58. ฉันได้เรียนรู้วิธีปฏิบัติต่อผู้คนอย่างถูกต้อง

ในปี 2023 ฉันทำหน้าที่เป็นผู้นำคริสตจักร และได้ทำงานคู่กับพี่น้องหญิงเหอหลี่ ก่อนหน้านี้ เหอหลี่ได้เป็นผู้นำและจับความเข้าใจหลักธรรมของงานต่างๆ ได้บ้าง หลังจากที่เราสองคนแบ่งงานกันแล้ว ฉันก็ไม่ต้องกังวลกับงานที่เหอหลี่รับผิดชอบมากนัก บางครั้งเวลาที่ฉันเผชิญกับความลำบากยากเย็นในการทำงาน เหอหลี่ก็สามารถช่วยฉันได้ แม้ว่าภาระงานจะมาก แต่ด้วยการทำงานร่วมกันของเราสองคน ฉันก็รู้สึกผ่อนคลาย ในเดือนกรกฎาคม เหอหลี่ได้รับเลือกให้เป็นผู้ประกาศ และต้องรับผิดชอบหลายคริสตจักร งานของคริสตจักรเราก็เลยตกอยู่กับฉันเพียงคนเดียว และฉันหวังว่าจะมีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระงานโดยเร็วที่สุด ต่อมา จ้าวซินได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักรอีกคน และฉันได้ทำงานคู่กับเธอ ฉันรู้สึกดีใจมาก จ้าวซินเคยนรับใช้ในฐานะมัคนายกงานให้น้ำมาก่อน และเข้าใจงานของคริสตจักรบางอย่าง เธอน่าจะเรียนรู้งานได้ไว ตอนนี้พอมีคนมาช่วยแบ่งเบางาน ฉันก็พอจะคลายความกดดันไปได้บ้าง ฉันบอกจ้าวซินเกี่ยวกับงานที่เธอต้องทำ แต่เพราะจ้าวซินอายุมากกว่าเล็กน้อย เธอจึงไม่สามารถจับความเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้อยู่พักหนึ่ง และฉันก็ยังคงต้องทำงานส่วนใหญ่ ฉันรู้สึกขุ่นเคืองในใจอยู่บ้าง ตอนนี้ฉันไม่เพียงทำงานของตัวเองเท่านั้น แต่ยังต้องช่วยชี้นำจ้าวซินด้วย ทำให้ภาระงานยิ่งหนักไปกว่าเมื่อก่อนอีก แต่ฉันก็คิดว่า บางทีพี่น้องหญิงจ้าวอาจจะคุ้นเคยกับงานมากขึ้นหลังจากฝึกฝนไปสักระยะหนึ่ง

วันหนึ่ง หลังจากการประชุม ฉันก็เห็นว่างานให้น้ำยังไม่ได้รับการติดตาม แล้วฉันก็คิดว่าจ้าวซินคุ้นเคยกับงานให้น้ำอยู่แล้ว เธอคงจะติดตามงานนี้ให้ เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันรีบถามจ้าวซินว่าเธอได้ติดตามงานให้น้ำหรือเปล่า จ้าวซินตอบว่า เธอยังไม่ได้ชุมนุมกับพวกเขาเลย เธอจึงไม่ทราบ ทันใดนั้น ความโกรธก็แล่นขึ้นมาในใจฉัน ฉันคิดว่า “ถ้าเธอช่วยทำงานได้บ้าง ก็จะช่วยคลายความกดดันของฉันลงได้ไม่ใช่เหรอ? แล้วแบบนี้การทำงานสองคนกับการที่ฉันทำงานคนเดียวมันต่างกันตรงไหน?” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิติเตียนว่า “ถ้าคุณช่วยทำงานได้บ้าง ประสิทธิภาพงานก็จะดีขึ้นไม่ใช่เหรอ? ลองคิดดูนะ ว่ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอะไรที่ขัดขวางไม่ให้คุณทำงาน!” จ้าวซินไม่พูดอะไรอยู่สักพัก และในตอนนั้น ฉันก็ตระหนักได้ว่าการพูดแบบนี้จะทำให้เธอรู้สึกถูกจำกัด และที่ฉันปฏิบัติกับเธอแบบนี้อาจไม่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงนั้นเธอกำลังจมอยู่กับความรู้สึกของตัวเองและมีสภาวะย่ำแย่ เมื่อคิดแบบนี้ ฉันก็รู้สึกถูกตำหนิอยู่ในใจนิดหน่อย

ประมาณครึ่งเดือนต่อมา หลิวเหวินได้รับเลือกให้มาร่วมงานกับเราในฐานะผู้นำ หลิวเหวินทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็งและรอบคอบในงานของเธอ แต่เพราะเธอยังใหม่ จึงยังจับความเข้าใจหลักธรรมของงานต่างๆ ได้ไม่ดี มีปัญหาเกิดขึ้นในระหว่างที่เธอทำงานเสมอ และเธอก็ทำงานได้ช้ามาก อีกทั้งยังขาดความสามารถในการทำงาน เธอก็เลยต้องการให้ฉันช่วยเสริมส่วนที่ขาดอยู่บ่อยๆ ตอนแรกฉันก็คิดว่าการมีพี่น้องหญิงสองคนมาร่วมงานจะช่วยแบ่งเบาภาระงานได้ แต่แทนที่ภาระงานจะลดลง กลับทำให้ฉันต้องแบกรับเพิ่มขึ้น ฉันรู้สึกกดดันอย่างมาก และการทำหน้าที่นี้ก็ยากลำบากและเหน็ดเหนื่อยเกินไป ในใจฉันก็อดรู้สึกดูถูกพี่น้องหญิงทั้งสองไม่ได้ และไม่อยากพูดคุยกับพวกเธอมากนัก พอพวกเธอถามอะไรมา ฉันก็หงุดหงิด และพวกเธอก็รู้สึกถูกจำกัดจนไม่กล้าถามอะไรอีก ส่งผลให้งานบางอย่างล่าช้า เพราะพวกเธอไม่มีความสามารถในการทำงาน ช่วงนั้นพี่น้องหญิงทั้งสองคิดลบมาก รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรก็ไม่สำเร็จ และไม่อยู่ในระดับที่จะทำหน้าที่ของพวกเธอได้ ขณะที่ฉันก็ยังคงพร่ำบ่นว่าพวกเธอไม่มีประสิทธิผล ตอนนี้ถึงฉันจะมีผู้ร่วมงานแล้ว แต่ดูเหมือนฉันจะเหนื่อยยิ่งกว่าเมื่อก่อนตอนไม่มีพวกเธอเสียอีก แม้เป็นงานสำหรับคนสามคน แต่สุดท้ายฉันก็ต้องทำเป็นส่วนใหญ่ และรู้สึกว่าตนเองถูกเอาเปรียบ แต่หากฉันไม่ทำ ก็กลัวว่างานจะล่าช้าและต้องรับผิดชอบ พอฉันคิดถึงเรื่องนี้ น้ำตาก็ไหลพรากอย่างหยุดไม่อยู่ ราวกับว่าฉันถูกเอาเปรียบอย่างมาก ฉันไม่รู้ว่าจะเผชิญกับสภาพแวดล้อมนี้อย่างไร ทุกวัน ฉันถอนหายใจและรู้สึกทุกข์ใจอย่างหนัก คิดว่า ถ้าออกจากคริสตจักรนี้ได้ก็คงดี แต่แล้วฉันก็ตระหนักได้ว่า การหนีปัญหาไม่ใช่ทางแก้ไข ฉันจึงมาอธิษฐานเฉพาะพระพักต์พระเจ้า โดยกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่าได้เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมามากมาย แต่ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะเริ่มทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้จากตรงไหนดี โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำ เพื่อให้ข้าพระองค์ได้รู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองด้วยเถิด” ขณะกำลังแสวงหา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ที่ว่า “อุปนิสัยโดยกำเนิดของมนุษย์คือความอารมณ์ร้อน  เมื่อผลประโยชน์ ความทะนงตัว หรือความยิ่งยโสของบุคคลหนึ่งได้รับความเสียหาย หากพวกเขาไม่เข้าใจความจริงหรือไม่มีความเป็นจริงความจริง พวกเขาย่อมจะปล่อยให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนบงการการปฏิบัติต่อความเสียหายนั้น และพวกเขาจะกลายเป็นคนหุนหันพลันแล่นและทำตัวผลีผลาม  สิ่งที่พวกเขาจะสำแดงและเปิดเผยให้เห็นหลังจากนั้นคือความอารมณ์ร้อน  ความอารมณ์ร้อนเป็นสิ่งในทางบวกหรือสิ่งในทางลบ?  เห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งในทางลบ  เพราะการที่บุคคลหนึ่งใช้ชีวิตด้วยนิสัยอารมณ์ร้อนย่อมไม่ใช่เรื่องดีเลย สิ่งนี้อาจนำความวิบัติมาให้  หากใครบางคนถูกเปิดโปงความอารมณ์ร้อนและความเสื่อมทรามเมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา บุคคลนั้นเป็นผู้ที่แสวงหาความจริงและนบนอบพระเจ้าหรือไม่?  เห็นได้ชัดว่า บุคคลนั้นไม่นบนอบพระเจ้าอย่างแน่นอน  สำหรับผู้คน เหตุการณ์ สิ่งต่างๆ และสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการให้แก่มนุษย์ หากใครบางคนไม่สามารถยอมรับสิ่งเหล่านั้นจากพระเจ้าได้ แต่กลับจัดการและแก้ไขสิ่งเหล่านั้นในหนทางของมนุษย์ สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ของสิ่งนั้นจะเป็นเช่นไร?  (พระเจ้าจะทรงรังเกียจเดียดฉันท์บุคคลผู้นั้น) พระเจ้าจะทรงเกลียดชังบุคคลผู้นั้นแล้วนั่นจะเป็นสิ่งที่สอนใจผู้คนหรือไม่? (ไม่ สิ่งนั้นย่อมจะไม่สอนใจ)  นอกจากพวกเขาจะล้มเหลวในชีวิตของตนเองแล้ว สิ่งนี้ยังจะไม่สอนใจผู้อื่นอีกด้วย  มากไปกว่านั้น พวกเขาจะทำให้พระเจ้าทรงอับอายและทำให้พระองค์ทรงรังเกียจเดียดฉันท์พวกเขา  บุคคลเช่นนั้นได้เสียคำพยานของพวกเขาไปแล้ว และไม่ว่าไปที่ไหนพวกเขาก็ไม่เป็นที่ต้อนรับ  หากเจ้าเป็นสมาชิกในพระนิเวศของพระเจ้าแต่ทำตัวอารมณ์ร้อนอยู่เสมอ เปิดโปงสิ่งที่เป็นธรรมชาติในตัวเจ้าตลอดเวลา และเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าอยู่เป็นนิจ การทำสิ่งเหล่านี้ด้วยวิธีการของมนุษย์และด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน ผลสุดท้ายที่ตามมาย่อมจะเป็นการที่เจ้าทำชั่วและต้านทานพระเจ้า—และหากที่ผ่านมาเจ้ายังคงไม่กลับใจ และไม่สามารถเดินบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงได้ เจ้าจะต้องถูกเผยและกำจัด  ปัญหาของการใช้ชีวิตโดยพึ่งพาอุปนิสัยเยี่ยงซาตานและไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งนั้น เป็นปัญหาที่ร้ายแรงมิใช่หรือ?  ปัญหาในแง่มุมหนึ่งคือคนเราไม่ได้เติบโตหรือเปลี่ยนแปลงในชีวิตของพวกเขาเองเลย มากไปกว่านั้นคือคนเราจะส่งผลกระทบในทางที่ไม่ดีต่อผู้อื่น  พวกเขาจะไม่ได้ตอบสนองจุดประสงค์ที่ดีอันใดในคริสตจักร และในที่สุดพวกเขาจะนำปัญหาใหญ่มาสู่คริสตจักรและสู่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ราวกับแมลงที่ส่งกลิ่นเหม็นซึ่งบินไปมาเหนือโต๊ะอาหาร เชื้อเชิญความขยะแขยงและความเกลียด  พวกเจ้าต้องการเป็นคนประเภทนี้หรือไม่?  (ไม่)” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, อุปนิสัยอันเสื่อมทรามสามารถแก้ไขได้โดยการยอมรับความจริงเท่านั้น)  สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงเปิดโปงนั้นตรงกับสถานการณ์ปัจจุบันของฉัน ทำไมฉันถึงรู้สึกรำคาญอยู่ตลอด ถึงขนาดระบายความหัวร้อน และระเบิดอารมณ์ใส่เพื่อนร่วมงานของฉัน? นั่นเป็นเพราะพวกเธอไม่เป็นไปตามที่ฉันคาดหวังหลังจากได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ แทนที่จะช่วยแบ่งเบาภาระงานและคลายความกดดันของฉันลงโดยตรง แต่พวกเธอกลับทำให้ฉันต้องใช้พลังงานมากขึ้นเพื่อสามัคคีธรรม และช่วยแก้ไขข้อบกพร่องในการทำงานของพวกเธอ ฉันรู้สึกว่าพวกเธอทำให้ฉันเสียเวลา และทำให้เนื้อหนังของฉันไม่สุขสบาย ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกต่อต้านอยู่ในใจ ฉันไม่ได้แสวงหาความจริง และใช้ชีวิตอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง ดูถูกพวกเธอ ระเบิดอารมณ์ใส่พวกเธอ และระบายความหัวร้อนออกมา สิ่งนี้ทำให้พวกเธอคิดลบและรู้สึกถูกจำกัด ส่งผลกระทบต่องานของพวกเรา ฉันช่างขาดความเป็นมนุษย์เสียจริง!

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติมว่า “เมื่อถึงคราวต้องปฏิบัติหน้าที่พิเศษหรือหน้าที่ที่ต้องบากบั่นและเหน็ดเหนื่อยบางอย่าง ในแง่หนึ่งผู้คนต้องใคร่ครวญเสมอว่าจะปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้นอย่างไร พวกเขาควรสู้ทนความยากลำบากอะไรบ้าง และพวกเขาควรค้ำจุนหน้าที่ของตนและนบนอบอย่างไร  ในอีกแง่หนึ่ง ผู้คนต้องตรวจสอบด้วยว่าเจตนาของตนมีสิ่งใดเจือปนอยู่ และสิ่งเจือปนเหล่านี้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไร  ผู้คนเกิดมาพร้อมความไม่ชอบที่จะทนทุกข์กับความยากลำบาก—ไม่มีใครสักคนที่กระตือรือร้นมากขึ้นหรือเบิกบานมากขึ้นจากการสู้ทนความยากลำบากมากขึ้น  ไม่มีคนเช่นนั้นในโลก  นี่คือธรรมชาติของเนื้อหนังมนุษย์ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกกังวลและทุกข์ใจทันทีที่เนื้อหนังของพวกเขาต้องสู้ทนความยากลำบาก  แต่ตอนนี้พวกเจ้าต้องสู้ทนความยากลำบากมากเพียงใดในหน้าที่ที่พวกเจ้าปฏิบัติอยู่?  เจ้าเพียงแต่ต้องสู้ทนการที่เนื้อหนังของตนรู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อยและตรากตรำเล็กน้อยเท่านั้น  ถ้าเจ้าไม่สามารถสู้ทนแม้เพียงความยากลำบากเล็กน้อยเช่นนี้ จะมองว่าเจ้ามีความตั้งใจแน่วแน่ได้หรือ?  จะมองว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจได้หรือ? (ไม่ได้) นี่ย่อมเป็นไปไม่ได้… การสามารถสู้ทนความยากลำบากในการปฏิบัติหน้าที่ของตนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย  การปฏิบัติงานเฉพาะกิจบางประเภทให้ดีก็ไม่ง่ายเช่นกัน  แน่นอนว่าความจริงในพระวจนะของพระเจ้าย่อมทำงานภายในตัวผู้คนที่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้  ไม่ใช่ว่าพวกเขาเกิดมาโดยไม่กลัวความยากลำบากและเหนื่อยล้า  แล้วจะพบเจอคนแบบนี้ได้ในที่ใด?  คนเหล่านี้ทุกคนมีแรงจูงใจบางประการ และพวกเขามีความจริงบางอย่างในพระวจนะของพระเจ้าเป็นรากฐานของตน  เมื่อพวกเขาเริ่มทำหน้าที่ของตน มุมมองและจุดยืนของพวกเขาก็เปลี่ยนไป—การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขากลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น และการสู้ทนความยากลำบากและความเหนื่อยล้าทางเนื้อหนังบ้างก็เริ่มจะไม่สำคัญในความรู้สึกของพวกเขา  คนที่ไม่เข้าใจความจริงและคนที่มุมมองในสิ่งต่างๆ ของพวกเขายังไม่เปลี่ยนไปนั้นย่อมดำรงชีวิตตามแนวคิด มโนคติอันหลงผิด และความอยากได้อยากมีที่เห็นแก่ตัวของมนุษย์ ตลอดจนความชอบส่วนตน ดังนั้นพวกเขาจึงลังเลและไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน  ตัวอย่างเช่น เมื่อถึงคราวต้องทำงานที่สกปรกและเหน็ดเหนื่อย บางคนกล่าวว่า ‘ฉันจะเชื่อฟังการจัดการเตรียมการโดยพระนิเวศของพระเจ้า  ไม่ว่าคริสตจักรจะจัดเตรียมหน้าที่อะไรให้ฉัน ฉันก็จะปฏิบัติหน้าที่นั้น ไม่ว่างานนั้นจะสกปรกหรือเหน็ดเหนื่อย น่าประทับใจหรือธรรมดา  ฉันก็ไม่เรียกร้องสิ่งใด และฉันจะยอมรับว่างานนั้นเป็นหน้าที่ของฉัน  นี่คือพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้ฉันทำ ความสกปรกเล็กน้อยและความเหนื่อยล้านิดหน่อยเป็นความยากลำบากที่ฉันควรสู้ทน’  ผลก็คือเมื่อพวกเขาทำงานของตน พวกเขาไม่รู้สึกว่ากำลังสู้ทนความยากลำบากใดๆ  ขณะที่คนอื่นอาจพบว่างานนั้นสกปรกและเหน็ดเหนื่อย พวกเขากลับพบว่างานนั้นง่าย เพราะหัวใจของพวกเขาสงบและไม่มีสิ่งใดรบกวน  พวกเขากำลังทำงานเพื่อพระเจ้า จึงไม่รู้สึกว่างานนั้นยาก  บางคนมองว่าการทำงานที่สกปรก เหน็ดเหนื่อย หรือธรรมดา เป็นการปรามาสสถานะและบุคลิกลักษณะของพวกเขา  พวกเขามองว่าคนอื่นกำลังไม่เคารพตน กลั่นแกล้งตน หรือดูถูกตน  ผลก็คือแม้เมื่อเผชิญงานเดียวกันในปริมาณที่เท่ากัน พวกเขาก็เห็นว่ากินแรง  ไม่ว่าจะทำอะไร พวกเขาก็พกความรู้สึกขุ่นเคืองไว้ในหัวใจของตน และรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่พวกเขาอยากให้เป็น หรือรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ ไม่น่าพอใจ  ภายในตัวพวกเขาเต็มไปด้วยความคิดลบและการต่อต้าน  ทำไมพวกเขาถึงคิดลบและต่อต้าน?  อะไรคือรากเหง้าของปัญหานี้?  ส่วนมากเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้เงินเดือนจากการปฏิบัติหน้าที่ จึงรู้สึกเหมือนทำงานโดยไม่ได้ค่าตอบแทน  ถ้ามีรางวัลให้ พวกเขาอาจจะยอมรับได้ แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะได้รางวัลหรือไม่  ดังนั้น ผู้คนจึงรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าที่จะปฏิบัติหน้าที่ คิดว่าเป็นการทำงานโดยไม่ได้อะไร บ่อยครั้งพวกเขาจึงคิดลบและต่อต้านเมื่อต้องปฏิบัติหน้าที่  เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่?  พูดตามตรง ผู้คนเหล่านี้ไม่เต็มใจปฏิบัติหน้าที่(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เห็นว่า คนที่ไม่ปฏิบัติความจริงและคำนึงถึงแต่เนื้อหนัง จะคิดถึงเพียงผลประโยชน์ทางกายของตนเองเท่านั้น พวกเขาไม่ถือเอาหน้าที่เป็นความรับผิดชอบของตน เมื่อทำงานมากขึ้น พวกเขาก็คิดว่าตัวเองกำลังเสียเปรียบ จึงพร่ำบ่นและรู้สึกต่อต้าน นี่ไม่ใช่การทำหน้าที่เลย เมื่อเปรียบเทียบกับตัวฉันแล้ว เพราะพี่น้องหญิงที่ร่วมงานกับฉันยังใหม่ และไม่สามารถทำหน้าที่ของพวกเธอด้วยตนเองได้ พวกเธอต้องการการสามัคคีธรรมและความช่วยเหลือจากฉันมากขึ้น ฉันจึงเต็มไปด้วยการพร่ำบ่น คิดว่าพวกเธอกำลังทำให้ฉันเสียเวลาพักผ่อน ระเบิดอารมณ์และระบายความหัวร้อน ไม่เต็มใจพูดคุยกับพวกเธอ หรือไม่สนใจงานที่พวกเธอรับผิดชอบ ฉันไม่เคยคำนึงว่างานคริสตจักรคือหน้าที่ของฉัน หรือคิดว่าจะช่วยให้พี่น้องหญิงรับผิดชอบงานอย่างรวดเร็วได้อย่างไร เพื่อป้องกันให้งานของคริสตจักรเกิดความสูญเสีย ฉันถึงกับไม่เต็มใจพูดคุยมากขึ้น หรือใช้เวลากับพลังงานเพิ่มขึ้น พฤติกรรมเช่นนี้ของฉันจะถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ได้อย่างไร? คนที่มีมโนธรรมและเหตุผล จะไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัวในทุกสภาพแวดล้อม พวกเขายังคงจงรักภักดีต่อพระเจ้าและทำหน้าที่ของตนให้ดี ไม่ว่าจะต้องทนทุกข์และเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน แต่ฉันกลับคิดแต่จะตามใจความสุขสบายทางกายและหาความสะดวก เมื่อสิ่งต่างๆ เริ่มยากขึ้น ฉันรู้สึกคับข้องใจและคิดว่าตนเองเสียเปรียบ และอยากหนีไปจากสภาพแวดล้อมนั้นเสีย ทั้งหมดนี้เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่โหยหาความสุขทางเนื้อหนัง กับความเห็นแก่ตัวและเลวทราม ฉันใช้ชีวิตอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนี้ ซึ่งทำร้ายพี่น้องหญิงที่ร่วมงานกับฉันอย่างมาก พวกเธอคอยดูสีหน้าฉันทุกวันก่อนจะพูดอะไร บางครั้ง เห็นได้ชัดว่าพวกเธอมีความคิดเห็น แต่ก็กลัวจะพูดอะไรผิด เพราะรู้ว่าฉันอาจจะโต้กลับไปด้วยความโกรธ ผลก็คือ พวกเธอไม่สามารถลุล่วงหน้าที่ของตนเองได้อย่างเต็มที่เท่าที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก การกระทำเช่นนี้จะเรียกว่าทำหน้าที่ได้อย่างไร? นี่แทบจะเป็นการทำชั่วและทำให้เกิดการขัดขวางเลยทีเดียว! ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว ฉันก็รู้สึกว่าพฤติกรรมของฉันช่างน่าเกลียดอย่างแท้จริง

ต่อมา ฉันแสวงหาว่า ทำไมฉันถึงได้โหยหาความสุขสบายและคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ทางกายของตนเอง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวว่า “ธรรมชาติของซาตานนี่เองที่กำกับดูแลและครอบงำผู้คนจากภายในไปจนกว่าพวกเขาจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและเข้าใจความจริงแล้ว  สิ่งใดหรือที่ธรรมชาตินั้นพ่วงท้ายมาด้วยเป็นพิเศษ?  ตัวอย่างเช่น  เหตุใดพวกเจ้าจึงเห็นแก่ตัว?  เหตุใดพวกเจ้าจึงปกป้องตำแหน่งของตัวเจ้าเอง?  เหตุใดพวกเจ้าจึงมีความรู้สึกรุนแรงเช่นนั้น?  เหตุใดพวกเจ้าจึงชื่นชมสิ่งที่ไม่ชอบธรรมเหล่านั้น?  เหตุใดพวกเจ้าจึงชอบคนชั่วพวกนั้น?  อะไรคือพื้นฐานของความชื่นชอบของพวกเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายดังกล่าว?  สิ่งเหล่านี้มาจากไหน?  เหตุใดพวกเจ้าจึงมีความสุขยิ่งนักที่จะยอมรับสิ่งเหล่านี้?  ถึงตอนนี้พวกเจ้าล้วนได้มาเข้าใจว่าเหตุผลหลักเบื้องหลังสิ่งทั้งปวงนี้ก็คือว่า มีพิษของซาตานอยู่ภายในตัวมนุษย์  ดังนั้น อะไรคือพิษของซาตาน?  สามารถแสดงมันออกมาในทางใดได้บ้าง?  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าถามว่า ‘ผู้คนควรดำรงชีวิตอย่างไร?  ผู้คนควรดำรงชีวิตเพื่อสิ่งใด?’  ผู้คนก็จะตอบว่า ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’  วลีเดียวนี้แสดงถึงรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหา  ปรัชญาและตรรกะของซาตานได้กลายมาเป็นชีวิตของผู้คนไปแล้ว  ไม่ว่าผู้คนจะไล่ตามเสาะหาสิ่งใด พวกเขาก็ทำเช่นนั้นเพื่อตัวเอง—ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงดำรงชีวิตเพื่อตัวพวกเขาเองเท่านั้น  ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’—นี่คือปรัชญาชีวิตของมนุษย์ และมันยังเป็นตัวแทนธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย  คำพูดเหล่านี้ได้กลายเป็นธรรมชาติของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามไปแล้ว และเป็นภาพเหมือนของธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามโดยแท้  ธรรมชาติเยี่ยงซาตานนี้ได้กลายเป็นบาทฐานสำหรับการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามไปแล้ว  มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามดำรงชีวิตตามพิษของซาตานนี้มาเป็นเวลาหลายพันปีจวบจนปัจจุบัน(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เห็นว่า ฉันได้ใช้ชีวิตตามน้ำพิษของซาตานที่ว่า “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไป” ทุกสิ่งที่ฉันทำล้วนทำเพื่อตัวเอง คิดว่าคนที่ไม่คิดถึงตัวเองก่อนนั้นเป็นคนโง่ ดังนั้น ในการทำหน้าที่ ความคิดและการกระทำทุกอย่างของฉัน จึงถูกขับเคลื่อนโดยผลประโยชน์ส่วนตัว ตั้งแต่เหอหลี่จากไป ฉันก็หวังว่าจะมีใครสักคนมาช่วยแบ่งเบาภาระงานโดยเร็ว เพื่อให้ฉันแบกรับน้อยลง ฉันจะได้ทนทุกข์และรู้สึกเหนื่อยน้อยลง เมื่อเห็นจ้าวซินเรียนรู้งานได้ช้าและไม่สามารถช่วยอะไรมากนัก ฉันก็รู้สึกดูถูก และอยากได้ผู้ร่วมงานอีกคน แต่ในฐานะผู้นำแล้วหลิวเหวินยังจับความเข้าใจหลักธรรมได้ไม่ดี และงานของเธอก็ต้องแก้ไขอยู่บ่อยครั้ง ฉันระบายความหัวร้อนและระเบิดอารมณ์ใส่พวกเธอ รู้สึกว่าพวกเธอไม่เพียงแต่ไม่ช่วยแบ่งเบาภาระงาน แต่ยังทำให้ฉันต้องเสียแรงในการสามัคคีธรรมกับพวกเธอมากขึ้นไปอีก ทำให้ฉันยิ่งมีเวลาพักผ่อนน้อยลง ฉันจึงรู้สึกไม่พอใจพวกเธออย่างมาก เมื่อพวกเธอเผชิญกับความลำบากยากเย็นในการทำงาน ฉันก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว ส่งผลให้ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข และงานก็ล่าช้า หากฉันเต็มใจพลีอุทิศเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อยและช่วยพวกเธออย่างอดทน แม้ว่าฉันจะเหนื่อยล้าทางกาย แต่ถ้าเราร่วมมือกัน งานของคริสตจักรก็จะสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น แต่ฉันกลับคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ทางกายของตัวเองเท่านั้น การใช้ชีวิตตามน้ำพิษของซาตานที่ว่า “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไป” ทำให้ฉันกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว เลวทราม และไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นทำให้งานล่าช้า หากฉันไม่เปลี่ยนแปลง สุดท้ายแล้วฉันคงถูกพระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์และกำจัดออกไปอย่างแน่นอน! ฉันมาอธิษฐานเฉพาะพระพักต์พระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ช่วงนี้ข้าพระองค์ใช้ชีวิตตามน้ำพิษของซาตานที่ว่า ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไป’ และนั่นทำให้ข้าพระองค์รู้สึกทุกข์ทรมานอย่างบอกไม่ถูก เวลาที่ข้าพระองค์ไม่ตำหนิคนอื่น ข้าพระองค์ก็จะตำหนิพระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้อีกต่อไปแล้ว โปรดทรงนำข้าพระองค์ให้หลุดพ้นจากพันธนาการของน้ำพิษซาตานด้วยเถิด”

ต่อมา ฉันไตร่ตรองว่า ฉันควรปฏิบัติต่อผู้คนตามหลักธรรมอย่างไร? ฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวว่า “ก่อนอื่นเลย เจ้าต้องเข้าใจความจริง  เมื่อเข้าใจความจริงแล้วก็ย่อมง่ายที่เจ้าจะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและรู้หลักธรรมที่พระเจ้ามีพระประสงค์ให้ผู้คนใช้ปฏิบัติต่อผู้อื่น  เจ้าจะรู้วิธีปฏิบัติต่อผู้คน และจะสามารถปฏิบัติต่อพวกเขาตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง แน่นอนว่าเจ้าย่อมจะไม่สามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และเจ้าจะไม่ปฏิบัติต่อผู้อื่นในหนทางที่มีหลักธรรม  เจ้าควรปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไรนั้นแสดงหรือระบุเป็นนัยไว้อย่างชัดเจนแล้วในพระวจนะของพระเจ้า ท่าทีที่พระเจ้าทรงใช้ปฏิบัติต่อมนุษยชาติคือท่าทีที่ผู้คนควรจะรับมาใช้ในการปฏิบัติต่อกัน  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกๆ บุคคลอย่างไร?  ผู้คนบางคนมีวุฒิภาวะที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ หรือยังอ่อนเยาว์ หรือได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาสั้นๆ เท่านั้น หรือไม่ใช่คนไม่ดีโดยแก่นแท้ธรรมชาติ ไม่ได้ร้ายกาจ แต่เพียงไม่รู้เท่าทันนิดหน่อยหรือขาดพร่องขีดความสามารถ  หรือพวกเขาถูกตีกรอบมากเกินไป และยังไม่เข้าใจความจริง ยังไม่มีการเข้าสู่ชีวิต ดังนั้นจึงยากที่พวกเขาจะไม่ทำเรื่องเขลาหรือมีการกระทำที่ไม่รู้เท่าทัน  แต่พระเจ้าไม่มัวทรงจับจ้องความเขลาชั่วขณะของผู้คน พระองค์ทรงมองที่หัวใจของพวกเขาเท่านั้น  หากพวกเขาตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมถูกต้อง และเมื่อนี่คือวัตถุประสงค์ของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็กำลังทรงเฝ้าสังเกตพวกเขา ทรงรอคอยพวกเขา และทรงให้เวลาและโอกาสที่อนุญาตให้พวกเขาเข้าสู่  ไม่ใช่ว่าพระเจ้าจะเลิกสนพระทัยพวกเขาเพราะการกระทำผิดเพียงครั้งเดียว  นั่นเป็นสิ่งที่ผู้คนมักจะทำกัน พระเจ้าไม่เคยทรงปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนั้น  หากพระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติต่อผู้คนในหนทางนั้นแล้วไซร้ เหตุใดผู้คนจึงปฏิบัติต่อผู้อื่นในหนทางนั้น?  นี่แสดงให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขามิใช่หรือ?  นี่คืออุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาอย่างแน่นอน  เจ้าต้องมองไปที่วิธีที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนที่ไม่รู้เท่าทันและโง่เขลา วิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อคนที่วุฒิภาวะของพวกเขายังไม่เป็นผู้ใหญ่ วิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อการเผยตัวตามปกติของอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษยชาติ และวิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพวกที่ร้ายกาจ  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนที่แตกต่างกันในหนทางที่แตกต่างกัน และพระองค์ยังทรงมีสารพัดวิธีในการบริหารจัดการสภาวะต่างๆ ของผู้คนที่แตกต่างกัน  เจ้าต้องเข้าใจความจริงเหล่านี้  ทันทีที่เจ้าเข้าใจความจริงเหล่านี้ เมื่อนั้นเจ้าก็จะรู้ว่าจะผ่านประสบการณ์กับเรื่องราวทั้งหลายและปฏิบัติต่อผู้คนตามหลักธรรมอย่างไร(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การที่จะได้รับความจริง คนเราต้องเรียนรู้จากผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายรอบตัว)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงมีหลักธรรมในการปฏิบัติต่อผู้คน พระองค์ทรงผ่อนปรนและอดทนต่อผู้ที่ยังมีวุฒิภาวะอ่อนด้อย และประทานโอกาสให้พวกเขาได้เติบโต แต่ฉันกลับไม่คำนึงถึงความลำบากยากเย็นที่ผู้อื่นเผชิญอยู่ และมีความคาดหวังที่สูงเกินไป จ้าวซินอายุมากกว่าและใหม่กับงานนี้ ดังนั้น การที่เธอไม่คุ้นเคยกับงานในช่วงแรกก็เป็นเรื่องปกติ แทนที่จะเข้าใจถึงความลำบากยากเย็นของเธอ และให้การเกื้อหนุนด้วยความรัก ฉันกลับต้องการให้เธอแบกรับงานได้ทันที เพียงเพราะเธอทำหน้าที่นี้อยู่ หลิวเหวินทำงานได้ช้า และมักสับสนเมื่องานมีมาก แต่เธอก็ทำหน้าที่อย่างมั่นคงและจริงจัง และสามารถจัดการงานได้จริง อย่างไรก็ตาม ฉันกลับไม่ช่วยให้พี่น้องหญิงทั้งสองคุ้นเคยกับงานโดยเร็ว ทั้งยังคาดหวังจากพวกเธอมากเกินไป เมื่อพวกเธอทำไม่ได้ตามที่ฉันคาดหวัง ฉันก็แสดงความไม่พอใจ ทำให้พวกเธอรู้สึกถูกจำกัด เมื่อคิดถึงช่วงที่ฉันเพิ่งเริ่มทำหน้าที่เป็นผู้นำ ฉันเองก็ไม่รู้อะไรเลยในตอนนั้น แต่ก็เพราะได้รับความช่วยเหลือจากพี่น้องชายหญิงอยู่ตลอด ฉันจึงจับความเข้าใจหลักธรรมบางอย่างได้ แต่ในตอนนั้น ฉันกลับเรียกร้องจากเพื่อนร่วมงานของฉันมากเกินควร ทำให้พวกเธอต้องลำบาก ฉันช่างขาดความเป็นมนุษย์เสียจริง! เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกละอายใจอย่างมาก

ต่อมา ขณะกำลังแสวงหา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวว่า “การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องชายหญิงต้องมีหลักธรรม  จงอย่ามุ่งเน้นข้อผิดพลาดของผู้อื่นตลอดเวลา แต่เจ้าต้องตรวจสอบตัวเองอยู่บ่อยครั้ง และจากนั้นจงยอมรับอย่างมั่นใจต่อผู้คนอื่นๆ ถึงสิ่งทั้งหลายที่เจ้าได้ทำลงไป ซึ่งก่อให้เกิดการแทรกแซงหรือเป็นอันตรายต่อพวกเขา และเรียนรู้ที่จะเปิดใจตนเองและสามัคคีธรรม  เจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ความเข้าใจร่วมกันได้ในหนทางนี้  ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าสิ่งใดบังเกิดแก่เจ้า เจ้าก็ควรมองดูสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า  หากผู้คนสามารถเข้าใจหลักธรรมความจริงและค้นพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติได้ พวกเขาก็จะมีหัวใจและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกัน และสัมพันธภาพระหว่างพี่น้องชายหญิงจะเป็นปกติ พวกเขาจะไม่เมินเฉย เย็นชา และโหดร้ายเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อทั้งหลาย และพวกเขาจะละทิ้งความรู้สึกนึกคิดของความหวาดระแวงและความระแวดระวังซึ่งกันและกัน  พี่น้องชายหญิงจะกลายเป็นสนิทสนมกันมากขึ้น พวกเขาจะสามารถเกื้อหนุนกันและรักกันได้ จะมีความปรารถนาดีในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาจะสามารถยอมผ่อนปรนและเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน พวกเขาจะเกื้อหนุนและช่วยเหลือกัน แทนที่จะหมางเมินกัน ริษยากัน ประเมินวัดกันเอง และแอบแข่งขันกัน รวมทั้งท้าทายกันและกัน… เมื่อผู้คนดำรงชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ย่อมเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะมีสันติสุขเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเป็นเรื่องยากมากสำหรับพวกเขาที่จะปฏิบัติความจริงและดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า  การที่จะดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้านั้น เจ้าต้องเรียนรู้วิธีทบทวนตนเองและรู้จักตัวเองเสียก่อน และอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างแท้จริง จากนั้นเจ้าก็ต้องเรียนรู้วิธีที่จะอยู่ร่วมกับพี่น้องชายหญิง  เจ้าต้องยอมผ่อนปรนให้กันและกัน อดทนต่อกัน และสามารถมองเห็นจุดแข็งและคุณความดีของผู้อื่น—เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นและสิ่งทั้งหลายที่ถูกต้อง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  พระวจนะของพระเจ้าบอกเราอย่างชัดเจนว่า ในการปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิง เราไม่ควรจดจ่ออยู่กับข้อบกพร่องของพวกเขาเสมอไป แต่ควรมองจุดแข็งและข้อดีของพวกเขาแทน เราจำเป็นต้องอดทนต่อกัน และเสริมจุดแข็งจุดอ่อนให้กัน จ้าวซินมีความสามารถในการสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาได้ดีกว่า บางครั้งเมื่อฉันมองปัญหาของพี่น้องชายหญิงไม่ออก จ้าวซินสามารถหาพระวจนะที่เกี่ยวข้องเพื่อสามัคคีธรรมและแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ แม้หลิวเหวินจะทำงานได้ช้า แต่เธอก็พิจารณาปัญหาอย่างรอบคอบ ทำหน้าที่ของเธออย่างจริงจังและรับผิดชอบ เวลามีงานมากเกินไป ฉันมักจะทำงานแบบสุกเอาเผากิน แต่หลิวเหวินจะคอยเตือนฉันเป็นครั้งคราว ซึ่งก็เป็นประโยชน์และช่วยเติมเต็มให้กับฉัน การที่เราทั้งสามคนทำงานร่วมกันอย่างกลมเกลียว และเสริมจุดแข็งจุดอ่อนของกันและกัน จะทำให้งานของเราก้าวหน้าอย่างแน่นอน ต่อมา ฉันได้เปิดใจเกี่ยวกับสภาวะของตัวเองกับเพื่อนร่วมงาน แล้วพวกเราก็ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาของกันและกัน ผ่านการสามัคคีธรรม เราพบเส้นทางและทิศทางของการร่วมมือกัน และฉันรู้สึกสบายใจอยู่ในหัวใจเป็นพิเศษ เมื่อเห็นว่าสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการไว้นั้นเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตในชีวิตของฉัน ฉันก็รู้สึกขอบคุณพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง

ก่อนหน้า: 55. ฉันไม่ไล่ตามไขว่คว้าสถานะอย่างไม่ลดละอีกต่อไปแล้ว

ถัดไป: 59. การเติบโตขึ้นท่ามกลางพายุ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger