23. วิธีที่ฉันได้เรียนรู้การเป็นพยานยืนยันแด่พระเจ้า

โดย ม่อหราน, ประเทศจีน

เดือนมิถุนายน ค.ศ. 2020 ฉันได้รับเลือกเป็นมัคนายกให้น้ำ และให้เป็นผู้ควบคุมดูแลการให้น้ำบรรดาผู้ที่เพิ่งยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า  ฉันคิดกับตัวเองว่า “ฉันต้องทำหน้าที่ให้ดีและตอบแทนความรักของพระเจ้า”  เริ่มแรกนั้น ฉันมีความลำบากยากเย็นมากมายในการทำงาน อาทิเช่น พี่น้องชายหญิงบางคนยุ่งกับการงาน และไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมเป็นประจำ บ้างก็ถูกหลอกลวงโดยการใส่ร้ายของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและวงการศาสนา และอิดออดที่จะเข้าร่วมการชุมนุม บ้างก็คิดลบและอ่อนแอเพราะถูกครอบครัวขัดขวาง และไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้  พอคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ฉันก็รู้สึกกดดันอย่างมาก  ช่างมีงานที่ต้องทำมากมายเหลือเกินในการที่จะให้น้ำพี่น้องชายหญิงเหล่านี้ให้ได้ดี ให้พวกเขาสามารถเข้าใจความจริงและหยั่งรากลงบนหนทางที่แท้จริง!  ในช่วงเวลานั้น ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า พึ่งพาพระเจ้า และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาและความลำบากยากเย็นทั้งหลายของพวกเขา  พอผ่านไปได้สักพัก พี่น้องส่วนใหญ่ก็เข้าร่วมการชุมนุมกันเป็นปกติ และบางคนก็ได้เรียนรู้ความหมายของการทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง พวกเขาจึงเข้ามาทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถของพวกเขา  พอฉันเห็นผลลัพธ์เหล่านี้ ฉันก็ดีใจมาก ฉันอดไม่ได้ที่จะชื่นชมตัวเอง “ต้องเป็นเพราะฉันทำงานนี้ได้ดี ไม่อย่างนั้น ผลลัพธ์จะออกมาดีขนาดนี้หรือ?”  จากนั้นพอฉันได้ยินเหล่าพี่น้องชายหญิงพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาและความลำบากยากเย็นที่พวกเขาเผชิญในหน้าที่ของพวกเขา ฉันก็เริ่มอวดตัวไปโดยไม่รู้ตัว ว่าฉันเก่งกว่าและมีประสบการณ์มากกว่าพวกเขา

มีครั้งหนึ่ง ในการชุมนุมกับพี่น้องหญิงบางคนที่เพิ่งเริ่มให้น้ำแก่ผู้มาใหม่ พวกเธอพูดขึ้นว่า ผู้มาใหม่บางคนได้เห็นการปราบปรามแบบบ้าระห่ำและการจับกุมจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรู้สึกคิดลบ อ่อนแอ ขี้ขลาดและหวาดกลัว  พี่น้องหญิงเหล่านี้ไม่รู้ว่าจะสามัคคีธรรมอย่างไรเพื่อแก้ไขปัญหานี้  ฉันคิดกับตัวเองว่า ในเมื่อฉันเพิ่งแก้ไขปัญหาเหล่านี้ไปได้ไม่นาน และได้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์อยู่บ้าง นี่ย่อมเป็นโอกาสดีที่จะบอกพวกเขาถึงวิธีที่ฉันสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาพวกนี้  พวกเขาจะได้เห็นว่า ฉันนี่เองที่เป็นผู้ที่เข้าใจความจริงและเป็นคนทำงานที่มีความสามารถ  ดังนั้น ฉันจึงพูดไปอย่างมั่นใจว่า “เมื่อเร็วๆ นี้ ฉันก็ได้ให้น้ำพี่น้องชายหญิงสองสามคนที่อยู่ในสภาวะเดียวกัน  ในตอนนั้นฉันวิตกกังวลมาก  เพื่อที่จะให้น้ำพวกเขาได้ดี ฉันก็เลยจัดให้มีการชุมนุมไปหลายครั้ง และอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริง โดยพุ่งเป้าไปที่สภาวะของพวกเขา  ฉันต้องขี่จักรยานไปกลับที่นั่นมากกว่า 50 กิโลเมตร  หลังจากให้น้ำพวกเขาสักพัก พวกเขาก็ได้รับความรู้เกี่ยวกับพระราชกิจ มหิทธานุภาพ และพระปัญญา พวกเขาได้เข้าใจนัยสำคัญของการที่พระเจ้าทรงใช้พญานาคใหญ่สีแดงเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นในงานของพระองค์ จนพวกเขาเชื่อมั่นในพระเจ้า  พวกเขาไม่รู้สึกต่อไปอีกแล้วว่าถูกจำกัดบังคับจากการข่มเหงของพรรคฯ และถึงกับต้องการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเพื่อเป็นพยานยืนยันให้กับงานของพระเจ้า…”  ขณะที่ฉันสามัคคีธรรม พี่น้องหญิงเหล่านั้นจ้องมองฉันราวกับพวกเขารู้สึกจับใจ  ขณะที่พูด ฉันรู้สึกถึงสำนึกของความลุล่วงและรู้สึกเพิ่มพลัง  พอฉันจบการสามัคคีธรรม พี่น้องหญิงคนหนึ่งก็พูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “คุณมีประสบการณ์มากก็เลยเห็นปัญหาได้ชัดเจน ถ้าเป็นฉันคงสับสนไปหมดแล้วค่ะ”  พี่น้องหญิงอีกคนพูดอย่างอิจฉาว่า “คุณแก้ไขปัญหาพวกนี้ได้ง่ายเหลือเกินนะคะ  ถ้ามีประสบการณ์ดีๆ มากกว่านี้ก็สามัคคีธรรมกับเราอีกสิคะ  เราจะได้เรียนรู้จากคุณ”  พอได้ยินคำชมจากพวกเขา ฉันก็ดีใจมาก  แม้ฉันจะพูดว่า ผลลัพธ์ของงานฉันเป็นการทรงนำของพระเจ้าล้วนๆ  และไม่ใช่ความพยายามของตัวฉันเอง แต่ในใจ ฉันก็รู้สึกว่า เป็นฉันนี่เองที่ได้ทนทุกข์และยอมลำบากเพื่อผลลัพธ์เหล่านี้  ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง พี่น้องหญิงคนหนึ่งคิดลบ เพราะการให้น้ำแก่ผู้มาใหม่ที่เธอทำนั้นไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี และเธอพูดถึงความลำบากยากเย็นมากมาย  ฉันคิดว่า “ถ้าฉันพูดคุยเรื่องความลำบากและความขาดตกบกพร่องแบบเดียวกัน คนอื่นจะนับถือฉันน้อยลงหรือเปล่า?  ฉันรับผิดชอบงานของเธอ ดังนั้น ฉันจะต้องเล่าถึงประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จของฉัน และแสดงให้เธอเห็นวิธีที่ฉันสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา  แบบนั้น ฉันก็สามารถที่จะแก้ไขปัญหาของเธอ ทั้งยังทำให้ผู้อื่นคิดกับฉันอย่างสูงส่งขึ้น”  เมื่อคิดแบบนี้ ฉันก็เลี่ยงไม่พูดถึงจุดอ่อนและความขาดตกบกพร่องของฉัน แต่กลับคุยโวกับพวกเขาว่า ฉันทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิผลแค่ไหนแทน  ฉันพูดว่า “ในช่วงนี้ ฉันได้ให้น้ำและเกื้อหนุนพี่น้องชายหญิงไปห้าคนพวกเขาไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมเป็นประจำ—บ้างก็เป็นเพราะพวกเขามีมโนคติที่หลงผิดทางศาสนามากมาย บ้างก็อยากได้เงินทอง บ้างก็อ่อนแอและคิดลบเนื่องจากปัญหาทางบ้าน  ฉันไปหาพวกเขาทีละคน ได้เอาชนะความลำบากยากเย็นบางอย่าง ได้แสวงหาพระวจนะของพระเจ้าไปมากมาย และได้สามัคคีธรรมกับแต่ละคนเพื่อแก้ไขปัญหา จนพวกเขาเข้าใจความจริง ปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิด เข้าร่วมการชุมนุมเป็นประจำและเต็มใจรับหน้าที่  มีพี่น้องชายคนหนึ่งเป็นมืออาชีพที่มีความสามารถพิเศษ เขาไล่ตามเสาะหาสถานะและชื่อเสียงทางโลกจึงไม่ค่อยมาชุมนุม  ฉันมีความลำบากยากเย็นมากมายในกระบวนการให้การเกื้อหนุนเขา แต่ฉันพึ่งพาพระเจ้า อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้เขาฟัง และสามัคคีธรรมเรื่องน้ำพระทัยของพระเจ้า เมื่อได้ฟังฉัน พี่น้องชายคนนี้ก็เข้าใจคุณค่าของการไล่ตามเสาะหาความจริงสำหรับผู้เชื่อในพระเจ้า มีความสามารถที่จะมองเห็นว่าการไล่ตามเสาะหาความมีหน้ามีตาและสถานะนั้นว่างเปล่า และเขาเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ให้ลุล่วง”  หลังการสามัคคีธรรมของฉัน ฉันก็เห็นสีหน้าเลื่อมใสและชื่นชมยกย่องบนใบหน้าของบรรดาพี่น้องหญิง  และพวกเธอรีบจดบทตอนของพระวจนะในการสามัคคีธรรมของฉันเอาไว้  พี่น้องหญิงคนหนึ่งอุทานว่า “คุณใช้ความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของพวกเขา ช่วยให้พวกเขาเข้าใจน้ำพระทัย ติดตามพระเจ้าและทำหน้าที่ของตัวเองให้ลุล่วง คุณจะทำอย่างนั้นไม่ได้เลยนะคะนี่ ถ้าคุณไม่มีความเป็นจริงความจริง”  พี่น้องหญิงอีกคนก็พูดอย่างเลื่อมใสว่า “ถ้าฉันเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ ฉันคงไม่สามารถแก้ไขได้  คุณมีประสบการณ์มากกว่า คุณเลยแก้ไขประเด็นปัญหาเหล่านี้ได้ดีกว่าพวกเรา”  ถึงตอนนั้นเองที่ฉันรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง  นี่พวกเธอไม่ได้กำลังเคารพบูชาฉันอยู่หรอกหรือ?  หลังการสามัคคีธรรมของฉัน พี่น้องหญิงคนหนึ่งรู้สึกคิดลบเล็กน้อย เพราะเธอรู้สึกว่าขีดความสามารถของเธอนั้นต่ำ และว่าเธอไม่สามารถใช้ความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของผู้มาใหม่ได้  ฉันคิดว่า “ฉันกำลังพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จของฉันมากเกินไปหรือเปล่า?  ฉันกำลังปล่อยให้พวกเธอคิดว่า ปัญหาที่ฉันเจอนั้นเรียบง่ายสำหรับฉัน แก้ไขง่ายสำหรับฉัน และกำลังทำให้พวกเธอมองฉันอย่างสูงส่งหรือเปล่า?  ทั้งคนที่เลื่อมใสและคนที่ได้รับการเลื่อมใสจะได้รับโชคร้าย—การสามัคคีธรรมประเภทนี้ถูกต้องสมควรหรือ?”  แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ฉันกำลังบอกพวกเธอเกี่ยวกับประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของฉันเอง ดังนั้นคงไม่เป็นไรหรอก”  ถึงจุดนั้น ฉันก็ไม่ได้ทบทวนตัวเองอีกต่อไป และเรื่องนั้นก็ผ่านไป  ต่อมา ฉันได้ไปเจอพี่น้องหญิงสองคนซึ่งเป็นผู้ทำการให้น้ำ เพื่อที่จะถามเกี่ยวกับงานของพวกเธอ  ทันทีที่ไปถึง พวกเธอคนหนึ่งก็พูดอย่างตื่นเต้นว่า “โชดดีจังที่คุณมาพอดี  พี่น้องชายหญิงบางคนที่นี่มีปัญหาที่เราไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร  ช่วยคุยกับเราเกี่ยวกับปัญหาพวกนั้นทีนะคะ”  สายตาคาดหวังของเธอทำให้ฉันทั้งตื่นเต้นและเป็นกังวล  ตื่นเต้นเพราะเธอเคารพยกย่องฉัน แต่กังวลเพราะฉันฉงนที่การพูดคุยเสมอถึงการที่ฉันสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ในการทำงานได้ทำให้เธอเคารพบูชาฉัน  ฉันคิดต่อไปว่า “ฉันพูดถึงความสำเร็จของฉันเสมอก็เพื่อที่จะให้เส้นทางปฏิบัติในการทำหน้าที่แก่พวกเธอ ซึ่งก็คือการสามัคคีธรรมถึงความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา  แล้วอีกอย่าง ฉันก็แค่พูดเกี่ยวกับประสบการณ์จริงของฉันเท่านั้น ไม่ได้พูดเกินจริง”  ฉันจึงสามัคคีธรรมเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จของฉันต่อไปเหมือนที่เคย  พวกเขาก็แสดงปฏิกิริยาเลื่อมใสและอิจฉา และฉันก็ดีใจ

จากนั้น ในทุกการชุมนุม ฉันจะพูดถึงการที่ฉันทนทุกข์และยอมลำบากในหน้าที่ การที่ฉันสามัคคีธรรมเรื่องความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา และแต่ละตัวอย่างที่ฉันประสบความสำเร็จ  พี่น้องชายหญิงทุกคนค่อยๆ เริ่มเคารพบูชาฉัน พวกเขารอให้ฉันแก้ไขปัญหาทุกอย่างของพวกเขา และฉันก็ชื่นชมยินดีมากกับความรู้สึกถูกเคารพยกย่อง  ระหว่างทางกลับจากการชุมนุม ฉันนึกย้อนถึงการแสดงความเลื่อมใสและความเคารพบูชาจากพี่น้องชายหญิง และฉันก็อดรู้สึกปลาบปลื้มไม่ได้  การได้รับความเลื่อมใสและเคารพยกย่องจากคนมากมายเหลือเกินนั้นมอบแรงจูงใจในการทำหน้าที่ให้กับฉัน  แต่ในขณะที่ฉันดื่มด่ำอยู่ในความชื่นบานของการได้รับความเคารพบูชา  ฉันก็เผชิญกับการตัดแต่งแบบไม่คาดฝัน

อยู่มาวันหนึ่ง ผู้นำคริสตจักรมาหาฉันและพูดว่า “ฉันได้ขอให้พี่น้องชายหญิงประเมินคุณในการเลือกตั้งครั้งนี้ของคริสตจักร และทุกคนต่างก็พูดว่าคุณชอบอวดตัว”  พอฉันได้ยินแบบนี้ ฉันก็หน้าแดงด้วยความอับอายทันที  ฉันคิดว่า “ทุกคนพูดว่าฉันชอบอวดตัวได้อย่างไรกัน?  ผู้นำคิดกับฉันอย่างไรกันแน่?  ฉันจะเผชิญหน้าใครอีกได้อย่างไร?”  ฉันจึงรีบระล่ำระลักอธิบายตัวเอง “ฉันยอมรับว่าฉันค่อนข้างโอหังค่ะ และบางครั้งฉันก็อวดตัวโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ฉันไม่ได้มีเจตนาจะอวดตัว  ในการชุมนุม ฉันก็แค่พูดถึงประสบการณ์ของตัวเองเท่านั้นเองค่ะ”  ผู้นำเห็นว่าฉันไม่รู้จักตัวเองจึงพูดว่า “คุณพูดถึงประสบการณ์ของตัวเอง แต่ทำไมพี่น้องชายหญิงถึงเคารพยกย่องและพึ่งพาคุณ แทนที่จะพึ่งพาพระเจ้าและแสวงหาความจริงล่ะ?  คุณบอกว่าไม่ได้มีเจตนาจะอวดตัว แต่ทำไมคุณไม่พูดถึงความเสื่อมทรามของคุณ ความขาดตกบกพร่อง ความคิดลบ ความอ่อนแอ หรือความคิดภายในที่เป็นจริงล่ะ?  คุณพูดถึงแต่สิ่งดี ไม่ใช่ความเสื่อมทรามหรือจุดอ่อนของคุณเอง  มันให้ความประทับใจว่าคุณไล่ตามเสาะหาความจริงและรู้วิธีที่จะได้รับประสบการณ์  นี่ไม่ใช่เป็นแค่การยกย่องตัวเองกับการอวดตัวหรอกหรือ?”  ฉันไม่มีคำตอบถึงสิ่งที่ผู้นำเปิดโปงและวิจารณ์  ในช่วงระหว่างการชุมนุม ฉันก็เพียงพูดถึงแต่ประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จ แต่ฉันไม่เคยเปิดใจเกี่ยวกับความเบี่ยงเบนหรือความล้มเหลวในหน้าที่เลย  ฉันกำลังอวดตัวจริงๆ  พอคิดถึงการที่ฉันได้อวดตัวไปต่อหน้าพี่น้องชายหญิงมากมาย และตอนนี้ทุกคนมีการหยั่งรู้เกี่ยวกับฉันแล้ว ฉันรู้สึกอับอายขายหน้ามาก จนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี  ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งรู้สึกตรอมใจ  ฉันหยุดร้องไห้ไม่ได้เลย ฉันจึงคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่ต้องการอวดตัวอีกต่อไป  โปรดทรงนำ ให้ข้าพระองค์สามารถทบทวนและมารู้จักตัวเองได้ด้วยเถิด”

ต่อมา ฉันก็ได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง “การยกชูและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตนเอง อวดตน พยายามทำให้ผู้คนยกย่องนับถือและเคารพบูชาตนเอง—มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้  นี่คือวิธีที่ผู้คนแสดงปฏิกิริยาไปตามสัญชาตญาณเมื่อพวกเขาถูกธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขาครอบงำ และนี่เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งปวง  ผู้คนมักจะยกชูและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตนเองกันอย่างไร?  พวกเขาสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของการทำให้ผู้คนยกย่องนับถือและเคารพบูชาพวกเขาได้อย่างไร?  พวกเขาเป็นพยานยืนยันว่าตนเองได้ทำงานไปมากมายเพียงใด ทนทุกข์ไปมากมายขนาดไหน สละตนไปมากมายเท่าใด และจ่ายราคาเป็นอะไรไปบ้างแล้ว  พวกเขายกชูตนเองด้วยการกล่าวถึงต้นทุนของตน ซึ่งทำให้พวกเขามีที่ที่สูงขึ้น หนักแน่นขึ้น และมั่นคงขึ้นในจิตใจของผู้คน เพื่อให้มีผู้คนซาบซึ้ง ยกย่อง เลื่อมใส และถึงกับเคารพบูชา ยอมรับนับถือ และติดตามพวกเขาในจำนวนที่มากขึ้น  เพื่อที่จะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายนี้ ผู้คนจึงทำสิ่งต่างๆ มากมายที่เป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าเมื่อดูจากภายนอก แต่ในแก่นแท้กลับยกชูและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตนเอง  การกระทำเช่นนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่?  พวกเขาพ้นวิสัยของความเป็นเหตุเป็นผลและไม่มีความละอาย กล่าวคือ พวกเขาเป็นพยานยืนยันอย่างหน้าไม่อายถึงสิ่งที่พวกเขาได้ทำไปเพื่อพระเจ้าและว่าพวกเขาได้ทนทุกข์ไปมากมายเพียงใดเพื่อพระองค์  พวกเขาถึงขั้นโอ้อวดพรสวรรค์ ความสามารถพิเศษ ประสบการณ์ และทักษะพิเศษของตน กลวิธีอันชาญฉลาดในการดำรงชีวิตทางโลก วิธีการที่พวกเขาใช้ปั่นหัวผู้คนเล่น และอื่นๆ  วิธีการของพวกเขาในการยกชูและการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตนเองก็คือ การโอ้อวดตัวพวกเขาเองและดูแคลนผู้อื่น  พวกเขายังกลบเกลื่อนและทำให้ตัวเองดูดีด้วยเช่นกัน โดยซ่อนเร้นความอ่อนแอ ข้อเสีย และข้อบกพร่องของตนจากผู้คน เพื่อให้ผู้คนมองเห็นแต่ความปราดเปรื่องของพวกเขาตลอดเวลา  พวกเขาไม่แม้กระทั่งกล้าที่จะบอกผู้คนอื่นๆ เมื่อพวกเขารู้สึกคิดลบ พวกเขาขาดพร่องความกล้าที่จะเปิดกว้างและสามัคคีธรรมกับผู้อื่น และเมื่อพวกเขาทำบางสิ่งที่ผิด พวกเขาก็ทำอย่างสุดความสามารถในการที่จะปกปิดสิ่งที่ผิดนั้นและปิดบังสิ่งที่ผิดนั้น  พวกเขาไม่เคยเอ่ยถึงความเสียหายที่พวกเขาก่อให้เกิดแก่งานของคริสตจักรในครรลองของการทำหน้าที่ของพวกเขาเลย  อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้มีส่วนร่วมแบ่งปันเล็กน้อยอยู่บ้างหรือได้สัมฤทธิ์ความสำเร็จเล็กน้อยอยู่บ้าง พวกเขาก็รีบร้อนที่จะโอ้อวดการนั้น  พวกเขาไม่สามารถรอเพื่อให้ทั้งโลกรู้ว่าพวกเขามีความสามารถเพียงใด ขีดความสามารถของพวกเขาสูงเพียงใด พวกเขายอดเยี่ยมเพียงใด และพวกเขาดีกว่าผู้คนปกติมากเพียงใด  นี่ไม่ใช่หนทางของการยกชูและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวพวกเขาเองหรอกหรือ?  การยกชูและการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตนเองนั้นใช่สิ่งที่คนที่มีมโนธรรมและเหตุผลทำกันหรือไม่?  ไม่เลย  ดังนั้นแล้ว อุปนิสัยใดเล่าที่มักจะถูกเผยออกมาในยามที่ผู้คนทำการนี้?  ความโอหัง  นี่คือหนึ่งในอุปนิสัยหลักที่ถูกเผยให้เห็น ตามมาด้วยความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นไปได้เพื่อทำให้ผู้คนอื่นๆ นับถือพวกเขาว่าสูงส่ง  คำพูดของพวกเขารัดกุมอย่างสมบูรณ์และบรรจุแรงจูงใจและกลอุบายอย่างชัดเจน พวกเขากำลังอวดตัว แต่ก็อยากซุกซ่อนข้อเท็จจริงนี้ไว้  สิ่งที่พวกเขาพูดส่งผลให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาเก่งกว่าผู้อื่น ว่าไม่มีผู้ใดเลยที่เทียบเท่าพวกเขา ว่าคนอื่นทุกคนด้อยกว่าพวกเขา  ผลลัพธ์เช่นนี้ย่อมสัมฤทธิ์ด้วยวิธีการที่ไม่ซื่อมิใช่หรือ?  อุปนิสัยใดที่อยู่เบื้องหลังวิธีการเช่นนี้?  และมีความเลวร้ายอันใดบ้างหรือไม่?  (มี)  นี่คืออุปนิสัยที่เลวร้ายประเภทหนึ่ง(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สี่: พวกเขายกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง)  สิ่งที่พระวจนะเปิดเผยนั้นจับใจฉันมาก  พฤติกรรมของฉันก็คือการอวดตัวแบบนี้ไม่มีผิดเลยไม่ใช่หรือ?  ในการชุมนุม ฉันเอาแต่พูดถึงความทุกข์ของตัวเอง และผลลัพธ์ที่ประสบผลสำเร็จในหน้าที่ของฉัน  เมื่อพี่น้องชายหญิงที่ทำหน้าที่ให้น้ำเผชิญกับปัญหาที่พวกเขาไม่รู้วิธีแก้ไข  ฉันก็ไม่ได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริง ไม่ได้ช่วยให้พวกเขาเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และรู้วิธีที่จะพึ่งพาพระเจ้าในหน้าที่ของพวกเขา แต่ฉันกลับเป็นพยานยืนยันถึงความสามารถของตัวฉันเองในการที่จะทนทุกข์และแก้ไขปัญหา  ฉันเอาแต่พูดเรื่องที่ตัวเองเดินทางไกลและยอมลำบากเพื่อให้น้ำผู้คน  ฉันไม่เคยพูดถึงความอ่อนแอหรือความขาดตกบกพร่องที่ฉันเปิดโปงออกมาในยามที่ฉันมีความลำบาก  ฉันพูดเสมอถึงการที่ฉันแบกภาระและคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า การที่ฉันได้แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งต่างๆ เวลาที่พี่น้องชายหญิงมีปัญหา หรือการที่มีผู้เข้าร่วมชุมนุมและลุล่วงหน้าที่ไปมากแค่ไหนเพราะการให้น้ำและการเกื้อหนุนของฉัน ทำให้คนอื่นคิดว่าฉันเข้าใจความจริงและเก่งในการแก้ไขปัญหา  เห็นได้ชัดว่าพระวจนะของพระเจ้าทำให้พวกเขาเข้าใจความจริงและมีความเชื่อ และต้องการทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง  นี่คือผลลัพธ์ที่สัมฤทธิ์โดยพระวจนะของพระเจ้า  แต่ฉันก็ไม่ได้ยกย่องพระเจ้าหรือเป็นพยานยืนยันแก่พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า ฉันปล่อยให้ผู้อื่นคิดว่า ฉันคือคนที่แก้ไขปัญหาทั้งหลายให้กับเหล่าพี่น้องชายหญิง  การได้ยินได้ฟังประสบการณ์ของฉันไม่ได้ให้ความรู้แก่ใครเกี่ยวกับพระเจ้า แต่พวกเขากลับเคารพบูชาฉัน  พวกเขาไม่ได้พึ่งพาพระเจ้าหรือแสวงหาความจริงในยามที่พวกเขามีปัญหา แต่พวกเขากลับแสวงหาการสามัคคีธรรมจากฉันเพื่อแก้ไขสิ่งต่างๆ  พวกเขามีทรรศนะต่อฉันเหมือนเป็นผู้ที่ถึงขั้นสามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้ด้วยซ้ำ  ถ้าสิ่งต่างๆ ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ฉันก็กำลังพาผู้คนมาอยู่เบื้องหน้าตัวเองไม่ใช่หรือ?  ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนกำลังยกย่องตัวเองหรืออวดตัวอยู่  ฉันยังคงคิดว่า ฉันก็แค่กำลังเสวนาเรื่องประสบการณ์จริงของตัวเอง  ฉันได้เห็นว่า ฉันมีความตั้งใจที่น่าดูหมิ่นในตอนที่ฉันเสวนาเรื่องประสบการณ์ของตัวเอง  ฉันกำลังพยายามที่จะได้มาซึ่งตำแหน่งอันสูงส่งในหัวใจของผู้คน  ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองน่าดูหมิ่นและไม่มีความละอาย  เป็นเพราะพระคุณของพระเจ้า ฉันถึงได้รับผิดชอบงานให้น้ำ และน้ำพระทัยของพระองค์คือการให้ฉันสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระองค์เพื่อที่จะแก้ไขปัญหา นำทางผู้คนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และช่วยให้พวกเขาเข้าใจความจริงและมารู้จักพระเจ้า  แต่ในการทำหน้าที่ของฉัน ฉันกลับอวดตัวอยู่เป็นนิจเพื่อให้ผู้คนเคารพบูชาฉัน  ฉันมองเห็นผลพวงจากงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผลพวงจากความพยายามของตัวเอง และใช้ผลพวงเหล่านั้นเป็นทุนเพื่อโอ้อวดตัวเอง  ฉันขโมยพระสิริของพระเจ้า และชื่นชมยินดีโดยไม่รู้สึกละอายใจเลยกับความเลื่อมใสและการเคารพบูชาของพี่น้องชายหญิงทั้งหลาย  ฉันไม่มีมโนธรรมและเหตุผลแม้แต่น้อยนิด!  ผู้นำตัดแต่งฉันเพื่อให้ฉันทบทวนเส้นทางผิดๆ ที่ฉันเดินอยู่และเปลี่ยนเส้นทางทันเวลา ซึ่งนั่นก็คือความรักและความรอดของพระเจ้าที่มีสำหรับฉัน!  ฉันรู้ว่าฉันไม่อาจท้าทายและต่อต้านพระเจ้าได้อีกต่อไป  ฉันจำเป็นต้องรีบกลับใจ  ตอนนั้นฉันหวนนึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่ง “การแบ่งปันและสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ของเจ้าหมายถึงการสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์และความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า  เป็นการกล่าวความในใจของเจ้าออกมาดังๆ เล่าสภาวะของเจ้าและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เผยให้เห็นอยู่ในตัวเจ้า  นี่คือการยอมให้ผู้อื่นใช้วิจารณญาณแยกแยะสิ่งเหล่านี้ แล้วจากนั้นก็แก้ปัญหาด้วยการสามัคคีธรรมความจริง  เฉพาะเมื่อมีการสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ในลักษณะนี้เท่านั้น ทุกคนจึงจะได้ประโยชน์และเก็บเกี่ยวรางวัล  นี่เท่านั้นคือชีวิตคริสตจักรที่แท้จริง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นรากฐานสำคัญที่สุดของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์)  เมื่อฉันไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจว่าสามัคคีธรรมเกี่ยวกับประสบการณ์ไม่ควรบรรจุไปด้วยความตั้งใจ ความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีส่วนบุคคล  ฉันควรเปิดใจและมีอะไรก็พูดออกมากับพี่น้องชายหญิง  ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบ ฉันก็ควรจะเปิดใจเกี่ยวกับสภาวะที่แท้จริงของฉันเสมอ เพื่อให้พวกเขาสามารถซึมซับสิ่งที่เป็นบวก และเรียนรู้ที่จะหยั่งรู้สิ่งที่เป็นลบจากประสบการณ์ของฉัน ให้พวกเขามองเห็นได้ว่าฉันก็เป็นกบฏและเสื่อมทรามเช่นกัน และสามารถคิดลบและอ่อนแอได้ และพวกเขาก็จะได้ไม่เคารพยกย่องและเลื่อมใสฉัน  ด้วยวิธีนี้ ประสบการณ์ของฉันก็จะสอนบทเรียนให้กับพวกเขาและช่วยให้พวกเขาหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ผิดพลาดได้  ในการชุมนุมวันต่อมา ฉันก็กล้าพอที่จะเสวนาเกี่ยวกับสภาวะของฉัน  ฉันชำแหละและระบายออกถึงการที่ในระหว่างช่วงเวลานี้ ฉันได้อวดตัวเพื่อให้คนอื่นเคารพยกย่องฉัน และการที่ฉันได้ทบทวนและมารู้จักตัวเอง  ฉันรู้สึกถึงสำนึกของความปลอดภัยและความชื่นบานยินดีในการชุมนุมครั้งนั้น

ต่อมา ฉันได้ข่าวว่ามีพี่น้องหญิงคนหนึ่งซึมเศร้ามาก  ตอนที่เราพูดคุยกัน เธอพูดว่า “ในการชุมนุม ฉันฟังประสบการณ์ของคุณ และการที่คุณช่วยเหลือผู้อื่นอย่างมีประสิทธิผลอย่างไรเสมอ แต่ฉันขาดความเป็นจริงความจริง และขีดความสามารถของฉันก็ต่ำเกินไป  พอเกิดปัญหาขึ้น ฉันก็แก้ไขไม่ได้  มันเครียดเหลือเกิน  ฉันรับมือกับหน้าที่นี้ไม่ได้ค่ะ”  พอได้ยินที่เธอพูดฉันก็รู้สึกอับอายมาก  ฉันคิดว่า “ต้องโทษฉันโดยตรงที่เธอคิดลบแบบนี้  ฉันไม่ได้ยกย่องพระเจ้าในหน้าที่ของฉัน ไม่ได้แก้ไขความลำบากยากเย็นที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง และฉันมักจะพูดจาเกินจริงและอวดตัวเสมอ ทำให้เธอเข้าใจผิดคิดว่าฉันเข้าใจความจริงและมีวุฒิภาวะ  ฉันจะทำผิดพลาดซ้ำไม่ได้  ฉันจำเป็นต้องเปิดใจและเปิดเผยตัวเองกับเธอ”  ดังนั้น ฉันจึงบอกเธอถึงสภาวะของฉัน และเรื่องที่ฉันได้อวดตัวมาตลอดในช่วงเวลานั้น  ฉันยอมให้เธอรู้ว่า ฉันเช่นกันที่มีข้อบกพร่อง อ่อนแอเมื่อฉันเผชิญกับความลำบากยากเย็น และก็ว่า ตามที่เป็นจริงแล้ว ฉันไม่ได้ครองความเป็นจริงความจริง ว่าผลลัพธ์ของหน้าที่ฉันมาจากงานและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และฉันไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลในสิ่งใดด้วยตัวเองเลย  พี่น้องหญิงของฉันตื้นตันใจและพูดว่า “สามัคคีธรรมของคุณทำให้ฉันรู้ตัวว่าฉันไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ในใจฉันไม่มีที่สำหรับพระเจ้า และฉันก็เคารพยกย่องแต่พรสวรรค์ภายนอก เคารพบูชาผู้อื่น และไม่เข้าใจว่าผลสัมฤทธิ์ทั้งหมดมาจากงานและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ฉันไม่ต้องการคิดลบและอ่อนแอในเวลาที่เผชิญหน้ากับความเดือดร้อนทั้งหลายของฉันอีกต่อไปแล้วค่ะ  ฉันต้องการพึ่งพาพระเจ้าและทำหน้าที่ให้ลุล่วง”  พอได้ยินพี่น้องหญิงของฉันพูดแบบนี้ ฉันก็ยินดีเป็นอย่างมาก

จากนั้น ฉันก็เริ่มทบทวนตัวเอง  ทั้งที่ฉันรู้ว่าการอวดตัวคือการต่อต้านพระเจ้า ทำไมหนอฉันจึงยังใช้เส้นทางนี้อยู่โดยไม่รู้ตัว?  มันกำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่?  ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งที่ว่า “ผู้คนบางคนชื่นชูเปาโลมากเป็นอย่างยิ่ง  พวกเขาชอบที่จะออกไปข้างนอกและกล่าวสุนทรพจน์และทำงาน พวกเขาชอบที่จะเข้าร่วมการชุมนุมและเทศนา พวกเขาชอบให้ผู้คนฟังพวกเขา เคารพบูชาพวกเขา และโคจรอยู่รอบตัวพวกเขา  พวกเขาชอบที่จะมีที่ทางในหัวใจของผู้อื่น และพวกเขาซาบซึ้งเมื่อผู้อื่นให้คุณค่าภาพลักษณ์ที่พวกเขานำเสนอ  พวกเรามาชำแหละธรรมชาติของพวกเขาตามพฤติกรรมเหล่านี้กันเถิด  สิ่งใดคือธรรมชาติของพวกเขา?  หากพวกเขาประพฤติเช่นนี้จริง เช่นนั้นแล้วการแสดงให้เห็นว่าพวกเขาโอหังและทะนงตนก็ย่อมเพียงพอ  พวกเขาไม่นมัสการพระเจ้าแต่อย่างใดเลย พวกเขาแสวงหาสถานะที่สูงขึ้นและปรารถนาที่จะมีสิทธิอำนาจเหนือผู้อื่น ที่จะครองพวกเขา และมีที่ทางในหัวใจของพวกเขา  นี่คือภาพลักษณ์ดั้งเดิมของซาตาน  แง่มุมที่โดดเด่นของธรรมชาติของพวกเขาก็คือความโอหังและความทะนงตน ความไม่เต็มใจที่จะนมัสการพระเจ้า และความปรารถนาที่จะได้รับการเคารพบูชาจากผู้อื่น  พฤติกรรมเช่นนั้นสามารถให้ทรรศนะที่ชัดเจนมากแก่เจ้าในเรื่องธรรมชาติของพวกเขา(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์)  จากสิ่งที่พระวจนะเปิดเผย ฉันจึงได้เข้าใจว่า ฉันชอบอวดตัวกับพี่น้องชายหญิง และทำให้พวกเขาเคารพยกย่องและบูชาในตัวฉัน เพราะฉันถูกธรรมชาติที่โอหังของฉันควบคุม  เพราะธรรมชาติของฉันนั้นโอหังเหลือเกิน ทันทีที่การทำหน้าที่ของฉันให้ผลลัพธ์บางอย่างออกมา ฉันก็เริ่มที่จะเลื่อมใสในตัวเอง  ฉันมักพูดจาโอ้อวดเกินจริงในการชุมนุมและอวดโอ้ผลสัมฤทธิ์จากงานของฉัน เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าตัวฉันนั้นโดดเด่นและเหนือกว่า  ฉันไม่พูดอะไรเลยที่เกี่ยวกับความลำบากลำบากยากเย็นของฉัน ความอ่อนแอของฉัน ความเป็นกบฏของฉัน และความเสื่อมทรามของฉัน  เวลาพี่น้องชายหญิงสรรเสริญฉัน ฉันไม่รู้สึกกลัว  ฉันกลับมีความสุขมาก และชื่นชมยินดีอย่างหน้าไม่อายไปกับความเลื่อมใสและการเคารพบูชาของพวกเขา  เปาโลชื่นชมยินดีอย่างใหญ่หลวงกับการชุมนุมและการประกาศ โดยอ้างเอาผลพวงจากงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์มาเป็นทุนของตัวเอง อวดตัวและยกตนไปทั่วเพื่อหลอกลวงผู้คน  เขานำพาผู้เชื่อทั้งหมดมาอยู่ต่อหน้าตัวเอง ดังนั้นแม้กระทั่งตอนนี้ ซึ่งเป็นสองพันปีต่อมา ทั้งโลกศาสนาก็เคารพบูชาและยกย่องเขา ปฏิบัติต่อคำพูดของเขาดั่งเป็นพระวจนะของพระเจ้า และขาดพร่องความรู้แห่งองค์พระเยซูเจ้า  เปาโลมีธรรมชาติที่โอหัง คิดว่าตนชอบธรรมเสมอ และไม่เคารพนับถือพระเจ้า เขาเดินในเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ผู้ต่อต้านพระเจ้า  เขายึดครองตำแหน่งของพระเจ้าในหัวใจผู้คน ล่วงเกินพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอย่างร้ายแรง และถูกพระเจ้าลงโทษและสาปแช่ง  ฉันไม่เหมือนกับเปาโลหรอกหรือ?  ฉันก็โอหัง คิดว่าตนชอบธรรมเสมอ ชอบยกย่องตัวเองและอวดตัว ชอบให้ผู้คนห้อมล้อมตัวเอง  ผลลัพธ์ก็คือ ภายหลัง “การสร้างผลงาน” ของฉันอยู่เป็นเวลาหลายเดือน ทุกคนก็เคารพยกย่องและบูชาฉัน และไม่มีที่ทางให้พระเจ้าในหัวใจพวกเขา  เมื่อเกิดปัญหา แทนที่จะแสวงหาพระเจ้า ฉันกลับเป็นคนที่พวกเขามาหา  ไม่ใช่ว่าฉันกำลังต่อต้านพระเจ้าและทำอันตรายพี่น้องชายหญิงอยู่หรอกหรือ?  ฉันเดินอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ?  ถึงตอนนั้นเองที่ฉันได้เห็นว่าฉันอยู่ในภาวะอันตราย และฉันถูกธรรมชาติที่โอหังของฉันควบคุมอยู่  ครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันอวดตัวและพูดจาโอ้อวดตัวเองอย่างหน้าไม่อาย ฉันหลอกลวงพี่น้องชายหญิงให้เคารพบูชาฉัน และบางครั้งฉันถึงกับมีความตั้งใจที่น่าดูหมิ่น และใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่ออวดตัว  ฉันช่างน่าดูหมิ่นเหลือเกิน!  การคิดถึงตรงนี้ทำให้ฉันเต็มไปด้วยความขยะแขยงและเกลียดตัวเอง และฉันสาบานกับตัวเองว่าฉันจะไม่มีวันอวดตัวอีกแล้ว

จากนั้น ฉันก็ได้ดูวิดีโอการอ่านพระวจนะที่ว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระเจ้าคือพระผู้สร้าง พระอัตลักษณ์และสถานะของพระองค์จึงสูงสุด  พระเจ้าทรงครองสิทธิอำนาจ พระปัญญา และฤทธานุภาพ พระองค์ทรงมีพระอุปนิสัยของพระองค์เอง รวมทั้งสิ่งที่พระองค์ทรงครองและทรงเป็น  มีใครรู้บ้างว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจอยู่ท่ามกลางมนุษยชาติและสิ่งทรงสร้างทั้งปวงมานานกี่ปีแล้ว?  จำนวนปีที่ชัดเจนในการที่พระเจ้าทรงพระราชกิจและบริหารจัดการมนุษยชาติทั้งปวงนั้นไม่มีใครรู้ ไม่มีใครสามารถให้ตัวเลขที่แน่ชัดได้ และพระเจ้าก็ไม่ได้ตรัสบอกให้มนุษยชาติรู้เรื่องเหล่านี้  อย่างไรก็ดีถ้าซาตานจะทำบางสิ่งบางอย่างเช่นนี้ มันจะบอกให้รู้หรือไม่?  มันจะพูดแน่นอน  มันอยากอวดตัวเพื่อชักพาให้ผู้คนหลงผิดมากขึ้นและทำให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นรู้ถึงคุณูปการที่มันทำ  ทำไมพระเจ้าถึงไม่ตรัสบอกเรื่องเหล่านี้?  แก่นแท้ของพระเจ้ามีแง่มุมที่ถ่อมใจและซ่อนเร้นอยู่  สิ่งที่ตรงข้ามกับการถ่อมใจและซ่อนเร้นคืออะไร?  คือการโอหังและอวดตน… พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนเป็นคำพยานให้พระองค์ แต่พระองค์ทรงเคยเป็นคำพยานให้พระองค์เองหรือไม่?  (ไม่เคย)  ในทางกลับกัน ซาตานกลับกลัวว่าผู้คนจะไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องเล็กที่สุดที่มันทำ  พวกศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่แตกต่างออกไป กล่าวคือ พวกเขาอวดตัวต่อหน้าทุกคนเกี่ยวกับสิ่งเล็กน้อยทุกสิ่งที่พวกเขาทำ  เวลาได้ยินพวกเขา ก็ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังให้การเป็นพยานต่อพระเจ้า—แต่หากเจ้าฟังอย่างใกล้ชิด เจ้าจะค้นพบว่าพวกเขาไม่ได้กำลังให้การเป็นพยานต่อพระเจ้า แต่กำลังอวดโอ้ กำลังสร้างชื่อให้ตัวเอง  เจตนารมณ์และแก่นแท้เบื้องหลังสิ่งที่พวกเขาพูดคือการแย่งชิงกับพระเจ้าเพื่อให้ได้ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรและสถานะ  พระเจ้าถ่อมพระทัยและทรงซ่อนเร้น และซาตานก็โอ้อวดตัวมันเอง  มีความแตกต่างกันหรือไม่?  ระหว่างการอวดตัวกับความถ่อมใจและการซ่อนเร้น อย่างไหนคือสิ่งที่เป็นบวก?  (ความถ่อมใจและการซ่อนเร้น)  จะสามารถบรรยายซาตานว่าถ่อมใจได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เพราะเหตุใด?  เมื่อตัดสินตามแก่นแท้ธรรมชาติอันเลวร้ายของมันแล้ว ซาตานก็คือขยะไร้ค่าชิ้นหนึ่ง การที่ซาตานจะไม่อวดตัวย่อมจะผิดปกติ  จะสามารถเรียกซาตานว่า ‘ถ่อมใจ’ ได้อย่างไรกัน?  ‘ความถ่อมใจ’ เป็นการพูดถึงพระเจ้า  พระอัตลักษณ์ แก่นแท้ และพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสูงส่งและทรงเกียรติ แต่พระองค์ไม่เคยโอ้อวด  พระเจ้าถ่อมพระทัยและซ่อนเร้น ดังนั้นผู้คนจึงมองไม่เห็นสิ่งที่พระองค์ทรงลงมือทำไปแล้ว แต่ขณะที่พระองค์ทรงพระราชกิจในความบดบังดังกล่าว มนุษยชาติก็ได้รับการจัดเตรียม การบำรุงเลี้ยง และการทรงนำอย่างไม่หยุดหย่อน—และทั้งหมดนี้จัดการเตรียมการโดยพระเจ้า  การที่พระเจ้าไม่เคยแถลงให้รู้เรื่องเหล่านี้ ไม่เคยเอ่ยถึงสิ่งเหล่านี้ นี่คือความซ่อนเร้นและความถ่อมใจมิใช่หรือ?  แน่นอนว่าที่พระเจ้าถ่อมพระทัยก็เพราะพระองค์สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ไม่เคยตรัสถึงหรือประกาศให้รู้ และไม่ทรงโต้แย้งกับผู้คนในเรื่องเหล่านี้  เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะพูดถึงความถ่อมใจในเมื่อเจ้าไม่สามารถทำเรื่องดังกล่าวได้?  เจ้าไม่ได้ทำสิ่งเหล่านั้นแต่อย่างใด แต่กลับดึงดันที่จะรับเอาความดีความชอบในสิ่งเหล่านั้น—นี่เรียกว่าการไร้ยางอาย  ขณะที่ทรงนำมวลมนุษย์ พระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ และพระองค์ทรงกำกับดูแลทั้งจักรวาล  สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก กระนั้นก็ตาม พระองค์กลับไม่เคยตรัสว่า ‘อำนาจของเราพิเศษเหนือธรรมดา’  พระองค์ยังคงซ่อนเร้นท่ามกลางสรรพสิ่ง โดยทรงกำกับดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง บำรุงเลี้ยงและจัดเตรียมให้แก่มนุษยชาติ เปิดโอกาสให้มนุษยชาติคงอยู่ต่อไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า  จงดูอากาศและแสงอาทิตย์เป็นตัวอย่างเถิด หรือวัตถุสิ่งของทั้งปวงที่จำเป็นต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์บนแผ่นดินโลก—สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ไหลเวียนไปอย่างไม่หยุดยั้ง  การที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับมนุษย์นั้นไม่ต้องสงสัยเลย  หากซาตานทำบางสิ่งที่ดี มันจะเก็บสิ่งนั้นไว้เงียบๆ และดำรงตนเป็นวีรบุรุษที่ไม่เป็นที่รู้จักอยู่กระนั้นหรือ?  ไม่มีวัน  นั่นก็เป็นเหมือนการที่มีพวกศัตรูของพระคริสต์บางคนในคริสตจักรซึ่งก่อนหน้านี้เคยทำงานที่มีอันตราย เคยละทิ้งสิ่งต่างๆ และสู้ทนความทุกข์ และอาจเคยเข้าคุกตารางมาแล้วด้วยซ้ำ ทั้งยังมีบางคนที่เคยมีคุณูปการต่องานด้านหนึ่งในพระนิเวศของพระเจ้าอีกด้วย  พวกเขาไม่เคยลืมสิ่งเหล่านี้เลย พวกเขาคิดว่าพวกเขาสมควรได้รับความดีความชอบไปชั่วชีวิตสำหรับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือต้นทุนชั่วชีวิตของตน—ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้คนต่ำต้อยเพียงใด!  แท้จริงแล้วผู้คนต่ำต้อย และซาตานก็ไร้ยางอาย(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เจ็ด: พวกเขาเลว เคลือบแฝง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง (ภาคที่สอง))  เมื่อได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันก็รู้สึกอับอาย  พระเจ้าคือพระผู้สร้าง  พระองค์มีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ  พระองค์ทรงมีพระอัตลักษณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีพระสถานะสูงสุด  แต่กระนั้นพระเจ้าก็ยังเสด็จมาประสูติเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษยชนที่เสื่อมทรามให้รอด และทรงแสดงความจริงอย่างนิ่งเงียบ เพื่อจัดหาให้และช่วยผู้คนให้รอด  พระองค์ไม่เคยใช้สถานะของพระเจ้ามาอวดพระองค์ ทั้งยังไม่เคยตรัสว่าพระองค์ได้ทรงงานไปมากเพียงใดเพื่อช่วยมนุษยชนให้รอด หรือพระองค์ทรงทนทุกข์ต่อความอัปยศและเจ็บปวดมากแค่ไหน  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงถ่อมใจและซ่อนเร้นเสมอในหมู่ผู้คน โดยทรงพระราชกิจแห่งการให้น้ำและการช่วยมนุษยชาติให้รอด  แก่นแท้ของพระเจ้านั้นช่างบริสุทธิ์นัก ช่างมีเมตตา และดีงามเหลือเกิน!  ฉันเป็นใครบางคนซึ่งโสมมอย่างที่สุด ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างดิ่งลึก  ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น ฉันไม่มีนัยสำคัญอันใด ทว่าฉันกลับยกย่องตัวเองอย่างหน้าไม่อาย อวดตัวและทำให้ผู้อื่นเคารพยกย่องและบูชาฉัน  ฉันโอหังมากจนสูญเสียเหตุผล และฉันไม่คู่ควรเลยที่จะดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์!  ในอึดใจนั้น ฉันยิ่งรู้สึกถึงความอับอายที่มีมากขึ้นต่อความโอหัง การโอ้อวดและการอวดตัวของฉัน  ฉันทรุดลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน “ข้าแต่พระเจ้า โดยผ่านทางการพิพากษาและการเปิดเผยของพระองค์ ข้าฯ ได้เห็นแล้วว่า ข้าฯ ดำรงชีวิตอยู่โดยไร้ซึ่งสภาพเสมือนมนุษย์ และข้าฯ ไม่อยากดำรงชีวิตเช่นนี้อีกต่อไป  ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงสอนให้ข้าฯ ปฏิบัติความจริง และเป็นพยานยืนยันแด่พระองค์ด้วยเถิด”

ฉันได้เห็นพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ตอนที่กำลังเป็นคำพยานต่อพระเจ้า โดยหลักแล้วเจ้าควรพูดคุยถึงการที่พระเจ้าทรงพิพากษาและตีสอนผู้คน รวมทั้งบททดสอบอะไรที่พระองค์ทรงใช้ถลุงผู้คนและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา  เจ้าควรพูดคุยเกี่ยวกับการที่ความเสื่อมทรามได้ถูกเปิดเผยในประสบการณ์ของพวกเจ้าไปมากเท่าไร เจ้าทนทุกข์ไปมากเท่าใด เจ้าทำสิ่งที่ต้านทานพระเจ้าไปมากเพียงใด และพระเจ้าได้ทรงพิชิตเจ้าอย่างไรในท้ายที่สุด  จงเล่าว่าเจ้ามีความรู้ที่เป็นจริงเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้ามากเท่าไร และเจ้าควรเป็นพยานสำหรับพระเจ้าและชดใช้คืนพระองค์สำหรับความรักของพระองค์อย่างไร  พวกเจ้าควรใส่สาระสำคัญเข้าไปในภาษาประเภทนี้ ในขณะเดียวกันก็ทำไปในลักษณะอันเรียบง่าย  จงอย่าพูดคุยเกี่ยวกับทฤษฎีอันว่างเปล่าทั้งหลาย  จงพูดจาแบบติดดินไม่ถือตัวให้มากกว่านี้ พูดจาจากหัวใจ  นี่คือวิธีที่เจ้าควรผ่านประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ  จงอย่าทำให้มีทฤษฎีว่างเปล่าทั้งหลายที่ดูลุ่มลึกอยู่ในตัวพวกเจ้าเองด้วยความพยายามที่จะโอ้อวด การทำเช่นนั้นทำให้เจ้าดูเป็นคนค่อนข้างโอหังและไร้เหตุผล  เจ้าควรพูดให้มากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่เป็นจริง จากประสบการณ์จริงของเจ้า และกล่าวออกมาจากหัวใจให้มากขึ้น การนี้มีประโยชน์ต่อผู้อื่นที่สุด และเป็นการเหมาะสมที่สุดที่พวกเขาจะมองเห็น(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้)  ฉันพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติในพระวจนะของพระเจ้า  สามัคคีธรรมที่แท้จริงไม่ใช่หมายถึงการพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จเพื่อที่จะอวดตัว  มันคือการเป็นพยานยืนยันต่อการที่พระเจ้าทรงพิพากษา ชำระพวกเราให้สะอาดและช่วยให้รอด  จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเปิดโปงความเป็นกบฏ ความเสื่อมทรามของตัวคนเราเอง และผลสืบเนื่องของการกระทำของพวกเขา และพูดคุยเกี่ยวกับการที่พวกเขามารู้จักตัวเองโดยผ่านทางการพิพากษาและและการตีสอนในพระวจนะของพระเจ้า  ในหนทางนี้นี่เองที่ผู้อื่นสามารถได้รับวิจารณญาณถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของความเสื่อมทรามของตัวพวกเขาเอง และมีความรู้เรื่องพระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และข้องเรียกร้องของพระเจ้าที่มีต่อมนุษยชาติ  นั่นเป็นวิธีที่ผู้คนจะสามารถมองเห็นความรอดของพระเจ้า และความรักของพระเจ้าที่มีต่อผู้คน  การสามัคคีธรรมในหนทางนี้เท่านั้นที่ทำให้คนเราสามารถเป็นพยานยืนยันแด่พระเจ้าได้  เมื่อฉันเข้าใจเส้นทางการปฏิบัติเหล่านี้แล้ว ฉันก็เริ่มปฏิบัติอย่างมีสติ  ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง พี่น้องชายคนหนึ่งพูดถึงการไล่ตามเสาะหาความมีหน้ามีตาและสถานะในหน้าที่  เขาเปรียบเทียบตัวเองกับทุกคน รู้สึกทุกข์ระทมเกี่ยวกับเรื่องนั้นและไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร  ตอนที่ฉันได้ยินเขาบรรยายสภาวะตัวเขาเอง ฉันก็คิดว่า “ถ้าฉันแก้ไขปัญหาของเขา ในวันข้างหน้าเวลาที่เขาพูดถึงประสบการณ์ของเขา เขาก็จะพูดว่า สามัคคีธรรมของฉันคือสิ่งที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงสภาวะ  พี่น้องชายหญิงก็จะเคารพยกย่องฉันและพูดว่า ฉันเข้าใจความจริงและมีวุฒิภาวะ  ฉันจำเป็นต้องเรียบเรียงคำพูดและแนวคิดในสามัคคีธรรมของฉัน และบอกเขาถึงประสบการณ์ทั้งหมดของฉัน”  ในตอนนั้นฉันรู้สึกตำหนิตัวเอง ตระหนักได้ทันทีว่า ฉันกำลังจะแสดงผลงานเยี่ยงซาตานอีกแล้ว  ความคิดที่เพิ่งเกาะกุมในจิตใจฉันนั้นให้ความรู้สึกขยะแขยงราวกับฉันได้กลืนกินแมลงวันที่ตายแล้วเข้าไป  ฉันจึงอธิษฐานขอพระเจ้าอย่างเงียบๆ ให้ประทานความเข้มแข็งเพื่อให้ฉันละทิ้งตนเอง และยกย่องและเป็นพยานยืนยันต่อพระเจ้าในครั้งนี้  ต่อมา ฉันได้บอกพี่น้องชายคนนั้นเกี่ยวกับประสบการณ์อันล้มเหลวของฉันในการถูกแทนที่เพราะไล่ตามเสาะหาความมีหน้ามีตาและสถานะ  ฉันยังพูดอีกด้วยถึงการที่ฉันสามารถทบทวนตัวเอง ได้มารู้จักตัวเอง กลับใจ และสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงบางอย่างผ่านทางการอ่านพระวจนะของพระเจ้า  หลังการสามัคคีธรรมของฉัน พี่น้องชายคนนั้นก็ได้รับรู้ว่าธรรมชาติของเขานั้นโอหังเกินไป และรู้ว่าการไล่ตามเสาะหาความมีหน้ามีตาและสถานะ คือเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ และเขาก็ต้องการที่จะกลับใจ  พอได้ยินเขาสามัคคีธรรม ฉันขอบคุณพระเจ้าอยู่ในใจ  นี่คือการทำงานของการทรงนำแห่งพระเจ้า

ในการสามัคคีธรรมของฉันกับพี่น้องชายหญิงในการชุมนุมทั้งหลายหลังจากนั้น ถึงแม้บางครั้งฉันยังคงอวดตัว แต่ก็ไม่เห็นได้ชัดหรือร้ายแรงเหมือนเมื่อก่อน  บางคราวฉันนึกถึงการอวดตัวขึ้นมา แต่พอรู้สึกถึงมัน ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้าและสามารถที่จะละทิ้งตัวเองได้  ฉันค่อยๆ อวดตัวน้อยลงเรื่อยๆ และเกิดสภาวะที่ต้องการคุยโวน้อยลง คำพูดและการกระทำของฉันก็พอจะมีเหตุมีผลอยู่บ้าง  ฉันสำนึกบุญคุณอย่างสุดซึ้งสำหรับความรอดของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ก่อนหน้า: 22. เหตุใดฉันถึงกลัวที่จะรายงานปัญหา?

ถัดไป: 24. ช่วงเวลาที่ฉันประกาศข่าวประเสริฐอยู่แนวหน้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger