31. ฉันไม่ต้องการการดูแลของคุณ

โดยมิลเดรด จากมาเลเซีย

ไม่นานหลังจากที่ฉันยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย ศิษยาภิบาลลีก็ทราบเรื่อง วันหนึ่งเขาโทรมาและขอให้ฉันไปที่คริสตจักร ฉันคิดว่า เขาแตกฉานในพระคัมภีร์ รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปี และใช้ชีวิตด้วยความเชื่อแรงกล้า ยิ่งไปกว่านั้น เขาบอกเราอยู่เสมอให้รอคอยการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างเฝ้าระวัง และฉันก็อยากแบ่งปันข่าวประเสริฐกับเขา และบอกเขาว่าองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จกลับมาแล้ว ฉันคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดี แต่เมื่อเราพบกัน ฉันต้องประหลาดใจที่เขามองฉันอย่างตำหนิและถามอย่างไม่พอใจว่า “มิลเดรด ในฐานะมัคนายก คุณเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ยังไง?  ทำไมไม่มาปรึกษาผมก่อนที่จะยอมรับเรื่องนี้?  ผมตรวจสอบให้คุณได้นะ!  เห็นได้ชัดว่าคุณขาดความรู้ในพระคัมภีร์ และถ้าไม่มีเราคอยเฝ้าระวังให้ คุณจะถูกชักพาให้หลงผิดได้ง่ายมาก” พอได้ยินศิษยาภิบาลลีพูดแบบนี้ ฉันก็รู้สึกอึดอัดใจมาก ฉันคิดว่า “การสืบค้นหนทางที่แท้จริงเป็นอิสรภาพส่วนตัวของฉัน ทำไมต้องได้รับการเห็นชอบหรือการดูแลจากคุณด้วยล่ะ?  อีกอย่าง ฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามานานกว่าสองทศวรรษแล้ว และแม้ว่าฉันจะไม่รู้เรื่องพระคัมภีร์มากเท่าคุณ แต่ก็ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่มีความคิดและความเห็นของตัวเอง!  ฉันสืบค้นเรื่องนี้อย่างแข็งขันมาสามเดือนแล้ว ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มามาก และยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระสุรเสียงของพระเจ้าก็ต่อเมื่อฉันแน่ใจแล้วเท่านั้น” ฉันจึงตอบไปว่า “ศิษยาภิบาลลี เพียงแค่อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ก็รู้แล้วว่าพระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าที่เสด็จกลับมาหรือไม่” จากนั้นฉันก็เปิดแอปของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในโทรศัพท์ของฉัน และอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บทตอนหนึ่งแบบออกเสียง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตลอดทั่วทั้งจักรวาลเรากำลังทำงานของเรา และในทิศตะวันออก เสียงสนั่นราวฟ้าร้องดังขึ้นอย่างไม่รู้จบ สั่นสะเทือนทุกชนชาติและทุกนิกาย  เป็นถ้อยคำของเรานั่นเองที่ได้นำทางมนุษย์ทั้งหมดมาสู่ปัจจุบันนี้  เราทำให้มนุษย์ทั้งปวงถูกวจนะของเราพิชิต  ตกสู่กระแสธารนี้ และยอมสยบอยู่เบื้องหน้าเรา เพราะเราได้ถอนสง่าราศีของเราจากแผ่นดินโลกทั้งปวงมานานแล้ว และส่องสง่าราศีออกมาอีกครั้งทางทิศตะวันออก  ใครบ้างไม่ถวิลหาที่จะได้เห็นสง่าราศีของเรา?  ใครบ้างไม่รอคอยการกลับมาของเราอย่างกระวนกระวาย?  ใครบ้างไม่กระหายการปรากฏอีกครั้งของเรา?  ใครบ้างไม่คะนึงหาความน่ารักของเรา?  ใครบ้างจะไม่มาหาความสว่าง?  ใครบ้างจะมองไม่เห็นความอุดมสมบูรณ์ของคานาอัน?  ใครบ้างไม่ถวิลหาการเสด็จกลับมาของพระผู้ไถ่?  ใครบ้างไม่ชื่นชมพระองค์ผู้ทรงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่?  วจนะของเราจะถูกถ่ายทอดไปทั่วแผ่นดินโลก เราจะประกาศและกล่าววจนะเพิ่มเติมแก่ประชากรที่เราเลือกสรร ดั่งฟ้าคำรามกึกก้องที่สั่นสะเทือนภูเขาและแม่น้ำ  เรากล่าววจนะของเราต่อทั้งจักรวาลและต่อมวลมนุษย์  ดังนั้นวจนะจากปากของเราจึงได้กลายเป็นขุมทรัพย์ของมนุษย์ และมนุษย์ทั้งหมดก็ทะนุถนอมวจนะของเรา  ฟ้าแลบนั้นส่องแสงจากทิศตะวันออกตลอดทางไปจนถึงทิศตะวันตก  วจนะของเราเป็นวจนะที่มนุษย์ไม่เต็มใจที่จะพรากจากไป และวจนะเหล่านั้นยากที่มนุษย์จะหยั่งถึง และยิ่งไปกว่านั้น วจนะเหล่านั้นยังทำให้มนุษย์รู้สึกปีติยินดีอีกด้วย  มนุษย์ทุกคนต่างรู้สึกเปรมปรีดิ์และชื่นบาน และเฉลิมฉลองการมาของเรา ประดุจทารกแรกเกิด  เราจะนำพามนุษย์ทั้งหมดมาอยู่เบื้องหน้าเราโดยอาศัยวจนะของเรา  นับจากนั้นไป เราจะเข้าสู่หมู่มนุษย์อย่างเป็นทางการ และทำให้พวกเขามานมัสการเรา  ด้วยสง่าราศีที่เราเปล่งรัศมีออกมาและวจนะจากปากของเรา เราจะทำให้มนุษย์ทั้งหมดมาอยู่เบื้องหน้าเราและเห็นว่าฟ้าแลบนั้นส่องแสงจากทิศตะวันออก และเราได้ลงมายัง ‘ภูเขามะกอกเทศ’ แห่งทิศตะวันออก  เรามาที่แผ่นดินโลกนานแล้ว อีกทั้งเราไม่ใช่บุตรของชาวยิวอีกต่อไป แต่เป็นฟ้าแลบแห่งทิศตะวันออก  ด้วยเหตุที่เราได้คืนชีพมานานแล้ว และได้ไปจากท่ามกลางมวลมนุษย์ จากนั้นก็ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งด้วยสง่าราศีท่ามกลางมนุษย์  เราคือองค์ผู้ได้รับการนมัสการมาหลายยุคสมัยนับไม่ถ้วนก่อนหน้านี้ และเรายังเป็นทารกที่ถูกคนอิสราเอลละทิ้งมาหลายยุคสมัยนับไม่ถ้วนก่อนหน้านี้เช่นกัน  ยิ่งไปกว่านั้น เราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อันเปี่ยมพระสิริแห่งยุคปัจจุบัน!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังกังวาน—การเผยพระวจนะว่าข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรจะเผยแผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล)  เขาไม่รอให้ฉันอ่านจบด้วยซ้ำ แต่พูดขัดจังหวะอย่างใจร้อนว่า “ไม่จำเป็นต้องอ่านต่อแล้ว ผมดาวน์โหลดแอปนี้มาตั้งนานแล้ว และได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาเป็นพยานว่าพระวจนะของพระองค์เป็นพระวจนะของพระเจ้า แต่นั่นเป็นไปไม่ได้!  พระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าอยู่ในพระคัมภีร์ ถ้อยดำรัสใดๆ จากพระเจ้าไม่อาจอยู่นอกพระคัมภีร์ ต่อให้พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มีสิทธิอำนาจ ผมก็ยังจะไม่เชื่อในพระองค์อยู่ดี!” ฉันประหลาดใจมากที่ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ในฐานะศิษยาภิบาล เขาพูดได้อย่างไรว่า ต่อให้พระวจนะของพระองค์มีสิทธิอำนาจ เขาก็จะไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์?  เขาไม่ใช่ผู้เชื่อหรอกหรือ?  ฉันโต้กลับไปว่า “ศิษยาภิบาลลี คุณกล้าแน่ใจได้หรือว่าพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าอยู่ในพระคัมภีร์?  คุณเองก็พูดถึงยอห์นบทที่ 21 ข้อ 25 อยู่บ่อยครั้งว่า ‘พระเยซูยังทรงทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าจะเขียนให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าแม้ที่ทั้งโลกไม่พอใส่หนังสือที่จะเขียนนั้น’ องค์พระเยซูเจ้าทรงงานและประกาศบนแผ่นดินโลกเป็นเวลาสามปีครึ่ง คุณคิดว่าในแต่ละวันพระองค์ตรัสมากแค่ไหน?  คุณคิดว่าพระองค์ตรัสมากแค่ไหนในทุกคำเทศนาที่พระองค์ทรงประกาศ?  ตลอดสามปีครึ่งนั้น องค์พระเยซูเจ้าทรงประกาศคำเทศนามากมาย และตรัสหลายสิ่งหลายอย่าง นับยังไงก็ไม่หมด!  สิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในข่าวประเสริฐสี่เล่มครอบคลุมเพียงส่วนเล็กน้อยที่ถูกจำกัด เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง ด้วยเหตุนี้ การอ้างว่าไม่มีพระวจนะของพระเจ้าอยู่นอกพระคัมภีร์จึงไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเลย อีกอย่าง องค์พระเยซูเจ้าทรงเผยพระวจนะไว้นานแล้วว่า ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล’ (ยอห์น 16:12-13)  หนังสือวิวรณ์ยังเผยพระวจนะไว้ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จกลับมาในยุคสุดท้ายและทรงเปิดหนังสือม้วน ว่าพระองค์จะตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย ทั้งหมดนี้จะเป็นพระวจนะใหม่ที่พระเจ้าจะตรัสในยุคสุดท้าย และไม่มีทางที่พระวจนะเหล่านี้จะถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ล่วงหน้า ดังนั้นหากไม่มีพระราชกิจหรือพระวจนะของพระเจ้าอยู่นอกพระคัมภีร์ คำเผยพระวจนะเหล่านั้นจะเป็นจริงได้ยังไง?  ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงความจริงทั้งหมดที่ชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และนี่คือหนังสือม้วนที่หนังสือวิวรณ์เผยพระวจนะไว้ว่าพระเมษโปดกจะทรงเปิด นั่นคือสิ่งที่พระวจนะที่ว่า ‘ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย’ (วิวรณ์ 2:7) กล่าวถึง เราควรแสวงหาด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง นี่เป็นหนทางเดียวที่จะต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า” เมื่อฉันพูดจบ ศิษยาภิบาลลีก็พูดอย่างดูถูกว่า “คุณดูจะมีความรู้ในเรื่องนี้ไม่น้อย แถมยังดูเหมือนจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มาไม่น้อยเลยนะ!  แต่เราจะหลงไปจากพระคัมภีร์ในความเชื่อของเราไม่ได้ หากคุณหลง คุณจะยังเรียกตัวเองว่าเป็นผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร?  ไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะวิเศษเพียงใด ต่อให้จะเป็นความจริงก็เถอะ ผมก็จะไม่รับรู้หรือยอมรับอะไรที่อยู่นอกพระคัมภีร์ ผมขอให้คุณเลิกเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ มิฉะนั้น สิทธิ์ของคุณในการรับใช้ในคริสตจักรจะถูกเพิกถอน และคุณจะเสียใจในภายหลัง!” ฉันจึงพูดว่า “ศิษยาภิบาลลี ในฐานะผู้เชื่อ เราไม่ได้รอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมารับเราหรอกหรือ?  ตอนนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าได้เสด็จกลับมาและทรงแสดงความจริงมากมายแล้ว เราควรตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนไม่ใช่หรือ?  หากเราไม่แสวงหาด้วยจิตใจที่เปิดกว้าง เอาแต่ยึดติดกับมโนคติอันหลงผิดและจินตนาการของตัวเอง และพลาดโอกาสที่จะต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็จะสายเกินไปที่จะเสียใจนะ!” นึกไม่ถึงว่าเขาจะตอบด้วยความโกรธว่า “พอได้แล้ว!  ผมจะไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมจะให้เวลาคุณคิดทบทวนเรื่องนี้อีกหน่อย และถ้าคุณยังคงเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมจะขับไล่คุณออกจากคริสตจักร” จากนั้นเขาก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก ฉันตกใจมากที่เห็นศิษยาภิบาลทำตัวแบบนี้ เขาบอกเราเสมอว่า มีเพียงผู้ที่แสวงหาด้วยจิตใจที่เปิดกว้างเท่านั้นที่จะได้รับการยอมรับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเมื่อเผชิญกับบางสิ่งที่สำคัญมากอย่างการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาไม่เพียงจะไม่แสวงหาอะไรเลย แต่จะขัดขวางไม่ให้เราตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย และถึงกับขู่ว่าจะขับไล่ฉันออกจากคริสตจักร นั่นไม่ใช่การพูดอย่างทำอย่าง การเป็นคนหน้าซื่อใจคดหรอกหรือ?  นั่นไม่ใช่คนที่ปรารถนาการปรากฏขององค์พระผู้เป็นเจ้า!  

ฉันไปคริสตจักรในวันอาทิตย์ และศิษยาภิบาลหงตามหาฉันและพูดว่า “ได้ยินมาว่าคุณตรวจสอบคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อยู่หรือ?  วิธีการประกาศของพวกเขาอยู่นอกเหนือพระคัมภีร์ และความเชื่อของเรามีพื้นฐานมาจากพระคัมภีร์ การหลงไปจากพระคัมภีร์คือการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า คุณต้องละทิ้งความเชื่อของคุณในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!” ฉันจึงถามเขาว่า “เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงงาน พระองค์ทรงปฏิบัติตามพันธสัญญาเดิมหรือเปล่า?  พระองค์ทรงประกาศหนทางแห่งการกลับใจ รักษาคนเจ็บป่วย และขับไล่ปีศาจ พระองค์ถูกตรึงกางเขนในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาปของมวลมนุษย์ ทุกสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสและทรงทำล้วนอยู่นอกพระคัมภีร์และไม่อยู่ในพันธสัญญาเดิม คุณจะพูดไหมว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงไม่ใช่พระเจ้าที่แท้จริง ว่าพระราชกิจของพระองค์ไม่ใช่หนทางที่แท้จริง?  คุณจะพูดไหมว่าการเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าคือการทรยศพระยาห์เวห์พระเจ้า?  คุณจะกล้าอ้างไหมว่าพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าไม่อาจอยู่นอกพระคัมภีร์?  นั่นไม่ใช่การใช้พระคัมภีร์เพื่อพยายามตีกรอบและต่อต้านพระเจ้าหรอกหรือ?” เขาพูดตัดบทฉันด้วยความโกรธว่า “พอได้แล้ว!  หากคุณยืนกรานที่จะเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ก็อย่าเสียเวลากับการเสียใจเรื่องอะไรเลย” เมื่อพูดจบ เขาก็หัวเราะเบาๆ อย่างเหยียดหยามและเดินจากไป เมื่อเห็นสีหน้าของเขา ฉันก็รู้สึกกลัวนิดหน่อย ฉันไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อไป นึกไม่ถึงว่าหลังจากรอบนมัสการเริ่มขึ้น ศิษยาภิบาลหงจะเปิดวิดีโอที่ใส่ร้ายป้ายสีคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ วิดีโอไร้มูลเหตุเหล่านี้ที่เต็มไปด้วยเรื่องแต่งทำให้ฉันโกรธมาก เหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปีแล้ว และโดยทั่วไปพวกเขาก็ดูมีความเชื่อแรงกล้ามาก แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าพวกเขาจะขาดแม้แต่หัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าขั้นพื้นฐานที่สุด แบบนั้นจะนับว่าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าได้ยังไงกัน?  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงความจริงมามากมาย และหาอ่านได้หมดทางออนไลน์ ให้ทุกคนแสวงหาและสืบค้น ไม่ว่าคุณจะยอมรับความจริงเหล่านั้นหรือไม่ คุณก็ไม่ควรใส่ร้ายป้ายสีหรือกล่าวอ้างเท็จ และยิ่งไม่ควรห้ามไม่ให้ผู้อื่นสืบค้นหนทางที่แท้จริง พฤติกรรมของเหล่าศิษยาภิบาลต่างจากพวกฟาริสีที่ต่อต้านองค์พระเยซูเจ้าในสมัยก่อนอย่างไร?  หลังจากดูวิดีโอ ศิษยาภิบาลหงก็ไปยืนที่แท่นเทศน์และอ่านคำพูดของเปาโลบทตอนหนึ่งจากพระคัมภีร์ที่ว่า “ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจที่พวกท่านด่วนละทิ้งพระองค์ผู้ซึ่งทรงเรียกท่านมาโดยพระคุณของพระคริสต์ และหันไปหาข่าวประเสริฐอื่นเสีย ซึ่งที่จริงไม่ใช่ข่าวประเสริฐ แต่มีบางคนทำให้พวกท่านยุ่งยาก และปรารถนาบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์ แม้แต่เราเองหรือทูตจากฟ้าสวรรค์ ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่พวกท่าน ซึ่งขัดกับข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่พวกท่านไปแล้วนั้น ก็จะต้องถูกแช่งสาป” (กาลาเทีย 1:6-8)  จากนั้นเขาก็พูดว่า “เราเป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูเจ้าอยู่แล้ว และเราต้องภักดีต่อพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าและหนทางของพระองค์ เราจะออกไปฟังเรื่องนู้นนี้ที่เคยถูกประกาศไว้ไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้น เราจะยอมรับข่าวประเสริฐอื่นใดไม่ได้ ตอนนี้เราจะรับฟังคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่เป็นพยานว่าองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จกลับมาแล้วไม่ได้ นี่จะเป็นการหลงไปจากความเชื่อของเราและการขัดต่อความเชื่อของเรา ใครก็ตามที่ถูกพบว่ายอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะถูกขับออกจากคริสตจักรทันที!  รายงานผมทันทีหากมีใครแบ่งปันข่าวประเสริฐเรื่องพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับคุณ มิฉะนั้น คุณจะทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า!” หลังจากพูดจบ เขาก็มองมาทางฉันอย่างโจ่งแจ้ง เมื่อเห็นว่าเขาหลงใหลได้ปลื้มกับตัวเองมากเพียงใด ฉันก็นึกถึงพวกฟาริสีในวิหาร ที่ชักพาให้ผู้เชื่อหลงผิดและยุยงให้พวกเขาปฏิเสธองค์พระเยซูเจ้า ฉันโกรธมาก ที่เห็นว่าทุกคนที่นั่นดูหวาดกลัวสิ่งที่ศิษยาภิบาลหงพูด ศิษยาภิบาลหงรู้จักพระคัมภีร์เป็นอย่างดี เขาไม่รู้จริงๆ หรือว่าอะไรอยู่เบื้องหลังคำกล่าวนี้ของเปาโล?  ความเป็นจริงก็คือเปาโลพูดว่ามีข่าวประเสริฐเพียงข่าวเดียวในยุคพระคุณ ซึ่งก็คือข่าวประเสริฐเรื่องพระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า การฟังข่าวประเสริฐอื่นใดในยุคพระคุณจะเป็นการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ตอนที่เปาโลกล่าวคำพูดนี้ พระเจ้ายังไม่ได้ทรงทำพระราชกิจในยุคสุดท้าย และไม่มีใครแบ่งปันข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร ด้วยเหตุนี้ การพูดว่า “ข่าวประเสริฐอื่น” ในที่นี้จึงไม่มีทางหมายถึงข่าวประเสริฐเรื่องการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าในยุคสุดท้ายอย่างแน่นอน เปาโลไม่เคยพูดว่าการประกาศข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาเป็นเรื่องผิด และยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เคยกล้าพูดว่าการยอมรับข่าวประเสริฐเรื่องการเสด็จกลับมาขององค์พระเยซูเจ้าเป็นการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า ศิษยาภิบาลหงกำลังโยงสิ่งที่เปาโลพูดเข้ากับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์โดยพลการ นั่นไม่ใช่การใช้บทตอนนั้นนอกบริบทและตีความพระคัมภีร์แบบผิดๆ เพื่อชักนำผู้คนให้หลงผิดหรอกหรือ?  หลังจากรอบนมัสการ ศิษยาภิบาลหงเตือนฉันอีกครั้งว่าอย่าแบ่งปันข่าวประเสริฐเรื่องพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับพี่น้องชายหญิงคนใด ฉันคิดว่า “พี่น้องชายหญิงล้วนอยู่ในฝูงแกะของพระเจ้า และแกะของพระเจ้าก็ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ ศิษยาภิบาลหงบอกฉันว่าอย่าแบ่งปันข่าวประเสริฐนี้กับพวกเขา ทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และขัดขวางไม่ให้พวกเขาหันกลับมาหาพระองค์ นั่นไม่ใช่การปิดกั้นเส้นทางของพวกเขาในการเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์หรอกหรือ?” เรื่องนี้ทำให้ฉันนึกถึงสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสตอนกล่าวโทษพวกฟาริสีที่ว่า “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม” (มัทธิว 23:13)  “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าไปทั่วทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อจะได้สักคนหนึ่งเข้าจารีต แต่เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาตกนรกยิ่งกว่าพวกเจ้าเองถึงสองเท่า” (มัทธิว 23:15)  เมื่อได้ยินคำพยานเรื่องการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกผู้นำศาสนาไม่เพียงไม่แสวงหาด้วยตัวเอง แต่ยังขัดขวางไม่ให้แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์และต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย พวกเขาเหมือนพวกฟาริสีทุกประการ ล้วนเป็นผู้รับใช้ที่ชั่วร้าย คอยขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ ฉันจะถูกเหล่าศิษยาภิบาลตีกรอบไม่ได้ ฉันต้องคว้าทุกโอกาสเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐกับพี่น้องชายหญิง และป้องกันไม่ให้พวกเขาถูกเหล่าศิษยาภิบาลชักพาให้หลงผิดไปมากกว่านี้ และพลาดโอกาสที่จะต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ไม่นานหลังจากนั้น อยู่ๆ ศิษยาภิบาลลีก็โทรมาขอฉันให้ไปที่คริสตจักรแบบไม่ทันตั้งตัว เมื่อฉันไปถึง ก็มีคนอื่นอีกห้าคนอยู่ที่นั่น มีเหล่ามัคนายกและผู้บริหาร รวมถึงตัวเขาด้วย ศิษยาภิบาลลีถามฉันอย่างยิ้มแย้มว่า “สรุปแล้วคุณคิดทบทวนหรือยัง” ฉันตอบอย่างจริงจังว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงความจริงมากมายและกำลังทรงทำพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย จากการอ่านพระวจนะของพระองค์ ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นการเสด็จกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า หนทางเดียวที่จะปลดพันธนาการของบาปและได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ คือต้องยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย เมื่อนั้นเท่านั้นที่เราจะคู่ควรได้เข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ ฉันจะเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ทันทีที่พูดจบ มัคนายกคนหนึ่งก็ลุกขึ้นมาชี้หน้าฉันด้วยความโกรธและพูดว่า “ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป คุณจะไม่ได้รับอนุญาตให้สอนรวีวารศึกษา หรือดูแลการเงินของคริสตจักรอีกต่อไป!” ศิษยาภิบาลลีหันไปหามัคนายกคนนั้นแล้วโบกมือให้เขา จากนั้นก็พูดกับฉันว่า “บาปทั้งหลายของเราได้รับการยกโทษแล้วผ่านทางความเชื่อของเราในองค์พระเยซูเจ้า ไม่มีความจำเป็นเลยที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะต้องทรงทำพระราชกิจแห่งการพิพากษาและชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์ พระองค์จะพาเราขึ้นไปยังราชอาณาจักรแห่งสวรรค์โดยตรงเมื่อพระองค์เสด็จมา” ฉันตอบไปว่า “เป็นความจริงที่องค์พระเยซูเจ้าทรงยกโทษบาปทั้งหลายของเราเมื่อพระองค์ถูกตรึงกางเขน แต่การได้รับการยกโทษบาปทั้งหลายหมายความว่าเราไม่ทำบาปแล้วหรือ ว่าเราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วหรือ?  การยกโทษบาปทั้งหลาย หมายถึงการได้รับการไถ่จากองค์พระเยซูเจ้า เพื่อที่เราจะได้ไม่ถูกกล่าวโทษภายใต้ธรรมบัญญัติอีกต่อไป ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ทำบาปแล้ว หรือว่าเราคู่ควรที่จะได้เข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ เราเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าและการยกโทษบาปทั้งหลาย แต่ธรรมชาติอันเป็นบาปของเรายังไม่ได้ถูกกำจัดไป แปลว่าเรายังคงทำบาป สารภาพ และทำบาปอีกครั้งอยู่ร่ำไป เผยให้เห็นอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เช่น ความโอหังและการหลอกลวง ต่อสู้กันเพื่อชื่อเสียงเงินทอง แย่งชิงอำนาจ และกบฏต่อพระเจ้าและต่อต้านพระองค์ เราไม่สามารถหนีจากพันธนาการของบาปได้ พระคัมภีร์บอกว่า ‘ถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย’ (ฮีบรู 12:14)  องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบริสุทธิ์ ดังนั้นเมื่อเราเต็มไปด้วยความเลวทรามต่ำช้าและไม่คู่ควรแม้แต่น้อยที่จะได้เห็นพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราจะคู่ควรกับราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้อย่างไร?  นี่คือเหตุผลที่องค์พระเยซูเจ้าทรงสัญญากับเราว่า พระองค์จะเสด็จกลับมาในยุคสุดท้ายเพื่อแสดงความจริงและทำพระราชกิจอีกขั้นเพื่อพิพากษาและชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์ เราไม่คู่ควรที่จะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า เว้นแต่เราจะยอมรับการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายและความเสื่อมทรามของเราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์” จากนั้นศิษยาภิบาลลีก็พูดอย่างเหยียดหยามว่า “เรากำลังรอคอยองค์พระเยซูเจ้าที่มีรอยตะปูบนพระหัตถ์ ผู้ซึ่งจะเสด็จมาบนก้อนเมฆเพื่อรับเราเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ ต่อให้ทุกสิ่งที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสจะเป็นความจริง ผมก็ยังไม่ยอมรับอยู่ดี!” เหล่ามัคนายกพูดเสริมด้วยว่า “ใช่ เรากำลังรอให้องค์พระเยซูเจ้าเสด็จลงมาด้วยก้อนเมฆและนำเราเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์” จากนั้นพวกเขาก็พูดบางอย่างที่เป็นการใส่ร้ายป้ายสีและหมิ่นประมาทพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันโกรธมากเมื่อเห็นว่าพวกเขายึดติดและหัวรั้นเพียงใด ฉันพูดว่า “พวกคุณเป็นผู้นำในคริสตจักร แต่พอได้ยินคำพยานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เสด็จกลับมาแล้ว พวกคุณไม่เพียงปฏิเสธที่จะแสวงหาและสืบค้นด้วยจิตใจที่เปิดกว้าง แต่พวกคุณยังกล้าที่จะเผยแพร่เหตุผลวิบัติ ต่อต้าน และกล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกด้วย พวกคุณทำอย่างเพื่อขวางทางไม่ให้เราตรวจสอบและยอมรับหนทางที่แท้จริง พวกคุณเคยคิดถึง ธรรมชาติของพฤติกรรมนี้ไหม และจุดจบและผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร?  พวกฟาริสียึดติดกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตัวเอง ท้าทายและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้าอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาจับพระองค์ตรึงกางเขน ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า จึงถูกพระเจ้าทรงสาปแช่งและลงโทษ บทเรียนนี้จากความล้มเหลวของพวกฟาริสีไม่ได้เป็นคำเตือนสำหรับพวกคุณเลยจริงๆ หรือ?  อย่างน้อยพวกคุณก็ควรจะฟังพระวจนะของพระเจ้าก่อนที่จะตัดสินใจสิ!” จากนั้นฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งให้พวกเขาฟังว่า “พวกที่ปรารถนาที่จะได้รับชีวิตโดยไม่พึ่งพาความจริงที่พระคริสต์ตรัสคือผู้คนที่ไร้สาระน่าขันที่สุดบนแผ่นดินโลก และพวกที่ไม่ยอมรับหนทางแห่งชีวิตซึ่งพระคริสต์ทรงนำพามาคือคนที่หลงอยู่ในความเพ้อฝัน  และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าพวกที่ไม่ยอมรับพระคริสต์ของยุคสุดท้ายจะถูกพระเจ้าทรงเกลียดชังไปตลอดกาล  พระคริสต์ทรงเป็นประตูให้มนุษย์ไปสู่ราชอาณาจักรในระหว่างยุคสุดท้าย และไม่มีใครที่สามารถอ้อมเลี่ยงพระองค์ได้  อาจไม่มีใครเลยที่พระเจ้าทรงทำให้มีความเพียบพร้อมเว้นแต่จะผ่านทางพระคริสต์  เจ้าเชื่อในพระเจ้า และดังนั้นเจ้าต้องยอมรับพระวจนะของพระองค์และนบนอบพระวจนะของพระองค์  เจ้าไม่สามารถนึกถึงเพียงการได้รับพรเท่านั้น ในขณะเดียวกันก็ไม่ยอมรับความจริงและไม่ยอมรับการจัดเตรียมชีวิตได้  พระคริสต์เสด็จมาในระหว่างยุคสุดท้ายเพื่อให้พระองค์ทรงจัดเตรียมชีวิตให้ทุกคนซึ่งเชื่อในพระองค์อย่างจริงใจ  พระราชกิจนี้มีขึ้นเพื่อการสรุปปิดตัวยุคเก่าและเข้าสู่ยุคใหม่ และพระราชกิจนี้คือเส้นทางที่บรรดาผู้ที่จะผ่านเข้าสู่ยุคใหม่ล้วนต้องใช้เดิน  หากเจ้าไม่ยอมรับรู้เกี่ยวกับพระคริสต์ และยิ่งไปกว่านั้นกลับกล่าวโทษ หมิ่นประมาท หรือข่มเหงพระองค์ เช่นนั้นแล้วแน่นอนว่าเจ้าไม่แคล้วถูกเผาไหม้ไปชั่วนิรันดร์และจะไม่มีวันเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้  นี่เป็นเพราะพระคริสต์พระองค์นี้ทรงเป็นการแสดงออกด้วยพระองค์เองของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงเป็นการแสดงออกของพระเจ้า ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่พระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้ปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าหากเจ้าไม่สามารถยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์  การลงทัณฑ์อันสาสมสำหรับพวกที่หมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นประจักษ์ชัดอยู่ในตัวของมันเองต่อทุกคน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้)  ผู้บริหารคนหนึ่งลุกขึ้นมาตะคอกฉันก่อนที่ฉันจะอ่านจบด้วยซ้ำ ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ “พอได้แล้ว!  ผมไม่มีวันยอมรับสิ่งนี้ ไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะมีความจริงอยู่มากแค่ไหนก็ตาม!” ฉันพูดว่า “พวกคุณทุกคนช่างโอหังเหลือเกิน!  นี่คือพระวจนะจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าเอง ฟังไม่ออกหรือ?  พวกคุณจำพระสุรเสียงของพระเจ้าได้จริงหรือ?  พวกคุณเป็นแกะของพระเจ้าจริงหรือ?” ศิษยาภิบาลลีตอบอย่างเหยียดหยามเช่นเคยว่า “ผมไม่เชื่อในใครทั้งนั้นนอกจากองค์พระเยซูเจ้า!” ฉันได้เห็นว่าพวกเขาทุกคนไร้เหตุผลอย่างเหลือเชื่อแค่ไหน และฉันไม่อยากพูดอะไรกับพวกเขาอีก ขณะที่ฉันเตรียมตัวจะออกไป ศิษยาภิบาลลีก็ขู่ฉันว่า “ผมจะให้เวลาคุณไตร่ตรองใหม่อีกหนึ่งเดือน ถ้าคุณยังเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คุณจะถูกขับไล่!” ฉันบอกเขาด้วยความโกรธว่า “ไม่จำเป็นต้องรออีกเดือนหรอก ไล่ฉันออกตอนนี้ได้เลย ฉันไม่กลัวที่จะถูกขจัดจากคริสตจักร สิ่งที่ฉันกลัวคือการไม่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าหรือไม่ได้เห็นการปรากฏตัวขององค์พระผู้เป็นเจ้า การไม่สามารถต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า และพลาดโอกาสที่จะได้รับพรในการเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ชั่วนิรันดร์ ตอนนี้ฉันได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าแล้ว และถูกพาขึ้นไปอยู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้า และกำลังเข้าร่วมงานเลี้ยงสมรสของพระเมษโปดก ต่อให้คุณไม่ขับไล่ฉัน ฉันก็จะไม่มีวันมาร่วมรอบนมัสการที่นี่อีก!” นึกไม่ถึงว่าศิษยาภิบาลลีจะหัวเราะอย่างเย็นชาและพูดว่า “ตอนนี้เราขจัดคุณไม่ได้แล้ว ถ้าเราทำ พี่น้องชายหญิงจะหาว่าเราไม่ปฏิบัติต่อคุณด้วยความรัก เมื่อผ่านไปอีกเดือน เราจะบอกพวกเขาว่า คุณทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้าและตัดสินใจออกจากคริสตจักร ว่าเราพยายามอย่างหนักเพื่อให้คำแนะนำคุณ แต่คุณยังคงยืนกรานที่จะเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เราจะบอกว่าเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขับไล่คุณออกจากคริสตจักร” ฉันโกรธมากเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ เขาเป็นคนหน้าซื่อใจคดจริงๆ!  ปกติเขาจะเอาใจใส่สมาชิกในคริสตจักรของตัวเองมาก แต่กลายเป็นว่าทั้งหมดเป็นเพียงการแสดง เขาทำอย่างนั้นเพียงเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง เพื่อรักษาตำแหน่ง และสร้างภาพลักษณ์ปลอมๆ เรื่องนี้ทำให้ฉันนึกถึงสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสตอนสาปแช่งพวกฟาริสีที่ว่า “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าพวกเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพที่ฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและทุกอย่างที่โสโครก พวกเจ้าก็เป็นอย่างนั้นแหละ ภายนอกดูเหมือนว่าเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความหน้าซื่อใจคดและความอธรรม” (มัทธิว 23:27-28)  ฉันนึกถึงว่าพี่น้องชายหญิงเป็นผู้เชื่อมาหลายปีแล้ว รอคอยที่จะต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาโดยตลอด แต่กลับถูกเหล่าศิษยาภิบาลหลอกลวงและชักพาให้หลงผิด พวกเขาเชื่อข่าวลือและคำพูดเยี่ยงมารของเหล่าศิษยาภิบาล จึงพลาดโอกาสที่จะต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจจริงๆ ไม่มีใครเคยคิดว่าเหล่าผู้นำศาสนาที่คอยเตือนเราอยู่ตลอดให้ระแวดระวังพระคริสต์เทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ จะเป็นศัตรูของพระคริสต์ตัวจริงและชักนำผู้คนให้หลงผิด พวกเขาก็เหมือนขโมยที่ร้องว่า “ขโมย!” ช่างน่ารังเกียจสิ้นดี!  เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉันก็เดินออกไปโดยไม่อยากพูดอะไรกับพวกเขาอีก ศิษยาภิบาลลีเตือนฉันอีกครั้งว่า “ถ้าคุณอยากเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็เป็นเรื่องของคุณ แต่ผมจะไม่อนุญาตให้คุณแบ่งปันข่าวประเสริฐนี้กับพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ”

เมื่อใดก็ตามที่ฉันบังเอิญเจอพี่น้องชายหญิงที่เคยร่วมรอบนมัสการด้วยกัน พวกเขาจะเย็นชากับฉันมาก บางคนก็พยายามหลบหน้าฉัน สิ่งนี้ทำให้ฉันไม่สบายใจมาก แต่ฉันรู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะเหล่าศิษยาภิบาลชักพาให้พวกเขาหลงผิด ยุยงและปลุกปั่นพวกเขา ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ฉันเคยอ่านในการชุมนุมที่ว่า “มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า  ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถทำได้ตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พวกเขาล้วนเป็นคนที่เลวทรามไร้ค่า แต่ละคนยืนค้ำหัวสั่งสอน ‘พระเจ้า’  พวกเขาคือคนที่ถือธงของพระเจ้า แต่กลับจงใจต้านทานพระเจ้า พวกเขาชูป้ายว่าเชื่อในพระเจ้า พลางกินเนื้อหนังและดื่มเลือดของมนุษย์ไปด้วย  ทุกคนที่เป็นเช่นนี้คือเหล่ามารชั่วที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าหัวหน้าปีศาจที่จงใจก่อกวนการออกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องของผู้คน และเป็นเครื่องสะดุดที่คอยขัดแข้งขัดขาการแสวงหาพระเจ้าของผู้คน พวกเขาอาจดูมี ‘สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง’ แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าคนเหล่านั้นเป็นเพียงศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ต้านทานพระเจ้า?  ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ทุกคนที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต้านทานพระเจ้า)  พระวจนะทำให้ฉันคิดถึงเหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส พวกเขาคุ้นเคยกับพระคัมภีร์ ภายนอกพวกเขาดูมีความเชื่อแรงกล้าและเปี่ยมรัก และดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังคงตื่นตัวและปรารถนาการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เมื่อพวกเขาได้ยินใครบางคนเป็นพยานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เสด็จกลับมาแล้ว พวกเขาไม่เพียงปฏิเสธที่จะแสวงหาและสืบค้น แต่ยังยึดติดกับมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาของตัวเองอย่างดื้อรั้นและบิดเบือนพระคัมภีร์ พวกเขารู้ดีว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงความจริงทุกประเภท แต่ยังคงปฏิเสธที่จะยอมรับพระองค์ จงใจต่อต้านและกล่าวโทษพระองค์แทน ถึงขนาดเผยแพร่ความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติต่างๆ นานา พวกเขาทำทุกวิถีทางเพื่อยกย่องและเป็นพยานให้พระคัมภีร์ โดยพูดว่าพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดอยู่ในนั้น ว่าสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากนั้นเป็นความเห็นนอกรีตและการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า ทำให้ผู้คนนมัสการและบูชาพระคัมภีร์แบบหลับหูหลับตา นี่คือความพยายามที่จะใช้พระคัมภีร์เพื่อควบคุมผู้เชื่อให้อยู่ภายใต้อำนาจของพวกเขาอย่างเด็ดขาด พวกเขาออกตัวอยู่เสมอเรื่องต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของผู้เชื่อ ในขณะที่ทำทุกวิถีทางเพื่อขวางทางไม่ให้ผู้เชื่อแสวงหาและสืบค้นพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย พวกเขาถึงกับใช้การขัดขวางไม่ให้เรารับใช้ และไล่เราออกจากคริสตจักรเป็นกลวิธีที่น่ารังเกียจเพื่อข่มขู่และทำให้เราหวาดกลัว เพื่อกดดันให้เราละทิ้งหนทางที่แท้จริง พวกเขาอยากเห็นผู้คนติดอยู่ในดินแดนรกร้างว่างเปล่าทางศาสนาที่ไร้พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มากกว่า เพื่อที่ผู้เชื่อจะได้ถวายเครื่องบูชาและจัดเตรียมให้พวกเขา และทำลายโอกาสที่ผู้เชื่อจะได้ต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาไม่อนุญาตให้ผู้คนอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า หรือหันกลับมาหาพระองค์ ช่างร้ายกาจเหลือเกิน!  พวกเขาเป็นผู้รับใช้ความชั่วร้าย ศัตรูของพระคริสต์ และพวกฟาริสียุคใหม่ที่ถูกพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าเปิดโปง พวกเขาเป็นปีศาจที่ขวางทางไม่ให้ผู้คนเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ ฉันเห็นธาตุแท้ของความหน้าซื่อใจคดของพวกเขาและตั้งปณิธานว่า ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรเพื่อขวางทางหรือขัดขวางฉัน ฉันก็จะไม่มีวันถูกพวกเขาตีกรอบ และฉันจะยังคงอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ต่อไป และมองหาทุกโอกาสที่จะแบ่งปันข่าวประเสริฐกับพี่น้องชายหญิงที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง ด้วยวิธีนั้น แกะของพระเจ้าจะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ได้เร็วขึ้น รอดพ้นจากการชักพาให้หลงผิดและการควบคุมของศัตรูของพระคริสต์แห่งโลกศาสนา และเดินตามรอยพระบาทของพระเมษโปดก

ก่อนหน้า: 30. ไมตรีจิตถือเป็นหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมในการวัดความเป็นมนุษย์ที่ดีหรือไม่?

ถัดไป: 32. จงยึดมั่นในความจริง ไม่ใช่ความรักใคร่

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger