11. หนทางเดียวเท่านั้นที่จะมีชีวิตเหมือนคนที่แท้จริง

โดย ซินเฉิง ประเทศจีน

ฉันเคยอ่านนิยายของนักเขียนญี่ปุ่น ที่เป็นเรื่องราว ของพนักงานขายที่สามารถขาย เซรั่มปลูกผม ยาย้อมผม แว็กซ์จัดทรงผม กรรไกรซอย และกรรไกรตัดผม ให้กับจิตรกรผมบางคนหนึ่ง โดยบอกว่าจะช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้ จิตรกรจ่ายเงินไปเยอะ แต่ก็ยังหัวเกือบล้านเหมือนเดิม ผู้เขียนใช้การเสียดสี เปิดโปงเล่ห์เหลี่ยมที่พนักงานขายไร้จรรยาบรรณบางคนใช้กันในปัจจุบัน เพื่อเตือนไม่ให้คนหลงเชื่อ เรื่องแบบนี้มีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีใครแก้ปัญหาได้ ฉันเองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้นค่ะ ฉันโกหกและหลอกลวงลูกค้าเพื่อให้ได้เงินมากขึ้น พอหลงพัวพันหนักเข้าฉันก็เลิกไม่ได้ ต่อมา ฉันยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และได้เข้าใจความจริงบางอย่าง จากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทัศนคติของฉันเปลี่ยนแปลงไป ฉันเริ่มปฏิบัติความจริง และทำตัวซื่อสัตย์ตามพระวจนะของพระเจ้า นี่คือหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะมีชีวิตอย่างเปิดเผยและมีความเป็นมนุษย์

ตอนที่ฉันเปิดร้านทำผมใหม่ๆ ฉันปฏิญาณว่า จะทำธุรกิจอย่างซื่อสัตย์ แล้วฉันก็ทำตามนั้นเลยค่ะ ไม่เคยที่จะค้ากำไรเกินควร ฉันทำผมให้ลูกค้าทุกคนสุดฝีมือ และค่าทำผมของฉันก็ถูกกว่าช่างคนอื่น แต่หลังจากทำงานหนักมาได้หนึ่งปี ฉันเหลือเงินแค่ 2,000 หยวนเท่านั้น หลังจากจ่ายค่าเช่า ภาษีธุรกิจ ค่าสาธารณูปโภค ค่าเครื่องทำความร้อน แล้วก็ค่าจิปาถะอื่นๆ ร้านทำผมของฉันมีลูกค้ามากกว่าพวกร้านฝั่งตรงข้าม แต่พวกเขาทำเงินได้มากกว่าฉันเยอะเลย ฉันรู้ว่าส่วนมากแล้ว พวกเขาได้เงินจากการขูดรีดลูกค้า ใช้กลยุทธ์พื้นๆ เพื่อให้ได้เงินมาโดยมิชอบ อันที่จริง ฉันก็อยากทำอย่างพวกเขาบ้าง แต่ฉันรู้สึกไม่ดีที่จะได้เงินมาด้วยวิธีนั้น เหมือนคำโบราณที่ว่า “จนแต่มีเกียรติ” ไม่ว่าจะจนแค่ไหน ฉันก็ต้องรักษาความซื่อตรงไว้ ฉันคิดหนัก แต่ก็ตัดสินใจทำธุรกิจตามมโนธรรมของฉันต่อไป และเป็นคนดี ไม่ว่าจะหาเงินได้น้อยแค่ไหนก็ตาม แป๊บเดียวก็ครบสามปีค่ะ ช่างทำผมคนอื่นๆ ที่เริ่มต้นพร้อมกับฉัน ต่างซื้อร้านที่ใหญ่โตขึ้น หรือไม่ก็ทำธุรกิจขนาดใหญ่ บางคนถึงกับมีรถเป็นของตัวเอง แต่ฉันยังอยู่ในจุดเดิม เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วไม่มีผิด

วันหนึ่ง พ่อของฉันป่วยและเข้าโรงพยาบาล และจะต้องจ่ายค่ารักษาเป็นเงินหลายหมื่นหยวน ฉันแทบจะไม่มีเงินเก็บเลย ฉันยืมเงินเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ยังจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น พอคิดว่าฉันยืมมามากขนาดไหน และไม่รู้ว่าจะจ่ายคืนได้เมื่อไร ก็เกิดการโต้แย้งในใจของฉันว่า ฉันควรขึ้นราคาอีกสักหน่อยดีไหม? คิดราคาลูกค้าที่มีฐานะให้สูงขึ้นอีกนิดเป็นไง? ช่วงที่ฉันลังเลใจกับเรื่องนี้อยู่นั้น เพื่อนคนหนึ่งก็พูดกับฉันว่า “ที่ทุกข์ยากอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะเธอยึดติดกับเกียรติยศเกินไปไงล่ะ เจ้าของร้านทำผมคนอื่นได้กำไรปีละหลายหมื่น แต่เธอได้แค่ไม่กี่พัน เธอนี่มันหัวรั้นมาก ถ้าอยากปลดหนี้เร็วๆ เธอต้องทำธุรกิจให้ฉลาดกว่านี้ เธอต้องมีกลอุบายบ้าง จะได้หาเงินได้มากขึ้น” พอเพื่อนฉันกลับไปแล้ว เจ้าของร้านทำผมฝั่งตรงข้ามก็แวะมากระเซ้าฉันว่า “เธอบริหารร้านนี้เก่งมากๆ เลยนะ! ธุรกิจไปได้ดี ชื่อเสียงก็ดีเยี่ยม แต่ไม่ค่อยจะมีกำไรแค่นั้นเอง เธออยากเป็นแม่ชีเทเรซาหรือไง? ถ้าฉันมีฝีมืออย่างเธอนะ ฉันคงรวยไปนานแล้ว เธอแค่ซื่อสัตย์เกินไปหน่อยเท่านั้น จะทำธุรกิจน่ะ มันต้องหลักแหลม แต่เธอน่ะทำให้ตัวเองเหนื่อย โดยแทบไม่ได้อะไรเลย ไม่ว่าใครก็พูดกันว่า ‘เงินทำให้โลกหมุนไป’ และ ‘คนโง่เท่านั้นที่ปฏิเสธเงินที่วางอยู่ตรงหน้า’ เธอควรไปคิดดูนะ” คืนนั้น ฉันนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายพลิกตัวไปมา ฉันคิดว่า “ที่สองคนนั้นพูดก็มีเหตุผลนะ” “ฉันทำธุรกิจอย่างซื่อสัตย์ล้วนๆ แล้วเมื่อไรฉันจะทำเงินได้บ้าง? เหมือนที่เขาพูดกันว่า ‘เงินไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ถ้าไม่มีเงิน ก็จะทำอะไรไม่ได้’ เงินเอาชนะได้แม้กระทั่งวีรบุรุษ อีกอย่าง พ่อของฉันป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ฉันจะปล่อยให้การรักษาล่าช้าไม่ได้ พ่อฉันต้องรักษาตัว ฉันเองก็ต้องใช้หนี้ จะใช้กลยุทธ์เล็กน้อยทำเงินบ้างมันก็เข้าใจได้” ฉันปลอบใจตัวเองอย่างนั้น และตัดสินใจว่าจะเริ่มทดลองกับลูกค้าที่มั่งคั่งก่อน

วันต่อมา มีลูกค้าแวะมาเพราะอยากดัดผม ดูจากการแต่งตัวแล้ว ท่าทางเธอจะฐานะดีมาก ฉันจึงคิดว่าจะถือโอกาสคิดเงินเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย ตอนที่เธอจ่ายเงิน ฉันจึงบอกไปเลยว่า 200 หยวน บอกตรงๆ นะ ตอนนั้นใจฉันเต้นแรงมาก เพราะปกติฉันคิดแค่ 120 หยวนเท่านั้น พอบอกไปมากขนาดนั้น ฉันก็อยากรู้ว่าเธอจะหาว่าฉันคิดแพงเกินไปหรือเปล่า ถ้าเธอบอกว่าแพงเกินไป ฉันอาจจะลดราคาลงมาหน่อย ฉันรู้สึกผิดจนไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเธอ แต่เธอกลับยื่นเงินให้ด้วยความเต็มใจ แถมยังชมเชยฝีมือของฉัน เธอถูกใจกับทรงผมมาก และบอกว่าคุ้มค่าคุ้มราคามาก เธอบอกว่าจะแนะนำให้เพื่อนๆ กับครอบครัวมาร้านฉัน พอเธอกลับไป ฉันก็รู้สึกปั่นป่วนใจอยู่พักใหญ่ เธอเชื่อใจฉันขนาดนั้น แต่ฉันกลับโกงเธอ ช่างผิดศีลธรรมเป็นอย่างมาก แต่แล้วฉันก็คิดถึงคำพูดที่ว่า “คนโง่เท่านั้นที่ปฏิเสธเงินที่วางอยู่ตรงหน้า” แล้วฉันก็ยังมีหนี้สินอยู่ด้วย ฉันจึงได้แต่กลบความรู้สึกผิดของฉันไว้ จากวันนั้น ฉันก็เปลี่ยนท่าทีในการทำธุรกิจของฉัน เมื่อไรก็ตามที่ฉันเห็นลูกค้ามีฐานะเข้ามา ฉันจะต้อนรับด้วยรอยยิ้ม และฉันจะแนะนำบริการและผลิตภัณฑ์บางอย่างโดยเฉพาะ

ครั้งหนึ่ง มีลูกค้าบอกว่าอยากสระไดร์ และฉันคิดว่า “ค่าสระผมมันไม่ถึง 10 หยวนเลย ฉันต้องหาอุบายให้ได้เงินมากกว่านั้น” ฉันจึงบอกเธอไปว่า “คุณพี่ผมแห้งจังเลย ถ้าไม่รีบดูแล ผมจะเริ่มร่วง เส้นผมก็เหมือนใบหน้าที่สองของผู้หญิง ถ้าผมคุณพี่มีปัญหาขึ้นมา จะเสียใจเมื่อสายเกินไป” เธอเชื่อที่ฉันพูดทุกอย่าง และซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงและป้องกันผมร่วงหนึ่งชุดราคา 300 หยวน และแวะเวียนมาอบน้ำมันทำทรีทเมนต์เป็นประจำ พอเธอกลับไปแล้ว ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย ฉันได้เงินก็จริง แต่ฉันไม่แน่ใจว่าสินค้าจะใช้ได้ผลแค่ไหน ฉันโฆษณาชวนเชื่อ แต่ถ้าเกิดใช้ไม่ได้ผลแล้วเธอกลับมาต่อว่าฉัน ฉันจะทำอย่างไร? แต่กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ ฉันขายของไปแล้ว มันก็แค่นั้น หลังจากนั้นไม่กี่วัน ขณะที่ฉันตัดผมให้ลูกค้าคนหนึ่งอยู่ เธอพูดขึ้นมาว่า เธอมีรังแคและคันหนังศีรษะ ฉันคิดว่า “ฉันแนะนำแชมพูบางตัวที่ฉันขายอยู่ได้นะเนี่ย จะได้ได้เงินเพิ่มขึ้นอีกหน่อย” ฉันจึงพูดอย่างมีชั้นเชิงว่า “รังแคกับอาการคันหนังศีรษะเกิดจากการอักเสบค่ะ และถ้าเป็นเยอะ ผมคุณน้องจะเริ่มร่วง แล้วคุณน้องจะเริ่มเสียความมั่นใจนะคะ” เธอรีบถามฉันเลยค่ะว่าจะทำอะไรได้บ้าง แน่นอนว่าฉันแนะนำแชมพูป้องกันรังแคของฉันให้เธอ และรับประกันว่าใช้ดีแน่นอน เธอซื้อแชมพูนั้นไปด้วยความถูกอกถูกใจ ฉันคิดเงินเธอไป 68 หยวน กับสินค้าที่ฉันซื้อมาแค่ 25 หยวน แถมเธอยังขอบคุณฉันครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันเลยเห็นว่า การทำเงินแบบนั้นมันง่ายแค่ไหน มิน่าละ เจ้าของร้านทำผมคนอื่นถึงได้รวยกันแล้ว ฉันคิดว่าอีกไม่นานฉันก็รวยได้เหมือนกัน และฉันจะไม่ต้อง กังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลของพ่อฉัน พอคิดแบบนี้ ความไม่สบายใจของฉันก็ค่อยๆ จางหายไป ฉันหันมาเชื่อว่า หนทางเดียวที่จะทำเงินได้คือโกหกกับโกงเท่านั้น

สิบปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉันทำเงินได้พอสมควร ฉันใช้หนี้หมดแล้ว แถมยังซื้อบ้านซื้อรถด้วย แต่ฉันไม่รู้ว่าทำไม ฉันจึงไม่มีความสุขเลย แม้ว่าจะมีชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น ฉันรู้สึกว่างเปล่า และไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา เขาพูดกันว่า “เมื่อผู้คนกระทำ สวรรค์มองดู” และ “ทำอะไรย่อมได้อย่างนั้น” ฉันกลัวว่า สักวันหนึ่ง ลูกค้าทุกคนที่ฉันหลอกลวงจะโผล่มาคิดบัญชีกับฉัน แล้วชื่อเสียงของฉันก็จะย่อยยับ ฉันหวาดกลัวกับความคิดนั้น และมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความกลัว ช่างน่าเหนื่อยนัก ฉันอยากกลับไปทำธุรกิจอย่างซื่อสัตย์มากเลย แต่ฉันก็ทำไม่ได้ ฉันเป็นเหมือนหัวขโมยที่ติดใจเมื่อได้ลิ้มลอง พออยากเลิกก็เลิกไม่ได้

ในขณะที่ฉันกำลังดิ้นรนอย่างเจ็บปวด ติดอยู่ในวังวนแห่งบาปอยู่นั้น เพื่อนคนหนึ่งก็ได้แบ่งปันข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับฉัน เธอบอกฉันว่า พระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงทั้งหมด และสามารถแก้ไขความลำบากทั้งหมดของเรา อีกทั้งเยียวยาความเจ็บปวดในจิตวิญญาณของเราได้ หลังจากนั้น ฉันเริ่มไปชุมนุม และอ่านพระวจนะของพระเจ้าร่วมกับคนอื่น ร้องเพลงสรรเสริญ และฉันรู้สึกถึงสันติสุขอย่างแท้จริง เป็นความรู้สึกที่ไม่อาจตีเป็นราคาได้ ฉันตกลงใจปฏิบัติความเชื่อของฉันให้ดี

ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง พี่น้องชายหญิงได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง “ความซื่อสัตย์หมายถึงการมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระเจ้า จริงแท้ต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง เปิดกว้างต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง ไม่เคยซ่อนเร้นข้อเท็จจริง ไม่พยายามหลอกลวงบรรดาผู้ที่อยู่สูงกว่าและต่ำกว่าเจ้า และไม่ทำสิ่งต่างๆเพื่อหวังประจบประแจงให้พระเจ้าทรงโปรดปราน  กล่าวสั้นๆก็คือ การมีความซื่อสัตย์คือการปราศจากราคีในการกระทำและคำพูดทั้งหลาย และการไม่หลอกลวงทั้งพระเจ้าและมนุษย์…หากเจ้ามีความลับส่วนตัวมากมายซึ่งเจ้าอิดออดที่จะแบ่งปัน หากเจ้าไม่ชอบอย่างมากในการนำความลับของเจ้า—ความลำบากยากเย็นของเจ้า—มาตีแผ่ต่อหน้าผู้อื่นเพื่อแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่จะบรรลุความรอดโดยง่าย และเป็นผู้ที่จะไม่โผล่พ้นจากความมืดมิดโดยง่าย(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ)  บทตอนนี้ สะเทือนใจฉันมาก ฉันได้เห็นว่าพระเจ้าทรงโปรดปรานคนซื่อสัตย์ และทรงรังเกียจคนหลอกลวง หนทางเดียวที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้ คือการเป็นคนซื่อสัตย์ พี่น้องชายหญิงนั้นปราศจากราคี และเปิดเผยทุกอย่าง แม้ว่าพวกเขาเคยโกหกเพื่อรักษาหน้าตาและสถานะอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ทบทวนตัวเองได้เสมอ ทั้งยังเปิดเผยและซื่อสัตย์ ชีวิตของพวกเขาอิสระ และได้รับการปลดปล่อยจริงๆ ฉันรู้สึกได้ว่า คริสตจักรไม่มีอะไรที่เหมือนกับโลกเลย พระเจ้าโปรดคนซื่อสัตย์ ยิ่งใครซื่อสัตย์มากเท่าไร พระเจ้าก็โปรดพวกเขามากขึ้นเท่านั้น แต่ยิ่งพวกเขาหลอกลวงมากขึ้นเท่าไร พระองค์ก็ทรงชิงชังพวกเขามากขึ้นเท่านั้น คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถได้รับความสุขและความเบิกบานที่แท้จริง ฉันอยากเป็นคนซื่อสัตย์ เป็นคนที่พระเจ้าโปรดจริงๆ แต่แล้ว ฉันก็คิดว่า การที่ฉันเป็นนักธุรกิจ และอยู่ในสังคมวัตถุนิยม ที่เงินคือทุกสิ่งทุกอย่างแบบนี้ การทำธุรกิจอย่างซื่อสัตย์นั้น นอกจากคุณจะหาเงินไม่ได้แล้ว ยังถูกคนอื่นมองว่าโง่อีกด้วย ทำแบบนั้น ยังไงก็ไม่มีที่ยืนในสังคมนี้ค่ะ ท้ายที่สุด คุณก็ต้องปิดกิจการของคุณไป แต่พระวจนะของพระเจ้าระบุไว้ชัดว่า พระองค์นั้นโปรดคนซื่อสัตย์ ส่วนคนหลอกลวงนั้นยากที่จะได้รับการช่วยให้รอด ถ้าฉันไม่ปฏิบัติความจริงตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า แต่ยังทำธุรกิจอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม โกหก และคดโกง พระเจ้าจะไม่ทรงรังเกียจหรอกหรือ? ฉันคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็ตัดสินใจปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า พูดความจริง รวมทั้งเป็นคนซื่อสัตย์

วันหนึ่ง ตอนที่ฉันกำลังตัดผมให้ลูกค้าอยู่นั้น เธอถามว่าผมของเธอแห้งหรือเปล่า ถ้าแห้ง เธอก็อยากทำทรีทเมนต์บำรุงผม ฉันคิดว่า “ถ้าตัดผมฉันได้แค่ 10 หยวนเท่านั้น แต่ทำทรีทเมนต์บำรุงผม ได้เงินเพิ่มอย่างน้อยก็ร้อยหนึ่งละ ลูกค้าเป็นคนถามเองนะ ฉันไม่ได้คะยั้นคะยอเพื่อเอาเงินเพิ่ม” ที่จริงฉันดูผมเธอแล้วค่ะ และก็ไม่เห็นว่าแห้งเลย แต่ถ้าฉันบอกความจริงไป เธอคงไม่อยากทำแน่นอน ขณะที่ฉันกำลังสับสนอยู่นั้น ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “การมีความซื่อสัตย์คือการปราศจากราคีในการกระทำและคำพูดทั้งหลาย และการไม่หลอกลวงทั้งพระเจ้าและมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ)  พระวจนะของพระเจ้า เตือนใจฉันได้อย่างทันท่วงที ว่าคำพูดและการกระทำของคนซื่อสัตย์นั้น สัมพันธ์กับชีวิตจริงและมีความเป็นจริง พวกเขาไม่หลอกลวง ทั้งต่อพระพักตร์ของพระเจ้าและต่อหน้าคนอื่น ในเมื่อฉันอยากเป็นคนซื่อสัตย์ ฉันควรปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และพูดความจริง ดังนั้น ฉันจึงบอกลูกค้าไปว่า “ผมตัวเองไม่แห้งนะ อย่าเสียเงินเปล่าเลยค่ะ” เธอตอบกลับมาอย่างประหลาดใจว่า “ฉันแปลกใจจังที่คุณซื่อตรงต่อวิชาชีพขนาดนี้ ทุกวันนี้ คนที่ทำธุรกิจอย่างคุณมีน้อยมาก เดี๋ยวฉันจะให้คนที่บ้านมาทำผมที่นี่ให้หมดเลย” ฉันตื่นเต้นมากที่ได้ยินลูกค้าพูดอย่างนั้น ฉันขอบคุณพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันได้รับประสบการณ์ที่วิเศษและหอมหวาน จากการทำตัวซื่อสัตย์และพูดความจริง

หลังจากวันนั้น ฉันทำตัวเป็นคนซื่อสัตย์ตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า ความกลัว ความกังวลทั้งหมดในใจของฉัน อันตรธานไปโดยไม่ทันรู้ตัว และฉันก็ไม่กังวลอีกต่อไปว่าจะมีใครกลับมาต่อว่า ฉันนอนหลับสนิททุกคืน ฉันคิดว่า ฉันสามารถปฏิบัติความจริง และพูดจากใจจริงได้แล้ว แต่ก็ต้องประหลาดใจว่า อุปนิสัยและปรัชญาแบบซาตานของฉันฝังอยู่ลึกมาก พอถูกทดลองด้วยผลประโยชน์ก้อนใหญ่ ฉันก็กลับไปทำตัวแบบเดิมๆ อีก

วันหนึ่ง มีผู้หญิงห้าคนเข้ามาในร้านทำผม พวกเขาเพิ่งกลับจากการเดินทาง คนขับแท็กซี่ของพวกเขาแนะนำร้านตัดผมของฉัน พวกเขาจึงตรงมาที่นี่ ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มพูดว่า “ไม่เกี่ยงราคานะ ขอแค่คุณทำให้ดีก็แล้วกัน” พอได้ยินเธอพูดอย่างนั้น ฉันก็คิดว่า “เงินกำลังจะเข้ากระเป๋าฉันแล้ว ฉันจะบิดเบือนความจริงแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว และพระเจ้าจะทรงยกโทษให้ฉัน” ฉันจึงคิดค่าดัดผมไป 260 หยวน จากที่ควรจะเป็น 160 หยวน และพวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ฉันได้เงินเพิ่มมาอีก 500 หยวนด้วยวิธีนั้น ฉันมีความสุขมากเมื่อได้เงินมา คิดว่าฉันไม่ต้องห่วงเรื่องค่าเช่าร้านเดือนนั้นแล้ว แต่คืนนั้น ฉันรู้สึกหมองหม่นและสับสน ฉันนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายพลิกตัวไปมา

หลังจากนั้นฉันก็มาคิดดู ฉันรู้ว่าการเป็นคนซื่อสัตย์นั้นเป็นสิ่งดี และสัมพันธ์กับการวางตัวของพวกเรา รวมถึงว่าเราจะได้รับการช่วยให้รอด และเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าหรือไม่ แล้วทำไม ฉันจึงไม่นำสิ่งนั้นไปสู่การปฏิบัติล่ะ?  อะไรคือเหตุผลที่แท้จริง? ฉันดูวิดีโอการอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพื่อแสวงหาคำตอบ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้คนในอดีตทำธุุรกิจของพวกเขาโดยที่ไม่มีใครถูกโกง พวกเขาขายสิ่งของต่างๆ ในราคาเดียวกันไม่ว่าผู้ที่กำลังซื้ออยู่นั้นจะเป็นใครก็ตาม  องค์ประกอบบางอย่างของมโนธรรมและสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีไม่ได้สื่อให้เห็น ณ ที่นี้หรอกหรือ?  เมื่อผู้คนดำเนินธุรกิจเยี่ยงนี้ โดยสุจริต สามารถมองเห็นได้ว่าพวกเขายังคงมีมโนธรรมบางอย่างและสภาวะความเป็นมนุษย์บางอย่าง ณ เวลานั้น  แต่ด้วยความต้องการเงินทองที่เพิ่มขึ้นทุกทีของมนุษย์ ผู้คนได้มารักเงินทอง ทรัพย์สมบัติ และความยินดีมากขึ้นทุกทีโดยไม่รู้ตัว  สรุปสั้นๆ ผู้คนได้มามองเงินทองว่าสำคัญมากกว่าแต่ก่อน  เมื่อผู้คนมองเงินทองว่าสำคัญมากขึ้น พวกเขาก็เริ่มให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของพวกเขา ชื่อเสียงของพวกเขา ชื่ออันดีงามของพวกเขา และความซื่อตรงของพวกเขาน้อยลงโดยไม่รู้ตัวมิใช่หรือ?  เมื่อเจ้าดำเนินธุรกิจ เจ้าเห็นคนอื่นๆ ใช้วิถีทางอันหลากหลายเพื่อโกงผู้คนและสร้างความร่ำรวย  แม้ว่าเงินทองที่หามาได้จะได้มาโดยไม่สุจริต พวกเขากลับกลายเป็นร่ำรวยยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  แม้พวกเขาอาจดำเนินธุรกิจเดียวกันกับเจ้า ครอบครัวของพวกเขาทั้งหมดก็ชื่นชมกับชีวิตมากกว่าที่เจ้าชื่นชม และเจ้ารู้สึกแย่ โดยกล่าวกับตัวเจ้าเองว่า ‘ทำไมฉันจึงไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้? ทำไมฉันจึงไม่สามารถหาเงินทองได้มากเท่าที่พวกเขาหาได้? ฉันต้องคิดหาหนทางที่จะได้รับเงินทองมากขึ้น เพื่อทำให้ธุรกิจของฉันรุ่งเรือง’  แล้วเจ้าก็ทำจนถึงที่สุดเพื่อใคร่ครวญว่าจะหาเงินจำนวนมากได้อย่างไร  ตามวิธีการทำเงินตามปกติ—การจำหน่ายสิ่งของต่างๆ ในราคาเดียวกันให้แก่ลูกค้าทุกคน—กำไรใดๆ ที่เจ้าได้นั้นเกิดขึ้นด้วยมโนธรรมที่ดี  อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่หนทางที่จะร่ำรวยได้เร็ว  เมื่อถูกผลักดันโดยแรงกระตุ้นที่จะทำกำไร การคิดของเจ้าผ่านการเปลี่ยนสภาพทีละน้อย  ช่วงระหว่างการเปลี่ยนสภาพนี้ หลักการในการประพฤติตนของเจ้าก็เริ่มเปลี่ยนแปลงเช่นกัน  เมื่อเจ้าโกงใครสักคนเป็นครั้งแรก เจ้ามีข้อสงสัย โดยกล่าวว่า ‘นี่จะเป็นครั้งเดียวที่ฉันโกงใครสักคน  ฉันจะไม่ทำมันอีก  ฉันไม่สามารถโกงผู้คนได้  มีผลสืบเนื่องอันร้ายแรงจากการโกง  มันจะนำฉันไปสู่ปัญหามากมาย!’  เมื่อเจ้าหลอกลวงใครสักคนเป็นครั้งแรก หัวใจของเจ้ามีความกระดากใจบ้าง นี่คือการทำงานของจิตสำนึกของมนุษย์—เพื่อทำให้เจ้ารู้สึกถึงความกระดากใจและเพื่อตำหนิติเตียนเจ้า เพื่อที่จะได้รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติเมื่อเจ้าโกงใครสักคน  แต่ภายหลังจากที่เจ้าได้หลอกลวงใครสักคนเป็นผลสำเร็จแล้ว เจ้าเห็นว่าบัดนี้เจ้ามีเงินทองมากกว่าที่เจ้าเคยมีมาก่อน และเจ้าคิดว่าวิธีการนี้สามารถเป็นประโยชน์มากสำหรับเจ้า  ทั้งๆ ที่มีความปวดร้าวอันน่าเบื่อในหัวใจของเจ้า เจ้ายังคงรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังแสดงความยินดีกับตัวเองในความสำเร็จของเจ้า และเจ้ารู้สึกค่อนข้างพอใจกับตัวเอง  เป็นครั้งแรกที่เจ้ายอมรับพฤติกรรมของเจ้าเอง วิถีทางอันหลอกหลวงของเจ้าเอง  ภายหลังจากนั้น ทันทีที่มนุษย์ถูกปนเปื้อนโดยการโกงนี้แล้ว มันก็เป็นเช่นเดียวกับใครบางคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการพนันและแล้วก็กลายเป็นนักพนัน  ในการไม่ตระหนักรู้ของเจ้า เจ้าเห็นชอบในพฤติกรรมการโกงของเจ้าเองและยอมรับมัน  ในการไม่ตระหนักรู้ เจ้าใช้การโกงเป็นพฤติกรรมทางการค้าซึ่งถูกกฎหมายและวิถีทางที่มีประโยชน์มากที่สุดสำหรับการอยู่รอดและการดำรงชีพของเจ้า เจ้าคิดว่าโดยการทำการนี้เจ้าสามารถสร้างโชคลาภได้อย่างรวดเร็ว  นี่คือกระบวนการหนึ่ง ได้แก่  ในตอนเริ่มต้น ผู้คนไม่สามารถยอมรับพฤติกรรมประเภทนี้ได้และพวกเขาดูถูกเหยียดหยามพฤติกรรมและการปฏิบัตินี้  จากนั้นพวกเขาก็เริ่มทดลองพฤติกรรมนี้ด้วยตัวเอง และทดสอบมันด้วยวิธีของพวกเขาเอง และหัวใจของพวกเขาก็เริ่มค่อยๆ แปลงสภาพ  นี่คือการเปลี่ยนสภาพประเภทไหนกัน? มันเป็นการเห็นชอบและการยอมรับในแนวโน้มนี้ ในแนวคิดนี้ซึ่งถูกปลูกฝังในตัวเจ้าโดยแนวโน้มทางสังคม  โดยไม่ตระหนักรู้ หากเจ้าไม่โกงผู้คนเมื่อทำธุรกิจกับพวกเขา เจ้าก็รู้สึกว่าเจ้าแย่ลง หากเจ้าไม่โกงผู้คน เจ้ารู้สึกราวกับว่าเจ้าได้สูญเสียอะไรบางอย่างไป  โดยที่ไม่รู้ตัว การโกงนี้กลายเป็นวิญญาณแท้จริงของเจ้า กระดูกสันหลังของเจ้า และประเภทของพฤติกรรมที่จะขาดเสียไม่ได้ที่เป็นหลักการในชีวิตของเจ้า  ภายหลังจากที่มนุษย์ได้ยอมรับพฤติกรรมนี้และการคิดนี้แล้ว นี่ไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหัวใจของเขาหรอกหรือ? หัวใจของเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นความซื่อตรงของเจ้าก็เปลี่ยนไปเช่นกันหรือไม่?  สภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าเปลี่ยนไปหรือยัง?  จิตสำนึกของเจ้าเปลี่ยนไปหรือยัง? (เปลี่ยนไปแล้ว)  ใช่ ทุกส่วนของบุคคลนี้ก้าวผ่านการเปลี่ยนเชิงคุณภาพ ตั้งแต่หัวใจของเขาไปจนถึงความคิดของเขา จนถึงระดับที่ว่าพวกเขาได้ถูกแปลงสภาพจากภายในสู่ภายนอก  การเปลี่ยนแปลงนี้ดึงเจ้าให้ห่างจากพระเจ้าออกไปยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และเจ้ากลายเป็นมีความคิดสอดคล้องกับซาตานอย่างใกล้ชิดมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้ากลายเป็นเหมือนกับซาตานมากขึ้นเรื่อยๆ(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6)  พระวจนะของพระเจ้าทั้งหมด สะท้อนความเป็นจริง ฉันเคยเป็นอย่างนั้นเป๊ะเลยค่ะ ตอนแรก ฉันทำตามมโนธรรมของฉัน และทำธุรกิจอย่างซื่อสัตย์ แต่เมื่อพ่อของฉันต้องเข้าโรงพยาบาล ถูกเพื่อนและเพื่อนร่วมอาชีพของฉันชักนำ ฉันก็เริ่มโกหก และโกงเพื่อให้ได้เงินมามากขึ้น สุดท้ายฉันก็ห้ามตัวเองไม่ได้ อยากเลิกแต่เลิกไม่ได้ ฉันเห็นว่า ทั้งหมดนั้นเกิดจากความเสื่อมทรามของซาตาน ฉันได้รับอิทธิพลจากสังคม และรับเอาปรัชญาซาตาน อย่าง “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “เงินต้องมาก่อน” “เงินไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ถ้าไม่มีเงิน ก็จะทำอะไรไม่ได้” และ “เงินทำให้โลกหมุนไป” มาเป็นคติประจำใจของฉัน แทนที่จะหาเงินอย่างสุจริต ฉันกลับทำตามแนวทางของมาร ฉันละทิ้งมาตรฐานการทำกำไรเบื้องต้นของฉัน หัดปรับแนวทางไปตามที่เห็นจากคนอื่น ฉันเค้นสมองอย่างหนักและทำทุกวิถีทางเพื่อโกงลูกค้า ฉันกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว เจ้าเล่ห์ ชั่วร้าย และโลภมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันสูญเสียมโนธรรม เหตุผล และศักดิ์ศรีที่คนธรรมดาควรจะมี แม้ว่าฉันจะทำเงินได้จากการโกหกและโกงมานานหลายปี ใช้หนี้จนหมด และมีชีวิตที่สบายมากขึ้นก็ตาม ฉันก็ยังไม่พบความสุขที่แท้จริง ฉันรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา กังวลอยู่เสมอว่าการโกหกของฉันจะถูกเปิดโปง และเสียชื่อ แต่ฉันก็ยังติดอยู่ในนั้น และหลุดออกมาไม่ได้ หลังจากมาเป็นผู้เชื่อ แม้จะรู้ว่าพระเจ้าโปรดคนซื่อสัตย์ และตกลงใจในการอธิษฐานว่าจะปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าแล้วก็ตาม เมื่อฉันถูกทดลองด้วยเงินจำนวนมาก ฉันก็ห้ามตัวเองไม่ให้โกหกและโกงไม่ได้ ฉันได้เห็นว่าซาตานทำให้ฉันเสื่อมทรามมากแค่ไหน ในที่สุด ฉันก็ตระหนัก ว่าปรัชญาซาตานในการใช้ชีวิตเหล่านี้เป็นสิ่งไม่ดี ที่ชักนำผู้คนไปในทางที่ผิดและเป็นภัย สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันเสือมทรามอย่างมาก จนฉันกลายเป็นคนชั่วร้ายและผิดศีลธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ การใช้ชีวิตตามความคิดเหล่านี้ กับการทำธุรกิจอย่างไม่ซื่อสัตย์ ไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต การนำพระวจนะของพระเจ้าไปสู่การปฏิบัติ และการปฏิบัติความจริงตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า ในฐานะคนซื่อสัตย์ เป็นเส้นทางในชีวิตที่ถูกต้องทางเดียวเท่านั้น!

หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ค่ะ “คนเราสามารถเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ได้อย่างไร?  คนเราปฏิบัติการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ได้อย่างไร?  (โดยการไม่กระทำเล่ห์ลวงและการไม่ละลายเจือจางเมื่อคนเราพูด)  นั่นถูกต้องและมีรายละเอียดอยู่ภายใน  ‘การไม่ละลายเจือจาง’ หมายถึงสิ่งใด?  นั่นหมายถึงการไม่โกหกหรือเก็บงำเจตนาและจุดมุ่งหมายส่วนบุคคลในสิ่งที่เจ้าพูด  หากเจ้าเก็บงำเล่ห์ลวงหรือเจตนาและจุดมุ่งหมายส่วนบุคคลเอาไว้ เช่นนั้นแล้วคำโกหกย่อมจะหลุดออกมาเป็นธรรมดา  หากเจ้าไม่มีเล่ห์ลวงหรือเจตนาและจุดมุ่งหมายส่วนบุคคลภายในตัวเจ้า เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าพูดย่อมจะไม่ละลายเจือจาง อีกทั้งนั่นจะไม่บรรจุคำโกหกอันใด เมื่อเจ้าพูดว่า ‘ใช่’ นั่นจะหมายความว่า ‘ใช่’ และเมื่อเจ้าพูดว่า ‘ไม่’ นั่นจะหมายความว่า ‘ไม่’  การชำระหัวใจของเจ้าให้บริสุทธิ์เสียก่อนคือขั้นตอนที่สำคัญยิ่งยวดที่สุด  ทันทีที่หัวใจของเจ้าได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ปัญหาเกี่ยวกับความโอหังและคำโกหกอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของเจ้าล้วนจะได้รับการแก้ไข  การที่จะเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ คนเราต้องทำหัวใจของพวกเขาให้สะอาดจากการเจือปนเหล่านี้ เมื่อได้ทำเช่นนั้นแล้ว นั่นจะเป็นการง่ายที่จะเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์  เป็นการซับซ้อนหรือไม่ที่จะเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์?  ไม่ ไม่ซับซ้อน  ไม่สำคัญว่ามีสภาวะหรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามมากมายเพียงใดภายในตัวเจ้า มีความจริงหนึ่งซึ่งสามารถแก้ไขสิ่งเหล่านั้นได้ทั้งหมด  จงอย่าพูดโกหก จงพูดเปิดอก จงปฏิบัติโดยสอดคล้องกับความจริง และจงโปร่งใสในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ จงดำเนินชีวิตในฐานะมนุษย์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และจงดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่าง(“เส้นทางสู่การแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทราม” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  ฉันพบเส้นทางปฏิบัติจากพระวจนะของพระเจ้า ก่อนอื่นเราต้องสร้างแรงจูงใจให้ถูกต้อง ไม่พูดโกหก และไม่คิดหลอกลวง เราต้องมีชีวิตอย่างเปิดเผย ให้สมกับที่ผู้คนนับถือและไว้ใจ และใช้ชีวิตที่มีความเป็นมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ พระเจ้าโปรดและประทานพระพรคนซื่อสัตย์ คนประเภทนั้น ไม่ได้มีชีวิตอยู่ในความมืด หรือความเจ็บปวด และพวกเขาก็ไม่ต้องคิดโกหกไปเรื่อยจนปวดสมอง แถมพวกเขายังไม่ต้องมีชีวิตอย่างหวาดกลัวทุกวัน ว่าคำโกหกจะย้อนกลับมาหลอกหลอน คนซื่อสัตย์ไม่ถูกบีบบังคับอย่างนั้น พวกเขาอิสระและมีสันติสุข เมื่อฉันได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงในเรื่องนี้แล้ว ฉันก็เต็มใจปฏิบัติตนเป็นคนซื่อสัตย์ตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า

ราวเที่ยงของวันต่อมา ตอนที่ฉันกำลังตัดผมให้ลูกค้าอยู่นั้น ผู้หญิงที่ฉันแนะนำน้ำยาปลูกผมให้ไปก่อนหน้านี้ก็เดินเข้ามา ทำหน้างอ ฉันคิดว่า “ท่าทางเธอจะต้องสร้างปัญหาแน่เลย ถ้าเกิดเธอพูดว่าสินค้าไม่ดี แล้วลูกค้าคนอื่นได้ยินล่ะ? มันอาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของฉันก็ได้ ฉันจะทำอย่างไรให้เธอออกไปจากที่นี่ได้นะ?” ขณะที่ฉันคิดอยู่ว่าจะรับมือเธออย่างไร ฉันก็คิดถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “จงอย่าพูดโกหก จงพูดเปิดอก จงปฏิบัติโดยสอดคล้องกับความจริง และจงโปร่งใสในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ จงดำเนินชีวิตในฐานะมนุษย์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และจงดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่าง(“เส้นทางสู่การแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทราม” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  ฉันจึงตระหนักว่า ฉันไม่อาจโกหกหรือโกงได้อีกต่อไป และไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะว่าอย่างไร และลูกค้าคนอื่นจะคิดกับฉันอย่างไร ไม่ว่าต่อจากนั้นฉันจะหาเงินได้หรือไม่ ฉันต้องทำตัวซื่อสัตย์ตามพระวจนะของพระเจ้า และพูดความจริง จากนั้นก็ยอมรับการต่อว่าของเธอตามสมควร ขณะที่ฉันกำลังคิดอยู่นั้น เธอก็พูดด้วยความโมโหว่า “เธอบอกฉันไม่ใช่หรือ ว่าน้ำยาผมดกนี่จะช่วยให้ผมขึ้น? ฉันไม่มีผมขึ้นใหม่เลยแม้แต่เส้นเดียว เธอหลอกฉันใช่ไหม?” ฉันบอกเธอไปอย่างจริงใจว่า “ลูกค้าบางคนบอกว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้ใช้ได้ผลพอสมควร  แต่บางคนก็ว่าไม่ได้ผลน่ะค่ะ ฉันยังไม่เคยใช้เอง เลยบอกไม่ได้ ถ้าคุณรู้สึกว่าใช้ไม่ได้ผลก็อย่าใช้ต่อเลยค่ะ ฉันจะคืนเงินให้คุณเอง” เมื่อได้ยินฉันพูดอย่างนั้น เธอก็หายโกรธ และเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันแค่อยากรู้ความจริงเท่านั้นแหละ ในเมื่อเธอมีเจตนาซื่อตรง ก็ไม่จำเป็นต้องคืนเงินหรอก ถึงแม้ว่าใช้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้แล้ว ผมฉันจะไม่หนาขึ้นเลยก็ตาม แต่มันก็นุ่มขึ้น และเป็นเงางามกว่าเมื่อก่อน” พอเธอไปแล้ว ฉันก็ทบทวนนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ฉันได้รับประสบการณ์อย่างแท้จริงว่า การมีความซื่อสัตย์และปฏิบัติความจริงนั้นไม่ใช่เรื่องเสียเปรียบ นอกจากจะได้รับความนับถือและไว้วางใจจากคนอื่นแล้ว ยังรู้สึกดีอีกด้วย นี่ทำให้ฉันมั่นใจมากขึ้นที่จะเป็นคนซื่อสัตย์

สุดสัปดาห์หนึ่ง พี่สาวของฉันมาสระผมที่ร้าน เป็นช่วงที่มีลูกค้าอยากย้อมผมเข้ามาพอดี ฉันดูผมลูกค้า แล้วบอกเธอว่า “คุณเพิ่งย้อมไปเมื่อเร็วๆ นี้เอง ควรจะรออีกสักหน่อยนะคะ เพราะยาย้อมผมพวกนี้มีสารเคมีที่ไม่ดีกับร่างกาย” ลูกค้าตอบกลับมาด้วยความประหลาดใจพอสมควรว่า “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ว่ายังมีคนทำธุรกิจแบบนี้อยู่ มิน่าละกิจการของเธอถึงดี คนเรานิสัยดี ธุรกิจก็ประสบความสำเร็จนะ!” พอเธอออกจากร้านไป พี่สาวฉันก็ทำหน้าแปลกๆ และพูดว่า “นี่เธอไข้ขื้นหรืออะไร? เงินนั่นแทบจะอยู่ในมือเธอแล้วเชียว แต่เธอก็ไม่รับไว้” ฉันพูดอย่างใจเย็นว่า “ความประพฤติของเรามีผลต่อธุรกิจของเรานะ คนที่ไม่ดีจะดำเนินธุรกิจที่ดีได้อย่างไรกัน? เราอาจหาเงินได้เร็วๆ ด้วยการผิดศีลธรรม แต่ทำได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวนี้ ฉันทำทุกอย่างตามทำนองคลองธรรม และฉันก็รู้สึกดีขึ้นมากกับการหาเงินอย่างมีมโนธรรม” พี่สาวของฉันยิ้ม แล้วพูดว่า “เมื่อก่อนนี้เธอไม่ได้ทำธุรกิจอย่างนี้เลย เธอเปลี่ยนไปจริงๆ” เมื่อได้เห็นสีหน้าทึ่งของพี่สาว ฉันขอบคุณพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพระวจนะของพระเจ้า การเป็นคนซื่อสัตย์และพูดความจริง ทำให้ฉันได้รู้รสของความสงบเยือกเย็น

หลังจากนั้น ร้านทำผมของฉันก็คึกคักทุกสุดสัปดาห์และในวันหยุด หลายคนมาเพราะมีคนบอกต่อ หรือเพื่อนแนะนำ ฉันเคยคิดว่าธุรกิจคงไม่มั่นคง ถ้าไม่โกหกเสียบ้าง และผู้คนจะหัวเราะเยาะฉัน แต่ฉันก็เห็นแล้วว่ามโนคติที่หลงผิดแบบนั้น น่าขบขันและไร้สาระแค่ไหน การทำตามปรัชญาแบบซาตานทำให้ได้รับผลประโยชน์เพียงชั่วคราว และทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าและความเจ็บปวด เป็นหนทางชีวิตที่ชั่วร้ายและเลวทราม ที่ปราศจากความเป็นมนุษย์ เดี๋ยวนี้ ฉันมุ่งเน้นการปฏิบัติความจริง พูดจริงจากใจ และใช้ชีวิตอย่างซื่อตรง นอกจากจะได้รับความนับถือและไว้วางใจจากคนอื่นแล้ว ฉันยังรู้สึกถึงสันติสุขอีกด้วย เป็นหนทางชีวิตที่แสนวิเศษ! การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่ฉันได้ก้าวผ่านนี้ ล้วนต้องขอบคุณพระวจนะของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ก่อนหน้า: 10. หัวใจหลุดพ้น

ถัดไป: 12. มีเพียงความซื่อสัตย์เท่านั้น ที่จะนำความคล้ายมนุษย์มาสู่เราได้

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger