96. ความไร้แก่นสารของการโอ้อวด

ในเดือนมิถุนายนปี 2020 ผมยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ด้วยปรารถนาความจริงมากขึ้น ผมดื่มด่ำไปกับความปีติยินดีในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและการรับชมภาพยนตร์ข่าวประเสริฐ ผมค่อยๆ ได้เข้าใจความล้ำลึกของความจริงมากมาย เช่น เบื้องลึกในพระคัมภีร์ ความเป็นจริงเกี่ยวกับการที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม ความล้ำลึกของการประสูติเป็นมนุษย์และพระนามของพระเจ้า พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และอื่นๆ อีกมากมาย ผมยังได้รู้อีกว่าพระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้าในยุคสุดท้ายใกล้จะถึงจุดจบในเร็วๆ นี้ ว่าความวิบัติครั้งใหญ่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และการยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย เป็นเพียงหนทางเดียวในการได้รับการช่วยให้รอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างขะมักเขม้นและเป็นคำพยานให้พระเจ้าเพื่อตอบแทนความรักของพระองค์ ต่อมาผมได้เขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ ว่าผมยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างไร พี่น้องหญิงคนหนึ่งได้อ่านบทความนั้นและกล่าวอย่างมีความสุขว่า “พี่ชาย คุณมีความเข้าใจถ่องแท้และลึกซึ้งอย่างมาก” หลังจากที่ได้ยินแบบนี้ ผมรู้สึกพึงพอใจในตัวเองเล็กน้อยและคิดว่าขีดความสามารถของผมนั้นดีเยี่ยม

ไม่กี่เดือนต่อมา ผมได้มาเป็นผู้นำกลุ่มและมีหน้าที่รับผิดชอบในการให้น้ำกับกลุ่มพี่น้อง ในแต่ละการชุมนุม เมื่อผมสามัคคีธรรมเสร็จแล้ว พี่น้องล้วนกล่าวว่าการทำความเข้าใจของผมนั้นดี สามัคคีธรรมของผมให้ความรู้แจ้งอย่างมาก และพวกเขาเข้าใจปัญหาบางส่วนที่ก่อนหน้านี้เคยไม่ชัดเจนหลังจากที่ได้รับฟังสามัคคีธรรมของผม ผมจึงคิดว่า “ผมเพิ่งจะยอมพระราชกิจของพระเจ้าได้ไม่นานแต่ก็สามารถให้น้ำกับผู้มาใหม่คนอื่นๆ ได้แล้ว นอกจากนี้ ผมยังได้รับการชมเชยจากพี่น้องอีกด้วย ดูเหมือนว่าตัวผมนั้นดีกว่าคนอื่นๆ” หลังจากนั้น เพื่อให้พี่น้องจำนวนมากขึ้นนับถือและยอมรับ ผมจึงทำงานหนักกว่าที่เคย ผมเตรียมตัวล่วงหน้าก่อนการชุมนุมแต่ละครั้ง ค้นหาพระวจนะของพระเจ้าและภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อการชุมนุม เมื่อผมพบความสว่างจากสามัคคีธรรมในภาพยนตร์ ผมมักจะจดไว้และสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในระหว่างการชุมนุม ผมคิดในใจว่า “หากพี่น้องได้รับมากขึ้นจากสามัคคีธรรมของผม พวกเขาจะนับถือและยกย่องผมมากขึ้นแน่ๆ” จากนั้นไม่นาน พี่น้องเลือกให้ผมเป็นผู้นำคริสตจักร ผมคิดในใจว่า “ฉันดีกว่าคนอื่นจริงๆ ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นทุกคนจะเลือกฉันทำไมกัน?” ผมชื่นชมตัวเองอย่างแท้จริง จากนั้น ผมได้ยินจากพี่น้องบางคนว่า พวกเขาคิดลบเพราะอิจฉาผม ผมไม่เพียงไม่รู้สึกเศร้าใจที่ได้ยินแบบนี้ อีกทั้งยังมีความสุขอย่างยิ่ง เพราะสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการทำความเข้าใจของผมนั้นยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง เมื่อผู้มาใหม่ที่ผมเคยได้ให้น้ำถามเกี่ยวกับหน้าที่ที่ผมทำอยู่ ผมก็พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ตอนนี้ผมเป็นผู้นำคริสตจักรครับ” ผมต้องการให้พวกเขาทราบว่าผมไม่ได้เป็นแค่ผู้นำกลุ่มธรรมดาๆ อีกต่อไปแล้ว และพวกเขาไม่ควรปฏิบัติกับผมเหมือนพี่น้องทั่วๆ ไป ในระหว่างที่ผมเป็นผู้นำคริสตจักร ผมงานยุ่งกว่าที่ผ่านมา ในแต่ละวัน ผมอ่านพระวจนะของพระเจ้าและรับชมภาพยนตร์ข่าวประเสริฐเพื่อประดับความรู้ เนื่องจากการชุมนุมและการตอบคำถามต่างๆ จากผู้มาใหม่ ผมมักจะไม่ได้กินข้าวหรือพักผ่อนตามเวลา ในใจผมพร่ำบ่นเล็กน้อย แต่ด้วยรู้ว่านี่เป็นหน้าที่ของผม ผมจึงยังคงมุ่งทำต่อไป ในระหว่างการชุมนุม ผมมักจะสามัคคีธรรมกับพี่น้อง เกี่ยวกับว่าผมทนทุกข์และสั่งสมความจริงอย่างไร และผมได้สละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างไรบ้าง ผมพูดถึงเรื่องที่ผมวุ่นวายกับการทำหน้าที่ในแต่ละวัน ไม่สามารถกินข้าวได้ตามเวลา และอื่นๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม ผมไม่เคยพูดถึงความไม่พอใจของผมเลย หลังจากได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้ พี่น้องต่างก็นับถือผมอย่างแท้จริง พวกเขายกย่องที่ผมแบกภาระหน้าที่เอาไว้ และยกย่องที่ผมบรรลุสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาไม่ได้ทำ และพวกเขาแสดงความปรารถนาที่จะเรียนรู้จากผม เมื่อได้ยินแบบนี้ ผมรู้สึกมีความสุขมาก หลังจากนั้น ผมสามัคคีธรรมเช่นนั้นเสมอในการชุมนุม โดยไม่ต้องการให้พี่น้องคิดว่าผมจัดการกับความทนทุกข์ไม่ได้ หากพวกเขารู้สึกอย่างนั้น ก็จะไม่มีใครยกย่องผมอีกต่อไป พี่น้องค่อยๆ เริ่มพึ่งพาผม และไม่ว่าพวกเขาประสบกับความยากลำบากหรือปัญหาใดๆ ในหน้าที่ของตน พวกเขาแทบจะไม่พึ่งพาพระเจ้าและไม่แสวงหาหลักความเป็นจริง แต่มาขอความช่วยเหลือจากผมแทน

ครั้งหนึ่ง เนื่องจากผมดูคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์เป็นเวลานาน ดวงตาของผมแดงก่ำ คัน และเจ็บ การมองเห็นของผมลดลงอย่างรวดเร็ว และไม่สามารถเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน มีคนบอกผมว่าอาการเหล่านี้ค่อนข้างรุนแรง และหากผมไม่ได้รับการรักษาในทันที ผมอาจจะตาบอดได้ ในตอนนั้น ผมรู้สึกกลัวมาก ผมคิดลบอยู่บ้าง และบ่นโดยคิดว่า “ผมทำหน้าที่อย่างหนัก ทำไมผมยังเจ็บป่วยแบบนี้อีก?” หน้าที่ของผมยังได้รับผลกระทบเนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับดวงตาด้วยเช่นกัน ต่อมามีคนบอกผมเกี่ยวกับการรักษาแบบบ้านๆ และในที่สุดการมองเห็นของผมก็ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการชุมนุม ผมเอาแต่พูดถึงด้านดีของผมเท่านั้น โดยเน้นย้ำว่าไม่ว่าหน้าที่ของผมจะยุ่งแค่ไหนและปัญหาเกี่ยวกับดวงตาของผมจะทรมานแค่ไหน แต่ผมไม่ล้มเลิกหน้าที่ของผม ผมยังพูดว่าสิ่งนี้เป็นบททดสอบจากพระเจ้าและผมต้องตั้งมั่นในคำพยาน และเมื่อเป็นเรื่องความอ่อนแอ ความกังวล และความกลัว และความเข้าใจผิดและความไม่พอใจของผมเกี่ยวกับพระเจ้า ผมกลับไม่พูดอะไรเลย เพราะไม่อยากให้พี่น้องรู้ว่าผมเองก็มีจุดอ่อนเช่นกัน หลังจากที่ได้ยินสามัคคีธรรมของผมแล้ว พี่น้องต่างก็ชื่นชมและยกย่องผม โดยบอกว่าประสบการณ์ของผมนั้นช่างยอดเยี่ยม นอกจากนี้ พี่น้องบางคนยังกล่าวว่า “พี่น้องชายคนนี้มีวุฒิภาวะอย่างแท้จริง เขาประสบกับความเจ็บป่วยครั้งใหญ่ แต่ยังไม่คิดลบและยังคงทำหน้าที่ของเขาได้ ถ้าเป็นฉัน คงทำไม่ได้เช่นนี้” หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ ผมก็รู้สึกมีความสุขเหลือล้น และอดคิดไม่ได้ว่า “ถึงแม้ฉันยังหนุ่มและยังคงเป็นผู้มาใหม่ ขีดจำกัดของผมก็ดีกว่าพี่น้องคนอื่นๆ และผมไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างขะมักเขม้นกว่าพวกเขา” แต่หลังจากที่การชุมนุมนั้นจบลง ผมมีอาการตื่นตระหนกแปลกๆ ซึ่งอธิบายไม่ได้ เหมือนกับตอนที่ผมทำอะไรผิดครั้งยังเด็กและรู้ดีว่าจะถูกพ่อแม่ลงโทษ ผมกินอะไรไม่ลงและรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ผมอดไม่ได้ที่จะทบทวนตนเอง โดยคิดว่า “สามัคคีธรรมของผมในการชุมนุมไม่เหมาะสมหรือเปล่า?” พอคิดว่าผมไม่ได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของผมในการชุมนุม และการที่ผมซ่อนจุดอ่อนไว้ ผมตระหนักได้ว่าเจตนาของผมนั้นไม่ถูกต้อง และผมรู้สึกตำหนิตัวเองอย่างมาก

ต่อมาผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “การยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง อวดตน พยายามทำให้ผู้คนยกย่องนับถือและเคารพบูชาตนเอง—มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้  นี่คือวิธีที่ผู้คนแสดงปฏิกิริยาไปตามสัญชาตญาณเมื่อพวกเขาถูกธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขาครอบงำ และนี่เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งปวง  ผู้คนมักจะยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองกันอย่างไร?  พวกเขาสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของการทำให้ผู้คนยกย่องนับถือและเคารพบูชาพวกเขาได้อย่างไร?  พวกเขาเป็นพยานยืนยันว่าตนเองได้ทำงานไปมากมายเพียงใด ทนทุกข์ไปมากมายขนาดไหน สละตนไปมากมายเท่าใด และจ่ายราคาเป็นอะไรไปบ้างแล้ว  พวกเขายกชูตนเองด้วยการกล่าวถึงต้นทุนของตน ซึ่งทำให้พวกเขามีที่ที่สูงขึ้น หนักแน่นขึ้น และมั่นคงขึ้นในจิตใจของผู้คน เพื่อให้มีผู้คนซาบซึ้ง ยกย่อง เลื่อมใส และถึงกับเคารพบูชา ยอมรับนับถือ และติดตามพวกเขาในจำนวนที่มากขึ้น  เพื่อที่จะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายนี้ ผู้คนจึงทำสิ่งต่างๆ มากมายที่เป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าเมื่อดูจากภายนอก แต่ในแก่นแท้กลับยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง  การกระทำเช่นนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่?  พวกเขาพ้นวิสัยของความเป็นเหตุเป็นผลและไม่มีความละอาย กล่าวคือ พวกเขาเป็นพยานยืนยันอย่างหน้าไม่อายถึงสิ่งที่พวกเขาได้ทำไปเพื่อพระเจ้าและว่าพวกเขาได้ทนทุกข์ไปมากมายเพียงใดเพื่อพระองค์  พวกเขาถึงขั้นโอ้อวดพรสวรรค์ ความสามารถพิเศษ ประสบการณ์ และทักษะพิเศษของตน กลวิธีอันชาญฉลาดในการดำรงชีวิตทางโลก วิธีการที่พวกเขาใช้ปั่นหัวผู้คนเล่น และอื่นๆ  วิธีการของพวกเขาในการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองก็คือ การโอ้อวดตัวพวกเขาเองและดูแคลนผู้อื่น  พวกเขายังกลบเกลื่อนและทำให้ตัวเองดูดีด้วยเช่นกัน โดยซ่อนเร้นความอ่อนแอ ข้อเสีย และข้อบกพร่องของตนจากผู้คน เพื่อให้ผู้คนมองเห็นแต่ความปราดเปรื่องของพวกเขาตลอดเวลา  พวกเขาไม่แม้กระทั่งกล้าที่จะบอกผู้คนอื่นๆ เมื่อพวกเขารู้สึกคิดลบ พวกเขาขาดพร่องความกล้าที่จะเปิดกว้างและสามัคคีธรรมกับผู้อื่น และเมื่อพวกเขาทำบางสิ่งที่ผิด พวกเขาก็ทำอย่างสุดความสามารถในการที่จะปกปิดสิ่งที่ผิดนั้นและปิดบังสิ่งที่ผิดนั้น  พวกเขาไม่เคยเอ่ยถึงความเสียหายที่พวกเขาก่อให้เกิดแก่งานของคริสตจักรในครรลองของการทำหน้าที่ของพวกเขาเลย  อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้มีส่วนร่วมแบ่งปันเล็กน้อยอยู่บ้างหรือได้สัมฤทธิ์ความสำเร็จเล็กน้อยอยู่บ้าง พวกเขาก็รีบร้อนที่จะโอ้อวดการนั้น  พวกเขาไม่สามารถรอเพื่อให้ทั้งโลกรู้ว่าพวกเขามีความสามารถเพียงใด ขีดความสามารถของพวกเขาสูงเพียงใด พวกเขายอดเยี่ยมเพียงใด และพวกเขาดีกว่าผู้คนปกติมากเพียงใด  นี่ไม่ใช่หนทางของการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สี่: พวกเขายกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับให้ตัวเอง)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมสัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์และความชอบธรรมของพระองค์ พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ทุกสรรพสิ่งและทรงเปิดโปงทุกสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวผม พระเจ้าทรงเปิดโปงว่าผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เมื่อผู้คนปฏิบัติหน้าที่หรือทำสิ่งใดก็ตาม พวกเขาจะยกย่องและโอ้อวดตนเองโดยไม่รู้ตัว โดยมีจุดประสงค์ที่จะสร้างสถานะและภาพลักษณ์ของตนลงในใจของผู้อื่น และเพื่อให้ผู้อื่นยกย่องและนับถือ การกระทำเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นภายใต้การควบคุมของธรรมชาติอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขา ผมตระหนักได้ว่า ผมมักพูดอยู่เสมอว่าผมทนทุกข์ทรมานมากเพียงใดในการปฏิบัติหน้าที่ของผมต่อหน้าพี่น้อง โดยตั้งใจแสดงให้ทุกคนเห็นว่าผมสามารถทนทุกข์และยอมลำบากได้ อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่าผมภักดีต่อพระเจ้า ผมทำเช่นนี้เพื่อให้ทุกคนเคารพและยกย่อง ในระหว่างชุมนุม ผมเอาแต่พูดถึงเพียงด้านดีของผมเท่านั้น โดยแบ่งปันว่าผมได้พึ่งพาพระเจ้าและตั้งมั่นในคำพยานอย่างไรบ้างในช่วงที่เจ็บป่วย และต้องการคุยโวต่อหน้าทุกคนว่าผมมีวุฒิภาวะสูงกว่าคนอื่น อย่างไรก็ตาม พอเป็นเรื่องความเสื่อมทรามและความอ่อนแอที่ผมได้เปิดเผยในช่วงที่เจ็บป่วย ผมกลับปิดปากเงียบ กลัวว่าหากพี่น้องล่วงรู้ถึงวุฒิภาวะที่แท้จริงของผมแล้ว พวกเขาจะไม่เคารพและนับถือผมอีกต่อไป เพราะว่าผมได้ยกย่องและโอ้อวดตัวเองอยู่ตลอด พี่น้องจึงมักจะนำปัญหาและความลำบากยากเย็นของตนมาปรึกษาผม แทนที่จะนึกถึงการอธิษฐานต่อพระเจ้าหรือการพึ่งพาพระองค์ ผมเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของผมอย่างแท้จริงหรือไม่?  ผมชักพาผู้คนให้หลงผิดและติดบ่วงอยู่หรือเปล่า?  พี่น้องเลือกให้ผมเป็นผู้นำ แต่ผมกลับไม่ได้ยกย่องพระเจ้าหรือเป็นพยานยืนยันให้พระองค์ อีกทั้งยังไม่พาพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ ผมกลับทำให้พวกเขาเคารพและพึ่งพาตัวผม ผมช่างน่ารังเกียจและน่าละอายเสียจริง พระเจ้าต้องทรงรังเกียจผมแน่ๆ!

ในตอนนี้ ผมนึกถึงพระวจนนะเหล่านี้ของพระเจ้าที่ผมเคยได้อ่านมาก่อน  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้คนบางคนชื่นชูเปาโลมากเป็นอย่างยิ่ง  พวกเขาชอบที่จะออกไปข้างนอกและกล่าวสุนทรพจน์และทำงาน พวกเขาชอบที่จะเข้าร่วมการชุมนุมและเทศนา พวกเขาชอบให้ผู้คนฟังพวกเขา เคารพบูชาพวกเขา และโคจรอยู่รอบตัวพวกเขา  พวกเขาชอบที่จะมีที่ทางในหัวใจของผู้อื่น และพวกเขาซาบซึ้งเมื่อผู้อื่นให้คุณค่าภาพลักษณ์ที่พวกเขานำเสนอ  พวกเรามาชำแหละธรรมชาติของพวกเขาตามพฤติกรรมเหล่านี้กันเถิด  อะไรคือธรรมชาติของพวกเขา?  หากพวกเขาประพฤติเช่นนี้จริง เช่นนั้นแล้วการแสดงให้เห็นว่าพวกเขาโอหังและทะนงตนก็ย่อมเพียงพอ  พวกเขาไม่นมัสการพระเจ้าเลย พวกเขาแสวงหาสถานะที่สูงขึ้นและปรารถนาที่จะมีอำนาจเหนือผู้อื่น ครอบครองพวกเขา และมีที่ทางในหัวใจของพวกเขา  นี่คือภาพลักษณ์ดั้งเดิมของซาตาน  แง่มุมที่โดดเด่นในธรรมชาติของพวกเขาก็คือความโอหังและความทะนงตน ความไม่เต็มใจที่จะนมัสการพระเจ้า และความปรารถนาที่จะได้รับการเคารพบูชาจากผู้อื่น  พฤติกรรมเช่นนั้นสามารถทำให้เจ้าเห็นเรื่องธรรมชาติของพวกเขาได้อย่างชัดเจนมาก(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์)  “หากเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงในหัวใจของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะรู้วิธีปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้า และก็เป็นธรรมดาที่จะเริ่มออกเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง  หากเส้นทางที่เจ้าเดินเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ผละจากเจ้าไป—ซึ่งในกรณีนี้ย่อมจะมีโอกาสน้อยลงเรื่อยๆ ที่เจ้าจะทรยศพระเจ้า  หากปราศจากความจริง ย่อมง่ายดายที่จะทำชั่ว และเจ้าจะทำสิ่งนั้นไปทั้งที่เจ้าไม่ตั้งใจ  ตัวอย่างเช่น หากเจ้ามีอุปนิสัยที่โอหังและทะนงตน เช่นนั้นแล้วการถูกบอกให้ไม่ต่อต้านพระเจ้าก็คงไม่สร้างความแตกต่างอะไร เจ้าไม่อาจห้ามตัวเองได้มันอยู่เหนือการควบคุมของตัวเจ้า  เจ้าคงจะไม่ทำสิ่งนั้นโดยมีจุดประสงค์ เจ้าคงจะทำสิ่งนั้นไปภายใต้การครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของเจ้า ความโอหังและความทะนงตนของเจ้าคงจะทำให้เจ้าดูแคลนพระเจ้าและเห็นพระองค์ทรงไร้ค่าไม่สำคัญ  สิ่งเหล่านั้นคงจะเป็นเหตุให้เจ้ายกย่องตัวเจ้าเอง นำเสนอตัวเจ้าเองอยู่เนืองนิตย์ สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เจ้าสบประมาทผู้อื่น สิ่งเหล่านั้นจะไม่ปล่อยให้หัวใจของเจ้ามีผู้ใดนอกจากตัวเจ้าเอง ความโอหังและความทะนงตนจะปล้นที่ทางของพระเจ้าในหัวใจของเจ้าไป และในท้ายที่สุดก็จะเป็นเหตุให้เจ้านั่งแทนที่พระเจ้าและเรียกร้องให้ผู้คนนบนอบเจ้า และทำให้เจ้าเทิดทูนความคิด แนวคิด และมโนคติอันหลงผิดของตนเองว่าเป็นความจริง  ผู้คนที่อยู่ภายใต้ภาวะครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและหยิ่งทะนงของตนนั้นทำความชั่วไปมากมายเหลือเกิน!(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้)  จากพระวจนะของพระเจ้า ผมจึงตระหนักได้ว่า ผมเอาแต่ยกย่องและโอ้อวดตนเองอยู่เสมอ โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะธรรมชาติของผมนั้นโอหังจนเกินไป เพราะธรรมชาติของผมที่โอหังและทะนงตน หัวใจของผมจึงไม่มีพื้นที่สำหรับพระเจ้า และผมก็ยังดูถูกคนอื่นๆ ผมชอบโอ้อวดตัวเองและคุยโวต่อหน้าผู้คน โดยแสวงหาการชื่นชมและคำสรรเสริญ ด้วยธรรมชาติที่โอหังของผม ผมจึงไม่เต็มใจที่จะปิดทองหลังพระและทำสิ่งต่างๆ อย่างเรียบง่าย ผมต้องการโดดเด่นจากฝูงชนอยู่เสมอ ผมกำลังเดินตามเส้นทางแห่งการต่อต้านพระเจ้าเช่นเดียวกับเปาโลอยู่ไม่ใช่หรือ?  เมื่อเปาโลประกาศและทำงานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาเขียนจดหมายหลายฉบับถึงคริสตจักรต่างๆ ในเวลานั้น โดยมักจะยกย่องตนเองและเป็นพยานยืนยันถึงความทุกข์ทนและการสละตนเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งชักพาให้ผู้คนจำนวนมากมายยกย่องและนับถือเขา ถึงแม้ว่าเปาโลจะทนทุกข์อย่างมากขณะที่ประกาศและทำงาน แต่เขาไม่เคยเป็นพยานยืนยันถึงพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าเลย และไม่พาผู้เชื่อมาเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เขากลับพามาต่อหน้าตนเอง เขาไม่เคยคิดทบทวนถีงความทะเยอทะยานและแรงจูงใจของตนเองเลย แม้กระทั่งคิดว่าตนเองได้ละทิ้งและสละมากมายเพื่อพระเจ้า อีกทั้งยังเชื่อว่ามงกุฎแห่งความชอบธรรมจะได้รับการรักษาไว้เพื่อเขา ในท้ายที่สุด เขายังเป็นพยานว่าสำหรับตัวเขานั้น “การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์” โดยทำให้ผู้อื่นทำตามแบบอย่างของตน ธรรมชาติของเปาโลโอหังอย่างยิ่ง และในที่สุดเขาก็ถูกพระเจ้าลงโทษเนื่องด้วยการก้าวล่วงอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างร้ายแรง เมื่อเปรียบเทียบเรื่องนี้กับพฤติกรรมของผมเอง ผมเห็นว่าตัวผมเองก็ยกย่องและโอ้อวดตนเองอยู่เสมอในการปฏิบัติหน้าที่ โดยแสดงให้พี่น้องเห็นว่าผมดีกว่าพวกเขาในทุกด้าน เพื่อให้ได้รับการนับถือและการชื่นชม เมื่อพี่น้องต่างยกย่องผมและสรรเสริญขีดความสามารถที่ดีและความสามารถในการทนทุกข์และยอมลำบากในการปฏิบัติหน้าที่ของผม ผมทั้งไม่รู้สึกกลัวและไม่ทบทวนตนเอง ผมมีความสุขไปกับสิ่งนั้น อีกทั้งยังรู้สึกพึงพอใจในตนเอง ผมช่างเป็นคนโอหังและทะนงตนโดยเนื้อแท้ และไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าแม้แต่น้อย ในทุกสิ่งที่ผมได้ทำไป ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมตัวศึกษาพระวจนะของพระเจ้าเพื่อตอบคำถามของพี่น้อง หรือสามัคคีธรรมเรื่องประสบการณ์ของผมในที่ชุมนุม ความตั้งใจและแรงจูงใจของผมไม่ใช่การแสวงหาความเข้าใจในความจริง การปฏิบัติหน้าที่อย่างดี หรือการช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความจริงใจ แต่ล้วนกลับเป็นการสร้างภาพลักษณ์อันสูงส่งในหัวใจของผู้คน และให้ได้มาซึ่งคำชื่นชม การกระทำนี้เป็นการขัดขืนและต่อต้านพระเจ้า!  ในฐานะผู้นำคริสตจักร ผมควรยกย่องและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า อีกทั้งช่วยให้พี่น้องทำความเข้าใจความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้า เพื่อให้พวกเขาสามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พึ่งพา และยกย่องพระองค์ แต่ผมโอ้อวดตัวเองและคุยโวอยู่เสมอ ทำให้หัวใจของพี่น้องไม่มีพื้นที่สำหรับพระเจ้า แต่กลับมีพื้นที่สำหรับตัวผม พวกเขาพึ่งพาและนับถือผมในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ ผมโอหังมากเสียจนมองข้ามเหตุผลไปทั้งหมด!  แม้ว่าภายนอกผมทำหน้าที่อยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกสิ่งที่ผมทำนั้นล้วนแต่ทำร้ายพี่น้อง ซึ่งนำพาให้พวกเขาออกห่างจากพระเจ้าและทำให้พวกเขาบูชาตัวบุคคล ธรรมชาติของการกระทำของผมนับเป็นการก้าวล่วงอุปนิสัยของพระเจ้า ผมกำลังเดินตามหนทางแห่งการขัดขืนพระเจ้า หากผมไม่กลับใจ พระเจ้าคงจะทรงลงโทษและสาปแช่งผมเช่นเดียวกับที่ทรงทำกับเปาโลอย่างแน่นอน เมื่อพิจารณาถึงสิ่งนี้ ผมก็รู้สึกกลัว ผมตระหนักได้ว่าหากผมยังไม่กลับใจ ผมจะสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตกสู่ความมืดมน และถูกรังเกียจเดียดฉันท์และกำจัดออกไปโดยพระเจ้า ผมอธิษฐานถึงพระเจ้า “ข้าแต่พระเจ้า ธรรมชาติของข้าพระองค์ช่างโอหังเหลือเกิน และข้าพระองค์ขาดหัวใจที่ยำเกรงพระองค์ ข้าพระองค์มักจะโอ้อวดต่อหน้าผู้อื่น ซึ่งทำให้พระองค์รังเกียจข้าพระองค์อย่างยิ่ง ข้าพระองค์ไม่ต้องการเป็นเช่นนี้อีกต่อไป โปรดช่วยเหลือข้าพระองค์ ข้าพระองค์เต็มใจที่จะปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์”

ต่อมาผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “จงอย่าคิดว่าเจ้าเข้าใจทุกสิ่ง  เราบอกเจ้าว่าทั้งหมดที่เจ้าเคยเห็นและเคยได้รับประสบการณ์มาแล้วนั้นไม่พอเพียงที่จะทำให้เจ้าเข้าใจแม้เพียงหนึ่งในพันของแผนการบริหารจัดการของเรา  ถ้าเช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงทำตัวหยิ่งผยองนัก?  พรสวรรค์อันเล็กน้อยและความรู้อันน้อยนิดที่เจ้ามีนั้นไม่พอเพียงที่จะให้พระเยซูทรงใช้แม้เพียงหนึ่งวินาทีในพระราชกิจของพระองค์!  จริงๆ แล้วเจ้ามีประสบการณ์มากเท่าใดกัน?  สิ่งที่เจ้าเคยเห็นและทั้งหมดที่เจ้าเคยได้ยินมาในช่วงชีวิตของเจ้า และสิ่งที่เจ้าเคยจินตนาการถึงนั้นน้อยกว่างานที่เราทำในชั่วขณะเดียวเสียอีก!  เจ้าอย่าจับผิดและมองหาความผิดพลาดจะดีที่สุด  เจ้าสามารถโอหังได้เท่าที่เจ้าต้องการ แต่เจ้าก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างซึ่งเทียบไม่ได้แม้มดตัวหนึ่ง!  ทั้งหมดที่เจ้ามีในพุงเจ้านั้นน้อยกว่าสิ่งที่อยู่ในพุงของมดตัวหนึ่ง!  จงอย่าคิดว่านี่ทำให้เจ้ามีสิทธิทำท่าทางอย่างลำพองและคุยโตได้เพียงเพราะเจ้าเคยได้รับประสบการณ์และวัยวุฒิมาบ้างแล้ว  ประสบการณ์และวัยวุฒิของเจ้าไม่ใช่ผลิตผลของคำพูดที่เราได้เอ่ยออกไปหรอกหรือ?  เจ้าเชื่อหรือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนจากแรงงานและการตรากตรำงานหนักของเจ้าเองไหม?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การประสูติเป็นมนุษย์สองหนทำให้นัยสำคัญของการประสูติเป็นมนุษย์ครบบริบูรณ์)  เมื่อไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ผมก็รู้สึกละอายใจ ผมยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าได้ไม่นาน และผมกระตือรือร้นในหน้าที่ของตนเองเล็กน้อย เข้าใจพระวจนะและหลักคำสอนบางส่วน และบรรลุผลบางอย่างในงานของผม และผมจึงถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นวุฒิภาวะของผม โดยคิดว่าตัวผมดีกว่าคนอื่นๆ และเข้าใจความจริงดีกว่าผู้อื่น ผมมักจะใช้เรื่องนี้เป็นทุนในการโอ้อวดและทำให้คนอื่นๆ ยกย่องผม ผมโอหังมากเกินไปจริงๆ และไม่รู้จักตนเองเลย การที่ผมสามารถสามัคคีธรรมความเข้าใจบางอย่างในการชุมนุม ตอบคำถามต่างๆ ของพี่น้อง และบรรลุผลในงานของผม ล้วนเป็นเพราะพระวจนะที่พระเจ้าทรงแสดงทำให้ผมเข้าใจความจริงบางอย่าง หากไม่ใช่เพราะพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ความจริงที่พระเจ้าทรงแสดง และความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมคงไม่สามารถทำความเข้าใจความจริงได้เลย ไม่ว่าจะเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าหรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผม ผมไม่สามารถเข้าใจสิ่งใดๆ ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวกับตัวผมที่ควรค่าแก่การโอ้อวดเลย อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้รู้สึกสำนึกในบุญคุณสำหรับการให้น้ำและการจัดเตรียมของพระเจ้า แต่กลับยกความดีความชอบทั้งหมดให้กับตัวเอง และใช้เป็นทุนในการโอ้อวดและทำให้คนอื่นๆ ยกย่องผม ผมโอหัง โง่เขลา และไม่ละอายใจ อีกทั้งไม่มีเหตุผลอย่างแท้จริง!  ผมรู้สึกขอบพระคุณพระเจ้าเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทรงช่วยให้ผมตระหนักถึงความเสื่อมทรามของตน และผมต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง ผมจึงเสาะหาความจริงต่อไป โดยคิดว่า “ผมควรแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองและหยุดยกย่องและโอ้อวดตัวเองอย่างไร?  ผมควรฝึกฝนเพื่อยกย่องพระเจ้าและเป็นคำพยานให้พระองค์อย่างไร?”

ต่อมาผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ตอนที่กำลังเป็นคำพยานต่อพระเจ้า โดยหลักแล้วเจ้าควรพูดคุยถึงการที่พระเจ้าทรงพิพากษาและตีสอนผู้คน รวมทั้งบททดสอบอะไรที่พระองค์ทรงใช้ถลุงผู้คนและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา  เจ้าควรพูดคุยเกี่ยวกับการที่ความเสื่อมทรามได้ถูกเปิดเผยในประสบการณ์ของพวกเจ้าไปมากเท่าไร เจ้าทนทุกข์ไปมากเท่าใด เจ้าทำสิ่งที่ต้านทานพระเจ้าไปมากเพียงใด และพระเจ้าได้ทรงพิชิตเจ้าอย่างไรในท้ายที่สุด  จงเล่าว่าเจ้ามีความรู้ที่เป็นจริงเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้ามากเท่าไร และเจ้าควรเป็นพยานสำหรับพระเจ้าและชดใช้คืนพระองค์สำหรับความรักของพระองค์อย่างไร  พวกเจ้าควรใส่สาระสำคัญเข้าไปในภาษาประเภทนี้ ในขณะเดียวกันก็ทำไปในลักษณะอันเรียบง่าย  จงอย่าพูดคุยเกี่ยวกับทฤษฎีอันว่างเปล่าทั้งหลาย  จงพูดจาแบบติดดินไม่ถือตัวให้มากกว่านี้ พูดจาจากหัวใจ  นี่คือวิธีที่เจ้าควรผ่านประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ  จงอย่าทำให้มีทฤษฎีว่างเปล่าทั้งหลายที่ดูลุ่มลึกอยู่ในตัวพวกเจ้าเองด้วยความพยายามที่จะโอ้อวด การทำเช่นนั้นทำให้เจ้าดูเป็นคนค่อนข้างโอหังและไร้เหตุผล  เจ้าควรพูดให้มากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่เป็นจริง จากประสบการณ์จริงของเจ้า และกล่าวออกมาจากหัวใจให้มากขึ้น การนี้มีประโยชน์ต่อผู้อื่นที่สุด และเป็นการเหมาะสมที่สุดที่พวกเขาจะมองเห็น(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้)  “ประการแรก การที่คนเราจะเข้าใจปัญหา ชำแหละและตีแผ่ตัวพวกเขาเองในระดับแก่นแท้นั้น พวกเขาต้องมีหัวใจที่ซื่อสัตย์และท่าทีที่จริงใจ และต้องพูดถึงสิ่งที่พวกเขาสามารถเข้าใจได้เกี่ยวกับปัญหาทั้งหลายในอุปนิสัยของตน  ประการที่สอง หากคนเรารู้สึกว่าตนมีอุปนิสัยที่เลวทราม พวกเขาต้องบอกทุกคนว่า ‘หากฉันเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นนั้นให้เห็นอีก ช่วยเตือนให้ฉันรู้ตัว รวมถึงตัดแต่งฉันได้ตามสบาย  หากฉันไม่สามารถยอมรับได้ ก็อย่าวางมือจากฉัน  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันในด้านนี้ร้ายแรงมาก และฉันจำเป็นต้องได้รับการสามัคคีธรรมถึงความจริงหลายครั้งเพื่อเปิดโปงตัวฉันเอง  ฉันยินดียอมรับการตัดแต่งจากทุกคน และฉันหวังว่าทุกคนจะเฝ้าดูฉัน ช่วยเหลือฉัน และคอยกันไม่ให้ฉันพลัดหลง’  ท่าทีเช่นนี้เป็นอย่างไร?  นี่คือท่าทีของการยอมรับความจริง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ว่าด้วยการร่วมมือกันอย่างปรองดอง)  หลังจากที่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมได้เข้าใจว่า การเป็นคำพยานให้พระเจ้าส่วนใหญ่แล้วเกี่ยวข้องกับการเป็นคำพยานว่าพระเจ้าทรงพิพากษาและทดสอบผู้คนอย่างไร อุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่คนเราเผยออกมาในประสบการณ์ของตน จุดอ่อนและข้อบกพร่องที่คนเราสังเกตเห็นในตนเอง ความเข้าใจที่แท้จริงที่คนเรามีเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ และความเข้าใจและประสบการณ์ตรงที่คนเรามีเกี่ยวกับอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า การสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการเป็นคำพยานยืนยันให้พระเจ้าอย่างแท้จริง สำหรับผมแล้ว เจตนาในการสามัคคีธรรมในระหว่างการชุมนุมคือการทำให้คนอื่นๆ ยกย่องและนับถือผม ผมพูดถึงแต่ด้านที่ดีและความกระตือรือร้นของผมเท่านั้น โดยแทบจะไม่กล่าวถึงจุดอ่อนและความเสื่อมทรามที่ผมได้เผยออกมา การกระทำนี้เป็นการยกย่องและโอ้อวดตัวเอง ซึ่งพระเจ้าทรงรังเกียจและเกลียดชัง ผมควรเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เปิดอกถึงความเสื่อมทรามของตน และพูดถึงความคิดที่แท้จริงของผม โดยให้คนอื่นๆ สามารถเห็นตัวตนที่แท้จริงของผม ขณะที่ยอมรับการควบคุมดูแลและความช่วยเหลือของพี่น้องด้วยเช่นกัน นั่นคือสิ่งที่ผมจะปฏิบัติ หลังจากนั้น ในระหว่างการชุมนุม ผมเปิดใจกับพี่น้องเกี่ยวกับการที่ผมโอ้อวดและเป็นคำพยานให้ตนเอง เจตนาที่น่ารังเกียจที่ผมมีอยู่ภายในใจ และความเสื่อมทรามที่ผมได้เผยออกมา ผมยังบอกกับพวกเขาว่าผมเองก็มีความอ่อนแอและความคิดลบ และพวกเขาไม่ควรยกย่องและนับถือผมอีกต่อไป หลังจากการสามัคคีธรรมเช่นนี้ ผมรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจมาก เมื่อได้ฟังประสบการณ์ของผมแล้ว พี่น้องบางคนกล่าวว่า พวกเขาก็ได้ทำความเข้าใจความเสื่อมทราบของตนเองเช่นกัน ต่อมาพี่น้องไม่เทิดทูนหรือพึ่งพาผมมากเท่าที่ผ่านมาอีกต่อไป และถึงแม้ว่าบางคนจะยังชมเชยการสามัคคีธรรมของผมบ้างเป็นครั้งคราว ผมก็ไม่ได้รับผลกระทบจากคำพูดของพวกเขาอีกต่อไป

จากนั้นมา ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าก่อนหน้าการชุมนุมเกือบทุกครั้ง “ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ควรได้รับการสรรเสริญ ข้าพระองค์เป็นเพียงคนที่เสื่อมทราม ข้าพระองค์ต้องเปิดใจและพูดความคิดที่แท้จริง โปรดทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจของข้าพระองค์ เพื่อให้คำพูดและการกระทำของข้าพระองค์ไม่เป็นการโอ้อวดตนเอง แต่เป็นคำพยานให้พระองค์” ด้วยเหตุนี้ ในแต่ละการชุมนุม ผมจึงมุ่งเน้นไปที่การไตร่ตรองถึงพระวจนะของพระเจ้าและการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความเข้าใจและการทำความเข้าใจพระวจนะของผม อีกทั้งยังเปิดใจและเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผมอยู่บ่อยๆ ด้วย นอกจากนี้ ผมยังบอกให้พี่น้องควบคุมดูแลผมด้วย และหากพวกเขาเห็นว่าผมปิดบังตนเอง พวกเขาสามารถเปิดโปงและตัดแต่งผมได้ โดยช่วยให้ผมเข้าใจความเสื่อมทรามของตนเองและปลดแอกจากการควบคุมของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ ผมเคยคิดว่าคนอื่นๆ สามัคคีธรรมได้ไม่ดี และไม่เคยรับฟังสามัคคีธรรมของพวกเขาอย่างตั้งใจ แต่ในตอนนี้ผมตั้งใจฟังพี่น้องเมื่อพวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์และความเข้าใจของพวกเขา เมื่อมีความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมจดบันทึก และสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้จากประสบการณ์ของพี่น้อง การที่ผมสามารถปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ได้ เป็นเพราะการพิพากษา การเปิดโปง ความรู้แจ้ง และความกระจ่างของพระวจนะของพระเจ้า ขอบพระคุณการทรงนำของพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 95. ฉันจะไม่ตีกรอบพระเจ้าอีกต่อไป

ถัดไป: 97. ทางเลือกเมื่อตกอยู่ในอันตราย

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger