58. ทางเลือกของเจ้าหน้าที่รัฐ

โดย ซินเจิ้ง, ประเทศจีน

พ่อของผมทำผิดกฎหมายจนถูกจับกุมไปก่อนผมเกิด  สิ่งประเภทนั้นน่าละอายจริงๆ ในชนบทของประเทศจีนช่วงทศวรรษที่ 1970 ดังนั้นทุกคนจึงดูแคลนครอบครัวของผม  ผมโตมาท่ามกลางการเสียดสีของทุกคนรอบตัวผม  แม่บอกกับผมเสมอว่า “ลูกต้องทำงานหนักเพื่อที่จะเป็นเลิศ  เราจะให้คนอื่นดูแคลนครอบครัวของเราไม่ได้”  คำพูดเหล่านั้นถูกปลูกฝังลงในตัวผม  ผมได้สาบานว่าในภายภาคหน้า ผมจะยืนเด่นออกจากฝูงชนและเปลี่ยนท่าทีที่ทุกคนมีต่อพวกเรา  ผมทุ่มเทตัวเองให้กับการศึกษาเล่าเรียนจริงๆ และหลังจากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ผมก็กลายเป็นครู  นั่นเป็นการดำรงชีวิตที่รับประกันความมั่นคง แต่ก็ยังไกลลิบจากเป้าหมายของผมที่จะเป็นเลิศอย่างแท้จริง  และดังนั้น ผมจึงพึ่งพาเส้นสายของตัวเองและได้ส่งของขวัญไปให้พวกผู้นำระดับเทศมณฑล โดยหวังจะได้รับการโอนย้ายไปรับตำแหน่งทางราชการ

เป็นไปตามที่ผมหวังไว้ไม่มีผิด ผมได้รับตำแหน่งเลขานุการสำนักงานเทศบาลเมืองในอีกสามปีให้หลัง ซึ่งทำให้ผมได้ติดตามบรรดาผู้นำในหลายวาระโอกาส  นั่นดูโดดเด่นสะดุดตามาก  โดยเฉพาะเมื่อผมกลับไปที่บ้านเกิดของผม ผู้ใหญ่บ้านและทุกคนที่นั่นอบอุ่นกับผมจริงๆ และผู้คนมากมายก็พากันป้อยอผม—ครอบครัวของผมได้ประโยชน์จากการนี้ด้วยเช่นกัน และผู้คนจากทั้งพื้นที่นั้นก็อิจฉาผมจริงๆ  แม่พูดกับผมอย่างมีความสุขว่า “ตั้งแต่แกได้งานราชการ ไม่ว่าน้องชายแกไปที่ไหน น้องก็บอกทุกคนว่าพี่ชายเป็นใคร ทำงานที่ไหน  หลังจากหลายปีมานี้ ในที่สุดพวกเราก็สามารถเชิดหน้าชูคออย่างภูมิใจได้เสียที!”  พอได้ยินแม่พูดอย่างนั้นผมก็ตื้นตันใจมาก  เป็นเวลาหลายปีมากที่ทุกอย่างมันยากลำบากสำหรับครอบครัวของเรา  นี่ไม่ใช่วันที่พวกเราเฝ้ารอหรอกหรือ?  แล้วผมก็เริ่มทำงานหนักขึ้นไปอีก โดยทำงานเกินเวลาจนดึกดื่นตลอด และไม่แม้แต่จะพักผ่อนในช่วงสุดสัปดาห์  กับบุตรและภรรยานั้น ผมยิ่งมีเวลาให้น้อยลงไปอีก  แล้วใน ค.ศ 2008 ผมก็ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่ผมก็ยังใช้เวลาส่วนใหญ่ให้กับงาน  ผมเข้าร่วมชุมนุมพอประปรายเท่านั้น และไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากนัก  อาชีพการงานของผมเป็นไปได้ดีอย่างมาก—บรรดาผู้นำซาบซึ้งชื่นชมในตัวผมและเพื่อนร่วมงานก็เคารพนับถือผม และทุกคนต่างพูดว่า ทันทีที่มีตำแหน่งให้เลื่อนขั้นขึ้นไป ตำแหน่งนั้นต้องเป็นของผมแน่นอน  ผมรู้สึกเหมือนว่า นั่นคงจะเป็นโอกาสของผมที่จะได้รับสิ่งที่ผมต้องการอยู่พอดีในชีวิต โอกาสที่จะยืนเด่นจริงๆ ดังนั้นผมจึงเริ่มทำงานหนักขึ้นไปอีกและประจบประแจงพวกผู้นำ  ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็ยังถูกลูกชายของผู้นำคนหนึ่งแย่งตำแหน่งไป แล้วผมก็ถูกย้ายไปอยู่แผนกที่ไม่สำคัญ

การถูกย้ายครั้งนั้นทำให้ผมเสียใจมาก และผมคิดว่าเพื่อนร่วมงานของผมต้องพูดถึงผมและดูแคลนผมแน่ๆ  ผมไม่อาจทำใจให้ร่าเริงได้และไม่ต้องการพบเจอใครเลย  ในช่วงที่กำลังตรอมใจนั่นเอง พี่น้องชายคนหนึ่งในคริสตจักรก็บอกผมว่า “คุณไม่ได้เลื่อนขั้น แต่ถูกย้ายไปอยู่แผนกที่ไม่สำคัญ  มันดูเหมือนเป็นเรื่องแย่ แต่ที่จริงแล้วเป็นเรื่องดีนะ!  ถ้าคุณได้รับการเลื่อนขั้นตามที่คุณต้องการและมีตำแหน่งที่สูงขึ้น คุณก็จะต้องการยิ่งขึ้นไปอีก  คุณจะเผชิญหน้ากับการทดลองที่มากขึ้น ดิ้นรนกับชื่อและสถานะทุกคืนวัน  แล้วคุณจะมีเวลาและมีแนวโน้มที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงได้อย่างไร?  นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับพระราชกิจของพระเจ้าที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอดและทำให้มวลมนุษย์เพียบพร้อม  ถ้าคุณสิ้นเปลืองเวลาอันล้ำค่าเหล่านี้ไป คุณจะได้รับการช่วยให้รอดได้อย่างไร?  น้ำพระทัยอันดีของพระเจ้าอยู่ในการไม่ได้รับการเลื่อนขั้นนี้—พระเจ้าทรงไม่สามารถทนเห็นพวกเราถูกซาตานใช้เป็นของเล่นและทำร้าย ดำรงชีวิตอยู่ในการดิ้นรนเพื่อชื่อและผลตอบแทน ต่อสู้และวางกลอุบาย แล้วก็สูญเสียโอกาสที่จะได้รับความรอดของพระเจ้าได้อีกต่อไป”  คำพูดของเขาเป็นเสียงเรียกที่ปลุกผมให้ตื่น กล่าวคือ ผมคิดได้ว่าเขาพูดถูก  ก่อนหน้านั้น ผมมุ่งเน้นวิธีที่จะเป็นคนซึ่งยืนเด่นแต่เพียงอย่างเดียว ผมจึงไม่เคยสามารถสงบใจและอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือไล่ตามเสาะหาความจริงได้จริงๆ  บางทีความพลาดพลั้งนั่นอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนบนเส้นทางแห่งความเชื่อของผมก็ได้

หลังจากนั้น ผมได้อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ในฐานะใครคนหนึ่งที่ปกติและไล่ตามเสาะหาการรักพระเจ้า การเข้าสู่ราชอาณาจักรเพื่อกลายเป็นหนึ่งในประชากรของพระเจ้าคืออนาคตที่แท้จริงของพวกเจ้า และเป็นชีวิตที่มีคุณค่าและมีนัยสำคัญมากที่สุด ไม่มีผู้ใดได้รับพรมากไปกว่าพวกเจ้า  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  เพราะพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อเนื้อหนัง และพวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อซาตาน แต่วันนี้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า และมีชีวิตอยู่เพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  นี่จึงเป็นเหตุผลที่เรากล่าวว่าชีวิตของพวกเจ้ามีนัยสำคัญมากที่สุด  เฉพาะผู้คนกลุ่มนี้ซึ่งพระเจ้าทรงเลือกสรรแล้วเท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตที่มีนัยสำคัญมากที่สุด นั่นคือ ไม่มีใครอีกเลยในแผ่นดินโลกที่สามารถใช้ชีวิตที่มีคุณค่าและมีความหมายเช่นนี้ได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, รู้จักพระราชกิจใหม่ล่าสุดของพระเจ้าและติดตามรอยพระบาทของพระองค์)  พระวจนะของพระเจ้าชัดเจนมากว่า สิ่งใดที่สร้างชีวิตซึ่งเปี่ยมความหมาย  ผมนึกย้อนไปถึงหลายปีที่ผมต่อสู้เพื่อชื่อและผลตอบแทน—แม้แต่ตอนนี้ด้วยสถานะและเกียรติยศที่ไม่น้อยเลย ผมก็ยังรู้สึกว่างเปล่าจริงๆ  ผมแสร้งปั้นหน้าในวงสังคมข้าราชการเสมอ  เพื่อเห็นแก่ประโยชน์เรื่องสถานะ ผมไม่เพียงจำเป็นต้องป้อยอพวกผู้นำเท่านั้น แต่ผมยังต้องรับมือเพื่อนร่วมงาน คั้นตัวเองจนเหือดแห้งเพื่อแข่งขันและประชันกันกับผู้อื่น ในขณะเดียวกันก็กลัวว่าผู้อื่นกำลังวางอุบายใส่ผม  ผมเข้าใจความทุกข์ใจและความเครียดของโลกนั้นอย่างแท้จริง  ผมถามตัวเองว่า อะไรคือความหมาย คือคุณค่าเบื้องหลังการทำงานหนักตลอดชีวิตของผมเพื่อที่จะต่อสู้เพื่อสถานะและเกียรติยศ?  จุดประสงค์ทั้งหมดทั้งสิ้นของชีวิตผมก็แค่เพื่อที่จะปรากฏลือชื่อเรืองนาม เพื่อที่จะนำสง่าราศีมาสู่ครอบครัวของผมเท่านั้นหรือ?  หลายพันปีมาแล้ว ผู้คนยิ่งใหญ่มากมายที่มีสถานะยอดเยี่ยมก็ยังตายไปมือเปล่าอยู่ดีไม่ใช่หรือ?  พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ ไม่ใช่เพื่อให้เราสามารถมีชื่อยืนยงผ่านยุคต่างๆ หรือต่อสู้เพื่อชื่อและสถานะได้ แต่เพื่อให้เราเรียนรู้ความจริงและมารู้จักพระเจ้า ทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง  นั่นเป็นชีวิตประเภทเดียวเท่านั้นที่มีความหมายและคุณค่า และนั่นเท่านั้นที่จะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  เมื่อผมตระหนักถึงเรื่องนี้ ผมก็กล่าวอธิษฐานต่อพระเจ้า พร้อมที่จะปล่อยมือจากการไล่ตามเสาะหาชื่อและสถานะของผม และก้าวลงบนเส้นทางที่ถูกต้องเหมาะสมในชีวิต

ในแผนกที่ผมถูกโยกย้ายไปนั้น ตลอดทั้งปีไม่มีช่วงเวลาที่มีธุระยุ่งเลยแม้แต่ช่วงเดียว  ผมใช้โอกาสนั้นอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น และเตรียมตัวเองให้พร้อมไปด้วยความจริง และเมื่อสุดสัปดาห์มาถึง ผมก็จะเข้าร่วมการชุมนุมและประกาศข่าวประเสริฐกับพี่น้องชายหญิง  ผมรู้สึกสงบจริงๆ และผมก็ไม่ได้คลุกคลีสนิทสนมอะไรกับเพื่อนร่วมงานอีกต่อไป  ผมหมดความสนใจในเรื่องยุ่งวุ่นวายพวกนั้น อย่างเช่น การบ่มเพาะสัมพันธภาพและฉวยประโยชน์จากช่องทางที่ไม่เป็นทางการ  ผมรู้สึกเป็นอิสระและผ่อนคลายขึ้นมาก  แต่ผมก็จบลงตรงที่ถูกโยกย้ายอีกครั้งไปยังแผนกเพื่อการรื้อถอนตามคำสั่งรัฐ ที่ซึ่งผมได้เห็นด้วยตัวเองถึงหนทางชั่วทั้งมวลที่พรรคคอมมิวนิสต์กลั่นแกล้งและทำร้ายผู้คนทั่วไป  นั่นทำให้ผมยิ่งรู้สึกก้ำกึ่งต่อเส้นทางของอาชีพการงานที่ผมเดินอยู่มากเข้าไปอีก รัฐบาลบังคับให้ผู้คนย้ายออกจากบ้านของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา โดยอ้างว่ารัฐต้องการพื้นที่สำหรับการก่อสร้างตัวเมือง และโดยทั่วไปนั้น ค่าเวรคืนก็ต่ำมาก  ผู้คนก็จะประท้วงด้วยความไม่เป็นสุขกับเรื่องนี้  ชัดเจนว่ารัฐบาลแอบสมคบคิดกับพวกนักพัฒนา โดยทำกำไรมหาศาลจากข้อตกลงและการรีดเงินจากผู้คนทั่วไป  แต่พวกนั้นบิดเบือนข้อเท็จจริงอยู่เสมอ โดยพูดว่าผู้คนแค่ไม่ยอมย้ายออกและนั่นขวางทางการก่อสร้างตัวเมือง  ตอนกลางวัน พวกนั้นจะให้เราไปทำงานแบบอุดมการณ์เพื่อโน้มน้าวผู้คน แล้วตกกลางคืนพวกนั้นก็จะส่งคนไปรังแกพวกเขา เพื่อบังคับให้พวกเขาลงชื่อในสัญญาว่าจะย้ายออก  ไม่มีผู้อยู่อาศัยคนไหนอยู่อย่างสงบสุขได้  หากใครก็ตามเด็ดเดี่ยวไม่ยอมย้ายออก พวกนั้นก็จะใช้กำลังกักขังและทุบตี ด้วยข้อหาของการเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตัวเมืองขึ้นมาใหม่  ผู้นำพวกนั้นจะไม่หยุดจนกว่าบุคคลนั้นจะลงชื่อ  ผู้คนบางคนยื่นคำร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงขึ้นไป แต่พวกเขาก็ถูกจับกุมและทุบตี  มีคนหนึ่งถึงกับถูกซ้อมจนพิกลพิการ แล้วก็ตายไปในที่สุด  มีครั้งหนึ่งผู้นำคนหนึ่งถึงกับพูดใส่หน้าทุกคนอย่างยิ้มย่องในการนัดพบภายในว่า “ไอ้หมอนี่ตายไปแล้ว หมดเรื่องร้องเรียนให้กังวลไปอีกหนึ่ง  ทีนี้เราก็จะโดนแต้มธำรงวินัยน้อยลงไปอีก!”  ถึงตรงนั้น คนอื่นก็พลอยยิ้มตามไปด้วย  เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่รัฐกลั่นแกล้งและฉวยประโยชน์จากผู้คนทั่วไปโดยไม่คำนึงถึงชีวิตมนุษย์เลยโดยสิ้นเชิงนั้น ผมจึงได้รู้ว่าการอยู่ในระบบพรรคคอมมิวนิสต์และคบค้าสมาคมกับผู้คนเหล่านั้นต่อไปไม่อาจมีวันเกิดผลดีอันใด  ผมจึงเริ่มทำอย่างดีที่สุดจริงๆ เพื่อหลีกเลี่ยงพวกนั้นทั้งหมด ไม่ไปปะปนอยู่ท่ามกลางพวกเขา  ถ้ามีใครขอให้ผมไปเจรจากับใครบางคนที่ต้องย้ายออก ไปทุบตีพวกเขา ผมก็จะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อผลุบหลบไปเสีย หรือไม่ก็ไปช่วยรักษาความสงบเรียบร้อย  ในเวลาที่ผมได้มองเห็นในระยะประชิดว่าใครบางคนกำลังถูกซ้อมจนร้องโหยหวน แววตาอับจนหนทางของพวกเขาทำให้มโนธรรมของผมรู้สึกถูกกล่าวหาอย่างมาก  บางครั้งผมถึงกับตื่นขึ้นจากฝันร้ายตอนกลางดึก  การใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นทุกวันช่างทุกทรมานทีเดียว  ผมรู้สึกว่าถ้าผมทำงานที่ไม่มีมโนธรรมประเภทนั้นต่อไป ผมก็จะถูกลงโทษโดยไม่ช้าก็เร็ว และผมต้องการออกจากที่นั่นให้เร็วที่สุดเท่าที่ผมทำได้  แม้ว่าพวกผู้นำได้ให้ความเห็นอ้อมๆ เป็นการหนุนใจให้ผมไล่ตามเสาะหาต่อไปในอาชีพการงาน  ผมก็ยังไม่มีแรงจูงใจและไม่พยายามประจบสอพลอพวกเขาเพื่อให้ได้เลื่อนขั้นอีกต่อไปแล้ว  แต่ผมก็ต้องแปลกใจมาก ที่ตอนนั้นเองที่ผมได้รับการเลื่อนขั้นจริงๆ ให้ไปทำหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานธำรงวินัยประจำเมือง

หลังจากการรับตำแหน่งใหม่นั้น บ่อยครั้งที่ผมไปปรากฏตัวในการพบปะทุกรูปแบบพร้อมกับบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐประจำเมืองคนสำคัญ  เพื่อนร่วมงานและคนในหมู่บ้านเดียวกับผมต่างก็เป็นมิตรกับผม และคอยเอาอกเอาใจผมอย่างที่สุด  ผมชื่นชมยินดีกับความรู้สึกนั้นจริงๆ  โดยไม่ทันรู้ตัว ผมเริ่มกระวนกระวายใจ และต้องการให้พวกผู้นำเหล่านั้นระลึกถึงและเห็นคุณค่า  แต่พอผมจำเป็นต้องเดินทางไปทำงานหรือออกไปร่วมประชุมแทนผู้นำคนใดคนหนึ่ง นั่นส่งผลกระทบต่อความสามารถในการเข้าร่วมชุมนุมและการทำหน้าที่ของผม  ผมก็รู้สึกขัดแย้งอย่างมาก เพราะผมรู้ว่าหน้าที่คือความรับผิดชอบที่คนเราจะบ่ายเบี่ยงไม่ได้  ผมไม่อาจล้มเลิกหน้าที่เพราะกิจการงานส่วนตัว แต่เมื่อผู้นำคนใดคนหนึ่งจัดการเตรียมการให้ผมไปทำอะไรแบบนั้น นั่นก็แปลว่าพวกเขาคิดกับผมสูงส่งมาก  ถ้าผมอ้างที่จะไม่ทำสิ่งนั้น เพื่อผลดีต่อหน้าที่ของผม พวกเขาจะไม่พูดว่าผมทำพลาดในช่วงเวลาวิกฤติ แล้วก็เลิกมอบหมายกิจสำคัญทั้งหลายให้ผมหรือ?  เป็นเรื่องยากลำบากสำหรับผมจริงๆ ที่จะตัดสินใจในอึดใจนั้น ผมจึงนำเรื่องนี้ไปอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำผมให้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์และทรงช่วยให้ผมพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติ  หลังจากนั้นผมก็ได้อ่านพระวจนะบทตอนนี้ที่ว่า “เบื้องหลังทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็คือการสู้รบ กล่าวคือ ทุกครั้งที่ผู้คนนำความจริงไปปฏิบัติ หรือนำการรักพระเจ้าไปปฏิบัติ จะมีการสู้รบที่ยิ่งใหญ่ และแม้ว่าทุกคนจะดูเหมือนสบายดีด้วยเนื้อหนังของพวกเขา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขาการสู้รบระหว่างชีวิตและความตายจะดำเนินต่อไป—และหลังจากการสู้รบอันหนักหน่วงนี้ หลังจากการตรึกตรองในปริมาณที่มากมายมหาศาลแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถตัดสินการมีชัยชนะหรือการพ่ายแพ้ได้  คนเราไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี  เพราะเจตนาส่วนมากภายในผู้คนนั้นผิด หรือไม่ก็เพราะส่วนมากของพระราชกิจของพระเจ้านั้นไม่ลงรอยกันกับมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของพวกเขา เมื่อผู้คนนำความจริงไปปฏิบัติ การสู้รบที่ยิ่งใหญ่จึงเกิดเบื้องหลังฉาก  เมื่อนำความจริงนี้ไปปฏิบัติแล้ว เบื้องหลังฉาก ผู้คนจะได้หลั่งน้ำตาแห่งความเศร้านับไม่ถ้วนก่อนที่ท้ายที่สุดพวกเขาจะได้ตัดสินใจที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  เป็นเพราะการสู้รบครั้งนี้นี่เองที่ผู้คนทนกับความทุกข์และกระบวนการถลุง นี่คือความทุกข์ที่แท้จริง  เมื่อการสู้รบนั้นมาถึงเจ้า หากเจ้าสามารถยืนในฝ่ายของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง เจ้าจะสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง)  พอคิดทบทวนเรื่องนี้ ผมก็เห็นว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยหรือการทำให้ซาตานพึงพอใจ เพื่อดูว่าผมจะเลือกทางไหน  ผมตระหนักว่าเมื่อผมเผชิญสิ่งต่างๆ  สิ่งแรกที่ผมพิจารณาก็คือท่าทีของบรรดาผู้นำและอาชีพการงานของตัวผมเอง—ชื่อและสถานะยังสำคัญกับผมมากเกินไปอยู่ดี  ผมคิดถึงการที่พระเจ้าทรงเสี่ยงอย่างมากกับการทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดงและการแสดงความจริงเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  พระเจ้าทรงมอบทุกอย่างให้แก่พวกเราโดยปราศจากคำพร่ำบ่นหรือความเสียใจ แต่ผมกลับไม่สามารถทำการพลีอุทิศนั้นเพื่อหน้าที่ของผมได้เลยแม้แต่น้อย  มโนธรรมของผมอยู่ที่ไหน?  การตระหนักถึงเรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกละอายใจมาก  ผมกล่าวคำอธิษฐาน อยากจะปล่อยมือจากผลประโยชน์ส่วนตัวและปฏิบัติหน้าที่ของผม  หลังจากนั้น ผมก็เผชิญทางเลือกระหว่างหน้าที่กับการงานของผมอีกหลายครั้ง และบางครั้งผมก็รู้สึกอ่อนแอและต้องดิ้นรนพยายามในเรื่องนั้น  แต่พอผมพร้อมที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย ผมก็เห็นว่าพระองค์ทรงเปิดเส้นทางให้ผมเสมอ และผมก็กำลังประกาศข่าวประเสริฐและทำหน้าที่ของผมอยู่ใต้จมูกของผู้นำดังกล่าวโดยไม่เคยถูกพบตัวเลย  แรงขับเคลื่อนที่จะทำหน้าที่ของผมก็เติบโตขึ้นทุกที  ไม่นานนักทั้งครอบครัวของผมก็รู้เข้าว่าผมเป็นผู้เชื่อและกำลังเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  พวกเขาพากันเริ่มต่อต้านความเชื่อของผม

ภรรยาของผมเป็นครู เธอจึงได้รับเงินเดือนจากรัฐเช่นกัน  เธอบอกผมว่า “คุณอยู่ในระบบของพรรคมาตลอดหลายปีนี้ จึงไม่ใช่ว่าคุณไม่รู้ว่าพวกนั้นมีท่าทีอย่างไรต่อศาสนา  พวกนั้นกำลังจับกุมผู้เชื่อไปทั่ว  เมื่อมีความเชื่อและประกาศข่าวประเสริฐ คุณก็กำลังจ้องปากกระบอกปืนที่จ่อหน้าของคุณอยู่ไม่ใช่หรือ?  ถ้าคุณยังทำแบบนี้ต่อไป ชีวิตของพวกเราก็คงจบ พวกเราทั้งครอบครัวก็คงจบสิ้น!”  ผมแบ่งปันคำพยานเกี่ยวกับการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าให้กับเธอ และพูดถึงนัยสำคัญของการมีความเชื่อ  ผมพูดว่า “พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จลงมาแล้ว ทรงกำลังแสดงความจริงเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  นี่เป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิตที่จะได้รับการช่วยให้รอด  ผลประโยชน์และสถานะที่เราเห็นอยู่ตรงหน้าล้วนเป็นเรื่องชั่วคราว  ถ้าเราเพียงแค่ติดตามพรรคคอมมิวนิสต์ โดยต้องการที่จะร่ำรวยอยู่ตลอดเวลา นั่นจะช่วยเราให้รอดจากความวิบัติทั้งหลายได้หรือ?  ถ้าเราร่วงหล่นลงสู่ความวิบัตินั้น ไม่ว่าเราจะมีเงินเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผลดีกับเราเลย!  ลองดูมัทธิว อัครทูตขององค์พระเยซูเจ้าสิ—เขาเป็นคนเก็บภาษี เป็นอาชีพการงานที่ดีมาก  แต่เมื่อเขาเห็นว่าพระผู้ช่วยให้รอด องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาแล้ว เขาก็รีบเร่งติดตามพระองค์ไป  อีกอย่าง หากเราทำชั่วตามพรรคอยู่ตลอด เราก็ไม่แคล้วที่จะได้รับผลตอบแทนอันสาสม ไม่แคล้วต้องถูกลงโทษ  การติดตามพระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะได้รับการช่วยให้รอด”  ภรรยาของผมไม่สนใจอะไรเกี่ยวกับพระเจ้าเลย และจะไม่ยอมฟังสิ่งใดเลยที่ผมจำเป็นต้องพูดเกี่ยวกับพระเจ้า  แต่หลังจากนั้น เธอก็สังเกตเห็นว่าตั้งแต่ผมรับเชื่อ ผมไม่เคยออกไปกินดื่มกับเพื่อนร่วมงานและละเลยสิ่งต่างๆ ที่บ้านเลย แต่ผมกลับมีชีวิตที่เป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้นทุกที และมีการใช้เวลากับเธอและลูกของเรา  บางครั้งผมจะเริ่มพูดคุยถึงเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตโดยทั่วไป  เธอค่อยๆ เลิกพยายามขัดขวางผม  แต่ทางครอบครัวฝั่งเธอนั้น ทุกคนต่างต่อต้านความเชื่อของผม  หนึ่งในพวกเขาซึ่งทำงานให้รัฐได้แนะนำผมว่า “ตอนที่คุณยังหนุ่มยังแน่น ก็ควรคิดว่าจะไต่เต้าและทำเงินยังไง  แบบนั้นพ่อแม่กับลูกของคุณก็จะได้ชื่นชมยินดีกับสิ่งทั้งหมดนั้นไปพร้อมกันกับคุณด้วย—นั่นเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงสิ่งเดียวที่จะทำ  สิ่งเหล่านั้นที่คุณไล่ตามเพื่อศาสนาของคุณ ล้วนแต่คลุมเครือและไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเลย!”  ผมบอกเขาว่า “คุณไม่ใช่ผู้เชื่อ คุณจึงไม่เข้าใจความหมายและคุณค่าของการมีความเชื่อและการไล่ตามเสาะหาความจริง  ความจริงนั้นล้ำค่ามาก และสามารถชี้ชัดถึงเส้นทางแห่งชีวิตสำหรับเรา ชำระความเสื่อมทรามของเราให้สะอาด และช่วยเราให้รอดได้  สิ่งเหล่านี้ไม่อาจประเมินวัดได้ด้วยเงิน  คุณก็เป็นคนวงในของพรรคเหมือนกัน ดังนั้น บอกผมทีว่า ตลอดหลายปีมานี้ที่คุณได้รับสถานะและความชื่นชมยินดีทางวัตถุ คุณมีความสุขจริงๆ หรือ?  คุณมีความสงบสุขที่แท้จริงในหัวใจอย่างนั้นหรือ?”  เขาไม่มีอะไรให้พูดถึงเรื่องนี้เลย  แล้วพอพี่เขยเปลี่ยนใจผมไม่ได้ เขาก็พูดอย่างโกรธเคืองว่า “ถ้าคุณไม่ฟังคำแนะนำของเรา พอพวกผู้นำรู้เรื่องศาสนาของคุณเข้า การสูญเสียการดำรงชีพที่มั่นคงก็จะเป็นเรื่องที่คุณห่วงกังวลน้อยที่สุดไปเลย  คุณอาจจะถูกจับ แล้วคุณก็คงจะเสียชีวิตและทรัพย์สินไป และทั้งครอบครัวของคุณก็จะพลอยติดร่างแหไปด้วย!”  ยังมีคนอื่นอีกด้วยที่พยายามบังคับให้ผมล้มเลิกความเชื่อเช่นกัน

ผมชัดเจนกับพวกเขามากว่าผมมุ่งมั่นที่จะติดตามพระเจ้าต่อไป แต่หลังจากกลับถึงบ้านผมก็เริ่มรู้สึกประสาทเสีย  หากพวกผู้นำของผมรู้เข้า ผมไม่เพียงจะถูกคาดโทษหรือถูกไล่ออก แต่ผมอาจจะถูกจับขังคุก แล้วผมก็จะไม่เหลืออะไรเลย และอย่างแน่นอนว่า ทุกคนรอบตัวก็คงจะปฏิเสธผมและปลีกตัวออกห่าง  นั่นคงจะเป็นตกสวรรค์แบบหมดรูป  ผมจะไม่เหลือเพียงมือเปล่าหรอกหรือ?  พอคิดแบบนั้น ผมก็รู้สึกถึงการดิ้นรนต่อสู้ภายในอีกแล้ว และเครียดมากจนนอนไม่หลับ  การคิดว่าผมจะหนีไม่พ้นการสูญสิ้นชีวิตที่ชูใจและตำแหน่งที่น่าอิจฉาไปไม่ช้าก็เร็วนั้น  ภายในผมรู้สึกว่างเปล่ามาก กลัดกลุ้มใจจริงๆ  ในความเจ็บปวดและทุกข์ใจของผม ผมอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำให้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์  หลังจากนั้น ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “มนุษย์ซึ่งเกิดมาในดินแดนอันโสมมเช่นนั้น ได้ถูกสังคมทำให้มัวหมองอย่างรุนแรง  เขาได้รับอิทธิพลจากจริยธรรมแบบศักดินา และได้รับการสอนใน ‘สถาบันอุดมศึกษา’ การคิดอ่านที่ล้าหลัง ศีลธรรมอันเสื่อมทราม มุมมองชีวิตแบบคับแคบ ปรัชญาที่น่าดูหมิ่นของการติดต่อเจรจาทางโลก การดำรงอยู่อันไร้ค่าอย่างที่สุด และรูปแบบการใช้ชีวิตและขนบธรรมเนียมทั้งหลายอันต่ำทราม—ทั้งหมดนี้ได้รุกล้ำเข้าไปในหัวใจของมนุษย์อย่างรุนแรง และได้บ่อนทำลายและโจมตีมโนธรรมของเขาอย่างรุนแรง  ผลก็คือ มนุษย์ออกห่างจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และต่อต้านพระองค์มากขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีสักคนที่จะเต็มใจยอมสละสิ่งใดๆ เพื่อพระเจ้า ไม่มีสักคนที่จะเต็มใจนบนอบพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีสักคนที่จะเต็มใจแสวงหาการทรงปรากฏของพระเจ้า  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ภายใต้อำนาจของซาตาน มนุษย์ไม่ทำอะไรเลยนอกจากไล่ตามเสาะหาความยินดี โดยยอมให้ตัวเขาเองจมอยู่กับความเสื่อมทรามของเนื้อหนังในดินแดนแห่งโคลน  แม้คราที่พวกเขาได้ยินความจริง พวกที่ใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมิดก็ไม่ได้ครุ่นคิดเรื่องการนำความจริงไปปฏิบัติ และพวกเขาก็ไม่มีแนวโน้มที่จะแสวงหาพระเจ้าแม้เมื่อพวกเขาได้เห็นการทรงปรากฏของพระองค์แล้วก็ตาม  มนุษย์ที่ต่ำทรามเช่นนั้นจะสามารถมีโอกาสแห่งความรอดได้อย่างไร?  มนุษย์ที่เสื่อมศีลธรรมเช่นนั้นจะสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่างได้อย่างไร?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า)  พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยที่มาของความเจ็บปวดของผม  เหตุใดผมจึงทุกข์ใจนักในยามที่ผมเผชิญกับตัวเลือก?  มันเป็นเพราะผมถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามมากเกินไป และตั้งแต่ผมยังเล็ก ผมเชื่อในปรัชญาเยี่ยงซาตานอย่างเช่น “จงโดดเด่นเหนือทุกคนที่เหลือ และจงนำพาเกียรติมาเผื่อบรรพบุรุษของเจ้า” โดยใช้ปรัชญาเหล่านี้เป็นเป้าหมายของชีวิต  ผมไล่ตามการได้รับความเคารพนับถือและความเลื่อมใสจากผู้อื่น โดยรู้สึกเสมือนว่านั่นคือการมีความทะเยอทะยาน  ในแรงขับเคลื่อนที่จะสัมฤทธิ์เป้าหมายนี้ ผมเป็นนักเรียนที่ขยัน แล้วจากนั้นหลังการเข้าร่วมกำลังพลคนทำงาน ผมก็พยายามอ่านอารมณ์ของผู้คนรอบข้าง เลียแข้งเลียขาและพินอบพิเทาอยู่เสมอ เพื่อให้พวกผู้นำโปรดปราน แล้วก็ได้รับการเลื่อนขั้น  แม้รู้ดีอยู่เต็มเปี่ยมว่าสิ่งใดที่ทำกับพรรคคอมมิวนิสต์ย่อมจะเป็นความทารุณโหดร้าย ผมก็ยังคงแข็งใจและทำตามไปด้วย อันเป็นการทำงานปรนนิบัติเพื่อซาตานและดำรงชีวิตอยู่ในความทุกข์ใจไร้สันติสุข  เป็นพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นี่เองที่แสดงให้ผมเห็นคุณค่าและความหมายของชีวิตเรา และนี่คือสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเติมเต็มมากขึ้นทุกที  แต่เมื่อเจอกับตัวเลือกของความเป็นไปได้ที่จะตกงานจนหมดอนาคตหากผมยังขืนเชื่อต่อไป และการถูกผู้อื่นปฏิเสธ ผมจึงได้เห็นว่าปรัชญาของซาตาน “จงโดดเด่นเหนือทุกคนที่เหลือ และจงนำพาเกียรติมาเผื่อบรรพบุรุษของเจ้า” ยังคงฝังกรงเล็บอยู่ลึกในตัวผม  การตัดสินใจเรื่องนั้นช่างลำบากยากเย็นมาก ร้าวรานมาก ราวกับว่าการไม่ไล่ตามเสาะหาชื่อและผลตอบแทนนั้น เป็นการละเลยความรับผิดชอบตามที่เป็นจริงของผม หรือไม่ก็ถึงกับเป็นการแหกกฎอย่างเลวร้ายด้วยซ้ำ  ผมไม่เต็มใจสูญเสียชื่อและสถานะของผม ราวกับการสูญเสียสิ่งเหล่านั้นคล้ายกับเป็นการสูญเสียตัวชีวิตเอง  จนกระทั่งผมได้อ่านพระวจนะแห่งการเปิดเผยของพระเจ้าที่ผมได้เห็นวิธีที่ซาตานใช้สิ่งนั้นเพื่อพันผูกผู้คน เพื่อทำร้ายพวกเราและทำให้พวกเราตีตัวออกห่างพระเจ้าและทรยศพระองค์  มันเตือนใจผมถึงบทสวดสรรเสริญจากพระวจนะของพระเจ้าที่ชื่อว่า “เจ้าควรไล่ตามเสาะหาความก้าวหน้าเชิงบวก” ความว่า “ทั้งชีวิตของผู้คนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และหากไม่ใช่เพื่อปณิธานของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้ว ผู้ใดเล่าจะเต็มใจดำรงชีวิตอยู่อย่างเปล่าประโยชน์ในโลกมนุษย์ที่ว่างเปล่าใบนี้?  จะลำบากไปไย?  การเร่งรีบเข้ามาและออกไปจากโลกนี้ หากพวกเขาไม่ทำสิ่งใดเพื่อพระเจ้า ทั้งชีวิตของพวกเขาจะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ?  ต่อให้พระเจ้าไม่ทรงถือว่าการกระทำของเจ้ามีค่าคู่ควรต่อการกล่าวถึง เจ้าจะไม่มอบยิ้มแห่งความอิ่มเอมใจให้กับชั่วขณะแห่งความตายของเจ้าหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 39)  บทเพลงสรรเสริญนี้ให้แรงบันดาลใจแก่ผมจริงๆ เรามีเวลาแค่ไม่กี่สิบปีในชีวิตนี้ ดังนั้นเราจึงต้องคว้าโอกาสนี้เพื่อรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและได้รับการช่วยให้รอด ทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และได้รับความจริงและชีวิต หาไม่แล้ว โอกาสนี้ที่จะได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้าก็จะเสียไป  แล้วชีวิตของพวกเราจะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ?  หากพรรคคอมมิวนิสต์จับกุม คุมขัง และทรมานผมเนื่องจากความเชื่อของผม เช่นนั้นต่อให้ผมจบลงตรงการตาย ผมก็รู้ว่าผมจะไม่มีการพร่ำบ่นร้องทุกข์เลย  พระเจ้าทรงมอบโอกาสเหมาะของชีวิตนี้ให้กับผม ดังนั้นผมจึงควรอุทิศมันแด่พระเจ้า  ทันทีที่ผมตระหนักเรื่องนี้ ผมก็อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  ข้าพระองค์ต้องการเป็นอิสระจากการถูกจำกัดควบคุม จากโซ่ตรวนของพญานาคใหญ่สีแดงและมอบทั้งตัวข้าพระองค์ให้กับพระองค์  ขอทรงนำและทรงมอบความเชื่อให้ข้าพระองค์ และช่วยให้ข้าพระองค์ข้ามอุปสรรคขวางกั้นถัดไปนี้”

หลังจากนั้นก็เกิดบางสิ่งซึ่งลงปฏักกระตุ้นให้ผมออกจากระบบของพรรคคอมมิวนิสต์ทันทีที่ผมทำได้  ผู้นำคนหนึ่งค้นพบว่าหนึ่งในสมาชิกพรรคนับถือศาสนา และโกรธจนกัดฟันกรอด พูดว่าเราจำเป็นต้องส่งเขาไปสถานีตำรวจเพื่อให้เขาได้รับการรักษาแบบหยาบกระด้าง  ผมรู้สึกกลัวทุกครั้งที่นึกถึงท่าทีที่พรรคคอมมิวนิสต์มีต่อศาสนา  ผมคิดว่าพรรคเป็นอริต่อความเชื่อทางศาสนาอย่างมาก และเกลียดชังคริสตชนอย่างมากมายยิ่งนัก ผมไม่แคล้วต้องเป็นเป้าหมายของพวกนั้นไม่ช้าก็เร็วเป็นแน่  มันเป็นสถานที่อันตรายซึ่งผมควรออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้  นอกจากนั้นแล้ว ตลอดหลายปีที่ผมร้องเพลงสรรเสริญพรรคคอมมิวนิสต์และได้ร่วมความชั่วมากมายไปกับมัน  ถ้าผมอยู่ในระบบนั้น ผมก็คงพัวพันอยู่ในนั้นมากขึ้นทุกทีจนเกินกว่าจะได้รับการไถ่  ผมจำเป็นต้องเดินออกมาจากองค์กรเยี่ยงซาตานนั่นในทันที และตัดสัมพันธ์ให้เกลี้ยงทั้งหมด

พอผมบอกภรรยาถึงสิ่งที่ผมกำลังคิด เธอก็วิตกกังวลขึ้นมาทันที  เธอพูดว่าเธอเกื้อหนุนผมในความเชื่อของผมได้ แต่เธอยอมให้ผมลาออกไม่ได้  เธอถึงกับโทรตามพี่น้องของผมให้มาห้ามผม  พวกเขาส่วนใหญ่ทำงานในรัฐวิสาหกิจ และเป็นห่วงว่าอาชีพการงานของพวกเขาอาจจะได้รับผลกระทบหากผมถูกจับกุม  พี่สาวคนโตของผมถึงกับร้องไห้คุกเข่าลงกุมมือผมแน่นแล้วพูดว่า “เธอมีงานที่ดีมากๆ ได้เงินเดือนสูงซึ่งแม้แต่คนที่จบปริญญาเอกหรือปริญญาโทก็ยังหาไม่ได้  เธอจะเดินออกมาจากงานที่ยอดเยี่ยมแบบนี้เพื่อไปติดตามพระเจ้าได้อย่างไร?”  เธอยังพูดด้วยว่าเธอจะคุกเข่าอยู่อย่างนั้นหากผมยังยืนกรานที่จะเชื่อต่อไป  พี่สาวอีกคนก็โกรธมากเหมือนกัน และพูดถึงการที่เธอได้ทนทุกข์เพื่อช่วยจ่ายค่าเล่าเรียนของผมจนไม่สามารถได้แต่งงานจนกระทั่งอายุ 30  ในที่สุดตอนนี้ พวกเราก็มีชีวิตราบรื่นหลังจากหลายปีที่เธอทำงานมาทั้งหมดนั่นและทั้งครอบครัวก็กำลังได้รับประโยชน์จากมัน  หากผมลาออก ก็จะเป็นการทำให้เธอต้องผิดหวังหลังจากความพยายามตลอดหลายปีของเธอ  พี่สาวคนโตของผมยังได้โอดครวญร้องทุกข์ว่า หากผมเลิกทำงานของผม เธอก็จะไม่ได้รับเงินพิเศษตอนลาป่วยที่โรงเรียนของเธออีก และลูกชายของเธอก็กำลังหวังว่าผมอาจจะช่วยหางานให้เขาได้  เธอพูดว่าผมจะคำนึงถึงแต่ตัวเองในความเชื่อไม่ได้ แต่ผมต้องคิดถึงครอบครัวด้วย  ในอึดใจนั้นผมตัดสินใจเลือกได้ยากมาก  พี่น้องชายหญิงของผมผ่านอะไรมากับผมมากมายตั้งแต่ผมยังเล็ก และผมมีแรงขับเคลื่อนตลอดมาก็ด้วยความหวังว่าพวกเขาจะสามารถมีชีวิตที่ดีและเชิดหน้าชูคอได้  ถ้าผมเห็นด้วยกับพวกเขา พวกเขาก็จะมีความสุขอย่างแน่นอน แต่เพราะผมเป็นผู้เชื่อและกำลังติดตามพระเจ้าอยู่ในตอนนี้ ผมจึงต้องทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่จะไม่ทำให้พระคุณและความรักของพระเจ้าเสื่อมเสีย  ถ้าผมสัญญากับครอบครัวของตนว่าผมจะเลิกเชื่อ นั่นก็จะเป็นการทรยศพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  การทรยศพระเจ้าคือการล่วงเกินอย่างใหญ่หลวง และแน่นอนที่สุดว่าเป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถทำได้  พระเจ้าทรงแสดงความจริงไว้มากมายยิ่งเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และพระองค์ก็ทรงยอมลำบากหนักหนา  ถ้าผมไม่มีเจตนาที่จะตอบแทนพระองค์และถึงกับประนีประนอมกับมารซาตาน ยอมคุกเข่าให้มัน นั่นย่อมจะไร้มโนสำนึก  ผมรู้สึกถึงความเจ็บปวดและอ่อนแอบางอย่าง แต่ผมรู้ว่าผมต้องเลือกทางนั้น  ผมพูดกับพวกเขาว่า “ไม่สำคัญว่าเราจะมีเงินมากแค่ไหน หรือมีการงานที่ดีแค่ไหน มันแก้ไขความรู้สึกเจ็บปวดจากความว่างเปล่าได้ไหม?  มันซื้อตัวชีวิตเองได้ไหม?  คนรวยและมีอำนาจมากมายก็ยังคงมีชีวิตอยู่ในความเจ็บปวดอยู่ดีไม่ใช่หรือ?  การมีความเชื่อและไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้  พระผู้ช่วยให้รอดเสด็จลงมาแล้ว ทรงแสดงความจริงเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด  นี่คือโอกาสเหมาะที่จะไม่มีวันมาอีกแล้ว และมันเป็นเพียงชั่วแวบอย่างเหลือเชื่อ  มหาวิบัติจะเกิดกับเราในชั่วพริบตา  ถ้าเราไม่ติดตามพระเจ้าและกลับใจต่อพระองค์เดี๋ยวนี้ ยามที่ความวิบัติมาถึง ก็สายเกินกว่าจะเสียใจแล้ว!  ผมได้แบ่งปันข่าวประเสริฐมากมายกับพวกพี่มาก่อน แต่พวกพี่ก็ไม่กล้าเข้าร่วม ด้วยความที่กลัวว่าจะถูกพรรคคอมมิวนิสต์จับ  พวกพี่ยืนกรานที่จะติดตามพรรคซึ่งเป็นเส้นทางตรงสู่นรก  การที่พวกพี่ผลักดันให้ผมติดตามมันต่อไป ไม่ใช่กำลังทำร้ายผมอยู่หรอกหรือ?  พวกพี่รู้ไหมว่าคนประเภทไหนอยู่ในระบบนั่น?  พวกนั้นทุกคนเป็นปีศาจต่อต้านพระเจ้าซึ่งสามารถทำเรื่องน่าสะพรึงกลัวได้ทุกอย่าง  พวกนั้นไม่แคล้วต้องถูกแช่งด่าและถูกลงโทษแน่นอน  ความวิบัติกำลังเติบโตขึ้นตลอดเวลา  ถ้าพวกพี่ยังไม่เชื่อในพระเจ้าและกลับใจกับพระองค์ พวกพี่ไม่แคล้วต้องร่วงลงสู่ความวิบัติและถูกลงโทษ  ตลอดหลายปีที่ผมเชื่อ ผมได้เรียนรู้ความจริงมาบ้าง และผมได้เห็นอย่างชัดเจนว่าการมีความเชื่อเป็นหนทางเดียวที่ถูกต้องในชีวิต  พวกพี่เป็นครอบครัวของผม ไม่ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้ผมหรือ?  ทำไมพวกพี่ถึงยืนกรานที่จะผลักดันผมขึ้นไปบนเส้นทางชั่วนี้กับพรรคคอมมิวนิสต์?  ผมจะไม่แทรกแซงทางเลือกส่วนตัวของพวกพี่ แต่ทางเลือกของผมคือการมีความเชื่อและติดตามพระเจ้า  ต่อให้ผมจะถูกจับและถูกข่มเหง ผมก็จะเดินบนเส้นทางนี้ไปจนถึงปลายทาง”  ภรรยาของผมชักสีหน้าแล้วเดินออกไป ส่วนคนอื่นไม่พูดอะไรกับผมอีกเลย  ต่อมา เพื่อที่จะพยายามกันไม่ให้ผมไปร่วมการชุมนุมและทำหน้าที่ ภรรยาจึงขังผมไว้ในบ้านและให้พี่เขยของผมอยู่เฝ้าผมทั้งวัน ไม่ยอมให้ผมคลาดสายตาเขาเลย  ผมไม่สามารถไปที่ไหนได้เลยสามวันติดต่อกัน  นั่นทำให้สิ่งซึ่งอยู่ในหน้าที่ของผมล่าช้า และผมก็รู้สึกวิตกกังวลจริงๆ  เมื่อไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำ ให้พระองค์ทรงมอบทางออกให้ผม  และแล้วในค่ำวันที่สาม พ่อของผมก็โทรมาบอกว่าแม่หายตัวไป  ดังนั้นในที่สุด ผมก็ได้โอกาสออกไปกับพี่เขยเพื่อตามหาแม่  ระหว่างทางเขาเตือนผมว่า “นายต้องล้มเลิกความเชื่อนะ!  พรุ่งนี้พี่ชายของนายจะมาที่นี่ และเขาพูดว่าเขาจะหักขานายถ้านายยังเก็บศาสนาของนายไว้อีก ไม่ว่ายังไง เขาก็จะหาทางทำให้นายล้มเลิกความเชื่อให้ได้!”  ผมรู้สึกกดดันจริงๆ เมื่อได้ยินแบบนี้  ผมรู้ว่าถ้าผมไม่หนีไปตอนนั้นเลย ผมก็คงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว  แต่พอผมกำลังจะไปจริงๆ ผมก็พบว่ามันเป็นเรื่องยากลำบากจริงๆ ที่จะก้าวผ่านปราการทางจิตใจ  เมื่อมองดูคนที่ผมรักและละแวกบ้านที่คุ้นเคย คิดถึงชีวิตที่ชูใจและการงานที่น่าอิจฉา—ผมรู้สึกถึงอาการเจ็บแปลบอย่างมากมายในหัวใจ ด้วยรู้ดีว่าผมกำลังจะสูญเสียทั้งหมดนั้นไปในชั่วอึดใจ  แล้วบทสวดสรรเสริญจากพระวจนะของพระเจ้าชื่อว่า “เจ้าได้มอบถวายสิ่งใดแด่พระเจ้า?” ที่เราร้องกันในการชุมนุมบ่อยครั้งก็ผุดขึ้นในใจว่า “อับราฮัมได้มอบถวายอิสอัค—พวกเจ้าได้มอบถวายสิ่งใด?  โยบได้มอบถวายทุกสิ่งทุกอย่าง—พวกเจ้าได้มอบถวายสิ่งใด?  ผู้คนมากมายเหลือเกินได้ให้ชีวิตของพวกเขา ได้วางศีรษะของพวกเขาลง และหลั่งเลือดของพวกเขาเพื่อแสวงหาหนทางที่แท้จริง  พวกเจ้าเคยได้จ่ายราคานั้นหรือไม่?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นัยสำคัญของการช่วยพงศ์พันธุ์ของโมอับให้รอด)  นั่นให้ความรู้สึกเหมือนพระเจ้าทรงอยู่ตรงหน้าผมและทรงถามคำถามเหล่านี้กับผม  ตอนที่อับราฮัมอายุ 100 ปี พระเจ้าได้ประทานลูกชายแก่เขา แต่เขาก็ยังสามารถถวายตัวลูกชายให้กับพระเจ้าได้  อัครทูตหลายคนมากได้ถวายวัยเยาว์ของพวกเขาและหลั่งเลือดเพื่อพระราชกิจข่าวประเสริฐของพระเจ้า ว่าแต่ตัวผมเล่าได้ถวายอะไรไปบ้าง?  ผมอยู่ในความร้าวรานที่มีต่อชื่อและสถานะอันไร้ค่าเหล่านี้  ผมเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นนัก  ผมคู่ควรกับการเสียสละของพระเจ้าที่ทรงทำไปเพื่อเลี้ยงดูและบำรุงเลี้ยงผมมาตลอดหลายปีนั้นตรงไหน?  นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่ผมกำลังเลือกอยู่นั้นก็มีความหมาย  มันเป็นไปเพื่อความเชื่อของผมและเพื่อที่จะทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  หากผมไม่ได้เลือกหน้าที่ของตัวเอง นั่นคงจะเป็นความเสียใจชั่วชีวิตของผม  การคิดเรื่องนั้นในหนทางนี้ให้ความแน่วแน่กับผม  เมื่อพี่เขยของผมขึ้นบันไดไป ผมก็คว้าโอกาสเหมาะนั้นวิ่งหนีออกมา  ตั้งแต่นั้นมา ผมก็ได้ทำหน้าที่ในคริสตจักรเต็มเวลามาโดยตลอด

ผมได้ยินตั้งแต่ตอนนั้นว่า มีบรรดาผู้นำและเพื่อนร่วมงานหลายคนในแผนกของผมกำลังให้และรับสินบนในการไล่ตามสถานะและความมั่งคั่งของพวกเขา และเมื่อสิ่งต่างๆ แดงออกมา พวกเขาก็ถูกโยนไปอยู่หลังลูกกรง  ผมชื่นบานใจจริงๆ ที่ได้รับการทรงคุ้มครองของพระเจ้า  ก่อนหน้านี้เวลาที่ผมพยายามจะก้าวหน้า ผมก็ได้ส่งของขวัญเหมือนที่คนอื่นทั้งหมดทำกัน และผมก็รับสินบนจากคนอื่น  ถ้าผมยังอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ผมก็คงลงเอยเหมือนพวกเขา  และตอนนี้ ถึงแม้ว่าผมจะไม่มีสิทธิพิเศษทั้งหมดนั่นหรือความเลื่อมใสและความอิจฉาของผู้อื่น แต่ผมก็สามารถทำหน้าที่ในคริสตจักร ไล่ตามเสาะความจริง และเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ได้  ผมรู้สึกเติมเต็มและมีความสุขมาก  นี่คือชีวิตแบบที่มีความหมาย มีคุณค่ามากที่สุดอย่างแท้จริง  ไม่ผิดจากที่กล่าวไว้ในบทสวดสรรเสริญจากพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ชีวิตอันเปี่ยมความหมายที่สุด” “เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—แน่นอนว่าเจ้าควรนมัสการพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาชีวิตที่มีความหมาย  ในเมื่อเจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าก็ควรสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าและสู้ทนความทุกข์ทุกอย่าง!  เจ้าควรยอมรับความทุกข์เล็กน้อยที่เจ้าต้องมีในวันนี้และใช้ชีวิตที่มีความหมายอย่างยินดีและอย่างมั่นใจดังเช่นโยบและเปโตร  พวกเจ้าคือผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาเส้นทางที่ถูกต้อง เป็นผู้ที่แสวงหาการปรับปรุงให้ดีขึ้น  พวกเจ้าคือผู้คนที่ผงาดขึ้นมาในชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง เป็นผู้ที่พระเจ้าตรัสเรียกว่าชอบธรรม  นั่นไม่ใช่ชีวิตที่มีความหมายที่สุดหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (2))  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงช่วยผมให้รอด โดยเปิดโอกาสให้ผมหนีพ้นจากการย่ำยีของซาตานและได้รับความรอดของพระเจ้า

ก่อนหน้า: 57. จงไล่ตามเสาะหาความจริงให้มากยิ่งขึ้นในยามชรา

ถัดไป: 59. ความขมขื่นของการชอบเอาใจผู้คน

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger