53. ถนนอันแสนขรุขระของฉันในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ
ฉันมาจากประเทศเมียนมาร์ ฉันยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในปี 2019 ฉันได้เรียนรู้จากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าว่า พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระองค์เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากอิทธิพลของซาตานโดยสมบูรณ์ นำพวกเราไปยังบั้นปลายอันงดงาม ฉันรู้สึกขอบคุณความรอดของพระเจ้าเหลือเกิน นับแต่นั้นมา ฉันก็เผยแผ่ข่าวประเสริฐในคริสตจักร ที่การชุมนุม พวกเราอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “งานขั้นสุดท้ายของเราไม่ใช่แค่เพื่อลงโทษมนุษย์เท่านั้น แต่เพื่อการจัดการเตรียมบั้นปลายของมนุษย์อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นไปเพื่อที่ผู้คนทั้งหมดอาจรับรู้กิจการและการกระทำของเรา เราต้องการให้แต่ละบุคคลได้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ทำมานั้นถูกต้อง และได้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ทำมานั้นเป็นการแสดงออกของอุปนิสัยของเรา ที่ให้กำเนิดมวลมนุษย์นั้นไม่ใช่การกระทำของมนุษย์ นับประสาอะไรที่จะเป็นการกระทำของธรรมชาติ แต่เป็นเรา ผู้บำรุงเลี้ยงทุกสิ่งมีชีวิตซึ่งอยู่ในการสร้าง หากปราศจากการดำรงอยู่ของเรา มวลมนุษย์ย่อมมีแต่จะพินาศและทุกข์ทนจากการหวดเฆี่ยนแห่งหายนะเท่านั้น ไม่มีมนุษย์คนใดจะได้เห็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อันสวยงาม หรือโลกอันเขียวขจีอีกเลย มวลมนุษย์จะเผชิญเพียงค่ำคืนอันเยือกเย็นและหุบเขาแห่งเงามรณะซึ่งไร้ปรานี เราคือความรอดเดียวเท่านั้นของมวลมนุษย์ เราคือความหวังเดียวเท่านั้นของมวลมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้นคือ เราก็คือพระองค์ผู้ซึ่งเป็นที่พึ่งแห่งการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์ทั้งปวง หากไม่มีเรา—มวลมนุษย์จะหยุดนิ่งลงในทันที หากไม่มีเรา—มวลมนุษย์จะทุกข์ทนกับมหันตภัยและถูกบรรดาผีสางทุกลักษณะเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้า กระนั้นก็ยังไม่มีใครใส่ใจเรา เราได้ทำงานที่ไม่มีใครอื่นทำได้ และหวังเพียงแค่ว่ามนุษย์จะสามารถตอบแทนเราด้วยความประพฤติที่ดีงามบ้าง แม้จะมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถตอบแทนเราได้ เราก็จะยังคงยุติการเดินทางไกลของเราในโลกมนุษย์ลง และเริ่มต้นขั้นตอนถัดไปของงานของเราที่กำลังคลี่คลายออกมา เนื่องจากการเร่งรุดไปมาของเราทั้งหมดท่ามกลางมนุษย์ในช่วงหลายปีมานี้ให้ดอกผลดี และเราก็ยินดีมาก สิ่งที่เราสนใจไม่ใช่จำนวนผู้คน แต่เป็นความประพฤติที่ดีงามของพวกเขาเสียมากกว่า ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม เราหวังว่าพวกเจ้าจะตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของตัวเจ้าเอง เมื่อนั้นเราจึงจะพึงพอใจ มิฉะนั้นแล้ว ไม่มีใครเลยในบรรดาพวกเจ้าที่จะสามารถหนีรอดจากความวิบัติที่จะตกมาถึงเจ้าได้ ความวิบัตินั้นมีจุดกำเนิดอยู่ที่เราและแน่นอนว่าถูกจัดวางเรียบเรียงโดยเรา หากพวกเจ้าไม่สามารถปรากฏว่าดีงามได้ในสายตาของเรา เช่นนั้นพวกเจ้าก็จะไม่อาจหนีรอดจากความทุกข์ของความวิบัติไปได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า) ฉันรู้สึกได้รับการหนุนใจอย่างมากจากการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ด้วยว่าความวิบัติทั้งหลายกำลังเพิ่มมากขึ้นทุกที และคนมากมายที่โหยหาการทรงปรากฏของพระเจ้ายังไม่ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์หรือยอมรับความรอดแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ ฉันจึงรู้สึกกังวลใจและสำนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นเรื่องเร่งด่วน ดังนั้นฉันจึงอธิษฐาน ขอพระเจ้าทรงนำฉันให้เผยแผ่ข่าวประเสริฐยุคสุดท้ายของพระองค์แก่ผู้คนมากขึ้น
ต้นเดือนกรกฎาคม ปี 2022 ฉันกับพี่น้องชายหญิงบางส่วนไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง พี่น้องชายคนหนึ่งถูกรายงานและถูกจับกุมจากการไปประกาศที่นั่น และทุกครั้งที่ผู้ใหญ่บ้านกลับจากการประชุมของฝ่ายบริหารส่วนจังหวัด เขาก็บอกกับลูกบ้านว่าพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้นับถือศาสนา หากตรวจพบผู้เชื่อคนไหน พวกเขาก็จะถูกปรับเป็นเงินจำนวนมากหรือถึงกับถูกจับกุม เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครกล้าฟังสิ่งที่พวกเรากำลังประกาศเลย พวกเขาอยากให้เราไปคุยกับผู้ใหญ่บ้านก่อนพวกเขาถึงจะกล้าตรวจสอบหาความจริงในสิ่งที่เราประกาศ ฉันเป็นคนนอก ส่วนบรรดาคนที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐกับฉันต่างก็ล้วนมาจากหมู่บ้านข้างเคียง พวกเราไม่รู้จักผู้ใหญ่บ้าน และคนในพื้นที่ก็ไม่ยอมพาเราไปหาเขาเช่นกัน ฉันไม่รู้ว่าจะแก้ไขความลำบากยากเย็นนี้อย่างไร และพวกเราก็สุ่มเสี่ยงที่จะถูกรายงานและถูกจับกุมได้ทุกเมื่อ ฉันจึงอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงแสดงหนทางแก่พวกเรา ในการชุมนุมหนึ่ง พวกเราได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “เจ้าต้องเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และผู้คนเพียงให้ความร่วมมือเท่านั้น หากเจ้าจริงใจ พระเจ้าย่อมจะทรงเห็น และพระองค์จะทรงให้ทางออกแก่เจ้าในทุกสถานการณ์ ไม่มีความยากลำบากใดที่ก้าวข้ามไปไม่ได้ เจ้าต้องมีความเชื่อนี้ ดังนั้นเวลาพวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนก็ไม่จำเป็นต้องวิตกอะไร ตราบใดที่เจ้าทุ่มสุดตัวสุดหัวใจของเจ้า พระเจ้าจะไม่ประทานความยากลำบากแก่เจ้า และพระองค์จะไม่ประทานเกินกว่าที่เจ้าจะรับมือได้” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ในการเชื่อในพระเจ้า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์) พระวจนะของพระเจ้ามอบความเชื่อและพละกำลังให้ฉัน ไม่ว่าฉันจะได้เจอผู้ใหญ่บ้านหรือไม่ หรือจะถูกรายงานและถูกจับกุมหรือไม่ ทั้งหมดก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าทั้งสิ้น การแผ่ขยายข่าวประเสริฐเป็นคำสั่งของพระเจ้า เป็นบางสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการทำให้เสร็จสิ้น ถึงแม้รัฐบาลจะกดขี่และผู้ใหญ่บ้านก็ขัดขวางเรื่องนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถหยุดยั้งการแผ่ขยายของข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ พวกเขาไม่สามารถหยุดยั้งแกะของพระเจ้าจากการหวนคืนสู่พระองค์ได้ ตราบใดที่เราทุ่มเททั้งหมดที่มีให้งานของตัวเอง ฉันก็รู้ว่าพระเจ้าจะทรงแสดงให้เห็นหนทางและเปิดเส้นทางให้กับพวกเรา เมื่อเราเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว เราทุกคนก็มีความมั่นใจที่จะไปแบ่งปันข่าวประเสริฐ ปรากฏว่าพี่น้องชายคนหนึ่งจากหมู่บ้านใกล้เคียงเป็นญาติกับผู้ใหญ่บ้านคนนี้ เขาบอกว่าจะพาพวกเราไปเจอผู้ใหญ่บ้านในวันรุ่งขึ้น เย็นวันนั้น พวกเรากลับไปที่หมู่บ้านและไปประกาศให้กับคนในพื้นที่บางส่วนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี ขณะที่เรากำลังสามัคคีธรรมอยู่นั้น ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ผู้บังคับหมวด และเหรัญญิกก็ปรากฏตัวโดยไม่คาดคิด แล้วหลังจากฟังอยู่ครู่หนึ่งก็กลับไป คนในหมู่บ้านคนหนึ่งบอกว่า “พวกเขามาดูว่าพวกคุณกำลังประกาศข่าวประเสริฐหรือเปล่า เราไม่ควรฟังต่อแล้ว ไปคุยกับผู้ใหญ่บ้านก่อนเถอะ ไว้เขาอนุญาตแล้วเราจะฟังให้มากกว่านี้” พวกเราไม่มีทางเลือกนอกจากออกมาจากที่นั่น พอกลับถึงบ้าน ฉันก็รู้สึกผิดหวังทีเดียว รองผู้ใหญ่บ้านรู้ว่าพวกเรากำลังแบ่งปันข่าวประเสริฐ ถ้าเขามาขัดขวาง คนในหมู่บ้านจะไม่ตรวจสอบหนทางที่แท้จริงจริงๆ อีกทั้งตอนที่พี่น้องชายคนนั้นถูกจับไปก่อนหน้านี้ ก็เกิดจากการที่เหรัญญิกไปรายงาน ฉันไม่อยากไปคุยกับผู้ใหญ่บ้านเพราะกลัวว่าตัวเองจะถูกจับเหมือนกัน หัวหน้างานรู้ถึงสภาวะของฉันและสามัคคีธรรมกับฉันว่า “เวลาเจอสถานการณ์ประเภทนั้นเราห้ามถอยกลับ เราต้องใช้โอกาสนั้นในการคุยกับผู้ใหญ่บ้านและแบ่งปันข่าวประเสริฐกับพวกเขา ตราบใดที่เราทำหน้าที่รับผิดชอบของตัวเองให้ลุล่วง ไม่ว่าพวกเขายอมรับข่าวประเสริฐหรือไม่ มโนธรรมของเราย่อมจะชัดเจน” ตอนนั้นเอง ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่เคยอ่านขึ้นมา “ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ผู้คนต้องทำให้ความรับผิดชอบของตนลุล่วงและจัดการกับผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐอย่างจริงจังตั้งใจ พระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ให้รอดในขอบข่ายที่มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และผู้คนต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขาต้องรอบคอบ ไม่มองข้ามผู้ใดก็ตามที่กำลังแสวงหาและสืบเสาะทางเที่ยงแท้จริง… ตราบใดที่พวกเขาเต็มใจสืบเสาะหนทางที่แท้จริงและสามารถแสวงหาความจริงได้ เจ้าก็ควรทำทุกอย่างที่เจ้าจะสามารถทำได้เพื่อที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟังมากขึ้นและสามัคคีธรรมถึงความจริงกับพวกเขามากขึ้น และเพื่อเป็นพยานยืนยันพระราชกิจของพระเจ้า แก้ไขมโนคติอันหลงผิดและตอบคำถามของพวกเขา เพื่อให้เจ้าโน้มน้าวพวกเขาให้เห็นพ้องและพาพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า นี่คือสิ่งที่สอดคล้องกับหลักธรรมแห่งการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ แล้วทำอย่างไรจึงโน้มน้าวให้พวกเขาเห็นพ้องได้? หากในกระบวนการที่เจ้าเข้าไปคลุกคลีกับพวกเขา เจ้าแน่ใจว่าบุคคลผู้นี้มีขีดความสามารถที่ดีและมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี เจ้าต้องทำทุกสิ่งที่เจ้าทำได้เพื่อทำให้ความรับผิดชอบของเจ้าลุล่วง เจ้าต้องยอมลำบากระดับหนึ่ง และใช้หนทางและวิถีทางบางอย่าง และก็ไม่สำคัญเลยว่าเจ้าใช้หนทางและวิธีการใด ตราบเท่าที่เจ้าใช้มันเพื่อโน้มน้าวคนคนนั้นให้เห็นพ้อง โดยสรุป เพื่อโน้มน้าวให้พวกเขาเห็นพ้อง เจ้าต้องทำหน้าที่รับผิดชอบของตัวเองให้ลุล่วง ใช้ความรักและทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าสามารถทำได้ เจ้าต้องสามัคคีธรรมถึงความจริงทั้งหมดที่เจ้าเข้าใจและทำทุกสิ่งที่เจ้าควรทำ ต่อให้โน้มน้าวคนคนนี้ไม่ได้ เจ้าก็จะมีมโนธรรมที่ชัดเจนอยู่กับตัว เจ้าจะได้ทำทุกสิ่งที่เจ้าทำได้แล้ว” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเผยแพร่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่ผู้เชื่อทุกคนมีภาระผูกพันด้วยเกียรติ) พระวจนะของพระเจ้าบอกเราว่าเวลาประกาศ พวกเราต้องทำหน้าที่รับผิดชอบของตัวเองให้ลุล่วงถึงจะมีมโนธรรมที่ชัดเจน ตราบใดที่บุคคลที่ได้รับการประกาศเหมาะสมตามหลักธรรม เราก็ควรแบ่งปันข่าวประเสริฐกับพวกเขาในหนทางใดก็ตามที่เป็นไปได้ คนในหมู่บ้านนี้สนใจการสืบค้นหนทางที่แท้จริง เป็นเพราะการกดขี่ของรัฐบาลเพียงอย่างเดียวที่ทำให้พวกเขาไม่ยอมฟังเพราะกลัวจะโดนปรับหรือถูกจับกุม ฉันควรทำหน้าที่รับผิดชอบของตัวเองให้ลุล่วงและสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าให้มากกว่านี้ เพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคของพวกเขา หากผู้ใหญ่บ้านเป็นคนดีที่พร้อมฟังพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ควรพยายามทุกวิถีทางเพื่อประกาศกับเขา แบบนั้นถึงจะเป็นการทำหน้าที่รับผิดชอบของฉันให้ลุล่วงอย่างแท้จริง แต่หากฉันไม่แบ่งปันข่าวประเสริฐเพราะกลัวว่าจะถูกรายงานหรือถูกจับกุม เช่นนั้นฉันก็จะติดค้างพระเจ้า เมื่อฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว ฉันก็มีความมั่นใจที่จะคุยกับผู้ใหญ่บ้าน และประกาศกับคนในหมู่บ้านนั้น
วันรุ่งขึ้น พี่น้องชายคนนั้นก็พาเราไปที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน รองผู้ใหญ่บ้านและเหรัญญิกหมู่บ้านก็อยู่ที่นั่นด้วย พวกเราสามัคคีธรรมถึงวิธีที่พระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจสามช่วงระยะของพระองค์เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และบอกพวกเขาว่าตอนนี้พวกเราอยู่ในยุคสุดท้าย และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็คือพระผู้ช่วยให้รอดที่เสด็จมา พระองค์กำลังทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาเพื่อชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอด พวกเราต้องยอมรับการพิพากษาและการชำระให้สะอาดของพระองค์เพื่อให้ได้รับการทรงคุ้มครองจากพระเจ้าผ่านความวิบัติทั้งหลาย และเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกทึ่งและต้องการที่จะสืบค้น แต่ทั้งรองผู้ใหญ่บ้านและเหรัญญิกหมู่บ้านต่างกลับมีท่าทีที่ไม่ดีนัก พวกเขาบอกว่า “พวกเราเชื่อฟังรัฐบาล พวกเขาไม่อนุญาตให้มีความเชื่อทางศาสนา ดังนั้นเราก็เชื่อไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพวกเราจะถูกจับ” เมื่นเห็นพวกเขายึดมั่นในจุดยืนของตัวเองจริงๆ ฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้า มอบพวกเขาให้แก่พระองค์และขอให้พระองค์ทรงนำ จากนั้น ฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้พวกเขาฟังบทตอนหนึ่ง “บางที ณ ปัจจุบันนี้ ประเทศของเจ้าอาจกำลังรุ่งเรือง แต่หากเจ้าปล่อยให้ประชาชนของเจ้าหันเหไกลห่างไปจากพระเจ้า เมื่อนั้น ประเทศของเจ้าอาจพบว่า ตัวเองได้สูญเสียพรจากพระเจ้าไปมากขึ้นทุกที อารยธรรมของประเทศของเจ้าจะถูกเหยียบย่ำทำลายอยู่ใต้ฝ่าเท้ามากขึ้นเรื่อยๆ และในไม่ช้า ผู้คนก็จะลุกขึ้นต่อต้านพระเจ้า และสาปแช่งฟ้า และเมื่อเป็นเช่นนั้น ชะตากรรมของประเทศนั้นก็จะพินาศย่อยยับ โดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว พระเจ้าจะทรงเพิ่มจำนวนประเทศที่มีอำนาจเพื่อถ่วงดุลประเทศที่พระเจ้าสาปแช่ง และอาจทรงถึงขั้นกวาดล้างพวกนั้นออกไปจากแผ่นดินโลกเลยก็เป็นได้ ความรุ่งเรืองและความล่มสลายของประเทศหรือชนชาติหนึ่งนั้น กล่าวได้จริงๆ ว่า ขึ้นอยู่กับการที่ผู้ปกครองทั้งหลายนมัสการพระเจ้าหรือไม่ และพวกเขานำประชาชนของพวกเขาให้เข้าใกล้ชิดกับพระเจ้าและนมัสการพระเจ้าหรือไม่” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง) จากนั้นฉันก็สามัคคีธรรมว่า “ตอนนี้รัฐบาลไม่อนุญาตให้มีความเชื่อ และถึงกับต่อต้านพระเจ้าด้วยซ้ำ พวกคุณกำลังฟังพวกเขาและไม่กล้าที่จะเชื่อ จริงๆ แล้วใครที่สามารถช่วยผู้คนให้รอดได้—พระเจ้าหรือรัฐบาล? ทุกวันนี้การระบาดกำลังแย่ลงทุกที ไม่ว่ารวยหรือจน มีสถานะสูงส่งหรือต่ำต้อย เมื่อเผชิญกับความวิบัติ มนุษย์ก็ไม่ได้มีนัยสำคัญอะไร ไม่มีใครสามารถช่วยพวกเราให้รอดจากพลังอำนาจของซาตาน หรือคุ้มครองพวกเราผ่านความวิบัติทั้งหลายนี้ได้ มีเพียงพระเจ้าที่ทรงสามารถช่วยพวกเราให้รอดได้! พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้าย ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด นี่คือโอกาสครั้งเดียวในชีวิต พวกคุณทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบหมู่บ้านแห่งนี้ ถ้าคุณไม่นำคนในหมู่บ้านให้นมัสการพระเจ้า แต่กลับให้ต่อต้านพระองค์ พวกเขาก็จะถูกทำลายด้วยน้ำมือของพวกคุณทุกคน” แล้วผู้ใหญ่บ้านก็กล่าวว่า “ผมเชื่อว่าชะตากรรมของผู้คนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และผมต้องการนำคนในหมู่บ้านให้เชื่อในพระเจ้า” เหรัญญิกหมู่บ้านกล่าวว่า “ผมรู้ว่าการมีความเชื่อเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าไม่ทำตามที่รัฐบาลบอกพวกเราก็จะถูกจับ พวกเราทำอะไรไม่ได้เลย” ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งให้พวกเขาฟัง “พวกเราเชื่อใจว่า ไม่มีประเทศหรือพลังอำนาจใดสามารถมาขวางทางในสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์ คนเหล่านั้นที่ขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้า ต่อต้านพระวจนะของพระเจ้า และก่อกวนและทำให้แผนการของพระเจ้าเสียหาย จะต้องถูกพระเจ้าทรงลงโทษในท้ายที่สุด เขาผู้ซึ่งขัดขืนพระราชกิจของพระเจ้าจะต้องถูกส่งไปลงนรก ประเทศใดที่ขัดขืนพระราชกิจของพระเจ้าจะต้องถูกทำลาย ชนชาติใดก็ตามที่ลุกขึ้นมาเป็นปฏิปักษ์ต่อพระราชกิจของพระเจ้าจะต้องถูกกวาดล้างออกไปจากแผ่นดินโลกและถึงกาลดับสูญ เราขอรบเร้าประชาชนของทุกชนชาติของทุกประเทศ และแม้แต่วงการต่างๆ ทุกวงการให้สดับฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ให้เฝ้ามองพระราชกิจของพระเจ้า และให้ใส่ใจในชะตากรรมของมวลมนุษย์ เพื่อที่จะทำให้พระเจ้าทรงมีความศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ทรงมีเกียรติที่สุด ทรงเป็นสิ่งสักการะสูงสุดและสิ่งสักการะเดียวเท่านั้นท่ามกลางมวลมนุษย์ และเพื่อยอมให้มวลมนุษย์ทั้งปวงมีชีวิตอยู่ภายใต้การอวยพรของพระเจ้า เช่นเดียวกับพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมที่มีชีวิตอยู่ภายใต้พระสัญญาของพระยาห์เวห์ และเช่นเดียวกับที่อาดัมและเอวา ผู้ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นมาก่อน ได้ใช้ชีวิตอยู่ในสวนเอเดน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง) ฉันสามัคคีธรรมว่า “พระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่ทนต่อการล่วงเกินของมนุษย์ พระองค์จะทรงลงโทษทุกคนที่ต่อต้านพระราชกิจของพระองค์ นั่นคือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า และไม่มีใครสามารถหนีรอดไปได้ ความวิบัติทั้งหลายกำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นี่คือสิ่งเตือนใจและการตักเตือนที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ รวมถึงเป็นการลงโทษด้วย ยกตัวอย่างรัฐบาลทางตอนใต้ของรัฐว้าในประเทศเมียนมาร์ที่จับกุมผู้เชื่ออยู่บ่อยครั้ง และไม่อนุญาตให้มีการยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ นี่เป็นการแข็งขืนต่อพระเจ้าอย่างร้ายแรง เดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเกิดน้ำท่วมที่นั่น มีบ้านเรือนหลายหลังถูกน้ำซัดไป การล่วงเกินผู้อื่นจะไม่สำคัญเลย ทว่าผลของการแข็งขืนต่อพระเจ้าย่อมจะร้ายแรง พวกเราทุกคนต่างทำในสิ่งที่ต่อต้านพระเจ้ามาก่อน แต่ตราบใดที่เรากลับใจต่อพระเจ้าและเรานำคนในหมู่บ้านให้สืบค้นหนทางที่แท้จริงและหันเข้าหาพระเจ้า พระเจ้าก็จะทรงกรุณาและทรงอภัยให้พวกเรา” หลังจากที่ฉันสามัคคีธรรมจบ ท่าทีของเหรัญญิกหมู่บ้านก็ดูไม่ได้แข็งกร้าวมากนัก ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ ต่างก็เห็นด้วยที่จะยอมให้เราแบ่งปันข่าวประเสริฐกับคนในหมู่บ้าน เช้าวันต่อมา พวกเราก็เรียกคนในหมู่บ้านมารวมตัวกัน และให้คำพยานแก่พวกเขาถึงพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า หลังจากสามัคคีธรรมอยู่สิบกว่าวัน คนในหมู่บ้านกว่า 40 คน รวมทั้งผู้ใหญ่บ้านและรองผู้ใหญ่บ้าน ต่างก็ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาโหยหาพระวจนะของพระเจ้า มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการชุมนุม และกระตือรือร้นที่จะพาคนอื่นมาฟังคำเทศนา ต่อมาด้วยการร่วมกันทำงานอย่างหนักของพี่น้องชายหญิง ผู้คนจากหลากหลายหมู่บ้านก็ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์
ยิ่งมีผู้คนยอมรับข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ การกดขี่จากรัฐบาลก็ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก ฉันถูกรายงานอยู่สองสามครั้งจากการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ คนส่วนใหญ่ที่บ้านเกิดของฉันรู้ว่าฉันเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ อีกทั้งตำรวจก็ตามหาฉันไปทั่วทุกหนแห่ง ด้วยความที่ฉันไม่อยู่บ้าน พวกเขาจึงไปที่บ้านของพ่อแม่ฉัน แล้วจับแม่ผู้ไม่เชื่อของฉันไปขังไว้ ฉันโกรธจัด ความเชื่อของฉันเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสม และการแบ่งปันข่าวประเสริฐก็เป็นเรื่องถูกต้องที่ควรทำด้วย รัฐบาลตามล่าตัวฉันไปทุกที่เพราะความเชื่อและการประกาศข่าวประเสริฐของฉัน ทั้งยังบอกว่าพวกเขาจะไม่ปล่อยตัวแม่ของฉันจนกว่าจะจับฉันได้ นั่นเป็นเรื่องที่ชั่วร้ายอย่างเหลือเชื่อ! ครอบครัวของฉันไม่เข้าใจฉัน บอกว่าแม่ถูกจับเพราะความเชื่อของฉัน พวกเขาโทรหาฉันและกล่าวหาว่าฉันเป็นคนไร้หัวใจ พี่น้องของฉันก็ถึงกับบอกว่าฉันควรมอบตัวเสีย ฉันรู้สึกทุกข์ตรมและกังวลจริงๆ ว่าแม่ของฉันจะทนทุกข์ ฉันยังคงแบ่งปันข่าวประเสริฐต่อไป ทว่าไม่กระตือรือร้นอย่างที่เคย ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยความเจ็บปวดว่า “ข้าแต่พระเจ้า วุฒิภาวะของข้าพระองค์ช่างน้อยเหลือเกิน แม่ของข้าพระองค์ถูกจับ และครอบครัวของข้าพระองค์ก็ไม่เข้าใจ—ข้าพระองค์ทุกข์ตรมจริงๆ ได้โปรดทรงมอบความเชื่อให้ข้าพระองค์สามารถยืนหยัดอย่างเข้มแข็งได้ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐานจบ ฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ไม่มีสักคนเดียวในหมู่พวกเจ้าที่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมาย—แทนที่จะเป็นดังนั้น พวกเจ้ากลับถูกกฎหมายลงโทษ ที่เป็นปัญหายิ่งกว่าก็คือผู้คนไม่เข้าใจพวกเจ้า กล่าวคือ ไม่ว่าจะเป็นญาติของเจ้า บิดามารดาของเจ้า เพื่อนของเจ้า หรือเพื่อนร่วมงานของเจ้า ไม่มีใครเข้าใจพวกเจ้าเลย ครั้นพวกเจ้าถูกพระเจ้าทอดทิ้ง ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่พวกเจ้าจะมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกต่อไป แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ผู้คนก็ไม่สามารถทนอยู่ห่างจากพระเจ้าได้ ซึ่งก็คือนัยสำคัญแห่งการพิชิตผู้คนของพระเจ้า และเป็นพระสิริของพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือไม่?) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันรู้สึกปั่นป่วนใจจริงๆ ในฐานะผู้เชื่อ การแบ่งปันข่าวประเสริฐและเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตเป็นสิ่งที่ชอบธรรมที่สุดในโลกใบนี้ แต่ในประเทศที่ต่อต้านพระเจ้า ไม่เพียงแต่ผู้เชื่อจะไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย พวกเขายังถูกกล่าวโทษและถูกจับกุม อีกทั้งสมาชิกในครอบครัวของพวกเขาก็ถึงกับติดร่างแหไปด้วย เจ้าหน้าที่รัฐกล่าวว่าคนที่ติดยาเสพติดและฆาตกรนั้นยกโทษให้ได้ มีเพียงผู้เชื่อเท่านั้นที่ไม่สามารถยกโทษให้ได้ นอกจากนี้เมื่อผู้เชื่อถูกจับ พวกเขาก็ถูกปรับเงิน ถูกจำคุก หรือถูกส่งไปให้เจ้าหน้าที่ในฐานะคนงาน ผู้เชื่อไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนมนุษย์เลย นี่คือประเทศที่มืดมนและชั่วร้าย เป็นเมืองโสโดมยุคใหม่ที่ต่อต้านพระเจ้า การเป็นผู้เชื่อและการติดตามพระเจ้าในปัจจุบันนี้หมายถึงการถูกข่มเหง แต่จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ได้เห็นน้ำพระทัยของพระองค์ พระเจ้าทรงใช้ความลำบากยากเย็นเหล่านั้นเพื่อทำให้ความเชื่อของพวกเราเพียบพร้อม ขณะเดียวกันก็ทรงอนุญาตให้เราได้รับวิจารณญาณในเรื่องของแก่นแท้ที่ชั่วร้ายของรัฐบาลที่ต่อต้านพระเจ้า เพื่อให้ฉันสามารถปฏิเสธและละทิ้งซาตาน และหันเข้าหาพระเจ้าได้อย่างแท้จริง เมื่อได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าฉันก็ไม่รู้สึกแย่เท่าเดิม ฉันรู้สึกพร้อมที่จะพึ่งพาพระเจ้าและแบ่งปันข่าวประเสริฐต่อไป
ต่อมา ฉันรวมตัวบรรดาผู้เชื่อใหม่และสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้ากับพวกเขา เพื่อช่วยให้พวกเขารู้จักพระราชกิจของพระเจ้าและเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ พวกเราฟังเพลงสรรเสริญจากพระวจนะของพระเจ้าร่วมกัน ชื่อว่า “เวลาที่เสียไปไม่มีวันย้อนคืน” ความว่า “จงตื่นเถิด พี่ชายน้องชายทั้งหลาย! จงตื่นเถิด พี่สาวน้องสาวทั้งหลาย! วันของเราจะไม่ถูกทำให้ล่าช้า เวลาคือชีวิต และการยึดเวลากลับมาก็คือการช่วยชีวิตให้รอด! เวลาอยู่ไม่ไกลแล้ว! หากพวกเจ้าล้มเหลวในการสอบเข้าวิทยาลัย พวกเจ้าสามารถเรียนและสอบซ้ำได้หลายครั้งตามที่เจ้าเห็นชอบ อย่างไรก็ดี วันของเราจะไม่ทนกับความล่าช้าอีกต่อไป จงจำไว้! จงจำไว้! เรารบเร้าเจ้าด้วยวจนะดีๆ เหล่านี้ บทอวสานของโลกเปิดเผยคลี่คลายออกมาต่อหน้าต่อตาของพวกเจ้า และความวิบัติอันใหญ่หลวงก็เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว สิ่งใดสำคัญกว่า: ชีวิตของพวกเจ้า หรือการนอนหลับของพวกเจ้า อาหารและเครื่องดื่มและเสื้อผ้าของพวกเจ้า? ถึงเวลาที่พวกเจ้าต้องชั่งน้ำหนักสิ่งเหล่านี้แล้ว” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 30) หลังจากฟังเพลงสรรเสริญ ฉันก็สามัคคีธรรมว่า “บางคนกล่าวว่า พวกเขาจะเชื่อก็ต่อเมื่อกองกำลังของซาตานล่มสลายและไม่มีการกดขี่อีกต่อไปแล้ว แต่เมื่อถึงตอนนั้น พระราชกิจของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดย่อมจะจบสิ้นลง และพวกเราจะเสียโอกาสอย่างที่สุดในความรอดของพระเจ้าไป หากพวกเราถูกรัฐบาลยับยั้งและเราไม่กล้ามีความเชื่อเพราะมันบอกเราไม่ให้มี เช่นนั้นแล้ว รัฐบาลสามารถช่วยเราให้รอดแทนได้หรือไม่? แน่นอนว่าไม่ได้ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงช่วยเราให้รอดได้ หากเราฟังพวกเขาและไม่เชื่อ เช่นนั้นเราจะสูญเสียความรอดในยุคสุดท้ายของพระเจ้าไป เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าสิ้นสุดลง พวกเราก็จะถูกทำลายไปพร้อมกับซาตาน เราทนทุกข์จากการข่มเหงและการจับกุมของรัฐบาลเพราะความเชื่อ แต่ความทุกข์นี้ย่อมมีคุณค่า หากต้องการได้รับความรอดของพระเจ้าเราก็ต้องยอมจ่ายราคา และพระเจ้าทรงปกครองเหนือทุกสิ่ง ดังนั้นไม่ว่าเราจะถูกจับกุมหรือไม่ก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ทั้งสิ้น หากพวกเราถูกจับกุม นี่ก็เกิดขึ้นด้วยการทรงอนุญาตของพระเจ้า พวกเราควรนบนอบต่อพระองค์และเรียนรู้บทเรียนของตัวเอง” จากนั้น ฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพิ่มเติมที่ว่า “บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงอ้างถึงว่าเป็น ‘ผู้ชนะ’ คือผู้ที่ยังคงสามารถยืนหยัดเป็นพยาน และคงไว้ซึ่งความมั่นใจและการอุทิศตนที่พวกเขามีต่อพระเจ้าเมื่ออยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานและในขณะที่ถูกซาตานล้อมไว้ นั่นคือ เมื่อพวกเขาพบว่าตนเองอยู่ท่ามกลางกองกำลังแห่งความมืด หากเจ้ายังคงสามารถรักษาหัวใจให้บริสุทธิ์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และคงไว้ซึ่งความรักอันจริงแท้ที่เจ้ามีต่อพระเจ้าไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังยืนหยัดเป็นพยานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงหมายถึงการเป็น ‘ผู้ชนะ’” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรธำรงไว้ซึ่งการอุทิศตนของเจ้าแด่พระเจ้า) “ตอนนี้เจ้าควรเข้าใจเหตุผลที่พระเจ้าไม่ทรงทำลายซาตานในช่วงเวลาแห่งความรอดสำหรับมนุษย์ของพระองค์ ก็เพื่อที่จะให้มนุษย์เห็นได้อย่างชัดเจนว่าซาตานทำให้พวกเขาเสื่อมทรามอย่างไร และทำให้พวกเขาเสื่อมทรามขนาดไหน และพระเจ้าทรงชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์และช่วยให้พวกเขารอดได้อย่างไร ในท้ายที่สุด เมื่อผู้คนเข้าใจความจริงและเห็นโฉมหน้าอันน่ารังเกียจของซาตานอย่างชัดเจน และมองเห็นบาปมหันต์ของซาตานที่นำพวกเขาไปสู่ความเสื่อมทราม พระเจ้าก็จะทรงทำลายซาตาน เพื่อแสดงความชอบธรรมของพระองค์ให้พวกเขาเห็น” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) ฉันสามัคคีธรรมว่า “พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดการกดขี่และการจับกุมจากรัฐบาล นี่เป็นการทดสอบว่าเราเชื่อในพระเจ้าโดยแท้จริงหรือไม่ เรามีความเชื่อหรือไม่ ผ่านการกดขี่และความยากลำบากประเภทนี้ หากเราสามารถรักษาความเชื่อไว้ได้ และไม่หดหัวด้วยความคิดลบหรือทรยศพระเจ้า แต่กลับติดตามพระเจ้า ชุมนุมและแบ่งปันข่าวประเสริฐต่อไป เช่นนั้นแล้ว นั่นก็เป็นการมีคำพยาน และซาตานย่อมจะอับอายและพ่ายแพ้ไป ความทุกข์นั้นมีคุณค่า เหตุใดพระเจ้าไม่ทรงทำลายซาตานเสียตอนนี้? ก็เพื่อที่จะใช้ซาตานเป็นหนทางในการทำกลุ่มผู้ชนะให้เพียบพร้อม ขณะที่ให้พวกเราเรียนรู้การแยกแยะดีชั่วไปด้วยนั่นเอง เราสามารถมองเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อช่วยผู้คนให้รอดอย่างไร และซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามและทำร้ายพวกเขาอย่างไร แล้ววันหนึ่งเมื่อพระเจ้าทรงทำลายซาตาน พวกเราย่อมจะเห็นว่าพระเจ้าทรงชอบธรรมเพียงใด หากพระเจ้าเพียงกวาดล้างซาตานไปโดยตรง พวกเราก็คงจะไม่มีวิจารณญาณเหนือซาตาน และเราจะไม่เกลียดและละทิ้งมัน เช่นเดียวกับพวกระบอบการปกครองของซาตานที่ต่อต้านพระเจ้าและพวกมารที่ดำเนินการในรัฐบาล—พวกเขาเก่งในการอำพรางและการหลอกลวงโดยแท้จริง ในยามที่พวกเขาดูเหมือนทำเรื่องที่ดีบางอย่าง การนั้นก็เพียงเพื่อให้ผู้คนเทิดทูนพวกเขา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงปรากฏและกำลังทรงพระราชกิจในยุคสุดท้ายเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด พระองค์ทรงเปิดโปงแก่นแท้เยี่ยงปีศาจที่ต่อต้านพระเจ้าของระบอบการปกครองเหล่านั้น พวกเขาปฏิเสธและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ อีกทั้งจับกุม ปรับเงิน ดำเนินคดีและจำคุกผู้เชื่อของพระองค์ พวกเขาเป็นดั่งมารซาตานที่ทำให้ผู้คนมาบูชาตนเอง และไม่อนุญาตให้คนเหล่านั้นติดตามและเชื่อในพระเจ้า สุดท้ายแล้วพวกเขาล้วนจะลงนรกและถูกลงโทษไปพร้อมกับมัน” หลังสามัคคีธรรมจบ ผู้มาใหม่ก็มีวิจารณญาณและความเชื่อ และทุกคนต่างก็มีส่วนร่วมในการชุมนุมอย่างแข็งขัน ฉันรู้สึกมีความสุขจริงๆ
หลังจากนั้น บรรดาผู้เชื่อใหม่เหล่านั้นต่างก็พาคนที่พวกเขารักมาฟังการเทศนา ผ่านไปไม่กี่วัน ที่หมู่บ้านแห่งนั้นก็มีคนยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ถึง 80 กว่าคน ฉันได้เห็นพระปัญญาที่พระเจ้าทรงใช้บนพื้นฐานของกลอุบายของซาตาน ซาตานใช้อุบายทุกรูปแบบเพื่อหยุดยั้งงานข่าวประเสริฐ เพื่อทิ้งให้พวกเราคับข้องใจและหดหู่ แต่พระวจนะของพระเจ้าได้มอบความเชื่อและพละกำลังให้แก่เรา พวกเราทุ่มเททั้งหมดที่มีให้กับการแบ่งปันข่าวประเสริฐ และเห็นถึงการทรงนำของพระเจ้า ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ฉันได้เห็นว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถหยุดยั้งสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการทำให้เสร็จสมบูรณ์ได้ และฉันก็ได้รับความเชื่อในการแบ่งปันข่าวประเสริฐมากยิ่งขึ้น
ในเดือนกันยายนปี 2022 ผู้เชื่อใหม่คนหนึ่งได้พาพวกเราไปประกาศข่าวประเสริฐที่หมู่บ้านของพ่อแม่เธอ ซึ่งมีคนสนใจในหนทางที่แท้จริงถึง 40 กว่าคน ฉันมีความสุขจริงๆ และเริ่มแบ่งปันคำพยานกับพวกเขาถึงพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า จากนั้นฉันก็ได้รับข่าวว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลส่วนภูมิภาคได้แสดงรูปของฉันในที่ประชุมของพวกเขา โดยพูดว่าต้องการตัวฉัน และบอกให้ผู้คนรายงานหากพบเห็นฉันประกาศข่าวประเสริฐ ตำรวจพวกนั้นยังนำที่กั้นถนนมาหยุดรถเพื่อค้นหาฉันเช่นกัน พอมีตำรวจตามหาฉันไปทุกที่แบบนี้ ฉันก็คิดว่าหากวันหนึ่งพวกเขาจับฉันได้ พวกเขาก็อาจจะฆ่าฉัน ฉันควรแบ่งปันข่าวประเสริฐต่อไปไหม? ถ้าฉันเลิกประกาศ คนในหมู่บ้านที่อยู่ระหว่างสืบค้นพระราชกิจของพระเจ้าจะทำยังไง? พวกเขาจะไม่สามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระองค์ได้ ฉันจะไม่ได้ทำหน้าที่รับผิดชอบของตัวเองให้ลุล่วง พี่น้องชายหญิงต้องการที่จะส่งฉันไปที่อื่นเพราะคำนึงถึงความปลอดภัยของฉัน ฉันรู้สึกกลัวจึงเดินจากออกมา หลังจากนั้นฉันก็รู้สึกผิดมากทีเดียว ฉันอยากกลับไปประกาศข่าวประเสริฐกับคนที่หมู่บ้านนั้นต่อ จึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ตำรวจกำลังตามหาข้าพระองค์ไปทุกหนแห่ง และข้าพระองค์ก็รู้สึกกลัว แต่ข้าพระองค์รู้ว่า ไม่ว่าข้าพระองค์จะถูกจับหรือไม่ก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์โดยสมบูรณ์ ข้าพระองค์อยากมอบทุกสิ่งไว้กับพระองค์ ได้โปรดทรงนำให้ข้าพระองค์มีความเชื่อที่จะประกาศข่าวประเสริฐและเป็นพยานแด่พระองค์ต่อไปด้วยเถิด” หลังจากนั้น ฉันก็ได้อ่านอะไรบางอย่างในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เจ้าตระหนักรู้ภาระบนบ่าของเจ้า พระบัญชาสำหรับเจ้า และความรับผิดชอบของเจ้าหรือไม่? สำนึกแห่งภารกิจครั้งประวัติศาสตร์ของเจ้าอยู่ที่ไหน? เจ้าจะทำหน้าที่เป็นเจ้านายคนหนึ่งในยุคถัดไปให้ดีพอได้อย่างไร? เจ้ามีสำนึกอันแรงกล้าของความเป็นนายหรือไม่? เจ้าจะอธิบายการเป็นนายของสรรพสิ่งอย่างไร? ใช่การเป็นนายเหนือสิ่งสร้างที่มีชีวิตทั้งมวลและเหนือสรรพสิ่งทางกายภาพของโลกจริงๆ หรือ? เจ้ามีแผนการอันใดเพื่อความก้าวหน้าของงานระยะต่อไป? มีผู้คนมากมายเพียงใดที่กำลังรอคอยให้เจ้าเป็นผู้เลี้ยงของพวกเขา? งานของเจ้าใช่งานหนักหรือไม่? พวกเขาน่าสงสาร น่าเวทนา ตาบอดและหลงทาง ร้องคร่ำครวญอยู่ในความมืดมิดว่า—หนทางอยู่แห่งใด? พวกเขาโหยหายิ่งนักให้ความสว่างพลันเคลื่อนลงมาเหมือนดาวตก และขับไล่กำลังบังคับแห่งความมืดที่บีบคั้นมนุษย์มานานหลายปีเหลือเกิน ผู้ใดจะรู้ได้ว่าพวกเขาตั้งความหวังอย่างกระวนกระวายใจปานใด และคะนึงหาสิ่งนี้เพียงใดทั้งกลางวันและกลางคืน? แม้กระทั่งในวันที่ความสว่างส่องแสงวาบผ่านไป ผู้คนที่ทุกข์ทนอย่างลึกล้ำเหล่านี้ก็ยังคงถูกจองจำอยู่ในคุกใต้ดินอันมืดมิดโดยไม่มีหวังว่าจะได้รับการปลดปล่อย เมื่อไรที่พวกเขาจะไม่ต้องร่ำไห้อีกต่อไป? ความโชคร้ายของวิญญาณอันเปราะบางที่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้หยุดพักเหล่านี้ช่างเลวร้าย และพวกเขาถูกพันธนาการที่ไร้กรุณาและประวัติศาสตร์ที่เยือกแข็งผูกมัดไว้ในสภาวะนี้มาช้านานแล้ว และผู้ใดได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของพวกเขา? ผู้ใดมองเห็นสภาพอันยากแค้นของพวกเขา? เจ้าเคยฉุกคิดบ้างหรือไม่ว่าพระหทัยของพระเจ้าโทมนัสและกระวนกระวายเพียงใด? พระองค์จะทรงทนเห็นมวลมนุษย์ผู้ไม่ประสา ที่พระองค์ทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ต้องทนทุกข์ทรมานเยี่ยงนี้ได้อย่างไร? ไม่ว่าอย่างไร มนุษย์ก็คือเหยื่อที่ถูกพิษ และถึงแม้มนุษย์จะรอดชีวิตมาได้จนถึงวันนี้ ผู้ใดจะรู้บ้างว่ามวลมนุษย์ถูกมารวางยาพิษมานานแล้ว? เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าก็เป็นหนึ่งในเหยื่อทั้งหลาย? เจ้าไม่เต็มใจที่จะเพียรพยายามด้วยความรักที่เจ้ามีต่อพระเจ้า เพื่อช่วยผู้รอดชีวิตเหล่านี้ให้รอดหรอกหรือ? เจ้าไม่เต็มใจที่จะอุทิศพลังงานทั้งหมดที่เจ้ามีเพื่อตอบแทนพระเจ้าผู้ทรงรักมวลมนุษย์ประดุจโลหิตและเนื้อหนังของพระองค์เองหรอกหรือ? เมื่อพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เจ้าจะตีความการถูกพระเจ้าใช้ให้ดำรงชีวิตที่เหนือธรรมดาของเจ้าว่าอย่างไร? เจ้ามีความแน่วแน่และความมั่นใจที่จะดำรงชีวิตอันเปี่ยมความหมายของบุคคลที่มีศรัทธาแก่กล้าและรับใช้พระเจ้าหรือไม่?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรจัดการกับภารกิจในอนาคตของเจ้าอย่างไร?) พระวจนะของพระเจ้าให้แรงบันดาลใจจริงๆ แต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกผิดด้วยเช่นกัน มีคนมากมายที่ยังไม่ได้ยอมรับความรอดแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าและใช้ชีวิตอยู่ภายใต้พลังอำนาจของซาตาน พวกเขาสิ้นหวังและเจ็บปวด พระเจ้าทรงรู้สึกโศกเศร้าและรู้สึกถึงความเร่งด่วนต่อพวกเขา ในบรรดาคนเหล่านั้น มีบางคนต้องทำงานทั้งวันเพื่อหาเงิน ใช้ชีวิตที่ยากลำบากและเหนื่อยล้า และบางคนยังคงรู้สึกว่างเปล่าและทุกข์ตรมอยู่ภายในแม้จะพอมีเงินบ้างแล้วก็ตาม พวกเขาไม่รู้ถึงคุณค่าของชีวิตมนุษย์และหาทิศทางไม่เจอ บางคนต้องการที่จะแสวงหาหนทางที่แท้จริง แต่พวกเขาหวาดกลัวเกินไป เพราะการกดขี่และการจับกุมของรัฐบาล นั่นหมายความว่าพวกเราจำเป็นต้องสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้ากับพวกเขา เป็นพยานยืนยันแด่พระราชกิจของพระเจ้า และใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อแก้ไขปัญหาให้พวกเขา พวกเขาจึงจะสามารถมองเห็นความจริง ความสว่าง และความหวังในพระวจนะของพระเจ้า และยอมรับความรอดของพระเจ้าได้ อีกทั้งช่วงนี้ความวิบัติทั้งหลายก็เลวร้ายลงไปทุกที และมีคนมากมายที่ยังไม่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า พวกเขาไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหนในความวิบัติ การแบ่งปันข่าวประเสริฐกับคนเหล่านี้เป็นความรับผิดชอบของฉัน พระเจ้าไม่ทรงต้องการให้คนที่พระองค์ปรารถนาจะช่วยให้รอดยอมจำนนให้กับความวิบัติทั้งหลายเหล่านั้น หากฉันหยุดเผยแผ่ข่าวประเสริฐเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ฉันก็จะไม่ได้ทำหน้าที่ เช่นนั้นฉันก็จะติดหนี้พระเจ้าอย่างใหญ่หลวง และจะไม่สมควรถูกเรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระองค์ ฉันนึกถึงการที่ฉันเคยเป็นเหมือนกับชาวบ้านเหล่านั้นที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตานอย่างไร้เป้าหมายหรือความหวัง พระเจ้าทรงดลใจพี่น้องชายหญิงให้แบ่งปันข่าวประเสริฐกับฉันครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดฉันก็ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและได้รับความรอดแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ นั่นคือความรักและความกรุณาที่พระเจ้าทรงมีต่อฉัน ฉันต้องคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า และทำทุกอย่างที่พอจะมีพลังในการเป็นพยานแด่พระราชกิจของพระเจ้าและตอบแทนความรักของพระองค์ วันรุ่งขึ้นฉันกลับไปที่ยังหมู่บ้านนั้นเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐต่อ แต่เพียงไม่กี่วันต่อมา ผู้มาใหม่ที่พาเราไปที่นั่นก็ออกไปเพราะมีธุระด่วน ฉันรู้สึกกังวลเล็กน้อย หากไม่มีการคุ้มครองจากคนในพื้นที่ ฉันจะลงเอยด้วยการถูกจับไหม? แต่หากฉันหยุดแบ่งปันข่าวประเสริฐ บรรดาผู้ที่สืบค้นหนทางที่แท้จริงก็จะเกิดความล่าช้าในการยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ในช่วงสองสามวันหลัง พวกเขาแอบขึ้นมาฟังเราประกาศบนเขาด้วยพยายามที่จะแสวงหาและสืบค้น พวกเขาโหยหาสิ่งนี้เหลือเกิน หากฉันหนีไปเพราะกลัวถูกจับ ไม่เต็มใจที่จะประกาศต่อไป ฉันย่อมจะติดค้างพวกเขา รวมถึงทำให้พระเจ้าทรงเสียพระทัย ดังนั้นฉันจึงไปพบบรรดาคนที่สืบค้นหนทางที่แท้จริงทีละคนและอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้พวกเขาฟัง สุดท้ายพวกเขาทุกคนก็ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ หลังจากนั้นพวกเขาก็พาคนอื่นมาฟังคำเทศนาของพวกเรา หลังได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็มีคนยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้เห็นการทรงนำของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกขอบคุณพระองค์อย่างเหลือเชื่อ กองทหารอาสาประจำหมู่บ้านมักจะเดินลาดตระเวนในช่วงเย็น จำกัดการชุมนุมของพวกเรา ดังนั้นฉันจึงสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้ากับผู้เชื่อใหม่เพื่อช่วยให้พวกเขามองเล่ห์กลของซาตานออกและเรียนรู้ที่จะชุมนุมกันอย่างลับๆ เมื่อรู้อย่างนั้น พวกเขาก็ไม่ได้รับผลกระทบจากรัฐบาลอีกต่อไป ทุกคนจะแอบขึ้นไปบนภูเขาหรือเข้าไปในไร่ผักเพื่อชุมนุมกันในเวลากลางคืน เมื่อเห็นอย่างนั้น ฉันก็มีเรี่ยวแรงเพื่อประกาศยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่ง มีพี่น้องหญิงคนหนึ่งบอกฉันว่า มีคนที่ฉันเคยประกาศให้ฟังสองสามคนถูกรัฐบาลจับไปเพราะฟังคำเทศนาของพวกเรา ครอบครัวผู้ไม่เชื่อของพวกเขาไปตามหาฉันที่บ้าน บอกว่าพวกเขาจะฆ่าฉัน พี่สาวของฉันบอกให้ฉันระวังตัว นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับฉัน ถ้าตอนนั้นฉันอยู่บ้าน ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรกับฉันบ้าง ขืนฉันเผยแผ่ข่าวประเสริฐที่นั่นต่อไปและถูกพวกเขาจับตัวได้ พวกเขาคงจะไม่ปล่อยฉันไปง่ายๆ แน่นอน ฉันอยากออกมาจากที่นั่นและไม่อยากแบ่งปันข่าวประเสริฐที่นั่นอีกต่อไป แต่การนึกถึงการออกมาก็ทำให้ฉันรู้สึกผิดหวังจริงๆ แล้วฉันก็นึกถึงพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าที่ว่า “เจ้ารู้ว่าทุกอย่างในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเจ้าล้วนมีอยู่เพราะการยอมอนุญาตของเรา ทุกอย่างเราเป็นคนวางแผนไว้ทั้งหมด จงมองให้ชัดเจนและทำให้เราพึงพอใจในสภาพแวดล้อมที่เรามอบให้เจ้า จงอย่ากลัว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จอมทัพจะอยู่กับเจ้าอย่างแน่นอน พระองค์ทรงอยู่เบื้องหลังพวกเจ้า และพระองค์คือโล่ของเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 26) ฉันเห็นได้จากพระวจนะของพระเจ้าว่าฉันกำลังเผชิญกับสถานการณ์นี้ด้วยการทรงอนุญาตจากพระเจ้า ในเมื่อฉันกำลังแบ่งปันข่าวประเสริฐและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า แน่นอนว่าซาตานต้องทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางฉัน ทำให้สภาวะจิตใจของฉันหยุดชะงักเพื่อที่ฉันจะได้กลัวเกินกว่าที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐต่อไป นั่นคือเจตนารมณ์ชั่วของซาตาน หากฉันเลิกเผยแผ่ข่าวประเสริฐเพราะความกลัว ยึดติดอยู่กับชีวิตและร่างกายของตัวเอง ฉันจะไม่หลงกลซาตานหรือ? ไม่ว่าฉันจะถูกจับกุมหรือไม่และไม่ว่าฉันจะตายหรือไม่ ทั้งหมดล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ตอนที่ซาตานทดสอบโยบ เขาทนทุกข์มากมายหลายสิ่ง เขาสูญเสียลูกทุกคน สูญเสียทรัพย์สินทั้งหมดไป แถมเขายังมีตุ่มหนองแตกลามทั่วร่างกาย แต่พระเจ้าก็ไม่ทรงอนุญาตให้ซาตานพรากชีวิตของโยบไป ซาตานไม่กล้าขัดขืนสิ่งที่พระเจ้าตรัส—มันไม่กล้าทำร้ายชีวิตของโยบ ตอนนี้หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ผู้คนเหล่านั้นทำร้ายฉัน พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรฉันได้ ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า—พวกเขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะให้ฉันอยู่หรือตาย หากฉันถูกจับ เบื้องหลังการนี้ย่อมจะมีน้ำพระทัยอันดีของพระเจ้าอยู่ และฉันก็ควรนบนอบ ฉันนึกถึงตัวเอง ในเมื่อสิ่งต่างๆ ที่หมู่บ้านนี้เลวร้าย ฉันก็สามารถไปประกาศที่อีกหมู่บ้านหนึ่งได้ หากฉันใช้ปัญญาอยู่บ้างและคอยระวังตัวฉันก็จะไม่เป็นไร เหมือนที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เมื่อพวกเขาข่มเหงท่านในเมืองหนึ่ง จงหนีไปยังอีกเมืองหนึ่ง” (มัทธิว 10:23) จากนั้น ฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพิ่มเติมที่ว่า “พระเจ้าทรงมีแผนการสำหรับผู้ติดตามของพระองค์ทุกคน แต่ละคนในบรรดาพวกเขาต่างมีสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดแต่งไว้สำหรับมนุษย์ เพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในสภาพแวดล้อมนั้น และพวกเขาก็มีพระคุณและความโปรดปรานของพระเจ้าซึ่งเป็นของมนุษย์เอาไว้ชื่นชม พวกเขายังมีสถานการณ์พิเศษที่พระเจ้าทรงจัดวางไว้ให้มนุษย์ และมีความทุกข์มากมายที่พวกเขาต้องก้าวผ่าน—นี่ไม่ได้เป็นเหมือนการล่องเรืออย่างราบรื่นดังที่มนุษย์จินตนาการ นอกจากนี้ หากเจ้ายอมรับว่าเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่ง เจ้าต้องตระเตรียมตนเองเพื่อที่จะทนทุกข์และจ่ายราคาเพื่อเห็นแก่การปฏิบัติตามความรับผิดชอบของเจ้าในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ลุล่วงและเพื่อเห็นแก่การทำหน้าที่ของเจ้าอย่างถูกต้องเหมาะสม ราคานั้นอาจเป็นการทนทุกข์กับความเจ็บป่วยหรือความยากลำบากทางกาย หรือทนทุกข์กับการข่มเหงจากพญานาคใหญ่สีแดง หรือความเข้าใจผิดของผู้คนในสังคมโลก รวมถึงความทุกข์ยากที่คนเราประสบขณะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ กล่าวคือ การถูกขาย ถูกทุบตีและแผดเสียงดุว่า ถูกกล่าวโทษ—แม้กระทั่งถูกรุมทำร้ายจนเป็นอันตรายถึงชีวิต เป็นไปได้ว่า ในระหว่างการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เจ้าจะตายก่อนที่พระราชกิจของพระเจ้าจะแล้วเสร็จ และว่าเจ้าจะไม่มีชีวิตอยู่จนได้เห็นวันแห่งพระสิริของพระเจ้า เจ้าต้องตระเตรียมเพื่อการนี้ นี่ไม่ได้หมายที่จะทำให้พวกเจ้าขวัญผวา นี่คือข้อเท็จจริง… แล้วสาวกเหล่านั้นขององค์พระเยซูเจ้าตายอย่างไร? ในบรรดาเหล่าสาวก มีบรรดาผู้ที่ถูกเอาก้อนหินขว้าง ถูกลากข้างหลังม้า ถูกตรึงกางเขนกลับหัว ถูกแยกร่างโดยม้าห้าตัว—ความตายทุกแบบบังเกิดขึ้นกับพวกเขา อะไรคือเหตุผลสำหรับความตายของพวกเขา? พวกเขาถูกสำเร็จโทษโดยถูกต้องตามกฎหมายสำหรับอาชญากรรมของพวกเขาหรือไม่? ไม่ พวกเขาถูกกล่าวโทษ ถูกทุบตี ถูกด่าทอ และถูกทำให้ถึงแก่ความตายเพราะพวกเขาเผยแผ่ข่าวประเสริฐขององค์พระผู้เป็นเจ้าและถูกผู้คนของโลกปฏิเสธ—นั่นคือวิธีที่พวกเขาได้พลีชีพเพื่อศาสนา… ไม่ว่าวิถีทางแห่งความตายและการจากไปของพวกเขาเป็นเช่นไรหรือมันจะเกิดขึ้นอย่างไร นี่ก็ไม่ใช่หนทางที่พระเจ้าทรงกำหนดจุดจบสุดท้ายของชีวิตเหล่านั้น ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเหล่านั้น นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าต้องเห็นอย่างชัดแจ้ง ในทางตรงกันข้าม พวกเขาใช้วิถีทางเหล่านั้นเพื่อกล่าวโทษโลกนี้และเพื่อให้คำพยานต่อกิจการทั้งหลายของพระเจ้าอย่างแน่นอน สิ่งมีชีวิตทรงสร้างเหล่านี้ได้ใช้ชีวิตอันมีค่าที่สุดของพวกเขา—พวกเขาได้ใช้วาระสุดท้ายแห่งชีวิตของพวกเขาเพื่อให้คำพยานถึงกิจการทั้งหลายของพระเจ้า เพื่อให้คำพยานถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และเพื่อประกาศต่อซาตานและโลกว่ากิจการทั้งหลายของพระเจ้านั้นถูกต้อง ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้า พระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้า และทรงเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ แม้จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็ไม่เคยปฏิเสธพระนามขององค์พระเยซูเจ้า นี่คือรูปแบบหนึ่งของการพิพากษาโลกนี้มิใช่หรือ? พวกเขาได้ใช้ชีวิตของพวกเขาเพื่อประกาศต่อโลก เพื่อยืนยันต่อมนุษย์ทั้งหลายว่าองค์พระเยซูเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเยซูเจ้าคือพระคริสต์ พระองค์คือเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ และพระราชกิจแห่งการไถ่ที่พระองค์ทรงทำไปเพื่อมวลมนุษยชาติก็เปิดโอกาสให้มนุษยชาติมีชีวิตอยู่ต่อไป—ข้อเท็จจริงนี้ไม่ผันแปรตลอดกาล บรรดาผู้ที่พลีชีพเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งองค์พระเยซูเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาถึงขอบเขตใดกัน? ถึงที่สุดหรือไม่? ความถึงที่สุดได้รับการสำแดงออกมาอย่างไร? (พวกเขามอบชีวิตของตน) ถูกต้อง พวกเขาได้จ่ายราคาด้วยชีวิตของพวกเขาเอง ครอบครัว ความมั่งคั่ง และสิ่งของทางวัตถุทั้งหลายแห่งชีวิตนี้ล้วนเป็นสิ่งภายนอกทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่สัมพันธ์กับตัวตนคือชีวิต สำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกคนนั้น ชีวิตเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การหวงแหนมากที่สุด เป็นสิ่งมีค่ามากที่สุด และดังเช่นที่มันเกิดขึ้นนั้น ผู้คนเหล่านั้นสามารถถวายสิ่งครอบครองที่มีค่ามากที่สุดของพวกเขา—ซึ่งก็คือชีวิต—ให้เป็นเครื่องยืนยันและเป็นคำพยานแด่ความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ จนกระทั่งวันที่พวกเขาตาย พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธพระนามของพระเจ้า อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธพระราชกิจของพระเจ้า และพวกเขาได้ใช้วาระสุดท้ายแห่งชีวิตของพวกเขาเพื่อให้คำพยานถึงการดำรงอยู่ของข้อเท็จจริงนี้—นี่ไม่ใช่การให้คำพยานในรูปแบบที่สูงส่งที่สุดหรอกหรือ? นี่คือหนทางที่ดีที่สุดในการทำหน้าที่ของตน นี่คือสิ่งที่เป็นการปฏิบัติตามความรับผิดชอบของตนให้ลุล่วง เมื่อซาตานข่มขู่และข่มขวัญพวกเขา และในท้ายที่สุด แม้กระทั่งเมื่อมันทำให้พวกเขาจ่ายราคาด้วยชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็ไม่ได้ทอดทิ้งความรับผิดชอบของพวกเขา นี่คือสิ่งที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงจนถึงที่สุด ที่ว่ามานี้เราหมายความว่าอย่างไร? เราหมายจะให้พวกเจ้าใช้วิธีเดียวกันนี้เพื่อให้คำพยานถึงพระเจ้าและเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระองค์กระนั้นหรือ? เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น แต่เจ้าต้องเข้าใจว่านี่คือความรับผิดชอบของเจ้า ต้องเข้าใจว่าหากพระเจ้าทรงต้องการให้เจ้ายอมรับ เจ้าก็ควรยอมรับสิ่งนี้ในฐานะสิ่งอันทรงเกียรติที่เจ้าพึงต้องทำ” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเผยแพร่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่ผู้เชื่อทุกคนมีภาระผูกพันด้วยเกียรติ) พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ฉันตระหนักว่า สาวกขององค์พระเยซูเจ้าถูกกล่าวโทษ ถูกจำคุก และทนทุกข์กับการข่มเหงสารพัดเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ มีหลายคนที่ถูกมรณสักขี แต่ไม่ว่าพวกเขาพบกับจุดจบประเภทใด พวกเขาก็สามารถละทิ้งชีวิตอันล้ำค่าของตนเอง ไม่เคยปฏิเสธพระเจ้าแม้ถึงแก่ความตาย พวกเขาถวายคำพยานแด่พระเจ้าและถวายพระสิริแด่พระองค์ด้วยชีวิตของตัวเอง นั่นเป็นคำพยานที่สูงส่งที่สุด และเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการทำหน้าที่ แต่สำหรับฉันที่ถูกรัฐบาลไล่ล่าและถูกคนชั่วคุกคาม ฉันกลับยึดติดอยู่กับชีวิตด้วยความโลภ และต้องการหนีออกมาจากหมู่บ้านแห่งนั้น ไม่ประกาศและให้น้ำผู้มาใหม่ต่อ คำพยานของฉันอยู่ที่ไหนหรือ? ฉันคิดทบทวนว่าเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ชี้เป็นชี้ตาย ทำไมฉันถึงหวาดกลัวขึ้นมา? นั่นเป็นเพราะฉันหวงแหนชีวิตมากเกินไป ไม่เข้าใจชีวิตและความตาย ข้อเท็จจริงก็คือพระเจ้าทรงกำหนดชีวิตและความตายของเราไว้แล้ว การถูกมรณสักขีเพื่อพระเจ้านั้น ถึงแม้เนื้อหนังจะตายไป นี่ก็ไม่ใช่การตายที่แท้จริงเลย การนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีจุดจบและบั้นปลายที่ดี องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด” (มัทธิว 16:25) หากฉันไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง และทรยศพระเจ้าเพราะฉันยึดติดกับชีวิต เนื้อหนังของฉันอาจไม่ได้ทนทุกข์ แต่พระเจ้าจะทรงปฏิเสธและกำจัดฉันออกไป และดวงจิตของฉันจะถูกลงโทษ หากฉันสามารถสละชีวิตเพื่อเป็นพยานแด่พระเจ้าและยอมตายแทนที่จะทรยศพระองค์ได้ การนั้นย่อมจะทำให้ซาตานอับอาย และย่อมจะมีความหมาย เมื่อตระหนักได้อย่างนี้แล้ว ฉันก็ไม่หวาดกลัวความตายอีกต่อไป และฉันก็ตั้งปณิธานว่า ตราบใดที่ฉันไม่ได้อยู่ในเรือนจำ ตราบใดที่ฉันยังหายใจ ฉันก็จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานแด่พระเจ้าเพื่อทำให้ซาตานอับอายต่อไป หลังจากนั้นฉันยังคงเดินหน้าประกาศข่าวประเสริฐต่อ ในไม่ช้า ผู้คนส่วนมากในหมู่บ้านแห่งนั้นก็ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์
หลังจากนั้น ฉันก็ไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐที่หมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง ตอนแรกมีคนมาเข้าร่วมสิบกว่าคน แต่แล้วก็ถูกการปกครองส่วนท้องถิ่นจับได้ขณะที่พวกเรากำลังประกาศกับสามีภรรยาคู่หนึ่งอยู่ ผู้ว่าประจำเมือง รองผู้ว่า เหรัญญิก และสมาชิกกองทหารอาสาบางส่วน—รวมแล้วสิบกว่าชีวิต—ต่างกรูกันเข้ามาในห้องและบอกว่าพวกเราต้องไปกับพวกเขา ตอนนั้นฉันรู้สึกค่อนข้างตื่นตระหนก พวกเขากำลังจะจับฉันและส่งฉันเข้าคุกงั้นหรือ? รัฐบาลตามล่าตัวฉันมาตลอด พวกเขาบอกชื่อของฉันกับทุกบ้าน บอกว่าถ้าเจอฉันกำลังประกาศข่าวประเสริฐให้รายงานได้เลย หากพวกเขาจำฉันได้ พวกเขาคงจะไม่ยอมปล่อยฉันไปง่ายๆ และเหล่าผู้เชื่อใหม่ก็จะได้รับผลกระทบ—หากเป็นเช่นนั้นล่ะ? ฉันได้แต่อธิษฐานไม่หยุด ขอให้พระเจ้าประทานความเชื่อให้ฉันสามารถยืนหยัดอย่างเข้มแข็งในคำพยานของตัวเองได้ ในไม่ช้า พี่น้องชายหญิงที่ไปประกาศข่าวประเสริฐกับพวกเราที่หมู่บ้านนั้นก็ถูกจับเช่นกัน พวกเขาพาพวกเราทุกคนไปที่เทศบาลและยึดโทรศัพท์ของเราไป จากนั้น ผู้ว่าการจังหวัดก็เริ่มสอบปากคำพวกเราว่า “พวกแกเป็นใคร? พวกแกมาที่นี่เพื่อประกาศข่าวประเสริฐงั้นหรือ?” พวกเราไม่ได้ตอบ พวกเขาจึงปิดประตูขังพวกเราเอาไว้ในห้องมืดๆ และให้กองทหารอาสาราวห้าถึงหกนายจับตาดูพวกเราเอาไว้ ฉันกังวลว่าพวกเขาจะจำฉันได้ หากฉันถูกส่งตัวกลับไปที่บ้านเกิด ฉันจะต้องถูกตัดสินจำคุกให้พวกเขาทรมานและล่วงเกินอย่างแน่นอน ผู้ว่าการส่วนภูมิภาคบอกว่า หากพวกเขาจับฉันได้ พวกเขาจะตัดผมฉัน ห้อยป้ายไว้ที่คอของฉัน และแห่ฉันไปรอบๆ ตอนนั้นฉันได้แต่อธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์พร้อมนบนอบที่จะถูกจับกุม แต่วุฒิภาวะของข้าพระองค์น้อยเหลือเกิน ได้โปรดประทานความเชื่อและทรงเฝ้าดูแลข้าพระองค์เพื่อให้ข้าพระองค์สามารถตั้งมั่นได้ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐานจบ ฉันก็นึกถึงวิดีโอคำพยานที่เคยดูก่อนหน้านี้ พี่น้องชายหญิงบางคนที่ถูกตำรวจจีนทุบตีจนตายในเรือนจำไม่ได้ปฏิเสธหรือทรยศพระเจ้าเลย แม้จะเผชิญกับความตายก็ตาม มีอีกหลายคนที่ถูกทรมาณอย่างโหดร้ายทารุณ ถูกตัดสินความผิดและส่งเข้าเรือนจำ แต่ด้วยการอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้า พวกเขาก็เกิดความเชื่อที่แท้จริงผ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาสาบานด้วยความตายว่าจะไม่ทรยศพระเจ้า ต่อให้ต้องติดคุกตลอดชีวิตก็ตาม พวกเขาเป็นคำพยานอันหนักแน่นและกึกก้อง ฉันรู้สึกมีแรงบันดาลใจจริงๆ ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวว่า “ความเชื่อและความรักอย่างถึงที่สุดเป็นสิ่งที่พวกเราพึงต้องมีในช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจ พวกเราอาจจะสะดุดจากความเลินเล่อแม้เพียงเล็กน้อยที่สุด ด้วยว่าช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจแตกต่างไปจากช่วงระยะก่อนหน้านี้ทั้งหมด กล่าวคือ สิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้มีความเพียบพร้อมก็คือความเชื่อของมวลมนุษย์ ซึ่งการนี้ทั้งมองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำคือทรงแปลงพระวจนะเป็นความเชื่อ เป็นความรักและเป็นชีวิต ผู้คนต้องไปให้ถึงจุดที่พวกเขาได้ทนฝ่ากระบวนการถลุงนับหลายร้อย ครั้ง และครองความเชื่อที่ยิ่งใหญ่กว่าของโยบ พวกเขาต้องทนฝ่าความทุกข์อันเหลือเชื่อ และการทรมานทุกลักษณะโดยไม่เคยจากพระเจ้าไปเลย เมื่อพวกเขานบนอบตราบจนสิ้นชีพ และมีความเชื่ออันยิ่งใหญ่ในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจของพระเจ้าก็จะครบบริบูรณ์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เส้นทาง… (8)) พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ฉันเห็นว่า พระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระองค์คือการใช้พระวจนะทำให้ความเชื่อและความรักของพวกเราเพียบพร้อม เพื่อให้พวกเราสามารถปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์ผ่านการกดขี่และความยากลำบากได้ พระวจนะของพระองค์จึงจะกลายมาเป็นชีวิตของเรา ฉันนึกย้อนไปถึงตอนที่ถูกรัฐบาลกดขี่และไล่ตาม ในยามที่ฉันขี้ขลาดและหวาดกลัว ก็เป็นพระวจนะของพระเจ้าทั้งสิ้นที่นำฉัน มอบความเชื่อให้ฉันประกาศต่อไป ตอนนี้ฉันถูกจับกุมแล้ว ฉันต้องมีความเชื่อที่จะตั้งมั่น ต่อให้ฉันต้องติดคุกและถูกล่วงเกิน หรือถึงกับเสียชีวิต ฉันก็พร้อมที่จะนบนอบ จากนั้นเพลงสรรเสริญของคริสตจักรชื่อว่า “คำพยานแห่งชีวิต” ก็ผุดขึ้นมาในความคิดของฉันว่า “วันหนึ่งฉันอาจถูกจับกุมและถูกข่มเหงด้วยเหตุที่เป็นพยานให้พระเจ้า ความทุกข์นี้เป็นไปเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของความชอบธรรมซึ่งฉันก็รู้อยู่ในหัวใจ หากชีวิตของฉันสูญไปเหมือนประกายไฟในชั่วพริบตา ฉันจะยังคงรู้สึกภูมิใจที่ฉันสามารถติดตามพระคริสต์และเป็นพยานให้พระองค์ในชีวิตนี้ได้ หากฉันไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของการแผ่ขยายข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร ฉันก็จะยังคงมอบถวายความปรารถนาที่งดงามที่สุด หากฉันไม่สามารถมองเห็นวันแห่งราชอาณาจักรเป็นจริงขึ้นมาได้ แต่ฉันก็สามารถทำให้ซาตานอับอายได้ในวันนี้ เช่นนั้นแล้ว หัวใจของฉันย่อมจะเติมเต็มไปด้วยความชื่นบานและสันติสุข… พระวจนะของพระเจ้าเผยแผ่ไปทั่วทั้งโลก ความสว่างได้ปรากฏขึ้นท่ามกลางมนุษย์ ราชอาณาจักรแห่งพระคริสต์เกิดขึ้นและได้รับการสถาปนาภายในความทุกข์ยาก ความมืดกำลังจะผ่านไป รุ่งอรุณอันชอบธรรมได้มาถึงแล้ว เวลาและความเป็นจริงได้เป็นคำพยานต่อพระเจ้าแล้ว” (ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) เพลงสรรเสริญนี้ให้แรงบันดาลใจกับฉันจริงๆ ฉันเข้าใจแล้วว่าหากฉันถูกจับกุมเพราะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ นั่นย่อมจะเป็นการข่มเหงเพราะความชอบธรรม ตอนนี้ที่ฉันถูกจับ ฉันอาจจะติดคุกและไม่สามารถประกาศได้อีกต่อไป แต่ถึงแม้ฉันถูกจับกุมและถูกข่มเหง ฉันก็มีโอกาสในการมอบคำพยานที่อัศจรรย์เพื่อพระเจ้าและทำให้ซาตานอับอาย ฉันรู้สึกภูมิใจจริงๆ ความคิดนี้มอบความเชื่อให้แก่ฉัน หลังจากพักกลางวันพวกเขาก็มาสอบสวนเราอีกครั้ง พอเห็นว่าไม่ได้อะไรจากเราทั้งนั้น พวกเขาก็ปรับเงินเราสามพันจัตและปล่อยตัวเรามา ทั้งยังเตือนไม่ให้เราประกาศต่อไป และยังพูดอะไรมากมายที่หมิ่นประมาทพระเจ้าอีกด้วย ฉันเกลียดมารพวกนั้นยิ่งกว่าเดิม
หลังถูกปล่อยตัวออกมา ฉันก็ยังคงเผยแผ่ข่าวประเสริฐต่อไป วันหนึ่ง พี่น้องชายคนหนึ่งโทรมาหาฉันและบอกว่า “เจ้าหน้าที่ของจังหวัดรู้ว่าคุณเป็นคนนอกที่มาประกาศข่าวประเสริฐ พวกเขาจับตัวผมกับผู้เชื่อใหม่สองคนไปเพื่อให้เราขายความลับเรื่องของคุณ แต่ไม่มีใครพูด พวกเขาเลยปรับเงินเราและปล่อยตัวเรามา พวกเขายังบอกด้วยว่าถ้าพวกเขาเจอคุณประกาศข่าวประเสริฐอีก พวกเขาจะข่มขืนคุณตรงนั้นเลย พวกเขากำลังตามหาคุณไปทั่ว รีบหนีไปเถอะ…” ตอนได้ยินพี่น้องชายคนนี้บอกเรื่องนั้น ฉันก็แทบไม่เชื่อหูของตัวเองเลย ตอนที่ได้ยินว่าพวกเขาพูดว่าหากพวกเขาเจอฉันประกาศ พวกเขาจะข่มขืนฉัน ฉันก็โกรธจนควันออกหู คนพวกนั้นเป็นปีศาจจริงๆ แถมไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์เลย! ฉันเป็นเพียงผู้เชื่อที่แบ่งปันข่าวประเสริฐ แต่พวกเขาช่างเต็มไปด้วยความเกลียดชัง พวกเขาจะไม่ปล่อยให้เรามีความเชื่อ ต้องการที่จะจับกุม ข่มเหง และปรับเงินเรา ถึงกับจะข่มขืนและล่วงเกินฉัน พวกเขาเป็นมารที่ต่อต้านพระเจ้าจริงๆ ยิ่งพวกเขากดขี่ฉันมากเท่าไร ฉันยิ่งต้องการที่จะประกาศและเป็นพยานมากขึ้นเท่านั้น
ต่อมาในเดือนตุลาคม พวกเราไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐกันที่หมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง พี่น้องชายหญิงเคยไปประกาศที่นั่นมาก่อน แต่ศิษยาภิบาลของพวกเขาแพร่ข่าวลือเพื่อจะกีดกันผู้เชื่อจากการสืบค้นหนทางที่แท้จริง อีกทั้งรัฐบาลก็เริ่มจับกุมผู้เชื่อ คนในหมู่บ้านที่หลงผิดเพราะข่าวลือแถมยังกลัวที่จะถูกจับก็ไม่กล้าสืบค้นหนทางที่แท้จริง การเผยแผ่ข่าวประเสริฐย่อมจะเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเรา ฉันอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงนำ แล้วจากนั้น ฉันก็ไปหาคนสี่คนที่เข้าใจความจริงค่อนข้างดี และสามัคคีธรรมกับพวกเขาว่าหนทางที่แท้จริงคืออะไร หนทางเทียมเท็จคืออะไร และพระเจ้าทรงใช้การข่มเหงและการขัดขวางของซาตานในยุคสุดท้ายเพื่อเปิดเผยและทำให้ผู้คนเพียบพร้อม เพื่อแยกข้าวสาลีออกจากข้าวละมาน แยกหญิงพรหมจารีมีปัญญาออกจากหญิงพรหมจารีโง่อย่างไร พวกคนโง่นั้นฟังแต่มนุษย์ ฟังแต่ซาตาน เมื่อได้ยินข่าวว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาดำรัสพระวจนะแล้ว พวกเขาก็ไม่แสวงหาและสืบค้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถต้อนรับเจ้าบ่าวได้ มีเพียงผู้ที่พยายามเงี่ยหูฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ผู้ที่มีความเชื่อแน่วแน่ที่จะติดตามพระเจ้าเท่านั้นคือผู้มีปัญญา มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงอภิเษกสมรสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ หลังจากการสามัคคีธรรมครั้งนั้น พวกเขาทั้งสี่คนก็ต้องการที่จะสืบค้นต่อ ในช่วงสองสามวันถัดจากนั้น ฉันได้จัดการชุมนุมเพื่อพวกเขาและสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้ากับพวกเขา มีคนหนึ่งพูดว่า “ฉันเคยเชื่อฟังศิษยาภิบาลและผู้ใหญ่บ้านมาก่อน พวกเขาบอกว่าไม่ให้ฟังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันเลยไม่ฟัง ฉันเกือบพลาดโอกาสในการรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้าเสียแล้ว ฉันจะไม่ฟังผู้คนอีกต่อไป ฉันขอฟังพระเจ้า” อีกคนหนึ่งก็พูดว่า “การอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทำให้ฉันมั่นใจว่า พระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา ไม่ว่าคนอื่นจะขัดขวางฉันยังไง ฉันก็ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” ฉันมีความสุขมากที่ได้ยินพวกเขาพูดเช่นนี้ หลังจากนั้น พวกเขาก็พาญาติพี่น้องของตัวเองมาฟังคำเทศนา และในไม่ช้าก็มีคนยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ถึง 20 กว่าคน การที่ผู้เชื่อใหม่เหล่านี้สามารถแสวงหาหนทางที่แท้จริงและยืนหยัดอย่างเข้มแข็งท่ามกลางข่าวลือได้ทำให้ฉันตื้นตันใจจริงๆ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะการนำจากพระวจนะของพระเจ้า ในที่สุดแม่ของฉันก็ได้รับการปล่อยตัวในเดือนธันวาคม ตลอดหลายเดือนที่ถูกขังท่านต้องทำงานหนักทุกวัน คนทำงานของรัฐบาลพูดว่า พวกเขาจะต้องได้ตัวฉันและจับฉันไปขังคุกอย่างแน่นอน ฉันนึกถึงก่อนที่แม่ของฉันจะถูกปล่อยตัว ตำรวจที่มีปืนและไม้กระบองมักจะมาที่บ้านของฉันเพื่อมาจับฉัน บอกว่าพวกเขาจะไม่ปล่อยตัวแม่จนกว่าฉันจะกลับบ้าน แต่ตอนนี้พวกเขาปล่อยตัวแม่ของฉันมาแล้วโดยที่จับฉันไม่ได้ ฉันได้มีประสบการณ์อย่างแท้จริงว่าพระเจ้าทรงปกครองทุกสิ่ง และไม่ว่าฉันจะถูกจับหรือไม่ ทั้งหมดก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ทั้งสิ้น ฉันไม่ถูกบีบคั้น—ฉันยังคงประกาศและเป็นพยานแด่พระเจ้าต่อมา
ในการประกาศข่าวประเสริฐนั้น ฉันเผชิญกับความลำบากยากเย็นมากมาย รวมถึงการรู้สึกแย่และอ่อนแอด้วย แต่ทุกๆ ครั้งพระวจนะของพระเจ้าได้นำฉัน อนุญาตให้ฉันยืนหยัดในความหดหู่และความอ่อนแอ มอบความเชื่อให้ฉันในการประกาศและเป็นพยานยืนยันแด่พระเจ้าต่อไป ฉันได้รับประสบการณ์โดยแท้จริงว่าพระเจ้าทรงกำลังใช้อุปสรรคเหล่านี้เพื่อทำให้ความเชื่อของฉันเพียบพร้อม ฉันขอมอบความขอบคุณนี้แด่พระเจ้า ฉันจะทำหน้าที่รับผิดชอบของตัวเองให้ลุล่วง แบ่งปันข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าแก่ผู้คนให้มากขึ้น และตอบแทนความรักของพระเจ้าค่ะ