59. ความขมขื่นของการชอบเอาใจผู้คน

โดย แฟรงกี, ประเทศกรีซ

ค.ศ. 2021 พี่น้องชายกาเบรียลที่เดินทางประกาศข่าวประเสริฐกับผมถูกปลด  พอผมถามเขาถึงเรื่องดังกล่าว เขาก็บอกผมว่าช่วงสองสามปีให้หลังเขาไม่ได้ทำงานในหน้าที่ของตนให้ดี เขาทำตามวิธีของตัวเองและดื้อรั้นเอาแต่ใจจนงานของคริสตจักรหยุดชะงักอย่างร้ายแรง ดังนั้นเขาจึงถูกปลด  ผมรู้สึกแย่ที่เขามาถึงจุดนี้ รู้สึกแย่ที่เห็นเขาเต็มไปด้วยความเสียใจเหลือล้น  และรู้สึกย่ำแย่มาก  เมื่อนึกย้อนไปถึงงานที่พวกเราทำด้วยกัน ผมสังเกตเห็นว่าเขาทำงานส่งเดชและทำสิ่งต่างๆ ตามวิธีของตัวเอง  ผมอยากชี้ให้เขาเห็น อยากช่วยเขาคิดทบทวนและเกิดความตระหนักรู้ตัวเอง แต่พอจะเอ่ยปากผมกลับลังเลและคิดว่า “ผู้นำต้องเปิดโปงและตัดแต่งเขาไปมากแล้วเป็นแน่ตอนที่ปลดเขา เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องทุกข์ใจมากอยู่แล้ว  ถ้าฉันพูดอะไรออกไปอีก นั่นจะไม่เป็นการโรยเกลือใส่แผลหรือ?  เขาจะไม่คิดว่าฉันขาดความเห็นอกเห็นใจหรือ?  อีกอย่าง ผู้นำต้องพูดถึงปัญหาที่ฉันสังเกตเห็นไปแล้ว ดังนั้นฉันแค่ปลอบเขาก็พอ”  ด้วยเหตุนี้ผมจึงบอกเขาว่า “ผมแน่ใจว่าตลอดหลายปีมานี้ คุณได้รับประสบการณ์มากมายบนเส้นทางประกาศข่าวประเสริฐ หรืออย่างน้อยก็มีความเข้าใจเชิงลึกอยู่มาก  พี่น้องชายหญิงในคริสตจักรที่นี่หลายคนเป็นผู้เชื่อใหม่ที่เข้าร่วมในช่วงไม่กี่ปีให้หลัง พวกเขาไม่มีประสบการณ์ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐมากนัก  กลับบ้านมาคุณก็จะช่วยทุกคนได้”  ผมแปลกใจที่เขาตอบมาว่า “พี่ชาย ผมผิดหวังที่ได้ยินคุณพูดอย่างนี้  ผมนึกว่าคุณจะชี้ให้ผมเห็นปัญหาและช่วยให้ผมทบทวนและเกิดความตระหนักรู้ในตัวเองมากขึ้นได้ นี่ย่อมจะเป็นผลดีต่อชีวิตของผม  แต่คุณกลับชมเชยผมแม้ว่าผมจะจมดิ่งมาถึงระดับนี้ ทำให้ผมคิดไปว่าการที่ตัวเองถูกปลดไม่ใช่เรื่องใหญ่และผมมีความสามารถมากกว่าคนอื่น  คุณกำลังเป็น คนที่ชอบเอาใจผู้อื่น ทำตัวเป็นลูกสมุนของซาตาน ผลักให้ผมเข้าใกล้นรกมากขึ้น!  คำพูดที่รื่นหูเหล่านี้ไม่ได้สอนใจผู้คน ดังนั้นอย่าพูดอีกเลย  นี่ไม่ใช่ความรัก ที่จริงแล้วนี่สร้างความเสียหายและเป็นภัย”  เมื่อได้ฟังเขาพูดเช่นนี้ผมก็รู้สึกละอายใจจริงๆ  และอยากจะแทรกแผ่นดินหนี  ผมตระหนักดีว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของกาเบรียลไม่ได้เปลี่ยนแปลงนักแม้จะเชื่อมาหลายปีแล้ว เขาไม่เคยมีผลงานที่ชัดเจนในหน้าที่และนี่คือสภาวะที่อันตราย  ผมไม่เพียงไม่ชี้ปัญหาให้เขาเห็นและไม่ช่วยเขาเท่านั้น ผมยังพูดแต่สิ่งดีๆ อีกด้วย  ผมไม่จริงใจ ทำตัวสุภาพ และพูดจาชมเชยตามวิถีของทางโลก  นั่นเป็นเพียงการหยอกเขาเล่นและทำตัวเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงไม่ใช่หรือ?  การปลดกาเบรียลในตอนนี้เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ทบทวนและรู้จักตัวเองมากขึ้น  ถ้าเขาแสวงหาความจริง ทบทวนตัวเอง และกลับใจอย่างแท้จริงได้ ความล้มเหลวครั้งนี้ก็อาจเป็นจุดเปลี่ยนในความเชื่อของเขา  แต่ผมกลับเป็นเครื่องสะดุด พ่นคำพูดไร้สาระที่ไม่จริงใจบางอย่างเพื่อเล่นกับใจของเขา ทำให้เขาหยุดชะงักและหลงผิด  ผมกำลังทำตัวเป็นลูกสมุนของซาตาน  พระเจ้าทรงทำอย่างเต็มกำลังเพื่อช่วยผู้คนให้รอด ขณะที่ซาตานนั้นวางแผนและกลอุบายเพื่อทำให้ผู้คนหยุดชะงัก ขัดขวางและดึงผู้คนลงนรก  คำพูดเยี่ยงมารเหล่านั้นของผมรังแต่จะทำร้ายพี่น้องชายของผม  เมื่อคิดเช่นนี้ผมก็รู้สึกกลัวมาก ผมจึงหาพระวจนะของพระเจ้าอ่าน และในพระวจนะของพระเจ้านั้น ผมเริ่มคิดทบทวนและได้รู้จักปัญหาในครั้งนี้ของตัวเอง

ผมเห็นพระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “หากเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่น้องชายหรือหญิงสักคนหนึ่ง และพวกเขาขอให้เจ้าชี้ให้เห็นว่าพวกเขามีปัญหาตรงไหน เจ้าควรทำอย่างไร?  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแนวทางที่เจ้าใช้กับเรื่องนี้  แนวทางของเจ้าเป็นไปตามหลักธรรมความจริง  หรือว่าเจ้าใช้ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก?  หากเจ้าสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขามีปัญหา แต่กลับไม่บอกออกไปตามตรงเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้ความสัมพันธ์ของเจ้าเสียหาย และเจ้าถึงกับแก้ตัวว่า ‘ตอนนี้ฉันมีวุฒิภาวะน้อยและฉันไม่เข้าใจปัญหาของคุณอย่างถ่องแท้  เมื่อฉันเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วฉันจะบอก’  เช่นนั้นปัญหาคืออะไร?  การนี้เกี่ยวข้องกับปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก  นี่คือการพยายามหลอกผู้อื่นไม่ใช่หรือ?  เจ้าควรพูดเท่าที่เจ้ามองเห็นได้ชัดเจน และหากสิ่งใดไม่ประจักษ์ชัดสำหรับเจ้าก็จงพูดไปตามนั้น  นี่คือการพูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้า  หากเจ้ามีบางความคิดและมีบางสิ่งที่ประจักษ์ชัดสำหรับเจ้า แต่เจ้ากลัวที่จะล่วงเกินพวกเขา หวั่นใจว่าจะทำร้ายความรู้สึกของพวกเขา ดังนั้นเจ้าจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรเลย เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือการใช้ชีวิตตามปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก  หากเจ้าค้นพบว่าใครบางคนมีปัญหาหรือหลงผิดไป ต่อให้เจ้าไม่สามารถช่วยพวกเขาได้ด้วยความรัก อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ต้องชี้ให้เห็นถึงปัญหาเพื่อให้พวกเขาสามารถคิดทบทวนถึงปัญหานั้นได้  หากเจ้าเมินเฉยต่อเรื่องนั้น นี่ก็เป็นการสร้างความเสียหายต่อพวกเขาไม่ใช่หรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงโดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น คนเราจึงสามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าได้)  และมีบทตอนนี้ซึ่งเกี่ยวกับผู้คนที่ฉลาดแกมโกง กล่าวว่า “พวกเขาไม่มีความรักให้แก่สิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก พวกเขาไม่โหยหาความสว่าง และพวกเขาไม่รักหนทางของพระเจ้าหรือความจริง  พวกเขาชอบที่จะทำตามกระแสนิยมทางโลก พวกเขาหลงใหลชื่อเสียง ความได้เปรียบ และสถานะ พวกเขารักที่จะโดดเด่นเหนือฝูงชน พวกเขาบูชาชื่อเสียง ความได้เปรียบ และสถานะ และพวกเขาก็เทิดทูนบุคคลที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียง แต่อันที่จริงพวกเขาเทิดทูนปีศาจและเหล่าซาตานทั้งหลาย  แท้จริงแล้วสิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาไม่ใช่ความจริงหรือสิ่งที่เป็นบวก ทว่า พวกเขากลับบูชาความรู้… พวกเขาใช้ปรัชญาของซาตาน ตรรกะของซาตาน พวกเขาใช้ทุกกลอุบาย ทุกเล่ห์เหลี่ยมของซาตานในทุกสภาพแวดล้อม เพื่อหลอกให้ผู้คนไว้ใจพวกเขา เพื่อให้ผู้คนบูชาและติดตามพวกเขา  นี่ไม่ใช่เส้นทางที่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าควรเดิน ไม่เพียงแต่คนเหล่านี้จะไม่ได้รับการช่วยให้รอด พวกเขายังต้องพบกับการลงโทษของพระเจ้าอีกด้วย—นี่เป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยแม้แต่น้อย(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเชื่อในศาสนาหรือการเข้าร่วมศาสนพิธีไม่สามารถช่วยคนเราให้รอด)  พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงความจริงเกี่ยวกับเจตนาและความเสื่อมทรามของผมอย่างหมดเปลือก  ผมรู้ชัดถึงปัญหาของกาเบรียลว่าเขาหละหลวมและไม่เอาใจใส่ในหน้าที่  เขาไม่มุ่งมั่นหรือมีหลักธรรมในงานของตน ทำทุกอย่างตามใจชอบและทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก  ผมชอบเอาใจผู้อื่นและกลัวว่าจะล่วงเกินเขาจึงไม่เคยชี้สิ่งเหล่านี้ให้เขาเห็น  ตอนนี้พอเขาถูกปลดและเปิดใจสามัคคีธรรมกับผมถึงความล้มเหลวของเขา ผมก็ควรพูดคุยเรื่องปัญหาของเขาและสามัคคีธรรมน้ำพระทัยของพระเจ้าเพื่อช่วยให้เขารู้จักตัวเองและกลับใจต่อพระเจ้า  แบบนั้นคงจะเปี่ยมรัก เป็นประโยชน์ และสอนใจเขาได้โดยแท้จริง  แต่ผมกลับชอบเอาใจผู้อื่น พูดจาเหลวไหลจอมปลอมมากมาย  ผมกำลังพยายามหลอกให้เขานิยมชมชอบผมไม่ใช่หรือ?  ผมอยากให้เขารู้สึกว่าเมื่อเขาประสบความล้มเหลว คนที่ตัดแต่งและเปิดโปงเขาคือผู้นำ แต่ผมคือคนที่ทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นและชูใจเขา  จากนั้นเขาก็จะรู้สึกขอบคุณและมีภาพจำที่ดีเกี่ยวกับผม  เวลาปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิงของผม ผมก็ใช้ปรัชญาทางโลกของผู้ไม่เชื่ออย่างเช่น “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” “ในเมื่อพูดตรงไม่เป็นที่ชอบใจ ก็จงกล่าวคำพูดเอออวยเอาใจไปกับความรู้สึกและเหตุผลของผู้อื่นเสียเถิด” “จงนิ่งเงียบต่อความผิดของเพื่อนสนิทเพื่อสร้างมิตรภาพอันดีงามและยาวนาน” และอื่นๆ  เหล่านี้ล้วนเป็นถ้อยคำทางโลกที่ชั่วและใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต และล้วนเป็นปรัชญาเยี่ยงซาตาน  การมีปฏิสัมพันธ์ของผู้ไม่เชื่อนั้นค้ำจุนวิถีทางโลกของซาตานเสมอ และคำพูดของพวกเขาก็เอาอกเอาใจและหน้าซื่อใจคดเสมอ  พวกเขาเสแสร้งแกล้งทำ หยั่งเชิงคนอื่น มีเล่ห์เหลี่ยมในทุกสิ่งที่พูด และไม่เอ่ยวาจาที่จริงหรือจริงใจสักคำเดียว  ผมเป็นผู้เชื่อมานานและกินดื่มพระวจนะของพระเจ้ามามากมาย แต่ผมก็ยังพูดเรื่องจริงไม่ได้สักอย่าง  ผมกลับใช้ปรัชญาเยี่ยงซาตานเหมือนกับผู้ไม่เชื่อและเป็นร่างทรงให้ซาตาน ผมกลับกลอกและหลอกลวงขึ้นเรื่อยๆ  ผมน่าสมเพชจริงๆ!  นี่เตือนให้ผมนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “หากผู้เชื่อทั้งหลายแค่ทำตามใจชอบและไม่ระงับยับยั้งคำพูดและการประพฤติปฏิบัติตนเหมือนที่ผู้ไม่มีความเชื่อเป็นแล้วไซร้ พวกเขาก็เลวยิ่งกว่าผู้ไม่มีความเชื่อเสียอีก พวกเขาคือปีศาจขนานแท้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง)  “ยิ่งเจ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้ามากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นเท่านั้น  หากเจ้ายังคงมีชีวิตในโลกประดุจสัตว์ร้าย—ปากของเจ้าเอ่ยอ้างความเชื่อในพระเจ้า แต่หัวใจของเจ้ากลับอยู่ที่อื่น—และหากเจ้ายังคงศึกษาปรัชญาเพื่อการติดต่อเจรจาทางโลก เช่นนั้นแล้วความพยายามทั้งหมดของเจ้าเมื่อก่อนหน้านี้ย่อมจะสูญเปล่าไปแล้วมิใช่หรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยประสบการณ์)  เมื่อนึกย้อนไปถึงหลายปีที่ผมเชื่อ ผมไม่ได้รับความจริงหรือกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์และเรียบง่าย แต่กลับยังยึดติดในวิธีดำเนินชีวิตแบบทางโลก  ผมไม่ใช่คนที่รักหรือยอมรับความจริง  ผมมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ช่างหลอกลวงยิ่งนัก!  ข้าพระองค์อยากจะกลับใจและเลิกใช้ชีวิตตามปรัชญาทางโลกเยี่ยงซาตาน”

หลังจากประสบการณ์และบทเรียนครั้งนั้น ผมก็ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างรอบคอบมากขึ้น และฝึกฝนปฏิบัติการพูดจาในทางที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนมากกว่าที่จะเลี่ยงปัญหาเพื่อที่จะเอาใจผู้คน  แต่เพราะผมถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำมาก เมื่อมีบางสิ่งที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ส่วนตัว ผมจึงอดไม่ได้ที่ทำตัวเป็นผู้ที่ชอบเอาใจผู้คนในอีก

ในเวลานั้น ผมกำลังทำงานผลิตวิดีโอกับพี่น้องชายฮัดสัน  เขามีความคิดเห็นที่ค่อนข้างหนักแน่นและทำงานได้ดีกว่าผมมาก  ผมรู้สึกว่าผมควรเจียมตัว เขาจะได้ไม่เกิดความรู้สึกว่าผมเป็นคนโอหังที่ไม่รู้อะไรเลย  ดังนั้นในระหว่างทำหน้าที่ เมื่อไรเรามีความคิดเห็นที่ต่างกัน ผมจะพยายามยึดคำที่ว่า “ความปรองดองคือขุมทรัพย์ ความอดกลั้นคือความปราดเปรื่อง” เพื่อให้พวกเราไม่หมางใจกันและเข้ากันได้  บางครั้งผมมองเห็นความผิดพลาดในวิดีโอต่างๆ ที่เขาทำและเสนอแนะให้แก้ไข แต่เขาไม่คิดว่าสิ่งที่ผมพูดถึงนั้นเป็นปัญหา  เขาจะแค่แก้ตัวหรือให้ข้อคิดเห็นส่วนตัวบางอย่าง  แม้ผมจะไม่เห็นด้วยกับเขาทั้งหมด แต่ผมก็กลัวว่าการพูดคุยมากกว่านั้นจะทำให้พวกเราถึงทางตันหรือเริ่มเถียงกัน และทุกคนจะบอกว่าผมโอหัง คิดว่าตัวเองชอบธรรมเสมอ และดื้อดึง ผมจึงปล่อยไป  พวกเราทำงานด้วยกันแบบนี้อยู่สองสามเดือน แต่พอวิดีโอของพวกเราออกมาก็มีปัญหาตรงนั้นตรงนี้อยู่เสมอ และปัญหาส่วนมากก็คือปัญหาที่ผมเคยพูดถึงในตอนต้น  ผลก็คือพวกเราต้องทำวิดีโอเหล่านั้นกันใหม่  สุดท้ายฮัดสันก็ถูกปลดเพราะโอหัง คิดว่าตัวเองชอบธรรมเสมอ และดื้อดึง  ถึงแม้วิดีโอจะทำเสร็จในที่สุด แต่ผมก็ไม่รู้สึกจิตใจมั่นคงหรือมีสันติสุขที่งานเสร็จ  ผมกลับไม่สบายใจและรู้สึกผิด  ในหน้าที่นั้นผมชอบเอาใจผู้คนอยู่เสมอ ประคับประคองความปรองดองอันฉาบฉวย กลัวจะล่วงเกินผู้อื่น และไม่ค้ำจุนหลักธรรม  ผมไม่ได้ทำหน้าที่คู่ทำงานให้ลุล่วงอย่างแท้จริงและขัดขวางงานวิดีโอ  ผมรู้สึกแย่อย่างถึงที่สุด  จากนั้นผู้นำก็เข้ามาคุยกับผมและเปิดโปงผมว่า “คุณไม่เคยค้ำจุนหลักธรรมความจริงในงานที่ทำกับพี่น้องชายหญิงเลย  คุณรู้ชัดเจนว่าความคิดเห็นของฮัดสันในระหว่างการผลิตนั้นไม่ถูกต้อง แต่ก็ยังทำตามเขาไปอย่างมืดบอดเพื่อป้องกันความขัดแย้งและรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง  นั่นหมายถึงการต้องทำวิดีโอเหล่านั้นใหม่และเราจะคืบหน้าช้าลงไปอีก”  จากนั้นเธอก็บอกว่า “คุณมักจะลู่ไปตามลม  คุณจำเป็นต้องแสวงหาความจริงและแก้ไขเรื่องนี้ทันที”  นี่เป็นเรื่องที่ผมยากจะรับฟัง  ผมจึงอธิษฐานและคิดทบทวนเรื่องนี้ตลอดสองสามวันถัดมา และอ่านพระวจนะของพระเจ้า

ผมเห็นพระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “จากสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทั้งหมด คำพูดของพวกศัตรูของพระคริสต์ดูเหมือนใจดี มีวัฒนธรรม และโดดเด่นแตกต่างเป็นพิเศษ  ไม่ว่าใครจะละเมิดหลักธรรม หรือขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่เปิดโปงหรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้คนเหล่านี้ พวกเขาทำเป็นมองไม่เห็น ปล่อยให้ผู้คนคิดว่าพวกเขาเอื้อเฟื้อในทุกเรื่อง  ไม่ว่าผู้คนจะเผยความเสื่อมทรามอะไรออกมาและทำความชั่วอันใด ศัตรูของพระคริสต์ก็เข้าอกเข้าใจและยอมผ่อนปรนให้  พวกเขาไม่โกรธหรือบันดาลโทสะ พวกเขาจะไม่ขุ่นเคืองและติเตียนผู้คนเมื่อผู้คนทำบางสิ่งผิดและทำให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสียหาย  ไม่ว่าผู้ใดจะทำชั่วและรบกวนงานของคริสตจักร พวกเขาก็ไม่สนใจ ราวกับว่านี่ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา และพวกเขาจะไม่มีวันล่วงเกินผู้คนเพราะสิ่งนี้  ศัตรูของพระคริสต์กังวลสนใจในสิ่งใดมากที่สุด?  จำนวนผู้คนที่ยกย่องพวกเขา และจำนวนผู้คนที่มองเห็นพวกเขาเมื่อพวกเขาทนทุกข์ และสรรเสริญที่พวกเขาทนทุกข์  ศัตรูของพระคริสต์เชื่อว่าความทุกข์ต้องไม่มีวันสูญเปล่า ไม่ว่าพวกเขาจะสู้ทนความยากลำบากอันใด จ่ายราคาใด ทำความดีอะไร ดูแลห่วงใย คำนึงถึงผู้อื่น และเปี่ยมรักต่อผู้อื่นเพียงใด พวกเขาก็ต้องดำเนินการทั้งหมดนี้ต่อหน้าผู้อื่น เพื่อให้มีผู้คนจำนวนมากขึ้นมองเห็นได้  และจุดมุ่งหมายของพวกเขาในการทำเช่นนี้คืออะไร?  เพื่อซื้อใจผู้คน ทำให้ผู้คนมากขึ้นเห็นชอบในการกระทำ การประพฤติปฏิบัติตน และลักษณะนิสัยของพวกเขาอยู่ในหัวใจของตน ยกนิ้วให้พวกเขา  ถึงกับมีศัตรูของพระคริสต์ที่พยายามสร้างภาพลักษณ์ว่าตนเป็น ‘คนดี’ ด้วยพฤติกรรมดีงามภายนอกแบบนี้ เพื่อให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นมาขอความช่วยเหลือจากพวกเขา… การกระทำของพวกเขาไม่เพียงทำให้ผู้คนเคารพบูชาพวกเขาในหัวใจของตนเรียบร้อยแล้วเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเขามีที่ทางในหัวใจของผู้คนอีกด้วย  พวกเขาอยากแทนที่พระเจ้า—นี่คือจุดมุ่งหมายของศัตรูพระคริสต์ในการทำสิ่งเหล่านี้  เห็นได้ชัดว่าด้วยการทำสิ่งเหล่านี้ ศัตรูของพระคริสต์ได้ประสบความสำเร็จเบื้องต้นไปแล้ว หัวใจของผู้คนที่ไม่มีวิจารณญาณเหล่านี้มีที่ทางให้ศัตรูของพระคริสต์แล้ว และบางคนก็บูชาและยกย่องพวกเขาไปแล้ว  นี่คือจุดมุ่งหมายที่ศัตรูของพระคริสต์ต้องการที่จะสัมฤทธิ์(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สิบ))  พระเจ้าทรงแสดงให้เห็นว่าศัตรูของพระคริสต์นั้นชั่วและน่าดูหมิ่นเป็นพิเศษ  พวกเขาเก่งในการทำตัวดีและพูดสิ่งที่ฟังดูดีเพื่ออำพรางตัวเองและชนะใจคนอื่น ทำให้ผู้คนนึกว่ามีแต่พวกเขาเท่านั้นที่อดทนอดกลั้นและเข้าอกเข้าใจ ดังนั้นคนอื่นก็จะไปหาความชูใจจากพวกเขา  นั่นพาผู้คนออกห่างจากพระเจ้าไปเรื่อยๆ และพวกศัตรูของพระคริสต์ก็ยึดที่ทางของพระเจ้าในหัวใจของผู้คนไป  ผมก็เป็นเช่นนั้น  พี่น้องชายหญิงจำเป็นต้องชี้สิ่งต่างๆ แก่กันและกันและช่วยเหลือกันระหว่างที่ทำหน้าที่ของตน แต่ผมก็หลีกเลี่ยงการทำอะไรที่เป็นการล่วงเกินเพียงเพื่อที่จะปกป้องชื่อเสียงของตนเองเอาไว้  ผมมองเห็นปัญหาในวิดีโอของฮัดสันแต่กลับไม่ค้ำจุนหลักธรรมความจริง ผมเอาแต่ไหลไปตามน้ำ  ผมเป็นพวกที่ชอบเอาใจผู้อื่นและไม่ปฏิบัติความจริง  ผมไม่อยากให้ทุกคนคิดว่าผมโอหัง แต่อยากให้คิดว่าผมเป็นคนอดทนอดกลั้น เข้าอกเข้าใจ และใส่ใจความรู้สึกของคนอื่น  ผมอยากให้ทุกคนที่ผมมีปฏิสัมพันธ์ด้วยเป็นสุขพวกเขาจะได้ชอบผมและมีความรู้สึกที่ดีกับผม  เพื่อให้จุดมุ่งหมายอันชั่วช้าในการพยายามรักษาภาพลักษณ์ทางบวกของผมสัมฤทธิ์ผล ผมก็ถึงกับไม่ละเว้นงานของคริสตจักร  ผมช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน!  การพิพากษาและเปิดเผยของพระเจ้าทำให้ผมเห็นว่าการเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้อื่นนั้นทำให้ผมอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์  ผมรู้สึกผิดเป็นอย่างมากเมื่อตระหนักเช่นนี้  หลังจากนั้นผมก็ทบทวนตนเองต่อ นึกย้อนไปถึงช่วงเวลาทั้งหมดที่ผมเป็นผู้เชื่อ ผมสร้างภาพให้คนอื่นเห็นว่านิสัยดีอยู่เสมอ  เมื่อไรก็ตามที่ผมเห็นใครบางคนมีการพูดจาและการกระทำที่ดูมีเมตตา ผ่านการบ่มเพาะและได้รับการขัดเกลามาอย่างดี ผมจะพยายามเอาอย่างและเลียนแบบพวกเขา  ผมอยากดูเป็นกันเองและเข้าหาได้มากกว่านี้เพื่อพิทักษ์ภาพลักษณ์ของผมในความรู้สึกนึกคิดของพี่น้องชายหญิงเอาไว้  ผมแทบจะไม่เคยเอ่ยปากเวลาที่ผมเห็นปัญหาของคนอื่นหรือเวลาที่พวกเขาเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนออกมา กลัวว่าการเปิดโปงพวกเขาจะทำให้พวกเขาขายหน้า  ผมนึกถึงเมื่อก่อนตอนที่ผมเป็นมัคนายกข่าวประเสริฐ ผมพยายามอย่างหนักที่จะถ่อมตัวและพูดจานอบน้อม  เมื่อผมเห็นคนอื่นหละหลวมในหน้าที่ของตนและไม่มีหลักธรรม ผมก็กลัวว่าถ้าหยิบยกเรื่องนั้นมาพูดทุกคนจะคิดว่าผมไม่มีความเห็นอกเห็นใจและนั่นจะทำลายภาพลักษณ์ “คนที่มีนิสัยดี” ของตัวเอง  ดังนั้นด้วยสิ่งที่เรียกว่าความรักนี้ ผมจึงระมัดระวังคำพูดของตน ทำตัวอ่อนโยนและอ้อมค้อมเวลาพยายามช่วยเหลือผู้อื่น  ผมไม่เคยเปิดโปงใครตามตรงหรือช่วยให้พวกเขามองเห็นความร้ายแรงของสิ่งที่พวกเขาทำลงไป  ผมเอาแต่บอกใบ้แก่พวกเขาทางอ้อม  เมื่อผมต้องปลดใครสักคน ผมรู้สึกว่านี่จะล่วงเกินคนคนนั้นและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี  ผมพยายามเต็มที่ที่จะให้คนอื่นสามัคคีธรรมแทนผม หลบเลี่ยงทุกครั้งที่ทำได้  ด้วยวิธีนี้ ผมจึงพยายามอย่างสุดกำลังในการบริหารจัดการและปกป้องสถานะและภาพลักษณ์ของตนเอง พี่น้องชายหญิงต่างบอกว่าผมไม่เคยวางท่าและเข้ากับผมได้ง่าย  พวกเขาถึงกับเสนอชื่อผมให้รับตำแหน่งผู้นำเพราะผม “มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี” และจะไม่กดขี่ผู้อื่น  ผมรู้สึกพอใจในตัวเองเหลือเกิน  ศัตรูของพระคริสต์ใช้พฤติกรรมดีงามแบบฉาบฉวยมาชักจูงผู้คนให้หลงผิดและดึงเข้ามาเป็นพวก  ผมก็มีเจตนาและเป้าหมายที่เหมือนกันนั้นอยู่ในหัวใจไม่ใช่หรือ?  ผมไม่เคยทบทวนถึงเจตนาที่น่าดูหมิ่นหรือธรรมชาติอันเสื่อมทรามของตัวเองและรู้สึกว่าการเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้อื่นไม่มีอะไรผิด  ผมสามารถได้รับความเห็นชอบและการสนับสนุนจากคนอื่น และทำให้ผู้คนคิดถึงผมในทางที่ดีได้ รู้สึกเหมือนนี่เป็นวิธีอันยอดเยี่ยมในการใช้  แต่ตอนนี้ผมเห็นแล้วว่าการเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้อื่นทำให้ผมแอบสถาปนาตัวเองขึ้นมาลับๆ เพื่อทำให้ผู้อื่นหลงผิดและดึงเข้ามาเป็นพวก  ผมกำลังเดินอยู่เส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์!

วันหนึ่งในการเฝ้าเดี่ยว ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนจริงๆ  ความว่า “เมื่อผู้คนคิดถึงผลประโยชน์ส่วนตนอยู่เสมอ เมื่อพวกเขาพยายามปกป้องความเย่อหยิ่งและความถือดีของตนอยู่เสมอ เมื่อพวกเขาเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แต่ไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยนั้น ผลสืบเนื่องคืออะไร?  คือการที่พวกเขาไม่มีการเข้าสู่ชีวิต คือการที่พวกเขาขาดคำพยานจากประสบการณ์ที่แท้จริง  และนี่ย่อมเป็นอันตรายมิใช่หรือ?  หากเจ้าไม่เคยปฏิบัติความจริง หากเจ้าไม่มีคำพยานจากประสบการณ์ เช่นนั้นแล้วเมื่อถึงเวลา เจ้าก็จะถูกเปิดเผยและถูกกำจัดออกไป  ผู้คนที่ไม่มีคำพยานจากประสบการณ์มีประโยชน์อะไรหรือในพระนิเวศของพระเจ้า?  พวกเขาย่อมไม่แคล้วที่จะทำหน้าที่ใดได้ไม่ดี และไม่สามารถทำสิ่งใดได้อย่างถูกต้องเหมาะสม  พวกเขาเป็นเพียงขยะมิใช่หรือ?  หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี หากผู้คนไม่เคยปฏิบัติความจริง พวกเขาก็คือผู้ไม่เชื่อ พวกเขาเป็นคนชั่ว  หากเจ้าไม่เคยปฏิบัติความจริง หากการฝ่าฝืนของเจ้าเพิ่มจำนวนครั้งมากขึ้นทุกที เช่นนั้นจุดจบของเจ้าก็ถูกกำหนดไว้แล้ว  เห็นได้ชัดว่าการฝ่าฝืนทั้งหมดของเจ้า เส้นทางผิดพลาดที่เจ้าเดินและการที่เจ้าไม่ยอมกลับใจ—ทั้งหมดนี้เพิ่มพูนเข้าไปในความประพฤติชั่วมากมาย และดังนั้นจุดจบของเจ้าก็คือว่าเจ้าจะไปนรก—เจ้าจะถูกลงโทษ  พวกเจ้าคิดว่านี่เป็นเรื่องไม่สลักสำคัญกระนั้นหรือ?  หากเจ้ายังไม่ถูกลงโทษ เจ้าจะไม่สำนึกว่านี่น่าหวาดกลัวเพียงใด  เมื่อวันนั้นมาถึงตรงที่เจ้าเผชิญหายนะเข้าจริงๆ และเจ้าเผชิญหน้าความตาย นั่นย่อมสายเกินไปที่จะเสียใจ  หากในความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า เจ้าไม่ยอมรับความจริง และหากเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในตัวเจ้า ผลสุดท้ายย่อมเป็นว่าเจ้าจะถูกกำจัดออกไป และถูกทอดทิ้ง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  ผมทำตัวเป็นคนนิสัยดีอยู่เสมอและไม่ปฏิบัติความจริง  เวลาให้ความร่วมมือกับผู้อื่น ผมบรรลุจุดมุ่งหมายอันชั่วช้าในการล่อลวงและเอาชนะใจผู้อื่นด้วยการทำให้ผลประโยชน์ของคริสตจักรเสียหายอยู่เสมอ  ทุกสิ่งที่ผมทำล้วนเป็นสิ่งที่ชั่ว  หากทำเช่นนี้ต่อไป ผมย่อมจะลงเอยด้วยการถูกพระเจ้าทรงกำจัดออกไปและถูกลงโทษ!  จากพระวจนะของพระเจ้าผมได้รู้สึกถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์และรู้สึกได้ว่าพระองค์ทรงรังเกียจผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง  ทันใดนั้นเองผมก็อยากกลับใจ อยากแสวงหาเส้นทางปฏิบัติ และอยากแก้ไขอุปนิสัยที่เป็นคนชอบเอาใจผู้อื่นของตัวเอง

ผมอ่านที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เมื่อสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้ากลายเป็นปกติแล้ว เจ้าจะมีสัมพันธภาพที่ปกติกับผู้คนด้วย  เพื่อที่จะสร้างสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า ทั้งหมดต้องถูกสร้างบนรากฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้า เจ้าต้องสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าและสิ่งที่พระเจ้าทรงขอ เจ้าต้องแก้ไขทรรศนะของเจ้าให้ถูกต้อง และต้องแสวงหาความจริงในทุกสิ่งทุกอย่าง  เจ้าต้องปฏิบัติความจริงเมื่อเจ้าเข้าใจความจริงแล้ว และไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้า เจ้าก็ต้องอธิษฐานต่อพระเจ้าและแสวงหาด้วยหัวใจแห่งการนบนอบต่อพระเจ้า  การปฏิบัติเช่นนี้ เจ้าก็จะสามารถธำรงรักษาสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้าได้  ในเวลาเดียวกับที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม เจ้าก็ต้องทำให้แน่ใจว่าเจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และไม่กล่าวสิ่งใดที่ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลพี่น้องชายหญิงอีกด้วย  อย่างน้อยที่สุด เจ้าต้องไม่ทำสิ่งใดที่ขัดแย้งกับมโนธรรมของเจ้าและต้องไม่ทำสิ่งใดที่น่าละอายอย่างเด็ดขาด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ขัดขืนหรือเป็นกบฏต่อพระเจ้า เจ้าต้องไม่ทำอย่างเด็ดขาด และเจ้าต้องไม่ทำสิ่งใดที่ก่อความไม่สงบให้แก่งานหรือชีวิตของคริสตจักร  จงเป็นคนที่ยุติธรรมและมีเกียรติในทุกสิ่งที่เจ้ากระทำ และจงทำให้แน่ใจว่าทุกการกระทำของเจ้าเป็นสิ่งที่สามารถนำเสนอเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้  แม้ว่าเนื้อหนังอาจจะอ่อนแอในบางครั้ง แต่เจ้าต้องสามารถให้ความสำคัญแก่ผลประโยชน์แห่งครอบครัวของพระเจ้าเป็นอันดับแรกโดยไม่ละโมบหาผลกำไรส่วนตัว ไม่ทำสิ่งใดที่เห็นแก่ตัวหรือน่าดูหมิ่น ทบทวนตัวเจ้าเองให้บ่อย  ในหนทางนี้เจ้าจะสามารถใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้บ่อย และสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าก็จะกลายเป็นปกติอย่างสมบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าเป็นเช่นไร?)  “สำหรับทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับความจริงจะลุ่มลึกหรือตื้นเขินเช่นไร หนทางที่เรียบง่ายที่สุดของการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงก็คือ การคิดถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่าง และการปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัว เจตนาส่วนตน เหตุจูงใจ ความภาคภูมิใจ และสถานะของตน  จงวางผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าไว้อันดับแรก—อย่างน้อยที่สุดคนเราควรทำเช่นนี้  หากแม้เพียงเท่านี้ คนที่ปฏิบัติหน้าที่ก็ไม่สามารถทำได้ เช่นนั้นแล้วจะพูดได้อย่างไรว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน?  นั่นย่อมไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา  ก่อนอื่นเจ้าควรนึกถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และคำนึงถึงงานของคริสตจักร  จงให้ความสำคัญแก่สิ่งเหล่านี้เหนือสิ่งอื่นใด เฉพาะหลังจากนั้นเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถคิดเกี่ยวกับเสถียรภาพของสถานะของเจ้าหรือนึกถึงสายตาที่ผู้อื่นมองเจ้าได้  พวกเจ้าไม่รู้สึกหรอกหรือว่านี่พอจะง่ายขึ้นบ้างเมื่อเจ้าแบ่งมันออกเป็นสองขั้นตอนและทำการประนีประนอมบ้าง?  หากเจ้าปฏิบัติเช่นนี้ไปสักพัก เจ้าก็จะมารู้สึกว่าการทำให้พระเจ้าพอพระทัยนั้นไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าควรมีความสามารถที่จะลุล่วงความรับผิดชอบทั้งหลายของเจ้า ปฏิบัติภาระผูกพันและหน้าที่ของเจ้า วางความอยากได้อยากมี ความตั้งใจและแรงจูงใจอันเห็นแก่ตัวของเจ้าลง เจ้าควรคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และให้ความสำคัญแก่ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า งานของคริสตจักร และหน้าที่ที่เจ้าพึงปฏิบัติเป็นอันดับแรก  หลังจากผ่านประสบการณ์กับการนี้ไปสักพัก เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือหนทางปฏิบัติตนอันดีงาม  เป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ ไม่เป็นคนที่เลวทรามต่ำช้า นี่คือการดำรงชีวิตอย่างยุติธรรมและมีเกียรติ แทนที่จะเป็นคนที่น่าดูหมิ่น ต่ำช้า และไม่มีอะไรดี  เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือวิธีที่คนคนหนึ่งควรปฏิบัติตน และเป็นภาพลักษณ์ที่พวกเขาควรใช้เป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิต(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น)  จากที่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมจึงเข้าใจว่ามีเพียงผู้ที่แสวงหาความจริงในทุกสิ่งและยืนอยู่ข้างพระเจ้า ปล่อยวางความปรารถนาของตนและค้ำจุนงานของคริสตจักรเท่านั้นที่ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ และสามารถมีสัมพันธภาพที่ปกติกับผู้อื่นได้  หลังจากนั้นผมก็เริ่มฝึกคำนึงถึงการปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักรเป็นลำดับแรกในทุกสถานการณ์ และพยายามสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าผ่านคำพูดและการกระทำของตัวเอง  หลังจากทำเช่นนี้ไประยะหนึ่ง ผมก็เห็นว่าผมมีโอกาสมากมายที่จะปฏิบัติความจริงในชีวิตประจำวันและในหน้าที่ของตน  ตัวอย่างเช่นในการชุมนุม ผมมองเห็นบางคนพูดคำพูดและคำสอนหรือออกนอกประเด็น  หรือมีใครบางคนที่พูดไปเรื่อยในระหว่างการสามัคคีธรรมจนทำให้การชุมนุมของพวกเรายืดเยื้อออกไป  นี่สร้างความเสียหายแก่ชีวิตคริสตจักรของพวกเรา แต่หัวหน้าทีมกลับไม่ได้ชี้ให้เห็นหรือแก้ไขให้ถูกต้อง  ตอนแรกผมไม่อยากพูดอะไร แต่ก็ออกจะรู้สึกผิดว่าเพราะอะไรผมถึงอยากจะกลับไปเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้อื่นอีกแล้ว?  ผมกล่าวคำอธิษฐานถึงพระเจ้าทันทีพร้อมทั้งละทิ้งเจตนาที่ไม่ถูกต้อง  เมื่อใกล้จะจบการชุมนุม ผมก็หยิบยกปัญหาที่ผมเห็นขึ้นมาและเสนอแนะทางแก้  ผมรู้สึกว่าการละทิ้งตัวเองและค้ำจุนงานของคริสตจักรเช่นนี้นำสันติสุขที่ยิ่งใหญ่มาสู่ผม  นอกจากนี้แล้วพี่น้องชายคนหนึ่งที่ผมรู้จักดีมากๆ ก็ถูกปลด  เขาบอกผมว่านั่นเป็นเพราะเขาโหยหาความสบาย เป็นคนฉลาดแกมโกง กลับกลอก และทำหน้าที่อย่างไร้ประสิทธิภาพ  ตอนแรกผมอยากจะปลอบใจเขาและทำให้เขามองผมในแง่ดี แต่แล้วผมก็ตระหนักว่าคราวนี้ผมต้องปฏิบัติความจริง  ดังนั้นผมจึงสงบใจตัวเองและพิจารณาว่าผมควรพูดอะไรเพื่อช่วยสอนใจพี่น้องชายคนนี้  ผมนึกถึงปฏิสัมพันธ์แต่ก่อนของพวกเรา  การโหยหาความสบายของเขาแสดงออกมาชัดเจนทีเดียวในระหว่างที่เขาทำหน้าที่  ผมชี้ปัญหาเกี่ยวกับท่าทีที่เขาแสดงระหว่างทำหน้าที่ให้เขาเห็นโดยไม่สงวนคำพูด และส่งพระวจนะของพระเจ้าบางส่วนที่เกี่ยวข้องไปให้เขา  เขาขอบคุณผมและกล่าวว่าการบอกทั้งหมดนี้แก่เขาช่วยเขาเอาไว้  หลังจากทำเช่นนี้ ผมก็รู้สึกสงบและมีสันติสุขอย่างมาก

ผ่านการพิพากษาและการเปิดเผยแห่งพระวจนะของพระเจ้า ผมจึงเห็นว่าถ้าผมยังใช้ชีวิตตามปรัชญาทางโลกของซาตานต่อไป ผมก็มีแต่จะกลายเป็นคนที่กลับกลอกและหลอกลวงมากขึ้น ผมคงจะไปไม่ถึงมาตรฐานขั้นต่ำที่สุดแห่งความหมายของการเป็นมนุษย์ และลงเอยด้วยการทำร้ายผู้อื่นและตัวเอง  ผมยังได้เรียนรู้ด้วยว่าการดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าและประพฤติปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริงคือทางเดียวที่จะมีสภาวะความเป็นมนุษย์และเป็นคนดีอย่างแท้จริง

ก่อนหน้า: 58. ทางเลือกของเจ้าหน้าที่รัฐ

ถัดไป: 60. การรายงานผู้นำเทียมเท็จ: การดิ้นรนส่วนบุคคล

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger