48. การยอมรับคำแนะนำและความช่วยเหลือเป็นประโยชน์ต่อฉันอย่างไร

โดยโจวหยุน ประเทศจีน

ในเดือนกันยายน ปี 2023 ฉันได้รับคัดเลือกให้รับใช้ในฐานะผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และรับผิดชอบงานในคริสตจักรหลายแห่ง หลังจากทำงานกับคริสตจักรเหล่านี้มากว่าสองเดือน ชีวิตคริสตจักรและงานให้น้ำผู้มาใหม่ต่างก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้น ผู้นำระดับสูงของฉันจึงเชิญให้ไปร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดเรื่องแนวทางปฏิบัติที่ดี ฉันรู้สึกภูมิใจในตัวเองอยู่ไม่น้อยและคิดว่าสามารถทำงานจริงบางอย่างสำเร็จแล้ว กระทั่งสิ้นเดือนพฤศจิกายน ฉันสังเกตว่างานข่าวประเสริฐมีความก้าวหน้าเพียงเล็กน้อย จึงได้สรุปปัญหาบางประการที่พบในงานนั้น และแบ่งปันแนวคิดและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาเหล่านั้นต่อหัวหน้าทีมข่าวประเสริฐบางคน ฉันยังได้มีสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของพระเจ้ากับพวกเขาเพื่อให้พวกเขาประกาศข่าวประเสริฐด้วยความกระตือรือร้น หลังจากที่ฉันได้มอบหมายงานไปแล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองทำได้ดีพอสมควรและกำลังทำงานอย่างลงลึกในรายละเอียด ไม่นาน ฉันจึงหันไปยุ่งอยู่กับเรื่องอื่น หลายวันต่อมา เมื่อฉันถามหัวหน้าทีมเกี่ยวกับความคืบหน้าในงานข่าวประเสริฐ บางคนก็ไม่ตอบอะไรเลย ขณะที่บางคนบอกว่ายังต้องใช้เวลาอีกสองสามวันกว่าจะพบกับคนทำงานข่าวประเสริฐ เมื่อเห็นว่าหัวหน้าทีมบางคนให้ความร่วมมือ ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะตรวจสอบเพิ่มเติมและไม่ทำความเข้าใจรายละเอียดของสถานการณ์ กว่า 10 วันต่อมา ผู้นำระดับสูงของฉันเขียนจดหมายมาถามเกี่ยวกับความคืบหน้าในงานข่าวประเสริฐ ว่าทำไมงานถึงไม่มีประสิทธิผล คนทำงานข่าวประเสริฐร่วมมือกันอย่างไรและฉันได้แก้ไขปัญหาจริงอะไรบ้าง เนื่องจากฉันยังไม่ได้รับจดหมายจากหัวหน้าทีม จึงไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับความคืบหน้าในงานข่าวประเสริฐ ฉันจึงตอบผู้นำระดับสูงไปว่าจะรายงานโดยละเอียดเมื่อได้รับจดหมายจากหัวหน้าทีมแล้ว หลังจากนั้น ฉันก็เร่งให้หัวหน้าทีมรายงานผลการทำงานให้ฉันทราบ แต่หลังจากเร่งพวกเขาหลายครั้ง พวกเขาก็ยังไม่ตอบกลับ ฉันจึงรู้สึกโกรธ คิดว่าพวกเขาขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างยิ่ง เมื่อจดหมายจากผู้นำถามถึงความคืบหน้าของงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ฉันก็ยิ่งรู้สึกกังวล แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้ เพราะหัวหน้าทีมไม่ตอบจดหมายเลย ฉันบอกผู้นำว่าหัวหน้าทีมไม่ตอบจดหมายของฉัน เพื่อให้เธอรู้ว่าปัญหาอยู่ที่พวกหัวหน้าทีม ไม่ใช่เพราะฉัน

ผู้นำของฉันตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว ถามว่าฉันเข้าใจปัญหาและความลำบากที่หัวหน้าทีมเผชิญอยู่จริง ๆ หรือไม่ และบอกว่าเมื่อดูจากจดหมายที่ใช้ติดตามงาน ดูเหมือนฉันไม่ได้ใส่ใจหรือทุ่มเทกับหน้าที่อย่างเพียงพอ เมื่อเราไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ในงานได้ ฉันก็เอาแต่โทษคนอื่นโดยไม่หันกลับมาตรวจสอบปัญหาของตนเอง เธอยังกล่าวด้วยว่า หากในการติดตามงาน ฉันมัวแต่เร่งให้หัวหน้าทีมสร้างผลลัพธ์ โดยไม่ระบุปัญหาที่แท้จริงและชี้แนะแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนเพื่อช่วยพวกเขาแก้ไขปัญหา เราก็ไม่อาจสร้างผลลัพธ์ในงานได้เลย ตอนที่ฉันอ่านจดหมายของเธอ ก็รู้สึกคัดค้านเล็กน้อย พร้อมกับคิดว่า “ฉันเองก็อยากทำงานให้ดี ฉันได้ร่วมงานข่าวประเสริฐ และเขียนจดหมายรวมถึงมีสามัคคีธรรมกับหัวหน้าทีมเรื่องสภาวะของพวกเขา โดยเร่งให้พวกเขาติดต่อมาทันทีหากประสบปัญหาอะไร ถ้าพวกเขาไม่บอกว่ามีปัญหาอะไร แล้วฉันจะทำอะไรได้ล่ะ?  ก่อนหน้านี้ งานในคริสตจักรเหล่านี้ต้องหยุดชะงักเพราะการจับกุมครั้งใหญ่ แต่เพียงสองเดือนกว่า ๆ หลังจากฉันมาถึง งานทุกด้านก็เริ่มมีพัฒนาการ ฉันคิดว่านี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าตัวเองทำได้ค่อนข้างดี แล้วคุณยังจะให้ฉันทบทวนตัวเองอีกหรือ?  ฉันรับสามัคคีธรรมแบบนี้ไม่ได้จริงๆ” ตอนนั้น ฉันรู้สึกน้อยใจ ดื้อดึง และอยากโต้แย้ง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกในแง่ลบ และรู้สึกว่าฉันคงทำหน้าที่นี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ฉันรู้ตัวว่าสภาวะของตัวเองไม่เป็นปกติ แต่ก็ไม่อาจหลุดออกมาได้ และไม่รู้ว่าควรเรียนรู้อะไรจากสถานการณ์นี้ ต่อมาฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ ฉันได้พบตอนหนึ่งในพระวจนะของพระเจ้าที่ถูกกล่าวถึงในวีดิทัศน์คำพยานจากประสบการณ์ ซึ่งสอดคล้องกับสภาวะของฉันในขณะนั้นอย่างมาก พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “คนบางคนเผชิญกับการตัดแต่งขณะที่พวกเขาทำหน้าที่ของตน และพวกเขากล่าวว่า ‘ด้วยความสามารถอันจำกัดของฉัน จริงๆ แล้วฉันทำได้มากแค่ไหน?  ฉันไม่เข้าใจอะไรมากนัก ดังนั้นถ้าฉันต้องการทำงานนี้ให้ดี ฉันจะไม่ต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ หรือ?  นั่นจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับฉันหรือ?  พระเจ้าไม่ทรงเข้าใจผู้คน นี่ก็เหมือนกับการบังคับปลาให้ใช้ชีวิตบนบกไม่ใช่หรือ?  ปล่อยให้คนที่เข้าใจดีกว่าฉันมาทำเถิด  ฉันทำได้แค่นี้—ฉันทำมากกว่านี้ไม่ได้’  ผู้คนคิดและพูดเช่นนี้อยู่เป็นประจำใช่หรือไม่?  (ใช่)  ทุกคนสามารถยอมรับเรื่องนั้นได้  ไม่มีผู้ใดที่เพียบพร้อม และไม่มีผู้ใดเป็นทูตสวรรค์ ผู้คนไม่ได้ใช้ชีวิตในสุญญากาศ  ทุกคนต่างมีความคิดและการเผยความเสื่อมทรามเหล่านี้  ทุกคนสามารถเผยสิ่งเหล่านี้และใช้ชีวิตในสภาวะเหล่านี้เป็นนิจสิน และนี่ไม่ใช่ความตั้งใจของพวกเขาเอง ทว่าพวกเขาอดไม่ได้ที่จะคิดเช่นนี้  ก่อนที่จะมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา ผู้คนต่างมีสภาวะที่ค่อนข้างเป็นปกติ แต่เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา สิ่งทั้งหลายก็ต่างออกไป—สภาวะที่เป็นลบถูกเผยออกมาตามธรรมชาติอย่างง่ายดาย ไร้อุปสรรคหรือการยับยั้งชั่งใจ และไร้ซึ่งการยุยงหรือการส่งเสริมจากผู้อื่น ตราบใดที่สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาเผชิญอยู่นั้นไม่ตรงตามเจตจำนงของตนเอง อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ก็ย่อมถูกเผยออกมาได้ทุกที่และทุกเวลา  เหตุใดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้จึงถูกเผยออกมาได้ทุกที่และทุกเวลา?  นี่พิสูจน์ว่าผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและธรรมชาติอันเสื่อมทรามประเภทนี้อยู่ในตัวเอง  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนไม่ได้ถูกกำหนดจากผู้อื่น และไม่ใช่สิ่งที่ปลูกฝังโดยผู้อื่น นับประสาอะไรกับการถูกสั่งสอน ยุยง หรือส่งเสริมจากผู้อื่น แต่ผู้คนได้สิ่งเหล่านี้มาด้วยตัวเอง  หากผู้คนไม่แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะที่ถูกต้องและเป็นบวกได้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเราเท่านั้นที่สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง)  พระเจ้าตรัสว่า เวลาที่มนุษย์ไม่ได้เผชิญ ปัญหา พวกเขาก็มักอยู่ในสภาวะปกติ แต่พอสิ่งต่าง ๆ ไม่ตรงกับ มโนคติอันหลงผิดของตน ก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มเปิดเผยให้เห็นถึง สภาวะของความรู้สึกคัดค้าน ความดื้อดึง  และไม่พอใจ นี่คือปัญหาที่มาจากธรรมชาติของมนุษย์ หลังจากที่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า  ฉันก็ไตร่ตรองวจนะนั้นตามสภาวะของตัวเอง ตอนที่ผู้นำชี้ว่าฉันไม่ทุ่มเทและไม่ใช้ความคิดในงานข่าวประเสริฐ แถมไม่ได้ทำงานจริงจัง ฉันก็รู้สึกน้อยใจ คัดค้านในใจ และคิดว่า ฉันทำเต็มที่ที่สุดแล้ว ฉันได้มีส่วนร่วมในงานและสามัคคีธรรมกับ หัวหน้าทีมเรื่องสภาวะของพวกเขาแล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ เพราะพวกเขา ไม่ได้รายงานสถานการณ์ปัจจุบันของ ตนเองเลย ฉันรู้สึกว่าผู้นำไม่เข้าใจสถานการณ์ ของฉันเลยแม้แต่น้อย ฉันกำลังอยู่ในสภาวะของการโต้เถียง อย่างดื้อดึง ซึ่งเผยให้เห็นว่าฉันไม่ได้ ยอมรับความจริง พอเห็นว่าปัญหาของฉันร้ายแรงแค่ไหน ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ดีว่าไม่มีใครตั้งใจจะทำให้ข้าพระองค์ลำบากโดยการตัดแต่งข้าพระองค์ แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงอนุญาตไว้ ข้าพระองค์รู้ว่ามีบางเรื่องที่ควรไตร่ตรองและ เข้าสู่ให้ลึกซึ้ง แต่ตอนนี้ข้าพระองค์ก็ยังเข้าใจไม่ชัดเจนว่า สิ่งเหล่านั้นคืออะไร ขอพระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำข้าพระองค์ให้เข้าใจตัวเอง และเรียนรู้บทเรียนจากเรื่องนี้ด้วย”

หลังจากนั้น ฉันก็ได้เห็นข้อความตอนหนึ่ง ในพระวจนะของพระเจ้า “โดยไม่คำนึงถึงรูปการณ์แวดล้อมที่ทำให้ใครบางคนถูกตัดแต่ง ท่าทีที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่ควรต้องมีต่อการถูกตัดแต่งคืออะไร?  ก่อนอื่นเจ้าต้องยอมรับการนั้น  ไม่ว่าผู้ใดกำลังตัดแต่งเจ้า จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะออกมาดูรุนแรงหรือไม่ หรือด้วยน้ำเสียงและการใช้คำพูดเช่นไรก็ตาม เจ้าควรยอมรับ  จากนั้นเจ้าควรตระหนักรู้ว่าเจ้าทำอะไรผิดไป เจ้าได้เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอันใดออกมา และเจ้าปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริงหรือไม่  นี่คือท่าทีที่เจ้าควรมีในเบื้องต้น  แล้วพวกศัตรูของพระคริสต์มีท่าทีเช่นนี้หรือไม่?  พวกเขาไม่มี ตั้งแต่ต้นจนจบท่าทีที่พวกเขาแสดงออกมาคือท่าทีที่ต้านทานและสะอิดสะเอียน  ด้วยท่าทีเช่นนั้น พวกเขาจะสามารถนิ่งเงียบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยอมรับการตัดแต่งอย่างเจียมตนได้หรือ?  พวกเขาย่อมทำไม่ได้  แล้วพวกเขาจะทำอะไรหลังจากนั้น?  แรกสุดเลย พวกเขาจะโต้เถียงกันอย่างดุเดือดและอ้างเหตุผลเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง แก้ต่างและโต้แย้งให้กับความผิดที่พวกเขาทำลงไปและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเขาเปิดเผยให้เห็น โดยหวังว่าจะได้รับความเข้าใจและการให้อภัยจากผู้คน เพื่อให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบหรือยอมรับคำพูดที่ใช้ตัดแต่งพวกเขา  พวกเขาแสดงท่าทีใดออกมาอย่างชัดแจ้งเมื่อเผชิญหน้าการถูกตัดแต่ง?  ‘ฉันไม่ได้ทำบาป  ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด  ถ้าฉันทำผิด ก็ย่อมมีเหตุผลที่ฉันทำเช่นนั้น ถ้าฉันทำผิด ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจทำผิด ฉันจึงไม่ควรต้องรับผิดชอบ  มีใครไม่ทำผิดพลาดบ้าง?’  พวกเขารีบฉวยเอาถ้อยแถลงและวลีเหล่านี้มาใช้  แต่พวกเขาไม่แสวงหาความจริง และไม่ยอมรับรู้ความผิดที่ตนก่อหรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ตนเผยออกมา—และพวกเขาก็ไม่ยอมรับเป็นแน่ว่าอะไรคือเจตนาและเป้าหมายของตนในการทำชั่ว…  ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่ยอมหรือรับรู้ แต่ยังคงท้าทายและต้านทานต่อไป  ไม่ว่าผู้อื่นจะพูดว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่ยอมรับหรือรับรู้ แต่กลับคิดว่า ‘มาดูกันว่าใครจะพูดจาชนะใคร มาดูว่าใครจะเป็นนักพูดที่เก่งกว่ากัน’  นี่คือท่าทีอย่างหนึ่งที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้กับการถูกตัดแต่ง(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่แปด))  ผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักได้ว่า เวลาถูกตัดแต่ง  ได้รับความช่วยเหลือหรือคำแนะนำ ไม่ว่าท่าทีหรือน้ำเสียงของเขาจะเป็น แบบไหน หรือสิ่งที่เขาพูดจะไม่ตรงกับมโนคติอัน หลงผิดของฉันแค่ไหนก็ตาม ฉันก็ต้องยอมรับสิ่งนั้นจากพระเจ้า นบนอบ  และทบทวนปัญหาของตัวเอง นี่คือท่าทีที่มนุษย์พึงมี ส่วนศัตรูของพระคริสต์มักคัดค้าน โต้เถียง  แข็งขืน และแม้กระทั่งโยนความผิดให้คนอื่น เมื่อเผชิญกับการตัดแต่ง คำแนะนำ หรือ ความช่วยเหลือ พวกเขาไม่มีท่าทีของคนที่ยอมรับความจริง เลยแม้แต่น้อย เมื่อสะท้อนสิ่งนี้กับพฤติกรรมของตัวเอง ตอนที่ผู้นำชี้ให้เห็นปัญหาของฉัน ฉันก็รู้สึก คัดค้าน และโต้เถียงในใจอยู่ตลอด คิดว่าฉันยอมลำบากไปแล้ว แต่ผู้นำกลับ ตัดแต่งโดยไม่เข้าใจสถานการณ์ ฉันรู้สึกน้อยใจมาก และคิดว่าฉันก็ทำเต็มที่เท่าที่จะทำได้แล้ว ฉันรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ ดื้อดึง และ กำลังเปิดเผยให้เห็นถึงอุปนิสัยรังเกียจความจริง ฉันนึกย้อนว่า แม้ตอนแรกจะมอบหมาย งานบางอย่างให้คนอื่น แต่หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้มีส่วนร่วมจริงจัง หรือคอยติดตามงานเลย เอาแต่เร่งให้คนอื่นเห็นผลลัพธ์ โดย ไม่สนใจจะเข้าใจความยากลำบากหรือสภาวะของ คนทำงานข่าวประเสริฐเลย การทำงานของฉันในลักษณะนี้ ทำให้ฉันไม่ได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบ ของตัวเอง แถมฉันยังแก้ไขปัญหาจริงไม่ได้เลย—นี่ก็คือการไม่ได้ทำงานจริงตามหน้าที่ ผู้นำกำลังตัดแต่งฉันเพราะปัญหาที่ฉันมี แต่ฉันกลับไม่ยอมรับ แถมยังคัดค้าน โต้เถียง และโยนความรับผิดชอบให้คนอื่น โดยแก่นแท้แล้ว ฉันไม่ได้ยอมรับความจริง  และกำลังต่อต้านพระเจ้า ถ้าฉันไม่กลับใจ และยังคงมีอุปนิสัยที่ดื้อแพ่งนี้ต่อไป สุดท้ายฉันก็จะถูกพระเจ้ารังเกียจและ กำจัดออกไป

ต่อมา ฉันก็ได้พบข้อความอีกตอนหนึ่งใน พระวจนะของพระเจ้า “ในคริสตจักร มีพวกที่คิดว่าการใช้ความพยายามอย่างหนักหรือการทำสิ่งที่เสี่ยงอันตรายไม่กี่อย่างหมายความว่าพวกเขาได้เพิ่มพูนคุณงามความดีแล้ว  ในข้อเท็จจริงตามการกระทำของพวกเขา พวกเขาย่อมควรค่าแก่การชมเชยโดยแท้ แต่อุปนิสัยกับท่าทีของพวกเขาที่มีต่อความจริงนั้นน่าเกลียดชังและน่ารังเกียจสุดขั้ว  พวกเขาไม่มีความรักให้กับความจริง แต่กลับรังเกียจความจริง  ลำพังการนี้ก็ทำให้พวกเขาน่าชิงชังแล้ว  ผู้คนเช่นนี้ไม่มีค่า  เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่าผู้คนมีขีดความสามารถไม่ดี ว่าพวกเขามีข้อบกพร่องบางอย่าง และมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามหรือเนื้อแท้ที่ต่อต้านพระองค์ พระองค์ก็ไม่ทรงรังเกียจพวกเขา และไม่ทรงผลักไสพวกเขาออกจากพระองค์  นั่นไม่ใช่เจตนารมณ์ของพระเจ้า และไม่ใช่ท่าทีต่อมนุษย์ของพระองค์  พระเจ้าไม่ทรงชังผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำ พระองค์ไม่ทรงชังความเบาปัญญาของพวกเขา และพระองค์ไม่ทรงชังที่พวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  สิ่งที่พระเจ้าทรงชังที่สุดในตัวผู้คนคืออะไร?  นั่นก็คือเมื่อพวกเขารังเกียจความจริง  หากเจ้ารังเกียจความจริง เช่นนั้นแล้ว เพียงลำพังเพราะการนั้น พระเจ้าก็จะไม่มีวันทรงพบความปีติยินดีในตัวเจ้า  นี่เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว  หากเจ้ารังเกียจความจริง หากเจ้าไม่รักความจริง หากท่าทีของเจ้าที่มีต่อความจริงคือไม่ใส่ใจ ดูหมิ่นเหยียดหยาม และโอหัง หรือถึงกับผลักไส ขัดขืน และปฏิเสธ—หากนี่เป็นวิธีที่เจ้าประพฤติตน—เช่นนั้นแล้วพระเจ้าย่อมขยะแขยงเจ้าโดยสิ้นเชิง และเจ้าย่อมหมดโอกาสประสบความสำเร็จ เกินกว่าจะได้รับการช่วยให้รอด  หากเจ้ารักความจริงจริงๆ ในหัวใจของเจ้า เพียงแต่เจ้าค่อนข้างมีขีดความสามารถต่ำ ทั้งขาดความรู้ความเข้าใจเชิงลึก เบาปัญญาอยู่บ้าง และผิดพลาดบ่อยๆ แต่เจ้าก็ไม่มีเจตนาที่จะทำชั่ว และได้เพียงทำสิ่งที่โง่เขลาไปไม่กี่อย่าง หากหัวใจเจ้าเต็มใจที่จะได้ยินการสามัคคีธรรมถึงความจริงของพระเจ้า และหัวใจเจ้าถวิลหาความจริง หากเจ้าใช้ท่าทีที่จริงใจและถวิลหาในการปฏิบัติต่อความจริงและพระวจนะของพระเจ้า และเจ้าสามารถมองเห็นความล้ำค่าและทะนุถนอมพระวจนะของพระเจ้า—นี่ก็เพียงพอแล้ว  พระเจ้าโปรดผู้คนเช่นนั้น  แม้ว่าบางครั้งเจ้าอาจโง่เขลาไปหน่อย พระเจ้ายังคงโปรดเจ้า  พระเจ้าทรงรักหัวใจที่ถวิลหาความจริงของเจ้า และพระองค์ทรงรักท่าทีที่จริงใจต่อความจริงของเจ้า  ดังนั้นพระเจ้าจึงมีพระกรุณาต่อเจ้าและประทานพระคุณให้เจ้าอยู่เสมอ  พระองค์ไม่ทรงพิจารณาขีดความสามารถต่ำของเจ้าหรือความโง่เขลาของเจ้า และพระองค์ก็ไม่ทรงพิจารณาการกระทำผิดของเจ้า  เพราะท่าทีของเจ้าที่มีต่อความจริงคือความจริงใจและความกระตือรือร้น อีกทั้งหัวใจของเจ้าก็จริงใจ เช่นนั้นแล้ว—เมื่อพิจารณาจากความจริงใจของหัวใจเจ้าและท่าทีนี้ของเจ้า—พระองค์จะทรงเปี่ยมกรุณาต่อเจ้าตลอดกาล และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจในตัวเจ้า และเจ้าก็จะมีความหวังแห่งความรอด  ในอีกแง่หนึ่ง หากเจ้าดื้อแพ่งอยู่ในหัวใจและตามใจตนเอง หากเจ้ารังเกียจความจริง ไม่เคยใส่ใจในพระวจนะของพระเจ้าและทุกสิ่งที่เกี่ยวกับความจริง ไม่ยอมรับและดูหมิ่นจากก้นบึ้งของหัวใจเจ้า เช่นนั้นแล้ว อะไรคือท่าทีที่พระเจ้ามีต่อเจ้า?  ความชัง ความขยะแขยง และพระพิโรธที่ไม่สิ้นสุด(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การที่จะลุล่วงหน้าที่ของคนเราให้ดี การเข้าใจความจริงย่อมจะสำคัญอย่างยิ่งยวด)  พระเจ้าตรัสว่า พระองค์ทรงให้ความสำคัญ อย่างยิ่งกับท่าทีของมนุษย์ที่มีต่อความจริง บางคนดูเหมือนว่าพวกเขาพร้อมจะจ่ายราคา และก็ทำหน้าที่ของตนได้มีประสิทธิผลพอสมควร แต่พอเผชิญกับปัญหา พวกเขากลับ ไม่ยอมรับ และถึงขั้นรังเกียจความจริง พระเจ้าทรงรังเกียจสิ่งนี้ เมื่อนึกย้อนถึงสองเดือนที่ผ่านมา ที่ฉันจ่ายราคาไปบ้างและเห็นผลลัพธ์บางอย่างในหน้าที่ของตัวเอง ฉันก็รู้สึกว่าฉันได้ทำงานจริงแล้ว และผู้นำ ก็ไม่ควรจะมาชี้ปัญหาของฉันอีก แต่ฉันก็ตระหนักได้ว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงพิจารณาแค่ว่ามนุษย์ ทนทุกข์มากแค่ไหน ทำงานมากเท่าใด หรือได้ผลลัพธ์อะไรบ้าง พระองค์ยังทรงดูด้วยว่า มนุษย์มีท่าทีอย่างไร ต่อความจริง และพวกเขายอมรับความจริง หรือไม่ ถ้าตอนที่ถูกตัดแต่ง ฉันยังคัดค้าน ไม่ยอมรับ  โต้เถียง และมีท่าทีต่อต้านพระเจ้าอยู่เรื่อย ๆ พระเจ้าก็จะทรงรังเกียจฉัน และฉันจะ ไม่ได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณ บริสุทธิ์ ฉันเห็นชัดว่าการมีอุปนิสัยที่รังเกียจความจริง นั้นเป็นเรื่องที่อันตรายจริง ๆ ความจริงก็คือ งานข่าวประเสริฐตอนนั้น ไม่มีประสิทธิผล ฉันจึงควรยอมรับคำแนะนำของผู้นำและ แก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในงานข่าวประเสริฐ อย่างจริงจัง

ระหว่างที่ฉันกำลังแสวงหา ฉันก็นึกถึง ข้อความตอนหนึ่งในพระวจนะของพระเจ้า  และก็เปิดขึ้นมาอ่าน พระเจ้าตรัสว่า “พวกเขาไม่มีส่วนร่วมในงานที่แท้จริงใดๆ ไม่เคยติดตามหรือให้การชี้นำ และไม่ได้ดำเนินการสอบสวนหรือค้นคว้าเพื่อแก้ไขปัญหาเลย พวกเขาลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำแล้วหรือ?  งานของคริสตจักรจะดำเนินไปได้ด้วยดีด้วยวิธีนี้ได้อย่างไร?  เมื่อเบื้องบนสอบถามพวกเขาว่างานดำเนินไปถึงไหนแล้ว พวกเขาก็ตอบว่า ‘งานของคริสตจักรเป็นปกติทุกอย่าง งานแต่ละส่วนก็มีผู้กำกับดูแลงานคอยจัดการอยู่แล้ว’ หากถูกซักถามเพิ่มเติมว่ามีปัญหาใดๆ ในงานหรือไม่ พวกเขาก็ตอบว่า ‘ฉันไม่รู้สิ แต่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ!’ นี่คือท่าทีของผู้นำเทียมเท็จต่องานของพวกเขา ในฐานะผู้นำ เจ้ากลับแสดงความไม่รับผิดชอบอย่างสิ้นเชิงต่องานที่ได้มอบหมายให้เจ้า งานทั้งหมดถูกผลักภาระไปให้ผู้อื่น โดยที่เจ้าไม่ได้มีการติดตาม สอบถาม หรือให้ความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาใดๆ จากฝั่งของเจ้าเลย—เจ้าเพียงแค่นั่งสั่งการอยู่เฉยๆ เหมือนเจ้านายที่ไม่ต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง เจ้ากำลังละเลยหน้าที่รับผิดชอบของตนอยู่มิใช่หรือ?  เจ้ากำลังทำตัวเหมือนข้าราชการ  อยู่มิใช่หรือ?  ไม่ทำงานที่เฉพาะเจาะจงใดๆ ไม่ติดตามงาน ไม่แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริง—ผู้นำเช่นนี้เป็นเพียงหุ่นไล่กาประดับฉากเท่านั้นมิใช่หรือ?  พวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จมิใช่หรือ?  นี่แหละคือตัวอย่างตามปกติ  ของผู้นำเทียมเท็จ(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (4))  พระวจนะของพระเจ้าได้เปิดเผยสภาวะของฉันในขณะนั้น งานข่าวประเสริฐเป็นหนึ่งในหน้าที่หลักที่ผู้นำต้องติดตาม และเป็นความรับผิดชอบของฉัน แต่หลังจากมอบหมายงานแล้ว ฉันกลับคิดว่างานข่าวประเสริฐเป็นความรับผิดชอบของหัวหน้าทีม ฉันคิดว่าแค่นั่งรอผลลัพธ์จากพวกเขาก็พอแล้ว โดยไม่ได้ใส่ใจที่จะเข้าใจสภาวะของหัวหน้าทีมหรือปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ แต่พอผู้นำถามถึงความคืบหน้าในงาน ฉันกลับตอบว่า หัวหน้าทีมยังไม่ตอบกลับมา ชัดเจนว่าฉันเองเป็นคนรับผิดชอบงานนั้นโดยตรงแต่กลับไม่ติดตามความคืบหน้าของงานโดยละเอียด และปล่อยปละละเลย นี่ไม่ใช่พฤติกรรมของผู้นำเทียมเท็จหรอกหรือ?  ในตอนนั้น ฉันจึงสามารถเปิดใจยอมรับคำแนะนำของผู้นำได้ในที่สุด จากนั้นฉันได้เห็นบทตอนหนึ่งในพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวว่า “การกำกับดูแลหมายความว่าอย่างไร? การกำกับดูแลเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบและให้แนวทาง  หมายถึงการสอบถามเกี่ยวกับงานอย่างเจาะจงในรายละเอียด การเรียนรู้และทำความเข้าใจในความคืบหน้าและจุดอ่อนของงาน การทำความเข้าใจว่าใครรับผิดชอบในงานของตนและใครไม่รับผิดชอบ และใครสามารถปฏิบัติงานได้และใครไม่สามารถ เป็นต้น  บางครั้งการกำกับดูแลต้องการการปรึกษาหารือ การทำความเข้าใจ และการสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์  บางครั้งก็ต้องการการซักถามซึ่งหน้าหรือการตรวจสอบโดยตรง  แน่นอนว่า ที่บ่อยกว่านั้นคือการสามัคคีธรรมโดยตรงกับผู้ที่รับผิดชอบ เพื่อสอบถามเกี่ยวกับการดำเนินการงาน ตลอดจนความยากลำบากและปัญหาที่พบเจอ และอื่นๆ  ขณะดำเนินการกำกับดูแล พวกเจ้าสามารถตรวจพบได้ว่าคนใดที่ทำงานแต่เพียงภายนอกและทำอะไรอย่างผิวเผิน คนใดที่ไม่รู้วิธีดำเนินการงานที่เจาะจง และคนใดที่รู้วิธีดำเนินการแต่กลับไม่ได้ทำงานที่แท้จริง รวมถึงประเด็นอื่นๆ เช่นนี้  หากปัญหาที่ตรวจพบเหล่านี้สามารถแก้ไขได้อย่างทันท่วงที นั่นย่อมดีที่สุด  จุดประสงค์ของการกำกับดูแลคืออะไร? ก็เพื่อดำเนินการตามการจัดการเตรียมงานให้ดียิ่งขึ้น เพื่อดูว่างานที่พวกเจ้าได้จัดเตรียมไว้นั้นเหมาะสมหรือไม่ มีสิ่งใดที่มองข้ามไปหรือยังไม่ได้พิจารณาหรือไม่ มีส่วนใดที่ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมหรือไม่ หรือมีแง่มุมที่บิดเบือนหรือส่วนที่ทำผิดพลาดหรือไม่ และอื่นๆ—ประเด็นเหล่านี้ทั้งหมดสามารถตรวจพบได้ในระหว่างกระบวนการกำกับดูแล  แต่ถ้าเจ้าเอาแต่อยู่ที่บ้านและไม่ปฏิบัติงานที่เจาะจงนี้ เจ้าจะสามารถตรวจพบปัญหาเหล่านี้ได้หรือไม่?  (ไม่)  ปัญหามากมายจำเป็นต้องได้รับการสอบถาม สังเกตการณ์ และทำความเข้าใจ ณ ที่เกิดเหตุจึงจะสามารถรับรู้และทำความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (10))  ผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เรียนรู้ว่า การดูแลงานไม่ใช่แค่การมอบหมายงานให้ผู้อื่นแล้วรอผลลัพธ์จากพวกเขา แต่คือการมีส่วนร่วมในงานจริง และหาปัญหาที่แท้จริงซึ่งเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการทำงาน งานที่ถูกมอบหมายนั้นไม่เหมาะกับคนหรือไม่ พี่น้องมีสภาวะที่ไม่ดีหรือไม่ หรือคนมีท่าทีที่ไม่ดีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือไม่?  ผู้นำต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้อย่างลึกซึ้งและสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างทันท่วงที นี่แหละคือการทำงานที่แท้จริง ฉันทบทวนตัวเองว่าฉันแค่มอบหมายงานให้หัวหน้าทีม แล้วก็เอาแต่เร่งให้พวกเขาสร้างผลลัพธ์ ฉันยังไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้นำเลยแม้แต่น้อย ฉันไม่ต่างอะไรจากเจ้าหน้าที่ของพญานาคใหญ่สีแดงที่เอาแต่นั่งอยู่ในตำแหน่ง แต่ไม่เคยทำงานจริงจังเลย ไม่ว่าเจ้าหน้าที่จะทำงานด้านใดอยู่ก็ตาม พวกเขาก็มักแค่ท่องคำขวัญ ส่งต่อคำสั่งจากเบื้องบนลงเบื้องล่าง และทำแต่งานที่ทำให้พวกเขาดูดีเท่านั้น สำหรับฉันเอง ฉันเพียงแค่ติดตามงานเพื่อจะได้รายงานต่อผู้นำ ไม่ใช่เพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่แท้จริงในงานข่าวประเสริฐ พระเจ้าทรงรังเกียจต่อท่าทีในการทำงานเช่นนี้ หากฉันไม่แก้ไขท่าทีของตน ก็จะทำให้เกิดความเสียหายต่องานของคริสตจักร และนั่นก็เท่ากับว่ากำลังประพฤติชั่วในหน้าที่ หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และเร่งรีบแก้ไขความเบี่ยงเบนของตน จากความเข้าใจที่แท้จริงที่ได้รับ ฉันพบว่า คริสตจักรบางแห่งขาดคนทำงานข่าวประเสริฐ หัวหน้าทีมบางคนมอบหมายงานได้ไม่เร็วพอ ทำให้งานไม่ค่อยก้าวหน้า และพี่น้องบางคนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามปกติได้ เนื่องจากการจับกุมและการจับตาของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ด้วยเหตุนี้และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย งานข่าวประเสริฐจึงไร้ประสิทธิผล จากนั้น ฉันก็มีสามัคคีธรรมและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ทีละข้อ ฉันเลิกหาข้ออ้างเพื่อผลักภาระให้ผู้อื่น และเลิกจดจ้องว่าใครทำหรือไม่ทำอะไร แต่หันมาเลือกใส่ใจการปฏิบัติหน้าที่ตามหลักธรรมและลงมือทำงานจริงให้มากขึ้น หลังจากได้ร่วมมือกันอยู่ระยะหนึ่ง งานข่าวประเสริฐก็เริ่มมีความก้าวหน้า ฉันรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง—ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า หลังจากแก้ไขสภาวะของตนและลงมือทำงานจริง ๆ แล้ว จะได้เห็นการทรงนำของพระเจ้า

ผ่านประสบการณ์ครั้งนี้ ฉันได้เรียนรู้ว่า การตัดแต่ง คำแนะนำ และความช่วยเหลือมาจากพระเจ้าและเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งช่วยให้เราปรับแก้ความเบี่ยงเบนในหน้าที่ และปฏิบัติหน้าที่ให้ได้ตามมาตรฐาน นอกจากนี้ยังช่วยให้เรารู้จักและแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองด้วย เบื้องหลังทุกสิ่งนี้ ล้วนมีเจตนารมณ์อันดีงามของพระเจ้าแฝงอยู่ จากประสบการณ์ครั้งนี้ ฉันได้เรียนรู้ด้วยตนเองถึงประโยชน์ของการยอมรับการตัดแต่ง คำแนะนำ และความช่วยเหลือ และยังได้รู้จักวิธีการติดตามและดูแลงานอีกด้วย ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการทรงนำของพระองค์!

ก่อนหน้า: 28. การไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์นำมาซึ่งชีวิตที่มีความสุขไหม?

ถัดไป: 54. ไขปริศนา แห่งตรีเอกานุภาพ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger