54. ความเห็นแก่ตัวนั้นเลวทราม
เมื่อต้นปี ค.ศ. 2021 ฉันกับพี่น้องหญิงจางอี้เฉินร่วมกันสนับสนุนคริสตจักรที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ อี้เฉินเป็นผู้เชื่อใหม่และไม่ได้มีประสบการณ์ชีวิตมากนัก แต่เธอมีขีดความสามารถที่ดีและไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแข็งขัน ดังนั้นฉันจึงอยากบ่มเพาะเธอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะนี่จะทำให้งานของคริสตจักรดำเนินไปอย่างราบรื่นขึ้นอีกมาก ฉันตั้งใจให้อี้เฉินมีส่วนร่วมในทุกโครงการที่แตกต่างกันของคริสตจักร และฉันจะเกื้อหนุนเธอเมื่อไรก็ตามที่ฉันสังเกตเห็นข้อบกพร่องของเธอ หลังจากฝึกฝนได้ระยะหนึ่ง อี้เฉินก็ก้าวหน้าไปมาก แต่หลายเดือนต่อมา เธอกลับได้เลื่อนขั้นและได้รับมอบหน้าที่ใหม่ ฉันไม่เต็มใจที่จะปล่อยเธอไปและรู้สึกเหมือนว่าฉันกำลังสูญเสียผู้ช่วยที่มีความสามารถมาก พอคิดว่านับจากนี้ฉันจะต้องจัดการงานทั้งหมดของคริสตจักรคนเดียว การต้องทำงานหนักขึ้นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าผลการทำงานของฉันย่ำแย่ ผู้คนจะคิดอย่างไรกับฉัน? แล้วฉันก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าการที่เธอรับภาระงานมากขึ้นย่อมจะเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักร ฉันไม่ควรเห็นแก่ตัวแบบนั้น—เมื่ออี้เฉินจากไป ฉันก็บ่มเพาะคนอื่นได้อีก
ไม่นานหลังจากนั้น คริสตจักรสองสามแห่งที่อยู่ใกล้เคียงจัดการชุมนุมสำหรับคนที่ทำงานให้น้ำเพื่อสรุปและแบ่งปันประสบการณ์ของพวกเขา ผู้นำขอให้ฉันเลือกคนทำงานให้น้ำไปร่วมงานหนึ่งคน ตอนนั้นฉันพิจารณาเสนอแนะพี่น้องหญิงหวังหมิงซี เธอเป็นคนให้น้ำที่มีประสิทธิผล ละเอียดลออและรับผิดชอบมาก ถ้าฉันส่งเธอไปร่วมชุมนุม เมื่อเธอกลับมา เธอจะสามารถบ่มเพาะพี่น้องชายหญิงได้มากขึ้นอีก แล้วงานให้น้ำของคริสตจักรก็จะมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้ฉันดูดี ดังนั้นฉันจึงส่งหมิงซีไปร่วมชุมนุม อย่างไรก็ตาม ไม่กี่วันหลังจากที่หมิงซีกลับจากการชุมนุม ผู้นำก็คอยไปหาเธออยู่เรื่อย ฉันอดนึกสงสัยไม่ได้ว่า “ผู้นำกำลังจะเลื่อนขั้นให้หมิงซีหรือเปล่า? เธอเป็นคนให้น้ำที่มีประสบการณ์ในคริสตจักรของพวกเรา ถ้าเธอจากไป งานให้น้ำของพวกเราจะไม่ย่ำแย่หรือ? แล้วพี่น้องชายหญิงจะคิดอย่างไรกับฉัน? ถ้าฉันรู้ก่อน ฉันจะไม่มีทางยอมให้เธอเข้าร่วมการชุมนุมนั้น” ต่อมาหมิงซีบอกฉันว่ามีคริสตจักรอีกแห่งหนึ่งที่ต้องการคนทำงานให้น้ำโดยด่วน ผู้นำจึงวางแผนว่าจะมอบหน้าที่ให้เธอใหม่ ฉันไม่เต็มใจยินยอมในเรื่องนี้ แต่ฉันกังวลว่าถ้าฉันไม่เห็นด้วย ผู้นำจะพูดว่าฉันเห็นแก่ตัวและไม่คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันต้องปล่อยหมิงซีไปอย่างไม่มีทางเลือก เมื่อเธอไปแล้ว ฉันรู้สึกหดหู่ใจมาก ฉันคิดในใจว่า “ถ้าผู้เชื่อใหม่ผละจากคริสตจักรเพราะไม่มีคนทำงานที่สามารถให้น้ำพวกเขา ผู้นำจะตัดแต่งฉันและพูดว่าฉันไม่ลุล่วงความรับผิดชอบของตนหรือเปล่า? ฉันจะรับมือกับการทำให้อับอายแบบนั้นได้อย่างไร?” ยิ่งคิด ฉันก็ยิ่งรู้สึกต่อต้าน
มีอยู่วันหนึ่ง ตอนที่ฉันกลับจากการชุมนุมมาที่บ้าน พี่น้องหญิงสองคนที่กำลังทำงานให้น้ำแก่ผู้มาใหม่พูดกับฉันว่า “พวกเราได้รับจดหมายจากผู้นำ ขอให้คุณหาคนทำงานให้น้ำอีกสองคนและเขียนประเมินให้พวกเราสองคน” เมื่อฉันได้ยินเรื่องนี้ ฉันก็เป็นทุกข์อย่างชัดแจ้ง คิดในใจว่า “ผู้นำกำลังวางแผนจะมอบหน้าที่ใหม่ให้พวกเธอด้วยหรือ? ฉันเพิ่งจะฝึกฝนพี่น้องหญิงสองคนนี้ขึ้นมา ที่ผ่านมาฉันสามารถกระจายงานให้พวกเธอได้มากมาย และตอนนี้ก็มีเรื่องให้ห่วงกังวลน้อยลงไปมาก ถ้าพวกเธอได้รับมอบหน้าที่ใหม่ ไม่เพียงปริมาณงานของฉันจะเพิ่มขึ้นเท่านั้น ผลการทำงานของฉันก็จะย่ำแย่อย่างแน่นอน ถ้าเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น ผู้นำจะไม่พูดว่าฉันไม่ใช่ผู้นำที่ดีหรอกหรือ?” หลังจากที่ฉันฉุกคิดขึ้นมาอย่างนี้ ฉันก็ตอบไปอย่างไม่มีความสุขว่า “ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าผู้นำกำลังคิดอะไรอยู่” พี่น้องหญิงทั้งสองเห็นฉันดูหม่นหมอง เลยถามด้วยความฉงนว่า “มีอะไรหรือ? ผู้นำก็เพิ่งขอให้คุณหาคนทำงานให้น้ำอีกสองคนไม่ใช่หรือ?” พอได้ฟังคำตอบของพวกเธอ ฉันก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย หลังจากที่ฉันสงบสติอารมณ์ได้ ฉันก็ตอบไปพอเป็นพิธีว่า “เอาละ ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ควรเลือกบางคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม” นั่นคือสิ่งที่ฉันพูดออกมาดังๆ แต่ในใจฉันกำลังโต้แย้งการตัดสินใจนั้นว่า “ผู้นำกำลังปฏิบัติต่อคริสตจักรของพวกเราเหมือนศูนย์ฝึกฝนผู้มีพรสวรรค์หรือเปล่า? ตอนแรกเธอต้องการคนนี้ ตอนนี้เธอต้องการคนนั้น ในที่สุดงานของคริสตจักรก็เริ่มคืบหน้า แต่พวกเราจะดำเนินการต่อไปกันอย่างไรถ้าเธอย้ายผู้มีพรสวรรค์เหล่านี้ให้ไปรับหน้าที่ใหม่?” ยิ่งฉันคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกแย่ลงและเริ่มไม่ชอบหน้าผู้นำคนนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว ฉันยังคงลุล่วงหน้าที่ของตนต่อไป แต่กระตือรือร้นน้อยกว่าแต่ก่อน ไม่นานหลังจากนั้น ระหว่างการชุมนุมครั้งหนึ่ง ผู้นำพูดว่าเธออยากรู้เรื่องพี่น้องชายจ้าวเฉิงจื้อให้มากขึ้น เพราะเธอต้องการเลื่อนขั้นให้และบ่มเพาะเขา ทันทีที่ฉันได้ฟังเช่นนี้ ความรู้สึกขุ่นเคืองใจนั้นก็กลับมา ฉันคิดในใจว่า “เฉิงจื้อปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้ดี และฉันอยากมอบหมายให้เขาดูแลงานให้น้ำ ถ้าคนเหล่านี้ถูกย้ายไปรับหน้าที่ใหม่กันหมด แล้วฉันจะทำงานทั้งหมดนี้ด้วยตนเองได้อย่างไร? แบบนั้นฉันจะสร้างผลลัพธ์ที่ดีได้จริงๆ หรือ?” ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งโกรธและพูดว่า “เอาเลย ย้ายคนไปเลย! ฉันไม่ได้อยากจะขวางทางงานของคริสตจักรหรอก” หลังจากนั้น ฉันก็ไม่สามารถสงบใจลงได้และรู้สึกว้าวุ่นใจไปหมดในการชุมนุมนั้น หลังการชุมนุม ฉันย่ำเท้ากลับบ้านและตัดสินใจเขียนจดหมายถึงผู้นำคนนั้น ขอให้เธออย่าย้ายเฉิงจื้อไปทำหน้าที่ใหม่ ตอนนั้นฉันตระหนักว่าฉันกำลังไร้เหตุผล เลยตัดสินใจไม่เขียนจดหมาย แต่ฉันยังคงหัวเสียและรู้สึกหดหู่
ต่อมา ผู้นำจัดให้มีการชุมนุมร่วมกับพวกเรา และฉันสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสภาวะและพฤติกรรมของฉันในช่วงไม่นานมานี้ ผู้นำเอาพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งให้ฉันดู ความว่า “แก่นแท้ของความเห็นแก่ตัวและความเลวทรามของศัตรูพระคริสต์นั้นชัดเจน การสำแดงในลักษณะนี้ของพวกเขาโดดเด่นเป็นพิเศษ เมื่อคริสตจักรไว้วางใจมอบหมายงานชิ้นหนึ่งแก่พวกเขา หากงานนี้นำชื่อเสียงและผลประโยชน์มาให้ ทั้งยังทำให้พวกเขาได้อวดโฉมหน้าของตน พวกเขาย่อมสนใจมากและเต็มใจยอมรับงาน หากเป็นงานที่ไม่มีใครเห็นค่าหรือมีการล่วงเกินผู้คน หรือไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้เสนอหน้า หรือไม่เป็นประโยชน์ต่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ หรือสถานะของพวกเขา พวกเขาย่อมไม่สนใจและจะไม่ยอมรับ ราวกับงานนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเขาและไม่ใช่งานที่พวกเขาควรทำ เมื่อเผชิญความยากลำบาก พวกเขาจะไม่มีทางแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความยากลำบากเหล่านั้น และยิ่งจะไม่พยายามมองภาพให้กว้างขึ้นและคำนึงถึงงานของคริสตจักร ตัวอย่างเช่น ภายในขอบเขตงานของพระนิเวศของพระเจ้า อาจมีการโยกย้ายบุคลากรบ้างตามความจำเป็นของงานในภาพรวม หากมีผู้คนสองสามคนถูกย้ายมาจากคริสตจักรแห่งหนึ่ง เหล่าผู้นำในคริสตจักรแห่งนั้นควรจะปฏิบัติต่อเรื่องดังกล่าวเช่นไรจึงจะสมเหตุสมผล? หากพวกเขามัวกังวลแต่ประโยชน์ของคริสตจักรตนเอง แทนที่จะสนใจประโยชน์ส่วนรวม และหากพวกเขาไม่เต็มใจแต่อย่างใดที่จะโอนย้ายผู้คนเหล่านั้น ปัญหาย่อมเป็นเช่นไร? ในฐานะผู้นำคริสตจักร เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถนบนอบการจัดแจงเตรียมการจากส่วนกลางคือพระนิเวศของพระเจ้า? คนแบบนี้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาใส่ใจภาพรวมของงานหรือไม่? หากพวกเขาไม่นึกถึงภาพรวมของงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ทว่านึกถึงแต่ผลประโยชน์ของคริสตจักรของพวกเขา พวกเขาย่อมเห็นแก่ตัวและต่ำช้าอย่างยิ่งมิใช่หรือ? ผู้นำคริสตจักรควรนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และต่อการจัดการเตรียมการและประสานงานจากส่วนกลางของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไข นี่คือสิ่งที่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง เมื่องานของพระนิเวศของพระเจ้ากำหนดมา ทุกคนไม่ว่าใครก็ควรนบนอบต่อการประสานงานและการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ควรถูกผู้นำหรือคนทำงานคนใดควบคุมราวกับพวกเขาเป็นของคนคนนั้นหรือขึ้นกับการตัดสินใจของคนคนนั้นโดยเด็ดขาด การที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเชื่อฟังการจัดแจงเตรียมการจากส่วนกลางแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเป็นเรื่องปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ และไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจท้าทายการจัดเตรียมเหล่านี้ได้ เว้นเสียแต่ว่ามีผู้นำหรือคนทำงานคนใดทำการโยกย้ายตามอำเภอใจโดยไม่สอดคล้องกับหลักธรรม—ซึ่งเป็นกรณีที่อาจไม่เชื่อฟังการจัดเตรียมนี้ ถ้าเป็นการโยกย้ายตามปกติและสอดคล้องกับหลักธรรม เช่นนั้นแล้วประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนก็ควรเชื่อฟัง และไม่มีผู้นำหรือคนทำงานคนใดมีสิทธิ์หรือเหตุผลที่จะพยายามควบคุมผู้ใด พวกเจ้าว่า มีงานอันใดหรือไม่ที่ไม่ใช่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า? มีงานอันใดหรือไม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแผ่ขยายข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า? ทั้งหมดคืองานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า แต่ละงานนั้นเท่าเทียมกัน และไม่มี ‘ของคุณ’ และ ‘ของฉัน’ หากการโยกย้ายนั้นสอดคล้องกับหลักธรรมและเป็นไปตามข้อพึงประสงค์ของงานในคริสตจักร เช่นนั้นแล้ว ผู้คนเหล่านี้ก็ควรไปยังที่ที่ต้องการพวกเขามากที่สุด แต่ทว่าพวกศัตรูของพระคริสต์ตอบโต้เช่นไรเมื่อเผชิญสถานการณ์แบบนี้? พวกเขาหาข้ออ้างและข้อแก้ตัวที่จะเก็บผู้คนที่เหมาะสมเหล่านี้ไว้ข้างตัว และเสนอผู้คนธรรมดาทั่วไปสักสองคนเท่านั้น แล้วก็หาข้ออ้างบางอย่างที่จะเพิ่มความกดดันให้กับเจ้า โดยการพูดว่างานนั้นยุ่งมากเพียงใด หรือไม่ก็พูดว่าพวกเขากำลังขาดคนทำงาน ผู้คนนั้นหาได้ยากลำบาก และหากสองคนนี้ถูกโอนย้ายไป งานก็จะได้รับผลกระทบ และพวกเขาก็ถามเจ้าว่าพวกเขาควรทำอย่างไร และทำให้เจ้ารู้สึกว่าการโอนย้ายผู้คนย่อมจะหมายความว่าเจ้านั้นติดค้างพวกเขา นี่คือวิธีดำเนินการของพวกมารมิใช่หรือ? นี่คือวิธีที่ผู้ไม่มีความเชื่อใช้ทำสิ่งทั้งหลาย ผู้คนที่พยายามปกป้องผลประโยชน์ของตนในคริสตจักรอยู่เสมอ—พวกเขาเป็นคนดีหรือไม่? พวกเขาเป็นคนที่กระทำการตามหลักธรรมหรือไม่? ไม่ใช่อย่างแน่นอน พวกเขาคือผู้ไม่มีความเชื่อและผู้ไม่เชื่อ นี่ไม่เห็นแก่ตัวและเลวทรามหรอกหรือ? หากใครบางคนซึ่งมีขีดความสามารถดีถูกโยกย้ายจากการอยู่ใต้อาณัติของศัตรูพระคริสต์ไปทำอีกหน้าที่หนึ่ง ศัตรูของพระคริสต์ย่อมดื้อดึงต่อต้านและปฏิเสธการนั้นอยู่ในหัวใจของตน—พวกเขาอยากเลิกและไม่กระตือรือร้นที่จะเป็นผู้นำหรือหัวหน้ากลุ่ม นี่คือปัญหาอะไร? เหตุใดพวกเขาจึงไม่เชื่อฟังการจัดการเตรียมการของคริสตจักร? พวกเขาคิดว่าการโยกย้าย ‘มือขวา’ ของพวกเขาจะกระทบกระเทือนผลลัพธ์และความคืบหน้าในงานของตน และจะพลอยส่งผลต่อสถานะและความมีหน้ามีตาของพวกเขา ซึ่งจะบีบให้พวกเขาทำงานหนักขึ้นและทนทุกข์มากขึ้นเพื่อรับประกันผลงาน—ซึ่งนี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาต้องการจะทำ พวกเขาคุ้นชินกับความสบายไปแล้วและไม่ต้องการทำงานให้หนักขึ้นหรือทนทุกข์มากไปกว่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยากปล่อยคนคนนั้นไป หากพระนิเวศของพระเจ้ายืนยันให้มีการโยกย้าย พวกเขาย่อมพร่ำบ่นมากมายและถึงกับอยากเลิกทำงานของตน นี่ไม่เห็นแก่ตัวและเลวทรามหรอกหรือ? ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรได้รับการจัดสรรหน้าที่ให้จากส่วนกลางโดยพระนิเวศของพระเจ้า นี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผู้นำ หัวหน้ากลุ่ม หรือปัจเจกบุคคลคนใดเลย ทุกคนต้องกระทำการตามหลักธรรม นี่คือกฎเกณฑ์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ศัตรูของพระคริสต์ย่อมไม่กระทำการตามหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาวางอุบายเพื่อสถานะและผลประโยชน์ของตนอยู่เป็นนิตย์ ทั้งยังให้พี่น้องชายหญิงที่มีขีดความสามารถดีคอยรับใช้พวกเขาเพื่อเสริมอำนาจและสถานะของพวกเขาให้แข็งแกร่ง นี่เห็นแก่ตัวและเลวทรามมิใช่หรือ? การเก็บผู้คนที่มีขีดความสามารถดีไว้ข้างกายและไม่ยอมให้พระนิเวศของพระเจ้าโยกย้ายผู้คน ดูภายนอกแล้วเหมือนว่าพวกเขากำลังคำนึงถึงงานของคริสตจักร ทว่าอันที่จริง พวกเขาคิดถึงแต่อำนาจและสถานะของตนเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงงานของคริสตจักรเลย พวกเขากลัวว่าตัวเองจะทำงานของคริสตจักรได้ไม่ดี ถูกแทนที่ และสูญเสียสถานะของตนไป ศัตรูของพระคริสต์ไม่คำนึงถึงงานที่กว้างกว่าแห่งพระนิเวศของพระเจ้า คิดถึงแต่สถานะของตน ปกป้องสถานะของตนโดยไม่รู้สึกผิดต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ทั้งยังปกป้องสถานะและผลประโยชน์ของตนจากความเสียหายในงานของคริสตจักร นี่ย่อมเห็นแก่ตัวและเลวทราม” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, บทความเสริม สี่: สรุปลักษณะนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์และแก่นนิสัยของพวกเขา (ภาคที่หนึ่ง)) พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงว่าพวกศัตรูของพระคริสต์เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจอย่างลึกล้ำเพียงใด เพื่อที่จะรักษาสถานะและความมีหน้ามีตาของตนเอาไว้ พวกเขารวบรวมผู้คนและไม่เต็มใจที่จะแบ่งคนให้ใคร ไม่คำนึงถึงงานของคริสตจักรแม้แต่น้อย ฉันมองเห็นว่าพฤติกรรมของฉันเหมือนกับของศัตรูของพระคริสต์อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อฉันอ่านประโยคที่ว่า “ศัตรูของพระคริสต์ย่อมไม่กระทำการตามหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาวางอุบายเพื่อสถานะและผลประโยชน์ของตนอยู่เป็นนิตย์ ทั้งยังให้พี่น้องชายหญิงที่มีขีดความสามารถดีคอยรับใช้พวกเขาเพื่อเสริมอำนาจและสถานะของพวกเขาให้แข็งแกร่ง นี่เห็นแก่ตัวและเลวทรามมิใช่หรือ?” พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันปวดใจมาก ฉันทบทวนพฤติกรรมของตนในช่วงหลังนี้ว่า เมื่อฉันรู้ว่าหมิงซีอาจได้เลื่อนขั้น ฉันก็วิตกว่างานให้น้ำจะย่ำแย่และความมีหน้ามีตาของฉันจะเสียหาย ดังนั้นฉันจึงไม่อยากปล่อยเธอไป และถึงกับเสียดายที่ฉันส่งเธอไปร่วมการชุมนุมนั้น พอผู้นำขอให้ฉันหาคนให้น้ำมาอีกสองคนและเขียนประเมินพี่น้องหญิงของฉัน ฉันก็เดาเอาว่าผู้นำกำลังวางแผนที่จะมอบหมายหน้าที่ใหม่ให้พวกเธอ จึงรู้สึกต่อต้านและอยากโต้แย้ง ฉันถึงกับเกิดความรู้สึกเกลียดชังผู้นำ เมื่อผู้นำต้องการเลื่อนขั้นให้เฉิงจื้อ ฉันก็รู้ว่าเขาตรงตามหลักธรรมของการเลื่อนขั้นและฝึกฝน แต่พอฉันนึกถึงว่านั่นจะส่งผลกระทบต่องานข่าวประเสริฐและงานให้น้ำของคริสตจักรอย่างไรถ้าเขาจากไป ฉันก็ไม่อยากให้เขาไป ฉันปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงเหมือนเป็นมือขวาผู้สามารถของตนเอง และอยากเก็บพวกเขาทั้งหมดไว้กับตัวเพื่อช่วยทำให้สถานะและความมีหน้ามีตาของฉันมั่นคง และสนองความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของฉัน ฉันไม่ได้คิดถึงผลประโยชน์ของคริสตจักร และไม่ได้คำนึงว่าควรทำตัวอย่างไรจึงจะทำให้พระเจ้าพอพระทัย ฉันช่างเห็นแก่ตัวและต่ำทรามนัก พวกผู้ไม่เชื่อในโลกภายนอกทำอะไรก็ตามที่พวกเขาทำได้เพื่อรักษาผู้มีพรสวรรค์ระดับหัวกะทิของพวกเขาไว้ข้างกาย เพื่อช่วยพวกเขาขยายและพัฒนากิจการทั้งหลายของพวกเขา ฉันทำหน้าที่ของตนเองในทำนองเดียวกัน ฉันปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนเหมือนเป็นกิจการส่วนตัวของตนเอง กระทำการตามหลักการที่รับใช้ตนเอง และคำนึงถึงความมีหน้ามีตาและสถานะของตัวฉันเองเท่านั้น พระเจ้าทรงรังเกียจและขยะแขยงการกระทำแบบนี้—ฉันกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ต่อต้านพระเจ้าเหมือนศัตรูของพระคริสต์
ในเวลาต่อมา ฉันบังเอิญได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งที่ว่า “หากใครบางคนพูดว่าพวกเขารักความจริงและว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง แต่โดยแก่นแท้แล้ว เป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาคือการทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นแตกต่าง การอวดโอ้ การทำให้ผู้คนคิดกับพวกเขาอย่างสูงส่ง การสัมฤทธิ์ผลประโยชน์ส่วนบุคคลของตัวเอง และการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขานั้นไม่ใช่เป็นการนบนอบหรือทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับเป็นการสัมฤทธิ์ชื่อเสียง ผลประโยชน์และสถานะ เช่นนั้นแล้ว การไล่ตามเสาะหาของพวกเขาย่อมไม่ถูกทำนองคลองธรรม ในกรณีที่เป็นเช่นนั้น เมื่อเป็นเรื่องงานของคริสตจักร การกระทำของพวกเขาเป็นอุปสรรคกีดขวางหรือว่าพวกเขาช่วยขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ไปข้างหน้าเล่า? พวกเขาเป็นอุปสรรคกีดขวางอย่างชัดเจน ทั้งนี้พวกเขาไม่ขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ไปข้างหน้า ผู้คนบางคนสนับสนุนการทำงานของคริสตจักร แต่กระนั้นกลับไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะส่วนบุคคลของตัวเอง ดำเนินงานของตัวเอง สร้างกลุ่มเล็กๆ ของตัวเอง ราชอาณาจักรเล็กๆ ของตัวเอง—บุคคลประเภทนี้กำลังทำหน้าที่ของพวกเขาอยู่หรือไม่? งานทั้งหมดที่พวกเขาทำนั้นในแก่นแท้แล้วขัดขวาง ก่อกวน และบั่นทอนงานของคริสตจักร สิ่งใดคือผลสืบเนื่องของการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของพวกเขา? ก่อนอื่นการนี้ส่งผลต่อวิธีที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าตามปรกติและเข้าใจความจริง การนี้ขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา หยุดยั้งพวกเขาจากการเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องของความเชื่อในพระเจ้า และนำพวกเขาไปบนเส้นทางที่ผิด—ซึ่งทำร้ายผู้ที่ได้รับการเลือกสรร และพาพวกเขาไปสู่ความย่อยยับ และในท้ายที่สุด การนี้ทำสิ่งใดกับงานของคริสตจักร? ย่อมเป็นการก่อกวน บั่นทอน และรื้อทำลาย นี่คือผลสืบเนื่องที่เกิดจากการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงผลประโยชน์ และสถานะของผู้คน เมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางนี้ นี่จะนิยามได้หรือไม่ว่าเป็นการเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์? เมื่อพระเจ้าตรัสขอให้ผู้คนละชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ นั่นไม่ใช่ว่าพระองค์กำลังทรงลิดรอนสิทธิ์ในการเลือกของพวกเขา ตรงกันข้าม นั่นเป็นเพราะขณะที่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะอยู่นั้น ผู้คนได้ก่อกวนและทำให้งานของคริสตจักรกับการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหยุดชะงัก และถึงขั้นสามารถมีอิทธิพลต่อการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าของผู้คนเป็นจำนวนมากขึ้น การเข้าใจความจริง รวมถึงการสัมฤทธิ์ความรอดของพระเจ้า นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจโต้แย้งได้ เมื่อผู้คนไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตน แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ลุล่วงหน้าที่ของตนด้วยความสัตย์ซื่อ พวกเขาจะพูดและทำเพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะเท่านั้น และงานทุกอย่างที่พวกเขาทำก็ล้วนเป็นไปเพื่อสิ่งเหล่านั้นโดยไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่น้อย การประพฤติและปฏิบัติในหนทางเช่นนี้คือการเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์อย่างไม่ต้องสงสัย ก่อให้เกิดความไม่สงบและทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงัก ผลสืบเนื่องต่างๆ ของการนี้ล้วนขัดขวางการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรและการดำเนินงานตามน้ำพระทัยของพระเจ้าภายในคริสตจักร ดังนั้น คนเราอาจพูดได้อย่างมั่นใจว่าเส้นทางที่ผู้ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะเดินอยู่นั้นเป็นเส้นทางของการต้านทานพระเจ้า นี่คือการตั้งใจต้านทานพระองค์ ปฏิเสธพระองค์—นี่คือการร่วมมือกับซาตานเพื่อต้านทานพระเจ้าและยืนหยัดต่อต้านพระองค์ นี่คือธรรมชาติของการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของผู้คน ปัญหาของการที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาผลประโยชน์ของตนเองนั้นก็คือว่า เป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามเสาะหานั้นคือเป้าหมายของซาตาน—เป้าหมายเหล่านั้นเป็นเป้าหมายที่เลวและไม่ยุติธรรม เมื่อผู้คนไล่ไขว่คว้าผลประโยชน์ส่วนตน เช่น ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ พวกเขากลายเป็นเครื่องมือของซาตานโดยไม่รู้ตัว พวกเขากลายเป็นทางออกสำหรับซาตาน และที่มากกว่านั้นก็คือ พวกเขากลายเป็นร่างจำแลงของซาตาน พวกเขาแสดงบทบาทเชิงลบอยู่ในคริสตจักร ผลกระทบที่พวกเขามีต่องานของคริสตจักร และต่อชีวิตคริสตจักรที่ปกติและการไล่ตามเสาะหาตามปกติของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็คือ การก่อความไม่สงบและลดคุณค่า พวกเขาส่งผลเลวร้ายในเชิงลบ” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่หนึ่ง)) ด้วยพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงตระหนักว่าธรรมชาติและผลสืบเนื่องของการไม่ปฏิบัติความจริงและการปกป้องผลประโยชน์ของตนเองเสมอนั้นร้ายแรงจริงๆ ทั้งรบกวนและขัดขวางงานของคริสตจักร และเป็นการรับใช้ซาตาน คริสตจักรบ่มเพาะและส่งเสริมผู้คนเพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาได้รับการฝึกฝนในตำแหน่งที่เหมาะสม และเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ใช้ทักษะของตนอย่างเต็มที่ นี่ย่อมเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงของพวกเรา และสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า—นี่เป็นเรื่องดีที่ฉันในฐานะผู้นำควรรักษาไว้และสนับสนุน แต่เมื่อฉันเห็นพี่น้องชายหญิงได้เลื่อนขั้น ฉันกลับไม่ยินดีกับพวกเขา เอาแต่คำนึงถึงความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเอง ฉันรู้สึกว่าพี่น้องชายหญิงเหล่านี้มีประสิทธิผล พวกเขาคือมือขวาของฉัน เป็นผู้ช่วยที่มีความสามารถ ฉันจะมีเรื่องให้วิตกกังวลน้อยลงมากถ้าพวกเขาลุล่วงหน้าที่ทั้งหลายในคริสตจักรของฉัน พวกเราจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิผลขึ้นมาก และสถานะของฉันก็จะมั่นคง ดังนั้นเมื่อมีคนได้เลื่อนขั้นและถูกย้ายไปทำหน้าที่ใหม่คนแล้วคนเล่า ฉันจึงรู้สึกต่อต้าน ขัดเคือง และไม่อยากปล่อยพวกเขาไป ฉันไม่คิดสักนิดว่าอะไรจะดีต่องานของคริสตจักรมากกว่ากัน และไม่ได้คำนึงว่าสภาพแวดล้อมแบบใดที่จะให้การฝึกฝนที่ดีที่สุดแก่พวกเขา เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ใช้ทักษะของตน นั่นคือสิ่งที่ฉันเรียกว่าการลุล่วงหน้าที่ของตนเองหรือ? ฉันกำลังทำตัวเป็นตัวแทนของซาตานอย่างชัดเจน ขัดขวางงานของคริสตจักร ฉันลุล่วงหน้าที่ของฉันเพื่อความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเองเท่านั้น และไม่ว่าฉันจะทำไปมากขนาดไหน พระเจ้าก็จะไม่ทรงยอมรับรู้ ฉันนึกถึงพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสของโลกศาสนาที่ตระหนักรู้เต็มที่ว่าคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นพยานยืนยันมาตลอดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เสด็จกลับมาแล้ว แต่ทว่าเพื่อสถานะและรายได้ พวกเขาจึงยังคงทำทุกวิถีทางเพื่อห้ามผู้เชื่อสืบค้นหนทางที่แท้จริงและต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาปฏิบัติต่อผู้เชื่อของตนเหมือนเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของพวกเขา และรักษาผู้เชื่อเหล่านั้นไว้ในพลังอำนาจของตนอย่างแน่นหนา พวกเขาต่อกรกับพระเจ้าเพื่อแย่งชิงผู้เชื่อ กลายเป็นศัตรูของพระคริสต์และผู้รับใช้ความชั่ว ถูกพระเจ้ากล่าวโทษและสาปแช่ง การกระทำของฉันต่างจากศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสพวกนี้บ้างไหม? ถ้าฉันไม่กลับใจ ฉันก็จะพบเจอชะตากรรมเดียวกันกับพวกฟาริสีของโลกศาสนา ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า และสู้ทนการลงโทษและคำสาปแช่งของพระองค์
ตอนนั้น ฉันบังเอิญเจอพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง ความว่า “สำหรับทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับความจริงจะลุ่มลึกหรือตื้นเขินเช่นไร หนทางที่เรียบง่ายที่สุดของการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงก็คือ การคิดถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่าง และการปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัว เจตนาส่วนตน เหตุจูงใจ ความภาคภูมิใจ และสถานะของตน จงวางผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าไว้อันดับแรก—อย่างน้อยที่สุดคนเราควรทำเช่นนี้ หากแม้เพียงเท่านี้ คนที่ปฏิบัติหน้าที่ก็ไม่สามารถทำได้ เช่นนั้นแล้วจะพูดได้อย่างไรว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน? นั่นย่อมไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา ก่อนอื่นเจ้าควรนึกถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และคำนึงถึงงานของคริสตจักร จงให้ความสำคัญแก่สิ่งเหล่านี้เหนือสิ่งอื่นใด เฉพาะหลังจากนั้นเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถคิดเกี่ยวกับเสถียรภาพของสถานะของเจ้าหรือนึกถึงสายตาที่ผู้อื่นมองเจ้าได้ พวกเจ้าไม่รู้สึกหรอกหรือว่านี่พอจะง่ายขึ้นบ้างเมื่อเจ้าแบ่งมันออกเป็นสองขั้นตอนและทำการประนีประนอมบ้าง? หากเจ้าปฏิบัติเช่นนี้ไปสักพัก เจ้าก็จะมารู้สึกว่าการทำให้พระเจ้าพอพระทัยนั้นไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าควรมีความสามารถที่จะลุล่วงความรับผิดชอบทั้งหลายของเจ้า ปฏิบัติภาระผูกพันและหน้าที่ของเจ้า วางความอยากได้อยากมี ความตั้งใจและแรงจูงใจอันเห็นแก่ตัวของเจ้าลง เจ้าควรคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และให้ความสำคัญแก่ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า งานของคริสตจักร และหน้าที่ที่เจ้าพึงปฏิบัติเป็นอันดับแรก หลังจากผ่านประสบการณ์กับการนี้ไปสักพัก เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือหนทางปฏิบัติตนอันดีงาม เป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ ไม่เป็นคนที่เลวทรามต่ำช้า นี่คือการดำรงชีวิตอย่างยุติธรรมและมีเกียรติ แทนที่จะเป็นคนที่น่าดูหมิ่น ต่ำช้า และไม่มีอะไรดี เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือวิธีที่คนคนหนึ่งควรปฏิบัติตน และเป็นภาพลักษณ์ที่พวกเขาควรใช้เป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิต ความอยากที่จะตอบสนองผลประโยชน์ของตัวเจ้าเองก็จะค่อยๆ ทุเลาลง” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น) พระวจนะของพระเจ้าชี้เส้นทางปฏิบัติให้เห็น กุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การทำหน้าที่ของพวกเราก็คือการให้ความสำคัญแก่ผลประโยชน์ของคริสตจักรก่อน และละวางผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเราเพื่อพิทักษ์งานของคริสตจักร ในความเป็นจริง ผู้คนที่มีมโนธรรม มีเหตุผล และมีสภาวะความเป็นมนุษย์ ย่อมจะคำนึงว่างานพึงต้องใช้อะไรบ้าง และนบนอบต่อการจัดแจงของคริสตจักรถ้าผู้คนได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่ พวกเขาจะไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเอง แก่นสำคัญในงานของคนเราในฐานะผู้นำก็คือการให้น้ำพี่น้องชายหญิงและบ่มเพาะผู้มีพรสวรรค์ เปิดโอกาสให้พี่น้องชายหญิงทุกคนได้ใช้พรสวรรค์ของตนและลุล่วงหน้าที่ที่เหมาะสมกับพวกเขามากที่สุด ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรย่อมเป็นของพระเจ้า ไม่ใช่ของบุคคลหนึ่ง คริสตจักรสามารถเลือกที่จะมอบหมายหน้าที่ใหม่ให้แก่ผู้คนตามความจำเป็นในงานและขึ้นอยู่กับว่าใครเหมาะสมกับงานไหนมากที่สุด ฉันไม่มีสิทธิ์รวบรวมผู้คนไว้กับตัว ทันทีที่ฉันเข้าใจเช่นนี้ ฉันก็เต็มใจละทิ้งเนื้อหนังของตน และไม่ยกให้ผลประโยชน์ของตัวฉันเองสำคัญเป็นอันดับแรกอย่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจอีกต่อไป
อยู่มาวันหนึ่ง ฉันได้รับจดหมายจากผู้นำ ขอให้ฉันเขียนประเมินเฉิงจื้อ เธอต้องการประเมินว่าสามารถเลื่อนขั้นให้เขานำงานให้น้ำได้หรือไม่ ฉันคิดในใจว่า “ตอนนี้เฉิงจื้อกำกับดูแลงานข่าวประเสริฐและงานให้น้ำของคริสตจักรเราอยู่ ถ้าเขาออกไป แล้วผลการทำงานของพวกเราแย่ลง ผู้นำจะไม่พูดว่าฉันไม่มีความสามารถหรอกหรือ?” ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักขึ้นมาทันทีว่าฉันกำลังเห็นแก่ตัวและเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวอีกแล้ว เฉิงจื้อเป็นคนให้น้ำที่มีพรสวรรค์ และการให้เขารับผิดชอบงานในสัดส่วนที่ใหญ่ขึ้นย่อมจะเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรมากขึ้น ผลที่ตามมาคือเขาจะได้รับการฝึกฝนมากขึ้น ดังนั้นฉันจึงควรให้การสนับสนุน ตอนนั้นฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวว่า “พระเจ้าทรงสูงสุดตลอดกาลและทรงเกียรติเสมอ ส่วนมนุษย์นั้นต่ำช้าตลอดกาล ไร้ค่าตลอดกาล นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงเสียสละและอุทิศพระองค์เองให้แก่มวลมนุษย์ตลอดกาล อย่างไรก็ตาม มนุษย์กลับรับเอาและเพียรพยายามเพื่อตัวเขาเองเท่านั้นตลอดกาล พระเจ้าทรงพากเพียรตลอดกาลเพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์ กระนั้นมนุษย์กลับไม่เคยทำคุณูปการอันใดเพื่อความสว่างหรือเพื่อความเที่ยงธรรมเลย ต่อให้มนุษย์มานะพยายามอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แต่ความพยายามนั้นก็ไม่สามารถทานทนการโจมตีได้สักครั้งด้วยเหตุที่ความพยายามของมนุษย์เป็นไปเพื่อประโยชน์ของเขาเองเสมอและไม่ใช่เพื่อผู้อื่น มนุษย์เห็นแก่ตัวเสมอ ในขณะที่พระเจ้าไม่เห็นแก่พระองค์เองตลอดกาล พระเจ้าคือแหล่งกำเนิดของทุกสิ่งที่ยุติธรรม ดีพร้อม และงดงาม ส่วนมนุษย์คือผู้ที่สืบทอดและสำแดงความอัปลักษณ์และความชั่วทุกอย่าง พระเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแก่นแท้แห่งความเที่ยงธรรมและความงามของพระองค์ ทว่ามนุษย์กลับสามารถโดยแท้ที่จะทรยศความเที่ยงธรรมและไถลห่างจากพระเจ้าได้ทุกเวลาและในทุกสถานการณ์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสำคัญมาก) พระเจ้าทรงบริสุทธิ์เหลือเกิน! พระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่ตัวตลอดกาล และไม่ว่าพระองค์จะทรงพระราชกิจใดหรือพระองค์จะทรงสร้างสถานการณ์ใดให้แก่ผู้คน พระองค์ก็ทรงทำโดยคำนึงถึงชีวิตของผู้คนเสมอ เพื่อเปลี่ยนแปลงและชำระอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเราให้สะอาด เปิดโอกาสให้พวกเราได้รับการช่วยให้รอด และใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เมื่อฉันทบทวนตนเอง ทันทีที่สถานการณ์ที่พระเจ้าทรงวางไว้เกิดคุกคามผลประโยชน์ของฉัน ฉันก็พร่ำบ่นและต่อต้าน ทั้งยังเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจอย่างร้ายกาจ เมื่อคิดถึงความบริสุทธิ์และไม่เห็นแก่ตัวของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกละอายใจ เสียใจ และสำนึกผิด ฉันตระหนักว่าการใช้ชีวิตแบบนี้เลวร้าย ต่ำทราม และไร้ค่า ฉันต้องเลิกเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจอย่างนั้น เลิกคำนึงแต่ความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเอง ฉันจำเป็นต้องให้ผลประโยชน์ของคริสตจักรสำคัญเป็นอันดับแรก ดังนั้นฉันจึงรวบรวมการประเมินเฉิงจื้อทั้งหมดและส่งมอบแก่ผู้นำ และหลังจากนั้นเขาก็ได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้างาน หลังจากปฏิบัติในหนทางนั้น ฉันก็รู้สึกมั่นคงและมีสันติสุข
ในเวลาต่อมา ฉันสังเกตเห็นว่าพี่น้องหญิงหลี่ฮุ่ยมีขีดความสามารถที่ดี สามัคคีธรรมความจริงอย่างละเอียดและมีลำดับ เปี่ยมรักและใจเย็นกับพี่น้องชายหญิง มีพรสวรรค์ที่จำเป็นต่อการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและให้น้ำแก่ผู้เชื่อใหม่ และเธอเหมาะที่จะได้รับการฝึกฝน หลังจากที่เฉิงจื้อจากไป ไม่เพียงงานข่าวประเสริฐของพวกเราจะไม่แย่ลง แต่ยังดีขึ้นเล็กน้อยด้วย ก่อนหน้านั้น ฉันคิดเสมอว่าเมื่อคนเหล่านี้จากไป งานของพวกเราจะย่ำแย่ ตอนนี้ฉันตระหนักว่าฉันคิดผิดถนัด นี่เป็นเพียงข้ออ้างที่ฉันใช้เพื่อที่จะพึ่งพาทรัพยากรที่มีอยู่แล้วและไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ในความเป็นจริง การที่หัวใจของคนเราอยู่ในที่ทางที่ถูกต้องนี้สำคัญ ถ้าพวกเราสามารถคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า งดเว้นการกระทำที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเอง ฝึกฝนผู้มีพรสวรรค์ใหม่ๆ ทันทีที่คนอื่นได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่ และแก้ไขปัญหาในงานของพวกเราอย่างทันท่วงที พวกเราก็จะได้รับการทรงนำจากพระเจ้า และงานของพวกเราก็จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขอบคุณพระเจ้า!