55. ฉันไม่ไล่ตามไขว่คว้าสถานะอย่างไม่ลดละอีกต่อไปแล้ว

ฉันเคยเป็นคนที่อยากได้อยากมีเกียรติยศและสถานะอย่างแรงกล้า ตั้งแต่วัยเด็ก ฉันพยายามทำตัวให้โดดเด่นและเหนือกว่าคนอื่น ตามคำพูดที่ว่า “ข้าราชการเหนือกว่าชาวบ้านธรรมดา” แม้แต่ข้าราชการที่ต่ำต้อยที่สุดก็ยังถือว่าดีกว่าชาวบ้านธรรมดา ฉันเคยเชื่อว่าการมีตำแหน่งข้าราชการหมายถึงการมีอำนาจ เป็นที่นับหน้าถือตาทุกหนแห่ง ตอนฉันเป็นเด็ก ฉันทำงานที่เปรอะเปื้อนและเหนื่อยยากสารพัดในหมู่บ้าน เพียงเพื่อให้ได้ตำแหน่งข้าราชการ ฉันถึงกับทำงานในไร่จนดึกดื่นเหมือนพวกปิดทองหลังพระ แต่เพราะการศึกษาของฉันต่ำ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ฉันก็เป็นได้เพียงหัวหน้าสหพันธ์สตรีในหมู่บ้าน

ในปี 1999 ฉันยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า และทำหน้าที่ประกาศข่าวประเสริฐในคริสตจักร การได้เห็นผู้นำระดับสูงระหว่างการชุมนุม ถูกรายล้อมด้วยพี่น้องชายหญิงที่ซักถามพวกเขาเรื่องนั้นเรื่องนี้ ฉันรู้สึกอิจฉามาก การเป็นผู้นำเป็นสิ่งที่ดี ทุกคนรายล้อมพวกเขาทุกหนแห่ง ช่างน่าสรรเสริญ! เมื่อพระราชกิจเสร็จสิ้นในอนาคต พระเจ้าจะทรงช่วยผู้นำเหล่านี้ให้รอดอย่างแน่นอน ฉันต้องไล่ตามเสาะหาอย่างจริงจัง หากฉันได้กลายเป็นผู้นำในพระนิเวศของพระเจ้า ฉันไม่เพียงจะได้รับการยกย่องจากพี่น้องชายหญิง แต่ฉันจะมีโอกาสมากขึ้นที่จะได้รับความรอดและความเพียบพร้อมด้วย ตราบใดที่ฉันไล่ตามเสาะหาอย่างแข็งขันและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ฉันก็จะมีโอกาสได้เป็นผู้นำอย่างแน่นอน ณ ตอนนั้น ข่าวประเสริฐเพิ่งจะแผ่มาถึงพื้นที่ของเรา และคนส่วนใหญ่ที่ยอมรับข่าวประเสริฐคือพี่น้องชายหญิงจากคริสตจักรเก่าของเรา ทันทีที่ศิษยาภิบาลก่อกวนพวกเขา หรือพวกเขาเริ่มคิดลบ หรือเผชิญความลำบากยากเย็น ฉันจะรีบไปช่วยเหลือพวกเขา พี่น้องชายหญิงทุกคนนับถือฉัน และพวกเขาปรึกษาฉันเรื่องความลำบากยากเย็นที่พวกเขาเผชิญ แม้ว่าตอนนั้นเราจะยังไม่ได้ก่อตั้งคริสตจักร และยังไม่มีผู้นำคริสตจักร แต่สิ่งที่ฉันทำเป็นงานผู้นำ พี่น้องชายหญิงที่ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าร่วมกับฉันพูดด้วยว่า “หากเลือกคนอื่นมาเป็นผู้นำในอนาคตไม่ได้ หลี่จิ้งจะต้องได้รับเลือกแน่ๆ” ฉันดีใจมากตอนได้ยินแบบนั้น คิดว่า “ในบรรดาพี่น้องชายหญิงที่ยอมรับพระราชกิจพร้อมกับฉัน ไม่มีใครดีไปกว่าฉัน และไม่มีใครสละตัวเองมากกว่าฉัน พี่น้องชายหญิงก็สนับสนุนฉันด้วย ฉะนั้นพอถึงเวลาเลือกผู้นำ ทุกคนจะต้องเลือกฉันแน่ๆ” ในช่วงครึ่งหลังของปี 1999 ผู้นำระดับสูงได้เดินทางมายังพื้นที่ของเราเพื่อร่วมการชุมนุม โดยบอกว่าอยากก่อตั้งคริสตจักรและเลือกผู้นำคริสตจักร ฉันดีใจมาก เพราะคิดว่าเป็นของตายที่ฉันจะได้รับเลือกเป็นผู้นำคริสตจักร ระหว่างการชุมนุม ฉันรอการประกาศผลการเลือกตั้งโดยผู้นำระดับสูงอย่างมั่นใจ แต่ผิดคาด พี่น้องหญิงหลิวชิงกลับได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ ส่วนฉันได้รับเลือกให้เป็นมัคนายกข่าวประเสริฐ ทันทีที่ฉันได้ยินผล หัวใจฉันรู้สึกเหมือนถูกราดด้วยน้ำเย็น เย็นเฉียบถึงแก่นในทันทีทันใด ฉันก้มหน้า และคิดว่า “ฉันยุ่งทั้งวันกับการประกาศข่าวประเสริฐ ให้น้ำเหล่าผู้เชื่อใหม่ และต้อนรับขับสู้พี่น้องชายหญิง ยุ่งไปหมด และฉันไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำด้วยซ้ำ งานทั้งหมดนี้ไม่สูญเปล่าหรอกหรือ? ในเมื่อฉันไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ พี่น้องชายหญิงจะต้องพูดว่าฉันไม่เก่งเท่าหลิวชิงแน่ๆ ฉันจะสู้หน้าคนอื่นได้ยังไง?” หลังจากการชุมนุมสิ้นสุดลงและฉันกลับบ้าน ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งรู้สึกขุ่นเคือง และน้ำตาก็ไหลออกมาโดยที่ฉันไม่รู้ตัว ในใจฉันอิจฉาหลิวชิง ก่อนหน้านี้ ในนิกายของเรา คุณไม่ได้กระตือรือร้นเท่าฉันด้วยซ้ำ ฉะนั้นคุณมีคุณสมบัติอะไรที่จะเป็นผู้นำ? ครั้งหนึ่ง หลิวชิงมาถามฉันเรื่องการให้น้ำเหล่าผู้เชื่อใหม่ และฉันก็โกรธมาก คิดว่า “คุณไม่เข้าใจอะไรเลย แต่คุณเป็นผู้นำเหรอ? ถ้าทำไม่ไหว ทำไมไม่พูดตั้งแต่แรก?” ฉันตอบอย่างใจร้อนว่า “คุณเป็นผู้นำไม่ใช่เหรอ? หาทางออกเองสิ” หลิวชิงพูดอย่างหมดหนทางว่า “ฉันถามคำถามพวกนี้กับคุณก็เพราะฉันไม่เข้าใจ” พอเห็นเธอพูดแบบนั้น ในใจฉันก็รู้สึกเหมือนถูกตำหนิ ฉันเลยปรับน้ำเสียงให้นุ่มนวลขึ้น แล้วบอกเธอว่าต้องทำยังไง เพราะฉันไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ ในใจฉันเลยรู้สึกสูญเสียตลอดเวลา และฉันไม่สามารถทำให้ตัวเองกระตือรือร้นต่อหน้าที่ของตัวเอง ก่อนหน้านี้ ตอนฉันติดตามงานข่าวประเสริฐ ฉันจะแสวงหาพี่น้องชายหญิงเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ของผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ และฉันจะร่วมมือกับพวกเขาเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ แต่ตอนนี้ แม้ว่าจะไม่มีผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ ฉันก็ไม่ได้ออกแสวงหาพวกเขาอย่างจริงจัง บางครั้งตอนฉันอยู่บ้านคนเดียว ฉันก็คิดว่า “ฉันทำงานต้อนรับขับสู้และประกาศข่าวประเสริฐ แต่สุดท้ายฉันไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำด้วยซ้ำ จะมีหวังอะไรที่ฉันจะได้รับความรอดในอนาคต?” ยิ่งคิดเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งคิดลบ และฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าเรื่องสภาวะของตัวเอง “พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่ได้กลายเป็นผู้นำ และข้าพระองค์ไม่มีแรงจูงใจที่จะทำหน้าที่ของตนเองเลย ข้าพระองค์รู้สึกอัดอั้นตันใจ แต่ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนสภาวะนี้ยังไง โปรดนำทางข้าพระองค์ให้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ด้วยเถิด”

ในช่วงเช้าระหว่างการอุทิศตน ฉันได้อ่านพระวจนะนี้ของพระเจ้า  “เรารักบรรดาผู้ที่ต้องการเราอย่างจริงใจ  หากพวกเจ้ามุ่งเน้นที่การรักเรา เราจะอวยพรพวกเจ้าอย่างมหาศาลอย่างแน่นอน  พวกเจ้าเข้าใจเจตนาของเราหรือไม่?  ในนิเวศของเราไม่มีความแตกต่างระหว่างสถานภาพสูงและต่ำ  ทุกคนเป็นบุตรของเราและเราคือพระบิดาของพวกเจ้า พระเจ้าของพวกเจ้า  เรานั้นสูงสุดและไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน  เราควบคุมเอกภพและทุกสรรพสิ่ง!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 31)  “เจ้าควร ‘ปรนนิบัติเราด้วยความถ่อมใจและในความไม่เป็นที่รู้จัก’ ภายในนิเวศของเรา  วลีนี้ควรทำหน้าที่เป็นคติประจำตัวของเจ้า  จงอย่าเป็นใบไม้บนต้น แต่จงเป็นรากของต้นไม้และหยั่งรากลึกลงไปในชีวิต  จงเข้าสู่ประสบการณ์ที่จริงแท้ของชีวิต ใช้ชีวิตตามวจนะของเรา แสวงหาเรามากขึ้นในทุกเรื่อง และจงเข้ามาใกล้เราและสามัคคีธรรมกับเรา  จงอย่าให้ความสนใจกับสิ่งภายนอกใดๆ และอย่าให้บุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งใดตีกรอบเอาไว้ แต่จงสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งที่เราเป็นเฉพาะกับผู้คนฝ่ายจิตวิญญาณเท่านั้น  จงเข้าใจเจตนาทั้งหลายของเรา ให้ชีวิตของเราไหลอยู่ในหมู่พวกเจ้า และจงใช้ชีวิตตามวจนะของเราและปฏิบัติตามข้อพึงประสงค์ของเรา(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 31)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจ ในบ้านของพระเจ้าไม่มีการแบ่งแยกระหว่างสถานะสูงหรือต่ำ เจตนารมณ์ของพระเจ้าคือให้เราไล่ตามเสาะหาความจริง และทำหน้าที่ของเราให้ดีอย่างไม่โจ่งแจ้งเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย พระเจ้าไม่ประสงค์ให้เราไล่ตามไขว่คว้าสถานะ แต่ไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับชีวิตมากกว่า การได้รับสถานะเป็นความรุ่งโรจน์ภายนอกประเภทหนึ่ง แต่มันไร้ความหมายและว่างเปล่า เช่นเดียวกับใบไม้ที่แม้จะสวยงาม แต่ก็ร่วงหล่นในฤดูใบไม้ร่วง ดอกไม้ที่แม้จะสวยงามและเป็นที่ชื่นชมของผู้คน แต่ก็ไม่ออกผล ไร้ชีวิต ฉันอยากเป็นผู้นำมาโดยตลอด อยากให้ผู้คนสนับสนุน ชื่นชม รับฟัง และเชิดชู อยากมีสถานะในใจพวกเขา แต่การไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้มีความหมายอะไรกันแน่? พระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าคือพิพากษาและชำระผู้คนให้บริสุทธิ์เพื่อมอบความจริงให้แก่พวกเขา หากฉันไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง หากอุปนิสัยเสื่อมทรามของฉันยังไม่เปลี่ยน และฉันไม่ได้รับความจริง เช่นนั้นฉันไม่ได้เชื่อโดยเปล่าประโยชน์เหรอ? ฉันเทิดทูนสถานะมาก รู้สึกแย่เมื่อไม่มีมัน และหมดความกระตือรือร้นที่จะประกาศข่าวประเสริฐ ฉันตระหนักว่าสิ่งที่ฉันไล่ตามไขว่คว้าไม่ใช่ความจริง แต่เป็นหน้าตาและสถานะ นั่นไม่เบี่ยงเบนจากเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรอกหรือ? ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้า “พระเจ้า ข้าพระองค์อยากได้อยากมีสถานะมากเกินไป ตอนข้าพระองค์เห็นคนอื่นได้กลายเป็นผู้นำ แต่ข้าพระองค์ไม่ได้รับเลือก ข้าพระองค์ก็เริ่มคิดลบ ในโลกนี้ ข้าพระองค์ไล่ตามไขว่คว้าเพื่อจะเป็นข้าราชการและแกนนำ พอข้าพระองค์ได้อยู่ในบ้านของพระเจ้า ข้าพระองค์ก็ยังคงไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเดิมๆ นั่นต่างจากตอนที่ข้าพระองค์เคยเป็นส่วนหนึ่งของโลกยังไง? พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อยากไล่ตามไขว่คว้าสถานะอีกต่อไปแล้ว ข้าพระองค์เต็มใจที่จะลุล่วงหน้าที่ของตนเองในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างตามข้อกำหนดของพระองค์เพื่อทำให้พระองค์พอพระทัย” หลังจากนั้น สภาวะของฉันก็เปลี่ยนไป และฉันเริ่มกระตือรือร้นที่จะประกาศข่าวประเสริฐ เมื่อหลิวชิงประสบปัญหาและมาถามฉัน ฉันก็จะสามัคคีธรรมกับเธอตราบใดที่ฉันเข้าใจ เพราะรู้สึกว่านี่ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของงานคริสตจักร ว่าเมื่อพี่น้องหญิงหลิวชิงประสบปัญหา ฉันมีหน้าที่ต้องช่วยเหลือเธอ ว่านี่ก็เป็นหน้าที่ที่ฉันควรทำด้วย สองเดือนต่อมา หลิวชิงถูกปลดเพราะเธอไม่สามารถทำงานจริงได้ และพี่น้องชายหญิงเลือกฉันให้เป็นผู้นำคริสตจักร ในใจฉันรู้สึกมีความสุขมากเป็นพิเศษ เพราะคิดว่านี่คือความเอื้อเฟื้อของพระเจ้า และฉันต้องขยันขันแข็ง จากนั้นฉันก็เลือกผู้นำของแต่ละกลุ่ม และสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงเรื่องนัยสำคัญของการประกาศข่าวประเสริฐ และประสิทธิภาพของการประกาศข่าวประเสริฐก็ดีขึ้น ฉันประกาศข่าวประเสริฐตอนกลางวันและให้น้ำเหล่าผู้เชื่อใหม่ตอนกลางคืน และหากพี่น้องชายหญิงคนใดคิดลบหรืออ่อนแอ ฉันก็จะไปเยี่ยมเพื่อให้กำลังใจ ทุกคนต้อนรับฉันอย่างอบอุ่น และหากมีคำถาม พวกเขาก็จะมาหาฉัน พอได้เห็นพี่น้องชายหญิงมาชุมนุมรายล้อมฉันและเคารพฉันมาก ฉันก็ชอบความรู้สึกนี้มาก คิดว่า “การเป็นผู้นำเป็นสิ่งที่ดี หากฉันทำงานคริสตจักรทั้งหมดได้ดี ก็จะมีโอกาสมากมายให้ก้าวหน้าต่อไป หากฉันได้กลายเป็นผู้นำอาวุโส ฉันจะได้รับความเคารพนับถือมากขึ้นอีก”

หลังจากนั้น ผู้นำระดับสูงมาร่วมชุมนุมกับเรา และบอกว่าอยากเลือกผู้ประกาศจากผู้นำคริสตจักรหลายๆ คน ฉันคิดกับตัวเองว่า “คริสตจักรของเราทำผลงานได้ดีกว่าทั้งด้านประสิทธิภาพในการประกาศข่าวประเสริฐ และการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง และเมื่อประกอบกับการที่ฉันถูกพรรคคอมมิวนิสต์จับกุมเมื่อไม่นานมานี้ และตั้งมั่นในคำพยานของตัวเอง ฉันเลยได้เปรียบกว่าพวกเขาทุกด้าน ฉันมั่นใจว่าคราวนี้ฉันจะได้รับเลือกให้เป็นผู้ประกาศแน่” ผิดคาด พี่น้องหญิงหวังชเวได้รับเลือก ฉันรู้สึกเย็นเฉียบไปทั้งหัวใจและคิดว่า “ทำไมเธอถึงได้รับเลือก ไม่ใช่ฉัน? งานของคริสตจักรเราทั้งหมดมีผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เธอดีกว่าฉันตรงไหน? ในเมื่อฉันไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้ประกาศ พี่น้องชายหญิงจะมองฉันยังไง? ต่อไปใครจะนับถือฉัน?” ในระหว่างการชุมนุมครั้งต่อมา ฉันไม่ได้พูดอะไร รู้สึกว่าไม่ว่าฉันจะพยายามแค่ไหน ยุ่งแค่ไหน หรือเหนื่อยแค่ไหน แล้วได้อะไรขึ้นมา? ฉันรู้สึกอายที่จะเผยสภาวะของตัวเองและแสวงหาทางแก้ไข เพราะกลัวเสียหน้า ฉันเลยไม่พูดความในใจ

ต่อมา หวังชเวได้จัดการชุมนุมสำหรับผู้นำคริสตจักรหลายคน และทุกคนรับฟังอย่างตั้งใจ แต่ฉันรับมือได้ไม่ค่อยดี ตอนนั้นฉันคิดว่าการเป็นผู้ประกาศนั้นแตกต่างมาก มีเกียรติศักดิ์และเป็นที่เคารพนับถือไปทุกที่ มีผู้คนรับฟังเรา ถ้าฉันเป็นผู้ประกาศ พี่น้องชายหญิงจะรายล้อมรอบตัวฉันเหมือนกันอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ฉันกลับต้องรับฟังเธอ และนั่นทำให้ฉันรู้สึกเสียศูนย์ ในระหว่างการชุมนุม ตอนเธอลงมือปฏิบัติงาน ฉันรู้สึกไม่เต็มใจที่จะให้ความร่วมมือ โดยคิดว่า “เราเคยเท่าเทียมกัน และคุณไม่ดีไปกว่าฉัน ตอนนี้คุณมาจัดแจงงานให้เรา ถ้าฉันทำตามคำสั่งคุณ มันจะไม่ทำให้ฉันดูด้อยกว่าคุณเหรอ?” หวังชเวถามฉันเรื่องปัญหาในงานคริสตจักรของเรา และฉันตอบไปอย่างไม่ใส่ใจด้วยใบหน้าเฉยเมยว่า “คริสตจักรของเราไม่ค่อยมีปัญหาอะไร เราแก้ปัญหากันเองไปแล้ว” จากนั้นเธอก็ถามเรื่องความคืบหน้าของงานข่าวประเสริฐของเรา และฉันไม่อยากจะตอบแล้ว ฉันเลยตอบไปด้วยใบหน้าแข็งกร้าวว่า “ไม่บอกก็รู้ว่างานข่าวประเสริฐของเรามีประสิทธิผล คริสตจักรอื่นทำผลงานรายเดือนไม่ได้ครึ่งหนึ่งของเราด้วยซ้ำ” เมื่อเธอถามเรื่องสถานการณ์ของเหล่าผู้มาใหม่ ฉันก็เริ่มหมดความอดทน และพูดว่า “เหล่าผู้มาใหม่ได้รับน้ำจากผู้นำและคนทำงานของเราสองสามคน และพวกเขาสบายดี ถ้าคุณไม่เชื่อ ก็ไปดูด้วยตาของตัวเองได้เลย” หวังชเวรู้สึกอึดอัดกับท่าทีของฉัน และบรรยากาศของการชุมนุมก็เริ่มกระอักกระอ่วน ฉันใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะอิจฉาและไม่พอใจตลอดเวลา และจิตวิญญาณของฉันก็มืดมน ฉันหมดความสนใจที่จะทำหน้าที่ของตัวเอง แค่ทำไปส่งๆ พอมีผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ ฉันก็ไม่อยากประกาศข่าวประเสริฐให้พวกเขาฟังอีกต่อไป ประสิทธิผลของการประกาศข่าวประเสริฐเริ่มลดลง เมื่อผู้นำมาสามัคคีธรรมกับฉันและช่วยเหลือฉัน ฉันก็ไม่สามารถรับฟัง สุดท้ายฉันก็ถูกปลด

หลังจากนั้น ฉันก็ทบทวนตัวเอง ทำไมฉันถึงรู้สึกอึดอัดและไม่พอใจตอนหวังชเวกลายเป็นผู้ประกาศ? ฉันเลยอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ประทานความรู้แจ้งและนำทางฉันให้ประจักษ์ปัญหาของตัวเองและแก้ไขมัน ต่อมาฉันได้อ่านพระวจนะนี้ของพระเจ้าที่ว่า “ในการแสวงหาของพวกเจ้านั้น พวกเจ้ามีมโนคติที่หลงผิด ความหวัง และอนาคตของแต่ละคนมากเกินไป  พระราชกิจปัจจุบันเป็นไปเพื่อที่จะตัดแต่งความอยากมีสถานะและความอยากอันฟุ้งเฟ้อของพวกเจ้า  ความหวัง สถานะ และมโนคติที่หลงผิดทั้งหมดเป็นตัวแทนชั้นเยี่ยมของอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน… เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ความคิดที่ผู้คนได้พึ่งพาเพื่อการอยู่รอดของพวกเขาได้กัดกร่อนหัวใจของพวกเขาเรื่อยมาจนถึงจุดที่ว่า พวกเขาได้กลายเป็นทรยศ ขี้ขลาด และน่ารังเกียจ  ไม่เพียงแค่พวกเขาขาดพร่องพลังจิตและความแน่วแน่เท่านั้น แต่พวกเขายังได้กลายเป็นโลภมาก โอหัง และเอาแต่ใจตัวเองด้วยเช่นกัน  พวกเขาขาดพร่องความแน่วแน่ใดๆ ซึ่งอยู่เหนือตนเองโดยสิ้นเชิง และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่มีความกล้าหาญแม้แต่น้อยที่จะสลัดการควบคุมของอิทธิพลมืดเหล่านี้  ความคิดและชีวิตของผู้คนนั้นเน่าเปื่อยมากจนกระทั่งมุมมองของพวกเขาต่อการเชื่อในพระเจ้ายังคงน่าขยะแขยงอย่างไม่สามารถทนได้ และแม้กระทั่งเมื่อผู้คนพูดถึงมุมมองของพวกเขาต่อการเชื่อในพระเจ้า ก็ไม่สามารถทนฟังได้อย่างแน่นอน  ผู้คนทั้งหมดล้วนขี้ขลาด ไร้ความสามารถ น่ารังเกียจ และบอบบาง  พวกเขาไม่รู้สึกถึงความขยะแขยงที่มีต่อกองกำลังของความมืด และพวกเขาไม่รู้สึกถึงความรักที่มีต่อความสว่างและความจริง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับทำอย่างสุดความสามารถที่จะขับไล่สิ่งเหล่านั้น… ถึงแม้ว่าพวกเจ้าได้มาถึงขั้นตอนนี้ในวันนี้ พวกเจ้ายังคงไม่ได้ปล่อยวางสถานะแต่ดิ้นรนต่อสู้อยู่ตลอดเวลาเพื่อสอบถามถึงมัน และสังเกตการณ์มันในแต่ละวัน ด้วยความเกรงกลัวลึกๆ ว่าวันหนึ่งสถานะของพวกเจ้าจะสูญหายไปและชื่อของพวกเจ้าจะย่อยยับ  ผู้คนไม่เคยได้วางความอยากมีความสะดวกสบายของพวกเขาลงไว้ก่อน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหตุใดเจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น?)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันเข้าใจว่า สถานการณ์ปัจจุบันแบบนี้เกิดขึ้นก็เพื่อเผยให้เห็นความอยากได้อยากมีสถานะของฉัน และความเสื่อมทรามของฉัน และเพื่อช่วยฉันเปลี่ยนทัศนะผิดๆ เกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหา ฉันไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะมาโดยตลอด และหลังจากได้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันอยากเป็นผู้ประกาศและผู้นำระดับสูงกว่านั้นด้วยซ้ำ อยากครองตำแหน่งสูงๆ และสุขสำราญกับประโยชน์จากสถานะนั้น ก่อนที่ผู้ประกาศจะได้รับเลือก ฉันเคยตื่นเช้าและทำงานจนดึกเพื่อประกาศข่าวประเสริฐและให้น้ำเหล่าผู้เชื่อใหม่ ยุ่งทั้งวัน แต่พอไม่ได้เป็นผู้ประกาศ ฉันก็เริ่มคิดลบและละเลยหน้าที่ของตัวเอง ไม่แม้แต่จะอยากประกาศข่าวประเสริฐเมื่อมีผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ฉันไล่ตามไขว่คว้าคือสถานะของผู้นำ หลังจากนั้น ฉันไตร่ตรองว่า ทำไมฉันถึงหมกมุ่นเรื่องสถานะนัก? เพราะฉันใช้ชีวิตตามพิษของซาตาน อย่าง “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ” และ “ข้าราชการเหนือกว่าชาวบ้านธรรมดา?” คิดว่าคนเราควรพากเพียรในชีวิตเพื่อให้ตนเองเหนือกว่าผู้อื่น และมีสถานะที่สูงขึ้น คิดว่าเมื่อนั้นเท่านั้นคนถึงจะได้รับการเคารพยกย่องจากผู้อื่น และใช้ชีวิตที่มีค่าและมีความหมาย เมื่อถูกความคิดเหล่านี้ครอบงำ ฉันก็ไม่อยากเป็นคนตัวเล็กที่สุดในฝูงชน ตอนอายุสิบหกหรือสิบเจ็ด เพื่อที่จะได้เป็นแกนนำหมู่บ้าน ฉันทำงานเหนื่อยหนักสารพัดอย่างในหมู่บ้าน เป็นผู้กล้านิรนามในเรือกสวนไร่นายามค่ำคืน ตอนอายุสิบเก้า ฉันได้เป็นหัวหน้าสหพันธ์สตรีในหมู่บ้านเรา หลังจากฉันยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า เมื่อผู้นำระดับสูงเรียกเราชุมนุมโดยมีพี่น้องชายหญิงรายล้อมแสวงหาคำตอบ ในใจฉันอิจฉาพวกเขา เพื่อที่จะได้รับเลือกเป็นผู้นำ ฉันละทิ้งและสละตนเอง ทำงานอย่างขยันขันแข็งตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ยินดีสู้ทนความยากลำบากทุกรูปแบบ หลังจากได้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันถึงกับอยากเป็นผู้ประกาศ เพราะอยากมีตำแหน่งที่สูงขึ้น พอไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้ประกาศ ฉันก็ทำใจยอมรับการไร้สถานะไม่ได้ และปฏิเสธผู้ประกาศที่เพิ่งได้รับเลือก ฉันไม่อยากฟังสามัคคีธรรมของเธอและแผนการทำงานของเธอ และเมื่อเธอถามถึงงานคริสตจักรของเรา ฉันก็เฉยเมย แสดงอาการดูถูกและเหยียดหยามเธอ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกถูกฉันบีบบังคับ การที่ฉันกล้ากีดกันและเหยียดหยามผู้อื่นตอนที่ฉันไม่ได้รับสถานะ แสดงให้เห็นว่าฉันมุ่งร้ายมาก! สิ่งที่ฉันเผยให้เห็นในตอนนั้นคืออุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง พระเจ้าเท่านั้นที่คู่ควรแก่การนมัสการและยำเกรง ฉันเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เป็นคนเสื่อมทราม ฉันมีคุณสมบัติอะไรที่จะทำให้คนอื่นยกย่องฉัน? ตอนนั้นฉันไร้เหตุผลและยางอายจริงๆ! พระเจ้าประทานโอกาสให้ฉันได้ทำหน้าที่ของผู้นำ หวังให้ฉันไล่ตามเสาะหาความจริง สมัครสมานร่วมมือกันกับพี่น้องชายหญิง ส่งเสริมจุดแข็งและชดเชยจุดอ่อนของกันและกัน และปฏิบัติหน้าที่ร่วมกันให้ดี แต่ตอนนั้นฉันไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง ฉันเอาแต่ไล่ตามไขว่คว้าสถานะเพื่อให้ผู้อื่นชื่นชมฉัน เพื่อให้ได้มาซึ่งหน้าตาและสถานะ ฉันอาจจะถึงกับอิจฉาริษยา บีบบังคับ และกีดกันคนอื่น สร้างความเสียหายให้พี่น้องชายหญิง และขัดขวางการทำงานของคริสตจักร ฉันตระหนักว่าการไล่ตามไขว่คว้าสถานะเป็นเส้นทางแห่งการต่อต้านพระเจ้า และถ้าฉันไม่กลับใจ ฉันจะต้องเผชิญการลงโทษของพระเจ้าในที่สุด ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ช่างเป็นคนเสื่อมทราม แสวงหาความชื่นชมจากผู้อื่นอยู่เสมอ การกระทำและความประพฤติของข้าพระองค์เป็นที่เกลียดชังอย่างมากสำหรับพระองค์ ข้าพระองค์ยินดีที่จะกลับไปหาพระองค์โดยไม่ไล่ตามไขว่คว้าหน้าตาและสถานะอีกต่อไป โปรดนำทางข้าพระองค์สู่เส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยเถิด”

วันหนึ่งฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติม “มนุษย์ไม่เคยรักเราอย่างจริงใจ  เมื่อเรายกย่องเขา เขารู้สึกว่าตัวเขาเองไม่มีค่าคู่ควร แต่นี่ไม่ได้ทำให้เขาพยายามที่จะทำให้เราพึงพอใจ  เขาเพียงประคอง ‘สถานะ’ ที่เรามอบให้เขาเอาไว้ในมือทั้งสองของเขาและพินิจพิเคราะห์มัน ไม่อาจสำนึกรับรู้ได้ถึงความน่ารักน่าชื่นชมของเรา เขากลับยืนกรานที่จะสวาปามผลประโยชน์ทั้งหลายแห่งสถานะของเขา  นี่ไม่ใช่ความขาดตกบกพร่องของมนุษย์หรอกหรือ?  เมื่อภูเขาเคลื่อนที่ ภูเขาเหล่านั้นจะสามารถหาทางอ้อมเพื่อเห็นแก่สถานะของเจ้าได้หรือไม่?  เมื่อห้วงน้ำหลั่งไหล ห้วงน้ำเหล่านั้นจะสามารถหยุดอยู่ตรงหน้าสถานะของมนุษย์ได้หรือไม่?  ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจะสามารถถูกสถานะของมนุษย์พลิกกลับได้หรือไม่?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 22)  “เราไม่ได้ตัดสินบั้นปลายของแต่ละบุคคลตามอายุ ความอาวุโส ระดับความทุกข์ และที่น้อยที่สุดคือ ระดับความชวนสังเวชของพวกเขา แต่เป็นไปโดยสอดคล้องกับการที่ว่า พวกเขาครองความจริงหรือไม่  ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากนี้  พวกเจ้าจำต้องตระหนักว่า ทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจะถูกลงโทษด้วยเช่นกัน  นี่คือข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้  เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ถูกลงโทษจึงถูกลงโทษเช่นนั้นเพราะความชอบธรรมของพระเจ้า และเป็นโทษทัณฑ์อันสาสมแล้วกับการกระทำที่ชั่วอันนับไม่ถ้วนของพวกเขา(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันก็เข้าใจว่าสถานะไม่สามารถช่วยผู้คนให้รอดได้ และเมื่อเกิดภัยพิบัติ การมีสถานะจะไม่รับประกันการอยู่รอด พระเจ้าทรงกำหนดบั้นปลายและจุดจบของผู้คนโดยดูจากว่าพวกเขามีความจริงหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาจะมีสถานะอะไร ตราบใดที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงและอุปนิสัยของพวกเขากำลังเปลี่ยนแปลงไป พวกเขาก็สามารถได้รับความรอดจากพระเจ้า ก่อนหน้านี้ ฉันคิดว่ายิ่งสถานะสูงขึ้นเท่าไร โอกาสที่จะถูกช่วยให้รอดและทำให้เพียบพร้อมก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ฉันเลยไล่ตามไขว่คว้าสถานะอย่างไม่ลดละ เต็มใจที่จะละทิ้งทุกสิ่งและสู้ทนความยากลำบากสารพัดเพื่อให้ได้สถานะมา ฉันทำให้การได้รับสถานะเป็นเป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาและทิศทางของชีวิตฉัน พอไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำหรือผู้ประกาศ ฉันก็เริ่มคิดลบ และหมดความกระตือรือร้นที่จะทำหน้าที่ของตัวเอง การใช้ชีวิตด้วยทัศนคติที่ผิดนี้นำความเจ็บปวดอย่างมากมาให้ฉัน สร้างความเสียหายให้กับพี่น้องชายหญิงและทำลายงานของคริสตจักร ฉันคิดถึงว่าเปาโลมีสถานะสูงในแวดวงศาสนา ประกาศข่าวประเสริฐ ได้รับผู้คนมากมาย และก่อตั้งคริสตจักรหลายแห่ง แต่เขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลง และเขาเผชิญการลงโทษของพระเจ้าในที่สุด แม้ว่างานของเปโตรอาจจะไม่กว้างไกลเท่างานของเปาโล แต่เปโตรไล่ตามเสาะหาความจริง ไล่ตามเสาะหาการรักพระเจ้า และแสวงหาการลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ในที่สุดเปโตรก็ได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้าและได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า ฉันเคยใช้ชีวิตตามทัศนคติที่ผิด โดยเดินเส้นทางเดียวกับเปาโล หากฉันเดินบนเส้นทางนี้ต่อไป ฉันจะลงเอยมีชะตากรรมเดียวกับเปาโลอย่างแน่นอน

ต่อมาฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอน ซึ่งทำให้เส้นทางแห่งการปฏิบัติชัดเจนขึ้น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นบุตรของดาวิดหรือพงศ์พันธุ์ของโมอับ ผู้คนคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างผู้ซึ่งไม่มีสิ่งใดเลยที่ควรค่าแก่การอวดตัว  ในเมื่อพวกเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พวกเจ้าก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  ไม่มีข้อพึงประสงค์อื่นจากพวกเจ้า นี่คือวิธีที่พวกเจ้าควรอธิษฐาน กล่าวคือ  ‘โอ พระเจ้า!  ไม่ว่าข้าพระองค์จะมีสถานะหรือไม่ ตอนนี้ข้าพระองค์เข้าใจตัวเองแล้ว  หากสถานะของข้าพระองค์สูง นั่นก็เป็นเพราะการยกให้สูงขึ้นของพระองค์ และหากมันต่ำต้อย นั่นก็เป็นเพราะการลิขิตของพระองค์  ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์  ข้าพระองค์ไม่มีทั้งตัวเลือกใดๆ และการพร่ำบ่นใดๆ  พระองค์ได้ทรงลิขิตว่าข้าพระองค์จะถือกำเนิดในประเทศนี้และท่ามกลางผู้คนนี้ และว่าทั้งหมดที่ข้าพระองค์ควรทำก็คือนบนอบอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทุกประการ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงลิขิต  ข้าพระองค์ไม่ได้นึกถึงสถานะ จะว่าไปแล้ว ข้าพระองค์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเท่านั้น  หากพระองค์ทรงวางข้าพระองค์ในบาดาลลึก ในบึงไฟและกำมะถัน ข้าพระองค์ก็เป็นแต่เพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  หากพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  หากพระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์มีความเพียบพร้อม ข้าพระองค์ก็ยังเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  หากพระองค์ไม่ทำให้ข้าพระองค์มีความเพียบพร้อม ข้าพระองค์จะยังคงรักพระองค์เพราะข้าพระองค์เป็นแต่เพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเท่านั้น  ข้าพระองค์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างตัวเล็กกระจิริดขององค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง ก็แค่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างท่ามกลางมนุษย์ทรงสร้างทั้งมวล  เป็นพระองค์นั่นเองที่ได้ทรงสร้างข้าพระองค์ขึ้น และตอนนี้พระองค์ได้ทรงวางข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์อีกครั้งหนึ่งเพื่อทำกับข้าพระองค์ตามที่พระองค์จะทรงทำ  ข้าพระองค์เต็มใจที่จะเป็นเครื่องมือของพระองค์และตัวประกอบเสริมความเด่นของพระองค์เพราะทุกสิ่งทุกอย่างคือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงลิขิตไว้  ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้  ทุกสรรพสิ่งและเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์’  เมื่อเวลานั้นมาถึงที่เจ้าจะไม่นึกถึงสถานะอีกต่อไป เมื่อนั้นเจ้าจะเป็นอิสระจากมัน  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถแสวงหาได้อย่างมั่นใจและอย่างกล้าหาญ และเมื่อนั้นเท่านั้นหัวใจของเจ้าจึงจะกลายเป็นอิสระจากข้อจำกัดใดๆ  ทันทีที่ผู้คนได้ถูกทำให้หลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ เมื่อนั้นพวกเขาจะไม่มีความกังวลอีกต่อไป”  (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหตุใดเจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น?)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันเข้าใจ ว่าไม่ว่าผู้คนจะมีสถานะหรือไม่ พวกเขาล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาเหมือนกันหมด ไม่ว่าใครจะมีสถานะหรือไม่ ทุกสิ่งล้วนถูกกำหนดล่วงหน้าโดยพระเจ้า ไม่ว่าบุคคลใดจะทำหน้าที่อะไร และมีขีดความสามารถกับพรสวรรค์อะไร ทุกสิ่งล้วนถูกกำหนดโดยพระเจ้า ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ผู้คนควรนบนอบต่อการจัดการเตรียมการและอธิปไตยของพระเจ้า ก่อนหน้านี้ ฉันมีความทะเยอทะยานที่จะเป็นผู้นำมาโดยตลอด หลังจากกลายเป็นผู้นำคริสตจักร ฉันถึงกับอยากเป็นผู้ประกาศ อย่างไรก็ตาม จากขีดความสามารถและวุฒิภาวะของฉัน โดยพื้นฐานแล้วฉันไม่เหมาะที่จะเป็นผู้ประกาศ ตอนคริสตจักรถูกก่อตั้งใหม่ๆ หลักๆ แล้วบทบาทของฉันในฐานะผู้นำคริสตจักรเกี่ยวข้องกับการประกาศข่าวประเสริฐและการให้น้ำเหล่าผู้เชื่อใหม่ และฉันถนัดเรื่องประกาศข่าวประเสริฐและสัมฤทธิ์ผลบ้าง อย่างไรก็ตาม บทบาทของผู้ประกาศเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการคริสตจักรหลายแห่ง จำเป็นต้องทำงานเก่ง มีความสามารถในการสามัคคีธรรมความจริงและแก้ไขปัญหา การเข้าสู่ชีวิตของฉันไม่ดีนัก และฉันไม่เก่งพอที่จะทำงานของผู้ประกาศ ฉันควรนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ตอนนี้ฉันได้รับมอบหมายให้ประกาศข่าวประเสริฐ และฉันควรลุล่วงหน้าที่ของตนเองในการประกาศข่าวประเสริฐ เมื่อตระหนักเช่นนี้ ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ได้ไล่ตามไขว่คว้าสถานะและไม่นบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์ ซึ่งส่งผลเสียต่องานของคริสตจักร ตอนนี้ข้าพระองค์พร้อมจะกลับใจ และไล่ตามเสาะหาการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง โดยน้อมรับการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์”

ในปี 2015 คริสตจักรจัดการเลือกตั้งผู้นำครั้งใหม่ และฉันได้ยินมาว่าพี่น้องชายหญิงหลายคนอยากเลือกฉัน ณ ตอนนั้น ฉันรู้สึกทั้งดีใจและประหลาดใจ ดูเหมือนว่าพี่น้องชายหญิงจะนับถือฉันมาก ซึ่งพิสูจน์ว่าฉันมีความเป็นจริงความจริงอยู่บ้าง ฉันคิดว่าหากได้รับเลือก ไม่ว่าไปที่ไหน ฉันก็จะเป็นที่เคารพนับถือในหมู่พี่น้องชายหญิง แต่ขณะที่มีความคิดนี้ ฉันก็รู้ว่าความอยากได้อยากมีสถานะโผล่มาอีกแล้ว เมื่อไตร่ตรองว่าการไล่ตามไขว่คว้าสถานะทำให้ฉันเป็นทุกข์มาก และส่งผลเสียต่องานของคริสตจักรในอดีต ฉันเลยตัดสินใจว่าไม่อยากไล่ตามไขว่คว้าสถานะอีกต่อไป ฉันควรจะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้าและลุล่วงหน้าที่ของตัวเองให้ดีมากกว่า ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าในใจอย่างเงียบๆ โดยเต็มใจที่จะละทิ้งความอยากได้อยากมีสถานะและการไล่ตามไขว่คว้าแบบผิดๆ ฉันไม่อยากไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงหรือสถานะอีกต่อไป ฉันเต็มใจที่จะนบนอบต่อหน้าที่ใดๆ ที่ได้รับมอบหมาย ก่อนการลงคะแนนเสียง ผู้นำระดับสูงขอให้พวกเราแต่ละคนแบ่งปันความคิดของเรา ฉันเปิดใจและพูดว่า “แม้ว่าฉันจะเชื่อในพระเจ้ามานานกว่าสิบปีแล้ว แต่การเข้าสู่ชีวิตของฉันนั้นตื้นเขิน ฉันมีนิสัยเย่อหยิ่ง และมีความอยากได้อยากมีสถานะที่แรงกล้า ฉะนั้นการอยู่ในตำแหน่งผู้นำจะทำให้การสุขสำราญกับประโยชน์จากสถานะและการบีบคั้นผู้อื่นเป็นเรื่องง่ายสำหรับฉัน ฉันคิดว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับบทบาทผู้นำ ฉันกำลังแบ่งปันสถานการณ์ที่แท้จริงของฉันกับพวกคุณทุกคน คุณประเมินฉันได้ตามหลักธรรม” หลังจากพูดจบ ฉันรู้สึกสงบมาก สุดท้ายแล้ว พี่น้องชายหญิงเลือกพี่น้องหญิงคนอื่นสองคนเป็นผู้นำคริสตจักร และฉันได้รับเลือกให้เป็นมัคนายกข่าวประเสริฐ ฉันรู้สึกซาบซึ้งพระเจ้ามากและเต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดหัวใจ หลังจากนั้น ฉันก็มุ่งเรื่องงานข่าวประเสริฐของตัวเอง ผู้นำคริสตจักรสองคนเพิ่งจะเริ่มปฎิบัติ ดังนั้นเมื่อฉันสังเกตเห็นว่างานบางด้านของพวกเขาไม่เหมาะสม ฉันจะหยิบยกมันขึ้นมา และสามัคคีธรรมกับพวกเขาเพื่อปรับปรุงเรื่องนั้น ฉันรู้สึกว่าวิธีนี้ดี

ในอดีต เมื่อใดก็ตามที่ฉันเห็นคนที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำ ฉันจะเริ่มรู้สึกร้อนใจ โดยถือว่าการเป็นผู้นำเป็นเป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาของฉัน ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว ว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่จะทำให้คนเราได้รับความรอด การไล่ตามไขว่คว้าสถานะนั้นไร้ความหมาย ฉันได้เรียนรู้ที่จะละทิ้งความอยากได้อยากมีสถานะจากก้นบึ้งของหัวใจด้วย ไม่ว่าใครจะกลายเป็นผู้นำ ฉันสามารถปฏิบัติกับพวกเขาได้อย่างถูกต้อง ฉันเพียงอยากจะไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแน่วแน่ ลุล่วงหน้าที่ของตัวเองให้ดี และชูพระทัยของพระเจ้า

ก่อนหน้า: 54. เงินนำมาซึ่งความสุขจริงเหรอ?

ถัดไป: 58. ฉันได้เรียนรู้วิธีปฏิบัติต่อผู้คนอย่างถูกต้อง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger