12. มีเพียงความซื่อสัตย์เท่านั้น ที่จะนำความคล้ายมนุษย์มาสู่เราได้
ฉันกับสามีทำธุรกิจด้านเฟอร์นิเจอร์ในสำนักงานค่ะ เราเริ่มทำธุรกิจแบบซื่อสัตย์มาก ทำตามสิ่งที่ลูกค้าขอ ไม่เอาของปลอมมาปะปน แต่พอผ่านไปหนึ่งปี หลังจ่ายภาษีทั้งหมด เรากลับเหลือเงินแค่พออยู่ได้ เจ้าของร้านถัดไปที่ทำธุรกิจเดียวกัน พวกเขากลับมีรายได้เยอะกว่าเรามาก ฉันเลยสงสัย ว่าทำไมเราถึงหาเงินไม่ได้มากเท่าเขา ฉันอยากลองไปดูและเรียนรู้ว่าพวกเขาหาเงินกันอย่างไร วันหนึ่ง มีลูกค้ามาที่ร้านของพวกเขา และได้สั่งโซฟา โต๊ะยาวสำหรับแผนกต้อนรับรวมถึงโต๊ะวางของ โดยต้องการให้ทุกตัวเป็นรุ่นที่ดีที่สุด ฉันเห็นเจ้าของร้านรับปากกับพวกเขา ว่าของทุกชิ้นจะมีคุณภาพที่ดีที่สุด แต่ทันทีที่ลูกค้าออกจากร้านไป เขาเอาสินค้าคุณภาพแย่จากในโรงงานมาสับเปลี่ยนกับสินค้าอย่างดี แล้วส่งของพวกนั้นไปให้ลูกค้าค่ะ เขาหาเงินได้หมื่นกว่าหยวนในชั่วพริบตา พอเห็นว่าพวกเขาเล่นตุกติกแบบนี้ ฉันก็ตกใจมากเลยค่ะ ฉันคิดว่า “ทำแบบนี้กันนี่เอง! นั่นไม่ใช่การโกงลูกค้าหรือ มันไม่ใช่การทำธุรกิจอย่างซื่อสัตย์เลย” แต่แล้วฉันก็คิดว่า “เราทำธุรกิจเดียวกัน แต่พวกเขากลับหาเงินได้มากกว่าและมีชีวิตที่ดีกว่า ขณะที่เราแค่พออยู่ได้ มันต่างกันเกินไปนะเนี่ย” ฉันคิดว่า ฉันได้เรียนรู้อะไรจากพวกเขามาบ้างแล้ว ดังนั้น เพื่อหาเงินให้ได้มากขึ้น ฉันเลยเริ่ม ไม่ใส่ใจเรื่องจิตสำนึกและขายสินค้าแบบที่ร้านข้างๆ ทำ
ครั้งหนึ่ง มีลูกค้ามาที่ร้านเพื่อตุนของใช้ในสำนักงาน และขอให้ทุกชิ้นเป็นของที่มีคุณภาพสูง ฉันรับปากเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก ว่ามันจะมีแต่ของที่ดีที่สุดและมีประกันให้ตลอดการใช้งาน เขาจะได้รู้สึกสบายใจกับการซื้อของจากเรา หลังจากเขาออกไป ฉันก็สลับเอาของที่เขาเลือก เปลี่ยนเป็นสินค้าคุณภาพแย่ที่ดูเหมือนชิ้นที่เขาเลือกเป๊ะๆ เพราะราคามันถูกกว่ามาก ขณะส่งมอบสินค้าให้เขาฉันรู้สึกไม่สบายใจเลย ฉันคิดว่า “ถ้าเกิดเขาจับได้และอยากขอเงินคืนขึ้นมา มันจะไม่ใช่แค่เสียเงิน แต่เขาจะตอกหน้าฉันว่าเป็นคนขี้โกงแน่” ความคิดนี้ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกวิตกขึ้นไปอีก หัวใจฉันเต้นเร็วขึ้น ถึงขั้นที่ฉันไม่สามารถมองตาเขาได้ ตอนที่เขาตรวจสินค้า ฉันก็ประหลาดใจที่เขาไม่สังเกตเห็นอะไรเลย และในที่สุด ฉันก็ได้เบาใจขึ้นหน่อย พอคิดเงินออกมา ฉันได้เงินเพิ่มมาอีกหลายหมื่นเลยค่ะ ถึงแม้ฉันจะรู้สึกผิดขึ้นมา และรู้ว่ามันไม่ซื่อสัตย์ แถมยังผิดจรรยาบรรณ แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะแอบรู้สึกพอใจ ที่หาเงินได้มากขนาดนั้นในเวลาอันรวดเร็ว ผ่านไปสักพัก การโกหกและขี้โกงแบบต่อเนื่องของฉัน ก็สร้างปัญหาให้ฉันอยู่หลายครั้งเลยค่ะ บางครั้งเวลาที่ฉันขายของปลอมไป หลังจากนั้น ลูกค้าก็จะโทรมาว่าจะเอาของมาซ่อม แต่ของปลอมแบบนั้นไม่มีการบริการหลังการขายค่ะ ฉันเลยต้องหาข้ออ้างทุกรูปแบบมาผัดผ่อนไป บางครั้ง ลูกค้าบางคนก็จะพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าของร้านคุณนี่พอขายไปแล้วก็ไม่รับผิดชอบอะไรเลย คุณมันไม่น่าไว้วางใจเลยจริงๆ!” สำหรับฉัน การได้ยินลูกค้าพูดอะไรแนวนี้มันไม่ง่ายเลยค่ะ แต่แล้วฉันก็คิดว่า ใครๆ ก็ทำธุรกิจแบบนี้กันทั้งนั้น มันปกติจะตายไม่ใช่หรือ ความรู้สึกผิดนั้นก็ค่อยๆ หายไปค่ะ
ผ่านไปสองสามปี แม้ว่าฉันจะหาเงินได้ประมาณหนึ่งและใช้ชีวิตสุขสบายมากขึ้น ในหัวใจฉันก็ไม่ได้รู้สึกสุขใจเลยค่ะ ฉันกลับรู้สึกวิตกอยู่ตลอดเวลา เพราะฉันขายของปลอมไปหลายชิ้น กลัวว่าวันหนึ่งลูกค้าจะรู้ว่ามันมีปัญหาเรื่องคุณภาพ แล้วจะโทรมาขอคืนเงินหรือแจ้งความจับฉัน แบบนั้นฉันคงเสียเงินเยอะ แถมจะทำให้ฉันเสียชื่อเสียงและถูกคนนินทาลับหลังด้วย ด้วยความหวังที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ ฉันเลยคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ฉันควรทำให้มันราบรื่นอย่างไรดี ถ้าเกิดได้รับสายแบบนั้นขึ้นมา สำหรับฉัน การใช้ชีวิตแบบนั้นมันเหนื่อยนะคะ ฉันคิดอยู่บ่อยๆ ว่า “ถ้าฉันแค่ทำธุรกิจอย่างซื่อสัตย์ และสั่งของไปตามที่ลูกค้าขอ โดยไม่เอาของคุณภาพรองลงมาส่งให้เขา ฉันคงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา แต่ค่าใช้จ่ายสำหรับธุรกิจและเรื่องในบ้านเยอะแยะไปหมด ถ้าทำธุรกิจอย่างซื่อสัตย์ หาของมาให้ตามที่ลูกค้าขอ ฉันคงหาเงินได้ไม่มาก พวกเขาบอกไม่ใช่หรือว่า ‘ไม่มีนักธุรกิจคนใดที่ซื่อสัตย์’ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เป็นกันอยู่ทุกวันนี้หรือ ถ้าไม่โกง ฉันก็หาเงินไม่ได้มากพอ ดังนั้น ฉันจะมุ่งไปที่เรื่องเงินก็แล้วกัน” และถึงแม้บางครั้งจิตสำนึกของฉันจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ฉันก็ยังคงใช้ กลยุทธ์ขี้โกงในการทำธุรกิจเพื่อหาเงินให้ได้มากขึ้น
ในปี 2004 น้องสะใภ้ของฉันได้แบ่งปันพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับฉันค่ะ ด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็มั่นใจว่ามันคือพระราชกิจของพระเจ้าแห่งยุคสุดท้าย และเริ่มใช้ชีวิตในคริสตจักร วันหนึ่งฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้า “ราชอาณาจักรของเราพึงประสงค์บรรดาผู้ที่ซื่อสัตย์ บรรดาผู้ที่ไม่หน้าซื่อใจคดหรือหลอกลวง ผู้คนที่มีความจริงใจและซื่อสัตย์ไม่ได้เป็นที่นิยมในโลกไม่ใช่หรอกหรือ? เรากลับตรงกันข้าม การที่ผู้คนที่ซื่อสัตย์มาหาเราเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ เราปีติยินดีในบุคคลประเภทนี้ และเราจำเป็นต้องมีบุคคลประเภทนี้ด้วยเช่นกัน สิ่งนี้คือความชอบธรรมของเราอย่างแน่นอน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 33) “พวกเจ้าควรที่จะรู้ว่าพระเจ้าโปรดบรรดาผู้ที่มีความซื่อสัตย์ โดยเนื้อแท้แล้ว พระเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยความสัตย์ซื่อ และดังนั้น พระวจนะของพระเจ้าสามารถเชื่อถือไว้วางใจได้เสมอ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การกระทำของพระองค์นั้นไร้ข้อผิดและมิอาจตั้งคำถามได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่า เหตุใดพระเจ้าจึงชอบคนจำพวกที่มีความซื่อสัตย์ต่อพระองค์โดยสมบูรณ์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ) พออ่านพระวจนะนี้ ฉันก็ได้รู้ว่าพระเจ้าโปรดคนซื่อสัตย์ และพระองค์ประสงค์ให้เราเป็นคนที่ซื่อสัตย์และซื่อตรงทั้งในคำพูดและการกระทำ เราไม่ควรหลอกลวงหรือโกงไม่ว่ากับพระเจ้าหรือมนุษย์ ฉันคิดว่า “การเป็นคนซื่อสัตย์เป็นเรื่องดีทั้งสิ้น แถมมันยังเป็นวิธีดำเนินชีวิตที่สงบสุขและผ่อนคลาย แต่ในสังคมที่หมกมุ่นกับเงินนี้ คนซื่อสัตย์ดูเป็นแค่คนโง่ในสายตาผู้อื่น โดยเฉพาะในหมู่คนทำธุรกิจอย่างเรา การโกงลูกค้า คือความลับที่รู้กันทั่ว ถ้าฉันเป็นคนซื่อสัตย์แบบเต็มที่ ฉันก็จะหาเงินไม่ได้แล้วก็จะอยู่ไม่ได้ บางคนอาจจะถึงกับเห็นว่าฉันโง่แล้วโกงฉันก็ได้ แต่พระเจ้าประสงค์ให้เราเป็นคนซื่อสัตย์ แล้วฉันควรทำอย่างไรดี” ฉันนึกถึงการประนีประนอมค่ะ ฉันจะพูดและทำตัวซื่อสัตย์อย่างเต็มที่ เวลาอยู่ในคริสตจักรกับพี่น้องชายหญิง ฉันไม่จำเป็นต้องคอยระวังตัว และไม่มีใครจะมาหัวเราะฉันด้วย แต่ฉันเป็นคนซื่อสัตย์ในเรื่องงานไม่ได้ ดังนั้นฉันเลยเริ่มนำวิธีนั้นมาปฏิบัติ
วันหนึ่ง มีลูกค้ามาสั่งโต๊ะและเก้าอี้ 120 ตัว สินค้าทุกชิ้นที่เขาเลือกจากตัวอย่างมีคุณภาพดีและไม่มีกลิ่นฟอร์มาลดีไฮด์ ฉันคิดว่า “ฉันจะสลับสิ่งที่เขาสั่งกับสินค้าจากอีกโรงงานหนึ่ง ที่ดูเหมือนกับอันที่เขาต้องการเป๊ะๆ ถึงคุณภาพจะต่ำกว่าและมีกลิ่นฟอร์มาลดีไฮด์อยู่บ้าง แต่ฉันก็จะได้เงินเพิ่มอีก 1200 หยวน” ฉันคิดว่าฉันจะขายเฟอร์นิเจอร์ที่คุณภาพต่ำกว่าให้เขาค่ะ แต่แล้วฉันก็นึกถึง เรื่องที่ฟอร์มาลดีไฮด์มันเป็นอันตราย และฉันรู้สึกไม่สบายใจ แต่แล้ว ฉันรู้ว่าร้านไหนๆ ก็ทำธุรกิจกันแบบนี้ทั้งนั้น ถ้าฉันไม่โกงเขา เขาก็จะถูกร้านอื่นโกงเอาอยู่ดี ฉันคิดว่าฉันน่าจะได้เงินก้อนนั้นเหมือนกัน ดังนั้น ด้วยจิตสำนึกแบบง่ายๆ ฉันเลยเอาสินค้าปลอมมาใส่ในคำสั่งซื้อของเขา สองสามวันต่อมาตอนที่ส่งมอบสินค้า ลูกค้าเกิดสงสัยในคุณภาพและกลิ่นของมันขึ้นมา เขาถามฉันว่า “ของนี่มันอันตรายไม่ใช่หรือ คุณทำธุรกิจแบบนี้ได้อย่างไร ผมไม่อยากได้ของพวกนี้แล้ว!” ฉันอยากต่อรองกับเขาและยื่นข้อตกลงที่ดีกว่าให้ แค่ขอให้เขารับของทุกชิ้นไว้ก็พอ แต่เขาไม่ให้โอกาสฉันพูดด้วยซ้ำ แถมยังพูดอย่างหนักแน่นและเด็ดขาด ว่าเขาต้องการคืนของทั้งหมด ฉันไม่มีทางเลือก นอกจากรับโต๊ะและเก้าอี้ทั้ง 120 ตัวกลับคืนมา พอกลับถึงบ้านฉันก็รู้สึกทุกข์ใจมาก ฉันคิด ว่าการทำอะไรที่ไม่ซื่อสัตย์เป็นงานหนักและใช้อะไรเยอะมาก มันไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่ชื่อเสียงและเกียรติของฉันถูกทำลายไปด้วย ฉันกำลังได้รับผลจากสิ่งที่ตัวเองทำ ถ้าฉันทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์และไม่ขายของปลอม ถึงแม้ว่าฉันจะหาเงินได้ไม่มากเท่านั้น แต่คงไม่มีใครโกรธฉัน และฉันคงไม่ทำให้ตัวเองเหน็ดเหนื่อยหรือวิตก การตุกติกทำร้ายตัวฉันเองรวมถึงคนอื่นด้วย! ฉันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐาน บอกว่า “โอ้พระเจ้า! พระองค์ประสงค์ให้เราเป็นคนซื่อสัตย์ แต่ข้าพระองค์ก็ยังไม่ซื่อสัตย์ในการทำธุรกิจ สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้คือการบ่มวินัยของพระองค์ และข้าพระองค์พอแล้วกับความขมขื่นในการใช้ชีวิตแบบนี้ ข้าพระองค์ไม่อยากโกงใครอีกต่อไป ข้าพระองค์อยากให้พระองค์ทรงนำให้ข้าพระองค์เป็นคนซื่อสัตย์ ข้าพระองค์พร้อมจะมุ่งมั่นในการเป็นให้ได้อย่างที่พระองค์ประสงค์แล้ว”
ต่อมาวันหนึ่งในการเฝ้าเดี่ยว ฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้าค่ะ “เราคือพระเจ้าผู้ตรวจดูหัวใจด้านในสุดของมนุษย์ จงอย่ากระทำการวิธีหนึ่งต่อหน้าผู้อื่น แต่กระทำการอีกวิธีหนึ่งลับหลังพวกเขา เรามองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำอย่างชัดเจน และแม้ว่าเจ้าอาจจะหลอกผู้อื่นได้ แต่เจ้าไม่สามารถหลอกเราได้ เราเห็นทุกสิ่งอย่างชัดเจน เป็นไปไม่ได้สำหรับเจ้าที่จะปกปิดสิ่งใด ทุกสิ่งล้วนอยู่ภายในมือของเรา” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 44) “เจ้าคิดว่าจะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าได้โกงเงินมาจากใครบางคนกระนั้นหรือ? เจ้าคิดหรือว่าหลังจากที่ได้ฉ้อโกงเงินนั้นไปแล้ว เจ้าจะไม่พบกับผลพวงใดๆ? เช่นนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้ จะมีผลพวงแน่นอน! ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร หรือไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อว่ามีพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม ปัจเจกบุคคลทั้งปวงต้องรับผิดชอบต่อพฤติกรรมของพวกเขาเองและแบกรับผลพวงจากการกระทำทั้งหลายของพวกเขา” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 10) “การที่พระเจ้าทรงขอให้ผู้คนซื่อสัตย์ย่อมพิสูจน์ว่า โดยแท้จริงแล้ว พระองค์ทรงเกลียดพวกที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และว่าพระองค์ไม่โปรดผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ไม่โปรดผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงนั้นหมายความว่าพระองค์ไม่โปรดการกระทำ อุปนิสัย และแรงจูงใจทั้งหลายของพวกเขา นั่นก็คือ พระองค์ไม่โปรดหนทางที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลาย เพราะฉะนั้น หากพวกเราจะทำให้พระเจ้าทรงยินดี ก่อนอื่น พวกเราต้องเปลี่ยนแปลงการกระทำของพวกเราและหนทางที่พวกเราดำรงอยู่ในนั้นเสียก่อน ก่อนหน้านี้ พวกเราได้พึ่งพาคำโกหกและข้ออ้างเพื่อดำรงชีวิตท่ามกลางผู้คน โดยใช้สิ่งเหล่านี้เป็นทุนของพวกเราและเป็นพื้นฐานเกี่ยวกับการดำรงอยู่ ชีวิต และรากฐานซึ่งพวกเราใช้ในการประพฤติตัวเอง นี่เป็นบางสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงดูหมิ่น” (“การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)
ฉันรู้สึกได้จากพระวจนะของพระเจ้า ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรม บริสุทธิ์ และไม่ทนต่อการทำให้ขุ่นเคือง พระองค์ทรงพินิจทุกคำพูดและการกระทำของเรา และท้ายที่สุดเราก็ได้ในสิ่งที่สมควรตามสิ่งที่ได้ทำมา ฉันสามารถโกงไปได้สักระยะเพื่อหาเงินให้ได้มากขึ้น แต่หลังจากนั้นฉันก็ต้องรับผลกรรมอันขมขื่น ฉันจะตกนรกและถูกลงโทษเมื่อตายไป นั่นคือกฎของสวรรค์ ฉันได้เห็นว่าตัวเองเคยโง่แค่ไหน ฉันคิดว่า ฉันสามารถซื่อสัตย์กับพี่น้องชายหญิง แต่เป็นคนหลอกลวงเวลาทำธุรกิจได้ เพื่อประจบประแจงพระเจ้าและได้พระพรในภายหลัง โดยที่ไม่ทำลายผลประโยชน์ของตัวเองในระหว่างนี้ ฉันหลอกผู้คนด้วยอุบายเล็กๆ ได้ แต่หลอกพระเจ้าไม่ได้ ฉันเสียเงินค่าโต๊ะกับเก้าอี้นั่นไปค่อนข้างเยอะเลยค่ะ นั่นคือการบ่มวินัยของพระเจ้า แต่พระองค์ก็ทรงเตือนและทรงช่วยฉันด้วย ไม่อย่างนั้น ฉันคงปล่อยตัวตามใจและไม่ซื่อสัตย์ต่อไป และสุดท้ายฉันคงโดนเวรกรรมตามสนองเอาแน่ ความคิดนี้ทำให้ฉันกลัวขึ้นมานิดหน่อย และฉันก็เริ่มไตร่ตรองตัวเองค่ะ พอคิดย้อนไปถึงหลายปีที่ทำธุรกิจ ฉันเคยไม่สนใจเรื่องจิตสำนึก เพื่อหาเงินให้ได้มากขึ้น เปลี่ยนสินค้าคุณภาพดีที่ลูกค้าสั่งให้เป็นของที่ด้อยกว่า ฉันโกหกและขี้โกง แถมยังยืนกรานที่จะบิดเบือนว่าของคุณภาพต่ำเป็นของคุณภาพดี ขนาดหลังได้มาเชื่อแล้ว ทั้งๆ ที่รู้เต็มอกว่าพระเจ้าประสงค์ให้เราเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่ให้โกงมนุษย์หรือพระเจ้า ฉันก็ยังโกงและโกหก ลูกค้าเพื่อหาเงินให้ได้เยอะๆ หาเงินที่ทุจริต ฉันจะทำทุกวิถีทางเพื่อเงิน ฉันทำธุรกิจที่ไม่โปร่งใส โกงคนอื่น ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและไร้ซึ่งจิตสำนึกหรือเหตุผล ฉันทั้งเจ้าเล่ห์ เห็นแก่ตัว และน่ารังเกียจ ใช้ชีวิตอย่างกับปีศาจที่ไร้สภาพที่คล้ายมนุษย์ มันเหมือนกับที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “พวกท่านมาจากพ่อของท่านคือมาร และท่านอยากจะทำตามความปรารถนาของพ่อ มันเป็นฆาตกรตั้งแต่เริ่มแรกและไม่ได้ตั้งอยู่ในสัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จมันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา” (ยอห์น 8:44) “จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ คำพูดที่เกินกว่านี้มาจากความชั่ว” (มัทธิว 5:37) มีเพียงปีศาจที่มักจะโกหกและคดโกง ฉันเองก็ทำแบบนั้น ฉันไม่ได้มีความคล้ายปีศาจหรือคะ ความคล้ายมนุษย์ของฉันอยู่ที่ไหน พอคิดแบบนี้ฉันก็รู้สึกรังเกียจตัวเอง ฉันไม่อยากโกหกเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองอีกต่อไปแล้ว ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าที่ว่า “จงเป็นบุคคลที่ซื่อตรง จงอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อกำจัดความหลอกลวงในหัวใจของเจ้าออกไป จงชำระตัวเจ้าให้บริสุทธิ์โดยผ่านการอธิษฐานตลอดเวลา ได้รับการขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณของพระเจ้าผ่านการอธิษฐาน และอุปนิสัยของเจ้าจะค่อยๆ เปลี่ยนไป” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยกิจวัตรของการอธิษฐาน) “ความซื่อสัตย์หมายถึงการมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระเจ้า จริงแท้ต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง เปิดกว้างต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง ไม่เคยซ่อนเร้นข้อเท็จจริง ไม่พยายามหลอกลวงบรรดาผู้ที่อยู่สูงกว่าและต่ำกว่าเจ้า และไม่ทำสิ่งต่างๆเพื่อหวังประจบประแจงให้พระเจ้าทรงโปรดปราน กล่าวสั้นๆก็คือ การมีความซื่อสัตย์คือการปราศจากราคีในการกระทำและคำพูดทั้งหลาย และการไม่หลอกลวงทั้งพระเจ้าและมนุษย์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ) พระวจนะของพระเจ้าได้มอบเส้นทางแห่งการปฏิบัติให้ฉัน ฉันรู้ว่า ฉันต้องพึ่งพาพระเจ้าในการพยายามเป็นคนซื่อสัตย์ และต้องอธิษฐานต่อพระเจ้า ถึงความยากลำบากในการเป็นอิสระจากอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตัวเอง ฉันต้องอธิษฐานเวลามีอะไรบางอย่างในธุรกิจไปแตะเรื่องเงินหรือเรื่องผลประโยชน์ของฉัน ยอมรับการพินิจของพระเจ้า และเป็นคนที่ซื่อตรง อะไรที่เป็นกงจักรก็ต้องบอกว่าเป็นกงจักร รวมถึงแสวงหาความจริงจากข้อเท็จจริงในคำพูดและการกระทำ เมื่อตระหนักถึงทั้งหมดนี้ได้ ฉันก็อธิษฐาน ยินดีที่จะยอมรับการพินิจของพระเจ้าและนำพระวจนะของพระองค์มาปฏิบัติค่ะ
หลังจากนั้นไม่นาน ลูกค้าก็มาสั่งตู้โลหะ เขาขอตู้ที่คุณภาพสูงกว่ามาตรฐานและมีการก่อสร้างที่แข็งแรง ตอนนั้นฉันคิดว่า “ถ้าฉันสั่งของมาตามที่เขาต้องการ พอหักค่าใช้จ่ายกับต้นทุนแล้วฉันก็จะได้เงินไม่มาก ถ้าฉันหาตู้ที่บอบบางกว่านั้นและเขาเกิดไม่ได้สังเกต ฉันก็จะได้เงินอย่างน้อยหมื่นหยวนเชียว ฉันสั่งของที่ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่มาดีไหมนะ” ขณะที่ฉันกำลังอ้ำอึ้งอยู่นั้น ฉันก็นึกถึงผลของการโกงในทุกครั้งขึ้นมา ไม่ใช่แค่ฉันไม่ได้อะไรเลย แต่ฉันยังเสียเงินและรู้สึกแย่ด้วย ฉันยังนึกถึงเรื่องที่คนซื่อสัตย์ทำให้พระเจ้าโปรดและได้รับพระพรจากพระองค์ รวมถึงเรื่องที่พระองค์ประสงค์ให้เราพูดแต่ความจริงแท้ ฉันไม่สามารถเพิกเฉยต่อจิตสำนึกและทำเรื่องไม่ซื่อสัตย์เพื่อเงินได้ ฉันตระหนักได้ว่าการที่เผชิญกับเรื่องนี้อีก คือพระเจ้าทรงทดสอบฉันเพื่อดูว่า ฉันปฏิบัติให้สอดคล้องกับความตั้งใจที่ฉันบอกต่อพระพักตร์พระองค์ได้ไหม ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า วอนขอพระองค์ทรงคุ้มครองฉันจากการทดลอง และประทานความเข้มแข็งให้ฉันได้ปฏิบัติความจริงและละทิ้งตัวเอง รวมถึงให้เป็นคนซื่อสัตย์ที่พระเจ้าทรงพอพระทัยได้ หลังอธิษฐาน ฉันรู้สึกเข้มแข็งขึ้นมากค่ะ ฉันสั่งตู้โลหะไปตามที่ลูกค้าขอ และถึงฉันจะได้เงินมาไม่มาก แต่ฉันก็รู้สึกสงบสุขอย่างแท้จริงในหัวใจค่ะ ฉันยังรู้สึกด้วยว่าการปฏิบัติความซื่อสัตย์ตามพระวจนะของพระเจ้ามันยอดเยี่ยมแค่ไหน มันไม่ต้องพยายามมากและฉันก็ไม่กังวลว่าอะไรจะเกิดขึ้นด้วยค่ะ
หลังจากนั้นฉันได้อ่านพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้า “มนุษย์ซึ่งเกิดมาในดินแดนอันโสมมเช่นนั้น ได้ถูกสังคมทำให้มัวหมองอย่างรุนแรง เขาได้รับอิทธิพลจากจริยธรรมแบบศักดินา และเขาได้รับการสอน ณ ‘สถาบันอุดมศึกษา’ การคิดล้าหลัง ศีลธรรมอันเสื่อมทราม มุมมองชีวิตแบบคับแคบ ปรัชญาเพื่อการดำรงชีวิตที่น่ารังเกียจ การดำรงอยู่อันไร้ค่าอย่างที่สุด และรูปแบบการใช้ชีวิตและขนบธรรมเนียมทั้งหลายอันต่ำทราม—สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้รุกล้ำเข้าไปในหัวใจของมนุษย์อย่างรุนแรง และได้บ่อนทำลายและโจมตีมโนธรรมของเขาอย่างรุนแรง ผลก็คือ มนุษย์ยิ่งอยู่ห่างไกลจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งต่อต้านพระองค์มากขึ้นเรื่อยๆ…แม้คราที่พวกเขาได้ยินความจริง พวกที่ใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมิดก็ไม่ได้ครุ่นคิดเรื่องการนำความจริงไปปฏิบัติ และพวกเขาก็ไม่มีแนวโน้มที่จะแสวงหาพระเจ้า ต่อให้พวกเขาได้เห็นการทรงปรากฏของพระองค์แล้วก็ตาม มนุษย์คนหนึ่งที่ต่ำทรามเช่นนั้นจะสามารถมีโอกาสแห่งความรอดได้อย่างไร? มนุษย์คนหนึ่งที่เสื่อมโทรมเช่นนั้นจะสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่างได้อย่างไร?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า) “ธรรมชาติของซาตานนี่เองที่กำกับดูแลและครอบงำผู้คนจากภายในจนกว่าพวกเขานั้นได้มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและได้รับความจริงแล้ว สิ่งใดหรือที่ธรรมชาตินั้นพ่วงท้ายมาด้วยเป็นพิเศษ? ตัวอย่างเช่น เหตุใดพวกเจ้าจึงเห็นแก่ตัว? เหตุใดพวกเจ้าจึงปกป้องตำแหน่งของตัวเจ้าเอง? เหตุใดพวกเจ้าจึงมีภาวะอารมณ์รุนแรงเช่นนั้น? เหตุใดพวกเจ้าจึงชื่นชมสิ่งที่ไม่ชอบธรรมเหล่านั้น? เหตุใดพวกเจ้าจึงชอบคนชั่วพวกนั้น? อะไรคือพื้นฐานของความชื่นชอบของพวกเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายดังกล่าว? สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? เหตุใดพวกเจ้าจึงมีความสุขยิ่งนักที่จะยอมรับสิ่งเหล่านี้ ถึงตอนนี้ พวกเจ้าล้วนได้มาเข้าใจว่า เหตุผลหลักเบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดก็คือว่า พิษของซาตานอยู่ภายในตัวพวกเจ้า สำหรับสิ่งที่พิษของซาตานเป็นนั้น มันสามารถแสดงออกมาอย่างครบถ้วนด้วยคำพูด ตัวอย่างเช่น หากพวกเจ้าถามพวกคนทำชั่วว่าเหตุใดพวกเขาจึงปฏิบัติตนในหนทางที่พวกเขาทำ พวกเขาก็จะตอบว่า ‘เพราะมนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’ วลีเดียวนี้แสดงถึงรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหา ตรรกะของซาตานได้กลายมาเป็นชีวิตของผู้คนไปแล้ว พวกเขาอาจทำสิ่งทั้งหลายเพื่อจุดประสงค์นี้นั้น แต่พวกเขาก็แค่กำลังทำมันเพื่อตัวพวกเขาเอง ทุกคนคิดว่าในเมื่อ มันเป็นว่ามนุษย์ทุกคนทำเพื่อตนเองและมารก็เอาตัวคนรั้งท้ายไป ผู้คนก็ควรดำรงชีวิตเพื่อประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง และทำทุกสิ่งทุกอย่างในอำนาจของพวกเขาเพื่อที่จะรักษาความปลอดภัยให้กับสถานภาพที่ดีเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของอาหารและเครื่องนุ่งห่มอันวิจิตร ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’—นี่คือชีวิตและปรัชญาของมนุษย์ และมันยังเป็นตัวแทนธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย คำพูดเหล่านี้ของซาตานเป็นพิษของซาตานอย่างแน่แท้ และเมื่อผู้คนรับมันไว้ภายใน มันจึงกลายเป็นธรรมชาติของพวกเขา ธรรมชาติของซาตานนั้นถูกเปิดโปงโดยผ่านทางคำพูดเหล่านี้ คำพูดเหล่านี้เป็นตัวแทนซาตานอย่างครบบริบูรณ์ พิษนี้กลายเป็นชีวิตของผู้คนเช่นเดียวกับเป็นรากฐานแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขา และมนุษยชาติซึ่งถูกทำให้เสื่อมทรามก็ได้ถูกครอบงำโดยพิษนี้เป็นเวลาหลายพันปี” (“วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ฉันตระหนักได้ว่า ทำไมฉันถึงหยุดตัวเองจากการโกหกและคดโกงไม่ได้ มันเป็นเพราะฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนักค่ะ ซาตานใช้สังคมและการศึกษาทางการเพื่อหลอมให้เราอยู่ในกฎของซาตาน อย่างเช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “เงินไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ถ้าไม่มีเงิน ก็จะทำอะไรไม่ได้” “เงินทำให้โลกหมุนไป” และ “เงินต้องมาก่อน” แถมยังมี “ไม่มีนักธุรกิจคนใดที่ซื่อสัตย์” คำพวกนี้ซึมเข้าไปข้างในและกลายเป็นธรรมชาติของฉันค่ะ ฉันจึงลงเอยด้วยการบูชาเงิน และฉันก็ไม่ใส่ใจมาตรฐานขั้นพื้นฐานที่สุดไปทีละขั้นเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ ฉันกลายเป็นคนชั่วร้าย โลภ และสนใจแต่ตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันเห็นแก่ตัวและขี้โกงมากค่ะ ในการทำธุรกิจ ฉันสับเปลี่ยนสินค้าที่ด้อยกว่าและเป็นอันตรายโดยไม่รับรู้ ฉันเอาเงินและผลประโยชน์ส่วนตัวมาเหนือทุกสิ่ง ถึงกับขายจิตสำนึกและความซื่อสัตย์ของตัวเองทิ้ง ฉันสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ที่เหมาะสมไปหมด ฉันหาเงินได้เยอะด้วยวิธีนั้น แต่ฉันก็ไม่มีความสุขเลย ฉันกลับรู้สึกเหนื่อยและกังวลอยู่ตลอด มันเป็นวิธีใช้ชีวิตที่เจ็บปวดจริงๆ ค่ะ แล้วในที่สุดฉันก็ตระหนักได้ว่า ทั้งหมดเป็นเพราะซาตานทำให้ฉันเสื่อมทราม เพราะฉันใช้ชีวิตอยู่โดยกฎของซาตานเพื่อให้มีชีวิตรอด ฉันยังตระหนักได้ด้วยว่า ทำไมทุกวันนี้โลกถึงมืดมิดและชั่วร้ายเหลือเกิน มันเป็นเพราะทุกคนใช้ชีวิตด้วยยาพิษของซาตานอย่าง “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” และ “มนุษย์จะทำทุกอย่างเพื่อที่จะมั่งคั่ง” พวกเขาเลยเทอดทูนบูชาเงิน ชื่อเสียง สถานะ และตัณหาเพื่อความพอใจที่ชั่วร้าย กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว โลภ และชั่วร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนทะเลาะกันเพราะเงินและผลประโยชน์ ทำร้ายและโกงกันแบบไม่มีอะไรมาหยุดได้ ขนาดกับครอบครัวและเพื่อนฝูงก็ยังไม่เว้น ไม่มีใครสนใจเรื่องจิตสำนึกหรือความซื่อสัตย์อีกต่อไป และพวกเขาก็ดูแทบไม่เป็นมนุษย์แล้วค่ะ สังคมเราที่อยู่ในกำมือของซาตานอย่างแน่นหนานั้นเหมือนถังย้อมสี เหมือนเครื่องบดเนื้อ หากไร้ซึ่งการเชื่อในพระเจ้า เราก็ไม่มีทางรู้ความจริงของวิธีที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม หรือรอดพ้นจากอิทธิพลด้านมืดไปได้ เรากลายเป็นเพียงคนที่เสื่อมทรามและต่ำช้ายิ่งขึ้น ในที่สุดก็ถูกซาตานกลืนกิน นั่นคือผลของการที่ซาตานทำให้เราเสื่อมทรามและทำร้ายเราค่ะ พอตระหนักได้แบบนี้ ฉันก็ขอบคุณการคุ้มครองและความรอดของพระเจ้าจริงๆ ค่ะ หากไร้ซึ่งการชี้นำ การค้ำจุน และการพิพากษาของพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันก็คงไม่รู้ถึงนัยสำคัญของการเป็นคนซื่อสัตย์ ฉันคงไม่ได้ตระหนักถึงเนื้อแท้และผลที่ตามมาของการโกหกอยู่เป็นนิตย์ด้วย ฉันคงใช้ชีวิตภายใต้กำมือของซาตานต่อไป โกงอยู่ตลอด จนแทบไม่ใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ ไม่ว่าฉันจะหาเงินได้มากแค่ไหน สุดท้ายฉันก็จะถูกลงโทษในนรกอยู่ดี นับแต่นั้นมา ฉันก็ปฏิบัติการเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตในการทำธุรกิจค่ะ บางทีเงินล่อตาล่อใจฉันมาก และฉันก็ยังคิดจะหลอกลวงและโกงผู้คนอยู่ แต่ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงเกลียดนิสัยนั้น และคนก็ไม่ชอบเช่นกัน ฉันจะอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อละทิ้งแรงจูงใจที่ผิดของตัวเองและปฏิบัติการเป็นคนซื่อสัตย์ แล้วฉันก็ต้องประหลาดใจที่พอทำแบบนั้น ฉันไม่ได้หาเงินได้น้อยลงเลยค่ะ ธุรกิจกลับพัฒนาขึ้นและฉันมีลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ ฉันได้รับการเคารพนับถือจากผู้คน และลูกค้าที่เคยซื้อขายกันบางคนก็เชื่อใจฉัน จนถึงกับไม่ต้องเข้ามาดูของที่ร้าน แต่โทรสั่งผ่านโทรศัพท์ได้เลย ฉันยิ่งรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า การเป็นคนซื่อสัตย์และปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้ามันผ่อนคลาย อิสระ และปลอดภัยแค่ไหน
มีครั้งหนึ่งลูกค้ามาสั่งตู้โลหะห้าร้อยใบ เขาขอเป็นโลหะหนา 0.7 มิลลิเมตร ฉันไม่ลังเล ที่จะสั่งของไปตามที่เขาขอมาเป๊ะๆ น่าแปลกใจมากที่ตอนส่งมอบของ เขาเอาเครื่องไมโครมิเตอร์มาตรวจสอบความหนาเลยค่ะ แต่ฉันก็รู้สึกสงบและเป็นอิสระจากความกังวลหรือความกลัวอย่างสิ้นเชิง พอวัดเสร็จเขาก็บอกว่า “คุณนี่ไว้ใจได้จริงๆ มีหลายคนที่คิดแต่จะได้เงินเยอะๆ และไว้ใจไม่ได้ คนแบบคุณนี่มีน้อยเกินไปจริงๆ วันหลังผมจะสั่งของจากคุณเยอะกว่านี้นะครับ” พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกเลยว่าการเป็นคนซื่อสัตย์อย่างที่พระวจนะของพระเจ้าบอกมันดีแค่ไหน อย่างที่พระวจนะของพระเจ้าบอกว่า “ทิศทางในอนาคตจะเป็นดังนี้: ผู้ที่ได้รับถ้อยดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าจะมีเส้นทางให้เดินบนแผ่นดินโลก และต่อให้พวกเขาเป็นนักธุรกิจ หรือนักวิทยาศาสตร์ หรือนักการศึกษา หรือนักอุตสาหกรรม บรรดาผู้ที่ปราศจากพระวจนะของพระเจ้าจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการจะก้าวเดินแม้เพียงหนึ่งก้าว และจะถูกบีบให้ต้องแสวงหาหนทางที่แท้จริง นี่คือความหมายของ ‘ด้วยความจริง เจ้าจะเดินไปทั่วทั้งโลก เมื่อปราศจากความจริง เจ้าจะไม่ได้ไปที่ใดเลย’” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, อาณาจักรพันปีได้มาถึงแล้ว) ฉันขอบคุณความรอดของพระเจ้าจริงๆ ค่ะ!