36. จงสดับพระสุรเสียงของพระเจ้า และต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้คนมากมายอาจไม่ใส่ใจในสิ่งที่เราพูด แต่เรายังอยากบอกทุกคนที่ได้ชื่อว่านักบุญผู้ติดตามพระเยซูว่า เมื่อพวกเจ้ามองเห็นพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์บนเมฆขาวด้วยตาของพวกเจ้าเองแล้ว นี่จะเป็นการปรากฏต่อสาธารณะของดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม บางทีนั่นอาจเป็นเวลาแห่งความตื่นเต้นอย่างใหญ่หลวงสำหรับเจ้า ทว่าเจ้าควรรู้ว่าเวลาที่เจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์ยังเป็นเวลาที่เจ้าจะลงสู่นรกเพื่อรับการลงโทษด้วยเช่นกัน นั่นจะเป็นเวลาที่แผนการบริหารจัดการของพระเจ้ามาถึงบทอวสาน และนั่นจะเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงปูนบำเหน็จรางวัลแก่คนดีและลงโทษคนชั่ว เพราะการพิพากษาของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงก่อนที่มนุษย์จะมองเห็นหมายสำคัญทั้งหลาย ในเวลาที่มีเพียงการแสดงออกของความจริงเท่านั้น บรรดาผู้ที่ยอมรับความจริงและไม่แสวงหาหมายสำคัญ และดังนั้นจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว จะได้หวนคืนมาอยู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้า และเข้าสู่อ้อมกอดของพระผู้สร้าง มีเพียงบรรดาผู้ที่ยืนกรานในการเชื่อว่า ‘พระเยซูที่ไม่ได้ประทับมาบนเมฆขาวคือพระคริสต์เทียมเท็จ’ เท่านั้นที่จะต้องอยู่ภายใต้การลงโทษชั่วนิรันดร์กาล เพราะพวกเขาเชื่อในพระเยซูผู้ทรงจัดแสดงหมายสำคัญเท่านั้น แต่ไม่ยอมรับพระเยซูผู้ทรงป่าวประกาศการพิพากษาที่รุนแรงและปลดปล่อยหนทางที่แท้จริงและชีวิต และดังนั้น จึงเป็นได้เพียงว่าพระเยซูทรงจัดการกับพวกเขาเมื่อพระองค์ทรงกลับมาบนเมฆขาวอย่างเปิดเผย” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว) พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เปิดเผย ว่าความผิดพลาดใหญ่หลวงที่สุดที่ผู้เชื่อทำเหมือนๆ กันในการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นคือการยึดติดกับคำพูดในพระคัมภีร์ และเฝ้ารอให้พระองค์เสด็จมาบนก้อนเมฆอย่างที่พวกเขาจินตนาการ แม้แต่เมื่อพวกเขาได้ยินว่าพระองค์ทรงกลับมาแล้ว ว่าพระองค์ทรงแสดงความจริง และทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายอยู่ พวกเขาก็ไม่ได้สืบค้นหรือพยายามฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ผลก็คือ พวกเขาพลาดโอกาสให้องค์พระผู้เป็นเจ้ารับขึ้นไปสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ เมื่อวันนั้นมาถึงที่ผู้คนได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาบนก้อนเมฆ พระราชกิจแห่งการชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าย่อมจะสำเร็จลุล่วงไปแล้ว พวกเขาจะถูกลงโทษ ร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน การยึดติดอยู่กับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเองโดยไม่แสวงหาความจริงหรือเงี่ยหูฟังพระสุรเสียงของพระเจ้านั้นอันตรายมาก! เพราะติดอยู่ในมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันประเภทนี้ ผมจึงเกือบพลาดโอกาสที่จะได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า
ผมเคยเป็นผู้ประกาศในคริสตจักรบ้าน พอถึงปี 1996 ผมก็รู้สึกว่างเปล่าและไม่อาจได้รับสิ่งบำรุงเลี้ยงใดๆ ผมจึงเดินทางไปฟังคำเทศนาอื่นๆ บ่อยครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมได้ยินใครบางคนพูดว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกกำลังเป็นพยานว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาเป็นมนุษย์แล้ว พระองค์กำลังทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายอยู่ อีกทั้งพี่น้องชายหญิงมากมายก็เข้าร่วมกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกแล้ว ผมประหลาดใจมาก และคิดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วหรือ? เป็นไปได้อย่างไร? ในพระคัมภีร์กล่าวว่า ‘ชาวกาลิลีเอ๋ย ทำไมพวกท่านถึงยืนจ้องมองฟ้าสวรรค์? พระเยซูองค์นี้ที่ทรงรับไปจากท่านทั้งหลายขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกในลักษณะเดียวกับที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น’ (กิจการ 1:11) องค์พระผู้เป็นเจ้าควรทรงกลับมาบนก้อนเมฆเฉกเช่นกายวิญญาณที่คืนพระชนม์ และทรงปรากฏให้พวกเราเห็นอย่างเปิดเผย เนื่องจากพวกเรายังไม่ได้เห็นอะไรแบบนั้น ใครจะมาบอกว่าพระองค์เสด็จกลับมาแล้วได้อย่างไร? ยิ่งเรื่องพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในเนื้อหนังก็ยิ่งไม่น่าเชื่อเลยแม้แต่น้อย” ผมจึงไม่เคยฟังหรือตรวจสอบคำเทศนาของฟ้าแลบจากทิศตะวันออก
วันหนึ่งพี่น้องชายเวสตันจากคริสตจักรของพวกเราได้เชิญนักประกาศคู่หนึ่งมา เขาพูดว่าคำเทศนาของทั้งคู่มีความรู้แจ้งแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และเราทุกคนสามารถเรียนรู้อะไรบางอย่างได้ ผมตื่นเต้นมากและชวนพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ มาเข้าร่วม ในการชุมนุม พี่น้องหญิงเลล่าและโซอี้ได้ผสมผสานพระคัมภีร์เข้ากับการสามัคคีธรรมของพวกเธอเรื่องความหมายของพระราชกิจของพระเจ้าในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ รวมถึงเรื่องความล้ำลึกแห่งพระนามของพระเจ้า พวกเธอพูดถึงเรื่องที่ว่าพวกเราใช้ชีวิตอยู่ในวัฏจักรที่เลวทรามของการทำบาปและสารภาพอย่างไร พวกเราโสมมและเสื่อมทราม อีกทั้งไม่คู่ควรที่จะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าขนาดไหน พวกเธอยังพูดด้วยว่าพระคัมภีร์ได้เผยพระวจนะว่า เมื่อพระองค์ทรงกลับมาในยุคสุดท้าย องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงพิพากษาและชำระมวลมนุษย์ให้สะอาด เพื่อแก้ไขธรรมชาติที่เปี่ยมไปด้วยบาปของพวกเรา นั่นคือทางเดียวที่พวกเราจะเป็นอิสระจากบาปอย่างสมบูรณ์และคู่ควรกับราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ ดังที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล” (ยอห์น 16:12-13) “เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย” (ยอห์น 12:47-48) การสามัคคีธรรมของพี่น้องหญิงคู่นี้ให้ความรู้แจ้งอย่างมาก ตลอดสิบกว่าปีที่ผมเชื่อมา ผมยังไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้เลย ผมอยากจะฟังอีก จึงชวนพวกเธอมาที่บ้านเพื่อให้แบ่งปันการสามัคคีธรรมมากขึ้น เย็นวันหนึ่ง เลล่ากล่าวถึงพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ว่า “เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังกังวาน—การเผยพระวจนะว่าข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรจะเผยแผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล” เธอให้คำพยานว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้วในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย โดยเฉพาะตอนที่ผมได้ยินพระวจนะของพระเจ้าพูดถึง “ฟ้าแลบนั้นส่องแสงวาบตรงจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก” ผมก็ตระหนักว่านี่คือฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ผมรู้สึกตกใจ แต่ก็ผิดหวังด้วย จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร? ผมไม่ได้ฟังคำเทศนาที่ให้ความรู้แจ้งแบบนี้มาหลายปีแล้ว ผมรู้สึกปีติมาตลอด คิดว่าผมได้พบพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และในที่สุดก็สามารถได้รับสิ่งบำรุงเลี้ยงจากสายน้ำแห่งชีวิต ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะกลายเป็นฟ้าแลบจากทิศตะวันออกไปได้! ในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาบนก้อนเมฆ ดังนั้นพระองค์จึงควรทรงพาพวกเราตรงขึ้นสู่สวรรค์ พวกเธอพูดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาเป็นมนุษย์แล้วได้อย่างไร? ผมไม่อยากได้ยินอีกแม้แต่คำเดียว ถ้าผมยอมให้พวกเธอชักนำไปผิดทาง ผมคิดว่าทุกอย่างที่ผมสู้ทนมาตลอดหลายปีในการเชื่อก็คงสูญเปล่า ผมแค่อยากบอกให้พวกเธอออกไป แต่เมื่อคิดดูอีกครั้ง หลังจากที่ได้อยู่กับพวกเธอตลอดสองสัปดาห์ ผมก็เห็นว่าพวกเธอใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีจริงๆ ตอนนั้นเป็นช่วงกลางฤดูหนาวที่อากาศหนาวมาก และเลยเที่ยงคืนมาแล้ว ผมรู้สึกว่าการเร่งเร้าไล่พวกเธอออกไปคงไร้มนุษยธรรมมาก ผมรู้สึกขัดแย้งจริงๆ มันเหมือนการเล่นชักเย่ออยู่ภายใน ผมไม่รู้ว่าอะไรคือน้ำพระทัยของพระเจ้ากันแน่ ผมหาข้ออ้างเพื่อกลับเข้าไปที่ห้องนอน แล้วผมก็คุกเข่าลงอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า การสามัคคีธรรมของพี่น้องหญิงคู่นี้มีความสว่างก็จริง แต่ข้าพระองค์กลัวจะถูกชักนำให้หลงผิด ข้าพระองค์หลงทาง ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ผมก็นึกขึ้นได้ว่าองค์พระเยซูเจ้าสอนให้พวกเราปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความรัก การไล่พวกเธอออกไปคงจะไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า ถึงแม้ว่าผมจะให้พวกเธออยู่ต่อ แต่การเผชิญหน้าพี่น้องหญิงคู่นี้ก็ทำให้เกิดความรู้สึกประดังประเดไปหมด ผมรู้ว่าการสามัคคีธรรมของพวกเธอให้ความรู้แจ้งและมาจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่การที่พวกเธอสามัคคีธรรมว่าพระเจ้าทรงกลับมาในร่างมนุษย์นั้น ช่างแย้งกับมโนคติอันหลงผิดของผมจริงๆ ผมนึกขึ้นได้ว่าผมสามารถตั้งคำถามกับพวกเธอและดูว่าพวกเธอพูดอะไร ผมจึงถามพวกเธอไปว่า “พวกคุณให้คำพยานว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาในร่างมนุษย์แล้ว ผมยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ชาวกาลิลีเอ๋ย ทำไมพวกท่านถึงยืนจ้องมองฟ้าสวรรค์? พระเยซูองค์นี้ที่ทรงรับไปจากท่านทั้งหลายขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกในลักษณะเดียวกับที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น’ (กิจการ 1:11) กายวิญญาณขององค์พระเยซูเจ้าคือสิ่งที่ขึ้นสู่สวรรค์หลังการคืนพระชนม์ของพระองค์ ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงกลับมา ก็ควรเป็นกายวิญญาณของพระองค์เสด็จกลับลงมาบนก้อนเมฆ คุณจะพูดว่าพระองค์ทรงกลับมาในร่างมนุษย์แล้วได้อย่างไร?”
เลล่าตอบกลับมาอย่างใจเย็นว่า “ในพระคัมภีร์มีคำเผยพระวจนะมากมายเกี่ยวกับการทรงกลับมาในร่างมนุษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า: ‘ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น’ (มัทธิว 24:27) ‘พวกท่านจงเตรียมพร้อม เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา’ (มัทธิว 24:44) ‘เพราะว่าบุตรมนุษย์ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน’ (ลูกา 17:24-25) ในคำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าเกี่ยวกับการทรงกลับมาของพระองค์ พระองค์ตรัสถึง ‘บุตรมนุษย์จะเสด็จมา’ ‘การเสด็จมาของบุตรมนุษย์’ และ ‘บุตรมนุษย์ในวันของพระองค์’ หลายครั้ง ‘บุตรมนุษย์’ หมายถึงผู้ที่เกิดจากมนุษย์และครอบครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ถ้าพระองค์อยู่ในรูปกายวิญญาณ ก็คงไม่เรียกพระองค์ว่าเป็นบุตรมนุษย์ พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงอยู่ในรูปกายวิญญาณ ดังนั้นจึงไม่สามารถเรียกพระองค์ว่าบุตรมนุษย์ได้ ทูตสวรรค์คือวิญญาณ พวกเขาจึงไม่อาจถูกเรียกว่าบุตรมนุษย์ได้ พวกเราเรียกองค์พระเยซูเจ้าว่าพระคริสต์ บุตรมนุษย์ เพราะพระองค์คือพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และพระองค์คือบุตรมนุษย์ผู้ครอบครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ดังนั้นเมื่อองค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘การเสด็จมาของบุตรมนุษย์’ และ ‘บุตรมนุษย์จะเสด็จมา’ จึงเป็นการอ้างอิงถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงกลับมาในร่างมนุษย์ในยุคสุดท้าย”
จากนั้น โซอี้ก็พูดว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงเผยพระวจนะเกี่ยวกับการทรงกลับมาของพระองค์เองว่า ‘แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน’ พระเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจของพระองค์ในร่างมนุษย์ในฐานะบุตรมนุษย์ในยุคสุดท้าย เช่นเดียวกับองค์พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงดูเหมือนบุตรมนุษย์ทั่วไปจากภายนอก ผู้คนไม่ได้รู้จักพระองค์ในฐานะพระคริสต์ และปฏิบัติต่อพระองค์เฉกเช่นคนธรรมดา พวกที่อยู่ในโลกศาสนาและพวกที่เป็นส่วนหนึ่งของระบอบการปกครองของซาตานก็ได้รวมกลุ่มกันเพื่อกล่าวโทษและต่อต้านพระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายโดยเฉพาะ นี่ทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าลุล่วงโดยสมบูรณ์ กล่าวคือ ‘แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน’ หากเป็นเหมือนความคิดของมนุษย์และองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในรูปพระวิญญาณของพระองค์ในยุคสุดท้าย ทรงปรากฏบนก้อนเมฆด้วยพระสิริทั้งปวงและทรงแสดงพระองค์เองแก่ผู้คนทั้งปวงอย่างเปิดเผย ทุกคนคงจะหมอบลงเฉพาะพระพักตร์พระองค์ ก้มกราบและนมัสการพระองค์ และคงไม่มีใครต่อต้านพระองค์เลย แล้วคำเผยพระวจนะนี้จะลุล่วงได้อย่างไร?”
คำพูดของเธอช่วยให้ผมเริ่มเข้าใจว่าหากองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏในรูปพระวิญญาณของพระองค์ในยุคสุดท้ายโดยตรง ทุกคนที่เห็นพระองค์ย่อมจะหมอบลงกับพื้น และจะไม่มีใครต่อต้านพระองค์เลย เช่นนั้นแล้วคำเผยพระวจนะนี้ที่ว่า “แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน” ก็จะไม่มีทางลุล่วงไปได้ ผมนึกถึงที่ฟ้าแลบทางทิศตะวันออกเป็นพยานยืนยันว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว และโลกศาสนากับรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ทุ่มเททุกอย่างในการต่อต้านและกล่าวโทษฟ้าแลบจากทิศตะวันออก นั่นทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าเรื่องการปฏิเสธของคนยุคนี้ลุล่วงไม่ใช่หรือ? เป็นไปได้ไหมว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่เสด็จกลับมาแล้วจริงๆ? พระคัมภีร์เผยพระวจนะเรื่องการเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จริง แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ด้วยว่า “นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์” (วิวรณ์ 1:7) ผมสงสัยว่าหากองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาในร่างที่ประสูติเป็นมนุษย์ในฐานะบุตรมนุษย์จริง คำเผยพระวจนะนั้นจะลุล่วงได้อย่างไร ผมจึงเล่าความสับสนของตนเองให้พวกเธอฟัง
เลล่าแบ่งปันสามัคคีธรรมนี้ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระวจนะทุกคำของพระองค์จะลุล่วง ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น ในพระคัมภีร์มีคำเผยพระวจนะเกี่ยวกับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่มากมาย นอกจากที่ว่าพระองค์จะเสด็จมาบนก้อนเมฆแล้ว ยังมีคำเผยพระวจนะเรื่องที่พระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเสด็จมาอย่างลับๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า ‘เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด”’ (มัทธิว 25:6) ‘แต่ไม่มีใครรู้เรื่องวันหรือเวลาแม้แต่บรรดาทูตแห่งฟ้าสวรรค์หรือพระบุตร มีแต่พระบิดาองค์เดียว’ (มัทธิว 24:36) และมีคำเผยพระวจนะในวิวรณ์ที่ว่า ‘นี่แน่ะ เรากำลังมาเหมือนอย่างขโมย’ (วิวรณ์ 16:15) ในคำเผยพระวจนะที่กล่าวถึง ‘อย่างขโมย’ ‘เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้อง’ และ ‘ไม่มีใครรู้’ นั่นคือพระองค์ตรัสถึงการทรงกลับมาอย่างลับๆ องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในสองวิธีที่แตกต่างกันในยุคสุดท้าย พระองค์ประสูติเป็นมนุษย์อย่างลับๆ ในฐานะบุตรมนุษย์ และพระองค์ก็ได้เสด็จมาบนก้อนเมฆอย่างเปิดเผยด้วย ซึ่งก็คือ พระองค์เสด็จมาในเนื้อหนังอย่างลับๆ ก่อน เพื่อทรงแสดงความจริง พิพากษา ชำระมวลมนุษย์ให้สะอาด และเพื่อสร้างกลุ่มผู้ชนะก่อนที่ความวิบัติจะมาถึง เมื่อพระเจ้าในร่างมนุษย์ทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดอย่างลับๆ แล้ว ความวิบัติจะบังเกิดขึ้น เมื่อนั้นพระองค์จะประทานบำเหน็จแก่คนดี และทรงลงโทษคนชั่ว เมื่อนั้นเท่านั้นที่พระเจ้าจะเสด็จมาบนก้อนเมฆอย่างเปิดเผย เปิดเผยพระองค์แก่ทุกชนชาติและผู้คน นั่นคือตอนที่คำเผยพระวจนะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาอย่างเปิดเผยจะลุล่วงอย่างสมบูรณ์ ทุกคนที่ยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผู้ซึ่งได้รับการชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาให้สะอาด จะได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้า และได้รับการช่วยให้รอดจากความวิบัติ พวกเขาจะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า แต่บรรดาผู้ที่ปฏิเสธพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คนที่ทำทุกทางที่ทำได้เพื่อต่อต้านและกล่าวโทษพระราชกิจนั้น จะถูกลงโทษในความวิบัติ ร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สิ่งนี้จะทำให้คำเผยพระวจนะในวิวรณ์ลุล่วง กล่าวคือ ‘นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์’ (วิวรณ์ 1:7)” จากนั้น เธอได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บทตอนนี้ให้ผมฟังว่า “ผู้คนมากมายอาจไม่ใส่ใจในสิ่งที่เราพูด แต่เรายังอยากบอกทุกคนที่ได้ชื่อว่านักบุญผู้ติดตามพระเยซูว่า เมื่อพวกเจ้ามองเห็นพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์บนเมฆขาวด้วยตาของพวกเจ้าเองแล้ว นี่จะเป็นการปรากฏต่อสาธารณะของดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม บางทีนั่นอาจเป็นเวลาแห่งความตื่นเต้นอย่างใหญ่หลวงสำหรับเจ้า ทว่าเจ้าควรรู้ว่าเวลาที่เจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์ยังเป็นเวลาที่เจ้าจะลงสู่นรกเพื่อรับการลงโทษด้วยเช่นกัน นั่นจะเป็นเวลาที่แผนการบริหารจัดการของพระเจ้ามาถึงบทอวสาน และนั่นจะเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงปูนบำเหน็จรางวัลแก่คนดีและลงโทษคนชั่ว เพราะการพิพากษาของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงก่อนที่มนุษย์จะมองเห็นหมายสำคัญทั้งหลาย ในเวลาที่มีเพียงการแสดงออกของความจริงเท่านั้น บรรดาผู้ที่ยอมรับความจริงและไม่แสวงหาหมายสำคัญ และดังนั้นจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว จะได้หวนคืนมาอยู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้า และเข้าสู่อ้อมกอดของพระผู้สร้าง มีเพียงบรรดาผู้ที่ยืนกรานในการเชื่อว่า ‘พระเยซูที่ไม่ได้ประทับมาบนเมฆขาวคือพระคริสต์เทียมเท็จ’ เท่านั้นที่จะต้องอยู่ภายใต้การลงโทษชั่วนิรันดร์กาล เพราะพวกเขาเชื่อในพระเยซูผู้ทรงจัดแสดงหมายสำคัญเท่านั้น แต่ไม่ยอมรับพระเยซูผู้ทรงป่าวประกาศการพิพากษาที่รุนแรงและปลดปล่อยหนทางที่แท้จริงและชีวิต และดังนั้น จึงเป็นได้เพียงว่าพระเยซูทรงจัดการกับพวกเขาเมื่อพระองค์ทรงกลับมาบนเมฆขาวอย่างเปิดเผย พวกเขาดื้อรั้นเกินไป มั่นใจในตัวเองเกินไป โอหังเกินไป พวกคนเสื่อมเช่นนั้นจะสามารถได้รับการปูนบำเหน็จรางวัลจากพระเยซูได้อย่างไร? การทรงกลับมาของพระเยซูเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่สำหรับบรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริงได้ แต่สำหรับพวกที่ไร้ความสามารถที่จะยอมรับความจริงได้แล้ว นี่เองคือหมายสำคัญหนึ่งแห่งการกล่าวโทษ พวกเจ้าควรเลือกเส้นทางของพวกเจ้าเอง และไม่ควรหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์และปฏิเสธความจริง เจ้าไม่ควรเป็นคนที่ไม่รู้เท่าทันและโอหัง แต่เป็นใครบางคนที่นบนอบการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์และถวิลหาและแสวงหาความจริง พวกเจ้าจะได้รับประโยชน์ด้วยวิธีนี้เท่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว)
ผมตาสว่างขึ้นมาในทันที ผมได้เห็นว่าการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเกิดขึ้นเป็นระยะ ระยะแรก พระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ตรัสและทรงพระราชกิจอย่างลับๆ ต่อมาพระองค์ก็เสด็จมาบนก้อนเมฆอย่างเปิดเผย ทรงปรากฏแก่มนุษย์ทุกคน ผมได้เห็นว่าตนเองจำกัดการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าไว้ที่ทางสุดท้ายเท่านั้น เนื่องจากมโนคติที่หลงผิดและความคิดฝันของผม ความคิดที่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะเสด็จมาในร่างมนุษย์เป็นความคิดที่ผิด ผมไม่อาจยืนกรานแบบนั้นต่อไปได้ ผมนึกถึงพระวจนะเหล่านี้จากองค์พระเยซูเจ้าที่ว่า “เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ และทุกคนที่แสวงหาก็พบ ทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา” (มัทธิว 7:8) คราวนี้เมื่อเผชิญกับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผมก็ต้องมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และสืบค้นเรื่องนี้อย่างจริงจังเพื่อสนองน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่เช่นนั้นผมก็คงจะถูกองค์พระผู้เป็นเจ้ากำจัดออกไป!
จากนั้นผมได้ถามพวกเธอว่า “ในเมื่อตอนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมา พระองค์จะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจอย่างลับๆ ก่อน แล้วพวกเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระเจ้าในร่างมนุษย์ คือพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย?” เลล่าตอบกลับมาอย่างมีความสุขมากว่า “ตลอดหลายพันปี ไม่เคยมีใครเข้าใจความล้ำลึกและความจริงข้อนี้ว่าการประสูติเป็นมนุษย์คืออะไร และพวกเราจะรู้จักพระเจ้าในร่างมนุษย์ได้อย่างไร ตอนนี้พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเปิดเผยความล้ำลึกและความจริงเหล่านี้แก่พวกเราแล้ว” จากนั้นเธอก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ผมฟังสองสามบทตอนว่า “‘การประสูติเป็นมนุษย์’ คือการทรงปรากฏของพระเจ้าในเนื้อหนัง พระเจ้าทรงพระราชกิจท่ามกลางมวลมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นในพระฉายาของเนื้อหนัง ดังนั้น สำหรับการที่พระเจ้าจะประสูติเป็นมนุษย์ได้นั้น ประการแรกพระองค์ต้องทรงเป็นเนื้อหนังก่อน นั่นคือ เนื้อหนังที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นี่คือข้อกำหนดเบื้องต้นที่สำคัญที่สุด อันที่จริงแล้ว ความหมายโดยนัยของการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าก็คือว่า พระเจ้าทรงพระชนม์ชีพและทรงพระราชกิจในเนื้อหนัง พระเจ้าโดยแก่นแท้ของพระองค์ทรงบังเกิดเป็นเนื้อหนัง ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นแท้ของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ) “การประสูติเป็นมนุษย์หมายความว่า พระวิญญาณของพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ นั่นคือ พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระราชกิจที่เนื้อหนังกระทำคือพระราชกิจของพระวิญญาณ ซึ่งทำให้เป็นจริงในเนื้อหนัง แสดงออกโดยเนื้อหนัง ไม่มีผู้ใดเว้นแต่เนื้อหนังของพระเจ้าที่สามารถทำให้พันธกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ลุล่วง นั่นคือ มีเพียงเนื้อหนังซึ่งประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกตินี้เท่านั้น—และไม่มีผู้อื่นใด—ที่สามารถแสดงออกถึงพระราชกิจที่เป็นของพระเจ้าได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นแท้ของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ) “พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เรียกว่าพระคริสต์ และพระคริสต์คือเนื้อหนังมนุษย์ที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงสวมใส่ เนื้อหนังมนุษย์นี้ไม่เหมือนกับมนุษย์คนใดที่มีเนื้อหนัง ความแตกต่างนี้เป็นเพราะพระคริสต์คือการประสูติเป็นมนุษย์ของพระวิญญาณ ไม่ใช่การเป็นเนื้อหนัง พระองค์ทรงมีทั้งความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และเทวสภาพที่ครบบริบูรณ์ ไม่มีมนุษย์คนใดครอบครองเทวสภาพของพระองค์ ความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพระองค์ช่วยในการทำกิจกรรมตามปกติทั้งหมดของพระองค์ในเนื้อหนัง ในขณะที่เทวสภาพของพระองค์ปฏิบัติพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นแท้ของพระคริสต์คือการนบนอบน้ำพระทัยของพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์) “พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ย่อมจะทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ย่อมจะทรงมีการแสดงออกของพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงก่อเกิดพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ และในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และจะสามารถนำความจริงมาสู่มนุษย์ ประทานชีวิตให้เขาและชี้ทางให้เขา เนื้อหนังที่ไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่ถือว่าเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ในเรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยแต่อย่างใด หากมนุษย์ตั้งใจจะสืบค้นลงไปว่านั่นคือเนื้อหนังจากการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาต้องยืนยันเรื่องนี้จากพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกและพระวจนะที่พระองค์ตรัส ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่จะยืนยันว่าเป็นเนื้อหนังจากการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ และเป็นทางที่เที่ยงแท้จริงหรือไม่นั้น คนเราต้องแยกแยะบนพื้นฐานของแก่นแท้ของพระองค์ และดังนั้น ในการกำหนดว่านั่นเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์หรือไม่ กุญแจอยู่ในแก่นแท้ของพระองค์ (พระราชกิจของพระองค์ ถ้อยดำรัสของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์และแง่มุมอื่นๆ มากมาย) มากกว่ารูปปรากฏภายนอก หากมนุษย์พินิจพิเคราะห์เพียงแค่รูปปรากฏภายนอกของพระองค์ และส่งผลให้มองข้ามแก่นแท้ของพระองค์ นี่ก็แสดงว่ามนุษย์เขลาและไม่รู้ความ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)
หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้ว เลล่าก็สามัคคีธรรมต่อไปว่า “พระคริสต์คือพระเจ้าในร่างมนุษย์ พระองค์คือพระวิญญาณของพระเจ้าที่ห่อหุ้มด้วยเนื้อหนัง ผู้ซึ่งบังเกิดเป็นคนธรรมดา ทรงพระราชกิจ และดำรัสพระวจนะมากมายในหมู่มนุษย์ พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์นั้นดูเหมือนคนธรรมดา ไม่ได้สูงส่งหรือเหนือธรรมชาติ พระองค์ทรงมีเหตุผล การนึกคิด และอารมณ์ทั้งปวงเฉกเช่นคนปกติ พระองค์เสวย บรรทม และสวมใส่ฉลองพระองค์เช่นเดียวกับคนปกติ และพระองค์ทรงพระชนม์ชีพท่ามกลางผู้คน และมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาในหนทางที่เป็นจริง แต่นอกจากสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติแล้ว พระองค์ยังทรงครอบครองแก่นแท้ของพระเจ้าซึ่งมนุษย์ไม่มีอีกด้วย นั่นคือสาเหตุที่พระคริสต์ทรงพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองได้ พระองค์สามารถสิ้นสุดยุคเก่าและเริ่มต้นยุคใหม่ได้ แก่นแท้ของพระองค์คือความจริง คือหนทาง และคือชีวิต พระองค์สามารถแสดงให้เห็นถึงความจริงได้ และทรงนำและค้ำจุนผู้คนได้ทุกที่ทุกเวลา พระองค์ประทานเส้นทางปฏิบัติให้พวกเราได้ พระคริสต์สามารถเปิดเผยความล้ำลึกทั้งปวง แสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้า สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น รวมถึงพระมหิทธิฤทธิ์และพระปัญญาของพระองค์ได้ พระวจนะของพระคริสต์ทำให้ทุกสิ่งสัมฤทธิ์ผล ไม่มีมนุษย์คนใดทำเช่นนั้นได้ องค์พระเยซูเจ้าทรงดูเหมือนคนธรรมดา แต่พระองค์ทรงมีแก่นแท้ของพระเจ้า การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระองค์ได้เริ่มต้นยุคพระคุณและสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ พระองค์ทรงแสดงความจริง ประทานหนทางแห่งการกลับใจ และทรงอภัยบาปของพวกเรา พระองค์ทรงอดทนและอดกลั้น อีกทั้งทรงบอกพวกเราให้อภัยเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง พระองค์ทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยแห่งความรักและความกรุณาของพระเจ้า อีกทั้งทรงแสดงออกถึงหมายสำคัญและการอัศจรรย์มากมายในขณะที่ทรงพระราชกิจ เช่น ทรงรักษาคนตาบอด ทำให้คนง่อยเดินได้ ทำให้ทะเลสงบด้วยพระวจนะ คืนชีพให้คนตาย เลี้ยงมนุษย์ห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัว และอื่นๆ นี่เปิดเผยสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าโดยสมบูรณ์ พระราชกิจและพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า รวมทั้งพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกมานั้น เป็นข้อพิสูจน์ที่เพียงพอแล้วว่าพระองค์คือพระเจ้าในร่างมนุษย์ มีเพียงพระเจ้าที่สามารถแสดงความจริง ยุติยุคเก่าและเริ่มต้นยุคใหม่ แสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้าและพระปัญญาแห่งพระราชกิจของพระองค์ได้ นอกจากพระคริสต์ ก็ไม่มีใครที่สามารถแสดงความจริง แสดงว่าอะไรคือสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น หรือทำให้พระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองเสร็จสิ้นได้ นี่คือวิธีที่ทำให้พวกเราระบุได้ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระเจ้าในร่างมนุษย์ คือพระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายหรือไม่ด้วย นี่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานที่ว่าพระองค์ทรงมีรูปร่างหน้าตาเช่นไร พระองค์ทรงเกิดมาในครอบครัวแบบไหน สถานะทางสังคมของพระองค์เป็นอย่างไร หรือพระองค์ทรงมีเกียรติศักด์ใดๆ หรือไม่ ทั้งหมดนั้นไม่สำคัญเลย สิ่งสำคัญที่สุดคือการแสวงหาและสืบค้นพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ดูว่าพระองค์สามารถแสดงความจริงและทรงพระราชกิจของพระเจ้าได้หรือไม่ หากพระองค์ทรงแสดงความจริงและแสดงถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้า หากพระองค์ทรงพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด เช่นนั้นแม้ว่าพระองค์อาจจะทรงปรากฏอย่างธรรมดาสามัญมาก ไม่มีสถานะหรืออำนาจพิเศษใดๆ และถึงจะมีการกล่าวโทษและการปฏิเสธของผู้คน พระองค์ก็คือพระเจ้าในร่างมนุษย์ พระองค์คือพระคริสต์”
ด้วยการสามัคคีธรรมของเธอ ผมจึงเข้าใจดีขึ้น ว่าพระเจ้าในเนื้อหนังนั้นสามารถแสดงความจริงและทรงพระราชกิจของพระเจ้าได้ นั่นคือหลักการพื้นฐานเพียงอย่างเดียวที่จะระบุว่าใครบางคนคือพระคริสต์หรือไม่ โซอี้สามัคคีธรรมต่อไปว่า “การจะยืนยันว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ใช่พระเจ้าในร่างมนุษย์หรือไม่ พวกเราจะมองแค่ภายนอกไม่ได้ พวกเราต้องดูให้แน่ใจจากพระวจนะและพระราชกิจของพระองค์ รวมถึงพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกมา ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กำลังทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า บนรากฐานของพระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงสิ้นสุดยุคพระคุณและนำมาซึ่งยุคแห่งราชอาณาจักร พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ดำรัสพระวจนะหลายล้านคำ พระองค์ทรงเปิดเผยความล้ำลึกแห่งแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้า ความล้ำลึกของพระราชกิจสามระยะของพระองค์ ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า และเรื่องราวเบื้องหลังพระคัมภีร์ พระองค์ทรงเปิดเผยว่าซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามอย่างไร พระเจ้าทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดอย่างไร พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและชำระผู้คนในยุคสุดท้ายให้สะอาดอย่างไร พระองค์ทรงจัดสรรมนุษย์ตามประเภทของพวกเขา อีกทั้งทรงกำหนดปลายทางและบั้นปลายของมนุษย์อย่างไร และอีกมากมาย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงให้เห็นถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ที่มีความชอบธรรมเป็นสำคัญ ทรงพิพากษาและเปิดโปงธรรมชาติเยี่ยงซาตานที่ต่อต้านพระเจ้า รวมถึงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเรา พระองค์ทรงแสดงให้เห็นเส้นทางที่จะละทิ้งบาปและได้รับการชำระให้สะอาดด้วย” โซอี้ยังได้แบ่งปันประสบการณ์ของเธอเองที่ถูกพิพากษาและตีสอนผ่านทางพระวจนะของพระเจ้าด้วย เธอพูดว่า “ฉันไม่เห็นว่าตัวเองโอหัง เห็นแก่ตัว และเจ้าเล่ห์ขนาดไหนจนกระทั่งถูกพิพากษา ตีสอน ทดสอบ ถลุง และตัดแต่งผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ฉันมีความเชื่อและสละตนเองเพื่อพระเจ้า แต่ฉันก็ยังทำบาปและต่อต้านพระเจ้าตลอดเวลาเพราะธรรมชาติเยี่ยงซาตานของฉัน ตัวอย่างเช่น ฉันชอบอวดตนและให้คนอื่นเคารพฉันอยู่เสมอ ฉันจะเอ็ดคนอื่นอย่างรุนแรง และให้พวกเขาทำตามที่ฉันบอก ฉันโกหกและหลอกลวงคนอื่นเพื่อปกป้องชื่อและสถานะของตนเอง และยังมีเรื่องอื่นๆ อีก ผ่านทางการพิพากษาและตีสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงมองเห็นว่าฉันกำลังใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตนเองและไม่มีสภาพเสมือนมนุษย์โดยสิ้นเชิง ฉันยังตระหนักด้วยว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ไม่ทนต่อการล่วงเกิน และฉันก็เริ่มมีความยำเกรงพระองค์ในหัวใจขึ้นมาบ้าง ฉันยังเกิดความเสียใจและเกลียดตนเอง และเริ่มจดจ่อกับการปฏิบัติความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตนเองและกลับใจต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงด้วย แล้วอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของฉันก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง ผลสัมฤทธิ์แห่งพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้นเพียงพอที่จะทำให้แน่ใจว่าพระองค์คือพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ ว่าพระองค์คือพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย”
การสามัคคีธรรมของทั้งคู่ทำให้หัวใจของผมสว่างไสว ผมได้เห็นว่า กุญแจสำคัญในการยืนยันการปรากฏของบุตรมนุษย์และยืนยันว่าพระองค์คือพระคริสต์ในร่างมนุษย์นั้น คือการดูว่าพระองค์ทรงแสดงพระวจนะและพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้หรือไม่ และพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจเพื่อสิ้นสุดยุคเก่าและเริ่มต้นยุคใหม่ได้หรือไม่ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงมากมาย และทรงพระราชกิจเพื่อพิพากษาและชำระมวลมนุษย์ให้สะอาด พระองค์ทรงเริ่มต้นยุคแห่งราชอาณาจักรและสิ้นสุดยุคพระคุณ นั่นแปลว่าพระองค์คือพระคริสต์ คือการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน! ผมไม่เคยเข้าใจความจริงมาก่อน ผมหลับหูหลับตาเฝ้ารอองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนก้อนเมฆในรูปกายวิญญาณของพระองค์ จากนั้นก็ทรงนำบรรดาผู้เชื่อตรงขึ้นสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าพระองค์ทรงกลับมาแล้ว ผมจึงไม่ได้ใส่ใจแสวงหาหรือสืบค้น ผมเกือบพลาดโอกาสในการกลับมาอยู่ร่วมกับองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ผมช่างเขลาจริงๆ!
หลังจากนั้น ผมอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างกระตือรือร้น ผมได้เรียนรู้ความจริงและความล้ำลึกมากมายที่ผมไม่เคยเข้าใจมาก่อน และเกิดความมั่นใจอย่างที่สุดว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา! ผมแบ่งปันพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้กับพี่น้องชายหญิงร้อยกว่าคนในเครือข่ายของตนเอง เมื่อพวกเขาอ่านพระวจนะของพระองค์และได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ พวกเขาก็ตื้นตันจนน้ำตาไหลด้วยความปีติ พวกเขาหันเข้าหาพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ และได้เข้าร่วมงานฉลองของพระเมษโปดก!