22. เหตุใดฉันถึงกลัวที่จะรายงานปัญหา?

โดย คริสตินา, ประเทศสหรัฐอเมริกา

ปี 2011 ตอนทำหน้าที่มัคนายกข่าวประเสริฐ ฉันสังเกตว่าพี่จางหมินผู้นำของฉันมักจะอวดตนด้วยการพูดคำสอน ฉันรู้ว่าสิ่งนี้อันตรายต่อพี่น้องและต่อตัวเธอเอง ฉันเลยชี้ปัญหาที่เห็นให้เธอทราบ  แต่ก็ต้องแปลกใจที่สัปดาห์ต่อมาเธอเปลี่ยนตัวฉัน และบอกพี่น้องชายหญิงว่า เป็นเพราะฉันแย่งชิงสถานะกับเธอ  ต่อมา จางหมินถูกเปิดโปงว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์ และถูกขับออกเพราะเล่นงานและเอาคืนคนอื่น ทำชั่วทุกรูปแบบ และไม่พยายามกลับใจ  หลังจากนั้นฉันถึงได้กลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง  การเจอเรื่องนั้นมาทำให้ฉันบอกกับตัวเองว่า “คราวหน้าฉันต้องระวังคำพูด พูดให้น้อยลง ทำให้เยอะขึ้น และไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่น  ฉันไม่สามารถพูดสิ่งที่อยู่ในใจได้เหมือนเมื่อก่อนเด็ดขาด  ถ้าฉันบังเอิญเจอศัตรูของพระคริสต์อีกคน แล้วเผลอล่วงเกินพวกเขาจนลงเอยด้วยการถูกข่มเหงและเปลี่ยนตัว ฉันก็จะไม่ได้ทำหน้าที่อีกครั้ง  แล้วฉันจะมีโอกาสได้รับความรอดได้อย่างไร?”  หลังจากนั้นเวลาปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ฉันก็ระวังตัวมากขึ้น

ต่อมา ฉันถูกจับคู่ให้รับผิดชอบข่าวประเสริฐกับหลิวเสี่ยว  ระหว่างชุมนุม ฉันสังเกตว่าหลิวเสี่ยวจะเอาแต่สามัคคีธรรมถึงแง่มุมที่เป็นบวกในการเข้าสู่ของเธอ ราวกับเธอก้าวผ่านปัญหามามากมายและมีวุฒิภาวะที่ดีมากแล้ว  ฉันไม่เคยได้ยินเธอชำแหละหรือแสดงความรู้เกี่ยวกับความเสื่อมทรามของตัวเองสักครั้ง  ฉันอดไม่ได้ที่จะบอกเธอว่า “พวกเรารู้จักกันมานาน แต่ฉันไม่เคยได้ยินคุณพูดถึงการรู้จักตัวเองเลย”  ฉันแปลกใจมากที่หลิวเสี่ยวเกิดหัวเสียมากและมีสีหน้าที่ขึงขัง  เธอตอบอย่างเคร่งขรึมว่า “เราจะมีแต่การรู้จักตัวเองไม่ได้ รู้จักตัวเองไปก็ไร้ประโยชน์ถ้าเราไม่มีความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย!  ทุกวันนี้ใครพูดเรื่องการรู้จักตัวเองไม่ได้บ้าง?  คนพวกนั้นเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือยัง?”  จากเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าเธอมีความเข้าใจที่บิดเบือน กุญแจสำคัญของความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยคือการรู้จักตัวเอง ถ้าไม่รู้จักความเสื่อมทรามของตัวเอง คุณจะเปลี่ยนแปลงได้ยังไง?  เธอไม่ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะ และไม่ทบทวนตัวเองตามพระวจนะของพระเจ้า  แล้วเธอแสดงความเห็นที่น่าขันแบบนั้นออกมาได้ยังไง?  ฉันเลยบอกสิ่งที่ฉันเข้าใจตามพระวจนะให้เธอฟัง ไม่ใช่แค่เธอไม่ยอมรับ แต่ยังเถียงกลับด้วยว่า “ฉันได้ยินคุณพูดเรื่องการรู้จักตัวเองบ่อยๆ ว่าแต่คุณเปลี่ยนแปลงหรือยัง?  ถ้าคุณรู้จักตัวเอง ทำไมคุณยังเปิดเผยความเสื่อมทรามล่ะ?”  ฉันรู้สึกเหมือนเธอมีความเข้าใจที่บิดเบือนไปมากและไม่ยอมรับความจริง  หลังจากนั้น ท่าทีที่หลิวเสี่ยวมีต่อฉันก็เปลี่ยนไป  เธอจะทำเมินใส่ฉันและแทบจะไม่พูดกับฉันเลย ทั้งหมดนี้ทำให้ฉันค่อนข้างรู้สึกอึดอัด  พอเห็นว่าหลิวเสี่ยวมีความเข้าใจที่บิดเบือนและไม่ยอมรับข้อเสนอแนะของคนอื่น ฉันก็คิดว่าเธอไม่เหมาะที่จะเป็นหัวหน้างาน และคิดเรื่องการรายงานปัญหาของเธอให้ผู้นำรู้ แต่แล้วฉันก็คิดว่า “หลิวเสี่ยวเป็นผู้เชื่อมานานและเผยแผ่ข่าวประเสริฐมาตลอด แถมผู้นำของเราก็ยกย่องเธอมาก  ฉันเพิ่งเริ่มทำหน้าที่นี้ ถ้าฉันรายงานปัญหาของหลิวเสี่ยว ผู้นำจะคิดยังไงกับฉัน?  เธอจะบอกว่าฉันอิจฉาหลิวเสี่ยวและทำตัวจุกจิกไหม?  ช่างเถอะ ปัญหายิ่งน้อยก็ยิ่งดี ฉันควรจะดูแลตัวเองก่อน  การที่เธอไม่รู้จักตัวเองและมีความเข้าใจที่บิดเบือนเป็นปัญหาของเธอ ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน  คราวหลังฉันก็จะแค่เลี่ยงการพูดเรื่องความเข้าใจตัวเองต่อหน้าเธอ  เธอจะได้หยิบข้อบกพร่องของฉันมาหาเรื่องฉันไม่ได้”

ต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ดำเนินการปราบปรามผู้เชื่อครั้งใหญ่ และหลิวเสี่ยวหยุดเผยแผ่ข่าวประเสริฐเพราะขี้ขลาดและหวาดกลัว  สองสามวันต่อมา ผู้นำเขียนจดหมายมาถามความคืบหน้าของพวกเราเรื่องงานข่าวประเสริฐ และหนุนใจเราให้เดินหน้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐต่ออย่างเต็มที่ตราบเท่าที่ยังปลอดภัย  หลิวเสี่ยวบอกว่า “ตอนนี้สถานการณ์อันตราย  ถ้าเกิดเราถูกจับตอนกำลังเผยแผ่ข่าวประเสริฐจะทำยังไง?  ผู้นำของเราตัดสินใจอะไรที่น่ากังขา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่การตัดสินใจของเธอเป็นปัญหา”  คำวิจารณ์ของหลิวเสี่ยวส่งอิทธิพลต่อความเห็นที่ฉันมีต่อผู้นำเช่นกัน  ฉันคิดว่า “ถ้ามีคนถูกจับตอนกำลังเผยแผ่ข่าวประเสริฐล่ะ?  ใครจะรับผิดชอบ?  บางทีเราควรจะเลื่อนไปสักหน่อยนะ”  แล้วจากนั้น งานข่าวประเสริฐก็หยุดชะงักไปเป็นเดือน  ผู้นำเขียนจดหมายอีกฉบับหาเรา ย้ำถึงความสำคัญของงานข่าวประเสริฐ เน้นว่างานนี้คือพระบัญชาของพระเจ้าและห้ามหยุดเด็ดขาด  แม้ในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ก็อาจจะยังเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้คนสนิท ญาติพี่น้อง หรือเพื่อนๆ ได้  ผู้นำยังถามด้วยว่า ทำไมเราหยุดทำงานข่าวประเสริฐ  พออ่านจดหมาย ฉันก็ตระหนักว่าการปฏิบัติของเราออกนอกเส้นทาง แต่พอฉันเอาจดหมายให้หลิวเสี่ยวดู เธอก็ดูไม่แยแส และไม่กังวลแม้แต่น้อย แถมยังไม่ตั้งใจที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดของพวกเราอีกด้วย  พอสังเกตท่าทีของหลิวเสี่ยว ฉันก็คิดกับตัวเองว่า  “ถ้าเธอไม่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ ฉันจะทำเอง”  แล้วฉันก็ไปสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงเรื่องการแก้ไขความผิดพลาดของเรา  หลิวเสี่ยวจะเอาแต่อยู่ในห้องตลอดทั้งวัน และไม่เคยมาตรวจดูงานข่าวประเสริฐเลย  บางครั้งเธอถึงกับนั่งดูโทรทัศน์ไม่เลิก  ฉันอยากชี้ให้เธอเห็นปัญหานี้จริงๆ แต่พอคิดถึงคราวก่อนที่ฉันเสนอแนะเธอไป นอกจากจะไม่ยอมรับ เธอยังเอาเรื่องที่ฉันเปิดเผยความเสื่อมทรามมาแย้งฉัน แล้วเมินเฉยใส่ฉัน ฉันจึงเริ่มลังเลว่า “ถ้าฉันชี้ให้เธอเห็นปัญหาอีก ใครจะรู้ว่าเธอจะเถียงกลับยังไง  ถ้าฉันล่วงเกินเธอ การต้องรับมือการที่เธอเย็นชาใส่ฉันย่อมจะเจ็บปวดมาก!  ช่างเถอะ ฉันจะปิดปากเงียบแล้วทำส่วนของตัวเองต่อไป”  ต่อมา ผู้นำของเราได้สามัคคีธรรมกับเราเรื่องที่พี่น้องจากคริสตจักรอื่นกำลังเผยแผ่ข่าวประเสริฐรวมถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น  ฉันค่อนข้างรู้สึกผิด  นี่เป็นช่วงที่ยากลำบาก แต่พี่น้องชายหญิงจากคริสตจักรอื่นก็ยังพากเพียรประกาศข่าวประเสริฐ  ขณะเดียวกัน คริสตจักรของเราเองกลับหยุดงานข่าวประเสริฐและไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์เลย  ฉันอยากเขียนจดหมายไปหาผู้นำและเล่าถึงพฤติกรรมของหลิวเสี่ยวกับสภาวะในปัจจุบันของงานข่าวประเสริฐให้ผู้นำอ่านจริงๆ  แต่พอจะหยิบปากกามาเขียน ฉันก็นึกขึ้นมาว่าการถูกศัตรูของพระคริสต์คนนั้นกล่าวโทษและข่มเหงมันน่ากลัวแค่ไหน แล้วฉันก็จะลังเลว่า “ถ้าฉันรายงานปัญหาของหลิวเสี่ยว ผู้นำจะเชื่อฉันไหม?  ถ้าเธอไม่เชื่อฉันและตรวจสอบสถานการณ์ของฉัน ฉันจะไม่ยิ่งเดือดร้อนเหรอ?  ยิ่งกว่านั้นคือฉันไม่คุ้นเคยกับผู้นำคนนี้ ถ้าเกิดเธอเป็นศัตรูของพระคริสต์ แถมแก้ไขปัญหาอย่างเป็นธรรมไม่ได้ และข่มเหงฉันล่ะ?  การที่ฉันรู้สึกมั่นคงและสันติสุขในหน้าที่ตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว  ฉันไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวด้วยการรายงานปัญหานี้”  พอตระหนักเรื่องนี้ฉันก็เลือกที่จะเงียบอีกครั้ง  แต่การเห็นงานของเรามีผลลัพธ์ที่แย่ต่อไปก็ทำให้ฉันรู้สึกผิดและร้อนใจจริงๆ  ฉันอยู่ในความมืดมิดและทุกข์ใจมาก ไม่รู้ว่าจะก้าวผ่านสถานการณ์นั้นไปยังไง  ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า วอนให้พระองค์ทรงนำ และทรงช่วยให้ฉันเข้าใจวิธีก้าวผ่านสถานการณ์นั้นมา

วันหนึ่ง ฉันบังเอิญเจอพระวจนะสองบทตอนที่ทำให้หัวใจด้านชาของฉันเกิดปั่นป่วน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้คนที่เห็นแก่ตัวและต่ำช้าย่อมสุกเอาเผากินในการกระทำของพวกเขาและปลีกตัวห่างจากสิ่งใดก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเป็นการส่วนตัว  พวกเขาไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ได้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พวกเขาไม่ได้รับภาระอันใดเกี่ยวกับ  การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาหรือเป็นพยานยืนยันแด่พระเจ้า และพวกเขาไม่มีสำนึกรับรู้แห่งความรับผิดชอบเลย… มีผู้คนบางคนที่ไม่รับผิดชอบใดๆ ไม่ว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ใดอยู่  พวกเขาไม่รายงานปัญหาที่พวกเขาพบต่อผู้บังคับบัญชาของพวกเขาโดยทันทีอีกด้วย  เมื่อพวกเขาเห็นผู้คนเข้ามาขัดจังหวะและก่อกวน พวกเขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น  เมื่อพวกเขาเห็นคนชั่วทำความชั่ว พวกเขาไม่พยายามห้ามคนพวกนั้น  พวกเขาไม่ปกป้อง  ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า หรือคำนึงถึง  หน้าที่และความรับผิดชอบของพวกเขาเลย  เมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน ผู้คนแบบนี้ไม่ทำงานจริงจังใดๆ พวกเขาเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนและละโมบความสะดวกสบาย พวกเขาพูดและกระทำเพียงเพื่อความถือดี หน้าตา สถานะ และผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น และยินดีที่  จะอุทิศเวลาและความพยายามของตนเพื่อสิ่งต่างๆ  ที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเท่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เมื่อมอบหัวใจของคนเราแก่พระเจ้า คนเราย่อมจะสามารถได้มาซึ่งความจริง)  “หากเจ้ามักจะรู้สึกถึงการกล่าวหาในชีวิตของเจ้า หากหัวใจของเจ้าไม่อาจพบความสงบ หากเจ้าไร้ซึ่งสันติสุขหรือความชื่นบาน และมักจะถูกความวิตกกังวลและความกระวนกระวายเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ สารพัดชนิดรุมเร้า นี่แสดงให้เห็นสิ่งใด?  แสดงให้เห็นเพียงว่าเจ้าไม่ปฏิบัติความจริง ไม่ตั้งมั่นในคำพยานที่เจ้ามีให้พระเจ้า  เมื่อเจ้าใช้ชีวิตท่ามกลางอุปนิสัยของซาตาน ก็มีแนวโน้มที่เจ้ามักจะปฏิบัติความจริงไม่ได้ ทรยศความจริง เห็นแก่ตัวและเลวทราม เจ้าเอาแต่รักษาภาพลักษณ์ของเจ้า ชื่อและสถานะของเจ้า รวมถึงผลประโยชน์ของเจ้า  การใช้ชีวิตเพื่อตนเองอยู่เสมอนำความเจ็บปวดอันใหญ่หลวงมาให้เจ้า  เจ้ามีความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัว มีเรื่องพัวพัน มีโซ่ตรวน มีความคลางแคลงใจ และความเดือดเนื้อร้อนใจอยู่มากมายเสียจนเจ้าไม่มีสันติสุขหรือความชื่นบานแม้แต่น้อย  การใช้ชีวิตเพื่อเนื้อหนังอันเสื่อมทรามคือการทนทุกข์อย่างเหลือล้น(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเข้าสู่ชีวิตเริ่มต้นที่การปฏิบัติหน้าที่)  พออ่านจบฉันก็ค่อนข้างรู้สึกผิด  ฉันตระหนักว่าเหตุผลที่ฉันไม่กล้ารายงานปัญหาของหลิวเสี่ยวให้ผู้นำทราบ เป็นเพราะฉันเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจเกินไป  ฉันคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง แค่อยากทำหน้าที่อย่างสันติสุข หลีกเลี่ยงการล่วงเกินผู้อื่น และสร้างปัญหาให้ตัวเอง  ทันทีที่ฉันเห็นว่าหลิวเสี่ยวมีความเข้าใจที่บิดเบือนและไม่ยอมรับความจริง ฉันอยากรายงานให้ผู้นำทราบ แต่ก็กังวลว่าผู้นำจะเข้าใจฉันผิด คิดว่าฉันอิจฉาหลิวเสี่ยวและหยิบข้อผิดพลาดมาโจมตีเธอ  ฉันก็เลยเอาแต่เงียบ  เมื่อฉันเห็นว่าเธอหยุดเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ดูโทรทัศน์อยู่บ้านทั้งวัน ไม่สนใจทำงาน และเอาแต่เพลิดเพลินกับผลประโยชน์จากสถานะ ฉันก็ควรรายงานให้ผู้นำทราบทันที แต่ฉันเลือกปกป้องตัวเอง ไม่ได้คิดถึงผลประโยชน์ของงานของคริสตจักรเลย  ขนาดฉันเห็นว่าผลลัพธ์ในงานข่าวประเสริฐของเราแย่แค่ไหน ฉันก็ยังเงียบ และไม่ว่ารู้สึกผิดแค่ไหน ฉันก็จะไม่รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นจริง  ฉันเอาแต่ปิดปากจนสนิท  ฉันเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ และขาดความเป็นมนุษย์จริงๆ  ฉันรู้สึกติดค้างพระเจ้า และเกลียดตัวเองที่ไม่ปฏิบัติความจริง จนความคืบหน้าของงานชะงักไปนาน

ขณะแสวงหา ฉันก็บังเอิญเจอพระวจนะบทตอนนี้ “สำหรับทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับความจริงจะลุ่มลึกหรือตื้นเขินเช่นไร หนทางที่เรียบง่ายที่สุดของการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงก็คือ การคิดถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่าง และการปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัว เจตนาส่วนตน เหตุจูงใจ ความภาคภูมิใจ และสถานะของตน  จงวางผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าไว้อันดับแรก—อย่างน้อยที่สุดคนเราควรทำเช่นนี้  หากแม้เพียงเท่านี้ คนที่ปฏิบัติหน้าที่ก็ไม่สามารถทำได้ เช่นนั้นแล้วจะพูดได้อย่างไรว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน?  นั่นย่อมไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา  ก่อนอื่นเจ้าควรนึกถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และคำนึงถึงงานของคริสตจักร  จงให้ความสำคัญแก่สิ่งเหล่านี้เหนือสิ่งอื่นใด เฉพาะหลังจากนั้นเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถคิดเกี่ยวกับเสถียรภาพของสถานะของเจ้าหรือนึกถึงสายตาที่ผู้อื่นมองเจ้าได้  พวกเจ้าไม่รู้สึกหรอกหรือว่านี่พอจะง่ายขึ้นบ้างเมื่อเจ้าแบ่งมันออกเป็นสองขั้นตอนและทำการประนีประนอมบ้าง?  หากเจ้าปฏิบัติเช่นนี้ไปสักพัก เจ้าก็จะมารู้สึกว่าการทำให้พระเจ้าพอพระทัยนั้นไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าควรมีความสามารถที่จะลุล่วงความรับผิดชอบทั้งหลายของเจ้า ปฏิบัติภาระผูกพันและหน้าที่ของเจ้า วางความอยากได้อยากมี ความตั้งใจและแรงจูงใจอันเห็นแก่ตัวของเจ้าลง เจ้าควรคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และให้ความสำคัญแก่ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า งานของคริสตจักร และหน้าที่ที่เจ้าพึงปฏิบัติเป็นอันดับแรก  หลังจากผ่านประสบการณ์กับการนี้ไปสักพัก เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือหนทางปฏิบัติตนอันดีงาม  เป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ ไม่เป็นคนที่เลวทรามต่ำช้า นี่คือการดำรงชีวิตอย่างยุติธรรมและมีเกียรติ แทนที่จะเป็นคนที่น่าดูหมิ่น ต่ำช้า และไม่มีอะไรดี  เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือวิธีที่คนคนหนึ่งควรปฏิบัติตน และเป็นภาพลักษณ์ที่พวกเขาควรใช้เป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิต  ความอยากที่จะตอบสนองผลประโยชน์ของตัวเจ้าเองก็จะค่อยๆ ทุเลาลง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น)  พระวจนะชี้ให้ฉันเห็นเส้นทางปฏิบัติ  เมื่อเจอทางเลือกระหว่างงานของคริสตจักรกับผลประโยชน์ส่วนตัว เราก็ควรให้ความสำคัญกับงานคริสตจักรเสมอ  สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษางานของคริสตจักรก่อน นี่เป็นหน้าที่ที่เราต้องทำให้ลุล่วงอย่างเลี่ยงไม่ได้  ฉันต้องปฏิบัติตามพระวจนะ และหยุดมองอย่างดูดาย  ฉันต้องรายงานปัญหาในงานของเราให้ผู้นำทราบทันที  ถ้าพฤติกรรมของหลิวเสี่ยวมีปัญหาจริงๆ ผู้นำและคนทำงานก็จะได้แก้ไขทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้าในงาน  ถ้าฉันเข้าใจบางประเด็นผิดไป ฉันก็สามารถปรับปรุงข้อบกพร่องของตัวเองผ่านการแสวงหาได้  ผู้นำและคนทำงานจะมองฉันยังไง ก็ไม่สำคัญเท่าสิ่งเหล่านี้  พอตระหนักทั้งหมดนี้ ฉันก็รู้สึกปลดเปลื้องขึ้นเล็กน้อย และเล่ารายละเอียดสถานการณ์ของหลิวเสี่ยวให้ผู้นำฟัง  แต่ผ่านไปสองสัปดาห์ ฉันก็ยังไม่เห็นการตอบสนองใดๆ ฉันคิดในใจว่า “ผู้นำจริงจังกับปัญหาพวกนี้ที่ฉันรายงานไปไหม?  ทำไมเธอไม่มาแก้ไขปัญหาเหล่านี้?  เธอคิดว่าพฤติกรรมของหลิวเสี่ยวไม่มีปัญหา และฉันรายงานผิดหรือเปล่า?”  ฉันรู้สึกอึดอัดใจมากและอยากรายงานปัญหากับผู้นำอีกคน แต่แล้วก็คิดว่า “เอาเถอะ ฉันรายงานปัญหากับผู้นำคนหนึ่งไปแล้ว ฉันทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว  ฉันไม่ควรพูดอะไรมาก  ไม่งั้นถ้าไม่ระวัง ฉันก็อาจล่วงเกินใครเข้า และจะถูกข่มเหงและลงโทษ”  ฉันไม่อยากตรวจสอบเรื่องนี้เพิ่มแล้ว แต่ก็ยังค่อนข้างรู้สึกผิด  ฉันคิดกับตัวเองว่า “ฉันรายงานปัญหาพวกนี้เพื่อแสวงหาความจริงและรักษางานของคริสตจักร ไม่ใช่เพราะพยายามสร้างเรื่องยุ่งยากให้ใคร  พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ทุกสิ่ง แล้วฉันต้องกังวลอะไร?  ทำไมฉันถึงกังวลและลังเลที่จะรายงานปัญหาเสมอ อย่างกับปากถูกรูดซิปปิดสนิท?”  ฉันมาเฉพาะพระพักตร์เพื่อแสวงหาและอธิษฐาน ขอพระองค์ทรงนำให้ฉันเข้าใจปัญหาของตัวเอง แข็งขืนต่อตัวเอง และปฏิบัติความจริง

ต่อมา ฉันบังเอิญเจอพระวจนะสองบทตอนที่ทำให้ฉันรู้จักตัวเองมากขึ้น  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้คนที่เป็นเช่นศัตรูของพระคริสต์ย่อมปฏิบัติต่อความชอบธรรมและพระอุปนิสัยของพระเจ้าด้วยมโนคติอันหลงผิด ความสงสัย และการต้านทานอยู่เสมอ  พวกเขาคิดว่า ‘เรื่องที่พระเจ้าทรงชอบธรรมเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น  ในโลกนี้มีสิ่งที่เป็นความชอบธรรมจริงๆ หรือ?  อยู่มาจนป่านนี้ ฉันยังไม่เคยพบเคยเห็นเลยสักครั้ง  โลกมืดมิดและชั่วนัก แล้วคนชั่วกับพวกมารก็ก้าวหน้าดีทีเดียว มีชีวิตกันอย่างผาสุก  ฉันยังไม่เคยเห็นพวกเขาได้รับสิ่งที่สมควรได้เลย  ฉันมองไม่ออกว่ามีความชอบธรรมของพระเจ้าอยู่ตรงไหนในเรื่องนี้ ฉันนึกสงสัยว่าความชอบธรรมของพระเจ้ามีอยู่จริงด้วยหรือ?  มีใครเคยเห็นบ้าง?  ไม่มีใครเคยเห็น และไม่มีใครสามารถยืนยันได้’  พวกเขาคิดในใจอย่างนี้  พวกเขาไม่ยอมรับพระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้า ไม่ยอมรับพระวจนะทั้งปวงของพระองค์ และไม่ยอมรับการจัดวางเรียบเรียงทั้งหมดของพระองค์บนรากฐานของการเชื่อว่าพระองค์ทรงชอบธรรม แต่กลับสงสัยและวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ เต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งพวกเขาไม่เคยแสวงหาความจริงมาแก้ไขเลย  นี่คือวิธีเชื่อในพระเจ้าของพวกศัตรูพระคริสต์เสมอมา… ในห้วงเวลาปกติ ผู้คนย่อมไม่สามารถมองเห็นเรื่องนี้ แต่เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา ความอัปลักษณ์ของศัตรูพระคริสต์ย่อมถูกเปิดโปง  พวกเขาปกป้องตัวเองด้วยกำลังทั้งหมดที่มี เหมือนเม่นแคระที่ชูขนแหลมทั้งหมดขึ้นมา ไม่ปรารถนาจะรับผิดชอบอะไร  นี่เป็นท่าทีแบบใด?  นี่คือท่าทีของการไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงชอบธรรมมิใช่หรือ?  พวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ทุกสิ่งหรือเชื่อว่าพระองค์ทรงชอบธรรม พวกเขาปรารถนาจะใช้วิธีการของตนมาปกป้องตนเอง  พวกเขาเชื่อว่า ‘ถ้าฉันไม่ปกป้องตัวเอง ก็จะไม่มีใครปกป้อง  พระเจ้าก็ปกป้องฉันไม่ได้เช่นกัน  พวกเขาบอกว่าพระองค์ทรงชอบธรรม แต่พอผู้คนเดือดร้อน พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเป็นธรรมจริงๆ หรือ?  ไม่มีทาง—พระเจ้าไม่ทำอะไรแบบนั้น’  เวลาเผชิญปัญหาหรือการข่มเหง พวกเขารู้สึกว่าไร้การช่วยเหลือ และคิดว่า ‘แล้วพระเจ้าอยู่ไหน?  ผู้คนไม่สามารถมองเห็นหรือจับต้องพระองค์ได้  ไม่มีใครช่วยฉันได้ ไม่มีใครสามารถหยิบยื่นความยุติธรรมให้ฉันและค้ำจุนความเป็นธรรมให้ฉันได้’  พวกเขาคิดว่าหนทางเดียวที่จะปกป้องตัวเองได้คือการใช้วิธีของตนเอง ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็จะสูญเสีย ถูกกลั่นแกล้งและข่มเหง—และพระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นสำหรับเรื่องนี้  ก่อนจะเกิดอะไรขึ้นกับตน ศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะวางแผนทุกอย่างให้ตนเองไว้เรียบร้อยแล้ว  ในด้านหนึ่ง สิ่งที่พวกเขาทำคือการพยายามอย่างหนักที่จะปลอมแปลงว่าตนเป็นคนมีอำนาจจนไม่มีใครกล้ารบกวนพวกเขา วุ่นวายกับพวกเขา หรือกลั่นแกล้งพวกเขา  ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คือการที่พวกเขายึดปฏิบัติตามปรัชญาของซาตานและกฎแห่งการดำรงอยู่ของมันในทุกโอกาส  ซึ่งโดยรวมแล้วมีอะไรบ้าง?  ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’ ‘จงปล่อยสิ่งทั้งหลายให้ลอยไป หากพวกมันไม่ส่งผลต่อคนเราเป็นการส่วนตัว’ ‘ผู้คนที่มีไหวพริบนั้น เก่งในการปกป้องตัวเอง ด้วยการแค่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาเท่านั้น’ ทำตามที่รูปการณ์แวดล้อมเปิดโอกาสให้ ลื่นไหลและแนบเนียนเข้าไว้ ‘เราจะไม่โจมตีเว้นแต่เราถูกโจมตี’ ‘ความปรองดองคือขุมทรัพย์ ความอดกลั้นคือความปราดเปรื่อง’ ‘ในเมื่อพูดตรงไม่เป็นที่ชอบใจ ก็จงกล่าวคำพูดเอออวยเอาใจไปกับความรู้สึกและเหตุผลของผู้อื่นเสียเถิด’ ‘ผู้มีปัญญานบนอบต่อรูปการณ์แวดล้อม’ และปรัชญาเยี่ยงซาตานอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน  พวกเขาไม่รักความจริง แต่ยอมรับปรัชญาของซาตานราวกับสิ่งที่เป็นบวก เชื่อว่าปรัชญาเหล่านี้จะปกป้องตนได้  พวกเขาใช้ชีวิตตามปรัชญาเหล่านี้ โดยไม่พูดเรื่องจริงกับใคร แต่จะพูดเรื่องน่าฟัง เรื่องประจบสอพลอและยกยอปอปั้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่ล่วงเกินใคร คิดหาทางนำเสนอตัวเองเพื่อให้ผู้อื่นยอมรับนับถือตน  พวกเขาใส่ใจแต่การไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตนเท่านั้น และไม่ทำอะไรที่ค้ำจุนงานของคริสตจักรเลย  พวกเขาไม่เปิดโปงหรือรายงานเรื่องของใครก็ตามที่ทำเรื่องไม่ดีและทำให้พระนิเวศของพระเจ้าเสียประโยชน์ แต่กลับทำเป็นมองไม่เห็น  เมื่อดูหลักธรรมที่พวกเขาใช้รับมือสิ่งต่างๆ และการปฏิบัติของพวกเขาต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว พวกเขามีความรู้เรื่องพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าบ้างหรือไม่?  พวกเขามีความเชื่อในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมบ้างหรือไม่?  พวกเขาไม่ไม่มีเลย  คำว่า ‘ไม่มี’ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่ตระหนักรู้ แต่หัวใจของพวกเขามีความสงสัยในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  พวกเขาทั้งไม่ยอมรับและไม่รับรู้ว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สิบ (ภาคที่หนึ่ง))  “บางคนกลัวว่าจะถูกศัตรูของพระคริสต์เล่นงานกลับ และไม่กล้าเปิดโปงพวกเขา  นี่ไม่โง่เขลาหรอกหรือ?  เจ้าไม่สามารถปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งก็แสดงให้เห็นในตัวเองอยู่แล้วว่าเจ้าไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้า  เจ้ากลัวว่าศัตรูของพระคริสต์อาจจะหาทีเด็ดมาแก้เผ็ดเจ้า—ปัญหาคืออะไร?  เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าไม่เชื่อในความชอบธรรมของพระเจ้า?  เจ้าไม่รู้หรือว่าความจริงเป็นใหญ่ในพระนิเวศของพระเจ้า?  ต่อให้ศัตรูของพระคริสต์สามารถหาปัญหาเรื่องความเสื่อมทรามบางอย่างในตัวเจ้าพบและทำให้เป็นเรื่องขึ้นมา เจ้าก็ไม่ควรกลัว  ปัญหาในพระนิเวศของพระเจ้าย่อมถูกจัดการไปตามหลักธรรมความจริง  การกระทำผิดไม่ได้หมายความว่าใครบางคนเป็นคนชั่ว  พระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยจัดการใครเพราะการเผยความเสื่อมทรามชั่วขณะหรือกระทำผิดเป็นครั้งคราว  พระนิเวศของพระเจ้าจัดการกับศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วที่ก่อกวนและทำชั่วเป็นประจำ รวมทั้งพวกที่ไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย  พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่มีวันทำผิดต่อคนดี  พระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเป็นธรรม  ต่อให้ผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์กล่าวหาคนดีอย่างผิดๆ พระนิเวศของพระเจ้าก็จะแก้ต่างให้  คริสตจักรจะไม่มีวันกำจัดหรือจัดการคนดีที่สามารถเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์และมีสำนึกของความยุติธรรม  ผู้คนกลัวอยู่เสมอว่าศัตรูของพระคริสต์จะหาไพ่ตายมาแก้เผ็ดตน  แต่เจ้าไม่กลัวหรือว่าจะล่วงเกินพระเจ้าและกลายเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของพระองค์?(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่แปด))  พระเจ้าทรงเปิดโปงการที่ศัตรูของพระคริสต์ไม่เชื่อในความชอบธรรมของพระเจ้า และไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงพินิจพิเคราะห์ทุกสิ่ง  พวกเขายึดมั่นในหลักปรัชญาของตัวเอง เรื่องการรับมือเรื่องทางโลกในทุกแง่มุมของชีวิต ใช้วิธีการของพวกเขาปกป้องตัวเอง เจ้าเล่ห์และกลับกลอกอย่างเหลือเชื่อ  เมื่อเปรียบเทียบตัวฉันกับการเปิดเผยของพระวจนะ ฉันก็เห็นว่าฉันไม่ต่างอะไรจากศัตรูของพระคริสต์  ฉันไม่มีความรู้เรื่องพระอุปนิสัยอันชอบธรรม ไม่เชื่อว่าความจริงปกครองในพระนิเวศ และรับมือกับเรื่องทางโลกทุกแง่มุมด้วยหลักปรัชญาของซาตาน  ตอนเด็กๆ พ่อแม่มักจะเตือนฉันว่า “ปลาหมอตายเพราะปาก ในโลกนี้ให้การกระทำของลูกพูดแทนคำพูดเถอะ”  พอโตขึ้นและเริ่มทำงาน ฉันก็เห็นความมืด ความชั่ว และความไม่เป็นธรรมในสังคม จนเชื่อว่าการหัดมีไหวพริบและฉลาด หัดประจบและไม่พูดอย่างสัตย์จริงเท่านั้นที่ฉันจะสามารถปกป้องตัวเองและใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้  หลักปรัชญาของซาตานในการรับมือโลกใบนี้ อย่างเช่น “ความเงียบมีค่าดุจทองคำ พูดมากย่อมผิดมาก” “เมื่อเจ้ารู้ว่าบางสิ่งบางอย่างผิดไป จงพูดให้น้อยลงเสียจะดีกว่า” กลายเป็นหลักการที่ฉันใช้ปฏิบัติตน  ฉันใช้ชีวิตด้วยหลักความเชื่อเหล่านี้  นอกจากจะกลายเป็นคนนิ่งเฉยและไม่เต็มใจจะพูดแล้ว ฉันยังค่อนข้างเห็นแก่ตัว เมินเฉย กลับกลอก และเจ้าเล่ห์ด้วย  ต่อให้ฉันเข้าใจประเด็นใดอย่างลึกซึ้ง ฉันก็จะไม่กล้าแสดงความเห็น  ฉันจะไม่แบ่งปันสิ่งที่คิดอยู่ลึกๆ หรือพูดอย่างซื่อสัตย์ แถมกังวลอยู่เสมอว่าฉันจะพูดสิ่งที่ผิด ล่วงเกินใครเข้า และสร้างปัญหาให้ตัวเอง  หลังจากเข้าสู่ความเชื่อ ฉันก็ยังใช้หลักปรัชญาของซาตานในการปกป้องตัวเอง  ฉันบอกตัวเองว่า ฉันต้องทำให้มากขึ้นและพูดให้น้อยลงเพื่อเลี่ยงการล่วงเกินคนอื่นและสร้างปัญหาให้ตัวเอง  พอฉันเห็นหลิวเสี่ยวไม่เหมาะกับการเป็นหัวหน้างาน ฉันก็รู้ว่าฉันควรรายงานเรื่องนี้แก่ผู้นำทันที แต่ฉันก็กังวลว่า ผู้นำของฉันจะไม่จัดการเรื่องนี้อย่างเป็นธรรม กลัวว่าฉันจะถูกข่มเหงและลงโทษ ฉันเลยปกป้องตัวเอง ปิดปากเงียบ ไม่กล้าพูดอะไรที่ซื่อสัตย์สักอย่าง  ฉันเห็นแก่ตัว กลับกลอก เจ้าเล่ห์อย่างเหลือเชื่อ และไม่มีความเป็นธรรมแม้แต่น้อย  ฉันใช้ชีวิตอย่างน่ารังเกียจและโสมม  อันที่จริงฉันก็เห็นได้จากประสบการณ์ของตัวเองว่า ถึงที่จริงฉันถูกข่มเหงและเปลี่ยนตัวเพราะเสนอแนะผู้นำ แต่ไม่นาน ผู้นำคนนั้นก็ถูกเปิดโปงว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์ และถูกขับออกไป  หลังจากนั้นฉันก็เริ่มทำหน้าที่อีกครั้ง และไม่เสียโอกาสในการไล่ตามความจริงและได้รับความรอด  จากการที่ถูกศัตรูของพระคริสต์คนนั้นข่มเหงชั่วคราว ฉันเห็นด้วยตัวเองว่าพระนิเวศปกครองโดยความจริงและความชอบธรรมยังไง พระนิเวศรับมือทุกสิ่งและปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเป็นธรรมและตามหลักธรรมความจริงเพื่อดูให้แน่ใจว่าไม่มีการทำผิดต่อใคร  แต่ฉันก็ชั่วและเจ้าเล่ห์เกินไป และไม่มีความรู้เรื่องความชอบธรรมของพระเจ้า  ฉันเชื่อว่าพระนิเวศเหมือนสังคม และผู้นำกับคนทำงานก็เหมือนเจ้าหน้าที่รัฐ คิดว่าถ้าล่วงเกินพวกเขาฉันจะไม่มีที่ให้อยู่ในคริสตจักร ความคิดและทัศนะเหล่านี้ชั่วร้ายมาก!

แล้วฉันก็บังเอิญเจอพระวจนะอีกสองบทตอน “มีปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกอยู่ในตัวเจ้ากี่ข้อ?  เจ้าปลดเปลื้องปรัชญาเหล่านั้นทิ้งไปหรือยัง?  หากหัวใจของเจ้าไม่สามารถหันเข้าหาพระเจ้าได้โดยบริบูรณ์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้เป็นของพระเจ้า—เจ้ามาจากซาตาน ในท้ายที่สุดเจ้าก็จะกลับคืนไปหาซาตาน และเจ้าย่อมไม่สมควรที่จะเป็นหนึ่งในประชากรของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การสถาปนาสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้าคือสิ่งสำคัญยิ่ง)  “เราไม่ได้ตัดสินบั้นปลายของแต่ละบุคคลตามอายุ ความอาวุโส ระดับความทุกข์ และที่น้อยที่สุดคือ ระดับความชวนสังเวชของพวกเขา แต่เป็นไปโดยสอดคล้องกับการที่ว่า พวกเขาครองความจริงหรือไม่  ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากนี้  พวกเจ้าจำต้องตระหนักว่า ทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจะถูกลงโทษด้วยเช่นกัน  นี่คือข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า)  พอใคร่ครวญดูฉันก็ตระหนักว่า สิ่งที่กำหนดว่าผู้เชื่อได้รับความรอดหรือไม่ คือพวกเขามีความจริงและปฏิบัติความจริงหรือไม่  ถ้าใครไม่อาจใช้ชีวิตด้วยความจริงได้ในความเชื่อ กลับยึดมั่นหลักปรัชญาเยี่ยงซาตานในการจัดการทางโลก พวกเขาก็เป็นของซาตาน ไม่ใช่ของพระเจ้า  ต่อให้ดูภายนอกพวกเขาทำหน้าที่สำคัญ หรือเป็นคนที่ผู้นำมองว่าดี สุดท้ายพวกเขาก็จะยังถูกพระเจ้ากำจัดออกไปเพราะไม่ปฏิบัติความจริง และไม่ได้รับความจริง  ฉันแค่เห็นหลิวเสี่ยวก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักร แต่ฉันไม่กล้ารายงานเรื่องนี้ต่อผู้นำเพราะกลัวตัวเองถูกศัตรูของพระคริสต์ข่มเหง และเสียหน้าที่ไป ซึ่งจะหมายถึงการที่ฉันเสียโอกาสในการได้รับความรอด ช่างเป็นแนวคิดที่โง่เขลาและน่าขันเหลือเกิน!  ความสามารถในการได้รับความรอดของฉัน ไม่ได้ตัดสินจากผู้อื่น แต่จะกำหนดจากเรื่องที่ว่าฉันปฏิบัติความจริงหรือไม่  ถ้าฉันยังใช้ชีวิตตามหลักปรัชญาเยี่ยงซาตาน ปกป้องตัวเอง และไม่รักษางานของคริสตจักร ต่อให้ฉันทำหน้าที่ฉันก็จะยังไม่ได้รับความรอด  พอตระหนักได้ ฉันก็ค่อนข้างรู้สึกผิดและเสียใจ  ฉันเลยอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอพระองค์ทรงนำฉันให้ปฏิบัติความจริง และกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์และซื่อตรง

ผ่านการแสวงหาและทบทวนฉันก็ตระหนักว่า  สาเหตุที่ฉันกลัวผู้นำจะข่มเหงฉันถ้ารายงานปัญหาเป็นเพราะฉันไม่เข้าใจอธิปไตยอันเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า ไม่ยอมรับสถานการณ์ที่เจอจากพระเจ้า และกลับเชื่อว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะฉันวุ่นวายเกินไป  นี่คือทัศนะของผู้ปราศจากความเชื่อไม่ใช่เหรอ?  ฉันเห็นพระวจนะที่ว่า “ศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วปรากฏตัวในคริสตจักรบางแห่งและกระทำการก่อกวน และในการทำเช่นนั้น พวกเขาก็ชักพาให้บางคนพลอยหลงผิด—นี่คือสิ่งที่ดีหรือไม่ดี?  นี่เป็นความรักของพระเจ้า หรือว่าพระเจ้าทรงเล่นกับผู้คนและทำให้พวกเขาเผยตัวตนออกมา?  เจ้าไม่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ใช่หรือไม่?  พระเจ้าทรงนำเอาสรรพสิ่งทั้งหลายมาใช้ในการปรนนิบัติของพระองค์เพื่อช่วยบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะช่วยให้รอดและทำให้พวกเขาเพียบพร้อม และท้ายที่สุดสิ่งที่บรรดาผู้ที่แสวงหาความจริงและปฏิบัติความจริงโดยแท้จะได้รับก็คือความจริง  อย่างไรก็ตาม บางคนที่ไม่แสวงหาความจริงกลับพร่ำบ่นโดยกล่าวว่า  ‘การที่พระเจ้าทรงพระราชกิจในหนทางนี้ไม่ถูกต้อง  การนี้ทำให้ฉันทนทุกข์อย่างมาก!  ฉันเกือบตกไปเป็นพวกศัตรูของพระคริสต์  หากนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการจริง แล้วพระองค์ทรงอนุญาตให้ผู้คนตกไปเป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างไร?’  เกิดอะไรขึ้นที่นี่?  การที่เจ้าไม่ติดตามศัตรูของพระคริสต์นั้นพิสูจน์ว่าเจ้ามีการคุ้มครองของพระเจ้า หากเจ้าตกไปเป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ เช่นนั้นแล้วย่อมเป็นการทรยศต่อพระเจ้าและพระเจ้าไม่ทรงต้องการเจ้าอีกต่อไป  ดังนั้นแล้ว การที่ศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วเหล่านี้ก่อกวนคริสตจักรเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี?  ดูภายนอกแล้วเหมือนนี่เป็นเรื่องไม่ดี แต่เมื่อศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วเหล่านี้เผยตัวออกมา วิจารณญาณของเจ้าย่อมเติบโต พวกเขาจะถูกชำระออกไป และวุฒิภาวะของเจ้าย่อมเติบโต  ในอนาคตเมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับผู้คนเช่นนั้นอีกครั้ง เจ้าจะมีวิจารณญาณเกี่ยวกับพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะแสดงโฉมหน้าที่แท้จริงของตนออกมาด้วยซ้ำ และเจ้าจะปฏิเสธพวกเขา  เรื่องนี้ทำให้เจ้าได้เรียนรู้บทเรียนและได้ประโยชน์ เจ้าจะรู้วิธีแยกแยะศัตรูของพระคริสต์และจะไม่ถูกซาตานชักพาให้หลงผิดอีกต่อไป  ดังนั้นจงบอกเราเถิดว่า การให้ศัตรูของพระคริสต์มาก่อกวนและชักพาให้ผู้คนหลงผิดย่อมเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ?  เมื่อผู้คนได้มีประสบการณ์มาถึงระยะนี้เท่านั้น พวกเขาถึงจะสามารถเห็นได้ว่าพระเจ้าไม่ทรงกระทำสิ่งที่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา และพระเจ้าทรงอนุญาตให้พญานาคใหญ่สีแดงกระทำการก่อกวนอย่างบ้าคลั่งและทรงอนุญาตให้ศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหลงผิดเพื่อที่พระองค์จะได้ให้ซาตานรับใช้พระองค์ในการทำให้ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรนั้นเพียบพร้อม และตอนนั้นเท่านั้นผู้คนจึงเข้าใจเจตนารมณ์อันบากบั่นของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของคนเราเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้า (1))  ฉันตระหนักผ่านพระวจนะว่า พระเจ้าทรงอนุญาตให้ศัตรูของพระคริสต์ปรากฏตัวในคริสตจักรเพื่อที่ว่าพวกเราอาจได้รับความจริงและวิจารณญาณ และหลุดพ้นจากการหลอกลวงและควบคุมของซาตาน  ถ้าเราไม่เผชิญหน้ากับศัตรูของพระคริสต์ เราจะไม่หัดแยกแยะพวกเขา และอาจจะยังถูกพวกเขาหลอกเอาได้  การถูกข่มเหงจากศัตรูของพระคริสต์คนนั้นทำให้ฉันได้รับวิจารณญาณบางอย่างในเรื่องนี้ แถมยังทบทวนและเกิดความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ของตัวเองด้วย  ช่วงนั้นฉันทำหน้าที่แบบแสวงหาสถานะ เปี่ยมด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีอยู่เสมอ  ฉันเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ แต่กลับไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังทำแบบนั้น  หลังจากถูกศัตรูของพระคริสต์คนนั้นข่มเหงและเปลี่ยนตัว ฉันถึงเริ่มทบทวนตัวเอง  ผ่านการให้ความรู้แจ้งและให้ความกระจ่างจากพระวจนะ ฉันก็ตระหนักว่า การแสวงหาสถานะคือถนนสู่การทำลาย  ฉันยังได้เรียนรู้ว่าในความเชื่อ เราต้องพยายามทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ลุล่วง นี่คือสิ่งที่เราควรไล่ตามเสาะหา  ฉันเริ่มมุ่งไล่ตามเสาะหาความจริง และจะทำงานอย่างมีสติเพื่อทำทุกหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาอย่างเต็มที่  ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้คือความรอด และเป็นการคุ้มครองที่ยิ่งใหญ่จากพระเจ้า  แม้ทนทุกข์ในระดับหนึ่ง ฉันก็ได้เรียนรู้จากกระบวนการนี้ค่อนข้างมาก และนี่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของฉันที่สุด  ยิ่งคิดทบทวนฉันก็ยิ่งเข้าใจชัดเจน  ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันต้องทำคือทำหน้าที่และความรับผิดชอบให้ลุล่วง และรายงานสถานการณ์ที่ฉันเข้าใจต่อผู้นำ  ส่วนผู้นำจะปฏิบัติต่อฉันยังไง และฉันจะเจอสถานการณ์แบบไหน พระเจ้าก็ทรงอนุญาตทั้งสิ้น  ฉันควรวางตัวเองไว้ในพระหัตถ์และนบนอบอธิปไตยและการจัดการของพระองค์  ฉันก็เลยรายงานปัญหานี้ต่อผู้นำอีกคนหนึ่ง

หลังจากได้รับจดหมายของฉันและยืนยันรายงานของฉัน ผู้นำก็เปลี่ยนตัวหลิวเสี่ยวทันที  ทั้งหมดนี้ทำให้ฉันรู้สึกตื้นตันใจมาก  ตั้งแต่ที่ฉันเห็นว่าหลิวเสี่ยวมีปัญหาไปจนถึงตอนที่ฉันรายงานปัญหาต่อผู้นำ ฉันทำให้เวลาล่าช้าไปกว่าสองเดือน  พอนึกถึงการที่เรื่องนี้กระทบและทำให้งานข่าวประเสริฐล่าช้าไปสองเดือน ฉันก็เสียใจและรู้สึกผิดมาก  ฉันเกลียดตัวเองที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนัก แถมยังเป็นคนเห็นแก่ตัวและเจ้าเล่ห์  การจัดการเรื่องทางโลกด้วยหลักปรัชญาของซาตานไม่ใช่แค่ทำให้ตัวฉันเสียหาย แต่ยังส่งผลต่องานของคริสตจักรด้วย  หลังจากอ่านพระวจนะ ฉันถึงได้รู้จักตัวเองขึ้นบ้าง เลิกถูกบีบคั้นจากสถานะและอำนาจ แถมยังรายงานปัญหาอย่างซื่อสัตย์ได้ทันท่วงที ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 21. การหนีจากความถือดีไม่ใช่เรื่องง่าย

ถัดไป: 23. วิธีที่ฉันได้เรียนรู้การเป็นพยานยืนยันแด่พระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger