54. เบื้องหลังคำโกหกของฉัน
เดือนมกราคม ปี 2021 ฉันได้เป็นผู้ประกาศ หลังนั้นจากราวสามเดือน ฉันก็ทำงานได้ไม่ดีนักเพราะความสามารถต่ำ จึงถูกย้ายไปเป็นผู้นำคริสตจักร ตอนนั้นฉันเสียใจมาก “ฉันถูกย้ายแล้ว ถ้าพี่น้องชายหญิงรู้เข้า พวกเขาจะมองฉันยังไง? พวกเขาจะคิดว่าฉันไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่มีความสามารถในการทำงานหรือเปล่า? พวกเขาจะดูถูกฉันไหม? ถ้าฉันทำหน้าที่ผู้นำคริสตจักรได้ไม่ดีและถูกปลด อย่างนั้นภาพลักษณ์ดีๆ ของฉันในใจพวกเขาก็คงพังทลายไม่เหลือ” พอคิดแบบนี้แล้ว ฉันก็หมดแรงใจไปเลย หลังจากนั้น เวลาที่ทำหน้าที่ ฉันก็โกหกและเสแสร้งเพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของตัวเองในสายตาคนอื่น
ในเดือนพฤษภาคม ผู้นำระดับสูงมาติดตามงานต่างๆ ในคริสตจักร พวกเขาพบพระวจนะบางบทตอนซึ่งเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ทำงานที่แท้จริง และสามัคคีธรรมเรื่องนั้นกับพวกเรา ฉันคิดในใจว่า “ทำไมผู้นำถึงยกพระวจนะหัวข้อนี้ขึ้นมาล่ะ? พวกเขารู้หรือเปล่าว่าช่วงนี้ฉันไม่ได้ทำงานที่แท้จริง และนี่เป็นการเตือนว่าถ้าฉันยังทำงานไม่ดีต่อไปฉันจะถูกปลดใช่ไหม? ไม่นานมานี้ฉันเพิ่งถูกลดขั้นเพราะด้อยความสามารถ ถ้าฉันถูกปลดอีก เหล่าพี่น้องจะต้องพูดแน่ๆ ว่าฉันไม่มีความสามารถจริงๆ มันคงจะน่าอายที่สุดเลย! ไม่ได้การแล้ว ฉันจะปล่อยให้พี่น้องชายหญิงดูถูกไม่ได้ ฉันต้องทำงานให้หนักและให้ได้ผลลัพธ์บ้าง” ในช่วงนั้น ฉันเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มของฉันและสามัคคีธรรมกับพวกเขาบ่อยครั้ง เมื่อเห็นว่าเหล่าพี่น้องมีความลำบากในการประกาศข่าวประเสริฐ ฉันก็จะพยายามแก้ไขทันที แต่หลังจากสามัคคีธรรมไปหลายครั้ง ก็ไม่มีผลลัพธ์ที่ชัดเจน ผู้นำส่งจดหมายมาสอบถามถึงงานข่าวประเสริฐ ฉันอยากจะรายงานปัญหาเหล่านี้ให้ผู้นำทราบ แต่แล้วฉันก็คิดว่าทั้งหมดนั้นเป็นปัญหาเก่าที่ยังไม่ได้แก้ไข ถ้าฉันรายงานไป ผู้นำจะบอกว่าฉันขาดความสามารถในงานและไม่สามารถแก้ปัญหาที่แท้จริงได้ แล้วก็ปลดฉันออกไหม? ฉันจะไม่เสียหน้าหมดเหรอ? ฉันเลยพูดตรงข้ามกับสิ่งที่คิดว่า “ตอนนี้ฉันยังไม่พบปัญหาหรือความเบี่ยงเบนใดๆ ค่ะ แต่ถ้าพบหลังจากนี้จะรายงานให้ทราบ” หลังจากตอบไปแล้ว ใจของฉันก็ไม่สงบอย่างมาก “นี่ฉันกำลังโกหกและหลอกลวงอยู่ไม่ใช่เหรอ? แต่ถ้าฉันพูดความจริง ผู้นำก็จะรู้ว่าฉันแก้ปัญหาไม่ได้และทำงานที่แท้จริงไม่ได้ พวกเขาจะต้องปลดฉันออกแน่ๆ” ดังนั้น ฉันจึงไม่ทบทวนตัวเอง
ในเดือนกรกฎาคม คริสตจักรส่งเอกสารการชำระล้างมาให้สามฉบับ พี่น้องหญิงที่ทำงานคู่กันเตือนให้ฉันรีบอ่าน แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจ หนึ่งเดือนต่อมา พี่น้องหญิงจางอวี่มาตรวจเอกสารการชำระล้างที่คริสตจักรเรา ฉันกลัวว่าถ้าเธอรู้ว่าเอกสารพวกนี้ล่าช้าไปนานเพราะฉันไม่ได้ตรวจให้ตรงเวลา เธอก็จะพูดว่าฉันขัดขวางงานชำระล้าง และเป็นผู้นำเทียมเท็จ สักพักหนึ่ง จางอวี่ก็ถามฉันว่าเอกสารพวกนี้ถูกส่งไปหรือยัง ฉันรู้สึกผิดมาก “ถ้าฉันบอกความจริงว่าเอกสารล่าช้าเพราะฉัน จางอวี่จะต้องพูดว่าฉันขัดขวางงานชำระล้างแน่ๆ ถ้าเรื่องนี้ถูกรายงานไปยังผู้นำระดับสูงแล้วฉันถูกปลด มันคงจะน่าอายมาก!” ฉันจึงเสแสร้งและพูดว่า “ผู้นำและมัคนายกบางคนยังไม่ได้เซ็นอนุมัติให้ชำระล้างค่ะ” จางอวี่พูดว่า “งานชำระล้างสำคัญมากนะ รีบให้พวกเขาเซ็นโดยด่วน อย่าชักช้า” ฉันรู้สึกหน้าร้อนผ่าว และพูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ค่ะ” ถึงจางอวี่จะไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ฉันกลับกระสับกระส่ายในใจอยู่นาน และนึกตำหนิตัวเองว่า “ทั้งที่เป็นความผิดของฉันเอง ที่ไม่ตรวจเอกสารพวกนี้ให้ทัน แต่กลับโยนความรับผิดชอบให้คนอื่น ฉันกำลังบิดเบือนความจริงและโกหกอยู่ไม่ใช่เหรอ?” ฉันกลัวว่าคำโกหกของตัวเองจะถูกเปิดโปง ก็เลยรู้สึกไม่สบายใจและประหม่า ทั้งยังทุกข์ใจมากด้วย ทำไมการพูดความจริงมันถึงได้ยากเย็นขนาดนี้นะ?
หลังจากนั้นฉันก็ยุ่งเหมือนเคย แต่พอถึงเวลาทำหน้าที่ ฉันก็แค่วิ่งวุ่นไปมาราวกับไก่หัวขาด ฉันหาปัญหาอะไรไม่เจอเลย และงานต่างๆ ก็ไม่มีผลลัพธ์สักอย่าง ต่อมา ผู้นำระดับสูงมาที่การชุมนุมเพื่อสอบถามเรื่องงาน ฉันตอบคำถามเธอทุกข้ออย่างระมัดระวังมาก แล้วยังต้องหันไปยืนยันคำตอบกับคู่ทำงานที่นั่งอยู่ข้างๆ เพราะบางคำถามฉันตอบไม่ได้ เนื่องจากไม่เข้าใจรายละเอียดของบางงาน พอผู้นำถามฉันว่าสภาวะของฉันเป็นอย่างไร ฉันก็เสแสร้ง ผู้นำจึงตัดแต่งฉันตรงๆ ว่า “ฉันพบว่าคุณไม่ได้ทำงานที่แท้จริง เวลารายงานเรื่องงานก็มักรายงานแต่เรื่องดี ปกปิดเรื่องไม่ดี จนคนอื่นไม่รู้ว่างานที่ทำจริงๆ เป็นยังไงกันแน่ คริสตจักรจึงจัดแจงให้คุณหยุดหน้าที่ไว้ก่อน เพื่อจะได้ทบทวนตัวเอง” พอได้ยินผู้นำชี้ถึงปัญหาของฉัน ฉันก็รู้สึกอับอายมากจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเลย
หลังถูกปลด ฉันก็หมดเรี่ยวแรง และก็รู้ว่าตัวเองอยู่ในสภาวะที่แย่มาก ฉันจึงมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งและชี้แนะฉันให้เข้าใจแก่นแท้ที่เสื่อมทรามของตัวเอง วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า “ศัตรูของพระคริสต์มักจะใช้วิธีการโกหกเบื้องบนและซ่อนเร้นสิ่งต่างๆ จากคนที่อยู่ใต้พวกเขาเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเบื้องบนตัดแต่ง… ถ้ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นในงานของคริสตจักร ศัตรูของพระคริสต์ก็รู้ว่าตนจะถูกตัดแต่งอย่างแน่นอน หรือถึงกับถูกปลดเมื่อเบื้องบนรู้ปัญหาเหล่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงดึงปัญหาเอาไว้ และไม่รายงานเบื้องบน พวกเขาไม่สนใจเลยว่าปัญหาเหล่านั้นจะส่งผลกระทบหรือสร้างความเสียหายอันใดให้กับงานในพระนิเวศของพระเจ้าหากไม่ได้รับการแก้ไข พวกเขาไม่แยแสว่างานในพระนิเวศของพระเจ้าจะเกิดความเสียหายเช่นใด พวกเขาไม่คิดอ่านว่าการกระทำเช่นใดจะเป็นประโยชน์ต่องานในพระนิเวศของพระเจ้าหรือทำให้พระเจ้าพอพระทัย พวกเขาคำนึงแต่ความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเองเท่านั้น คำนึงว่าเบื้องบนจะมองและปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร และจะรักษาความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเองอย่างไรเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบ ศัตรูของพระคริสต์มองสิ่งต่างๆ และครุ่นคิดเรื่องของปัญหากันเช่นนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นอุปนิสัยของพวกเขาทั้งสิ้น ดังนั้น ศัตรูของพระคริสต์จะไม่รายงานปัญหาที่มีอยู่ในคริสตจักร หรือที่เกิดขึ้นในงานของตนตามความเป็นจริงอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานอะไร จะเผชิญความยุ่งยากอันใด หรือถ้าพวกเขาเผชิญสถานการณ์ที่พวกเขาไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร หรือไม่รู้ว่าจะเลือกทางไหนระหว่างที่ดำเนินงานนั้น พวกเขาก็จะปกปิดและซ่อนเร้นเอาไว้ กลัวเบื้องบนจะบอกว่าขีดความสามารถของพวกเขาย่ำแย่เกินไป หรือล่วงรู้สถานการณ์ที่แท้จริงของพวกเขา หรือตัดแต่งพวกเขาเพราะพวกเขาไม่ได้จัดการแก้ไขความยุ่งยากหรือสถานการณ์เหล่านั้นอย่างทันท่วงที ศัตรูของพระคริสต์เพิกเฉยต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าและงานของคริสตจักรเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงการถูกเบื้องบนตัดแต่ง พวกเขาไม่ลังเลที่จะเสียสละงานและผลประโยชน์ของคริสตจักรเพื่อรักษาไว้ซึ่งสถานะและหนทางหาเลี้ยงชีพของตน และเพื่อให้แน่ใจว่าเบื้องบนจะมีความประทับใจที่ดีในตัวพวกเขา พวกเขาไม่ใส่ใจว่าจะทำให้งานของคริสตจักรล่าช้าหรือส่งผลต่อความคืบหน้าของงาน และยิ่งไม่ใส่ใจการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ไม่ว่าพี่น้องชายหญิงจะเผชิญความยุ่งยากอันใด หรือมีปัญหาอะไรในแง่ของการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่สามารถแก้ไขได้ และจะไม่แสวงหาจากเบื้องบน” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สาม)) พระเจ้าทรงเปิดโปงว่าพวกศัตรูของพระคริสต์ต้องการสร้างภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบในใจของผู้คนเสมอ และกลัวสุดขีดว่าผู้อื่นจะมองเห็นข้อบกพร่องหรือข้อด้อยของตน เพื่อจะรักษาหน้าตาและสถานะไว้ และไม่ให้ใครมองออก พวกเขาจึงปิดบัง เสแสร้ง และโกหกอยู่ตลอด เพื่อหลอกลวงและตบตาผู้คน โดยไม่สนใจสักนิดว่างานในพระนิเวศของพระเจ้าจะได้รับความเสียหายหรือไม่ พวกเขาเห็นแก่ตัว ต่ำช้า คดโกง และหลอกลวงอย่างที่สุด เมื่อฉันเปรียบเทียบพฤติกรรมของตัวเองกับสิ่งต่างๆ ที่พวกศัตรูของพระคริสต์ทำ ภาพต่างๆ ก็ผุดขึ้นในใจฉันไม่หยุด ฉันกลัวว่าถ้าพูดถึงความลำบากจริงๆ ของตัวเองและปัญหาที่พบในงาน ผู้นำจะบอกว่าฉันมีขีดความสามารถต่ำ ทำงานไม่ไหว ดูถูกฉัน หรือแม้กระทั่งปลดฉันออก แล้วฉันก็คงอับอายขายหน้าไปหมด ดังนั้นฉันจึงเลือกปิดบัง ไม่พูดถึงความเบี่ยงเบนและปัญหาในงานเลย คิดว่าทำแบบนี้แล้วผู้นำก็คงไม่รู้ว่าฉันมีปัญหา พอผู้นำถามถึงความเบี่ยงเบนและปัญหาในงานข่าวประเสริฐ ฉันควรจะตอบตามความจริง แต่ฉันกลับจงใจปิดบังไว้เพื่อปกป้องหน้าตาและสถานะของตัวเอง ตอนที่จางอวี่ถามว่าส่งเอกสารการชำระล้างไปหรือยัง ฉันคิดว่าถ้าพูดตามความจริงว่าฉันเป็นคนทำให้เอกสารล่าช้า แล้วพอผู้นำระดับสูงรู้เข้า ฉันก็จะเสี่ยงถูกปลดออก ภาพลักษณ์ดีๆ ในสายตาคนอื่นก็จะพังหมด ดังนั้นฉันจึงบิดเบือนความจริง โยนความผิดให้คนอื่นแทน ฉันถึงได้รู้ว่าตัวเองหลอกลวงขนาดไหน! ฉันโกหก หลอกลวง และใช้ภาพลวงตาเพื่อตบตาผู้คนและชักพาให้หลงเชื่อ หลอกให้พวกเขามอบความไว้วางใจและความรู้สึกดีๆ ให้กับฉัน การกระทำของฉันไม่ต่างอะไรกับการกระทำของพวกศัตรูของพระคริสต์เลย ฉันช่างเลวร้ายและน่ารังเกียจจริงๆ! ฉันเชื่อว่าตัวเองฉลาด และคิดว่าการโกหกหลอกลวงแบบนี้จะทำให้ฉันรอดตัวไปได้ แต่พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ทุกสิ่ง และทรงเห็นเจตนาที่หลอกลวงและเล่ห์เหลี่ยมที่ฉันใช้ได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ทรงกล่าวโทษทั้งหมดนั้น หากฉันไม่กลับใจและยังคงคดโกงและหลอกลวงต่อไป สุดท้ายฉันก็มีแต่จะถูกกำจัดและถูกลงโทษ
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า “เมื่อผู้คนทำการหลอกลวง นี่มาจากเจตนารมณ์ใด? พวกเขากำลังพยายามสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายใด? ไม่มีข้อยกเว้นเลยว่า นี่เป็นไปเพื่อสัมฤทธิ์ความมีชื่อเสียง ผลตอบแทน และสถานะ โดยสังเขปก็คือ นี่เป็นไปเพื่อเห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง และสิ่งใดหรือที่นอนอยู่ตรงรากเหง้าของการไล่ตามไขว่คว้าเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง? สิ่งนั้นก็คือการที่ผู้คนมองผลประโยชน์ของตัวเองสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด พวกเขาทำการหลอกลวงเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ และอุปนิสัยที่หลอกลวงของพวกเขาก็ถูกเปิดเผยด้วยการนั้น ปัญหานี้ควรได้รับการแก้ไขอย่างไร? อันดับแรกเจ้าต้องหยั่งรู้และรู้ว่าอะไรคือผลประโยชน์ทั้งหลาย อะไรกันแน่ที่ผลประโยชน์เหล่านั้นนำมาสู่ผู้คน และอะไรคือผลที่ตามมาของการไล่ตามไขว่คว้าผลประโยชน์เหล่านั้น หากเจ้าคิดเรื่องนี้ไม่ออก เช่นนั้นการละทิ้งสิ่งเหล่านั้นก็จะเป็นเรื่องที่พูดง่ายกว่าทำ หากผู้คนไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรยากลำบากสำหรับพวกเขาที่จะละวางเกินกว่าผลประโยชน์ของพวกเขาเองแล้ว นั่นเป็นเพราะปรัชญาชีวิตของพวกเขาคือ ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’ และ ‘มนุษย์ยอมตายเพื่อทรัพย์สมบัติ เหมือนนกยอมตายเพื่ออาหาร’ ชัดเจนว่าพวกเขาดำรงชีวิตอยู่เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองผู้คนคิดว่าหากไม่มีผลประโยชน์ของตัวเอง—ว่าหากพวกเขาจะต้องสูญเสียผลประโยชน์ของตัวเอง—พวกเขาก็จะไม่สามารถอยู่รอดได้เลย นั่นเป็นราวกับว่าความอยู่รอดของพวกเขานั้นแยกกันไม่ขาดจากผลประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง ดังนั้นผู้คนส่วนใหญ่จึงมืดบอดต่อทุกสิ่งยกเว้นผลประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง พวกเขามองผลประโยชน์ของตัวเองสูงกว่าสิ่งอื่นใด พวกเขาดำรงชีวิตอยู่เพื่อผลประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง และการให้พวกเขาละวางผลประโยชน์ของตัวเองนั้นเหมือนเป็นการขอให้พวกเขาละวางชีวิตของพวกเขาเอง ดังนั้นในรูปการณ์แวดล้อมเช่นนั้นควรทำอะไรเล่า? ผู้คนต้องยอมรับความจริง เฉพาะเมื่อพวกเขาเข้าใจความจริงเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถมองเห็นแก่นแท้แห่งผลประโยชน์ของตนเองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะเริ่มทิ้งและขบถต่อผลประโยชน์เหล่านั้นได้ รวมทั้งสามารถสู้ทนความเจ็บปวดของการปล่อยมือจากสิ่งที่พวกเขารักมากเหลือเกินได้ และเมื่อเจ้าสามารถทำการนี้ได้และสามารถละทิ้งผลประโยชน์ของตนเอง เจ้าจะรู้สึกสบายใจขึ้นและมีสันติสุขในหัวใจของเจ้ายิ่งขึ้น และในการทำเช่นนั้น เจ้าจะได้เอาชนะเนื้อหนัง หากเจ้ายึดติดในผลประโยชน์ของตนและไม่ยอมที่จะล้มเลิกผลประโยชน์เหล่านั้น และหากเจ้าไม่ยอมรับความจริงเลยแม้แต่น้อย ในหัวใจของเจ้า เจ้าอาจพูดว่า ‘ผิดอะไรหรือกับการพยายามหาประโยชน์ใส่ตนเองและไม่ยอมทุกข์ทนกับความสูญเสียอันใดๆ? พระเจ้าไม่ได้ทรงลงโทษฉัน แล้วผู้คนทำอะไรกับฉันได้เล่า?’ ไม่มีใครสามารถทำอะไรเจ้าได้ แต่ด้วยความเชื่อในพระเจ้าแบบนี้ สุดท้ายแล้ว เจ้าจะล้มเหลวที่จะได้รับความจริงและชีวิต จะเป็นการสูญเสียอันมหึมาสำหรับเจ้า—เจ้าจะไม่สามารถบรรลุความรอด มีความเสียใจอันใดหรือที่ยิ่งใหญ่กว่านี้? ในท้ายที่สุดแล้ว นี่คือสิ่งที่มาจากการไล่ตามไขว่คว้าผลประโยชน์ของตัวเจ้าเอง หากผู้คนไล่ตามไขว่คว้าเพียงชื่อเสียง ผลตอบแทน และสถานะ—หากพวกเขาเพียงไล่ตามเสาะหาผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น—เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะไม่มีวันได้รับความจริงและชีวิต และท้ายที่สุดพวกเขาจะเป็นผู้ที่ทุกข์ทนกับความสูญเสีย” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การรู้จักอุปนิสัยของคนเราคือรากฐานของการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยนั้น) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจว่าที่ฉันมักจะทำตัวหลอกลวงอยู่เสมอก็เพราะฉันคำนึงถึงหน้าตาและสถานะของตัวเองอยู่ตลอด ฉันถูกหล่อหลอมด้วยพิษร้ายของซาตานมาตั้งแต่เด็ก เช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องที่นั่นฉันใด มนุษย์อยู่ที่ใดก็ฝากชื่อไว้ที่นั่นฉันนั้น” และ “คำโกหกที่พูดเป็นหมื่นครั้งก็กลายเป็นความจริง” กฎเกณฑ์เยี่ยงซาตานเหล่านี้ได้กลายเป็นหลักการที่ฉันใช้วางตน และทำให้ฉันโกหกหลอกลวงซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อรักษาหน้าและสถานะของตัวเอง ตอนที่ฉันเห็นความเบี่ยงเบนและปัญหาในงานอยู่ชัดๆ และไม่รู้วิธีแก้ ฉันก็โกหกผู้นำไปว่าไม่พบปัญหาอะไร ตอนที่เห็นชัดว่าฉันเป็นคนทำให้งานชำระล้างล่าช้า ฉันก็ยังบิดเบือนความจริงและโยนความผิดให้คนอื่น ฉันเห็นว่าตัวเองโกหกหลอกลวง ทั้งที่ขัดกับมโนธรรม เพียงเพื่อปกป้องหน้าตาและสถานะของตัวเอง ฉันช่างเห็นแก่ตัวและต่ำช้าจริงๆ! ฉันนึกถึงสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ “พวกท่านมาจากพ่อของท่านคือมาร และท่านอยากจะทำตามความปรารถนาของพ่อ… เมื่อมันพูดเท็จมันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา” (ยอห์น 8:44) มีเพียงมารเท่านั้นที่โกหกอยู่เสมอและไม่เคยพูดความจริงแม้แต่คำเดียว แก่นแท้ของมารคือการพูดโกหก พระเจ้าทรงเรียกร้องให้เราเป็นคนที่ซื่อสัตย์และพูดตามความเป็นจริง แต่ฉันกลับโกหกหลอกลวงครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อปกป้องหน้าตาและสถานะของตัวเอง ฉันเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ปฏิบัติความจริง กลับใช้กฎการอยู่รอดของซาตานดำเนินชีวิต พยายามหลอกพระเจ้าและต่อต้านพระองค์ หากฉันไม่กลับใจ สุดท้ายฉันก็มีแต่จะถูกพระเจ้าลงโทษเท่านั้น ฉันหมอบกราบลงเบื้องพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ได้เห็นแล้วว่าธรรมชาติของตนนั้นหลอกลวงเกินไป และเป็นซาตานที่มีชีวิตซึ่งปราศจากทั้งความซื่อตรงและศักดิ์ศรี ข้าพระองค์สมควรถูกพระองค์ทรงชิงชังอย่างแท้จริง ข้าพระองค์ไม่อยากต่อต้านพระองค์อีกต่อไปแล้ว ข้าพระองค์เต็มใจที่จะปฏิบัติความจริง เป็นคนที่ซื่อสัตย์ และใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง”
จากนั้นฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติม “เจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาอันใดที่เกิดขึ้น ไม่สำคัญว่านั่นคือสิ่งใด และไม่ปลอมแปลงตัวเองหรือสวมใบหน้าเทียมเท็จต่อผู้อื่นในวิถีทางใดเลย ข้อบกพร่องของเจ้า ความขาดตกบกพร่องของเจ้า ความผิดของเจ้า อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า—จงเปิดกว้างอย่างครบบริบูรณ์เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด จงอย่าเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ภายใน การเรียนรู้วิธีเปิดใจตัวเอง คือขั้นตอนแรกสู่การเข้าสู่ชีวิต และนี่คืออุปสรรคขวางกั้นแรก ซึ่งเอาชนะได้ลำบากยากเย็นที่สุด ทันทีที่เจ้าได้เอาชนะอุปสรรคขวางกั้นนั้นแล้ว การเข้าสู่ความจริงก็ย่อมง่าย การลงมือทำขั้นตอนนี้มีนัยสำคัญว่ากระไร? การนี้หมายความว่าเจ้ากำลังเปิดกว้างหัวใจของเจ้าและกำลังแสดงทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามี ไม่ว่าดีหรือแย่ เป็นบวกหรือเป็นลบ โดยแผ่ตัวเองออกให้ผู้อื่นเห็นและให้พระเจ้าทอดพระเนตร ไม่ซ่อนเร้นสิ่งใดจากพระเจ้า ไม่ปกปิดสิ่งใด ไม่ปลอมแปลงสิ่งใด ปลอดเล่ห์ลวงและเล่ห์เพทุบาย และเปิดกว้างและซื่อสัตย์ต่อผู้คนอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน ในหนทางนี้ เจ้าย่อมใช้ชีวิตอยู่ในความสว่าง และไม่เพียงแค่พระเจ้าจะทรงพินิจพิเคราะห์เจ้าเท่านั้น แต่ผู้คนอื่นๆ ด้วยเช่นกันที่จะมีความสามารถมองเห็นได้ว่าเจ้าปฏิบัติตนโดยมีหลักธรรมและความโปร่งใสระดับหนึ่ง เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการอันใดมาปกป้อง ความมีหน้ามีตา ภาพลักษณ์ และสถานะของเจ้า และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังหรืออำพรางความผิดพลาดของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามที่เปล่าประโยชน์เหล่านี้ หากเจ้าสามารถปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ได้ เจ้าก็จะผ่อนคลายเป็นอย่างมาก เจ้าจะมีชีวิตที่ปราศจากการบีบบังคับหรือความเจ็บปวด และเจ้าจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างโดยบริบูรณ์” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็พบเส้นทางแห่งการปฏิบัติ เพื่อแก้ปัญหาการโกหก เราต้องเป็นคนที่ซื่อสัตย์ สามารถเปิดเผยและตีแผ่ความเสื่อมทรามหรือข้อบกพร่องใดๆ แทนที่จะปกปิด และแสวงหาสามัคคีธรรมกับเหล่าพี่น้องหากมีความลำบากใดๆ โดยเรียนรู้จากจุดแข็งของกันและกันเพื่อชดเชยจุดอ่อน การทำหน้าที่ด้วยวิธีนี้จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี เป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของเรา และเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรด้วย นอกจากนี้ ฉันยังเข้าใจด้วยว่าพระนิเวศของพระเจ้าปลดผู้คนออกตามหลักธรรม จะไม่มีใครถูกปลดตามอำเภอใจเพียงเพราะมีข้อบกพร่องหรือความเบี่ยงเบน แต่จะพิจารณาว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงและทำงานที่แท้จริงหรือเปล่า พวกเขาจะถูกปลดก็ต่อเมื่อไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ทำงานที่แท้จริง หากพวกเขามีวุฒิภาวะน้อยและขีดความสามารถต่ำ และไม่สามารถทำงานนั้นได้จริงๆ พวกเขาก็จะได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่อื่นตามวุฒิภาวะและขีดความสามารถของตน เหมือนตอนที่ฉันถูกปรับจากการเป็นผู้ประกาศมาเป็นผู้นำคริสตจักร ฉันถูกเปลี่ยนหน้าที่ก็เพราะความสามารถไม่ดีพอและรับภาระนั้นไม่ไหว การจัดแจงเหล่านี้คำนึงถึงงานของคริสตจักร และยังเป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของฉันด้วย แต่ตอนนั้นฉันกลับมองไม่ออก คิดไปเอง และเข้าใจผิดไปหมด ฉันช่างไร้ซึ่งมโนธรรมจริงๆ! ฉันคิดถึงการที่ฉันเคยใช้ชีวิตเพื่อหน้าตาและสถานะ โกหกเหล่าพี่น้อง ใช้เล่ห์เหลี่ยมกับพวกเขา แล้วยังคิดว่าตัวเองฉลาด เชื่อว่าถ้าปิดบังความจริงด้วยคำโกหก ก็จะรักษาสถานะของตัวเองไว้ได้ ฉันไม่รู้เลยว่าพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจส่วนลึกที่สุดของผู้คน เพราะการหลอกลวงและเล่ห์เหลี่ยมของฉัน งานจึงล่าช้า และฉันยังต้องทนทรมานจากการใช้ชีวิตในพันธนาการของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง สูญเสียความซื่อตรงและศักดิ์ศรี และใช้ชีวิตที่เหนื่อยล้า ในอนาคต ฉันต้องใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า และเปิดโปงความเสื่อมทรามของตัวเองอย่างมีสติ ไม่ปกป้องหน้าตาและสถานะของตัวเองอีกต่อไป
เดือนกรกฎาคม ปี 2022 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำในคริสตจักรอีกครั้ง ครั้งหนึ่ง ผู้นำระดับสูงเขียนจดหมายมาถามว่าทำไมงานชำระล้างถึงได้คืบหน้าช้าขนาดนี้ ฉันคิดในใจว่า “ถ้าฉันบอกไปว่างานล่าช้าเพราะฉันไม่เข้าใจหลักธรรมในการแยกแยะผู้คนดีพอ ผู้นำจะดูถูกฉันไหม?” ตอนนั้นเอง ฉันก็นึกถึงความเสียหายที่ตัวเองเคยก่อไว้กับงานเพราะความหลอกลวง เพื่อปกป้องหน้าตาและสถานะ ฉันจึงบอกความจริงกับผู้นำ ผู้นำพบหลักธรรมบางประการที่เกี่ยวข้องกับความลำบากของฉัน และส่งพี่น้องหญิงคนหนึ่งมาช่วย ทำให้ฉันมีแนวทางบางอย่างในการทำงานชำระล้าง ผ่านประสบการณ์ครั้งนี้ ฉันเข้าใจว่าชีวิตจะเหนื่อยน้อยลงเมื่อเราพูดความจริงและไม่ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยที่หลอกลวง และหัวใจฉันก็เป็นอิสระขึ้นเยอะ ดังที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ “เวลาที่เจ้าพูด เจ้าวนเป็นวงกลมหลายวงเหลือเกิน เจ้าขยายความคิดออกไปมากมาย และเจ้าดำรงชีวิตในหนทางที่น่าเหน็ดเหนื่อยนัก ทั้งหมดนั้นก็เพื่อปกป้องความมีหน้ามีตาและความหยิ่งผยองของเจ้าเอง! พระเจ้าทรงยินดีหรือไม่ที่เจ้าประพฤติปฏิบัติตนเช่นนี้? พระเจ้าทรงรังเกียจคนที่เปี่ยมเล่ห์ลวงมากกว่าสิ่งใด หากเจ้าอยากเป็นอิสระจากอิทธิพลของซาตานและสัมฤทธิ์ความรอด เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องยอมรับความจริง อันดับแรกเจ้าต้องเริ่มต้นด้วยการกลายเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ จงซื่อตรงเปิดเผย เล่าความจริง ไม่ยอมให้ความรู้สึกของตนมาบีบบังคับ ทิ้งความเสแสร้งและกลอุบายไป ตลอดจนพูดและรับมือเรื่องทั้งหลายด้วยหลักธรรม—นี่เป็นหนทางดำรงชีวิตที่ง่ายและมีความสุข และเจ้าจะสามารถดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการปฏิบัติความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถสลัดโซ่ตรวนแห่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทิ้งได้)