32. จงยึดมั่นในความจริง ไม่ใช่ความรักใคร่

โดยเจียหมิง ประเทศจีน

วันหนึ่งในเดือนกรกฎาคม ปี 2017 ผมได้รับจดหมายจากผู้นำคริสตจักร ในจดหมายบอกว่าคริสตจักรกำลังชำระผู้ไม่เชื่อออก และขอให้ผมเขียนประเมินน้องชายผม ผมประหลาดใจและกังวลนิดหน่อย คริสตจักรกำลังจะเอาตัวน้องชายของผมออกไปหรือ?  ไม่งั้นพวกเขาจะให้ผมเขียนถึงพฤติกรรมของเขาทำไม?  ผมรู้ว่าเขาไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือเข้าร่วมการชุมนุมในเวลาว่าง แต่กลับออกไปสนุกกับเพื่อนฝูงอยู่เสมอ ตามกระแสทางโลก และไม่ได้แสดงความสนใจใดๆ ในเรื่องของความเชื่อเลย เขาถึงกับบอกผมว่าอย่าไปให้ความสำคัญกับความเชื่อมากนัก แต่ให้ออกไปดูโลกมากขึ้นเหมือนเขา ผมพยายามสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้ากับเขา แต่เขาไม่ยอมฟังและถึงกับรำคาญ โดยพูดว่า “พอได้แล้ว! บอกเรื่องพวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ผมไม่สนใจหรอก!” จากนั้นเขาก็เข้านอนเลย พี่น้องชายหญิงได้สามัคคีธรรมกับเขาหลายครั้ง แนะนำให้เขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าและไปร่วมการชุมนุม แต่เขาไม่รับฟังเลย เขาบอกว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นมีข้อจำกัดมาก เขาต้องหาเวลาไปร่วมการชุมนุมอยู่เสมอ และการร่วมคริสตจักรตั้งแต่แรกก็ไม่ใช่ทางเลือกของเขาด้วยซ้ำ เขาทำไปก็เพื่อเอาใจแม่เราเท่านั้น เขาเป็นแบบนี้มาโดยตลอด เมื่อตัดสินจากสิ่งนั้น เขาก็เป็นผู้ไม่เชื่อจริงๆ และจะสอดคล้องกับหลักธรรมถ้าหากเขาถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร แต่เราสนิทกันมาตลอด ตั้งแต่เรายังเด็ก เขาจะเก็บอาหารที่เหลือไว้ให้ผมเสมอตอนได้ของอร่อยมา และแบ่งเงินที่ได้จากคนอื่นให้ผมครึ่งหนึ่ง ครั้งหนึ่ง ครูทำโทษให้ผมอยู่ต่อหลังเลิกเรียน และน้องชายของผมก็เสียใจมากจนร้องไห้ พี่น้องส่วนใหญ่ในหมู่บ้านของเราไม่ได้สนิทกันเท่าเราสองคน เมื่อคิดถึงเรื่องทั้งหมดนั้น ผมก็ทนเขียนถึงปัญหาของเขาไม่ไหว ผมไม่อยากทำลายความผูกพันของเรา ถ้าผมซื่อสัตย์เรื่องการแสดงออกของเขา และคริสตจักรลงเอยด้วยการเอาตัวเขาออกไป งั้นเขาจะไม่มีโอกาสได้รับความรอดเลยไม่ใช่หรือ?  แบบนั้นผมจะไม่โหดร้ายและไร้หัวใจไปหน่อยหรือ?  ถ้าเขารู้ว่าผมเขียนอะไรเกี่ยวกับเขา แล้วไม่ยอมคุยกับผมอีกล่ะ?  ผมตัดสินใจเขียนบางอย่างที่เป็นบวกกว่านั้น โดยบอกว่าบางครั้งเขาก็อ่านพระวจนะของพระเจ้า และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปร่วมการชุมนุม แต่ในหัวใจเขาก็ยังเชื่อในพระเจ้า นั่นจะทำให้เขาได้รับการอะลุ่มอล่วยบ้าง เมื่อผู้นำอ่านแล้ว เธออาจจะสามัคคีธรรมกับเขามากขึ้น และบางทีเขาอาจจะไม่ถูกเอาตัวออกไป แต่ทว่า ถ้าผมไม่ซื่อสัตย์เรื่องพฤติกรรมของเขา นั่นก็จะเป็นการโกหกและการปิดบังความจริง นั่นจะชักพาพี่น้องชายหญิงของเราให้หลงผิดและขัดขวางงานของคริสตจักร ข้างหนึ่งคืองานของคริสตจักร และอีกข้างหนึ่งคือน้องชายของผม ผมไม่รู้ว่าจะเลือกข้างไหน ผมเป็นทุกข์มาก และไม่สามารถสงบสติอารมณ์เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองได้ ความคิดที่จะจรดปากกาลงบนกระดาษและเขียนเรื่องพฤติกรรมของเขา ทำให้สมองของผมว่างเปล่า ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน ยิ่งคิดถึงผมก็ยิ่งรู้สึกสับสน ผมจึงอธิษฐานในใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อยากจะเป็นธรรมในการประเมินน้องชาย แต่ข้าพระองค์ถูกความรักใคร่จำกัด ข้าพระองค์จึงเป็นธรรมไม่ได้ โปรดทรงชี้แนะข้าพระองค์ไม่ให้ถูกควบคุมโดยความรักใคร่ขณะจัดการเรื่องนี้ แต่ให้ทำตามพระวจนะของพระองค์แทน”

หลังจากอธิษฐาน ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “บรรดาผู้ที่ลากจูงลูกๆ และญาติพี่น้องที่ไม่มีความเชื่อโดยสิ้นเชิงของตนมายังคริสตจักรล้วนเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างสุดขีด และพวกเขาเพียงแค่กำลังแสดงความเมตตาเท่านั้น  ผู้คนเหล่านี้มุ่งเน้นที่การมีความรักเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเขาเชื่อหรือไม่ และไม่คำนึงถึงว่านั่นจะเป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่  บางคนนำภรรยาของตนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หรือลากจูงบิดามารดาของตนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และไม่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเห็นชอบกับการนี้หรือไม่ หรือจะทรงพระราชกิจในพวกเขาหรือไม่ พวกเขาก็ยังคงหลับหูหลับตา ‘รับเอาผู้คนที่มีความสามารถพิเศษ’ มาให้พระเจ้าอยู่ต่อไป  ประโยชน์อะไรที่อาจจะสามารถได้มาจากการหยิบยื่นความเมตตาให้แก่พวกผู้ไม่มีความเชื่อเหล่านี้?  ต่อให้พวกผู้ไม่เชื่อเหล่านี้เที่ปราศจากการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์อิดออดติดตามพระเจ้า แต่พวกเขาก็ยังคงไม่สอาจได้รับการช่วยให้รอดดังเช่นที่คนเราอาจเชื่อกันได้อยู่ดี  บรรดาผู้ที่สามารถได้รับความรอดนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่จะได้รับมาโดยง่ายดายเพียงนั้น  ผู้คนซึ่งยังไม่ได้ก้าวผ่านพระราชกิจและการทดสอบของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และยังไม่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์นั้น ไม่สามารถได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ได้โดยสิ้นเชิง  เพราะฉะนั้น จากชั่วขณะที่พวกเขาเริ่มติดตามพระเจ้าโดยเพียงในนาม ผู้คนเหล่านั้นก็ขาดการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว  ตามที่เห็นจากสภาพและสภาวะจริงของพวกเขานั้น พวกเขาแค่ไม่สามารถได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ได้  เช่นนั้นเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์ตัดสินพระทัยที่จะไม่ใช้พลังงานกับพวกเขามากนัก อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงจัดเตรียมความรู้แจ้งใดๆ หรือไม่ทรงนำพวกเขาไปในหนทางใดๆ พระองค์เพียงแค่ทรงปล่อยให้พวกเขาติดตามไปด้วยเท่านั้นเอง และในท้ายที่สุดจะทรงเปิดเผยบทอวสานของพวกเขา—การนี้ก็พอแล้ว(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน)  พอได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมก็เข้าใจว่า การที่ผมอยากจะพูดแต่สิ่งดีๆ เกี่ยวกับน้องชาย เพื่อจะให้เขาได้อยู่ในคริสตจักรต่อไปและมีโอกาสได้รับความรอดนั้น เป็นเพียงความหวังล้มๆ แล้งๆ ของผมเอง พระวจนะของพระเจ้าบอกเราอย่างชัดเจนมากว่า ผู้ที่ไม่ติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริง แต่เชื่อในพระองค์เพียงในนาม จะไม่สามารถได้รับความรอดได้ พระเจ้าทรงช่วยเฉพาะผู้ที่รักและยอมรับความจริงให้รอด คนประเภทนั้นเท่านั้นที่สามารถได้รับการทรงสถิตและพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้าใจและได้รับความจริง และในท้ายที่สุดก็จะได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้าและอยู่รอด โดยแก่นแท้แล้ว ผู้ไม่เชื่อจะรังเกียจความจริง พวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงได้เลย และไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อมานานแค่ไหน มุมมอง ทรรศนะต่อชีวิต และค่านิยมของพวกเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง พวกเขาเหมือนกับพวกผู้ไม่มีความเชื่อทุกประการ พระเจ้าไม่ทรงยอมรับพวกเขา และพวกเขาจะไม่มีวันได้รับความรู้แจ้งหรือการชี้แนะจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาสามารถติดตามไปจนถึงที่สุด แต่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิต พวกเขาไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด เมื่อคิดถึงพฤติกรรมของน้องชายของผม เขาไม่ได้รักความจริง เขารังเกียจความจริง เขาให้คุณค่ากับความสุขทางโลกเหมือนกับผู้ไม่มีความเชื่อทุกประการ ไม่ใช่ในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือการไปร่วมการชุมนุม และที่แน่ๆ เขาไม่ให้คุณค่ากับการทำหน้าที่ของตัวเอง เขาถึงกับพูดบ่อยๆ ว่า “การเชื่อในพระเจ้าไม่มีประโยชน์อะไร จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่สำคัญ” เขาไม่ยอมฟังการสามัคคีธรรมของใครเลย และถ้ามากเกินไปก็จะทำให้เขารำคาญ เมื่อตัดสินจากพฤติกรรมโดยรวมของน้องชายผมแล้ว เขาก็เป็นผู้ไม่เชื่อ และพระเจ้าจะไม่ทรงยอมรับเขาเลย เขาจะไม่มีวันได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือบรรลุความเข้าใจในความจริงได้ ไม่ว่าผมจะเขียนถึงเขาดีแค่ไหนเพื่อจะให้เขาได้อยู่ในคริสตจักรต่อไป เขาก็จะไม่มีวันได้รับการช่วยให้รอด ในเมื่อตอนนี้ผมตัดสินใจแล้วว่าเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ ถ้าผมยึดติดความรักใคร่และโกหกให้เขาเพื่อให้เขาได้อยู่ในคริสตจักรต่อไป ผมจะไม่ละเมิดหลักธรรมอย่างชัดเจนหรอกหรือ?  ถ้าผมไม่เขียนการประเมินน้องชายของผมอย่างยุติธรรมและถูกต้องตามข้อเท็จจริง แต่กลับชักพาพี่น้องชายหญิงให้หลงผิด เพื่อเก็บใครบางคนไว้ในคริสตจักรซึ่งควรจะถูกชำระออก นั่นจะไม่เป็นการขัดขวางงานของคริสตจักรหรอกหรือ?  เมื่อตระหนักว่าผลที่ตามมาจะร้ายแรงเพียงใด ผมก็รู้ว่าต้องปล่อยวางความรักใคร่ ทำตามหลักธรรม และให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับน้องชายของผมแก่คริสตจักร นั่นเท่านั้นถึงจะสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า เมื่อรู้เช่นนี้ ผมจึงเขียนการประเมินน้องชายของผมและส่งให้ผู้นำ โดยรู้สึกว่าในที่สุดผมก็ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ในท้ายที่สุด ตามหลักธรรม คริสตจักรก็ได้เอาตัวเขาออกไป และผมก็สามารถยอมรับจุดจบนั้นได้อย่างสงบ ต้องขอบคุณการชี้แนะของพระวจนะของพระเจ้า ผมจึงไม่ได้ทำตามความรักใคร่และปกป้องน้องชายผม แต่ประเมินเขาอย่างยุติธรรมและเป็นกลางแทน ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้ามาก

จากนั้น ในเดือนกรกฎาคม ปี 2021 ผู้นำคริสตจักรขอให้ผมเขียนการประเมินแม่ของผม ผมนึกถึงว่า ช่วงหลังๆ นี้แม่ไม่ได้แบ่งปันข่าวประเสริฐตามหลักธรรม ซึ่งเกือบจะทำให้พี่น้องชายหญิงบางคนถูกจับกุม เมื่อคนอื่นชี้ให้เห็นปัญหาของแม่ แม่ก็ไม่ยอมรับ แต่กลับต่อล้อต่อเถียงไม่เลิกราเรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นจริง หลังจากนั้นพี่น้องชายหญิงก็ไม่กล้าหยิบยกปัญหาใดๆ ของแม่ขึ้นมาอีกเลย อันที่จริง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรือครั้งที่สองที่แม่ของผมก่อปัญหา ครั้งหนึ่ง ระหว่างการชุมนุม ผู้นำขอให้พี่น้องหญิงอีกคนหนึ่งอ่านพระวจนะของพระเจ้าแทนแม่ของผม แม่ผมก็เริ่มพูดว่าผู้นำกดขี่ท่านและเป็นผู้นำเทียมเท็จ พี่น้องหญิงคนหนึ่งสังเกตเห็นว่าแม่ส่งเสียงดังมาก จึงขอให้แม่เบาเสียงลงและรู้กาลเทศะ แม่ของผมกล่าวหาพี่น้องหญิงคนนั้นว่าพยายามจับผิดท่าน และบอกแม่ว่าอย่ากลับมาอีก แม่ผมจะทะเลาะไม่เลิกราในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทุกเรื่อง และเป็นตัวปัญหาในการชุมนุม แม่ผมกลายเป็นตัวก่อกวนชีวิตคริสตจักรไปแล้ว พี่น้องชายหญิงได้สามัคคีธรรมกับท่านและตัดแต่งท่านหลายครั้ง หวังว่าท่านจะทบทวนและกลับใจ แต่ท่านก็ไม่ยอมรับ ท่านถึงกับบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยบอกว่าแค่พูดผิดไปเรื่องเล็กน้อยเรื่องเดียว และผู้คนก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ท่านไม่ยอมรับความจริง ตามหลักธรรมแล้ว คนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ควรถูกแยกตัวออกไปเพื่อทบทวนตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาขัดขวางและส่งผลกระทบต่อการชุมนุมของพี่น้องชายหญิง ผมรู้ว่าควรเขียนเกี่ยวกับพฤติกรรมของแม่ให้คริสตจักรทราบอย่างถูกต้องโดยเร็วที่สุด แต่แล้วผมก็นึกถึงว่าแม่เกลียดการเสียหน้ามากแค่ไหน และอารมณ์ของท่านก็ฉุนเฉียวเพียงใด ท่านมักจะทำท่าทีเย็นชากับใครก็ตามที่วิจารณ์ท่าน ถ้าท่นรู้ว่าผมเขียนถึงปัญหาของท่าน ท่านจะรับได้ไหม?  ท่านจะไม่อับอายหรอกหรือ ถ้ารู้ว่าผมพูดเรื่องเหล่านั้นเกี่ยวกับท่าน?  ท่านจะกลายเป็นคนคิดลบและเลิกเชื่อไหม?  ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ ผมก็ยิ่งเป็นทุกข์ และผมเอาแต่นึกถึงทุกวิธีที่แม่แสดงความรักและความห่วงใยต่อผมในอดีต ครั้งหนึ่ง ตอนที่ผมยังเด็กและมีไข้สูงตอนกลางดึก แม่อุ้มผมไปหาหมอที่หมู่บ้านข้างๆ ไข้ของผมสูงมากจนหมอไม่กล้าตรวจผม ดังนั้นในคืนนั้นแม่ผมจึงอุ้มผมไปโรงพยาบาลในเมืองที่อยู่ไกลยิ่งกว่า แม่ช่วยผมทุกเรื่องในชีวิตมาโดยตลอด ผมคิดถึงทุกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ท่านให้กำเนิดและเลี้ยงดูผม แบ่งปันข่าวประเสริฐกับผม นำผมมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และสนับสนุนผมในหน้าที่ของผม ท่านดีกับผมมาก ถ้าผมเปิดโปงท่าน จะไม่ไร้หัวใจหรอกหรือ?  จะไม่ทำให้ท่านเจ็บปวดหรอกหรือ?  ถ้าคนอื่นรู้ว่าผมเป็นคนเปิดโปง เรื่องที่ท่านขัดขวางชีวิตคริสตจักรด้วยตัวผมเอง พวกเขาจะวิจารณ์ผมว่าโหดร้ายและใจดำกับแม่ของตัวเองเกินไปไหม?  พวกเขาจะบอกว่าผมเป็นลูกทรพีที่ไม่รู้จักบุญคุณคนหรือเปล่า?  ผมรู้ว่าแม่ของผมไม่ใช่คนที่ยอมรับความจริง แต่ท่านก็ห่วงใยผมมาก อย่างไรเสียท่านก็เป็นแม่ของผม ดังนั้น ถึงแม้ว่าผู้นำจะคอยกดดันให้ผมเขียนประเมินแม่ ผมก็ยังคงผัดผ่อนต่อไป ในอดีต เราเคยเป็นครอบครัวผู้เชื่อ เราจะร้องเพลงนมัสการและอธิษฐานด้วยกัน อ่านพระวจนะของพระเจ้าและพูดคุยถึงความรู้สึกของเรา เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก และบางครั้งความทรงจำเหล่านั้นก็จะผุดขึ้นมาในหัวผม แต่ตอนนี้ น้องชายของผมถูกเอาตัวออกไปแล้ว และแม่ของผมก็อาจจะถูกแยกตัวออกไปเพื่อทบทวนตนเอง ผมทุกข์ใจและไม่รู้ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์นี้อย่างไร ผมไม่มีอารมณ์จะปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง และผมไม่รู้สึกถึงภาระที่ต้องแสวงหาความจริงเพื่อช่วยพี่น้องชายหญิงแก้ไขปัญหาของพวกเขา ผมแค่แสร้งทำพอเป็นพิธีในการชุมนุม ใจลอยและไม่สามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับอะไรได้เลย ผมสุกเอาเผากินไปวันๆ เป็นทุกข์อย่างแท้จริง ผมรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ดี ผมจึงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน ขอให้พระองค์ทรงชี้แนะผมให้เลิกคิดลบ เพื่อที่ผมจะได้ไม่ถูกความรักใคร่จำกัด

ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เรื่องที่เชื่อมโยงกับความรู้สึกมีอะไรบ้าง?  อย่างแรกคือการประเมินสมาชิกครอบครัวของเจ้าเอง และท่าทีที่เจ้ามีต่อสิ่งที่พวกเขาทำ  แน่นอนว่าในที่นี้ ‘สิ่งที่พวกเขาทำ’ หมายรวมถึงเวลาที่พวกเขาขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร เวลาที่พวกเขาตัดสินผู้คนลับหลังคนเหล่านั้น มีการปฏิบัติบางอย่างเหมือนผู้ไม่เชื่อ และอื่นๆ  เจ้าสามารถรับมือสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นกลางได้หรือไม่?  เมื่อเจ้าจำเป็นต้องเขียนประเมินสมาชิกครอบครัวของเจ้า เจ้าจะสามารถทำเช่นนั้นอย่างเป็นกลางตามข้อเท็จจริง โดยวางความรู้สึกของเจ้าเอาไว้ก่อนได้หรือไม่?  นี่เกี่ยวพันกับว่าเจ้านั้นมีท่าทีต่อสมาชิกครอบครัวของตนเองอย่างไร  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ามีความรู้สึกต่างๆ ต่อคนที่เจ้าเป็นมิตรด้วยหรือคนที่เคยช่วยเหลือเจ้ามาก่อนหรือไม่?  เจ้าสามารถมองการกระทำและการประพฤติปฏิบัติของพวกเขาในหนทางที่ไม่มีอคติ เป็นกลางและเที่ยงตรงได้หรือไม่?  ถ้าพวกเขาขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร เจ้าจะสามารถรายงานหรือเปิดโปงพวกเขาทันทีที่เจ้ารู้ได้หรือไม่?(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (2))  “สมมุติว่า ญาติหรือบิดามารดาของเจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า และเพราะการทำชั่ว การก่อความไม่สงบ หรือการไม่ยอมรับความจริงใดๆ จึงให้พวกเขาออกไป อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่มีวิจารณญาณเรื่องของพวกเขา ไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงถูกกำจัดออกไป รู้สึกเสียใจอย่างที่สุด อีกทั้งพร่ำบ่นอยู่เสมอว่าพระนิเวศของพระเจ้าไร้ซึ่งความรักและไม่เป็นธรรมต่อผู้คน เจ้าควรอธิษฐานต่อพระเจ้าและแสวงหาความจริง แล้วจากนั้นจึงประเมินว่าญาติเหล่านี้เป็นผู้คนประเภทใดตามพระวจนะของพระเจ้า หากเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง เจ้าก็จะสามารถนิยามพวกเขาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และเจ้าจะมองเห็นว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำนั้นถูกต้อง และเห็นว่าพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม แล้วจากนั้นเจ้าย่อมจะไม่มีเรื่องให้พร่ำบ่น จะสามารถนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และจะไม่พยายามปกป้องญาติหรือบิดามารดาของเจ้า ประเด็นในที่นี้คือการไม่รับใช้เครือญาติของพวกเจ้า การนี้เป็นไปเพื่อระบุว่าพวกเขาคือผู้คนประเภทใด และเพื่อทำให้เจ้าหยั่งรู้พวกเขาและรู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงถูกกำจัดออกไป  หากสิ่งเหล่านี้ชัดเจนอย่างแท้จริงในหัวใจของเจ้า อีกทั้งเจ้ามีทรรศนะที่ถูกต้องและสอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะสามารถยืนอยู่ข้างเดียวกันกับพระเจ้าได้ และทรรศนะของเจ้าในเรื่องนี้ย่อมจะสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าโดยสมบูรณ์ หากเจ้าไม่สามารถยอมรับความจริงหรือมองดูผู้คนตามพระวจนะของพระเจ้าได้ และยังคงเลือกอยู่ข้างสัมพันธภาพและมุมมองทางเนื้อหนังเมื่อมองดูผู้คน เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะไม่มีวันสามารถสลัดสัมพันธภาพทางเนื้อหนังนี้ทิ้งไปได้ และจะยังคงปฏิบัติต่อผู้คนเหล่านี้ในฐานะเครือญาติของตน—ใกล้ชิดสนิทสนมยิ่งกว่าพี่น้องชายหญิงของเจ้าในคริสตจักรเสียอีก ในกรณีนี้ย่อมจะมีความความไม่ลงรอยกันระหว่างพระวจนะของพระเจ้ากับทรรศนะที่เจ้ามีต่อครอบครัวของตนในเรื่องนี้—เป็นความขัดแย้งที่แม้แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะยืนอยู่ข้างเดียวกันกับพระเจ้า และเจ้าจะมีมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ด้วยเหตุนั้น หากผู้คนจะสัมฤทธิ์การเข้ากันได้กับพระเจ้า ก่อนอื่นทรรศนะของพวกเขาในเรื่องทั้งหลายต้องสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาต้องสามารถมองดูผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้า ยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และสามารถละวางมโนคติดั้งเดิมอันหลงผิดของมนุษย์ ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญหน้ากับบุคคลหรือเรื่องอันใด เจ้าก็ต้องสามารถธำรงรักษามุมมองและทรรศนะเดียวกันกับพระเจ้า และมุมมองและทรรศนะของเจ้าก็ต้องลงรอยกับความจริง ในหนทางนี้ ทรรศนะของเจ้าและหนทางที่เจ้าเข้าหาผู้คนก็จะไม่เป็นปรปักษ์กับพระเจ้า และเจ้าจะสามารถนบนอบพระเจ้าและเข้ากันได้กับพระเจ้า ผู้คนเช่นนี้จะไม่สามารถต้านทานพระเจ้าได้อีก พวกเขาคือผู้คนที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะรับไว้โดยแท้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีระบุแก่นแท้ธรรมชาติของเปาโล)  พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ผมเข้าใจว่า เราไม่สามารถประเมินสิ่งต่างๆ หรือผู้คนจากมุมมองทางอารมณ์ได้ เราต้องยึดมั่นในความจริงของพระวจนะของพระเจ้า เพื่อใช้วิจารณญาณแยกแยะแก่นแท้ธรรมชาติของใครบางคน ว่าพวกเขาเป็นคนประเภทไหน นี่คือวิธีที่เหมาะสมในการประเมินใครบางคน เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่ตกเป็นเหยื่อของความรักใคร่ ผมวิเคราะห์สถานการณ์เรื่องแม่ผมจากมุมมองทางอารมณ์อยู่เสมอ โดยคิดว่าท่านให้กำเนิดผม และรักและห่วงใยผม สิ่งนี้ทำให้ผมลำบากใจเกินกว่าจะจรดปากกาเขียนการประเมินที่ตรงไปตรงมา แต่พระเจ้าตรัสว่าเราต้องมีวิจารณญาณแยกแยะผู้คนโดยพิจารณาจากแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา การสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา เป็นหนทางเดียวที่จะปลดปล่อยตัวเราจากความรักใคร่ และปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างยุติธรรมและเป็นตามหลักธรรม จริงๆ แล้วแม่ของผมเป็นคนแบบไหนกันแน่?  ท่านเป็นคนกระตือรือร้นและห่วงใยผู้อื่นทุกวัน แต่นั่นก็แค่หมายความว่าท่านเป็นคนใจดี ท่านดูแลผมเป็นอย่างดี แต่นั่นก็แค่หมายความว่าท่านได้ลุล่วงความรับผิดชอบของผู้เป็นแม่ แต่โดยธรรมชาติแล้ว ท่านโอหัง และไม่ยอมรับความจริง ท่านจะตัดสินและต่อต้านใครก็ตาม ที่ชี้ให้เห็นปัญหาของท่านหรือตัดแต่งท่าน และจะโกรธเคืองเรื่องนั้น เมื่อสถานการณ์เลวร้าย ท่านจะถึงกับขัดแย้งกับผู้อื่น และรบเร้าพวกเขาไม่หยุดหย่อน ซึ่งเป็นการจำกัดผู้อื่น จากพฤติกรรมของท่าน ถ้าท่านชุมนุมกับพี่น้องชายหญิงต่อไป ท่านก็จะขัดขวางชีวิตคริสตจักรและชะลอการเข้าสู่ชีวิตของผู้อื่นอย่างแน่นอน ถ้าท่านถูกแยกตัวออกไปเพื่อทบทวนตนเองตามหลักธรรม ทุกคนก็จะสามารถมีการชุมนุมที่ถูกควรได้อีกครั้ง และการจัดแจงนั้นจะเป็นคำเตือนสำหรับท่าน ถ้าท่านทบทวนและเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองอย่างแท้จริง ก็จะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของท่าน แต่ถ้าท่านต่อต้านและปฏิเสธมัน หรือถึงกับละทิ้งความเชื่อ ท่านก็จะถูกเปิดโปงและถูกกำจัดออกไป แล้วผมก็จะเห็นแก่นแท้ธรรมชาติของท่านได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ว่าเธอจะเป็นข้าวละมานหรือข้าวสาลีก็จะเห็นได้ชัดในพริบตา และจะไม่มีเหตุผลใดที่ผมจะพยายามให้ท่านอยู่ในคริสตจักรต่อไป ณ จุดนั้น ผมก็เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า พระเจ้าทรงจัดสถานการณ์นี้ขึ้นโดยหวังว่าผมจะได้รับวิจารณญาณแยกแยะ และเรียนรู้ที่จะมองเห็นแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนตามพระวจนะของพระองค์ เพื่อที่ผมจะได้ละทิ้งความรักใคร่ในการกระทำของผม และปฏิบัติต่อผู้คนตามหลักธรรม

หลังจากนี้ ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งที่ว่า “ใครคือซาตาน ใครคือปีศาจ และใครคือศัตรูของพระเจ้าหากไม่ใช่พวกผู้ต้านทานซึ่งไม่เชื่อในพระเจ้า?  พวกเขามิใช่ผู้คนเหล่านั้นที่เป็นกบฏต่อพระเจ้าหรอกหรือ?  พวกเขามิใช่บรรดาผู้ที่อ้างว่ามีความเชื่อทว่ายังเป็นผู้ขาดพร่องความจริงหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ใช่บรรดาผู้ที่เพียงแค่พยายามให้ได้มาซึ่งพรในขณะที่ไร้ความสามารถที่จะเป็นพยานให้พระเจ้าได้หรอกหรือ?  เจ้ายังคงอยู่ร่วมกันกับปีศาจเหล่านั้นวันนี้ และปฏิบัติต่อพวกมันด้วยจิตสำนึกและความรัก แต่ในกรณีนี้ เจ้ามิได้กำลังหยิบยื่นเจตนาที่ดีต่อซาตานหรอกหรือ?  เจ้ามิได้อยู่ร่วมขบวนการเดียวกับพวกปีศาจหรอกหรือ?  หากผู้คนมาได้จนถึงจุดนี้แต่ยังไร้ความสามารถที่จะแยกแยะระหว่างความดีและความชั่วได้ และยังคงหลับหูหลับตารักและเมตตาต่อไปโดยไม่มีความปรารถนาใดๆ ที่จะแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า หรือไม่ว่าจะหนทางใดก็ไม่มีความสามารถที่จะรับเจตนารมณ์ของพระเจ้าไว้เสมือนเป็นของตนเองได้ เช่นนั้นแล้ว วาระสุดท้ายของพวกเขาจะล้วนน่าอนาถยิ่งขึ้นไปอีก ผู้ใดที่ไม่เชื่อในพระเจ้าที่เป็นมนุษย์ก็คือศัตรูของพระเจ้า  หากเจ้าสามารถแบกรับจิตสำนึกและความรักต่อศัตรูได้ เจ้ามิได้ขาดสำนึกรับรู้แห่งความยุติธรรมหรอกหรือ?  หากเจ้าสามารถเข้ากันได้กับพวกเหล่านั้นที่เรารังเกียจและกับพวกที่เราไม่เห็นด้วย และยังคงแบกรับความรักหรือความรู้สึกส่วนตัวต่อพวกเขาอยู่ เช่นนั้นแล้ว เจ้ามิได้เป็นกบฏหรอกหรือ?  เจ้ามิได้กำลังต้านทานพระเจ้าโดยเจตนาหรอกหรือ?  บุคคลเช่นนั้นถือครองความจริงอย่างแท้จริงกระนั้นหรือ?  หากผู้คนแบกรับจิตสำนึกต่อเหล่าศัตรู มีความรักให้ปีศาจ และปรานีต่อซาตาน เช่นนั้นแล้ว พวกเขามิได้กำลังทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงักโดยเจตนาหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน)  พระวจนะของพระเจ้าเผยให้เห็นสภาวะของผมอย่างตรงประเด็น ผมรู้ว่าแม่ของผมเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแต่ไม่ยอมรับความจริง และเมื่อคนอื่นพยายามช่วยท่านเรื่องปัญหาของท่าน ตัดแต่งท่าน ท่านก็ไม่สามารถยอมรับสิ่งนั้นจากพระเจ้าได้ ท่านคอยแต่จะเถียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทุกเรื่องและขัดขวางชีวิตคริสตจักร ทำหน้าที่เป็นข้ารับใช้ของซาตาน แต่ผมไม่ยอมลุกขึ้นมาเปิดโปงท่าน ผมเอาแต่ปิดบังและปกป้องท่าน ผมคิดว่าการไม่เปิดโปงท่านหรือการไม่เขียนการประเมินที่ตรงไปตรงมาเป็นสิ่งที่ต้องทำด้วยมโนธรรม ในความเป็นจริง ผมกำลังแสดงความรักและมโนธรรมต่อซาตาน ไม่ได้คำนึงถึงงานของคริสตจักรหรือว่าการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงของผมอาจได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย ผมกำลังเข้าข้างซาตานและเป็นปากเป็นเสียงให้ซาตาน นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกว่า “ต้านทานพระเจ้าโดยเจตนาหรอกหรือ?” หรอกหรือ?  ความรักของผมไม่มีหลักธรรม และผมไม่รู้ผิดชอบชั่วดี มันเป็นความรักที่สับสน ผมกำลังปกป้องแม่ของผม ช่วยให้ท่านสามารถขัดขวางชีวิตคริสตจักรต่อไปได้ ผมมีส่วนในความชั่วของท่าน เมื่อกระทำเช่นนี้ ผมไม่ได้กำลังทำร้ายผู้อื่นและตัวเองหรอกหรือ?  ความรักใคร่ทำให้ผมตาบอด ทำให้ผมเป็นอัมพาต ผู้นำคะยั้นคะยอผมหลายครั้งให้เขียนการประเมินแม่ แต่ผมก็เอาแต่ผัดผ่อนและทำให้งานคริสตจักรล่าช้า เมื่อคิดได้อย่างนี้ หัวใจของผมก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ผมไม่รู้ว่า ทำไมผมถึงถูกความรักใคร่จำกัดตลอดขณะที่เผชิญกับสถานการณ์นี้ ปัญหาที่แท้จริงคืออะไร?  ผมมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและแสวงหา ขอให้พระองค์ทรงชี้แนะผมให้เข้าใจปัญหาของตัวเอง

ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง ซึ่งช่วยให้ผมเข้าใจตัวเองมากขึ้น  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “พระวจนะของพระเจ้าเอ่ยขอให้ผู้คนปฏิบัติต่อผู้อื่นตามหลักธรรมใดหรือ?  จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และจงเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง กล่าวคือ นี่คือหลักธรรมที่ควรปฏิบัติตาม  พระเจ้าทรงรักบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้  เหล่านี้ยังเป็นผู้คนที่พวกเราควรรักด้วยเช่นกัน  พวกที่ไม่สามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ผู้ที่เกลียดชังและกบฏต่อพระเจ้า—พระเจ้าทรงรังเกียจผู้คนเหล่านี้ และพวกเราก็ควรรังเกียจพวกเขาเช่นกัน  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอต่อมนุษย์… หากบุคคลผู้หนึ่งคือใครบางคนที่ปฏิเสธและต่อต้านพระเจ้า ผู้ซึ่งถูกพระเจ้าสาปแช่ง แต่พวกเขาเป็นบิดามารดาหรือญาติของเจ้า และเท่าที่เจ้าสามารถบอกได้พวกเขาดูไม่ใช่คนชั่ว และปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี เช่นนั้นแล้วเจ้าอาจพบว่าตนเองไม่สามารถเกลียดชังบุคคลผู้นั้น และอาจยังคงมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพวกเขาด้วยซ้ำ สัมพันธภาพของเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง  การได้ฟังว่าพระเจ้าทรงเกลียดคนเหล่านี้ย่อมจะทำให้เจ้าลำบากใจ และเจ้าก็ไม่สามารถยืนอยู่ฝั่งพระเจ้าและปฏิเสธพวกเขาอย่างใจดำได้  เจ้าถูกความรู้สึกจำกัดไว้อยู่เสมอ และเจ้าไม่สามารถปล่อยวางพวกเขาได้โดยสมบูรณ์  อะไรคือสาเหตุของการนี้เล่า?  นี่เกิดขึ้นเพราะความรู้สึกของเจ้าแข็งแกร่งเกินไป และนั่นขัดขวางเจ้าจากการปฏิบัติความจริง  บุคคลผู้นั้นดีต่อเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถบังคับตนเองให้เกลียดชังพวกเขาได้  เจ้าจะสามารถเกลียดชังพวกเขาได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาทำร้ายเจ้าเท่านั้น  ความเกลียดชังนั้นจะเป็นไปตามหลักธรรมความจริงหรือไม่?  นอกจากนี้ เจ้ายังถูกพันธนาการด้วยมโนคติอันหลงผิดแบบเดิมๆ อีกด้วย คิดไปว่าพวกเขาคือบิดามารดาหรือญาติ ดังนั้นหากเจ้าเกลียดชังพวกเขา เจ้าก็จะถูกสังคมสบประมาทและถูกด่าทอโดยประชามติ ถูกกล่าวโทษว่าอกตัญญู ไม่มีมโนธรรม และไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ  เจ้าคิดไปว่าเจ้าจะทนทุกข์กับการกล่าวโทษและการลงโทษจากสวรรค์  ต่อให้เจ้าต้องการเกลียดชังพวกเขา มโนธรรมของเจ้าก็จะไม่ยอมให้เจ้าทำ  เหตุใดมโนธรรมของเจ้าจึงทำหน้าที่ในหนทางเช่นนี้?  นี่เป็นเพราะวิธีคิดที่ถูกปลูกฝังในตัวเจ้าตั้งแต่ยังเด็ก ผ่านการถ่ายทอดในครอบครัวของเจ้า ผ่านการศึกษาที่เจ้าได้รับจากบิดามารดา และการสั่งสอนวัฒนธรรมดั้งเดิม  วิธีคิดเช่นนี้หยั่งรากลึกในหัวใจของเจ้ามาก และทำให้เจ้าเชื่อแบบผิดๆ ว่าความกตัญญูนั้นเป็นธรรมชาติและเป็นสิ่งที่ชอบธรรมโดยสมบูรณ์ และสิ่งใดที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเจ้าย่อมดีเสมอ  เจ้าเรียนรู้สิ่งนี้เป็นอันดับแรก ซึ่งยังคงมีอำนาจครอบงำ สร้างสิ่งสะดุดและการรบกวนอันใหญ่หลวงในความเชื่อและการยอมรับความจริงของเจ้า ทิ้งให้เจ้าไม่สามารถปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และไม่สามารถรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก เกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียด  ที่จริงแล้ว เจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าชีวิตของเจ้ามาจากพระเจ้า ไม่ได้มาจากบิดามารดาของเจ้า และเจ้าก็รู้เช่นกันว่าบิดามารดาของเจ้าไม่เพียงไม่เชื่อในพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังขัดขืนพระเจ้าอีกด้วย รู้ว่าพระเจ้าทรงเกลียดชังพวกเขา และเจ้าก็ควรนบนอบพระเจ้า ยืนข้างพระองค์ แต่เจ้าก็ไม่สามารถบังคับตนเองให้เกลียดชังพวกเขา แม้ว่าเจ้าต้องการที่จะทำเช่นนั้นก็ตาม  เจ้าไม่สามารถผ่านจุดวิกฤตนั้นไปได้ เจ้าไม่สามารถแข็งใจทำได้ และเจ้าไม่สามารถปฏิบัติความจริง  สิ่งใดคือต้นเหตุของการนี้?  ซาตานใช้วัฒนธรรมดั้งเดิมและมโนคติอันหลงผิดทางด้านศีลธรรมมาพันธนาการความคิดของเจ้า จิตใจของเจ้า และหัวใจของเจ้า ทิ้งให้เจ้าไม่สามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้า เจ้าถูกสิ่งเหล่านี้ที่เป็นของซาตานครอบงำ และถูกทำให้ไม่สามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้า  ยามที่เจ้าต้องการปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เกิดการรบกวนในตัวเจ้า ทำให้เจ้าต่อต้านความจริงและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และทำให้เจ้าไร้พลังที่จะปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากแอกแห่งวัฒนธรรมดั้งเดิม  หลังจากดิ้นรนต่อสู้มาระยะหนึ่ง เจ้าก็ประนีประนอม นั่นคือ เจ้าเลือกที่จะเชื่อว่ามโนคติอันหลงผิดตามประเพณี ทางด้านศีลธรรมนั้นถูกต้องและตรงกับความจริง ดังนั้นเจ้าจึงปฏิเสธหรือละทิ้งพระวจนะของพระเจ้า  เจ้าไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นความจริง และเจ้าไม่เห็นความสำคัญของการได้รับการช่วยให้รอด รู้สึกว่าเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ และสามารถอยู่รอดได้ด้วยการพึ่งพาสิ่งเหล่านี้เท่านั้น  เมื่อไม่สามารถสู้ทนการกล่าวโทษของสังคมได้ เจ้าจึงเลือกที่จะยอมทิ้งความจริงและพระวจนะของพระเจ้าเสีย ปล่อยให้ตนเองจมอยู่กับมโนคติดั้งเดิมอันหลงผิดทางด้านศีลธรรมและอิทธิพลของซาตาน เลือกที่จะล่วงเกินพระเจ้าและไม่ปฏิบัติความจริงแทน  จงบอกเราที มนุษย์ไม่น่าเวทนาหรอกหรือ?  พวกเขาจำเป็นต้องได้รับความรอดจากพระเจ้ามิใช่หรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของตนเท่านั้น)  ผมเข้าใจจากพระวจนะของพระเจ้าว่า พระองค์ทรงกำหนดให้เรารักสิ่งที่พระองค์ทรงรักและเกลียดสิ่งที่พระองค์ทรงเกลียด องค์พระเยซูเจ้าก็เคยตรัสไว้เช่นกันว่า “ใครเป็นมารดาของเรา?  ใครเป็นพี่น้องของเรา?… ใครก็ตามที่ทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา(มัทธิว 12:48, 50)  พระเจ้าทรงรักผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถยอมรับความจริงได้ คนประเภทนี้เท่านั้นที่ผมควรเรียกว่าพี่น้องชายหญิง เป็นคนประเภทเดียวที่ผมควรรัก และช่วยเหลือด้วยความรัก ผู้ที่รังเกียจความจริงและไม่เคยปฏิบัติความจริง ล้วนเป็นผู้ไม่เชื่อ ไม่ใช่พี่น้องชายหญิง ต่อให้พวกเขาจะเป็นพ่อแม่หรือญาติของเรา เราก็ควรใช้วิจารณญาณแยกแยะและเปิดโปงพวกเขาตามหลักธรรมความจริง นี่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ควรกตัญญูต่อพ่อแม่ หรือจะไม่ดูแลพวกท่านในอนาคต แต่หมายความว่าเราควรปฏิบัติต่อพวกท่านอย่างมีเหตุผลและยุติธรรม ตามแก่นแท้ธรรมชาติของพวกท่าน แต่ “เลือดข้นกว่าน้ำ” และ “มนุษย์มิใช่ไร้ชีวิตจิตใจ เขาจะสามารถเป็นอิสระจากภาวะอารมณ์ได้อย่างไรกัน?” เป็นพิษของซาตานที่ฝังหัวผม ผมไม่มีหลักธรรมในการปฏิบัติต่อผู้คน และผมปกป้องและเข้าข้างครอบครัวเสมอโดยอาศัยความรักใคร่ ตอนที่ผมเขียนการประเมินน้องชายของผม ผมรู้ว่าเขาได้เผยตัวตนออกมาแล้วว่าเป็นผู้ไม่เชื่อและควรถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร แต่ผมกลับยึดติดความรักใคร่และไม่อยากเขียนความจริงออกมา ผมอยากปกปิดข้อเท็จจริงและหลอกลวงพี่น้องชายหญิง เมื่อผู้นำขอให้ผมเขียนการประเมินแม่ของผม ผมรู้ว่าแม่ขัดขวางชีวิตคริสตจักร และผมควรเขียนการประเมินที่ถูกต้องและเป็นกลาง เพื่อช่วยผู้นำเปิดโปงและจำกัดแม่ แต่เมื่อคิดว่าท่านเป็นแม่ของผม และท่านดีกับผมมากแค่ไหน ผมก็กลัวว่าถ้าเขียนเรื่องพฤติกรรมของท่านอย่างตรงไปตรงมา ผมจะรู้สึกผิดไปตลอดและทนอยู่กับมันไม่ได้ แถมผมกลัวว่าคนอื่นจะคิดว่าผมโหดร้ายและใจดำ ด้วยความแคลงใจและความหวาดหวั่น ผมจึงผัดผ่อนไปเรื่อยๆ ผมเห็นว่าพิษของซาตานเหล่านี้ฝังรากลึกอยู่ในหัวใจของผม ตรึงผมไว้กับความรักใคร่ มันทำให้ผมไม่มีหลักธรรมในการจัดการกับผู้อื่น และขัดขวางไม่ให้ผมค้ำจุนงานของคริสตจักร ผมกำลังยืนอยู่ข้างซาตาน กบฏต่อและต่อต้านพระเจ้า ความจริงก็คือ แม่และน้องชายของผมต่างก็เป็นผู้ไม่เชื่อ และการเปิดโปงพฤติกรรมของพวกเขาเป็นสิ่งเป็นธรรมที่ต้องทำ มันเป็นการปกป้องงานของคริสตจักรและการทำตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า มันคือการรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และเกลียดสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียด และเป็นคำพยานของการปฏิบัติความจริง แต่ผมกลับมองว่าการปฏิบัติความจริงและการเปิดโปงซาตานเป็นสิ่งที่เป็นลบ ผมมองว่ามันไร้หัวใจ ไร้มโนธรรม และอกตัญญู ผมสับสนมาก!  ผมกำลังเข้าใจผิดว่าดำเป็นขาว ว่าดีเป็นชั่ว สิ่งนี้ทำให้ผมถูกความรักใคร่ตรึงไว้ และถูกความคิดลบครอบงำ โดยไม่มีแรงจูงใจที่จะทำหน้าที่ของตัวเอง หากไม่ได้รับความรู้แจ้งและการชี้แนะของพระเจ้าอย่างทันท่วงที ความรักใคร่ผมคงจะทำลายผมไปแล้ว การใช้ชีวิตตามความรักใคร่เกือบจะทำให้ผมจบเห่ ผมกำลังเล่นกับไฟจริงๆ

ต่อมา ผมได้ทบทวนตนเองมากขึ้น โดยตระหนักว่าการที่ผมไม่เต็มใจที่จะเขียนเรื่องแม่นั้นเกิดจากความเข้าใจผิดอีกเรื่องหนึ่ง คือ การคิดว่าถ้าเปิดโปงแม่ ผมจะไร้หัวใจ เพราะแม่เลี้ยงดูผมมาด้วยความเมตตาอย่างมาก ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่เปลี่ยนมุมมองของผมในเรื่องนี้  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “พระเจ้าได้ทรงสร้างโลกนี้และทรงนำพามนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่พระองค์ประทานชีวิตให้เข้ามาในโลก  ลำดับต่อมา มนุษย์ก็มามีพ่อแม่และญาติพี่น้อง และไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป  ตั้งแต่ครั้งแรกที่มนุษย์เปิดตามองโลกแห่งวัตถุ เขาก็ได้ถูกลิขิตชะตาไว้แล้วให้ดำรงอยู่ภายในการทรงลิขิตของพระเจ้า  ลมปราณจากพระเจ้านี่เองที่สนับสนุนสิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดทุกชีวิต ตลอดช่วงวัยเจริญเติบโตไปจนถึงวัยผู้ใหญ่  ในช่วงระหว่างกระบวนการนี้ ไม่มีใครรู้สึกว่ามนุษย์กำลังดำรงอยู่และเติบโตขึ้นภายใต้การดูแลของพระเจ้า พวกเขากลับเชื่อว่ามนุษย์กำลังเติบโตภายใต้บุญคุณจากการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ และเป็นสัญชาตญาณชีวิตของเขานั่นเองที่กำกับการเจริญเติบโตของเขา  นี่เป็นเพราะว่ามนุษย์ไม่รู้ว่าผู้ใดประทานชีวิตให้เขา หรือรู้ว่าตัวเขามาจากไหน นับประสาอะไรที่จะรู้หนทางที่สัญชาตญาณชีวิตสร้างปาฏิหาริย์ เขารู้เพียงว่าอาหารคือพื้นฐานที่ช่วยให้ชีวิตดำเนินต่อไป ความพากเพียรบากบั่นคือแหล่งกำเนิดแห่งการดำรงอยู่ของชีวิตของเขา และความเชื่อต่างๆ ในจิตใจของเขาคือทุนที่เขาต้องอาศัยพึ่งพาเพื่อความอยู่รอด  เกี่ยวกับพระคุณและการจัดเตรียมของพระเจ้านั้น มนุษย์ไม่รับรู้อันใดเลยอย่างถึงที่สุด และในลักษณะนี้เองที่เขาใช้ชีวิตที่พระเจ้าประทานให้ไปอย่างสูญเปล่า… คนที่พระเจ้าทรงดูแลทั้งวันทั้งคืนนี้ไม่มีสักคนที่คิดขึ้นมาได้เองว่าจะนมัสการพระองค์ พระเจ้าเพียงแค่ทรงพระราชกิจต่อไปในตัวมนุษย์ที่ไม่ได้ถูกคาดหวังอะไร ตามที่พระองค์ทรงวางแผนเอาไว้  พระเจ้าทรงทำเช่นนั้นด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่ง มนุษย์จะตื่นขึ้นจากฝันของเขาและพลันตระหนักถึงคุณค่าและความหมายของชีวิต รวมถึงราคาที่พระเจ้าทรงจ่ายเพื่อทั้งสิ้นทั้งมวลที่พระองค์ได้ประทานให้เขา และความร้อนใจขณะที่พระเจ้าทรงถวิลหาอย่างรวดร้าวให้มนุษย์หันกลับมาหาพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์)  ผมได้เรียนรู้จากพระวจนะของพระเจ้าว่าเมื่อมองจากภายนอก ดูเหมือนว่าแม่ของผมให้กำเนิดและเลี้ยงดูผม และท่านเป็นคนดูแลผมในชีวิต อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว แหล่งที่มาของชีวิตมนุษย์คือพระเจ้า และทุกสิ่งที่ผมได้ชื่นชมยินดีล้วนมาจากพระเจ้า พระเจ้าประทานชีวิตให้ผม และทรงจัดการเตรียมการครอบครัวและบ้านให้ผม นอกจากนี้ การจัดการเตรียมการของพระเจ้า คือสิ่งที่ช่วยให้ผมได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์และมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ ผมควรขอบคุณพระเจ้า และผมควรปฏิบัติความจริงในทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิตเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัยและตอบแทนความรักของพระองค์ ผมไม่ควรเข้าข้างครอบครัวและกระทำเพื่อซาตาน ขัดขวางงานของคริสตจักร การตระหนักถึงสิ่งนี้เป็นการปลุกผมให้ตื่นขึ้น ผมต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อกลับใจ และผมจะทำตามความรักใคร่ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้ หลังจากนั้น ผมได้เปิดโปงพฤติกรรมของแม่ของผมที่ขัดขวางชีวิตคริสตจักรอย่างถูกต้อง

หนึ่งเดือนต่อมา ผมได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ผมได้รู้ว่าสมาชิกคริสตจักรบางคนยังไม่สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะพฤติกรรมของแม่ผมได้อย่างเต็มที่ ผมคิดว่า “ผมควรพูดคุยกับพวกเขาว่าแม่ผมขัดขวางชีวิตคริสตจักรยังไง พวกเขาจะได้เรียนรู้ที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะและปฏิบัติต่อแม่ผมตามหลักธรรมความจริง” แต่ในขณะที่ผมกำลังจะทำ ผมก็รู้สึกขัดแย้ง ถ้าในระหว่างการสามัคคีธรรมและการชำแหละ พี่น้องชายหญิงได้รับวิจารณญาณแยกแยะเรื่องพฤติกรรมของแม่ผมจริง พวกเขาจะตีตัวออกห่างจากท่านไหม?  สิ่งนี้จะทำให้แม่ของผมเสียใจหรือไม่?  ผมรู้สึกว่าไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ ผมรู้ตัวว่ากำลังถูกความรักใคร่จำกัดอีกแล้ว และนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ผมเคยอ่านก่อนหน้านี้ ว่าผมควรรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรักและเกลียดสิ่งที่พระองค์ทรงเกลียด แม่ของผมสร้างปัญหาในชีวิตคริสตจักร และนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียด ผมไม่สามารถปกป้องท่านต่อไปเรื่อยๆ ได้เพราะความรักใคร่ ตามหลักธรรมความจริงแล้ว ผมมีความรับผิดชอบต้องเปิดโปงและชำแหละสถานการณ์เพื่อที่พี่น้องชายหญิงจะได้รับวิจารณญาณแยกแยะ ดังนั้น ผมจึงสามัคคีธรรมเกี่ยวกับและชำแหละวิธีที่แม่ของผมขัดขวางชีวิตคริสตจักร และคนอื่นๆ ก็ได้รับวิจารณญาณแยกแยะและได้บทเรียนบางอย่าง คนส่วนใหญ่ลงเอยด้วยการเห็นด้วยว่าแม่ผมควรถูกแยกตัวออกไปเพื่อทบทวนตนเอง หลังจากนำสิ่งนี้ไปปฏิบัติ ผมก็รู้สึกผ่อนคลายและสงบสุข ผมขอบคุณพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจ สำหรับการชี้แนะและการให้ความรู้แจ้งจากพระวจนะของพระองค์ที่ช่วยให้ผมเข้าใจความจริง พบหลักธรรมในการปฏิบัติ และเข้าใจวิธีปฏิบัติต่อสมาชิกในครอบครัว หากไม่มีสิ่งนั้น ผมจะยังคงถูกความรักใคร่จำกัด และทำสิ่งต่างๆ ที่ต่อต้านพระเจ้า ประสบการณ์เหล่านี้แสดงให้ผมเห็นว่า เมื่อปฏิบัติต่อผู้คนและจัดการสถานการณ์ภายในคริสตจักร ต้องทำทุกอย่างตามหลักธรรมความจริง นี่เท่านั้นที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า มันเป็นหนทางเดียวที่จะรู้สึกเป็นอิสระและได้รับความสงบสุขภายใน ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 31. ฉันไม่ต้องการการดูแลของคุณ

ถัดไป: 33. การติดโควิดเผยฉันออกมา

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger