98. บทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการพูดจาว่าร้าย
ปีที่แล้ว ฉันกับพี่หลิวรับผิดชอบงานวิดีโอของคริสตจักร เธอมีประสบการณ์ และทักษะในสายงานมากกว่าฉัน เวลาเจอปัญหา ฉันจึงไปหาเธอเพื่อขอความช่วยเหลือ เราเข้ากันได้ค่อนข้างดีค่ะ ครั้งหนึ่ง ฉันทำงานพลาดในเรื่องที่ค่อนข้างเบื้องต้น และพี่หลิวก็เข้ามาช่วยเหลือฉันทันทีที่ทำได้ ขณะจัดการอยู่ เธอถามฉันว่า “คุณทำหน้าที่นี้มาสักพักแล้ว ทำไมยังทำพลาดในเรื่องง่ายๆ อย่างนั้นอยู่อีก?” ฉันเกิดรู้สึก ต่อต้านในใจอยู่บ้าง คิดว่า เธอพูดแบบนั้นใส่ฉันทันที ราวกับฉันไม่มีทักษะจริงๆ เธอต้องดูถูกฉันแน่นอน จากนั้น ฉันก็แก้ไขปัญหาด้วยท่าทีที่ต่อต้าน สองสามวันต่อมา พี่น้องบางคนเกิดปัญหาคล้ายกัน ตอนสรุปปัญหาในการชุมนุม พี่หลิวจึงใช้ความผิดพลาดของฉันเป็นตัวอย่าง ฉันยิ่งรู้สึกต่อต้านมากขึ้น และคิดว่า ฉันเป็นหนึ่งในหัวหน้างาน การที่เธอพูดถึงข้อผิดพลาดของฉันต่อหน้าทุกคนอย่างนั้น พวกเขาจะคิดกับฉันยังไง? พวกเขา จะยังเคารพฉันไหม? ฉันคิดว่าเธออยากทำให้ฉันดูแย่ หลังจากนั้นมา ฉันก็เริ่มเมินเฉยต่อเธอ และไม่อยากเอาปัญหาที่พยายามแก้ไขไปถามเธอ เวลาหารือเรื่องงาน พอเสร็จแล้ว ฉันก็รีบกลับทันที ไม่อยากพูดคุยอะไรกับเธออีก เวลาเธอพูดถึงสภาวะให้ฉันฟัง ฉันก็แค่บังคับตัวเองให้พูดไปสองสามคำ และรอให้เธอสรุปแทบไม่ไหว
ต่อมา ฉันถูกปลดจากตำแหน่งเพราะไล่ตามสถานะ แทนที่จะทำงานจริง และได้ไปทำอีกหน้าที่ในทีมแทน ผ่านไปสักพัก พี่หลิวก็ถามฉันว่าเป็นยังไงบ้าง และฉันก็เปิดใจถึงการทบทวนตัวเองนับตั้งแต่ถูกปลด ฉันคิดว่า เธอคงปลอบใจและให้กำลังใจฉัน แต่น่าแปลกที่เธอพูดว่า “ช่วงนี้คุณดูกระตือรือร้นในหน้าที่มากขึ้น แต่ความเข้าใจของคุณก็ยังผิวเผิน คุณยังไม่ได้ทบทวนรากเหง้าแห่งความล้มเหลวของตัวเองจริงๆ ฉันพูดเรื่องนี้กับพี่หวังไปแล้ว และเธอก็เห็นด้วย…” การได้ยินเธอพูดปัญหาของฉันออกมาตรงๆ มันน่าอายมาก รู้สึกเหมือน เธอไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกฉัน และการพูดเรื่องนั้นต่อหน้าพี่น้องชายหญิงคนอื่น ก็เป็นการจงใจทำร้ายภาพลักษณ์ของฉัน นับแต่นั้นมา ฉันก็ไม่สนใจสิ่งที่เธอพูดด้วยอีกต่อไป ฉันตอบเธอไปสั้นๆ แต่ยังมีความโกรธเคืองต่อเธออยู่มาก ฉันคิดว่า จะไม่เล่าความรู้สึกจริงๆ ให้เธอฟังอีกต่อไป คิดว่kถ้ามีโอกาส คราวหน้าฉันจะทำให้เธอรู้สึกถึงสิ่งที่ทำบ้าง นับแต่นั้นมา นอกจากสิ่งต่างๆ ที่เราต้องหารือกันเกี่ยวกับงานแล้ว ฉันก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่คุยกับเธอ ถึงกับไม่อยากได้ยินเสียงเธออีกต่อไปแล้ว
ในบ่ายวันหนึ่ง พี่สาวในทีมส่งข้อความมาว่าอยากคุยกับฉันโดยด่วน ฉันกำลังทำวิดีโออยู่เลยเห็นข้อความไม่ทันการณ์ ซึ่งมันทำให้งานเราล่าช้า พี่หลิวเห็นเรื่องนั้น และโทรมาถามฉันว่าทำไมไม่ตอบข้อความในทันที แล้วก็พูดว่า “ฉันเห็นคุณยังมีปัญหาแบบเดิม คุณไม่รีบตอบข้อความ และบางครั้ง เราก็หาตัวคุณไม่เจอ โครงการที่คุณบริหารอยู่มันสำคัญมาก จะให้ล่าช้าไม่ได้” แต่ฉันรู้สึกต่อต้าน และไม่อยากยอมรับสิ่งที่เธอพูดเลยจริงๆ มันเหมือนกับ เมื่อก่อน ฉันเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบ เอาแต่มุ่งเน้นที่งานของตัวเอง แต่หลังจากถูกปลด ฉันก็เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง การพูดแบบนั้น คือเธอหักล้างทุกการทำงานหนักของฉันในตอนนี้ไม่ใช่เหรอ? เธอดูถูกฉัน และคิดว่าฉันไม่แสวงหาความจริงเหรอ? หลังจากนั้นมา อคติที่ฉันมีต่อพี่หลิวก็ยิ่งเพิ่มขึ้น บางครั้งที่เห็นเธอส่งข้อความมาเรื่องงาน ฉันก็ไม่อยากตอบด้วยซ้ำ ผ่านไปไม่นาน ผู้นำก็ขอให้เราเขียนประเมินพี่หลิว มันเหมือนกับ โอกาสได้มาถึงแล้ว เธอเปิดโปงฉันเสมอ และคราวนี้ฉันก็เปิดโปงเธอได้ เธอจะได้รู้สำนึกเสียบ้าง ฉันเลย เขียนปัญหาของเธอโดยละเอียดออกมาเป็นข้อๆ และมุ่งเน้นการที่เธอพูดและทำโดยไม่ใส่ใจความรู้สึกฉัน รวมถึงเรื่องที่เธอไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ต่อมา ฉันได้ยินว่า ผู้นำได้อ่านการประเมินนั้น และชี้ให้พี่หลิวเห็นปัญหาของตัวเอง จากนั้นพี่หลิวก็ตั้งสติ พยายามที่จะเปลี่ยนแปลง แต่ฉันก็ยังปล่อยวางอคติที่มีต่อเธอไม่ได้ ดังนั้นครั้งหนึ่ง ฉันจึงใช้โอกาสสามัคคีธรรมในการชุมนุม เพื่อระบายทุกสิ่งที่ฉันรู้สึกคับข้องใจต่อเธอ
ฉันคิดถึงการที่เธอไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของฉัน ฉันจึงควรพูดมันออกมา เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าเธอก็มีปัญหามากมายเหมือนกัน และไม่ได้ดีไปกว่าฉันเลย ฉันจึง เปิดโปงเธอแบบละเอียด บอกว่า “บางคนอาจเป็นหัวหน้างาน และมีทักษะทางเทคนิค แต่เธอไม่เคารพคนอื่น เวลาที่พูดและชี้ให้เห็นถึงปัญหา บางครั้งถึงกับใช้น้ำเสียงที่เผด็จการมากๆ บอกคนอื่นว่านั่นนี่ไม่ถูกต้อง ซึ่งมันทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดในหน้าที่ สิ่งนั้นฉุดรั้งผู้คน และทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงักทางอ้อม เราต้องมีปัญญาแยกแยะเกี่ยวกับคนประเภทนี้” ฉันรู้สึกเหมือนได้ระบายแล้ว แต่ก็เกิดความเงียบอยู่หลายนาที ไม่มีใครสามัคคีธรรมเพิ่มเติม ตอนนั้น ฉันรู้สึกค่อนข้างไม่สบายใจ ไม่แน่ใจว่าสามัคคีธรรมของฉันเหมาะสมไหม แต่แล้วก็คิดว่า ทุกอย่างที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริง ก็ไม่ควรมีสิ่งที่ไม่เหมาะสม แล้วฉัน ก็เอามันออกไปจากความคิด น่าประหลาดใจที่ไม่กี่วันต่อมา ผู้นำบอกฉันว่า ฉันตัดสินพี่หลิวทางอ้อม ในการชุมนุมวันนั้น นั่นเป็นการโจมตี และกล่าวโทษเธอ มันอาจทำให้เธอเจ็บปวด และทำให้พี่น้องชายหญิงบางคนเข้าข้างฉัน เกิดอคติต่อพี่หลิว และไม่สนับสนุนงานของเธอได้ มันบ่อนทำลาย ก่อการหยุดชะงัก ตอนที่ได้ยินการวิเคราะห์ของผู้นำ ฉันกังวลและกลัวจริงๆ ฉันรู้ว่าพระวจนะบอกว่า การกล่าวโทษบางคนในการชุมนุมโดยไม่ตั้งใจ เป็นการทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงัก และนั่นคือการทำชั่ว ฉันรู้ว่าธรรมชาติของการทำแบบนั้นมันร้ายแรง พอเราพูดคุยกันจบ ฉันก็ไปหาพระวจนะที่เกี่ยวข้องทันที พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในคริสตจักรทุกหนแห่ง มีปรากฏการณ์ของการกล่าวโทษ ตีตรา และลงโทษผู้คนตามอำเภอใจเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ผู้คนบางคนเก็บงำอคติต่อผู้อื่นไว้ และดังนั้นพวกเขาจึงเปิดโปงและวิเคราะห์ผู้อื่นภายใต้ธงแห่งการสามัคคีธรรมถึงความจริง เจตนาและเป้าหมายของพวกเขาในการทำเช่นนี้ย่อมผิด หากจุดประสงค์ของการสามัคคีธรรมถึงความจริงแท้จริงแล้วคือการเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า และทำประโยชน์แก่ผู้อื่นอีกด้วย เจ้าก็ควรสามัคคีธรรมเกี่ยวกับประสบการณ์ของเจ้าเอง คิดทบทวนและรู้จักตนเอง และทำประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วยการวิเคราะห์ตัวเจ้าเอง นี่ย่อมจะมีประสิทธิผลมากกว่า และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็จะเห็นชอบ หากทำไปเพื่อจุดประสงค์แห่งการเปิดโปง โจมตี และดูเบาผู้อื่นเพื่อยกตัวเจ้าเองให้สูงขึ้น เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าย่อมจะไม่ทรงเห็นชอบ และพี่น้องชายหญิงของเจ้าจะไม่ได้ประโยชน์แต่อย่างใด หากใครบางคนมีเจตนาที่จะกล่าวโทษและลงโทษผู้อื่น บุคคลนี้ก็คือคนทำชั่วที่เริ่มประพฤติเลวร้ายแล้ว ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องสามารถหยั่งรู้คนชั่วได้ หากใครบางคนจงใจเปิดโปงและดูเบาผู้อื่นเพราะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน พวกเขาก็ควรได้รับการช่วยเหลืออย่างเปี่ยมรัก หากพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงและยืนกรานที่จะกระทำเช่นนั้นแม้จะมีความพยายามที่จะสอนให้พวกเขาเป็นอย่างอื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นนั้นแล้วก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่สำหรับคนชั่วเหล่านั้นที่มักจะกล่าวโทษ ตีตรา และลงโทษผู้คนตามอำเภอใจอยู่บ่อยๆ พวกเขาควรถูกเปิดโปงอย่างถ้วนทั่ว เพื่อให้ทุกคนสามารถหยั่งรู้พวกเขา และจากนั้นพวกเขาควรถูกจำกัดควบคุม การนี้จำเป็น เพราะผู้คนเหล่านี้ทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงักและรบกวนการทำงานของคริสตจักร และพวกเขามีแนวโน้มที่จะหลอกลวงผู้คนและนำความอลหม่านมาสู่คริสตจักร” (“การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (15)”) “การโจมตีและการแก้แค้นเป็นการกระทำและการเผยให้เห็นจำพวกหนึ่งที่เกิดจากธรรมชาติอันมุ่งร้ายเยี่ยงซาตาน นี่ยังเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทหนึ่งอีกด้วย ผู้คนคิดเช่นนี้ว่า ‘หากเธอร้ายกับฉัน เช่นนั้นแล้ว ฉันก็จะไม่ยุติธรรมกับเธอ! หากเธอไม่ปฏิบัติต่อฉันอย่างมีศักดิ์ศรี เหตุใดฉันจึงจะปฏิบัติต่อเธออย่างมีศักดิ์ศรี?’ นี่คือการคิดแบบไหนกัน? มันไม่ใช่วิธีการคิดที่ผูกพยาบาทหรอกหรือ! ในทรรศนะของบุคคลธรรมดาคนหนึ่ง มุมมองชนิดนี้ใช้การไม่ได้หรอกหรือ? มุมมองนี้ฟังไม่ขึ้นกระนั้นหรือ? (ใช่) ‘ฉันจะไม่เล่นงาน หากฉันไม่ถูกเล่นงาน หากฉันถูกเล่นงาน แน่นอนว่าฉันจะเล่นงานกลับ’ และ ‘นี่ละคือรสชาติยาขมของเจ้าเอง’—ผู้ไม่เชื่อทั้งหลายมักจะพูดสิ่งเหล่านี้บ่อยครั้ง ในหมู่พวกเขา เหล่านี้คือเหตุผลทั้งหมดที่ถูกต้องและคล้อยตามมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์อย่างครบบริบูรณ์ แต่ทว่าบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงควรมีทรรศนะเช่นไรต่อคำพูดเหล่านี้? แนวคิดเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่) เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง? แนวคิดเหล่านี้ควรถูกจัดว่ามีลักษณะเช่นไร? สิ่งเหล่านี้มีต้นกำเนิดมาจากที่ใด? (จากซาตาน) สิ่งเหล่านี้มีต้นกำเนิดมาจากซาตาน ข้อนี้ไม่ต้องสงสัยเลย สิ่งเหล่านี้มาจากส่วนใดของซาตาน? สิ่งเหล่านี้มาจากธรรมชาติอันมุ่งร้ายของซาตาน สิ่งเหล่านี้บรรจุน้ำพิษ และบรรจุใบหน้าที่แท้จริงของซาตานในความมุ่งร้ายและความอัปลักษณ์ของมันทั้งหมด สิ่งเหล่านี้บรรจุแก่นสารแท้จริงของธรรมชาตินั้น สิ่งใดคือธรรมชาติของมุมมอง ความคิด การแสดงออก วาทะ และแม้กระทั่งการกระทำทั้งหลายที่บรรจุแก่นสารของธรรมชาตินั้น? สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของซาตานหรอกหรือ? ย่อมเป็นของซาตาน แง่มุมเหล่านี้ของซาตานอยู่ในแนวเดียวกับมนุษยชาติหรือไม่? แง่มุมเหล่านี้อยู่ในแนวเดียวกับความจริงหรือไม่? แง่มุมเหล่านี้มีพื้นฐานตามพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่? (ไม่) แง่มุมเหล่านี้คือการกระทำที่บรรดาผู้ติดตามพระเจ้าควรทำ และความคิดและทัศนคติที่พวกเขาควรครองหรือไม่? (ไม่) เช่นนั้นแล้ว เมื่อเจ้าคิดหรือทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้ หรือเจ้าแสดงออกซึ่งสิ่งเหล่านี้ นี่คล้อยตามน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่? ในเมื่อสิ่งเหล่านี้มาจากซาตาน สิ่งเหล่านี้อยู่ในแนวเดียวกันกับสภาวะความเป็นมนุษย์ กับมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่? (ไม่อยู่ในแนวเดียวกัน)” (“มีเพียงการแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถทำให้เจ้าเป็นอิสระจากสภาวะด้านลบได้” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พอเทียบพฤติกรรมของฉันกับพระวจนะ ฉันก็รู้สึกกลัวจริงๆ ในการปฏิสัมพันธ์กับพี่หลิว เวลาเธอพูดถึงปัญหาของฉันตามลำพัง โดยที่ไม่กระทบต่อสถานะ หรือภาพลักษณ์ของฉันต่อคนอื่น ฉันก็ยอมรับได้ แต่ต่อมา ตอนที่เธอวิเคราะห์ความผิดพลาดของฉันต่อหน้าทุกคน ฉันรู้สึกเหมือนถูกทำให้อับอาย คิดว่าคนอื่นคงจะไม่นับถือฉัน ทำให้ฉันเกลียดเธอ และไม่อยากคุยกับเธอ ฉันแค่ไม่รับฟังเธอในการหารือเรื่องงานของเรา เมื่อเธอเห็นปัญหาของฉัน และพูดถึงมันออกมาตรงๆ แถมยังพูดถึงฉัน ต่อหัวหน้างานคนอื่นแบบนั้น ฉันก็โกรธมาก ฉันรู้สึกเหมือนเธอทำลายภาพลักษณ์ที่ดี ที่ฉันทำงานหนักเพื่อสร้างมันมาในอึดใจ และฉันก็รู้สึกต่อต้านเสียจนไม่อยากได้ยินเสียงเธอด้วยซ้ำ ตอนเธอพูดถึงเรื่องที่ฉันไม่ตอบข้อความให้ทันการณ์ และเตือนฉันว่าอย่าทำให้งานล่าช้าเหมือนเมื่อก่อน ฉันก็รู้สึกว่าเธอกำลังจำกัดฉัน ไม่ยอมรับว่าฉันเปลี่ยนไปแล้ว และสร้างความลำบากให้ฉัน ฉันระบายความขุ่นเคืองใจผ่านหน้าที่ จงใจจะไม่ตอบเธอ หลังจากนั้น อคติที่ฉันมีต่อพี่หลิวยิ่งมากขึ้น และฉันก็เปี่ยมด้วยความโกรธเคืองเธอ ในการประเมินส่งหัวหน้า ฉันใช้มันเพื่อความไม่พอใจส่วนตัว เน้นย้ำข้อผิดพลาดของเธอ ผู้นำจะได้จัดการ หรือถึงกับปลดเธอออกไป ฉันจะได้รู้สึกหลุดพ้นขึ้นบ้าง ด้วยความที่อยากแก้แค้นเธอ ตอนสามัคคีธรรมในการชุมนุม ฉันก็ตัดสินว่าเธอมีความเป็นมนุษย์ที่แย่ พยายามทำให้ทุกคนแยกแยะ และกีดกันเธอ ฉันจะได้ระบายความโกรธไปได้ ฉันเปิดเผยอุปนิสัยเลวทราม โดยไม่มีความเป็นมนุษย์หรือเหตุผลสักนิดเลย การที่พี่หลิวพูดเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา และวิจารณ์ฉัน คือการที่เธอรับผิดชอบต่องานของพระนิเวศ และช่วยให้ฉันรู้จักตัวเอง ฉันกลับไม่ยอมรับมันเลยสักนิด ฉันใช้หน้าที่ ระบายความเคืองใจ ถึงกับใช้พระวจนะ เพื่อโจมตีเธอ ฉันพยายามสร้างพรรคพวก ทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงัก บ่อนทำลายงานของพระนิเวศ คำพูดไม่กี่คำของพี่หลิว ทำร้ายสำนึกแห่งสถานะของฉัน ฉันจึงพูดไม่ดีกับเธอ ต้องการแก้แค้น มันน่ากลัวมากเลย ขนาดผู้ไม่เชื่อที่ไร้เหตุผล ยังไม่ทำแบบนั้นเลย พระวจนะกล่าวว่า “หากผู้เชื่อทั้งหลายแค่ฉาบฉวยและไม่ระงับยับยั้งคำพูดและความประพฤติของตนดังเช่นที่ผู้ไม่เชื่อเป็นแล้วไซร้ พวกเขาก็ชั่วร้ายยิ่งกว่าพวกผู้ไม่เชื่อเสียอีก พวกเขาคือปีศาจขนานแท้” (“คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) ฉันเป็นคนมีความเชื่อ ได้กินดื่มพระวจนะมากมาย แต่ก็ยอมรับข้อเสนอแนะไม่ได้สักนิด ฉันยังเป็นคนอยู่เหรอ? ฉันทำตามปรัชาญาเยี่ยงซาตานที่ว่า “ฉันจะไม่ยุติธรรมกับคนที่ไม่เป็นมิตร!” “เราจะไม่โจมตีเว้นแต่เราถูกโจมตี หากเราถูกโจมตี เราจะตีโต้อย่างแน่นอน” ฉันแค่ระบายความไม่พอใจ โดยไม่ยำเกรงพระเจ้าเลย ฉันไม่ได้ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์เลย ฉันรู้สึกผิด และไม่สบายใจจริงๆ จึงอธิษฐานกลับใจต่อพระเจ้า อยากปล่อยวางอคติที่มีต่อพี่หลิว สองสามวันนั้น ตอนที่ว่างจากหน้าที่ ฉันก็นึกถึงตอนเริ่มทำหน้าที่ ว่าเราเข้ากันดีแค่ไหน แล้วทำไมฉันถึงโกรธเคืองเธอนัก? ฉันรู้ว่าการวิจารณ์ของเธอเป็นไปตามสมควร และบางทีที่เธอพูดแรงและเถรตรงไปสักหน่อย แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทำไมฉันถึงยอมรับไม่ได้ แต่กลับลอบพูดโจมตีเธอ
หลังจากนั้น ฉันก็เห็นพระวจนะบทตอนหนึ่ง “เมื่อพวกศัตรูของพระคริสต์เผชิญการถูกตัดแต่งและถูกจัดการ บ่อยครั้งพวกเขาจะแสดงการต้านทานเป็นการใหญ่ แล้วจากนั้นพวกเขาก็เริ่มพยายามอย่างสุดกำลังความสามารถที่จะโต้เถียงเพื่อตนเอง และใช้การบิดเบือนเหตุผลและวาทศิลป์มาหลอกลวงผู้คน นี่เป็นเรื่องที่ทำกันเป็นปกติทีเดียว การที่พวกศัตรูของพระคริสต์สำแดงการไม่ยอมรับความจริงนี้เปิดโปงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขาที่เกลียดชังและรังเกียจความจริงอย่างสมบูรณ์ พวกเขาเป็นพวกประเภทเดียวกับซาตานอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าพวกศัตรูของพระคริสต์ทำสิ่งใด อุปนิสัยและแก่นแท้ของพวกเขาย่อมถูกเปิดโปง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระนิเวศของพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำล้วนถูกกล่าวโทษ ถูกเรียกว่าความประพฤติชั่ว และสิ่งที่พวกเขาทำทั้งหมดนี้ยืนยันอย่างเต็มที่ว่าพวกศัตรูของพระคริสต์คือซาตานและเหล่าปีศาจ เพราะฉะนั้นจึงชัดเจนว่าพวกเขาไม่มีความสุข และแน่นอนว่าไม่เต็มใจเมื่อต้องมายอมรับการถูกตัดแต่งและถูกจัดการ แต่นอกเหนือจากการต้านทานและการต่อต้านแล้ว พวกเขายังเกลียดชังการตัดแต่งและถูกจัดการ เกลียดชังบรรดาผู้ที่ตัดแต่งและจัดการพวกเขา และเกลียดชังบรรดาผู้ที่เปิดโปงธรรมชาติแห่งแก่นแท้ของพวกเขา และผู้ที่เปิดโปงการทำชั่วของพวกเขาอีกด้วย พวกศัตรูของพระคริสต์คิดเพียงว่าผู้ใดก็ตามที่เปิดโปงพวกเขากำลังทำให้พวกเขาลำบาก ดังนั้นพวกเขาจึงทำให้ผู้ใดก็ตามที่เปิดโปงพวกเขาลำบากบ้าง เนื่องด้วยพวกเขามีธรรมชาติเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาจะไม่มีวันใจดีกับผู้ที่ตัดแต่งหรือจัดการพวกเขา อีกทั้งพวกเขาจะไม่ยอมผ่อนปรนหรืออดทนกับผู้ใดที่ทำเช่นนั้น นับประสาอะไรที่พวกเขาจะรู้สึกขอบคุณหรือสรรเสริญผู้ใดที่ทำเช่นนั้น ในทางตรงกันข้าม หากผู้ใดตัดแต่งหรือจัดการพวกเขา และทำให้พวกเขาเสียศักดิ์ศรีและเสียหน้า พวกเขาก็จะเก็บงำความเกลียดชังบุคคลผู้นี้ไว้ในหัวใจของพวกเขา และจะต้องการหาโอกาสแก้แค้นพวกเขา พวกเขามีความเกลียดชังผู้อื่นมากเพียงใด? สิ่งที่พวกเขาคิดและสิ่งที่พวกเขาพูดต่อหน้าผู้อื่นอย่างเปิดเผยมีดังนี้ ‘วันนี้เธอตัดแต่งและจัดการฉัน ดีละ ตอนนี้ความบาดหมางระหว่างพวกเรายากจะเปลี่ยนแปลงได้แล้ว เธอไปตามทางของเธอ และฉันจะไปตามทางของฉัน แต่ฉันสาบานว่าฉันจะแก้แค้น! หากเธอสารภาพความผิดที่เธอทำกับฉัน ก้มหัวคำนับฉัน หรือคุกเข่าขอร้องฉัน ฉันก็จะอภัยให้เธอ มิฉะนั้นแล้วฉันจะไม่มีวันปล่อยเรื่องนี้ไป!’ ไม่ว่าพวกศัตรูของพระคริสต์จะพูดหรือทำสิ่งใด พวกเขาไม่มีวันมองเห็นว่าการที่ใครบางคนใจดีตัดแต่งหรือจัดการพวกเขา หรือให้ความช่วยเหลืออย่างจริงใจ คือการมาถึงของความรักและความรอดจากพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับเห็นว่านี่คือเครื่องหมายของการดูหมิ่นเหยียดหยาม และเป็นชั่วขณะแห่งความขายหน้าอันใหญ่หลวงที่สุดของตน นี่แสดงให้เห็นว่าพวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับความจริงเลย และนี่คืออุปนิสัยแห่งพวกศัตรูของพระคริสต์” (“พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่แปด)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) ฉันได้เห็นจากพระวจนะ ว่าท่าทีต่อการวิจารณ์ของศัตรูของพระคริสต์ คือปฏิเสธ หาข้ออ้าง คิดสู้กลับ ถึงกับมองว่าคนอื่นเป็นศัตรู หาทางจะพูดโจมตี และแก้แค้น พวกเขาเกลียดความจริงโดยธรรมชาติ และจะไม่มีวันยอมรับ ฉันรู้ว่าสิ่งที่พี่หลิวพูดเกี่ยวกับปัญหาของฉัน เป็นจริงทั้งหมด ดังนั้น ไม่ว่าเธอจะใช้น้ำเสียงแบบไหน ก็เพื่อช่วยให้ฉันได้รู้จักตัวเอง ไม่ได้มีเจตนาจะโจมตีฉันเลย เห็นได้ชัดว่า ฉันไม่ได้จริงจังในหน้าที่ หรือมีความรับผิดชอบ จนทำให้เกิดปัญหาบางอย่างในวิดีโอของเรา พี่หลิววิเคราะห์และชำแหละปัญหาเหล่านี้ เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องทำพลาดแบบเดิม และถ่วงความคืบหน้าของงาน เธอยัง สังเกตเห็นว่าความเข้าใจตัวเองของฉันหลังถูกปลดค่อนข้างผิวเผิน เธอจึงกรุณาชี้ให้เห็น เพื่อให้ฉันได้รู้จักตัวเองดีขึ้น และกลับใจอย่างแท้จริง แต่การที่เธอช่วยเหลือฉันครั้งแล้วครั้งเล่า นอกจากจะไม่ขอบคุณ ฉันยังคิดว่าเธอพยายามทำให้ฉันอาย และสร้างบาดแผลให้ศักดิ์ศรีของฉัน ฉันไม่พอใจและเริ่มทำกับเธอเหมือนเป็นศัตรูจริงๆ หาโอกาสที่จะเอาคืนเธอ ฉันถึงกับอยากให้คนอื่นกีดกัน และปฏิเสธเธอ ฉันก็แค่คนชั่วร้ายและมีพิษ เหมือนศัตรูของพระคริสต์ ศัตรูของพระคริสต์กินคำเยินยอ แน่นอนว่าพวกเขา รักคนที่ร้องเพลงสรรเสริญตนเอง แต่ยิ่งซื่อสัตย์ พวกเขาจะก็ยิ่ง ทำร้ายคนเหล่านั้น ใครที่ล่วงเกิน หรือทำร้ายผลประโยชน์ของพวกเขา จะต้องรับผล และพวกเขาจะไม่หยุดจนกว่าคนนั้นจะหมดแรงไป สิ่งนี้เป็นอันตรายและสร้างความเสียหายอย่างเหลือเชื่อ ต่องานของคริสตจักร และการเข้าสู่ชีวิตของคนอื่น พวกเขาลงเอยด้วยการถูกพระเจ้าทรงขับออกไปถาวร เพราะทำทุกสิ่งที่ชั่ว และล่วงเกินพระอุปนิสัย คำพูดไม่กี่คำของพี่หลิว ทำร้ายสำนึกแห่งความมีหน้ามีตาและสถานะของฉัน ฉันจึงอยากแก้แค้นเธอ ฉันจะสบายใจก็ตอนที่เธอยอมรับว่าผิด และเลิก “ยั่วโมโห” ฉัน ฉันช่างชั่ว และมุ่งร้ายมากจริงๆ ฉันเกลียดความจริง เหมือนกับคนทำชั่วและศัตรูของพระคริสต์ และฉันก็อยู่บนเส้นทางนั้นเสียเอง ถ้าฉันไม่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ ตอนที่ได้รับตำแหน่ง ฉันรู้ว่าตัวเองคงพูดโจมตีและยิ่งทำชั่วมากกว่านี้ สุดท้ายก็ถูกพระเจ้าทรงลงโทษ ฉันได้เห็นว่า ผลที่ตามมานั้นน่ากลัวจริงๆ ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า แสวงหาเส้นทางปฏิเสธและเข้าสู่
ฉันได้อ่านพระวจนะที่ว่า “หากว่าบ่อยครั้งผู้นำของเจ้า บุคคลที่กำกับดูแล หรือพี่น้องชายหญิงรอบตัวเจ้า มักจะชี้แนะเจ้า เฝ้าสังเกตเจ้า ต้องการรู้จักเจ้าให้มากขึ้น และในขณะเดียวกันก็ต้องการช่วยเหลือและสนับสนุนเจ้า เจ้าควรมีท่าทีเช่นไรในเรื่องนี้? เจ้าควรต่อต้าน ระวังตัว และต้านทานเรื่องนี้ หรือเจ้าควรยอมรับเรื่องนี้อย่างถ่อมใจ? (พวกเราควรยอมรับเรื่องนี้อย่างถ่อมใจ) การยอมรับเรื่องนี้อย่างถ่อมใจหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเจ้าควรน้อมรับทั้งหมดนี้จากพระเจ้า และไม่ควรปฏิบัติต่อสิ่งนี้ด้วยความหุนหันพลันแล่น หากแท้จริงแล้วมีใครบางคนค้นพบปัญหาของเจ้า และสามารถชี้ให้เจ้าเห็นปัญหานั้น ช่วยให้เจ้าหยั่งรู้ และช่วยเจ้าแก้ปัญหา พวกเขาก็กำลังรับผิดชอบงานในมือของเจ้าแทนเจ้า นี่ไม่ได้เกิดจากซาตาน ไม่ได้เกิดจากความมุ่งร้าย แต่จากท่าทีที่มีความรับผิดชอบต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า นี่มีต้นกำเนิดจากความรักและมาจากพระเจ้า เจ้าควรน้อมรับสิ่งนี้จากพระเจ้า และเจ้าไม่ควรปฏิบัติต่อสิ่งนี้ด้วยความหุนหันพลันแล่น หรือกระทำการตามความรู้สึกชั่ววูบของเจ้า และที่มากกว่านั้นคือ เจ้าไม่ควรมีการต้านทานใดๆ ไม่ควรมีการเฝ้าระวัง หรือมีการคาดเดาเอาเองในหัวใจของเจ้า ทั้งหมดนี้ผิด และไม่สอดคล้องกับหลักธรรม นี่ไม่ใช่ท่าทีแห่งการยอมรับความจริง ท่าทีที่ถูกต้องที่สุดคือ เจ้าควรยอมรับการฝึกฝนปฏิบัติ ถ้อยแถลง การควบคุมดูแล การสังเกตการณ์ การแก้ไข หรือแม้แต่การตัดแต่งและการจัดการใดๆ ที่เป็นการช่วยเหลือเจ้า จากพระเจ้า และไม่พึ่งพาความหุนหันพลันแล่น ความหุนหันพลันแล่นคือบางสิ่งที่มาจากมารร้าย จากซาตาน ไม่ใช่จากพระเจ้า และไม่ใช่ท่าทีที่บุคคลหนึ่งควรมีต่อความจริง” (“การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (7)”) ฉันเรียนรู้จากพระวจนะ ว่าการที่พี่น้องชี้ปัญหาของฉันนั้น ไม่มีความมุ่งร้าย พวกเขาไม่ได้ล้อเลียนฉัน แต่กำลังรับผิดชอบต่องานของพระนิเวศและการเข้าสู่ชีวิตของฉัน ไม่ว่าฉันจะเข้าใจปัญหาที่พวกเขาพูดถึงมากแค่ไหน ฉันก็ควรยอมรับสิ่งนี้ ที่มาจากพระเจ้า ไม่เป็นคนเจ้าอารมณ์ และเคียดแค้น ตอนที่ฉันไม่อาจเข้าใจได้ทุกสิ่ง ฉันก็ยังควรอธิษฐานและทบทวนต่อไป หรือแสวงหาและสามัคคีธรรมกับเหล่าพี่น้องที่มีประสบการณ์ นั่นคือท่าทีในการยอมรับความจริง ฉันจำได้ว่า ฉันแอบวิจารณ์พี่หลิวในการชุมนุม และพี่น้องชายหญิงบางคนที่ไม่รู้ความเป็นจริงก็อาจเชื่อได้ ซึ่งมันอาจส่งผลต่อการให้ความร่วมมือของพวกเขา ฉันเลย ถือโอกาสเปิดใจตอนสามัคคีธรรมพระวจนะในการชุมนุม คนอื่นจะได้มีปัญญาแยกแยะในสิ่งที่ฉันทำ ต่อมา พี่หลิวมาคุยกับฉันเรื่องงาน และฉันบอกเธอไปอย่างซื่อสัตย์ ถึงตอนที่เธอให้ข้อเสนอแนะกับฉัน ฉันได้เปิดเผยแรงจูงใจชั่ว และอุปนิสัยที่เกลียดความจริง ฉันเห็นว่าเธอไม่ได้ดูตำหนิหรือเกลียดฉันเลย ฉันรู้สึกละอายใจมาก จากนั้น ฉันกับพี่หลิวก็เข้ากันได้ดีขึ้นอีกครั้ง เวลาเธอยกปัญหาของฉันขึ้นมา ฉันก็เลิกใส่ใจมากมายถึงน้ำเสียงที่เธอใช้ ฉันรู้ว่ามันดีต่อหน้าที่ และฉันจำเป็นต้องยอมรับ บางทีที่ขณะนั้นฉันไม่ตระหนัก แต่ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้า และปล่อยวางตัวเอง ไม่ใส่ใจหน้าตาของตัวเอง หรือหาเรื่องมาเถียง แล้วฉันก็จะคิดเรื่องนั้นทีหลัง การทำงานกับพี่หลิวทางนี้ ทำให้ฉันผ่อนคลายขึ้นมาก
ต่อมา ฉันรีบทำงานวิดีโอและไม่ได้แสวงหาหลักธรรม ซึ่งแปลว่ามันมีปัญหาที่จะต้องทำใหม่ พี่เฉินหัวหน้างานอีกคน ส่งข้อความมาขอให้ฉันแก้ไข แล้วฉันก็คิดว่า มันถูกแก้ไปแล้ว แต่ก็ต้องประหลาดใจ ที่ในการประชุมงาน ข้อผิดพลาดของฉันถูกยกมาวิเคราะห์อีกครั้ง ฉันคิดว่า มันน่าอายมาก ที่เธอพูดเรื่องฉันต่อหน้าทุกๆคนอย่างนั้น ฉันจึง เริ่มรู้สึกอคติพี่เฉินขึ้นมา ราวกับเธอทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เป็นเรื่องใหญ่ และไม่นึกถึงศักดิ์ศรีของฉัน ฉันอยากหาเหตุผลมาแก้ต่างให้ตัวเอง เพื่อรักษาหน้าต่อหน้าทุกคน แต่แล้วฉันก็ตระหนักได้ว่า ที่ต้องทำงานใหม่ เพราะฉันเร่งทำเกินไป พี่เฉินสามัคคีธรรมเรื่องนี้เพื่อเตือนฉัน ฉันจะได้ทบทวนท่าทีที่มีต่อหน้าที่ และเหล่าพี่น้อง ก็จะได้ใช้มันเป็นการเตือน พวกเขาจะได้ไม่ทำพลาดแบบเดียวกัน เธอกำลังปกป้องงานของคริสตจักร ถ้าฉันหาข้อแก้ตัวเพื่อรักษาหน้า และเกิดอคติต่อพี่เฉินขึ้นมา นั่นจะไม่เป็นการเกลียด และไม่ยอมรับความจริงเหรอ? ฉันรู้ว่า ฉันไม่อาจทำตัวตามความเสื่อมทรามต่อไปได้ ฉันเลย เปิดใจกับทุกคน ถึงรายละเอียดในความผิดพลาดของฉัน พอฉันพูดจบ พวกเขาก็แบ่งปันวิธีที่เป็นประโยชน์ในการจัดการปัญหาเหล่านั้น จากนั้นในการผลิตวิดีโอ ฉันก็ทำตามข้อเสนอแนะของพวกเขา และหลีกเลี่ยงการทำผิดพลาดแบบเดิม ฉันได้ประสบอย่างแท้จริง ว่าการยอมรับข้อเสนอแนะของเหล่าพี่น้อง มันเลี่ยงความยุ่งยาก และเพิ่มประสิทธิภาพได้ อีกอย่าง มันยังช่วยให้ฉันรู้จักตัวเอง และดีต่อการเข้าสู่ชีวิตของฉัน
ฉันได้ประสบอย่างแท้จริงผ่านเรื่องนี้ ว่าการมีท่าทีนบนอบต่อการวิจารณ์ เป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าคนอื่นพูดถูก และสอดคล้องกับความจริง ฉันก็ควรละวางความภูมิใจของตัวเอง และยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่ถ้าฉันปฏิเสธท่าเดียว ต่อต้านการถูกตัดแต่งและจัดการ และกลายเป็นเกิดอคติ หรือถึงกับโจมตีคนอื่น นั่นก็คือการแสดงออก แห่งศัตรูของพระคริสต์ ถ้าไม่กลับใจ ฉันจะถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษและขับออก เมื่อก่อน แทบไม่มีใครจัดการกับฉันตรงๆ ได้ และฉันก็ไม่รู้จักตัวเอง ฉันคิดว่าฉันมีความเป็นมนุษย์ที่ดี และยอมรับความจริงได้ ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่า ฉันดูหมิ่นความจริงและไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ดี สิ่งที่ฉันได้รับและได้เรียนรู้วันนี้ ล้วนเป็นเพราะการพิพากษาและตีสอนแห่งพระวจนะ ฉันยังพร้อมประสบสิ่งนี้ให้มากขึ้น และเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเสื่อมทรามด้วยค่ะ ขอบคุณพระเจ้า!