมือนว่าการทำหน้าที่ของผมในสภาพการณ์เช่นนี้จะอันตรายเกินไป ผมคิดว่าอาจจะถูกตำรวจจับได้ทุกเมื่อ และรู้สึกขลาดกลัวอย่างเหลือล้น วันหนึ่ง ผมเห็นพระวจนะบทตอนนี้ “ไม่ว่าซาตานจะ ‘ทรงพลัง’ เพียงใด ไม่ว่ามันจะฮึกเหิมหรือทะเยอทะยานเพียงใด ไม่ว่าความสามารถของมันในการก่อความเสียหายจะมีมากเพียงใด ไม่ว่ากลเม็ดที่มันใช้ยั่วยวนและทำให้มนุษย์เสื่อมทรามจะมีขอบเขตกว้างขวางเพียงใด ไม่ว่าเล่ห์เหลี่ยมและกลอุบายที่มันใช้ข่มขวัญมนุษย์จะฉลาดแยบยลเพียงใด ไม่ว่ารูปสัณฐานที่มันใช้ในการดำรงอยู่จะสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้มากมายเพียงใด แต่มันก็ไม่เคยสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้สักสิ่งเดียว ไม่เคยสามารถกำหนดธรรมบัญญัติหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ สำหรับการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง และไม่เคยสามารถปกครองและควบคุมวัตถุใดๆ ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต  ทั่วทั้งจักรวาลและพื้นฟ้านั้นไม่มีบุคคลหรือวัตถุใดที่กำเนิดจากมัน หรือดำรงอยู่เพราะมัน ไม่มีบุคคลใดหรือวัตถุใดที่อยู่ใต้ปกครองของมัน หรือในการควบคุมของมัน  ในทางตรงกันข้าม มันไม่เพียงต้องดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น มันยังต้องเชื่อฟังคำสั่งและพระบัญชาทั้งหมดของพระเจ้าด้วย  หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า ก็เป็นการยากที่ซาตานจะแตะต้องแม้น้ำสักหยดหรือทรายสักเม็ดบนแผ่นดินได้  หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า ซาตานก็ไม่มีอิสระที่จะเคลื่อนย้ายฝูงมดไปมาบนแผ่นดินด้วยซ้ำ ไม่พักต้องพูดถึงมวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา  ในสายพระเนตรของพระเจ้า ซาตานด้อยค่ากว่าดอกลิลลี่บนภูเขา นกที่บินอยู่ในอากาศ ปลาในทะเล และหนอนแมลงบนแผ่นดินโลก  บทบาทของมันท่ามกลางสรรพสิ่งก็คือการรับใช้ทุกสิ่งและทำงานให้แก่มวลมนุษย์ และรับใช้พระราชกิจของพระเจ้าและแผนการบริหารจัดการของพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1)  ผมตระหนักผ่านพระวจนะว่า สรรพสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า ไม่ว่าซาตานจะเลวทรามแค่ไหน ก็ยังอยู่ในการควบคุมของพระเจ้า หากพระเจ้าไม่ทรงยินยอม ซาตานก็ไม่กล้าเดินหมากผิดแต่อย่างใด ผมนึกถึงตอนที่โยบถูกทดสอบ เมื่อพระเจ้าไม่ทรงยินยอม ซาตานก็ทำได้เพียงทำให้เนื้อหนังของเขาบาดเจ็บเท่านั้น แต่ไม่อาจปล้นเอาชีวิตของโยบไปได้ ในสถานการณ์ที่ผมอยู่ ผมจะถูกจับกุมหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับพระเจ้าไม่ใช่หรือ? ไม่ว่าซาตานจะโหดร้ายหรือป่าเถื่อนแค่ไหน หากพระเจ้าไม่ทรงยินยอม ต่อให้พญานาคใหญ่สีแดงพยายามจับผม ซาตานก็ไม่สมหวัง หากพระเจ้าทรงยินยอม ถึงลองผมก็หนีไม่พ้น ชีวิตของผมอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และซาตานก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่ง เมื่อไตร่ตรองพระวจนะ ผมก็เข้าใจสิทธิอำนาจและพระอธิปไตยของพระองค์ขึ้นบ้าง ผมรู้สึกตาขาวน้อยลงและปลดเปลื้องเยอะขึ้นมาก ผมอยากจัดเตรียมให้พี่น้องชายหญิงเริ่มใช้ชีวิตคริสตจักรอีกครั้งโดยทันที ในช่วงเวลานั้น ซินจิงกับผมอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้า เราติดต่อกับพี่น้องชายหญิงและให้ความเกื้อหนุนพวกเขา ผลก็คือ พวกเขาค่อยๆ เริ่มเข้าร่วมการชุมนุม ใช้ชีวิตคริสตจักร และทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ

ต่อมา พี่น้องหญิงซึ่งเคยถูกจับและปล่อยตัวก็เขียนจดหมายหาผม แจ้งว่ามีคนปูดข้อมูลของผม ตำรวจรู้แล้วว่าผมเป็นผู้นำ และรู้ว่าผมอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านไหน และพวกมันถึงกับพูดว่าจะให้กองความมั่นคงออกหมายจับผม เพื่อจะระบุตำแหน่งของผม ตำรวจถึงกับนำตัวพี่น้องหญิงคนนั้นไปหมู่บ้านที่ผมอยู่เพื่อชี้ตัวผม แต่ภาพจากกล้องรักษาความปลอดภัยหายไป แผนของพวกเขาจึงล้มเหลว พอผมรู้เข้า หัวใจของผมก็เต้นแรง และรู้สึกหวาดกลัวและวิตกกังวลอย่างมาก เนื่องจากว่าตำรวจมีข้อมูลเกี่ยวกับตัวผมเยอะมากแล้ว ผมจึงมีแนวโน้มที่จะถูกจับกุมตัวได้ทุกเมื่อ และถ้าหากผมถูกจับ ก็คงถูกทรมานและทารุณแน่นอน ยิ่งคิดผมก็ยิ่งหวาดกลัว และตกลงสู่ความอ่อนแอชั่วครู่ ดูเหมือนการเชื่อในพระเจ้าในดินแดนของพญานาคใหญ่สีแดงจะเหมือนการเดินบนคมมีด ในทุกก้าวมีอันตรายถึงตายรอผมอยู่ ตอนนั้นผมคิดว่า “บางทีฉันอาจไปหลบที่บ้านของญาติได้สักพัก พอเรื่องผ่านไปฉันก็ทำหน้าที่ต่อไปได้” แต่แล้วผมก็นึกได้ว่าพี่น้องชายหญิงบางคนรู้สึกขลาด คิดลบ และอ่อนแอ และต้องถูกให้น้ำและเกื้อหนุน ถ้าผมละทิ้งหน้าที่ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ จะไม่เป็นกบฏต่อพระเจ้า และทำให้เสียพระทัยหรือ? ผมรู้สึกทุกข์ทรมานใจ และไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร จึงอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงมอบความเข้มแข็งและความเชื่อ ให้ผมลุล่วงหน้าที่ต่อไป หลังอธิษฐาน ผมก็เห็นพระวจนะบทตอนนี้ “ในจีนแผ่นดินใหญ่ พญานาคใหญ่สีแดงปราบปราม จับกุมและข่มเหงผู้เชื่อในพระเจ้าอย่างโหดร้ายต่อไป บ่อยครั้งที่พวกเขาเผชิญรูปการณ์แวดล้อมที่อันตรายบางอย่าง  ตัวอย่างเช่น รัฐบาลทำการค้นหาผู้คนที่มีความเชื่อภายใต้ข้ออ้างต่างๆ  เมื่อคนของทางการพบบริเวณที่มีศัตรูของพระคริสต์อาศัยอยู่ สิ่งแรกที่ศัตรูของพระคริสต์นึกถึงคืออะไร?  พวกเขาไม่นึกถึงการจัดการเตรียมงานของคริสตจักรอย่างถูกต้องเหมาะสม พวกเขากลับคิดว่าจะหลีกหนีจากสถานการณ์ลำบากที่อันตรายนี้อย่างไร  เมื่อคริสตจักรเผชิญการกดขี่หรือจับกุม ศัตรูของพระคริสต์ไม่เคยทำงานเก็บกวาดผลพวงที่ตามมา  พวกเขาไม่วางแผนให้แก่ทรัพยากรหรือบุคลากรที่สำคัญของคริสตจักร แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับคิดหาข้อแก้ตัวและข้ออ้างทุกรูปแบบเพื่อหาที่ปลอดภัยให้ตนเอง และเมื่อพาตัวเองไปถึงที่นั่นแล้ว พวกเขาก็แล้วเสร็จกับเรื่องนี้…ในหัวใจส่วนลึกของศัตรูของพระคริสต์ ความปลอดภัยส่วนตัวของพวกเขามีความสำคัญสูงสุดและเป็นประเด็นหลักที่พวกเขาย้ำเตือนตนเองอยู่เนืองนิตย์ให้คำนึงถึง  พวกเขาคิดในใจว่า ‘ฉันต้องไม่ยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับตัวเองโดยเด็ดขาด  ไม่ว่าใครจะถูกจับกุมอีก ฉันก็จะถูกจับไม่ได้  ฉันจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป  ฉันยังคงรอคอยสง่าราศีที่ฉันจะได้รับพร้อมกับพระเจ้าเมื่อพระราชกิจของพระองค์เสร็จสิ้น  ถ้าฉันถูกจับกุม ฉันก็จะเป็นยูดาส—และถ้าฉันเป็นยูดาส ฉันก็ย่อมจบสิ้น ฉันจะไม่มีจุดจบและจะถูกลงโทษตามที่ฉันสมควรได้รับ’…ทันทีที่ศัตรูของพระคริสต์ลงหลักปักฐานอย่างปลอดภัยแล้วและรู้สึกว่าจะไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นกับตน ไม่รู้สึกว่าตนมีภัยคุกคาม เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะทำงานบางอย่างที่ผิวเผิน  ศัตรูของพระเจ้าจัดการเตรียมสิ่งต่างๆ อย่างรอบคอบ แต่นี่ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขากำลังทำงานให้ใคร  หากงานนั้นเป็นประโยชน์ต่อตนเอง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะใช้ความคิดทบทวนงานนั้นอย่างถ้วนทั่ว แต่เมื่อเป็นงานของคริสตจักรหรือสิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาก็จะแสดงให้เห็นความเห็นแก่ตัว ความต่ำทรามและการไม่มีความรับผิดชอบของตน และพวกเขาไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลแม้แต่น้อย  ด้วยพฤติกรรมเช่นนี้เองพวกเขาจึงถูกระบุลักษณะว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า: พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สอง))  พระเจ้าทรงเปิดเผยว่าศัตรูของพระคริสต์เห็นแก่ตัวและขาดความเป็นมนุษย์เป็นพิเศษ พวกเขาสนแต่ผลประโยชน์และสวัสดิภาพของตัวเอง และไม่ห่วงใยงานของคริสตจักรสักนิด ในยามสงบ พวกเขาสร้างภาพว่า ตัวเองรักหน้าที่ แต่พอมีอันตรายเพียงเล็กน้อย หรือมีสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย พวกเขาก็หดหัวละทิ้งหน้าที่ ไม่ว่าสิ่งนี้จะก่อความเสียหายให้งานของคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงมากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่สนใจสักนิด ผมตระหนักว่าการกระทำของผมก็ไม่ต่างจากของศัตรูของพระคริสต์ เวลาไม่มีอันตรายให้เห็น ผมก็ดูเหมือนสามารถทนทุกข์และสละตัวเองในหน้าที่ได้ แต่พอเสี่ยงอันตรายเข้าจริงๆ ผมก็ถอยหนี คิดแต่เพียงปกป้องตัวเองและโยนงานเสี่ยงๆ ไปให้พี่น้องหญิง ผมนิ่งดูดายขณะที่งานของคริสตจักรไม่มีความคืบหน้า และพี่น้องชายหญิงก็สูญเสียชีวิตคริสตจักรไป ผมไม่ลุกขึ้นสู้และทำงานของคริสตจักร และจะยอมลุกก็ต่อเมื่อถูกบ่มวินัยเท่านั้น เมื่อผมได้ยินว่าถูกปูดข้อมูลและตำรวจกำลังค้นหาตัวผม ผมก็อยากละทิ้งหน้าที่ และไม่คำนึงถึงงานของคริสตจักรเลย ผมเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจมาก และไม่ทำตัวเหมือนผู้เชื่อเลยสักนิด ความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าของผมอยู่ที่ไหน? ความเป็นจริงนี้เปิดเผย ว่าผมเห็นแก่ตัวเหมือนศัตรูของพระคริสต์ และไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลเลยสักนิด เมื่อไรก็ตามที่ผมรู้สึกตกอยู่ในอันตราย ผมจะอยากละทิ้งหน้าที่และหาหนทางรับประกันความปลอดภัยของตัวเอง ผมไม่ภักดีต่อพระเจ้าเลยสักนิด และนี่ก็น่าชังชังสำหรับพระองค์ ผมสำนึกผิดและรู้สึกผิด เมื่อตระหนักได้เช่นนี้ ผมเห็นพระวจนะบทตอนหนึ่ง “บางทีพวกเจ้าทุกคนอาจจำคำพูดเหล่านี้ได้ ความว่า ‘เพราะว่าความยากลำบากชั่วคราวและเล็กน้อยของเรา จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีนิรันดร์มากมายอย่างไม่มีที่เปรียบ’  พวกเจ้าทุกคนเคยได้ฟังคำพูดเหล่านี้มาก่อน แต่ไม่มีใครในหมู่พวกเจ้าที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้เลย  วันนี้พวกเจ้าตระหนักรู้อย่างลุ่มลึกถึงนัยสำคัญที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้แล้ว  คำพูดเหล่านี้จะได้รับการทำให้ลุล่วงโดยพระเจ้าในระหว่างยุคสุดท้าย และจะได้รับการทำให้ลุล่วงในบรรดาผู้ที่ถูกพญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงอย่างทารุณโหดร้ายในแผ่นดินที่มันนอนขดกายอยู่  พญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระเจ้า และฉะนั้น ในแผ่นดินนี้ เหล่าผู้เชื่อในพระเจ้าจึงตกอยู่ภายใต้การเหยียดหยามและกดขี่ และผลที่ได้ก็คือคำพูดเหล่านี้ได้รับการทำให้ลุล่วงในตัวพวกเจ้า ในคนกลุ่มนี้นี่เอง  เนื่องจากพระราชกิจเริ่มเปิดตัวในแผ่นดินที่ต่อต้านพระเจ้า พระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้าจึงเผชิญกับอุปสรรคมหาศาล และการทำพระวจนะมากมายของพระองค์ให้สำเร็จลุล่วงย่อมใช้เวลา  ด้วยเหตุนั้น ผลแห่งพระวจนะของพระเจ้าประการหนึ่งก็คือผู้คนได้รับการถลุง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์  พระเจ้าทรงมีความลำบากยากเย็นมหาศาลในการดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในแผ่นดินแห่งพญานาคใหญ่สีแดง—แต่พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งของพระองค์ผ่านทางความลำบากยากเย็นนี้ อันเป็นการสำแดงพระปัญญาของพระองค์และกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ และทรงใช้โอกาสนี้ทำให้ผู้คนกลุ่มนี้ครบบริบูรณ์  พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์และการพิชิตชัยของพระองค์ผ่านทางความทุกข์ของผู้คน ผ่านทางขีดความสามารถของพวกเขา และผ่านทางอุปนิสัยเยี่ยงซาตานทั้งปวงของผู้คนในแผ่นดินอันโสมมนี้ เพื่อที่พระองค์อาจได้รับพระสิริจากการนี้ และเพื่อที่พระองค์อาจได้รับบรรดาผู้ที่จะเป็นพยานให้แก่กิจการของพระองค์  ดังนี้คือนัยสำคัญทั้งหมดของการเสียสละทั้งปวงที่พระเจ้าได้ทรงกระทำเพื่อผู้คนกลุ่มนี้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือไม่?)  เมื่อใคร่ครวญพระวจนะ ผมก็เข้าใจพระเจตนารมย์ พระเจ้าทรงลิขิตไว้อย่างไม่อาจเลี่ยงว่าเราผู้เชื่อที่อยู่ภายใต้แดนครอบครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน จะต้องได้รับการข่มเหงและความทุกข์ยาก พระเจ้าทรงกำลังใช้การข่มเหงของพญานาคใหญ่สีแดง เป็นหนทางทำให้ความเชื่อและความรักของเราเพียบพร้อม แต่เมื่อเผชิญสถานการณ์อันตราย ผมกลับไม่แสวงหาน้ำพระทัย และรู้สึกขลาดกลัว ห่วงแต่ความปลอดภัยของตัวเอง และไม่แม้แต่อยากทำหน้าที่ของตัวเอง ผมเห็นว่าความเชื่อของผมอ่อนแอจริงๆ และแทนที่จะเป็นพยานเฉพาะพระพักตร์ ผมกลับกลายเป็นที่เย้ยหยันของซาตาน เมื่อตระหนักได้ ผมก็สำนึกผิดและรู้สึกติดหนี้ และไม่อยากละทิ้งหน้าที่และอยู่อย่างชั่วช้าอีกต่อไป ผมพร้อมนบนอบและฝากตัวเองไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ผมยินดีให้พระเจ้าทรงจัดเตรียมไม่ว่าผมจะถูกจับหรือไม่ ไม่ว่าจะอยู่หรือตาย หากผมถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับ ก็เป็นเพราะพระเจ้าทรงยินยอม และต่อให้ผมต้องตาย ผมก็จะเป็นพยานให้แก่พระองค์ ถ้าพวกมันไม่จับผม ก็เป็นเพราะความกรุณาและการคุ้มครองของพระเจ้า และผมจะอยากทำหน้าที่ยิ่งขึ้น เมื่อตระหนักเช่นนี้ ใจผมก็สงบลงเล็กน้อย ความกังวลและตื่นกลัวที่เคยมีก็หายไป

จากนั้น ผมนึกทบทวนว่า ทำไมผมจึงนึกถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองเวลาเผชิญกับอันตราย แทนที่จะเอาใจใส่น้ำพระทัยของพระเจ้า? วันหนึ่งผมเจอพระวจนะบทตอนหนึ่ง “เหล่ามนุษย์ที่เสื่อมทรามล้วนดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง  มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม—นี่คือผลสรุปรวบยอดของธรรมชาติแบบมนุษย์  ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง เมื่อพวกเขาละทิ้งสิ่งทั้งหลายและสละตัวเองเพื่อพระเจ้า นั่นเป็นไปเพื่อที่จะได้รับพร และเมื่อพวกเขาสัตย์ซื่อต่อพระองค์ นั่นก็เป็นไปเพื่อที่จะได้รับรางวัล  โดยสรุปแล้ว ทุกอย่างล้วนทำไปเพื่อจุดประสงค์ของการได้รับพร ได้รับรางวัล และเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์  ในสังคม ผู้คนทำงานเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็ปฏิบัติหน้าที่เพื่อที่จะได้รับพร  เพื่อประโยชน์แห่งการได้รับพรนี่เอง ผู้คนจึงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและสามารถทานทนต่อความทุกข์มากมายได้ กล่าวคือ ไม่มีหลักฐานถึงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมนุษย์ที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว  ผู้คนที่มีอุปนิสัยซึ่งเปลี่ยนแปลงแล้วนั้นแตกต่างออกไป พวกเขารู้สึกว่า ความหมายมาจากการดำรงชีวิตตามความจริง ว่าพื้นฐานของการเป็นมนุษย์ก็คือการนบนอบพระเจ้า ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ว่าการยอมรับพระบัญชาของพระเจ้าคือความรับผิดชอบที่ฟ้าลิขิตไว้และแผ่นดินโลกก็รับรู้ ว่ามีเพียงผู้คนที่ลุล่วงหน้าที่ของสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าเท่านั้นที่เหมาะจะได้ชื่อว่ามนุษย์—และหากพวกเขาไม่สามารถที่จะรักพระเจ้าและชดใช้คืนความรักของพระองค์ พวกเขาก็ไม่เหมาะที่จะได้รับการเรียกขานว่ามนุษย์ สำหรับพวกเขานั้น การดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเองของคนเรานั้นว่างเปล่าและไร้สิ้นซึ่งความหมาย  พวกเขารู้สึกว่าผู้คนควรดำรงชีวิตอยู่เพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ดี และเพื่อดำรงชีวิตอยู่ด้วยชีวิตที่มีความหมาย เพื่อที่แม้แต่ยามที่เป็นเวลาตายของพวกเขา พวกเขาก็จะรู้สึกพอใจและไม่มีความเสียดายเลยแม้แต่น้อยนิด และรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างสูญเปล่า(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  ผ่านพระวจนะ ผมเห็นว่า เหตุผลที่ผมปกป้องตัวเองในสถานการณ์อันตรายอยู่เรื่อย ต้องการละทิ้งหน้าที่ของตัวเอง เป็นเพราะความคิดของผมถูกหลักปรัชญาของซาตานควบคุม อย่าง “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “จงปล่อยสิ่งทั้งหลายให้ลอยไป หากพวกมันไม่ส่งผลต่อคนเราเป็นการส่วนตัว” “อย่ากระดิกแม้แต่นิ้วเดียวหากไม่ได้รางวัล” และอื่นๆ ปรัชญาเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของผม และไม่ว่าอย่างไรผมก็ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตนเสมอ เมื่อไรก็ตามที่ผลประโยชน์ของผมตกอยู่ในความเสี่ยง ผมจะทรยศพระเจ้า ผมนึกถึงการที่ตั้งแต่ผมไปคริสตจักรนั้น เวลามีภยันตราย ผมจะคิดถึงแต่ความปลอดภัยของตัวเอง ทั้งที่รู้ว่าผมต้องรีบไปเกื้อหนุนพี่น้องชายหญิงเหล่านั้น เพื่อให้พวกเขาใช้ชีวิตคริสตจักรตามปกติได้ ผมก็ยังหลบซ่อนอยู่เพราะกลัวถูกจับกุมและถูกทรมาน และโยนงานไปให้พี่น้องหญิง โดยไม่คำนึงถึงงานของคริสตจักร หรือความปลอดภัยของเธอเลยสักนิด แม้จะเห็นว่างานมากเกินกว่าเธอจะทำคนเดียว และพี่น้องชายหญิงก็ใช้ชีวิตคริสตจักรไม่ได้ ผมก็ยังไม่ก้าวเข้าไปทำหน้าที่ ผมอยู่ด้วยปรัชญาของซาตาน ทำตัวเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ และไม่มีความเป็นมนุษย์ มโนธรรมหรือเหตุผลแม้แต่น้อย พระเจ้าทรงช่วยผู้ที่ภักดีและเชื่อฟังพระองค์ให้รอด ผู้ที่ละทิ้งผลประโยชน์ส่วนตนและปกป้องงานของคริสตจักรในนาทีวิกฤต คนเช่นนี้เท่านั้นที่พระเจ้าทรงยกย่อง แต่ในนาทีวิกฤต ผมสละเรือและไม่มีความจริงใจใดๆ ต่อพระเจ้าเลย เมื่อเห็นว่าผมเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจแค่ไหน ต่อให้ผมหลบเลี่ยงตำรวจและยืดชีวิตที่ชั่วช้าออกไปได้ แล้วพระเจ้าจะทรงเลือกช่วยผมให้รอดทำไม? ผมนึกถึงการที่เพื่อจะช่วยมนุษย์ให้รอด พระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์ในจีน ทนความอัปยศอดสูและความทุกข์ยากอย่างไม่น่าเชื่อ กล้าเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงเพื่อแสดงพระวจนะและทรงงาน ถูกพญานาคใหญ่สีแดงตามล่าและข่มเหง รวมถึงถูกโลกศาสนาปฏิเสธและใส่ร้าย แต่พระเจ้าไม่เคยทรงล้มเลิกการช่วยพวกเราให้รอด พระเจ้าทรงทุ่มเทอย่างเด็ดเดี่ยวเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด เนื้อแท้ของพระเจ้าช่างไม่เห็นแก่ตัวและปรานี สำหรับผม ผมไม่มีความจริงใจต่อพระเจ้า และยังอยู่ด้วยหลักปรัชญาซาตานในความเห็นแก่ตัว ความน่ารังเกียจ และการปลิ้นปล้อนหลอกลวง ผมคำนึงถึงแต่ความปลอดภัยของตัวเองระหว่างทำหน้าที่ และไม่ปกป้องงานของคริสตจักรเลย ถ้าผมไม่กลับใจ พระเจ้าจะทรงเบื่อหน่ายผมและขับผมออก

ตอนเฝ้าเดี่ยว ผมบังเอิญเจอบทตอนนี้ “บรรดาผู้ที่รับใช้พระเจ้าควรเป็นคนสนิทของพระเจ้า พวกเขาควรเป็นที่น่ายินดีต่อพระเจ้า และสามารถภักดีต่อพระเจ้าอย่างที่สุด  ไม่ว่าเจ้าจะปฏิบัติเป็นการส่วนตัวหรือในที่สาธารณะ เจ้าสามารถได้รับความชื่นบานยินดีของพระเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าสามารถตั้งมั่นเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และไม่ว่าผู้คนอื่นๆ จะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไรก็ตาม เจ้าเดินบนเส้นทางที่เจ้าควรเดินอยู่เสมอ และมอบทุกความใส่ใจแก่พระภาระของพระเจ้า ผู้คนเยี่ยงนี้เท่านั้นที่เป็นคนสนิทของพระเจ้า  ที่บรรดาคนสนิทของพระเจ้าสามารถรับใช้พระองค์ได้โดยตรงก็เพราะพวกเขาได้รับมอบพระบัญชาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและพระภาระของพระเจ้า พวกเขาสามารถเข้าใจพระทัยของพระเจ้าเสมือนเป็นหัวใจของพวกเขาเอง และรับเอาพระภาระของพระเจ้ามาเป็นภาระของตนเอง และพวกเขาก็ไม่คำนึงถึงความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในภายภาคหน้าของพวกเขา กล่าวคือ แม้เมื่อพวกเขาไม่มีความสำเร็จที่คาดว่าจะเป็นไปได้  และพวกเขาไม่มีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์อะไรเลย พวกเขาจะเชื่อในพระเจ้าด้วยหัวใจรักเสมอ  และดังนั้น บุคคลประเภทนี้จึงเป็นคนสนิทของพระเจ้า บรรดาคนสนิทของพระเจ้านั้น ยังเป็นคนไว้ใจของพระองค์ด้วยเช่นกัน เฉพาะบรรดาคนสนิทเท่านั้นที่สามารถร่วมแบ่งเบาความกระวนกระวายใจของพระองค์ และพระดำริของพระองค์ได้ และแม้ว่าเนื้อหนังของพวกเขาจะเจ็บปวดและอ่อนแอ พวกเขาก็สามารถสู้ทนความเจ็บปวดและละทิ้งสิ่งที่พวกเขารักเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  พระเจ้าทรงมอบภาระที่มากขึ้นให้แก่ผู้คนเช่นนั้น และสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนาที่จะทำนั้นได้รับการยืนยันสนับสนุนจากคำพยานของผู้คนเหล่านี้ เช่นนั้น ผู้คนเหล่านี้จึงเป็นที่น่ายินดีต่อพระเจ้า พวกเขาคือผู้รับใช้ของพระเจ้าที่มีใจตรงกันกับพระทัยของพระองค์เอง และเฉพาะผู้คนเยี่ยงนี้เท่านั้นที่สามารถปกครองร่วมกันกับพระเจ้าได้  เวลาที่เจ้าได้มาเป็นคนสนิทของพระเจ้าอย่างแท้จริงแล้วนั้นก็คือเวลาที่เจ้าจะปกครองร่วมกันกับพระเจ้านั่นเอง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรับใช้โดยกลมเกลียวไปกับน้ำพระทัยพระเจ้า)  ผ่านพระวจนะ ผมตระหนักว่า พระเจ้าทรงรักผู้ที่เอาใจใส่น้ำพระทัยของพระองค์และแบกรับภาระของพระองค์ ไม่ว่ามีสถานการณ์ใดเกิดขึ้น ไม่ว่าพวกเขาทนความทุกข์ยากใด และต่อให้ทางข้างหน้าดูมืดมัว พวกเขาก็ทนทรมานเพื่อสนองพระเจ้า และไม่คิดถึงผลประโยชน์ของตัวเอง คนเช่นนี้เท่านั้นที่พระเจ้าจะทรงรับไว้ในท้ายที่สุด ในช่วงเวลาวิกฤตนั้น เมื่อคริสตจักรถูกข่มเหง ผมรู้ว่าผมควรเอาใจใส่น้ำพระทัย สนใจสิ่งที่พระเจ้าทรงกังวล ปกป้องงานของคริสตจักร ลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ของผม เมื่อตระหนักได้ ผมก็ตั้งปณิธานว่า ไม่ว่ามีอันตรายใดรออยู่ ผมก็จะทำหน้าที่ให้ดี เพื่อชูพระทัยพระเจ้า

วันหนึ่ง ผมได้ยินว่าผู้นำจากคริสตจักรใกล้เคียงถูกจับกุม หนังสือของคริสตจักรต้องถูกย้ายไปที่อื่นโดยเร็ว ไม่งั้นพญานาคใหญ่สีแดงจะได้ไป ผมจึงติดต่อพี่น้องหญิงจางยี่ทันทีเพื่อช่วยกันย้ายหนังสือ พอผมไปถึงที่นัดหมาย เธอก็ปรี่เข้ามาหาผมด้วยสีหน้าร้อนใจ และบอกผมว่ามีคนสะกดรอยตามเธอมา กว่าเธอจะสลัดให้หลุดมาได้เป็นเรื่องยากมาก เธอบอกให้ผมย้ายหนังสือโดยเร็วที่สุด พอได้ยินแบบนั้น หัวใจของผมก็เต้นแรงราวกับจะกระดอนออกมา รู้สึกกลัวลนลาน ผมคิดว่า “ตำรวจหลบซ่อนอยู่ ส่วนเราอยู่ในที่แจ้ง ถ้าตำรวจตามตัวฉันจนเจอ และจับกุมตัวฉัน ก็คงจะซ้อมฉันจนตายแน่” ยิ่งคิดผมก็ยิ่งกลัว และอยากให้คนอื่นมาขนย้ายหนังสือ แต่ผมก็จำได้ว่าจางยี่นัดหมายเวลาที่เราจะพบกับผู้จัดการหนังสือไว้แล้ว และไม่มีเวลาเพื่อหาคนมาแทน อีกอย่างคือยิ่งการขนย้ายล่าช้าลงเท่าไหร่ ความเสี่ยงก็ยิ่งสูงขึ้น ตอนที่ลังเลอยู่ ผมก็ตระหนักว่าตัวเองกำลังทำตัวขี้ขลาด ผมจึงร้องหาพระเจ้าไม่หยุดให้ทรงมอบความเชื่อและกำลังให้ผม ตอนนั้นเอง ที่ผมนึกถึงพระวจนะอีกบทตอนหนึ่ง “เมื่อสภาพแวดล้อมมีภัยอันตราย ผู้ที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าย่อมรู้ชัด แต่กระนั้นพวกเขาก็ยอมเสี่ยงทำงานเก็บกวาดผลพวงที่ตามมา และพวกเขาก็ทำให้ความสูญเสียภายในพระนิเวศของพระเจ้าเกิดขึ้นน้อยที่สุดก่อนที่ตัวพวกเขาเองจะถอนตัวไป  พวกเขาไม่ให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยของตัวเองเลย  พวกเจ้าว่าอย่างไรกับการนี้ ผู้คนจะใส่ใจในความปลอดภัยของตนเองไม่ได้แม้สักเล็กน้อยเลยหรือ?  ผู้ใดจะไม่ตระหนักรู้ถึงภัยอันตรายในสภาพแวดล้อมของตน?  อย่างไรก็ตาม เจ้าต้องรับความเสี่ยงเพื่อที่จะลุล่วงหน้าที่ของเจ้า  หน้าที่นี้คือความรับผิดชอบของเจ้า  เจ้าไม่ควรให้ลำดับความสำคัญต่อความปลอดภัยส่วนบุคคลของตัวเอง  งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงไว้วางใจมอบหมายต่อเจ้านั้นสำคัญที่สุด และสิ่งเหล่านี้มีลำดับความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า: พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สอง))  ผู้ที่ภักดีต่อพระเจ้าเอาใจใส่น้ำพระทัยได้ ไม่ว่าสถานการณ์อันตรายแค่ไหน พวกเขาก็เสี่ยงทุกอย่าง เพื่อติดตามงานให้เสร็จ และลุล่วงความรับผิดชอบได้ ผมนึกถึงการที่หลายปีที่เชื่อมา ผมเพลิดเพลินมากกับการให้น้ำและการจัดหาของพระวจนะ ตอนนี้จึงเป็นเวลาที่ผมจะทำหน้าที่ให้ลุล่วง ผมไม่อาจนิ่งดูดาย ในขณะที่ผลประโยชน์ของคริสตจักรเสี่ยงภัยได้ ไม่ว่ามีอันตรายแค่ไหน ผมก็ต้องหาทางขนย้ายหนังสือเหล่านั้นออกมาจากที่นั่น จะให้พญานาคใหญ่สีแดงได้ไปไม่ได้ ผมนึกถึงที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด(ลูกา 9:24)  ต่อให้ผมถูกจับและซ้อมจนตาย ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของผม สิ่งนี้ก็มีความหมาย และพระเจ้าทรงยกย่อง ผมนึกถึงการที่เปโตรถูกตรึงกางเขนกลับหัวเพื่อพระเจ้า และไม่ห่วงชีวิตของตัวเอง เป็นคำพยานที่เข้มแข็งและดังกึกก้องให้แก่พระเจ้า ผมรู้ว่าผมควรเอาอย่างเปโตร ไม่ว่าเกิดสถานการณ์ใด ก็ภักดีต่อพระเจ้า และทำหน้าที่ให้ดีเพื่อชูพระทัยพระเจ้า ต่อมา ผมก็ร่วมกับพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ใช้ปัญญาของพวกเราหลบเลี่ยงพญานาคใหญ่สีแดง และด้วยการทรงคุ้มครองของพระเจ้า เราก็ขนย้ายหนังสือสำเร็จ

ก่อนหน้า: 95. ฉันจะไม่ตีกรอบพระเจ้าอีกต่อไป

ถัดไป: 98. บทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการพูดจาว่าร้าย

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger