27. ดอกผลแห่งการแบ่งปันข่าวประเสริฐ

โดย แพทริเซีย, ประเทศเกาหลีใต้

ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2017 ฉันได้พบกับคริสเตียนชาวฟิลิปปินส์ชื่อเทเรซาทางออนไลน์  เธอพูดว่าเธอไม่ได้อะไรเลยจากงานปรนนิบัติทั้งหลายของคริสตจักร และเธอก็ได้เห็นผู้เชื่อคนอื่นๆ กำลังติดตามกระแสนิยมเชิงปุถุชนมากขึ้นทุกที  เธอรู้สึกว่าคริสตจักรของเธอนั้นอ้างว้างว่างเปล่า และเธอต้องการหาคริสตจักรที่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  เธอยังพูดด้วยว่าเธอต้องการอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น ต้องการรู้จักพระองค์ และดำรงชีวิตใหม่  พอเห็นความถวิลหาทางจิตวิญญาณของเธอ ฉันก็ต้องการที่จะประกาศข่าวประเสริฐกับเธอ เพื่อให้เธอสามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายได้  มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันถามเธอไปว่าเธอต้องการอะไรจากความเชื่อ  เธอตอบว่า “ฉันต้องการไปสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าและอยู่กับพระองค์ไปตลอดกาล แต่ฉันเป็นคนบาปและไม่คู่ควรกับราชอาณาจักรของพระองค์”  ฉันบอกเธอว่า หากเราต้องการที่จะเข้าไป เราก็ต้องเข้าใจมาตรฐานทั้งหลายสำหรับราชอาณาจักรของพระเจ้าเสียก่อน และถามว่า เธอต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับแง่มุมนี้ของความจริงหรือไม่  เธอพูดอย่างตื่นเต้นจริงๆ ว่า “แน่นอนที่สุดค่ะ!”  ฉันเห็นว่าเธอคือผู้เชื่อที่แท้จริงซึ่งต้องการค้นลงไปในเรื่องนี้ ฉันจึงกระหายร้อนรนที่จะแบ่งปันคำพยานเรื่องพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า  แต่นั่นเป็นเวลาที่เธอต้องกลับไปทำงาน เราจึงต้องขมวดการพูดคุยของเราในวันนั้นไว้แค่นั้น

หลังจากนั้น เธอก็ยุ่งมากจริงๆ กับการงานของเธอ โดยทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ยันดึกดื่น และพอเสร็จงาน เธอก็หมดแรงและจำเป็นต้องพักผ่อน  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ แต่ละสัปดาห์ เธอจำเป็นต้องใช้เวลาหยุดงานอันน้อยนิดที่เธอมีไปทำงานปรนนิบัติที่คริสตจักร เราจึงไม่มีโอกาสได้คุยกันมากนัก  เธอกำลังติดงานอยู่แทบทุกครั้งที่ฉันติดต่อไป เราจึงไม่มีเวลาพูดคุยกันเลยจริงๆ  ผ่านไปได้สักพัก ฉันก็เริ่มหมดกำลังใจ  ฉันคิดว่า เราจำเป็นต้องสัมพันธ์สนิทกันทางออนไลน์เนื่องจากเราไม่ได้อยู่ประเทศเดียวกัน ดังนั้นหากเธอไม่มีเวลาที่จะเข้าระบบ ฉันจะแบ่งปันพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้ากับเธอได้อย่างไร  ฉันเริ่มคิดว่าฉันถูกมัดมือมัดเท้าทำอะไรไม่ได้เลย และฉันควรลืมเรื่องนี้ไปเสีย  บางทีใครอื่นบางคนอาจจะประกาศข่าวประเสริฐกับเธอได้  ตอนที่ฉันกำลังจะถอดใจอยู่พอดีนั่นเอง ฉันก็นึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่พระเจ้าเคยตรัสไว้ว่า “เจ้าตระหนักรู้ภาระบนบ่าของเจ้า พระบัญชาสำหรับเจ้า และความรับผิดชอบของเจ้าหรือไม่?  สำนึกแห่งภารกิจครั้งประวัติศาสตร์ของเจ้าอยู่ที่ไหน?  เจ้าจะทำหน้าที่เป็นเจ้านายคนหนึ่งในยุคถัดไปให้ดีพอได้อย่างไร?  เจ้ามีสำนึกอันแรงกล้าของความเป็นนายหรือไม่?  เจ้าจะอธิบายการเป็นนายของสรรพสิ่งอย่างไร?  ใช่การเป็นนายเหนือสิ่งสร้างที่มีชีวิตทั้งมวลและเหนือสรรพสิ่งทางกายภาพของโลกจริงๆ หรือ?  เจ้ามีแผนการอันใดเพื่อความก้าวหน้าของงานระยะต่อไป?  มีผู้คนมากมายเพียงใดที่กำลังรอคอยให้เจ้าเป็นผู้เลี้ยงของพวกเขา?  งานของเจ้าใช่งานหนักหรือไม่?  พวกเขาน่าสงสาร น่าเวทนา ตาบอดและหลงทาง ร้องคร่ำครวญอยู่ในความมืดมิดว่า—หนทางอยู่แห่งใด?  พวกเขาโหยหายิ่งนักให้ความสว่างพลันเคลื่อนลงมาเหมือนดาวตก และขับไล่กำลังบังคับแห่งความมืดที่บีบคั้นมนุษย์มานานหลายปีเหลือเกิน  ผู้ใดจะรู้ได้ว่าพวกเขาตั้งความหวังอย่างกระวนกระวายใจปานใด และคะนึงหาสิ่งนี้เพียงใดทั้งกลางวันและกลางคืน?  แม้กระทั่งในวันที่ความสว่างส่องแสงวาบผ่านไป ผู้คนที่ทุกข์ทนอย่างลึกล้ำเหล่านี้ก็ยังคงถูกจองจำอยู่ในคุกใต้ดินอันมืดมิดโดยไม่มีหวังว่าจะได้รับการปลดปล่อย เมื่อไรที่พวกเขาจะไม่ต้องร่ำไห้อีกต่อไป?  ความโชคร้ายของวิญญาณอันเปราะบางที่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้หยุดพักเหล่านี้ช่างเลวร้าย และพวกเขาถูกพันธนาการที่ไร้กรุณาและประวัติศาสตร์ที่เยือกแข็งผูกมัดไว้ในสภาวะนี้มาช้านานแล้ว  และผู้ใดได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของพวกเขา?  ผู้ใดมองเห็นสภาพอันยากแค้นของพวกเขา?  เจ้าเคยฉุกคิดบ้างหรือไม่ว่าพระหทัยของพระเจ้าโทมนัสและกระวนกระวายเพียงใด?  พระองค์จะทรงทนเห็นมวลมนุษย์ผู้ไม่ประสา ที่พระองค์ทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ต้องทนทุกข์ทรมานเยี่ยงนี้ได้อย่างไร?  ไม่ว่าอย่างไร มนุษย์ก็คือเหยื่อที่ถูกพิษ  และถึงแม้มนุษย์จะรอดชีวิตมาได้จนถึงวันนี้ ผู้ใดจะรู้บ้างว่ามวลมนุษย์ถูกมารวางยาพิษมานานแล้ว?  เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าก็เป็นหนึ่งในเหยื่อทั้งหลาย?  เจ้าไม่เต็มใจที่จะเพียรพยายามด้วยความรักที่เจ้ามีต่อพระเจ้า เพื่อช่วยผู้รอดชีวิตเหล่านี้ให้รอดหรอกหรือ?  เจ้าไม่เต็มใจที่จะอุทิศพลังงานทั้งหมดที่เจ้ามีเพื่อตอบแทนพระเจ้าผู้ทรงรักมวลมนุษย์ประดุจโลหิตและเนื้อหนังของพระองค์เองหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรจัดการกับภารกิจในอนาคตของเจ้าอย่างไร?)  เมื่อนำพระวจนะมาคิดดู ฉันก็รู้สึกแย่มากจริงๆ  ฉันยังไม่ได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อประกาศข่าวประเสริฐกับเธอ และยังไม่ได้บอกเธอด้วยซ้ำว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว  เธอเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าสุดหัวใจ และถวิลหาที่จะเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ แต่เธออยู่ในความมืดมิดทางจิตวิญญาณ ปราศจากเสบียงอาหาร  หากฉันถอดใจจากเธอในยามที่เธอจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือพอดี เมื่อไรเล่าเธอจึงจะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า?  ตอนนี้ความวิบัติกำลังใหญ่โตขึ้น หากฉันไม่เป็นพยานให้กับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าในทันที เธอก็อาจพลาดความรอดไปได้  พอคิดแบบนี้ ฉันยิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิม จึงอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้เมื่ออยู่กับพระองค์  ข้าพระองค์ต้องการทำทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในอำนาจของข้าพระองค์เพื่อประกาศข่าวประเสริฐกับพี่น้องหญิงเทเรซา  โปรดทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังอธิษฐาน ฉันก็พลันนึกขึ้นได้ว่า ถึงเธอมีเวลาน้อย แต่ฉันก็สามารถนัดเวลาล่วงหน้าเพื่ออธิษฐานร่วมกันได้  ฉันจึงถามเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเธอก็ตอบตกลงทันที  เราจึงตั้งเวลาไว้ราวตีห้าในตอนเช้าของทุกวัน  ช่วงนั้นฉันยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตัวเองมากและทำงานดึกดื่นทุกคืน  ฉันคิดว่าฉันคงแทบไม่ได้นอนเลยหากต้องตื่นเช้าขนาดนั้น  แต่ฉันก็บอกตัวเองว่าถ้าฉันเป็นห่วงความสบายกายของตัวเอง ก็จะทำให้การมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าของเทเรซาล่าช้าออกไป  ฉันรู้สึกผิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น  ฉันจำได้ว่า พระเจ้าตรัสไว้ว่า “เนื้อหนังนั้นเป็นของซาตาน  ภายในตัวมันคือความอยากอันฟุ้งเฟ้อ มันคิดเพียงเพื่อตัวมันเองเท่านั้น มันต้องการที่จะชื่นชมการชูใจและสำราญไปกับเวลาว่าง เกลือกกลิ้งในความเกียจคร้านและการอยู่เฉย และเมื่อได้ตอบสนองความต้องการของมันจนถึงจุดหนึ่งที่แน่นอนแล้ว ท้ายที่สุดเจ้าก็จะถูกมันกินจนหมด(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง)  ฉันรู้ว่า การให้ความพึงพอใจแก่เนื้อหนัง หมายถึงการทำให้ซาตานพึงพอใจ  ฉันคงล้มเหลวที่จะให้คำพยานและทำหน้าที่ของฉัน และเสียโอกาสที่จะเป็นพยานต่อพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า  ฉันจึงได้กล่าวคำอธิษฐาน พร้อมที่จะหันหลังให้กับเนื้อหนัง  ต่อให้ฉันต้องยอมลำบาก ฉันก็จำเป็นต้องประกาศข่าวประเสริฐกับเธอ  เราเริ่มนัดพบกันเพื่ออธิษฐานรอบเช้าตรู่ และเมื่อฉันกล่าวคำอธิษฐานที่จริงใจจริงๆ ให้กับเธอ โดยหวังว่าเธอจะมีเวลามากขึ้นเพื่อให้เราสามัคคีธรรมกันตามพระวจนะของพระเจ้า เธอก็พูดกับฉัน อย่างจริงจังมากว่า “ฉันรู้สึกได้ว่าคุณจริงใจแค่ไหน  ขอบคุณสำหรับคำอธิษฐานนะคะ  ฉันตื้นตันใจมากจริงๆ”  การได้ยินเธอพูดแบบนี้ช่างอบอุ่นหัวใจ และฉันได้เห็นว่า ผู้คนสามารถรู้สึกได้จริงๆ ยามที่ใครบางคนมีความจริงแท้  ฉันตกลงใจแน่วแน่ต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ว่าฉันจะพาเทเรซาเข้าสู่พระนิเวศของพระองค์ให้ได้  ฉันจึงเสนอแนะกับเธอไปว่าให้เราหาเวลามาสามัคคีธรรมด้วยกัน  เธอตกลงและอุตส่าห์เจียดเวลามาสามัคคีธรรมกันวันละครึ่งชั่วโมงจนได้ และได้เปรยขึ้นอีกครั้งว่า เธอต้องการรู้วิธีที่จะเข้าไปสู่ราชอาณาจักร

เราคุยกันเรื่องนั้นในวันรุ่งขึ้นที่เราสามัคคีธรรมกัน  ฉันพูดว่า “ผู้เชื่อทุกคนล้วนต้องการเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ แล้วเราจำเป็นต้องทำอย่างไรหรือ?  เราจำเป็นต้องเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า  องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘ไม่ใช่ทุกคนที่กล่าวแก่เราว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า” จะเข้าสู่ราชแห่งอาณาจักรสวรรค์ เว้นแต่จะเป็นผู้ที่ติดตามน้ำพระทัยแห่งพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์(มัทธิว 7:21)  องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชัดเจนมาก  กุญแจสำคัญของการเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ก็คือการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  นั่นหมายความว่าอย่างไร?  หากพูดให้ง่าย การทำตามน้ำพระทัยก็คือการนำเอาพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปฏิบัติ และทำตามพระบัญชาของพระองค์  นั่นหมายถึงการปลดเปลื้องบาปออกไป และนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติ  รวมถึงการรักและนบนอบต่อพระเจ้าจากหัวใจ  ผู้คนที่โกหก ทำบาป และต้านทานพระเจ้า รวมทั้งขัดต่อข้อพึงประสงค์ของพระองค์อยู่เสมอ ย่อมไม่ใช่กำลังทำตามน้ำพระทัยของพระองค์อยู่ ดังนั้น พวกเขาคู่ควรกับการได้เข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์หรือไม่?”  เธอตอบว่า “ไม่ เรากำลังโกหกและทำบาปกันอยู่อย่างสม่ำเสมอด้วยคำพูดของเรา และเหล่าผู้เชื่อจำนวนมากขึ้นก็กำลังติดตามกระแสนิยมทางโลก ไล่ตามเงินทองกันอยู่  เราไม่นมัสการพระเจ้าอย่างจริงแท้ และแม้แต่พวกศิษยาภิบาลก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น  เราจะเข้าไปสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ในหนทางนั้นได้อย่างไร?”  ฉันตอบว่า “ใช่ เราได้รับการไถ่โดยองค์พระเยซูเจ้า และบาปของเราก็ได้รับการยกโทษ แต่เราก็ยังโกหกและทำบาปกันต่อมา  เราทำบาปตอนกลางวัน สารภาพตอนกลางคืน  พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘ถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย(ฮีบรู 12:14)  ตอนนี้ พวกเราไม่บริสุทธิ์ และในหนทางนี้ เราย่อมไม่คู่ควรกับราชอาณาจักรของพระเจ้าเลย  แต่ทุกคนต้องการที่จะได้รับการช่วยให้รอดและเข้าไปสู่ราชอาณาจักรของพระองค์  แล้วพระเจ้าทรงทำให้สิ่งนี้เกิดกับเราได้อย่างไร?  พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘พระคริสต์ก็ฉันนั้น คือพระองค์ทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาครั้งเดียวเป็นพอ เพื่อจะได้ทรงแบกบาปของคนจำนวนมากไว้ แล้วพระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่เพื่อกำจัดบาป แต่เพื่อนำความรอดมาให้บรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์ด้วยใจจดจ่อ’ (ฮีบรู 9:28)  องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาอีกครั้งในยุคสุดท้ายเพื่อช่วยเราให้รอด เพื่อทำให้เราเป็นอิสระจากพันธะแห่งบาปโดยสมบูรณ์ ทำให้เราเป็นผู้คนที่นบนอบและทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ เพื่อให้เราได้รับการช่วยให้รอดอย่างสมบูรณ์ และเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้”  เธอตื่นเต้นจริงๆ ที่ได้ยินสิ่งนี้ และพูดว่า “ฉันต้องการจะเลิกทำบาปจริงๆ ว่าแต่พระเจ้าทรงช่วยเราให้รอดจากบาปได้อย่างไรคะ?”  ฉันส่งองค์พระคัมภีร์ให้เธอไปสองสามข้อ “ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง(ยอห์น 17:17)  “และในพระหัตถ์ขวาของพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น ข้าพเจ้าเห็นหนังสือม้วนหนึ่งซึ่งเขียนไว้ทั้งข้างในและข้างนอก และมีตราผนึกอยู่เจ็ดดวง และข้าพเจ้าได้เห็นทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์องค์หนึ่ง ประกาศด้วยเสียงดังว่า ‘ใครเป็นผู้ที่สมควรเปิดหนังสือม้วนและแกะตราของมันออก?’(วิวรณ์ 5:1-2)  “นี่แน่ะ สิงโตแห่งเผ่ายูดาห์ ซึ่งเป็นรากเหง้าของดาวิดทรงมีชัยชนะแล้ว พระองค์จึงทรงสามารถเปิดหนังสือและแกะตราทั้งเจ็ดดวงได้(วิวรณ์ 5:5)  ฉันพูดว่า “พระเจ้าตรัสไว้ว่า พระองค์จะทรงใช้ความจริงเพื่อทำให้มนุษยชาติสะอาดบริสุทธิ์ และในวิวรณ์กับหนังสือดาเนียลต่างกล่าวว่า หนังสือปิดผนึกจะถูกเปิดในยุคสุดท้าย  หนังสือนี้อ้างอิงถึงพระวจนะใหม่ที่พระเจ้าดำรัสในยุคสุดท้าย และนี่คือความจริงที่จะทำให้มวลมนุษย์สะอาดบริสุทธิ์  มีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงสามารถเปิดผนึกหนังสือนี้ และแสดงความจริงเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้  เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในยุคสุดท้าย พระองค์ดำรัสความจริงมากมาย เพื่อชำระพวกเราให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลงเราเพื่อช่วยให้เรารอดจากบาป  หนังสือวิวรณ์ยังกล่าวถึงอยู่หลายครั้งด้วยว่า ‘ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย(วิวรณ์ บทที่ 2, 3)  พระเจ้าจะตรัสกับคริสตจักรทั้งหลายในยุคสุดท้าย  เราแค่จำเป็นต้องเงี่ยหูฟังพระสุรเสียงของพระองค์  เราไม่สามารถถวายการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ เว้นแต่ว่าเราได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ และนี่คือโอกาสเดียวของพวกเราที่จะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอด เพื่อให้คู่ควรกับการเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์”

ณ จุดนี้ในสามัคคีธรรมนั้น เทเรซาได้ถามว่า “ทำไมหรือคะ องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงจะจำเป็นต้องดำรัสพระวจนะใหม่ในยุคสุดท้าย?  ฉันอ่านพระคัมภีร์มาทั้งชีวิต และพระคัมภีร์ก็ให้ความเชื่อและสอนอะไรฉันมากมาย สอนฉันเรื่องความยอมผ่อนปรน ความอดทน และการยกโทษ  ฉันรู้สึกว่าแค่พระคัมภีร์ก็มากพอแล้ว แถมศิษยาภิบาลของเราก็พูดอยู่เสมอ ว่าพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าอยู่ในพระคัมภีร์ ว่าไม่มีสิ่งใดนอกพระคัมภีร์ที่เป็นพระวจนะของพระเจ้า”  ฉันได้เห็นว่า เทเรซามีมโนคติอันหลงผิดบางอย่าง เกี่ยวกับการตรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าในยุคสุดท้าย ได้เห็นว่าเธอไม่ได้กำลังยอมรับ ดังนั้นฉันจึงไม่ได้หักล้างตรงๆ กับสิ่งที่เธอได้พูดไป  ฉันแบ่งปันประสบการณ์ของตัวเองกับเธอ  ฉันพูดไปว่า “ฉันก็เคยคิดแบบเดียวกัน  ฉันคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสนั้นอยู่ในพระคัมภีร์ และนอกเหนือจากนั้นแล้วก็ไม่มีพระวจนะใหม่ใดๆ จากพระเจ้า  แต่ต่อมา ฉันก็ได้ยินพี่ชายคนหนึ่งเอ่ยถึงบางสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ ซึ่งทำให้ฉันเห็นต่างออกไป  องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล(ยอห์น 16:12-13)  พระเยซูเจ้าทรงชัดเจนในเรื่องนี้อย่างมาก  พระองค์ตรัสไว้ว่า พระองค์ยังมีสิ่งต่างๆ อีกมากมายที่จะแบ่งปัน แต่ผู้คนขาดวุฒิภาวะและไม่อาจจะทนฟังได้ในเวลานั้น  พระองค์จึงจะตรัสเพิ่มเติมในยุคสุดท้าย เพื่อนำผู้คนให้เข้าใจและเข้าสู่ความจริงทั้งปวง เพื่อให้เราสามารถเป็นอิสระจากพันธะของบาป และได้รับการช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์  ลองจินตนาการถึงเด็กเล็กสักคน  ตอนที่เขาเป็นเด็ก และแม่ของเขากำลังสอนให้เขาเดินและพูด เธอจะบอกให้เขาทำมาหากินให้ดีๆ เพื่อให้สามารถเลี้ยงดูพ่อกับแม่ได้อย่างนั้นหรือ?  ไม่ใช่อย่างแน่นอน  เขายังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจเรื่องนั้น ดังนั้น ในวัยนั้น พ่อแม่จึงจะบอกแค่สิ่งที่เขาเข้าใจได้  จากนั้น เมื่อเขาเติบโตขึ้นและเรียนรู้มากขึ้น พ่อแม่ก็จะบอกเรื่องชีวิตแก่เขาเพิ่มเติม อย่างเช่น วิธีหางานทำและมีครอบครัว  นั่นก็เหมือนกับการที่องค์พระเยซูเจ้าทรงงานแห่งการไถ่ในยุคพระคุณโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่ผู้คนและแผนการบริหารจัดการของพระองค์พึงต้องมี โดยการทรงแสดงหนทางแห่งการกลับใจ ทรงสอนผู้คนให้ถ่อมใจและยอมผ่อนปรน รับกางเขน ยกโทษให้ผู้อื่นเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง  แต่ยังมีสิ่งอื่นที่องค์พระเยซูเจ้าไม่ได้ตรัสกับผู้คน—ความจริงทั้งปวงที่ชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอด  พระองค์ทรงเก็บออมความจริงเหล่านี้ไว้สำหรับเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในยุคสุดท้าย และนี่ก็คือหนังสือปิดผนึกที่ถูกเผยพระวจนะไว้ในหนังสือวิวรณ์  ตลอดสองพันปีนี้ ไม่มีใครอ่านหนังสือนั้น เพราะมันไม่ถูกเปิดออก จนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เสด็จกลับมาในยุคสุดท้าย  คุณคิดว่าจะเป็นไปได้ไหมที่สิ่งซึ่งถูกเขียนไว้ในหนังสือนั้นจะอยู่ในพระคัมภีร์?”  เธอตอบอย่างจริงจังว่า “มันไม่สามารถอยู่ในพระคัมภีร์ได้หรอกค่ะ”  ฉันแบ่งปันสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเรื่องนี้กับเธออีกสองสามครั้ง จนกระทั่งเธอพูดว่าเธอเข้าใจแล้ว

ฉันคิดว่ามโนคติอันหลงผิดของพี่น้องหญิงเทเรซาได้รับการแก้ไขไปแล้ว แต่แล้วในวันรุ่งขึ้นตอนที่ฉันยกเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสพระวจนะใหม่ในยุคสุดท้ายขึ้นมาพูดอีก เธอก็พูดว่า พระวจนะสำหรับยุคสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งหมดควรอยู่ในพระคัมภีร์  ตอนแรกฉันคิดว่าคงฟังผิด  แต่หลังการยืนยันกับเธอ ฉันก็ผิดหวังและหมดกำลังใจอย่างมาก  ฉันคิดว่าตอนแรก การจัดเวลามาคุยกับเธอก็ยากลำบากมากอยู่แล้ว และตอนนี้เธอก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี แม้หลังจากที่ฉันได้อธิบายไปหลายรอบแล้ว  เธอจะสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ไหมนะ?  ฉันไม่ได้พูดอะไร แต่กลับเริ่มคิดที่จะถอยหนี  แต่แล้วฉันก็ได้ตระหนักว่า มันไม่ใช่ว่าเธอไม่ได้อะไรเลยจากการสามัคคีธรรมของเรา  การตีกรอบตัดสินใครคนหนึ่งง่ายๆ นั้นไม่อยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  แล้วฉันก็พลันนึกขึ้นได้ถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “หากพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐให้แก่เจ้า เจ้าก็ควรยอมรับพระบัญชาจากพระเจ้าด้วยความนอบน้อมและนบนอบ  เจ้าควรพยายามปฏิบัติต่อทุกคนที่กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริงด้วยความรักและความอดทน และเจ้าควรจะสามารถทานทนความยากลำบากและงานอันตรากตรำได้  จงขยันหมั่นเพียรและรับผิดชอบการประกาศข่าวประเสริฐ สามัคคีธรรมความจริงให้ชัดเจน และไปให้ถึงจุดที่เจ้าสามารถเล่าการกระทำของตนให้พระเจ้าฟังได้  นี่คือท่าทีที่คนเราควรมีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตน(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเผยแพร่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่ผู้เชื่อทุกคนมีภาระผูกพันด้วยเกียรติ)  “หากบุคคลผู้กำลังสืบเสาะทางเที่ยงแท้ถามคำถามหนึ่งซ้ำๆ เจ้าควรตอบอย่างไร?  เจ้าไม่ควรรังเกียจที่จะใช้เวลาและเป็นธุระในการตอบพวกเขา และควรหาทางสามัคคีธรรมเกี่ยวกับคำถามของพวกเขาให้กระจ่าง จนกระทั่งพวกเขาเข้าใจและไม่ถามคำถามนั้นอีก  เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะได้ปฏิบัติตามความรับผิดชอบของเจ้าให้ลุล่วง และหัวใจของเจ้าก็จะเป็นอิสระจากความรู้สึกผิด  ที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าจะเป็นอิสระจากการรู้สึกผิดต่อพระเจ้าในเรื่องนี้ เพราะหน้าที่นี้ ความรับผิดชอบนี้ ได้รับการมอบหมายให้แก่เจ้าโดยพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเผยแพร่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่ผู้เชื่อทุกคนมีภาระผูกพันด้วยเกียรติ)  เมื่อนึกถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ ฉันก็อับอายตัวเอง ฉันได้สามัคคีธรรมไปไม่กี่ครั้งเท่านั้น แต่ฉันกลับไม่ต้องการที่จะพยายามต่อ เพราะเธอยังไม่ได้ปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดของเธอเลย  ฉันไม่ใช่ผู้ที่เปี่ยมด้วยความรักเลย  ตอนแรกเริ่มที่ฉันกลายมาเป็นผู้เชื่อนั้น ฉันก็มีมโนคติอันหลงผิดมากมายเหมือนกัน แต่พี่น้องชายหญิงก็สามัคคีธรรมกับฉันซ้ำแล้วซ้ำอีก และอธิษฐานให้ฉัน จนฉันปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดเหล่านั้น และมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อยอมรับความรอดของพระองค์  นี่เป็นเพราะความรักและความยอมผ่อนปรนของพระเจ้า  แล้วทำไมตอนที่ฉันกำลังประกาศข่าวประเสริฐ ฉันจึงสามัคคีธรรมกับเธออย่างอดทนไม่ได้?  ถึงจุดนี้ ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  หากเธอคือหนึ่งในแกะของพระองค์ โปรดทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด  ข้าพระองค์จะทำทุกอย่างที่ข้าพระองค์สามารถทำได้เพื่อให้ความร่วมมือกับพระองค์”  หลังอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงการที่พระคัมภีร์เป็นรากฐานแห่งความเชื่อของเทเรซามาตลอดหลายปี เป็นเรื่องเข้าใจได้ที่เธอไม่อาจยอมรับได้ในทันทีว่าพระวจนะใหม่ของพระเจ้าสำหรับยุคสุดท้ายนั้นไม่อยู่ในพระคัมภีร์  ฉันคิดได้ว่า ฉันสามารถคุยเรื่องนี้กับเธอจากมุมมองที่ต่างไปได้  หลังจากนั้น ฉันจึงแบ่งปันพระวจนะของพระเจ้ากับเธอสองสามบทตอนว่า “พระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นชีวิต และความจริง และพระชนม์ชีพของพระองค์และความจริงก็ดำรงอยู่ร่วมกัน  พวกที่ไม่สามารถได้รับความจริงจะไม่มีทางได้รับชีวิต  หากปราศจากการทรงนำ การสนับสนุน และการจัดเตรียมความจริง เจ้าจะได้รับเพียงคำพูด คำสอน และเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ความตายเท่านั้น  พระชนม์ชีพของพระเจ้าเป็นปัจจุบันตลอดกาล และความจริงและพระชนม์ชีพของพระองค์นั้นดำรงอยู่ร่วมกัน  หากเจ้าไม่สามารถค้นพบแหล่งกำเนิดความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่ได้รับการบำรุงเลี้ยงของชีวิต หากเจ้าไม่สามารถได้รับการจัดเตรียมชีวิต เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีความจริงอย่างแน่นอน และดังนั้น นอกเหนือจากจินตนาการและมโนคติอันหลงผิดต่างๆ แล้ว ร่างกายทั้งร่างของเจ้าจะไม่เป็นอะไรเลยนอกจากเนื้อหนังของเจ้า—เนื้อหนังที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าของเจ้า  จงรู้ไว้ว่าคำพูดในหนังสือนั้นไม่นับว่าเป็นชีวิต บรรดาบันทึกประวัติศาสตร์ไม่สามารถได้รับการสักการบูชาประหนึ่งว่าเป็นความจริงได้  และกฎระเบียบต่างๆ ในอดีตก็ไม่สามารถทำหน้าที่แทนบันทึกพระวจนะที่ตรัสโดยพระเจ้าในปัจจุบันได้  มีเพียงสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงแสดงให้เห็นเมื่อพระองค์เสด็จมาสู่แผ่นดินโลกและดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมนุษย์เท่านั้นที่เป็นความจริง ชีวิต เจตนารมณ์ของพระเจ้า และวิธีปฏิบัติพระราชกิจในปัจจุบันของพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้)  “ข้อเท็จจริงที่เราปรารถนาที่จะอธิบายตรงนี้ก็คือ สิ่งใดที่พระเจ้าทรงเป็นและทรงมีนั้น ไม่มีวันหมดและไม่มีที่สิ้นสุดชั่วนิรันดร์  พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตและทุกสรรพสิ่ง ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างใดจะสามารถหยั่งลึกถึงพระองค์ได้  สุดท้ายนี้ เราต้องเตือนความจำทุกคนต่อไปว่า จงอย่าจำกัดเขตพระเจ้าไว้ในหนังสือ ในพระวจนะ หรือในถ้อยดำรัสในอดีตของพระองค์อีกเลย  มีเพียงคำเดียวเท่านั้นที่จะบรรยายคุณลักษณะเฉพาะของพระราชกิจของพระเจ้า นั่นคือ ใหม่  พระองค์ไม่ทรงชอบที่จะใช้เส้นทางเก่าๆ หรือทำพระราชกิจของพระองค์ซ้ำ ที่มากกว่านั้น พระองค์ไม่ทรงต้องการให้ผู้คนนมัสการพระองค์โดยจำกัดเขตพระองค์ไว้ภายในวงเขตเฉพาะหนึ่ง  นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำแถลงท้ายเล่ม)  หลังจากนั้น ฉันก็สามัคคีธรรมกับเธอว่า “พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง และพระปัญญาของพระองค์ไร้ที่สิ้นสุด  พระเจ้าทรงสามารถแสดงความจริงเพิ่มเติมได้เสมอโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความต้องการที่จำเป็นของมวลมนุษย์และแผนพระราชกิจของพระองค์  พระองค์จะถูกจำกัดอยู่กับสิ่งที่พูดอยู่ในพระคัมภีร์ได้อย่างไร?  นั่นไม่ใช่การจำกัดเขตพระเจ้าตามสิ่งที่บรรจุอยู่ในพระคัมภีร์หรอกหรือ?”  แล้วฉันก็เล่านิทานจีนเรื่องกบก้นบ่อให้เธอฟัง ฉันเล่าว่า “มีกบตัวหนึ่งอาศัยอยู่ก้นบ่อ และมองเห็นเพียงท้องฟ้าผ่านทางปากบ่อที่เปิดอยู่ มันจึงคิดว่าท้องฟ้าใหญ่เท่ากับปากบ่อเท่านั้น  แล้ววันหนึ่ง พายุก็หอบฝนห่าใหญ่ตกลงมาจนมันสามารถกระโดดออกจากบ่อได้  มันมองเห็นท้องฟ้าแผ่ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด เห็นว่าท้องฟ้าใหญ่โตกว่าปากบ่อที่เปิดอยู่มากเหลือเกิน  มันจึงได้ตระหนักว่า มันได้พลาดที่จะมองเห็นท้องฟ้าทั้งผืน เพราะมันอยู่ก้นบ่อนั่นเอง”  ฉันบอกว่า ฉันก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าของฉันจึงตื้นเขินจริงๆ  พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่นัก และพวกเราก็เล็กเหลือเกิน  พระเจ้าช่างอุดมล้นเหลือ!  พระวจนะของพระองค์เป็นเสมือนน้ำที่มีชีวิต ไหลรินชั่วนิรันดร์และไร้ขีดจำกัด  พวกเราไม่มีวันสามารถรู้ได้ด้วยเหตุผลของตัวเราเองถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและเป็น  แล้วเราจะจำกัดพระเจ้าได้อย่างไร?  องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต(ยอห์น 14:6)  พระเจ้าทรงเป็นบ่อเกิดแห่งความจริง  ฉันถามเธอว่า พระเจ้าทรงสามารถแสดงความจริงได้มากกว่าในพระคัมภีร์หรือไม่ สิ่งต่างๆ สูงส่งยิ่งกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้คนจำเป็นต้องมีในยุคสุดท้าย  เธอพูดว่า “ได้สิคะ พระองค์ทรงทำได้แน่นอน”  ฉันได้เห็นว่ามโนคติอันหลงผิดของเธอเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว หัวใจของเธอกำลังเปิดรับ  ฉันจึงส่งพระคัมภีร์ข้อเดิมกลับไปให้เธอที่ว่า “ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย(วิวรณ์ 2:7)  ฉันบอกเธอว่า สิ่งที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรนั้น คือสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสเมื่อพระองค์ทรงกลับมาในยุคสุดท้าย  และในพระคัมภีร์ก็มีบันทึกเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสและทรงทำไว้ในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ  นั่นล้วนบันทึกไว้โดยมนุษย์ แล้วจากนั้นก็รวบรวมเรียบเรียงเข้าเป็นหนังสือหนึ่งเล่มภายหลังจากที่พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจนั้นเสร็จสิ้นแล้ว  พอฉันถามว่า พระวจนะใหม่ที่ตรัสโดยองค์พระเยซูเจ้าเมื่อพระองค์ทรงกลับมาสามารถมีอยู่ก่อนแล้วในพระคัมภีร์ได้หรือไม่ เธอยิ้มและตอบว่า “ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าตอนที่ทรงกลับมานั้นไม่อยู่ในพระคัมภีร์ และพระเจ้าสามารถดำรัสสิ่งใหม่ๆ นอกพระคัมภีร์ได้”  เธอตื้นตันใจอย่างลึกซึ้งจริงๆ และเอ่ยว่าผู้คนไม่เข้าใจพระเจ้าดีพอ  เธอต้องการอ่านพระวจนะและเข้าใจพระองค์มากขึ้น

ฉันก็ตื่นเต้นมาก และสำนึกบุญคุณยิ่งนักในการทรงนำของพระเจ้า ที่ได้เห็นเทเรซายอมรับรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาและตรัสอีกครั้ง  ฉันจึงถามเธอว่า “ในเมื่อพระเจ้าจะทรงกลับมาและตรัสเพิ่มเติม คุณว่าพระองค์ทรงใช้สื่อกลางอะไรสำหรับถ้อยดำรัสคะ?”  เธอตอบว่า “ผ่านทางพระวิญญาณค่ะ”  ฉันบอกเธอว่า นั่นเป็นสิ่งที่ฉันเคยคิดเหมือนกัน แต่ฉันได้ค้นดูในพระคัมภีร์กับพี่น้องชายหญิง และได้เห็นที่กล่าวว่า “เพราะว่าบุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน(ลูกา 17:24-25)ในสมัยของโนอาห์ เหตุการณ์เคยเป็นมาแล้วอย่างไร ในสมัยของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นไปอย่างนั้นด้วย(ลูกา 17:26)พวกท่านจงเตรียมพร้อม เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา(มัทธิว 24:44)  ฉันพูดไปว่า “ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ล้วนระบุว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาในฐานะ ‘บุตรมนุษย์’  บุตรมนุษย์หมายความว่า พระองค์ทรงถือกำเนิดจากมนุษย์ และมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  พระองค์คงไม่ถูกเรียกเช่นนั้นหากทรงอยู่ในรูปพระวิญญาณ  พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงอยู่ในรูปพระวิญญาณ พระองค์จึงไม่ทรงถูกเรียกว่าบุตรมนุษย์  นั่นหมายความว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาในรูปมนุษย์ในยุคสุดท้าย  หากพระองค์เสด็จมาในกายพระวิญญาณที่คืนพระชนม์ โดยเสด็จมาบนก้อนเมฆ และปรากฏอย่างเปิดเผยต่อผู้คนทั้งผอง ทุกคนคงลดตัวลงหมอบกราบโดยสั่นเทิ้มไปด้วยความยำเกรง และคงไม่มีใครเลยที่กล้าพอที่จะปฏิเสธพระองค์  แล้วพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ว่า ‘ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน’ จะลุล่วงได้อย่างไร?”  ดูเหมือนเทเรซากำลังไตร่ตรองบางอย่างอยู่ ฉันจึงถามเธอต่อไปว่า “ตอนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจในยุคสุดท้าย ทำไมพระองค์จึงจะตัดสินใจเสด็จมาในเนื้อหนังและไม่ใช่พระวิญญาณ?”  เธอส่ายหน้า  ฉันจึงพูดว่า “ผู้คนไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสพระเจ้าในรูปพระวิญญาณได้  ถ้าจู่ๆ กายพระวิญญาณทรงปรากฏและตรัส คุณจะรู้สึกยังไงคะ?”  เธอพูดว่า “ตกใจกลัว”  ฉันตอบรับว่า “ใช่แล้ว ผู้คนคงหวาดกลัวและสับสน  พระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้ทุกคนรู้สึกตกใจกลัวในเวลาที่พระองค์กำลังตรัสกับเราไหม?  แน่นอนที่สุดว่าไม่ และมนุษยชาติที่เสื่อมทรามนั้นแปดเปื้อนเกินไป เราจึงไม่คู่ควรกับการมองเห็นพระวิญญาณของพระเจ้า  การมองเห็นพระวิญญาณคงจะทำให้เราถึงตายได้เลย  นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมจึงสำคัญมากสำหรับพวกเรามนุษยชาติที่เสื่อมทราม สำหรับการที่พระเจ้าทรงต้องเสด็จมาในเนื้อหนังในยุคสุดท้ายเพื่อแสดงความจริงสำหรับความรอดของพวกเรา”  หลังจากนั้น ฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้เธอฟังเพิ่มเติมอีกสองสามบทตอนว่า “การช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าไม่ได้ทำโดยการใช้วิธีการของพระวิญญาณและพระอัตลักษณ์ของพระวิญญาณโดยตรง เพราะพระวิญญาณของพระองค์นั้นไม่สามารถทั้งถูกสัมผัสและมองเห็นได้โดยมนุษย์ ทั้งมนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใกล้ได้เช่นกัน  หากพระองค์ได้ทรงพยายามที่จะช่วยมนุษย์ให้รอดในลักษณะของพระวิญญาณโดยตรง มนุษย์ก็คงจะไร้ความสามารถที่จะได้รับความรอดของพระองค์ได้  หากพระเจ้ามิได้ทรงสวมรูปสัณฐานภายนอกของมนุษย์ที่ถูกสร้าง ก็คงจะปราศจากหนทางที่มนุษย์จะได้รับความรอดนี้  เนื่องเพราะมนุษย์นั้นปราศจากหนทางที่จะเข้าหาพระองค์ มากพอๆ กับที่ไม่มีใครเลยเคยมีความสามารถที่จะเข้าไปใกล้เมฆของพระยาห์เวห์ โดยการบังเกิดเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างเท่านั้น นั่นก็คือ โดยการบรรจุพระวจนะของพระองค์เข้าไปในร่างกายของมนุษย์ที่พระองค์กำลังจะทรงบังเกิดมาเป็นเท่านั้น พระองค์จึงจะสามารถนำพระวจนะของพระองค์มาดำเนินการในตัวทุกคนที่ติดตามพระองค์ได้ด้วยพระองค์เองโดยเฉพาะ  เมื่อนั้นเท่านั้นมนุษย์จึงสามารถมองเห็นและได้ยินพระวจนะของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้นคือ เข้าสู่การครองพระวจนะของพระองค์ได้ด้วยตัวเองโดยเฉพาะ และโดยวิถีทางนี้จึงมาได้รับการช่วยให้รอดอย่างครบถ้วน  หากพระเจ้ามิได้ประสูติเป็นมนุษย์ ไม่มีใครเลยที่มีเลือดเนื้อจะมีความสามารถได้รับความรอดอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้ ทั้งยังจะไม่มีเลยสักคนที่ได้รับการช่วยให้รอด  หากพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงพระราชกิจโดยตรงในท่ามกลางมวลมนุษย์ มนุษยชาติทั้งมวลก็คงจะถูกทำให้ตาย หรือไม่เช่นนั้น พวกเขาก็คงจะถูกซาตานจับไปเป็นเชลยอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีหนทางที่จะมาสัมผัสกับพระเจ้าเลย(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (4))  “นี่คือความได้เปรียบของการที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์: พระองค์ทรงใช้ความได้เปรียบของความรู้ของมวลมนุษย์และใช้ภาษาของมนุษย์เพื่อพูดคุยกับผู้คนและแสดงออกถึงความปรารถนาของพระองค์  พระองค์ทรงอธิบายหรือ ‘แปล’ ภาษาแบบพระเจ้าที่ลุ่มลึกของพระองค์ซึ่งผู้คนดิ้นรนที่จะทำความเข้าใจในภาษามนุษย์ให้กับมนุษย์ในวิธีของมนุษย์  นี่ช่วยให้ผู้คนเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์และรู้สิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะทำ  พระองค์ยังสามารถมีการสนทนากับผู้คนจากมุมมองของมนุษย์โดยใช้ภาษาของมนุษย์ และทรงสื่อสารกับผู้คนในวิธีที่พวกเขาเข้าใจได้  พระองค์ยังถึงขั้นสามารถตรัสและทรงพระราชกิจโดยใช้ภาษาและความรู้ของมนุษย์เพื่อให้ผู้คนสามารถรู้สึกถึงความใจดีและความใกล้ชิดของพระเจ้า เพื่อให้พวกเขาสามารถมองเห็นพระทัยของพระองค์ได้(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3)  หลังการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็สามัคคีธรรมต่อว่า “พระเจ้าทรงตัดสินใจเสด็จมาในเนื้อหนัง และทรงดำรงชีวิตจริงอยู่ท่ามกลางพวกเราเพื่อให้พระองค์ทรงสามารถใกล้ชิดกับพวกเราได้มากขึ้น และจัดเตรียมความจริงเพื่อช่วยเราให้รอด  นั่นก็เหมือนพ่อแม่กับลูก  พ่อแม่ต้องการให้ลูกหวาดกลัวทุกครั้งที่เห็นพวกเขาหรือคะ?  แน่นอนเลยว่าไม่อยาก  พ่อแม่ไม่มีวันอยากให้ลูกรู้สึกกลัวหรือหลบซ่อน เมื่อใดก็ตามที่ลูกพบเจอพวกเขา แล้วสำหรับพระเจ้าล่ะ?  ถ้าพระเจ้าแค่ตรัสจากบนสวรรค์ เราคงกลัวและถอยห่างจากพระองค์  พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์ให้เราถอยห่าง หรือรู้สึกยากที่จะใกล้ชิดพระองค์ได้  การทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าในยุคสุดท้ายจึงเหมือนกันไม่มีผิดกับครั้งขององค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏและทรงงาน  พระองค์เสด็จมาในเนื้อหนัง เป็นบุตรมนุษย์ธรรมดาทั่วไป กินและตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ และคอยช่วยพวกเขาแก้ไขปัญหาหรือความสับสนเสมอ  การได้เห็นพระเจ้าที่ทรงมีชีวิตแท้จริง ทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่ท่ามกลางมนุษย์จริงๆ ช่วยให้เรารู้สึกใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น  พวกเราต้องการที่จะเข้าใกล้พระองค์ พึ่งพิงพระองค์  พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเราโดยปราศจากระยะห่างอันใด และพระองค์ก็ทรงสามารถใช้ภาษาของพวกเราเองเพื่อแสดงความจริง ค้ำชูและบำรุงเลี้ยงเราได้  พระองค์ทรงสามารถใช้ตัวอย่างและคำอุปมาอุปไมย เพื่อให้เราสามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ได้ดีขึ้น แล้วจากนั้น พวกเราก็จะเข้าใจและเข้าสู่ความจริงได้ง่ายขึ้น  ความรักของพระเจ้าที่มีให้กับเรานั้นช่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นจริงเหลือเกิน!  โดยการบังเกิดเป็นมนุษย์นั้น พระเจ้าทรงยอมทนต่อการดูหมิ่นเหยียดหยามและความทุกข์นับอนันต์เพื่อตรัสและทรงงานให้พวกเราเข้าใจความจริง เป็นอิสระจากบาป และได้รับการช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์  นี่คือความรอดของพระองค์ที่มีต่อมนุษยชาติผู้เสื่อมทราม”  พอถึงจุดนี้ เทเรซาก็ตื้นตันจนน้ำตาคลอ  เธอพูดว่า “ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังทรงกลับมาในรูปการประสูติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้าย  ฉันก็ต้องการให้พระเจ้าเสด็จมาในหมู่พวกเราในรูปมนุษย์เหมือนกัน  พระเจ้าทรงจ่ายราคาไปมากเหลือเกินเพื่อความรอดของพวกเรา  เราช่างไม่คู่ควรกับราคานั้นเลย…”  ฉันซึ้งใจมากที่เห็นว่าเทเรซาตื้นตันใจแค่ไหน และฉันก็นึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า “เจ้าสามารถสื่อสารถึงพระอุปนิสัยที่พระเจ้าทรงแสดงออกในแต่ละยุคอย่างเป็นรูปธรรมด้วยภาษาที่เหมาะแก่การถ่ายทอดความสำคัญของยุคนั้นๆ ได้หรือไม่?  เจ้าผู้มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย สามารถบรรยายพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอย่างละเอียดได้หรือไม่?  เจ้าจะสามารถเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้อย่างชัดเจนและถูกต้องแม่นยำหรือไม่?  เจ้าจะถ่ายทอดสิ่งที่เจ้าได้เห็นและมีประสบการณ์ให้แก่บรรดาผู้เชื่อในศาสนาที่น่าสงสาร อ่อนด้อย และเปี่ยมศรัทธา ซึ่งหิวและกระหายความชอบธรรมและกำลังรอคอยให้เจ้าเป็นผู้เลี้ยงของพวกเขาอย่างไร?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรจัดการกับภารกิจในอนาคตของเจ้าอย่างไร?)  “เพื่อเป็นพยานต่อพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าต้องพึ่งพาประสบการณ์ ความรู้ของเจ้า และราคาที่เจ้าได้จ่ายไป  เมื่อทำเช่นนั้นเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระองค์ได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง)  เมื่อก่อนนั้น ตอนที่ฉันกำลังประกาศข่าวประเสริฐ บ่อยครั้งที่ฉันแค่กำลังแบ่งปันทฤษฎีกับผู้คน และฉันไม่เคยคิดเลย ว่าตัวฉันมีความเข้าใจที่ถ่องแท้เกี่ยวกับพระเจ้าไหม ว่าฉันสามารถแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์จริงส่วนตัวได้หรือไม่  ประสบการณ์นี้แสดงให้ฉันเห็นว่าการประกาศข่าวประเสริฐไม่ใช่แค่การพูดคุยกับผู้อื่น แต่เป็นโอกาสสำหรับฉันที่จะเข้าใจพระเจ้าดีขึ้น  ฉันก็รู้สึกได้ถึงความรักของพระเจ้าโดยผ่านทางการสามัคคีธรรมกับเทเรซาด้วยเช่นกัน  หากพระองค์ไม่เสด็จมาทรงงานและตรัสในเนื้อหนังก็คงไม่มีหนทางเลยที่เราจะสามารถเข้าใจความจริงได้ หรือได้รับการชำระให้สะอาดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  สุดท้ายเราคงแค่ลงเอยด้วยการถูกทำลายในความวิบัติ  ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ ฉันยิ่งรู้สึกว่าความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรานั้นเป็นจริงและยิ่งใหญ่มากเพียงใด

หลังจากเราสามัคคีธรรมจบ เทเรซาก็พูดว่า “การสามัคคีธรรมวันนี้ใหม่สำหรับฉันทั้งหมดเลย  ฉันได้รับอะไรมากมายเลยจริงๆ ค่ะ”  ได้ยินเธอพูดแบบนี้ ฉันก็ดีใจจนเนื้อเต้นและบอกเธอไปว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้วในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ประสูติเป็นมนุษย์  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงพระวจนะใหม่ และกำลังทรงงานพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายเพื่อชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์  นี่ทำให้คำเผยพระวจนะทั้งหลายในพระคัมภีร์ลุล่วง รวมถึง ‘เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า(1 เปโตร 4:17) แล้วก็ ‘พระบิดาไม่ทรงพิพากษาใคร แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร(ยอห์น 5:22)”  เทเรซาตื่นเต้นมากที่ได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว แต่เธอก็สับสนด้วยเช่นกัน  เธอถามฉันว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงยกโทษให้กับบาปของเราแล้วเมื่อตอนที่พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขน  ทำไมหรือคะ องค์พระผู้เป็นเจ้าถึงจำเป็นต้องทรงกลับมาและทรงงานพิพากษา เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดในยุคสุดท้ายอีก?”  ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้เธอฟังสองบทตอนเพื่อตอบคำถามของเธอว่า “เจ้ารู้เพียงว่าพระเยซูจะเสด็จลงมาในระหว่างยุคสุดท้าย แต่พระองค์จะเสด็จลงมาอย่างไรกันแน่เล่า?  คนบาปเช่นพวกเจ้า ผู้ซึ่งเพิ่งได้รับการไถ่บาป และไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง หรือได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า เจ้าสามารถทำได้ตามเจตนารมณ์ของพระเจ้ากระนั้นหรือ?  สำหรับเจ้า เจ้าผู้ซึ่งยังคงเป็นตัวตนเก่าของเจ้า เป็นความจริงที่ว่าเจ้าได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเยซู และที่ว่าเจ้าไม่ได้ถูกนับว่าเป็นคนบาปเพราะความรอดของพระเจ้า แต่นี่ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้มีบาป และไม่ได้ไม่บริสุทธิ์  เจ้าสามารถเป็นผู้เปี่ยมบริสุทธิ์ได้อย่างไรหากเจ้ายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง?  ภายใน เจ้าถูกรุมเร้าด้วยความไม่บริสุทธิ์ เห็นแก่ตัวและใจร้าย กระนั้นเจ้าก็ยังคงปรารถนาที่จะลงมาพร้อมกับพระเยซู—เจ้าคงจะไม่โชคดีขนาดนั้น!  เจ้าได้พลาดไปขั้นตอนหนึ่งในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าแล้ว นั่นคือ เจ้าเพียงได้รับการไถ่บาปเท่านั้น แต่เจ้ายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง  การที่เจ้าจะทำได้ตามเจตนารมณ์ของพระเจ้านั้น พระเจ้าต้องทรงพระราชกิจแห่งการเปลี่ยนแปลงและการชำระล้างเจ้าให้สะอาดด้วยพระองค์เอง มิฉะนั้น เจ้าผู้ซึ่งได้รับการไถ่บาปเท่านั้น ก็จะไม่สามารถบรรลุการชำระให้บริสุทธิ์ได้  เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าย่อมจะไม่มีคุณสมบัติที่จะมีส่วนในพรอันดีงามจากพระเจ้า เพราะเจ้าได้พลาดขั้นตอนหนึ่งในพระราชกิจของพระเจ้าในการบริหารจัดการมนุษย์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงและการทำให้มีความเพียบพร้อม  ดังนั้นเจ้า คนบาปที่เพิ่งได้รับการไถ่ จึงไม่สามารถสืบทอดมรดกของพระเจ้าโดยตรงได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยเรื่องชื่อและอัตลักษณ์)  “แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา  การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปทั้งหลายของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา  และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา  พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น  บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น  พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)  หลังอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็พูดว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงไถ่เราแล้ว  การไถ่นั้นได้สัมฤทธิ์ผลใดบ้าง?  เราได้รับการไถ่จากบาปของเราเองแล้ว เราจึงไม่ถูกลงโทษเพราะละเมิดธรรมบัญญัติอีกต่อไป  นี่คือสิ่งที่สัมฤทธิ์ผลในงานแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า  บาปของเราได้รับการยกโทษให้โดยผ่านทางความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เรายังอดไม่ได้ที่จะโกหกและทำบาปอยู่ตลอดมา  เราใช้ชีวิตอยู่ในวงจรอุบาทว์แห่งการทำบาปในตอนกลางวัน สารภาพตอนกลางคืน ไม่เคยสามารถหนีรอดจากพันธนาการแห่งบาปได้เลย  ทำไมจึงเป็นแบบนี้เล่า?  นั่นเป็นเพราะว่า เรายังไม่ได้กำจัดธรรมชาติอันเปี่ยมบาปของเราออกไป  ธรรมชาติที่เปี่ยมบาปนี้เป็นเสมือนเนื้อร้ายที่อยู่ลึกในตัวเรา  หากมันไม่ถูกเอาออกไป เราอาจสามารถได้รับการยกโทษให้อีกพันครั้งหมื่นครั้ง แต่เราจะไม่มีวันเป็นอิสระจากบาป หรือคู่ควรกับราชอาณาจักรแห่งสวรรค์  นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงจำเป็นต้องทรงกลับมา ทรงแสดงความจริง และทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา  พระราชกิจแห่งการพิพากษานั้นก็เพื่อที่จะแก้ไขธรรมชาติที่เปี่ยมบาปของเรา เพื่อให้เราได้เป็นอิสระจากโซ่ตรวนแห่งบาป ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และช่วยให้รอดโดยครบบริบูรณ์”

เทเรซามีความสุขมากที่ได้ยินแบบนี้ และพูดอย่างร้อนรนว่า “คุณช่วยเล่าเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิพากษาให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ  พระเจ้าทรงดำเนินการพิพากษานี้เพื่อช่วยให้พวกเรารอดจากบาปอย่างไรหรือคะ?”  ฉันจึงอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้เธอฟังหนึ่งบทตอนว่า  “พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสอนมนุษย์ เพื่อเปิดโปงธาตุแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์  พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรนบนอบพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะใช้ชีวิตตามสภาวะมนุษย์ปกติ ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่ธาตุแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งเปิดโปงว่ามนุษย์รังเกียจเดียดฉันท์พระเจ้าอย่างไร  ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงเปิดโปงและตัดแต่งเป็นเวลายาวนาน  วิธีการเปิดโปงและตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดนี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยคำพูดธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกกำราบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในเจตนารมณ์ของพระเจ้า ในพระประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในข้อล้ำลึกทั้งหลายที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงแก่นแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความอัปลักษณ์ของมนุษย์ ผลที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะแก่นแท้ของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่เปิดเผยความจริง ชีวิต ทางของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง)  หลังการอ่านพระวจนะนี้ ฉันก็พูดว่า “ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงแสดงการพิพากษาด้วยพระวจนะเพื่อตีแผ่ธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมวลมนุษย์ซึ่งต่อต้านพระเจ้า  การพิพากษาของพระองค์เปิดเผยทุกการแสดงออกของอุปนิสัยเยี่ยงซาตานและการต้านทานของพวกเราที่มีต่อพระเจ้า เพื่อให้เราได้เรียนรู้ความจริงว่าซาตานทำให้เราเสื่อมทรามดิ่งลึกแค่ไหน ในขณะเดียวกับที่ได้มองเห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าซึ่งชอบธรรมและบริสุทธิ์ไปด้วย  โดยการถูกพิพากษา ตีสอน และตัดแต่งโดยพระวจนะ พวกเราก็ได้เห็นอุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่เราเปิดเผยออกมาทั้งหมด อาทิเช่น การมีความโอหังและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง  พวกเราอาจทำการพลีอุทิศแด่พระเจ้าได้ แต่พอเกิดสิ่งที่เราไม่ชอบขึ้นมา  อย่างเช่น การเกิดอาการป่วยหรือเผชิญความวิบัติ เราก็เข้าใจผิดและติเตียนพระองค์  ถึงตอนนั้นเท่านั้นที่เรามองเห็นเลยว่า เรายังคงมีธรรมชาติที่ต้านพระเจ้า และแม้เราจะทำการพลีอุทิศแด่พระเจ้า  นั่นก็แค่เพื่อพระพรและบำเหน็จ และการได้เข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์  เรากำลังทำข้อตกลงกับพระเจ้า  เราไม่มีการอุทิศหรือการนบนอบที่แท้จริงต่อพระเจ้า นับประสาอะไรที่จะมีความรักที่แท้จริง  โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้า รวมถึงสิ่งที่ถูกเปิดเผยผ่านสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับเรา เรามองเห็นความจริงแห่งความเสื่อมทรามของตัวเองและมาเกลียดมัน  เรายังได้รับประสบการณ์กับพระอุปนิสัยอันบริสุทธิ์และชอบธรรมของพระเจ้าซึ่งจะไม่ยอมผ่อนปรนให้กับการล่วงเกินใดเลยอีกด้วย และเราก็ได้มีหัวใจที่ยำเกรงและเชื่อฟังพระเจ้า  นี่เป็นหนทางเดียวที่เราจะได้เห็นว่า ซาตานได้ทำให้เราเสื่อมทรามดิ่งลึกแค่ไหน  หากไม่มีการพิพากษาและตีสอนของพระเจ้าในยุคสุดท้าย เราคงไม่มีวันสามารถมองเห็นความจริงแห่งความเสื่อมทรามของตัวเองหรือเป็นอิสระจากมันได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราคงจะไม่มีวันมีความรักหรือความเชื่อฟังให้กับพระเจ้าเลย  เหมือนกันไม่มีผิดกับใครบางคนที่ป่วย หากพวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขามีบางสิ่งที่ผิดปกติไป พวกเขาก็จะไม่ไปรับการรักษา หรือรู้ว่าจำเป็นต้องรักษาแบบไหน อาการของพวกเขาก็จะไม่ดีขึ้น  แต่ถ้าพวกเขาไปพบแพทย์ แพทย์ก็จะบอกพวกเขาได้ว่าผิดปกติอะไร สาเหตุคืออะไร ต้องรักษาแบบไหน และหากพวกเขาทำตามคำแนะนำของแพทย์ พวกเขาก็จะดีขึ้น  ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงพิพากษามวลมนุษย์ด้วยพระวจนะของพระองค์ในยุคสุดท้าย เพื่อแก้ไขธรรมชาติที่เปี่ยมบาป รวมถึงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน  เราต้องยอมรับการพิพากษาและการตีสอนนั้นแห่งพระวจนะของพระองค์ เพื่อที่จะเป็นอิสระจากบาป กำจัดอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเรา ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า และเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์”  พอถึงตรงนั้น เทเรซาก็พูดว่า “ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วค่ะ  งานแห่งการพิพากษาคือการที่พระเจ้าทรงชำระเราให้สะอาดและช่วยให้เรารอด  ฉันต้องการหลบหนีไปจากชีวิตนี้ของการทำบาปแล้วสารภาพ ฉันจึงจำเป็นต้องยอมรับการพิพากษาและการชำระให้สะอาดของพระเจ้า”  จากนั้นเราก็ดูภาพยนตร์ข่าวประเสริฐด้วยกันอีกสองสามเรื่อง แล้วอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ด้วยกันอีกมากมาย  เทเรซาบอกฉันอย่างตื่นเต้นว่า “พระวจนะเหล่านี้ช่างมีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพมากเหลือเกินค่ะ  ทำให้โลกสั่นสะเทือนได้เลย  นี่เองคือพระสุรเสียงของพระเจ้า!  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมาจริงๆ  พระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าที่เสด็จกลับมาเพื่อชำระพวกเราให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเราให้รอด!”  แล้วเธอก็ถามฉันทันควันว่า “ฉันจะหาหนังสือพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สักเล่มได้จากไหนคะ?  ฉันจะสามัคคีธรรมกับผู้เชื่อคนอื่นๆ แบบตัวต่อตัวได้ที่ไหน?”  ฉันพูดว่า ฉันสามารถแนะนำให้เธอรู้จักกับสมาชิกคริสตจักรในท้องถิ่นได้ และได้ส่งหนังสือ “พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์” ฉบับออนไลน์ไปให้เธอ  เธอตื่นเต้นมากจริงๆ—ถึงกับตาโตเลย และเธอก็พูดว่าเธอต้องการหนังสือนั้นและอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้เร็วที่สุด  พอเห็นว่าเธอเบิกบานใจที่ได้ถวายการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าแค่ไหน ฉันก็สำนึกบุญคุณการให้ความรู้แจ้งและการทรงนำของพระเจ้าจริงๆ ที่เปิดโอกาสให้เทเรซาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และได้เข้ามาสู่พระนิเวศของพระองค์

สองสามวันต่อมา เธอบอกฉันว่า เธอได้เล่าข่าวเรื่องที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว ให้กับเพื่อนสนิทของเธอซึ่งได้เตือนเธอไม่ให้เชื่อเรื่องนี้  ศิษยาภิบาลของเธอก็โทรมาข่มขู่เธอด้วย โดยพูดว่าเธอถูกเตะออกจากคริสตจักรหากเธอยังมีความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  เธอพูดว่า “ฉันแน่ใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย เพราะพระวจนะของพระองค์เป็นความจริง และมีเพียงพระคริสต์เท่านั้นที่ทรงแสดงความจริงได้  พระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา  เพื่อนไม่มีผลกับฉันหรอก และศิษยาภิบาลก็หยุดฉันไม่ได้ด้วย”  เธอยังพูดด้วยว่า “ฉันมองหาคริสตจักรจริงๆ มานานหลายปี แต่ฉันก็ผิดหวังมาตลอด  ไม่มีที่ไหนเลยที่ให้การเลี้ยงดู และบรรดาสมาชิกก็กำลังติดตามกระแสนิยมทางโลกกันมากขึ้นทุกที  ฉันรู้สึกอับจนหนทางมาก  ฉันสำนึกบุญคุณต่อพระเจ้าเหลือเกิน  ฉันไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และได้ถวายการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า  ในที่สุดฉันก็พบคริสตจักรของพระเจ้าแล้ว”  เธอตื้นตันในอารมณ์มากเสียจนฉันเห็นได้เลยว่ามีน้ำตาเอ่อท้นอยู่ในดวงตาของเธอ  เธอดูมีความหวังมาก  ฉันตื้นตันใจอย่างเหลือเชื่อ  ฉันได้เห็นว่า เมื่อหนึ่งในแกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ พวกเขาก็จะติดตามพระองค์และรักษาความเชื่อไว้โดยไม่สำคัญว่าซาตานจะแทรกแซงอย่างไร  แต่พอคิดถึงการที่ฉันหมดกำลังใจและต้องการล้มเลิกเมื่อเจอทางตันและฉันก็พร้อมที่จะขีดฆ่าเธอทิ้งทันที โดยเกือบจะล้มเลิกการแบ่งปันคำพยานกับเธอเรื่องพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันก็เปี่ยมด้วยความเสียใจและรู้สึกผิด  ฉันยังเห็นด้วยว่า พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรักและใส่ใจในตัวพวกเราจริงๆ เพราะเมื่อฉันกำลังจะล้มเลิก พระวจนะของพระเจ้าก็ให้ความรู้แจ้งและนำฉันได้ทันท่วงที ฉันจึงสามารถมองเห็นความเป็นกบฏของตัวเอง และเข้าใจความเร่งด่วนแห่งน้ำพระทัยของพระเจ้าในการที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด  จากนั้นฉันจึงเปลี่ยนแปลงได้ทีละน้อยและทำหน้าที่ของตนได้ลุล่วง

นี่เป็นประสบการณ์อันลุ่มลึกสำหรับฉันด้วยเช่นกัน ว่าการประกาศข่าวประเสริฐคือการใช้ประสบการณ์และความเข้าใจที่ฉันมีในพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้ามาเป็นพยานให้กับพระเจ้า เพื่อพาผู้คนที่ถวิลหาการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  ไม่มีสิ่งใดเปี่ยมความหมายมากไปกว่านี้  ทั้งฉันยังรู้สึกได้ถึงน้ำพระทัยอันเร่งด่วนของพระเจ้ากับความหวังของพระองค์ที่จะมีผู้เชื่อที่แท้จริงเป็นจำนวนมากขึ้นมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์และได้รับความรอดของพระองค์  ยังมีผู้คนอีกมากมายเหลือเกินจากทุกนิกายที่กำลังดิ้นรนอยู่กับความทุกข์ทรมานของการดำรงชีวิตอยู่ในความมืด และถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า  พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความโทมนัส และพระองค์ทรงวิตกกังวลกับพวกเขา  ฉันเลยยิ่งรู้สึกว่าการประกาศข่าวประเสริฐคือความรับผิดชอบของฉัน  ฉันสาบานต่อพระเจ้าว่า ไม่สำคัญว่าฉันจะเผชิญกับอุปสรรคอะไร ฉันจะพึ่งพิงพระองค์ รวมทั้งทำหน้าที่และความรับผิดชอบของฉันในการประกาศข่าวประเสริฐให้ลุล่วง  ฉันจะแบ่งปันคำพยานตามความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า และนำพาแกะของพระองค์มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ เพื่อให้พวกเขาสามารถรับความรอดของพระองค์ในยุคสุดท้ายได้โดยเร็ว

ก่อนหน้า: 26. ถูกประกาศจับแต่ไร้ความผิด

ถัดไป: 28. เรื่องราวการให้ความร่วมมือของฉัน

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger