60. การรายงานผู้นำเทียมเท็จ: การดิ้นรนส่วนบุคคล

โดย กานเสี่ยว, ประเทศจีน

เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2020 ผู้นำคนหนึ่งย้ายฉันไปยังคริสตจักรอีกแห่งหลังจากที่ฉันถูกปลด  ในการชุมนุมครั้งแรกของฉันที่นั่น ฉันสังเกตว่าพี่น้องชายเหลียงฮุยมาชุมนุมสายไปหนึ่งชั่วโมง  พี่น้องหญิงถานหมิ่นที่เป็นผู้นำคริสตจักรก็อยู่ตรงนั้นด้วย  ฉันคิดในใจว่า “ฉันเคยได้ยินพี่น้องชายหญิงพูดกันว่าเหลียงฮุยสะเพร่าและทำตามอำเภอใจในหน้าที่ แล้วก็มาชุมนุมสายโดยไม่มีเหตุผลตลอด  การชุมนุมวันนี้เขามาสายมาก ดังนั้นถานหมิ่นจึงควรสามัคคีธรรมกับเขาถึงปัญหานี้”  แต่เธอกลับไม่สนใจเอาเสียเลยและไม่ได้พูดอะไรสักคำ  ในระหว่างการชุมนุม พี่น้องชายอีกคนพูดว่าเขารู้สึกอึดอัดเรื่องเงินและจิตใจของเขาก็ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับหน้าที่ของตน และเขาดูเศร้ามาก  พวกเราบางคนพบพระวจนะของพระเจ้าบางส่วนที่จะใช้สามัคคีธรรมและช่วยเหลือเขา แต่ในฐานะผู้นำคริสตจักร ถานหมิ่นกลับไม่แบ่งปันการสามัคคีธรรมแต่อย่างใด  ฉันมองเห็นว่าเธอไม่รับผิดชอบการชุมนุมและเอาแต่ทำอย่างขอไปทีโดยไม่ช่วยเหลือปัญหาของใครเลย  ฉันอยากจะคุยกับเธอถึงปัญหานี้  แต่แล้วฉันก็คิดว่าในเมื่อนี่เป็นการชุมนุมครั้งแรกของฉันที่นั่น ฉันอาจจะยังมองไม่เห็นภาพรวมทั้งหมด ดังนั้นฉันก็ควรจะรอดูไปก่อนที่จะพูดอะไรขึ้นมา  ฉันตกใจมากที่ได้เห็นว่าในการชุมนุมอีกสองสามครั้งถัดมา เธอก็เป็นเหมือนเดิมไม่มีผิด  บางครั้งเธอจบการชุมนุมเร็วมากหลังจากที่พวกเราอ่านพระวจนะของพระเจ้าไปบางส่วน โดยไม่สามัคคีธรรมถึงพระวจนะเหล่านั้นมากนักและเธอก็ไม่สนใจที่จะสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้า  ฉันมาคิดดูว่า “หน้าที่หลักของผู้นำคือการนำพี่น้องชายหญิงอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมถึงความจริง เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า  แต่ถานหมิ่นไม่นำพี่น้องสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าและไม่แก้ไขปัญหาของผู้คน  นี่คือการละทิ้งหน้าที่มิใช่หรือ?  นี่คือการทำอย่างขอไปทีไม่ใช่หรือ?  แล้วเช่นนี้จะทำอะไรสำเร็จได้อย่างไร? นี่ย่อมจะทำให้การเข้าสู่ชีวิตของทุกคนล่าช้าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ฉันอยากจะพูดอะไรออกไปบ้าง แต่ก็กลัวว่าเธอจะไม่ยอมรับ กลัวเธอจะพูดว่าฉันเป็นคนโอหัง ว่าฉันควรทบทวนตัวเองหลังจากที่ถูกปลดมา แทนที่จะเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น”  พอคิดเช่นนี้ ฉันก็ตัดสินใจถอยออกมา ลืมเรื่องนี้ไปเสีย และสนใจเรื่องของตัวเองก็พอ

หนึ่งเดือนให้หลัง ฉันได้ทำอีกหน้าที่หนึ่งและได้รับมอบหมายให้ดูแลการชุมนุมอีกสองกลุ่ม  พี่น้องชายหญิงในการชุมนุมเหล่านั้นทั้งไม่ตั้งใจสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าและไม่ได้ตั้งใจพูดคุยถึงประสบการณ์และความรู้ของตัวเอง บางครั้งพวกเขาก็แค่คุยกันเรื่องสัพเพเหระ  ฉันรู้สึกว่าการประสบความสำเร็จในชีวิตของคริสตจักรนั้นเกี่ยวพันโดยตรงกับผู้ที่นำคริสตจักร และถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป การเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงย่อมจะเสียหาย ฉันจึงหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาคุยกับถานหมิ่น  ฉันประหลาดใจที่เธอไม่ยอมรับโดยสิ้นเชิง และถึงกับยืนกรานว่าการที่ชีวิตคริสตจักรไม่ประสบความสำเร็จเป็นปัญหาของพี่น้องชายหญิงต่างหาก  ฉันคิดในใจว่า “เธอไม่ทบทวนตัวเองและโยนความรับผิดชอบให้พี่น้องชายหญิง  ในฐานะผู้นำคริสตจักร เธอไม่ยอมรับความจริงเอาเสียเลย ไม่ยอมฟังข้อเสนอแนะของพี่น้องชายหญิง และไม่ยอมแบกรับภาระอะไรเพื่อชีวิตคริสตจักร  เธอจะนำคนอื่นให้เข้าใจความจริงหรือเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างไร?  นี่รังแต่จะทำร้ายพี่น้องชายหญิงเท่านั้น  ฉันจำเป็นต้องคุยเรื่องนี้กับเธออีกครั้ง”  แต่ขณะที่ฉันกำลังจะพูดอะไรออกไป ฉันก็เริ่มกังวล คิดไปว่า “เธอเพิ่งจะไม่ยอมรับคำแนะนำของฉันเดี๋ยวนี้เอง และออกอาการด้วย  จะมีประโยชน์อะไรถ้าฉันพูดซ้ำ?  เธอเป็นผู้นำคริสตจักร ดังนั้นถ้าฉันคุยกับเธออีกครั้ง เธออาจจะพูดว่าฉันล้ำเส้น และอาจจะถือโกรธฉันขึ้นมา  ฉันควรจะปิดปากเงียบเท่านั้น”  ฉันรู้สึกไม่สบายใจที่ทำเช่นนั้น แต่ในท้ายที่สุดฉันก็ตัดสินใจไม่พูดอะไร  ไม่กี่วันหลังจากนั้นถานหมิ่นบอกฉันว่าเธอได้ตัดแต่งพี่น้องชายหญิงในการชุมนุมครั้งหนึ่ง แล้วก็อธิบายอย่างแจ่มแจ้งว่าเธอตัดแต่งพวกเขาไปอย่างไร  พอได้ฟัง ฉันก็ประหลาดใจและคิดว่า “คุณขาดความตระหนักในตัวเองถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?  ชีวิตคริสตจักรขาดระเบียบวินัยก็เพราะคุณไม่รับผิดชอบและสะเพร่าในฐานะผู้นำคริสตจักร  คุณเอาเรื่องนี้ไปดุว่าคนอื่นได้อย่างไร?  การเอาแต่ดุว่าผู้คนโดยไม่สามัคคีธรรมถึงความจริงเลยย่อมจะไม่ช่วยแก้ไขอะไร”  ฉันอยากพูดถึงปัญหาของเธออีกครั้งจริงๆ แต่พอได้เห็นว่าเธอรู้สึกเชื่อมั่นเหลือเกิน ฉันก็คิดว่าเธอน่าจะรับเรื่องนี้ไม่ค่อยได้  ฉันนึกเอาว่า “ฉันเพิ่งจะถูกปลดมา ดังนั้นฉันมีสิทธิ์อะไรที่จะพูดถึงปัญหาของเธอ?  อีกอย่างพวกเราก็ต้องเจอกันเป็นประจำอยู่แล้ว ถ้าฉันล่วงเกินเธอเข้า ก็จะทำให้สิ่งต่างๆ ในคริสตจักรยากสำหรับตัวเอง  จากนั้นถ้าเธอไม่ยอมมอบหมายหน้าที่ให้ฉันทำ ฉันก็จะสูญเสียโอกาสในความรอด  ถ้าอย่างนั้นก็เอาละ ฉันจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น ก้มหน้าก้มตาต่อไป ใช้ชีวิตคริสตจักรและทำหน้าที่ของตัวเองไปก็พอ”

ฉันได้ยินว่าพี่น้องชายหญิงบางคนพูดกันว่าถานหมิ่นดูแลงานข่าวประเสริฐ แต่เธอไม่จัดให้มีการชุมนุมกับพวกเขามาพักใหญ่แล้วด้วยซ้ำ  พวกเขาบอกด้วยว่าพวกเขาไม่สามารถจัดการแก้ไขปัญหาของผู้มาใหม่ได้ มีผู้มาใหม่บางส่วนถูกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสทางศาสนารังควาน จึงเลิกเข้าร่วมการชุมนุม  ฉันคิดว่า “งานข่าวประเสริฐมีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่ถานหมิ่นไม่ทำอะไรเพื่อที่จะจัดการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริง  แบบนี้ไม่รับผิดชอบเลย!  ถานหมิ่นไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และมีส่วนโดยตรงในการที่ผู้มาใหม่ถอดใจเพราะพวกเขาไม่ได้รับการให้น้ำหรือบำรุงเลี้ยงเลย!”  ฉันรู้สึกว่านี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงมาก และแน่นอนที่สุดว่าฉันจำต้องคุยกับเธอซึ่งหน้าแล้ว  สองวันหลังจากนั้นฉันไปพบถานหมิ่นและหยิบยกปัญหาที่พี่น้องชายหญิงเหล่านั้นเอ่ยถึงขึ้นมาพูด แต่เธอกลับโทษว่าเป็นความผิดของพี่น้องชายหญิงทั้งหมด  ดูเหมือนเธอจะไม่รับผิดชอบอะไรเลย  ฉันยังชี้ด้วยว่าการไม่ทำอะไรเพื่อจัดการแก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในฐานะผู้นำคริสตจักร ก็คือการที่เธอไม่รับผิดชอบและละเลยหน้าที่ของตัวเอง และนี่ย่อมจะถ่วงให้งานของคริสตจักรล่าช้า และทำร้ายพี่น้องชายหญิง  แต่เธอกลับทำหน้าบอกบุญไม่รับและไม่ยอมพูดอะไรสักคำ  ฉันจึงคิดว่า “เธอไม่ยอมทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ไม่ยอมแบกรับภาระเพื่อหน้าที่ของตัวเอง และไม่เคยยอมรับความจริง  นี่หมายความว่าเธอคือผู้นำเทียมเท็จที่ถูกเปิดโปงให้เห็น ฉันควรจะรายงานปัญหาของเธอต่อผู้นำระดับสูงขึ้นไปเพื่อให้ถอดเธอออกจากตำแหน่งให้เร็วที่สุด”  แต่ฉันก็ลังเลโดยคิดว่า “ถ้าฉันรายงานเรื่องของเธอแล้วเธอรู้เข้า เธอจะพูดว่าฉันหาเรื่องเธอและตั้งใจที่จะผิดใจกับเธอหรือไม่?  หากเธอถูกปลดก็คงไม่แย่อะไรนัก แต่ถ้าเธอไม่ถูกปลด ฉันก็มีแต่จะล่วงเกินเธอเท่านั้นไม่ใช่หรือ?  นั่นจะยิ่งทำให้ฉันอยู่ในคริสตจักรนี้ยากขึ้นมาก  ถ้าเธอปลดฉันและฉันสูญเสียหน้าที่ของตัวเอง ฉันจะสูญสิ้นโอกาสในความรอดหรือเปล่า?  ถ้าอย่างนั้น ก็ได้ ฉันจะไม่รายงานปัญหาของเธอ แล้วก็จะรักษาหน้าที่ที่ฉันมีเอาไว้ก็พอ”  แต่พอฉันคิดแบบนั้น ฉันกลับรู้สึกผิดมาก  ฉันมองออกว่าคริสตจักรมีผู้นำเทียมเท็จ แต่ฉันก็เก็บเรื่องนี้ไว้กับตัว  นี่เป็นการค้ำจุนงานของคริสตจักรหรือ?  ฉันรู้สึกขัดแย้งอยู่ข้างในเป็นอย่างมาก จึงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “โอ พระเจ้า ข้าพระองค์มองเห็นปัญหาของถานหมิ่นและอยากจะรายงานเรื่องของเธอ แต่ข้าพระองค์มีความกังวลบางอย่าง  ได้โปรดนำให้ข้าพระองค์เอาชนะพลังมืดเหล่านี้และปกป้องดูแลงานของคริสตจักรได้ด้วยเถิด”

ภายหลัง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “ผู้คนควรมีท่าทีเช่นไรในแง่ของวิธีการปฏิบัติต่อผู้นำหรือคนทำงาน?  ถ้าสิ่งที่ผู้นำหรือคนทำงานทำนั้นถูกต้องและสอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถเชื่อฟังพวกเขา ถ้าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นผิดและไม่สอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ควรเชื่อฟัง และเจ้าสามารถเปิดโปงพวกเขา คัดค้านพวกเขา และให้ความคิดเห็นที่ต่างออกไปได้  ถ้าพวกเขาไม่สามารถทำงานที่แท้จริงได้หรือมีความประพฤติชั่วซึ่งก่อกวนงานของคริสตจักร และถูกเผยว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ คนทำงานเทียมเท็จ หรือศัตรูของพระคริสต์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะ เปิดโปง และรายงานพวกเขาได้  อย่างไรก็ดีประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรบางคนไม่เข้าใจความจริงและขลาดเป็นพิเศษ  พวกเขากลัวว่าจะถูกผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ข่มขี่และทรมาน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าค้ำจุนหลักธรรม  พวกเขากล่าวว่า ‘ถ้าผู้นำไล่ฉันออกไป ฉันก็จบสิ้น ถ้าเขาให้ทุกคนเปิดโปงหรือทอดทิ้งฉัน เช่นนั้นแล้วฉันก็จะไม่สามารถเชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป  ถ้าฉันถูกขับไล่ออกจากคริสตจักร เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะไม่ต้องประสงค์ฉันและจะไม่ช่วยฉันให้รอด  แล้วความเชื่อของฉันจะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ?’  การคิดแบบนี้ไม่ไร้สาระเช่นนั้นหรือ?  ผู้คนเช่นนี้มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าหรือไม่?  เวลาที่ผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์ขับไล่เจ้าออกไป พวกเขากำลังแสดงเป็นพระเจ้าใช่หรือไม่?  เวลาที่ผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์ทรมานและขับไล่เจ้าออกไป นี่คืองานของซาตาน และไม่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าเลย เมื่อผู้คนถูกเอาตัวออกไปหรือถูกขับไล่ออกจากคริสตจักร นี่ย่อมสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าต่อเมื่อมีการตัดสินใจร่วมกันระหว่างคริสตจักรกับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทั้งหมด และต่อเมื่อการเอาตัวออกไปหรือการขับไล่นั้นสอดคล้องกับการจัดแจงเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและหลักธรรมความจริงในพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ  การถูกผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์ขับไล่หมายความว่าเจ้าไม่อาจได้รับการช่วยให้รอดได้อย่างไร?  นี่คือการข่มเหงของซาตานและศัตรูของพระคริสต์ และไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าจะไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอด  การที่เจ้าจะได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพระเจ้า  ไม่มีมนุษย์คนใดมีคุณสมบัติที่จะตัดสินว่าเจ้าสามารถได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าหรือไม่  เจ้าต้องชัดเจนในเรื่องนี้  และการปฏิบัติต่อการถูกขับไล่ของเจ้าโดยผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์ประหนึ่งการถูกขับไล่โดยพระเจ้านั้น—มิใช่การเข้าใจพระเจ้าผิดหรอกหรือ?  นี่คือการเข้าใจพระเจ้าผิด  และนี่ไม่เพียงเป็นการเข้าใจพระเจ้าผิดเท่านั้น แต่ยังเป็นการกบฏต่อพระเจ้าด้วยเช่นกัน  ทั้งยังเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้าอีกด้วย  การเข้าใจพระเจ้าผิดแบบนี้ไม่โง่เขลาและไม่รู้ความหรอกหรือ?  เมื่อผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์ขับไล่เจ้า เหตุใดเจ้าจึงไม่แสวงหาความจริง?  เหตุใดเจ้าจึงไม่เสาะหาใครสักคนที่เข้าใจความจริงเพื่อให้เกิดวิจารณญาณบางอย่าง?  และเหตุใดเจ้าจึงไม่รายงานเรื่องนี้ต่อผู้ที่มีตำแหน่งสูงขึ้นไป?  นี่พิสูจน์ว่าเจ้าไม่เชื่อว่าความจริงเป็นใหญ่ที่สุดในพระนิเวศของพระเจ้า นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า และเจ้าไม่ใช่คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง  ถ้าเจ้าไว้วางใจมหิทธานุภาพของพระเจ้า เหตุใดเจ้าจึงกลัวการตอบโต้ของผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์เล่า?  พวกเขากำหนดชะตากรรมของเจ้าได้หรือ?  ถ้าเจ้าสามารถแยะแยะและจับสังเกตได้ว่าการกระทำของพวกเขาไม่สอดคล้องกับความจริง เหตุใดจึงไม่สามัคคีธรรมกับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรซึ่งเข้าใจความจริง?  เจ้ามีปาก แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่กล้าพูดออกมา?  ทำไมเจ้าถึงกลัวผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์ขนาดนี้?  นี่พิสูจน์ว่าเจ้าเป็นคนขลาด ไม่มีอะไรดี และเป็นลูกไล่ของซาตาน(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สาม: พวกเขากีดกันและโจมตีบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง)  การได้อ่านบทตอนนี้ทำให้หัวใจของฉันสดใสขึ้นจริงๆ  เมื่อพวกเราพบเจอผู้นำเทียมเท็จในคริสตจักร พวกเราไม่ควรคุกเข่าและยอมให้พวกเขาตีกรอบทุกครั้งไป  พวกเราต้องยืนหยัดขึ้นมา เปิดโปงพวกเขา และรายงานเรื่องของพวกเขาไปยังผู้นำระดับสูง  นั่นคือน้ำพระทัยของพระเจ้า  ฉันรู้ว่าถานหมิ่นไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและรู้ว่าเธอเป็นผู้นำเทียมเท็จ แต่ฉันไม่กล้าพูดถึงปัญหาของเธอเพราะฉันมองเรื่องนี้จากมุมมองที่ผิด  ฉันมัวแต่คิดว่าผู้นำมีอำนาจตัดสินใจ และคิดว่าเธอคือคนตัดสินใจว่าฉันจะได้ทำหน้าที่หรือไม่ และถ้าฉันล่วงเกินเธอ ฉันอาจจะสูญเสียหน้าที่แล้วก็จะไม่ได้รับการช่วยให้รอด  ฉันมองเห็นว่าตลอดเวลาหลายปีที่ฉันอยู่ในความเชื่อ ฉันยังคงไม่มีความเข้าใจในพระเจ้า  ความจริงและพระเจ้าพระองค์เองย่อมเป็นใหญ่ในพระนิเวศของพระเจ้า  การที่ฉันจะมีหน้าที่หรือจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้นำคนใด ต่อให้ผู้นำเทียมเท็จมีอำนาจสั่งการและฉันถูกข่มปรามจริงๆ นั่นย่อมจะเป็นเรื่องชั่วคราว  พระเจ้าทรงเห็นทุกอย่างและพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเปิดเผยทุกสิ่ง ดังนั้นผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะถูกเปิดโปงและกำจัดออกไปไม่ช้าก็เร็ว ฉันไม่เข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าและกลัวว่าจะล่วงเกินคนอื่น แต่กลับไม่กลัวว่าจะล่วงเกินพระเจ้า  หัวใจของฉันไม่ได้มีที่ทางให้พระเจ้า  ฉันเป็นผู้เชื่อแบบไหนกัน?  ฉันคิดมาตลอดว่าในเมื่อฉันไม่ใช่ผู้นำ ฉันก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะวิจารณ์ถานหมิ่น และฉันก็กังวลว่าคนอื่นจะพูดว่าฉันควรสนใจเรื่องของตัวเอง  ฉันมองสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีที่ไร้สาระน่าขันเป็นที่สุด  ในฐานะสมาชิกแห่งพระนิเวศของพระเจ้า การที่ฉันจะถูกปลดหรือจะได้ทำหน้าที่อะไรนั้นไม่สำคัญ—ถ้าฉันพบเจอผู้นำเทียมเท็จในคริสตจักร ก็ย่อมเป็นความรับผิดชอบของฉัน เป็นภาระผูกพันของฉันที่จะรายงานพวกเขา  นั่นคือการปกป้องดูแลงานของคริสตจักร ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีและยังเป็นการรับผิดชอบชีวิตของพี่น้องชายหญิงด้วย  นั่นไม่มีวันเป็นการล้ำเส้นหรือการก้าวก่าย และยิ่งไม่ใช่ความโอหังและการยกย่องตัวเอง  นี่คือการทำหน้าที่ของประชากรคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต่างหาก  การตระหนักเช่นนี้ทำให้ฉันคิดทบทวนว่าทำไมฉันถึงกลัวการเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จนักหนา  รากเหง้าที่แท้จริงของปัญหานี้คืออะไร?

ในการแสวงหาของฉัน ฉันได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า ความว่า “ทั้งมโนธรรมและเหตุผลควรเป็นองค์ประกอบของสภาวะความเป็นมนุษย์ของบุคคลหนึ่ง  สองสิ่งนี้คือสิ่งที่  เป็นรากฐานและสำคัญมากที่สุด  บุคคลประเภทใดคือผู้ที่ขาดพร่องมโนธรรมและไม่มีเหตุผลของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ?  พูดโดยทั่วไปแล้ว พวกเขาคือบุคคลที่ขาดพร่องสภาวะความเป็นมนุษย์ บุคคลที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ด้อยอย่างสุดขีด  เมื่อลงรายละเอียด บุคคลผู้นี้แสดงให้เห็นถึงการสำแดงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่สูญหายไปเช่นไร?  จงวิเคราะห์กันตามสบายว่ามีลักษณะเฉพาะอันใดที่พบเห็นได้ในตัวผู้คนแบบนี้ และพวกเขาแสดงให้เห็นถึงการสำแดงสิ่งใดเป็นการเฉพาะ  (พวกเขาเห็นแก่ตัวและต่ำช้า)  ผู้คนที่เห็นแก่ตัวและต่ำช้าย่อมสุกเอาเผากินในการกระทำของพวกเขาและปลีกตัวห่างจากสิ่งใดก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเป็นการส่วนตัว  พวกเขาไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ได้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พวกเขาไม่ได้รับภาระอันใดเกี่ยวกับ  การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาหรือเป็นพยานยืนยันแด่พระเจ้า และพวกเขาไม่มีสำนึกรับรู้แห่งความรับผิดชอบเลย… มีผู้คนบางคนที่ไม่รับผิดชอบใดๆ ไม่ว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ใดอยู่  พวกเขาไม่รายงานปัญหาที่พวกเขาพบต่อผู้บังคับบัญชาของพวกเขาโดยทันทีอีกด้วย  เมื่อพวกเขาเห็นผู้คนเข้ามาขัดจังหวะและก่อกวน พวกเขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น  เมื่อพวกเขาเห็นคนชั่วทำความชั่ว พวกเขาไม่พยายามห้ามคนพวกนั้น  พวกเขาไม่ปกป้อง  ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า หรือคำนึงถึง  หน้าที่และความรับผิดชอบของพวกเขาเลย  เมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน ผู้คนแบบนี้ไม่ทำงานจริงจังใดๆ พวกเขาเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนและละโมบความสะดวกสบาย พวกเขาพูดและกระทำเพียงเพื่อความถือดี หน้าตา สถานะ และผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น และยินดีที่  จะอุทิศเวลาและความพยายามของตนเพื่อสิ่งต่างๆ  ที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเท่านั้น  การกระทำและเจตนาของใครบางคนเยี่ยงนั้นเป็นที่ชัดเจนต่อทุกคน กล่าวคือ พวกเขารีบออกมาเมื่อใดก็ตามที่มีโอกาสได้เสนอหน้า  หรือชื่นชมกับพระพรบางอย่าง  แต่เมื่อไม่มีโอกาสที่จะได้เสนอหน้า  หรือทันทีที่มีเวลาแห่งการทนทุกข์ พวกเขาก็จะอันตรธานหายไปจากสายตาเหมือนเต่าที่กำลังหดหัว  บุคคลประเภทนี้มีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่?  (ไม่)  บุคคลที่ไม่มีมโนธรรมและเหตุผลที่ประพฤติตนในหนทางนี้รู้สึกตำหนิติเตียนตนเองหรือไม่?  ผู้คนเช่นนี้ไม่มีสำนึกของการตำหนิติเตียนตนเอง มโนธรรมของบุคคลประเภทนี้ไม่มีประโยชน์อันใด  พวกเขาไม่มีวันรู้สึกถึงการถูกมโนธรรมของตนตำหนิ  ดังนั้นพวกเขาจะสามารถรู้สึกถึงการตำหนิติเตียนหรือการบ่มวินัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หรือ?  ไม่ พวกเขาไม่สามารถรู้สึกได้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เมื่อมอบหัวใจของคนเราแก่พระเจ้า คนเราย่อมจะสามารถได้มาซึ่งความจริง)  พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ฉันเข้าใจว่าการกลัวการเปิดโปงและรายงานเรื่องผู้นำเทียมเท็จนั้นมาจากการพึ่งพาปรัชญาของซาตาน เช่น “จงปล่อยสิ่งทั้งหลายให้ลอยไป หากพวกมันไม่ส่งผลต่อคนเราเป็นการส่วนตัว” “ผู้คนที่มีไหวพริบนั้น เก่งในการปกป้องตัวเอง ด้วยการแค่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาเท่านั้น” และ “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม”  ปรัชญาเหล่านี้ของซาตานกลายเป็นส่วนหนึ่งของคติประจำใจของฉันและควบคุมการคิดของฉัน ฉันถึงได้พยายามปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองตลอดเวลาโดยไม่ได้นึกถึงงานของคริสตจักรเลย  ฉันกลายเป็นคนที่น่าดูหมิ่น เห็นแก่ตัว และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมากขึ้นเรื่อยๆ  ฉันมองเห็นอย่างชัดเจนว่าถานหมิ่นไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ไม่ยอมรับความจริง และเป็นผู้นำเทียมเท็จ  พฤติกรรมของเธอส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่องานของคริสตจักรและดึงให้การเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงช้าลง ดังนั้น ฉันควรเปิดเผยเรื่องนี้และรายงานเรื่องของเธอ  แต่ฉันกลัวว่าจะถูกเธอกล่าวโทษและข่มปรามถ้าไปล่วงเกินเธอเข้า ฉันจึงไม่กล้ารายงานเรื่องของเธอ  ฉันต้องการปกป้องชื่อเสียง สถานะ และบั้นปลายในอนาคตของตัวเอง ฉันจึงเอาแต่มองดูงานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงได้รับความเสียหายเพราะท่าทีที่ทำเป็นมองไม่เห็นและไม่ยอมแตะต้องผู้นำเทียมเท็จเลย  ฉันกำลังยืนอยู่ข้างซาตาน ตามใจผู้นำเทียมเท็จที่ทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก  ฉันใช้ชีวิตตามพิษทั้งหลายของซาตานและกลายเป็นทาสของมัน คอยรักษาตัวเองให้รอดเท่านั้น ไร้การอุทิศตนให้แก่พระเจ้าโดยสิ้นเชิง ไม่มีมโนธรรมและเหตุผล  ฉันไม่ได้ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์เลย  ฉันมองเห็นว่าตัวเองยังคงอยู่ใต้พลังอำนาจของซาตานและยังคงเป็นของซาตาน  ฉันต้องไล่ตามเสาะหาความจริง ละทิ้งซาตาน และเป็นคนที่เชื่อฟังพระเจ้า  พอฉันมองเห็นทั้งหมดนี้อย่างกระจ่างชัด ฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองติดค้างพระเจ้าจริงๆ และเกลียดตัวเองที่เห็นแก่ตัวและไร้มโนธรรมขนาดนี้  ฉันต้องรายงานเรื่องผู้นำเทียมเท็จทันทีและหยุดทำร้ายพระทัยของพระเจ้า  ดังนั้นฉันจึงบอกผู้นำระดับสูงขึ้นไปถึงประเด็นปัญหาทั้งหมดที่ถานหมิ่นไม่ยอมทำงานจริงหรือไม่ยอมรับความจริง  แต่ผ่านไปแล้วสองสามวัน ฉันยังไม่ได้ยินอะไรจากผู้นำระดับสูงเลยว่าพวกเขาจัดการถานหมิ่นอย่างไร  ฉันรู้สึกร้อนใจอยู่บ้าง  ถ้าผู้นำเทียมเท็จคนนี้ไม่ถูกปลดในเร็ววัน ก็อาจขัดขวางงานของคริสตจักรต่อไป ฉันจึงคิดจะเขียนไปอีกครั้งเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น  แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ถ้าฉันหยิบยกเรื่องนี้มาพูดอีกครั้ง ผู้นำระดับสูงอาจจะคิดว่าฉันเข้าไปยุ่งหลายเรื่องเกินไป  อย่างไรก็ตาม ในเมื่อฉันบอกมุมมองของตนไปแล้ว บางทีฉันคงลุล่วงความรับผิดชอบของฉันแล้วและไม่ควรเป็นห่วงเรื่องที่เหลือ”  แต่ความคิดนี้กลับทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจ และคืนนั้นฉันก็ข่มตาหลับไม่ลง

เช้าวันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าที่ว่า “หากคริสตจักรหนึ่งไม่มีผู้ใดสักคนที่เต็มใจปฏิบัติความจริง และไม่มีผู้ใดสักคนที่สามารถยืนหยัดเป็นพยานให้แก่พระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้ว คริสตจักรนั้นจะต้องถูกแยกไปอย่างบริบูรณ์ และการติดต่อกับคริสตจักรอื่นๆ ต้องถูกตัดขาด  ‘สิ่งนี้เรียกว่าการฝังความตาย’ นี่คือสิ่งที่หมายถึงการเดียดฉันท์ซาตาน  หากคริสตจักรหนึ่งมีอันธพาลประจำถิ่นหลายคน และพวกเขาถูกติดตามโดย ‘แมลงวันเล็กๆ’ ที่ขาดพร่องการหยั่งรู้โดยสิ้นเชิง และหากสมาชิกของคริสตจักรนั้น แม้ว่าหลังจากได้เห็นความจริงแล้ว ก็ยังคงไม่สามารถปฏิเสธการผูกมัดและการบงการของอันธพาลเหล่านี้ได้—เช่นนั้นแล้ว คนโง่ทั้งหมดนั้นย่อมจะถูกกำจัดออกไปในที่สุด  แมลงวันเล็กๆ เหล่านี้อาจไม่ได้ทำสิ่งใดที่น่ากลัว แต่พวกเขาตลบตะแลงเสียยิ่งกว่า ลื่นไหลและหลบเลี่ยงเก่งเสียยิ่งกว่า และทุกคนที่เป็นเช่นนี้ย่อมจะถูกกำจัดออกไป  จะต้องไม่หลงเหลือสักคนเดียว!  พวกที่เป็นของซาตานก็จะถูกส่งกลับไปหาซาตาน ขณะที่บรรดาผู้ที่เป็นของพระเจ้าก็จะไปค้นหาความจริงอย่างแน่นอน การนี้ถูกตัดสินโดยธรรมชาติของพวกเขา  พวกเหล่านั้นทั้งหมดที่ติดตามซาตานจงพินาศไปให้สิ้น!  จะไม่มีการแสดงความสงสารต่อผู้คนเช่นนั้นเลย  บรรดาผู้ที่ค้นหาความจริงจงได้รับการจัดเตรียมให้ และขอให้พวกเขาได้รับความพึงพอใจในพระวจนะของพระเจ้าจนสมใจของพวกเขา  พระเจ้าทรงชอบธรรม  พระองค์จะไม่ทรงแสดงความลำเอียงต่อผู้ใด  หากเจ้าคือมาร เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ หากเจ้าคือใครบางคนที่ค้นหาความจริง เช่นนั้นแล้ว ก็แน่นอนว่าเจ้าจะไม่ถูกซาตานจับเป็นเชลย  การนี้อยู่นอกเหนือความสงสัยทั้งปวง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง)  ฉันมองเห็นได้จากพระวจนะของพระเจ้าว่าพระอุปนิสัยของพระองค์นั้นบริสุทธิ์และชอบธรรม และจะไม่ทนต่อการล่วงเกินใดๆ  พระองค์ทรงเกลียดชังการที่ผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักและถ่วงการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงให้ล่าช้า  พระเจ้าทรงรังเกียจผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริงหรือไม่พิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของคริสตจักรเวลาที่มีผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ปรากฏขึ้น  คนประเภทนี้เข้าใจความจริง แต่ยังคงไม่ปฏิบัติความจริง กลับคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น  พวกเขาเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและกลิ้งกลอกจริงๆ และจะถูกกำจัดออกไปถ้าไม่ยอมกลับใจ  ฉันรู้ว่าถานหมิ่นเป็นผู้นำเทียมเท็จ และตอนนี้ผู้นำที่อยู่เหนือเธอขึ้นไปก็ไม่ตอบสนองเร็วพอ ฉันจำเป็นต้องพูดต่อไปและตามเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด  แต่ตอนนั้นฉันกลับอยากปกป้องตัวเองและไม่สนใจสิ่งใดที่ไม่มีผลกระทบกับฉันเป็นการส่วนตัว  ฉันยอมให้เธอกำเริบเสิบสานและทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก  ฉันไม่ได้คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและไม่ได้ยืนอยู่ข้างความจริง แต่กลับยืนข้างซาตาน  นั่นคือการมีส่วนในความเลวของผู้นำเทียมเท็จ  แม้จะดูเหมือนฉันไม่ได้ทำอะไรเลวร้าย แต่ถ้าฉันไม่ปฏิบัติความจริงหรือปกป้องงานของคริสตจักรเวลาเผชิญปัญหาทั้งหลาย ท้ายที่สุดฉันจะได้แต่ถูกกำจัดออกไปเท่านั้น  ฉันรู้ว่าคราวนี้ฉันจะมัวห่วงผลประโยชน์ของตัวเองไม่ได้แล้วและฉันจะยอมให้ผู้นำเทียมเท็จคนนี้ทำให้งานของคริสตจักรเสียหายต่อไปอีกไม่ได้  ผู้นำระดับสูงขึ้นไปประวิงเวลาในการจัดการถานหมิ่น ดังนั้นถึงแม้ฉันจะไม่รู้เหตุผล แต่นั่นก็คือการที่พระเจ้าทรงทดสอบฉันเพื่อดูว่าฉันจะละวางผลประโยชน์ส่วนตัวและค้ำจุนหลักธรรมความจริงได้หรือไม่  ฉันจำต้องรายงานเรื่องผู้นำเทียมเท็จคนนี้ต่อไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักร  ดังนั้นฉันจึงรายงานสถานการณ์ดังกล่าวต่อผู้นำระดับสูงอีกครั้ง และย้ำถึงอันตรายกับผลสืบเนื่องของการปลดผู้นำเทียมเท็จไม่สำเร็จ  เธอตอบกลับมาและบอกว่าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานั้น เธอมีเรื่องด่วนที่ต้องดูแล และบอกว่าเธอจะปลดถานหมิ่นทันทีให้ตรงตามหลักธรรม  พอได้เห็นคำตอบเช่นนั้น ฉันก็โล่งใจอย่างมากและได้เรียนรู้ว่าทางเดียวที่จะมีสันติสุขก็คือการนำความจริงมาปฏิบัติ

ในเวลาไม่นานถานหมิ่นก็ถูกปลด และมีการเลือกผู้นำอีกคนหนึ่งมาทำงานของคริสตจักร  หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ชีวิตคริสตจักรก็ประสบผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากมาย และงานทั้งหมดของพวกเราก็เริ่มก้าวหน้า  ฉันดีใจมากที่เห็นอะไรๆ ออกมาแบบนี้ แต่ขณะเดียวกันฉันก็รู้สึกผิดและเสียใจอยู่บ้าง  หลังจากที่สังเกตเห็นผู้นำเทียมเท็จ ฉันไม่ได้รายงานเรื่องของเธอให้เร็วพอ  ฉันกลับคิดถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวและแสดงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตนเองออกมา สร้างความสูญเสียให้แก่งานของคริสตจักร  ฉันได้เห็นว่าการใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานและไม่ปฏิบัติความจริงคือการทำชั่วโดยแท้อย่างไร และได้เห็นว่าพระเจ้าทรงกล่าวโทษและดูหมิ่นทั้งหมดนั้น  ฉันมองเห็นอีกด้วยว่าพระราชกิจของพระเจ้าทรงปัญญาเพียงใด และการได้เห็นผู้นำเทียมเท็จคนนี้ในคริสตจักรก็ช่วยให้ฉันเกิดวิจารณญาณขึ้นมา  ฉันยังมีประสบการณ์กับอันตรายอันใหญ่หลวงที่ผู้นำเทียมเท็จในคริสตจักรสามารถทำกับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  ฉันยังได้เรียนรู้ถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า และได้มองเห็นว่าในพระนิเวศของพระเจ้านั้น พระคริสต์และความจริงเป็นใหญ่ และไม่มีบุคคลใดมีสิทธิ์ตัดสินชี้ขาด  ไม่ว่าใครจะมีตำแหน่งสูงเพียงใด ถ้าพวกเขาไม่ปฏิบัติความจริงและไม่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า พวกเขาก็จะไม่มีวันมีรากฐานอันมั่นคงในพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาย่อมจะถูกกำจัดออกไปในท้ายที่สุด  มีเพียงการนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติและลงมือทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมเท่านั้นที่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์

ก่อนหน้า: 59. ความขมขื่นของการชอบเอาใจผู้คน

ถัดไป: 61. ยี่สิบวันแห่งความทุกข์ทรมาน

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger