54. เงินนำมาซึ่งความสุขจริงเหรอ?

ตอนผมอายุแปดขวบ ครอบครัวของผมประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ตั้งแต่นั้นมา ผมกับแม่ก็พึ่งพิงกันและกันเผื่อผ่านมาได้ และแม่ก็พาผมกลับไปที่บ้านของเราในชนบท ในตอนนั้นเราแร้นแค้นอย่างที่สุด คนอื่นๆ อาศัยอยู่ในบ้านหลายชั้น ขณะที่เราอาศัยอยู่แค่ในกระท่อมหลังคากระเบื้อง พวกเรายากจนมาก ผมอิจฉาคนอื่น และหวังว่าพอผมโตขึ้น ผมจะมีรายได้เยอะๆ เพื่อให้ผมกับแม่ได้มีความมั่นคงทางการเงิน เพื่อที่จะหาเงิน ผมจึงเรียนจบมัธยมปลายแล้วไม่ได้เรียนต่อ ย้อนกลับไปตอนนั้น พี่น้องอยากให้ผมเข้าร่วมคริสตจักรและใช้ชีวิตคริสตจักร แต่ผมกังวลว่าการชุมนุมจะขัดขวางการหาเงินของผม ผมยังเด็กมาก และในอนาคตจะต้องแต่งงานและหาเลี้ยงชีพ ผมจะต้องการเงินเพื่อทุกสิ่งที่ผมทำ ผมเลยปฏิเสธคำพูดและคำแนะนำดีๆ ของพี่น้อง และก้าวสู่เส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาเงิน ชื่อเสียง และผลประโยชน์อย่างเด็ดเดี่ยว

ผมทำงานก่อสร้างและยังทำงานเป็นพนักงานขนสัมภาระด้วย ต่อมาผมเรียนการตลาดและทำธุรกิจกับญาติบางคน ในที่สุด ธุรกิจก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และร้านเล็กๆ ที่เราเริ่มต้น ก็ขยายสู่บริษัทเล็กๆ ที่มีพนักงานราวสิบกว่าคนในเวลาเพียงไม่กี่ปี ผมกลายเป็นเจ้านายและทำเงินได้บ้างในตอนอายุยังน้อยขนาดนั้น สถานะทางการเงินของครอบครัวดีขึ้น ผมก็ซื้อบ้าน และครอบคลุมค่าใช้จ่ายพื้นฐานในชีวิตได้ทั้งหมด แม้ว่าผมหาเงินได้มากขึ้นเรื่อยๆ และชีวิตทางเนื้อหนังของผมก็พอใจ แต่กลายเป็นว่าผมไม่มีความสุขมากขึ้น เพื่อเห็นแก่การหาเงิน ผมต้องวางท่าแจ่มใสกับลูกค้า ประจบสอพลอพวกเขา และการโกหกกับการหลอกลวงก็กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผม ผมจะทำทุกอย่างเพื่อรับใช้ผลประโยชน์ของตนเอง และไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์เลยสักนิด แต่ก่อนผมเคยเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าบอกให้เราเป็นคนซื่อสัตย์ ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ มโนธรรมของผมก็รู้สึกผิดอย่างมาก ยิ่งกว่านั้น ทุกๆ วัน ผมทุ่มเทเวลาและพลังงานทั้งหมดให้กับธุรกิจนี้ รักษาอารมณ์และทัศนคติที่ดีกับลูกค้าอยู่เสมอ เวลาที่พวกเขาเรียกให้ผมไปจัดการบางอย่าง ผมจะจัดการทันทีราวกับกำลังตอบสนองต่อพระราชกฤษฎีกา แต่พอแม่อยากให้ผมช่วยท่านทำงานบ้านหรืออยากให้คุยกับท่าน ผมกลับบอกแม่เสมอว่าผมยุ่งและขอไม่ให้ท่านรบกวนผม ผมไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุม และแทบไม่ได้อธิษฐานเลย ภาวะของผมคือผู้ไม่มีความเชื่อที่ไร้ศรัทธาโดยสิ้นเชิง เพราะสายสัมพันธ์มีความสำคัญมากในธุรกิจ ทุกวันผมจึงคิดถึงวิธีคงความสัมพันธ์กับลูกค้าไว้ ไม่ว่าผมจะติดต่อธุรกิจกับใคร ตราบเท่าที่พวกเขานำพาผลประโยชน์มาให้ผมได้ ผมจะชมเชยพวกเขาและพูดจาหน้าไหว้หลังหลอกเพื่อเอาใจพวกเขา ผมรู้สึกสะอิดสะเอียนกับพฤติกรรมนี้ของตัวเอง ผมกลายเป็นคนหน้าซื่อใจคดและหลอกลวงมากขึ้น และมาถึงจุดที่ผมกำลังตีสองหน้าจริงๆ ผมเกลียดตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ และเกลียดวิธีการเอาชีวิตรอดนี้ด้วย

หลายปีให้หลัง เมื่อโควิดแพร่ระบาดทั่วประเทศ ผมติดเชื้อ และเจ็บปวดอย่างมากไปทั่วร่างกาย หลายชั่วโมงก่อนที่อาการจะเริ่ม ผมมีพลังงานเต็มเปี่ยม ยุ่งอยู่กับเรื่องธุรกิจต่างๆ แล้วจู่ๆ ผมก็ไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นยืน ผมนอนอยู่บนเตียง ปวดทรมานกล้ามเนื้อไปหมด แล้วหัวของผมก็รู้สึกเหมือนกำลังจะระเบิด เนื่องจากผมมีไข้สูงไม่ยอมลง ปากก็เลยแห้งแตก ผมอาเจียนและมีอาการท้องเสีย รู้สึกแย่มาก ราวกับว่าความตายอยู่ไม่ไกลนัก ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่ามนุษย์นั้นตัวเล็กและเปราะบางขนาดไหน ตอนนั้นผมเริ่มทบทวน คิดว่า “ฉันมีชีวิตอยู่แบบนี้ไปเพื่ออะไร?” เหตุการณ์ในอดีตปรากฏขึ้นมาทีละฉากในใจเหมือนคลิปจากหนัง แล้วผมก็คิดว่า “ทุกๆ วัน ฉันระดมสมองหาทางทำเงินมากขึ้น พ่นคำโกหก และหลอกผู้คน ฉันมีชีวิตเพียงเพื่อหาเงินและทำงานอย่างเอาเป็นเอาตายแบบนี้จริงเหรอ? ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเพื่อสนองความทะนงตนและความเคารพตนเองของฉัน เพื่อทำให้คนอื่นยกย่องฉันงั้นเหรอ? เพียงเพื่อระเริงไปกับอาหาร เครื่องดื่ม และความเพลิดเพลินงั้นเหรอ? นี่คือจุดประสงค์ในชีวิตของฉันเหรอ? ชีวิตของฉันประกอบไปด้วยแค่เรื่องพวกนี้เหรอ? ฉันจะตายแบบนี้จริงๆ เหรอ?” พอคิดอย่างนี้แล้ว ผมก็เต็มไปด้วยความสำนึกผิดอย่างสุดซึ้ง ผมเสียใจที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าอย่างถูกควรและใช้ชีวิตคริสตจักรตั้งแต่แรกเริ่ม ผมเสียใจมาก และไม่เต็มใจที่จะตายแบบนี้ ผมนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่เคยอ่านในอดีต “ความวิบัติทุกลักษณะจะบังเกิดขึ้นตามติดกันมา  ประชาชาติและสถานที่ทั้งหมดจะประสบหายนะ นั่นคือ ภัยพิบัติ การกันดารอาหาร  น้ำท่วม ภัยแล้ง และแผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง  ความวิบัติเหล่านี้ไม่ได้กำลังเกิดขึ้นเพียงแค่หนึ่งหรือสองที่เท่านั้น อีกทั้งความวิบัติเหล่านี้จะไม่จบลงภายในหนึ่งหรือสองวัน ในทางกลับกัน ความวิบัติเหล่านี้จะขยายไปทั่วเป็นบริเวณที่กว้างขึ้นทุกที และกลายเป็นรุนแรงมากขึ้นทุกที  ในช่วงระหว่างเวลานี้ ทุกรูปแบบของภัยพิบัติจากแมลงจะเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า และปรากฏการณ์คนกินเนื้อคนจะบังเกิดขึ้นทุกที่  นี่คือการพิพากษาของเราต่อประชาชาติและกลุ่มประชาชนทั้งหมด(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 65)  “ผู้คนใช้ชีวิตหมดไปกับการไล่ล่าเงินทองและชื่อเสียง พวกเขากอดรัดกองฟางเหล่านี้ไว้แนบอก พลางคิดว่าพวกมันเป็นวิถีทางเดียวแห่งการค้ำจุนของพวกเขา ราวกับว่าพวกเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ตลอดไปได้ด้วยการมีสิ่งเหล่านี้ ได้รับการยกเว้นจากความตาย  แต่ในยามที่พวกเขากำลังจะตายแล้วเท่านั้นที่พวกเขาตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้อยู่ห่างไกลจากพวกเขาเพียงใด พวกเขาอ่อนแอขนาดไหนยามที่เผชิญหน้ากับความตาย พวกเขาแตกสลายได้ง่ายขนาดไหน พวกเขาเปลี่ยวดายและอับจนหนทางเพียงไร โดยไม่มีที่ใดให้หันหน้าไปพึ่งพา  พวกเขาตระหนักว่า ชีวิตไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินทองหรือชื่อเสียง ว่าไม่ว่าบุคคลหนึ่งอาจอุดมด้วยโภคทรัพย์เพียงใด ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งขนาดไหน ทุกคนล้วนยากจนและไร้ความสำคัญอย่างเท่าเทียมกันเมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย  พวกเขาตระหนักว่า เงินไม่สามารถซื้อชีวิตได้ ว่าชื่อเสียงไม่สามารถลบความตายได้ ว่าทั้งเงินทองและชื่อเสียงไม่สามารถยืดชีวิตคนเราได้แม้แต่นาทีเดียว วินาทีเดียว  ยิ่งผู้คนรู้สึกเช่นนี้มากขึ้นเท่าใด ผู้คนก็ยิ่งโหยหาที่จะรักษาชีวิตไว้มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งผู้คนรู้สึกในหนทางนี้มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งหวาดหวั่นในการย่างกรายเข้ามาใกล้ของความตายมากขึ้นเท่านั้น  มีเพียงที่จุดนี้เท่านั้นที่พวกเขาตระหนักอย่างแท้จริงว่า ชีวิตของพวกเขาไม่ได้เป็นของพวกเขา ไม่ใช่พวกเขาที่จะเป็นผู้ควบคุม และตระหนักว่า คนเราไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าคนเราจะอยู่หรือตาย—ว่าทั้งหมดนี้อยู่นอกการควบคุมของคนเรา(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3)  ที่จริง แต่ก่อนผมเคยอ่านพระวจนะเหล่านี้มาหลายครั้งแล้ว แม้ว่าผมจะกลัวภัยพิบัติทั้งหลาย แต่ตราบใดที่มันไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง ผมก็มักจะรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นค่อนข้างไกลตัว แล้วเดินหน้าไล่ตามเสาะหาความมั่งคั่งและชีวิตตามที่ต้องการอย่างที่เคยทำมา ตอนนี้ ผมกำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยความเจ็บปวดทั่วทั้งตัว จนปัญญา และตอนนั้นเองผมจึงเข้าใจว่า แม้ความมั่งคั่งจะทำให้ผู้คนเพลิดเพลินทางวัตถุได้บ้าง แต่กลับไม่มีประโยชน์เลยจริงๆ เมื่อต้องเจอกับโควิด ในที่สุดผมก็ตระหนักว่า ผมนั้นช่างไม่รู้ความและตาบอดจริงๆ ผมดื้อแพ่งมาก! เมื่อตั้งใจพิจารณาแล้ว แม้ว่าผมจะเชื่อในพระเจ้า แต่ผมก็เพิกเฉยต่อพระวจนะของพระองค์โดยสิ้นเชิง และไม่เคยหยุดการไล่ตามเสาะหาความมั่งคั่ง ชื่อเสียง และผลประโยชน์ นี่เป็นท่าทีที่แท้จริงของผมต่อพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ พอติดโควิดเท่านั้นที่ผมเริ่มทบทวนตนเอง ผมนึกถึงสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าได้สิ่งของหมดทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน? หรือคนนั้นจะนำอะไรไปแลกชีวิตของตนกลับคืนมา?(มัทธิว 16:26)  ในที่สุดผมก็มีความเข้าใจด้วยตัวเองนิดหน่อยเกี่ยวกับความหมายของพระวจนะเหล่านี้ คนเราใช้เงินซื้อชีวิตไม่ได้จริงๆ! ผมพลิกตัวบนเตียงได้สำเร็จและคุกเข่าลงเพื่ออธิษฐาน “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ข้าพระองค์ไม่รู้ความและตาบอดเหลือเกิน ข้าพระองค์มีแต่ต้องโทษตัวเองเท่านั้นที่มาถึงจุดนี้ในชีวิต พระองค์ได้ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดมาตลอด โดยให้พี่น้องเชิญชวนให้เข้าร่วมใช้ชีวิตคริสตจักรหลายครั้ง แต่ข้าพระองค์ไม่เคยต้องการที่จะยอมรับ และปฏิเสธความรอดของพระองค์ พระเจ้า ข้าพระองค์รู้สึกเสียใจมาก ตอนนี้ข้าพระองค์เข้าใจแล้วว่าเงินไม่สามารถซื้อสุขภาพหรือซื้อชีวิตได้ ข้าพระองค์ไล่ตามเสาะหาเงินมาตลอด ต้องการใช้เงินเพื่อปรับปรุงชีวิตของตัวเอง แต่เพื่อที่จะหาเงิน ข้าพระองค์ใช้ชีวิตด้วยความเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและอารมณ์ และเกือบจะทำให้ข้าพระองค์หมดแรงแล้ว ข้าพระองค์ไม่อยากมีชีวิตอย่างเจ็บปวดแบบนี้ต่อไปแล้ว ข้าพระองค์ไม่อยากดำเนินชีวิตเหมือนคนหน้าซื่อใจคดในสภาพแวดล้อมของการหลอกลวงกันเอง ซึ่งเต็มไปด้วยการโกงและการโกหกอีกต่อไปแล้ว พระเจ้า โปรดทรงยกโทษให้ข้าพระองค์ และให้ข้าพระองค์มีโอกาสอีกครั้งหนึ่ง โปรดทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดด้วยเถิด!” ผมอธิษฐานและกลับใจด้วยวิธีนี้ แม้ว่าความเจ็บปวดทางกายจะไม่ลดลงสักนิด แต่ขณะนั้น หัวใจของผมรู้สึกอบอุ่นราวกับเด็กขดตัวอยู่ในอ้อมอกของพ่อแม่

วันรุ่งขึ้น แม่ของผมได้ข่าวว่าผมติดเชื้อเลยเข้ามาดูแลผม ท่านอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หลายบทตอนให้ผมฟัง และบางส่วนก็ทำผมประทับใจลึกซึ้ง  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ซาตานใช้ชื่อเสียงและผลตอบแทนควบคุมความคิดของมนุษย์ จนกระทั่งทั้งหมดที่ผู้คนสามารถนึกถึงได้ก็คือชื่อเสียงและผลตอบแทน  พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน ทนทุกข์จากความยากลำบากทั้งหลายเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน สู้ทนความอัปยศอดสูเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน พลีอุทิศทุกสิ่งที่พวกเขามีเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน และพวกเขาจะทำการวินิจฉัยหรือการตัดสินใจอันใดก็เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและผลตอบแทน  ซาตานผูกมัดผู้คนเข้ากับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นก็ด้วยวิธีนี้ และเมื่อใส่โซ่ตรวนเหล่านี้แล้ว พวกเขาก็ไม่มีทั้งความเข้มแข็งและความกล้าที่จะขว้างพวกมันออกไป  พวกเขาแบกโซ่ตรวนเหล่านี้ไว้โดยที่ไม่รู้ตัว และเดินต่อไปข้างหน้าด้วยความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวง  เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและผลตอบแทนนี้ มนุษย์หลบเลี่ยงพระเจ้าและทรยศพระองค์และกลายเป็นเลวทรามยิ่งขึ้นทุกที  ดังนั้น คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าจึงถูกทำลายในท่ามกลางชื่อเสียงและผลตอบแทนของซาตานด้วยวิธีนี้นี่เอง(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6)  “‘เงินทำให้โลกหมุนไป’ เป็นปรัชญาหนึ่งของซาตาน มันแพร่หลายไปท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งหมด ในทุกสังคมมนุษย์ เจ้าสามารถกล่าวได้ว่ามันเป็นกระแสนิยมอย่างหนึ่ง  นี่เป็นเพราะมันถูกปลูกฝังอยู่ในหัวใจของทุกคนที่ไม่ได้ยอมรับคำกล่าวนี้แต่แรก แต่ต่อมากลับให้การยอมรับมันโดยปริยายเมื่อพวกเขาเข้ามาติดต่อสัมพันธ์กับชีวิตจริง และเริ่มที่จะรู้สึกว่าอันที่จริงแล้วคำพูดเหล่านี้จริงแท้  นี่ไม่ใช่กระบวนการที่ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามหรอกหรือ?  บางทีผู้คนอาจไม่เข้าใจคติพจน์นี้ในระดับเดียวกัน แต่ทุกคนก็มีระดับการตีความและการยอมรับคติพจน์ที่แตกต่างกันไปโดยมีพื้นฐานมาจากสิ่งทั้งหลายที่ได้เกิดขึ้นรอบตัวพวกเขาและจากประสบการณ์ส่วนบุคคลของพวกเขาเอง  นั่นไม่ใช่กรณีนี้หรอกหรือ?  ไม่ว่าใครบางคนจะมีประสบการณ์กับคติพจน์นี้มากเพียงใด ผลด้านลบใดหรือที่มันสามารถมีต่อหัวใจของใครบางคนได้?  บางสิ่งบางอย่างถูกเปิดเผยโดยผ่านทางอุปนิสัยแบบมนุษย์ของผู้คนในพิภพนี้ รวมถึงพวกเจ้าแต่ละคน  นี่คือสิ่งใด?  มันคือการบูชาเงิน  มันยากที่จะลบเรื่องนี้ออกไปจากหัวใจของใครบางคนใช่หรือไม่?  มันยากมาก!  ดูเหมือนว่าการทำให้มนุษย์เสื่อมทรามของซาตานจะลึกซึ้งจริงๆ!  ซาตานใช้เงินทองมาทดลองผู้คน และทำให้พวกเขาเสื่อมทรามจนบูชาเงินตราและเทิดทูนวัตถุสิ่งของ  แล้วการบูชาเงินตรานี้สำแดงในตัวผู้คนอย่างไร?  พวกเจ้ารู้สึกว่าพวกเจ้าไม่สามารถอยู่รอดในพิภพนี้ได้โดยปราศจากเงินเลย ว่าแม้แต่วันหนึ่งที่ปราศจากเงินก็คงจะเป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่?  สถานะของผู้คนขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีเงินมากเพียงใด เช่นเดียวกับความนับถือที่พวกเขาอยากได้มา  หลังของคนยากจนก้มโค้งด้วยความอดสู ในขณะที่คนมั่งคั่งชื่นชมสถานที่สูงส่งของพวกเขา  พวกเขาเชิดและเย่อหยิ่ง พูดเสียงดังและดำรงชีวิตอย่างโอหัง  คติพจน์และกระแสนิยมนี้นำพาสิ่งใดมาสู่ผู้คนหรือ?  จริงหรือไม่ที่ผู้คนมากมายทำการพลีอุทิศทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินตรา?  ผู้คนมากมายไม่ได้สูญเสียศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของพวกเขาไปในการไล่ตามเสาะหาเงินตราที่มากขึ้นหรอกหรือ?  ผู้คนมากมายไม่ได้สูญเสียโอกาสในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาและติดตามพระเจ้าไปเพื่อประโยชน์ของเงินหรอกหรือ?  การสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความจริงและได้รับการช่วยให้รอดไม่ใช่การสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้คนหรอกหรือ?  ซาตานไม่ส่อแววร้ายหรอกหรือที่ใช้วิธีการนี้และคติพจน์นี้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามถึงระดับเช่นนั้น?  นี่ไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมที่คิดร้ายหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 5)  เมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้ว ผมก็รู้สึกว่าแต่ละประโยคนั้นเป็นความจริง พระวจนะที่พระองค์ตรัสนั้นถูกต้องมาก และปวดร้าวถึงส่วนลึกของหัวใจผม ผมเป็นเหมือนกับสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงเปิดโปง นั่นคือ บูชาเงินอยู่เสมอ ทำตามแนวคิดที่ว่า “เงินอยู่เหนือทุกสิ่ง” ผมเชื่อว่าถ้ามีเงิน ผมก็จะมีทุกอย่าง และใช้ชีวิตแบบชนชั้นสูงได้ ดำเนินชีวิตตามความพอใจ และได้รับการยกย่องจากผู้อื่น ขณะที่ถ้าไม่มีเงิน ผมก็ทำอะไรไม่ได้ จากสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปง ผมเห็นความมุ่งร้ายและเจตนาอันน่ารังเกียจของซาตาน ซาตานใช้เงิน ชื่อเสียง และผลประโยชน์มาควบคุมจิตใจของผม ทำให้ผมหลงลึกภายในสิ่งเหล่านี้ และเปลี่ยนการไล่ล่าเงินให้เป็นเป้าหมายและทิศทางที่ผมไล่ตามเสาะหาในชีวิต ด้วยเหตุนั้นผมก็เลยหลบเลี่ยงและทรยศพระเจ้า และกลายเป็นคนหลอกลวง เลวร้าย และละโมบมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ในที่สุดผมก็จะถูกทำลายล้างไปพร้อมกับซาตาน แต่ก่อน ผมดำเนินชีวิตตามแนวคิดที่ซาตานปลูกฝังในตัวผมมาตลอด จิตใจของผมมุ่งหมายแต่เงิน ชื่อเสียง และผลประโยชน์เท่านั้น ผมเชื่อว่าคนเราไม่มีเงินก็ทำอะไรไม่ได้ และผู้ที่มีเงินก็เพลิดเพลินกับชีวิตที่ดีขึ้นได้และทำให้คนอื่นยกย่องตัวเองได้ ความเชื่อที่ดูเหมือนเรียบง่ายนี้ผูกมัดผมไว้ด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น ทำให้ผมอยู่ภายใต้การควบคุมของซาตานอย่างหนักแน่น ไม่มีความกล้าหาญที่จะดิ้นรนเป็นอิสระสักนิด นี่คือวิธีที่ผมถูกซาตานหลอกและทำให้เสื่อมทราม เพื่อเห็นแก่เงิน ชื่อเสียง และผลประโยชน์ ผมจึงกลายเป็นคนปลีกตัวและใจร้าย ทำสิ่งต่างๆ ด้วยทุกวิถีทาง เต็มไปด้วยการโกหกและการคดโกง ผมไม่ได้ดำเนินชีวิตเหมือนมนุษย์เลยสักนิด หลังจากได้เงินมาบ้างแล้ว ผมก็เที่ยวไปทั่ว ด้วยความอยากบรรเทาความเจ็บปวด ในความเป็นจริง นี่เป็นเพียงวิธีทำให้ตัวเองไร้ความรู้สึกชั่วคราว แม้ว่าผมจะทุ่มเทพลังงานและเวลาทั้งหมดไปกับการทำงาน โดยต้องการให้การทุ่มเทนี้ทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่ผมก็ไม่มีวันสลัดความว่างเปล่าที่รู้สึกภายในได้ เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่ปลุกใจผม ผมเริ่มตั้งใจตรวจสอบการไล่ตามเสาะหาของตัวเอง และผมไม่อยากเอาแต่ไล่ตามเสาะหาเงิน ชื่อเสียง และผลประโยชน์อยู่เรื่อยไป สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีพลังไร้ขีดสุดอย่างที่ผมจินตนาการไว้ พอผมนอนอยู่บนเตียง ลุกขึ้นไม่ได้ ความเพลิดเพลินทางวัตถุและเงินก็ล้วนดูไม่สำคัญ เงินช่วยชีวิตมนุษย์ให้รอดไม่ได้ และนั่นไม่ใช่รากของการดำรงอยู่ของมนุษย์ เงินไม่ได้ปลดปล่อยผู้คนจากความเจ็บปวด

จากนั้นผมก็เริ่มแสวงหา ว่าผมควรไล่ตามเสาะหายังไงเพื่อดำเนินชีวิตให้มีคุณค่าและมีความหมาย ในตอนนั้น ผมอ่านพระวจนะของพระเจ้า “ในฐานะใครคนหนึ่งที่ปกติและไล่ตามเสาะหาความรักแด่พระเจ้า การเข้าสู่ราชอาณาจักรเพื่อกลายเป็นหนึ่งในประชากรของพระเจ้าคืออนาคตที่แท้จริงของพวกเจ้า และเป็นชีวิตที่มีคุณค่าและมีนัยสำคัญมากที่สุด ไม่มีผู้ใดได้รับพรมากไปกว่าพวกเจ้า  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  เพราะพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อเนื้อหนัง และพวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อซาตาน แต่วันนี้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า และมีชีวิตอยู่เพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  นี่จึงเป็นเหตุผลที่เรากล่าวว่าชีวิตของพวกเจ้ามีนัยสำคัญมากที่สุด  เฉพาะผู้คนกลุ่มนี้ซึ่งพระเจ้าทรงเลือกสรรแล้วเท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตที่มีนัยสำคัญมากที่สุด นั่นคือ ไม่มีใครอีกเลยในแผ่นดินโลกที่สามารถใช้ชีวิตที่มีคุณค่าและมีความหมายเช่นนี้ได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, รู้จักพระราชกิจใหม่ล่าสุดของพระเจ้าและติดตามรอยพระบาทของพระองค์)  “ไม่ว่าคนเราปฏิบัติหน้าที่ใด นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ถูกที่ควรที่พวกเขาสามารถทำได้ เป็นสิ่งที่สวยงามและยุติธรรมที่สุดท่ามกลางมวลมนุษย์  ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ผู้คนควรที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน และเมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระผู้สร้าง  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างใช้ชีวิตภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง และพวกเขายอมรับทั้งหมดที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงควรลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันทั้งหลายของตน  นี่เป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ รวมทั้งถูกพระเจ้าลิขิตเอาไว้  จากการนี้จะเห็นได้ว่า การที่ผู้คนปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างย่อมยุติธรรม สวยงาม และสูงส่งกว่าสิ่งอื่นใดที่ทำกันระหว่างดำรงชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ ไม่มีสิ่งใดท่ามกลางมวลมนุษย์ที่เปี่ยมความหมายหรือควรค่ายิ่งกว่า และไม่มีสิ่งใดนำพาความหมายและคุณค่ามาสู่ชีวิตของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  บนแผ่นดินโลก มีเพียงกลุ่มคนที่ปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างแท้จริงและจริงใจเท่านั้นที่เป็นบรรดาผู้ที่นบนอบพระผู้สร้าง  กลุ่มนี้ไม่ทำตามกระแสนิยมทางโลก พวกเขานบนอบการความเป็นผู้นำและการทรงนำของพระเจ้า รับฟังพระวจนะของพระผู้สร้าง ยอมรับความจริงที่พระผู้สร้างทรงแสดง และใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระผู้สร้างเท่านั้น  นี่คือคำพยานที่แท้จริงที่สุดและก้องกังวานที่สุด และเป็นคำพยานที่ดีที่สุดแห่งการเชื่อในพระเจ้า  การที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างสามารถลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง สามารถทำให้พระผู้สร้างพึงพอพระทัย ย่อมเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดท่ามกลางมวลมนุษย์ และเป็นบางสิ่งที่ควรเผยแผ่ในฐานะเรื่องราวที่จะได้รับการสรรเสริญจากผู้คนทั้งหมด  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรยอมรับทุกสิ่งที่พระผู้สร้างไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขาทำอย่างไม่มีเงื่อนไข สำหรับมวลมนุษย์แล้ว นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับทั้งความสุขและสิทธิประโยชน์ และสำหรับบรรดาคนที่ลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดสวยงามหรือควรค่าแก่การฉลองรำลึกยิ่งไปกว่านี้แล้ว—นั่นเป็นบางสิ่งที่เป็นบวก(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่เจ็ด))  ผมพบทิศทางในชีวิตโดยการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมเข้าใจว่าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง คนเราควรมีชีวิตเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริง เพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า และเพื่อให้ได้รับความเห็นชอบจากพระผู้สร้าง ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง คนเราควรเริ่มทำหน้าที่และบรรลุความรับผิดชอบของตัวเอง ไม่มีอะไรมีค่าหรือมีความหมายไปกว่านี้แล้ว การติดตามซาตานและไล่ตามเสาะหาเงิน ชื่อเสียง และผลประโยชน์ ไม่ใช่แค่จะไม่ได้รับความสุขที่แท้จริงเท่านั้น แต่พวกเขาก็จะเห็นแก่ตัวและโลภมากขึ้นด้วย สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะถูกซาตานจับตัวไปโดยสมบูรณ์และตกอยู่ในความเจ็บปวดอันไม่สิ้นสุด ตอนนี้ พระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าใกล้จะจบลงแล้ว ถ้าผมยังคว้าโอกาสเชื่อในพระเจ้าอย่างถูกควรนี้ไม่ได้ ผมก็โง่เกินไปจริงๆ ผมไม่อยากเป็นอันตรายจากแนวคิดที่ซาตานปลูกฝังในตัวผมอีกต่อไป แล้วผมก็ตัดสินใจหนีจากชีวิตแห่งความเจ็บปวดนี้ ในวันที่สามที่ผมนอนบนเตียง ผมยังมีไข้อยู่ แต่ก็ไม่ได้เจ็บปวดมากนัก ผมบอกกับแม่ว่า “ผมอยากไปร่วมการชุมนุม” ไม่นานผมก็เริ่มใช้ชีวิตคริสตจักร แล้วผมก็ขอบคุณพระเจ้าอยู่ในหัวใจ พระเจ้าให้โอกาสผมกลับไปยังพระนิเวศของพระองค์อีกครั้ง และผมต้องถนอมโอกาสนี้อย่างถูกควร ผมละเลยที่จะดำเนินชีวิตตามเจตนารมณ์ของพระองค์ไม่ได้

ยังไงก็ตาม ผมยังมีภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ตรงหน้า ผมมีลูกค้าเก่าแก่ในธุรกิจของผม และแม้ว่าผมจะไม่ได้พยายามอย่างเอาเป็นเอาตายในการขยายธุรกิจอีกแล้ว ผมก็ยังคงทุ่มเทพลังงานไปกับธุรกิจนี้ ผมไม่สบายใจระหว่างการชุมนุม สงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าไม่ได้ พอจบการชุมนุม ผมก็จะหยิบโทรศัพท์ออกมา และเห็นแต่สายที่ไม่ได้รับกับข้อความจากลูกค้า ในการชุมนุมแต่ละครั้ง ผมต้องเผชิญกับการก่อกวนทุกประเภท จำได้ว่าครั้งหนึ่งที่ผมกำลังเดินทางไปชุมนุม แล้วผมต้องรับโทรศัพท์กะทันหันจากลูกค้าที่ต้องการสินค้าบางอย่างโดยด่วน ผมเกือบจะถึงสถานที่ที่เราชุมนุมกันแล้ว แต่ด้วยการยอมให้กับความกดดันของลูกค้า ผมเลยไปสถานที่ชุมนุมแล้วแจ้งพี่น้องว่ามีเรื่องบางอย่างเข้ามา แล้วก็รีบออกไป ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้รบกวนการชุมนุมมากเกินไป และอยากปล่อยมือจากธุรกิจ แต่ผมก็มีความขัดแย้งกันมาก เมื่อก่อนผมพบกับลูกค้าตลอดทั้งวัน อยากรักษาความสัมพันธ์ของผมกับพวกเขาด้วยทุกวิธีที่จำเป็น ถ้าผมหยุดตอนนี้และเสียความพยายามก่อนหน้านี้ทั้งหมดไป ก็คงจะน่าเสียดายจริงๆ ผมอยากไปร่วมการชุมนุม แต่ก็ปล่อยเงินไปไม่ได้ ผมก็เลยอธิษฐานต่อพระเจ้าและขอให้พระองค์ทรงช่วยชี้ทางออกให้ผมด้วย

วันหนึ่ง ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง ความว่า “หากเราจะวางเงินจำนวนหนึ่งตรงหน้าพวกเจ้าตอนนี้ และให้พวกเจ้ามีอิสระในการเลือก—และหากเราไม่กล่าวโทษพวกเจ้าเนื่องจากตัวเลือกของพวกเจ้า—เมื่อนั้น พวกเจ้าส่วนใหญ่คงจะเลือกเงินและละทิ้งความจริง  คนที่ดีกว่าในหมู่พวกเจ้าคงจะยอมละทิ้งเงินและเลือกความจริงอย่างลังเล ในขณะที่ผู้ที่อยู่ระหว่างกลางคงจะหยิบฉวยเงินไว้ในมือข้างหนึ่งและความจริงไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง  เช่นนั้นแล้ว ธาตุแท้ของพวกเจ้าจะไม่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดหรอกหรือ?  เมื่อต้องเลือกระหว่างความจริงและสิ่งใดก็ตามที่พวกเจ้าจงรักภักดี พวกเจ้าจะเลือกตัวเลือกนี้กันทุกคน และทัศนคติของพวกเจ้าก็จะยังคงเป็นเหมือนเดิม  ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ?  มีผู้คนไม่มากนักในหมู่พวกเจ้าที่ได้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างถูกและผิดมิใช่หรือ?  ในการสู้รบกันทั้งหมดระหว่างด้านบวกกับด้านลบ ดำและขาว ระหว่างครอบครัวกับพระเจ้า ลูกๆ กับพระเจ้า การสามัคคีกับการแตกแยก ความร่ำรวยกับความยากจน สถานภาพกับความธรรมดาสามัญ การได้รับการสนับสนุนกับการถูกทิ้งขว้าง เป็นต้น  พวกเจ้าตระหนักรู้อย่างแน่นอนถึงตัวเลือกที่พวกเจ้าได้เลือกระหว่างครอบครัวที่สามัคคีกับครอบครัวที่แตกแยก พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรก และเลือกเช่นนั้นโดยไม่ลังเล  ระหว่างความร่ำรวยและหน้าที่ พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรกอีกครั้ง และยิ่งขาดความตั้งใจที่จะกลับเข้าฝั่ง ระหว่างความหรูหราฟุ่มเฟือยกับความยากจน พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรก เมื่อต้องเลือกระหว่างบุตรชาย บุตรสาว ภรรยาและสามีของพวกเจ้ากับเรา พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรก  และระหว่างมโนคติอันหลงผิดกับความจริง พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรกอีกครั้งหนึ่ง  เมื่อได้เผชิญกับการกระทำอันชั่วร้ายทั้งหลายในทุกรูปแบบของพวกเจ้า เราก็เพียงหมดความเชื่อมั่นในตัวพวกเจ้าแล้วเท่านั้น  เราเพียงประหลาดใจเท่านั้นที่หัวใจของพวกเจ้าช่างไม่สามารถถูกทำให้อ่อนลงได้  ทุกหยาดหยดจากหทัยที่เราได้สละมาหลายปีช่างน่าประหลาดใจที่ไม่ได้นำพาอะไรมาให้เรามากไปกว่าการทอดทิ้งและการลาออกของพวกเจ้า แต่ความหวังของเราที่มีต่อพวกเจ้าเติบโตไปพร้อมกับแต่ละวันที่ผ่านไป เนื่องจากวันของเราได้ถูกแผ่วางต่อหน้าทุกคนอย่างสมบูรณ์แล้ว  กระนั้น พวกเจ้าก็ยังยืนกรานที่จะแสวงหาสิ่งที่มืดมนและชั่วร้ายทั้งหลาย และปฏิเสธที่จะคลายมือของเจ้าที่ยึดจับสิ่งเหล่านั้นไว้  เช่นนั้นแล้ว จุดจบของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร?  พวกเจ้าเคยให้การคิดคำนึงถึงเรื่องนี้อย่างรอบคอบหรือไม่?  หากพวกเจ้าถูกขอให้เลือกอีกครั้ง แล้วจุดยืนของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร?  มันจะยังคงเป็นอย่างแรกอยู่อีกหรือไม่?  พวกเจ้ายังจะนำความผิดหวังและความโศกเศร้าที่น่าเวทนามาสู่เราอยู่หรือไม่?  หัวใจของพวกเจ้ายังจะมีความอบอุ่นอันน้อยนิดเพียงอย่างเดียวอยู่หรือไม่?  พวกเจ้ายังจะไม่ตระหนักรู้ว่าต้องทำอะไรเพื่อชูใจเราอยู่หรือไม่?  ณ เวลานี้ พวกเจ้าจะเลือกอะไร?  เจ้าจะนบนอบต่อวจนะของเราหรือจะรังเกียจวจนะเหล่านั้น?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าจงรักภักดีต่อใคร?)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ผมตระหนักว่าดังที่พระเจ้าตรัสไว้ ผมเป็นคนที่มือคว้าเงินไว้ข้างหนึ่งและคว้าความจริงไว้อีกข้าง แม้ผมจะเห็นชัดเจนแล้วว่าเงินช่วยชีวิตมนุษย์ให้รอดไม่ได้ ว่าเงินไม่ใช่รากของการดำรงอยู่ของมนุษย์ และปลดปล่อยผู้คนจากความเจ็บปวดไม่ได้ แต่ผมก็ยังทนต่อการทดลองของมันไม่ได้ พอผมมีธุระรอให้ทำซึ่งตรงกับเวลาชุมนุม ผมจัดให้เงินมาก่อนและเลือกตัวเลือกที่ถูกไม่ได้ ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนดื้อรั้นและไร้สำนึกมากเหรอ? ผมเป็นเหมือนกับที่พระวจนะของพระเจ้าทรงเปิดโปงว่า “กระนั้น พวกเจ้าก็ยังยืนกรานที่จะแสวงหาสิ่งที่มืดมนและชั่วร้ายทั้งหลาย และปฏิเสธที่จะคลายมือของเจ้าที่ยึดจับสิ่งเหล่านั้นไว้” หัวใจของผมดื้อแพ่งและเอาแต่ใจมาก ผมไม่เข้าใจความเอาใจใส่ของพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย และผมก็ไม่เข้าใจอย่างครบถ้วนว่าพระเจ้าทรงยืนหยัดรอมนุษย์ยังไง ผมอยากจะเชื่อในพระเจ้าอย่างถูกควร ผมละเลยที่จะดำเนินชีวิตตามเจตนารมณ์ของพระองค์มากไปกว่านั้นไม่ได้ แต่ผมรู้ว่าวุฒิภาวะของผมนั้นน้อย ผมผ่านเรื่องนี้ด้วยตัวเองไม่ได้ ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเร่งด่วน “พระเจ้า! ข้าพระองค์อยากหลุดพ้นจากชีวิตนี้ ข้าพระองค์ยุ่งกับการทำงานและหาเงินทั้งวัน และอ่านพระวจนะของพระองค์และชุมนุมอย่างสงบไม่ได้ การดำเนินชีวิตเช่นนี้ส่งผลร้ายแรงต่อชีวิตคริสตจักรของข้าพระองค์ พระเจ้า โปรดทรงแสดงทางออกให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด ข้าพระองค์อยากเปลี่ยนแปลงจริงๆ โปรดประทานความเชื่อและกำลังแก่ข้าพระองค์เพื่อหลุดพ้นจากชีวิตแห่งความเจ็บปวดนี้ด้วยเถิด”

ต่อมาระหว่างชุมนุม ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอน ที่ทำให้ผมตื้นตันใจมาก  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ดวงตาที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและอคติต่อผู้อื่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนหนุ่มสาวควรมี และผู้คนหนุ่มสาวไม่ควรดำเนินการกระทำในเชิงทำลายล้างน่าสะอิดสะเอียน  พวกเขาไม่ควรปราศจากความมุ่งมาดปรารถนา แรงขับเคลื่อน และความอยากแบบมีใจกระตือรือร้นที่จะทำให้ตนเองดีขึ้น พวกเขาไม่ควรท้อแท้เกี่ยวกับความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ และพวกเขาไม่ควรสูญเสียความหวังในชีวิตหรือความมั่นใจในอนาคต พวกเขาควรมีความเพียรพยายามที่จะดำเนินต่อไปตามหนทางแห่งความจริงที่บัดนี้พวกเขาได้เลือกแล้ว—เพื่อตระหนักถึงความปรารถนาของพวกเขาที่จะสละทั้งชีวิตของพวกเขาเพื่อเรา  พวกเขาไม่ควรอยู่โดยปราศจากความจริง อีกทั้งพวกเขาไม่ควรเก็บงำความหน้าซื่อใจคดและความไม่ชอบธรรม—พวกเขาควรตั้งมั่นในจุดยืนที่เหมาะสม  พวกเขาไม่ควรล่องลอยตามไปเฉยๆ แต่ควรมีจิตวิญญาณที่กล้าที่จะทำการพลีอุทิศและดิ้นรนต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและความจริง  ผู้คนหนุ่มสาวควรมีความกล้าหาญที่จะไม่ยอมจำนนต่อการบีบคั้นโดยกำลังบังคับแห่งความมืดและที่จะแปลงสภาพนัยสำคัญแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขา  ผู้คนอ่อนเยาว์ไม่ควรยอมรับความทุกข์ยากด้วยความไม่เต็มใจ แต่ควรเปิดกว้างและเปิดเผยจริงใจ ด้วยจิตวิญญาณแห่งการให้อภัยสำหรับพี่น้องชายหญิงของพวกเขา… อย่างยิ่งผู้คนหนุ่มสาวไม่ควรปราศจากความแน่วแน่ที่จะนำวิจารณญาณมาใช้ในประเด็นปัญหาทั้งหลาย และที่จะแสวงหาความยุติธรรมและความจริง  พวกเจ้าควรไล่ตามเสาะหาทุกสรรพสิ่งที่งดงามและดีงาม และพวกเจ้าควรได้รับความเป็นจริงของสิ่งที่เป็นบวกทั้งหมด  เจ้าควรมีความรับผิดชอบต่อชีวิตของเจ้า และเจ้าต้องไม่ใช้ชีวิตอย่างไม่เอาใจใส่(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะสำหรับผู้เยาว์และผู้สูงวัย)  “จงตื่นเถิด พี่ชายน้องชายทั้งหลาย!  จงตื่นเถิด พี่สาวน้องสาวทั้งหลาย!  วันของเราจะไม่ถูกทำให้ล่าช้า เวลาคือชีวิต และการยึดเวลากลับมาก็คือการช่วยชีวิตให้รอด!  เวลาอยู่ไม่ไกลแล้ว!  หากพวกเจ้าล้มเหลวในการสอบเข้าวิทยาลัย พวกเจ้าสามารถเรียนและสอบซ้ำได้หลายครั้งตามที่เจ้าเห็นชอบ  อย่างไรก็ดี วันของเราจะไม่ทนกับความล่าช้าอีกต่อไป  จงจำไว้!  จงจำไว้!  เรารบเร้าเจ้าด้วยวจนะดีๆ เหล่านี้  บทอวสานของโลกเปิดเผยคลี่คลายออกมาต่อหน้าต่อตาของพวกเจ้า และความวิบัติอันใหญ่หลวงก็เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว  สิ่งใดสำคัญกว่า: ชีวิตของพวกเจ้า หรือการนอนหลับของพวกเจ้า อาหารและเครื่องดื่มและเสื้อผ้าของพวกเจ้า?  ถึงเวลาที่พวกเจ้าต้องชั่งน้ำหนักสิ่งเหล่านี้แล้ว(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 30)  อ่านพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้แล้ว ผมก็ซาบซึ้งใจมากแล้วคิดว่า “ฉันพลาดโอกาสไปหลายครั้งแล้ว และผมจะไม่ได้เวลานั้นกลับมาอีก ปัจจุบันนี้ สถานการณ์ในทุกประเทศกำลังปั่นป่วน ด้วยแผ่นดินไหว สงคราม โรคระบาด และภัยพิบัติอื่นๆ ทั้งทางธรรมชาติและมนุษย์สร้างขึ้น ที่เกิดขึ้นไม่หยุด ฉันจะไม่ได้รับโอกาสอีกมากมายในการไล่ตามเสาะหาความจริงและติดตามพระเจ้าอีกแล้ว ถ้ายังพลาดอยู่ ฉันก็อาจจะพลาดตลอดไป ฉันอาจจะไม่มีวันได้โอกาสอีกแล้ว ฉันจะรอจนกว่าฉันเผชิญความตายเพื่อเชื่อในพระเจ้าจริงเหรอ? นั่นจะไม่สายเกินไปเหรอ? อะไรสำคัญกว่ากัน การหาเงินหรือชีวิตของตัวเอง? ถึงเวลาที่ฉันต้องชั่งใจทั้งหมดนี้แล้ว” ผมเข้าใจสำนึกของเจตนารมณ์และพระประสงค์ของพระเจ้าต่อคนหนุ่มสาวจากพระวจนะของพระองค์ที่กล่าวว่า “ผู้คนหนุ่มสาวควรมีความกล้าหาญที่จะไม่ยอมจำนนต่อการบีบคั้นโดยกำลังบังคับแห่งความมืดและที่จะแปลงสภาพนัยสำคัญแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขา(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะสำหรับผู้เยาว์และผู้สูงวัย)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ผมมีความเชื่อและมีกำลัง ผมเป็นคนดื้อรั้นและไร้สำนึกแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว ผมไม่ควรมีชีวิตอยู่เพื่อเงิน ชื่อเสียง และผลประโยชน์ สิ่งที่ผมควรทำคือเดินบนเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง ผมต้องทำให้ชีวิตในอดีตสิ้นสุดลง ดังนั้นผมจึงตัดสินใจละทิ้งธุรกิจนี้

หลังจากนั้น ผมก็นำความคิดนี้ไปบอกญาติๆ บรรดาญาติทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อโน้มน้าวไม่ให้ผมทำแบบนั้น บอกว่าพวกเขาจะเพิ่มทั้งค่าจ้างสิ้นปีและฐานเงินเดือนของผม แบบนั้นแล้ว ผมก็จะมีรายได้มากกว่า 10,000 หยวนต่อเดือน และบวกกับค่าจ้างสิ้นปี ผมจะทำเงินได้เกือบ 200,000 หยวนในหนึ่งปี นั่นเป็นเงินที่ค่อนข้างมากสำหรับคนในเมืองเล็กๆ ผมถูกทดลองอย่างมาก และแม้ว่าเป็นข้อเสนอที่น่าดึงดูด แต่ผมก็ตัดสินใจไปแล้ว ผมไม่อยากดำเนินชีวิตนี้ด้วยการที่มือคว้าเงินไว้ข้างหนึ่งและคว้าความจริงไว้อีกข้างอีกแล้ว ต่อมาผมอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น ความว่า “หากเจ้าอยู่ในสถานะอันสูงส่ง มีภาพลักษณ์อันทรงเกียรติ ครองความรู้อันอุดม เป็นเจ้าของสินทรัพย์ล้นเหลือและได้รับการสนับสนุนจากผู้คนมากมาย กระนั้น สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ป้องกันเจ้าจากการมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อยอมรับการทรงเรียกของพระองค์และยอมรับพระบัญชาของพระองค์ และทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้เจ้าทำ เช่นนั้นแล้วทุกสิ่งที่เจ้าทำก็จะเป็นงานที่เปี่ยมความหมายที่สุดบนแผ่นดินโลก และเป็นกิจอันควรอย่างที่สุดของมวลมนุษย์  หากเจ้าปฏิเสธการทรงเรียกของพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของสถานภาพและเป้าหมายของตัวเจ้าเอง ทั้งหมดที่เจ้าทำก็จะถูกสาปแช่ง และอาจถึงขั้นถูกดูหมิ่นโดยพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง)  ในอดีต ผมดำเนินชีวิตเพื่อเนื้อหนังและเพื่อซาตาน ตั้งเป้าไปที่เงิน ชื่อเสียง และผลประโยชน์เท่านั้น ผลคือ ผมกลายเป็นคนหลอกลวงและเสื่อมทรามมากขึ้นเรื่อยๆ และห่างไกลจากพระเจ้ามากขึ้นทุกที และใช้เวลาในแต่ละวันเป็นเหมือนศพเดินได้ ตอนนี้ ผมอยากเปลี่ยนวิถีชีวิตและติดตามพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ

ต่อมา บรรดาญาติของผมก็เร่งเร้าอีกครั้งให้ผมอยู่ต่อ และผมรู้ว่านี่คือสิ่งที่ซาตานใช้หยุดไม่ให้ผมไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ผมเลยอธิษฐานถึงพระเจ้าและขอให้พระองค์ทรงแสดงทางออกให้ผม “พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่ต้องการไล่ตามเงิน ชื่อเสียง และผลประโยชน์ และเดินไปในเส้นทางที่ผิดเรื่อยไป ข้าพระองค์อยากดำเนินชีวิตที่มีความหมายและมีคุณค่า โปรดทรงนำข้าพระองค์และให้ความเชื่อแก่ข้าพระองค์เพื่อเอาชนะการล่อลวงนี้จากซาตานด้วยเถิด!” ผมเข้าใจว่านี่เป็นวิธีของซาตานในการล่อลวงและเอาชนะผม ผมจึงหัวเราะ บอกกับบรรดาญาติว่า “ผมรู้ว่าพวกคุณมีเจตนารมณ์ที่ดี แต่ผมอยากออกไปทำสิ่งที่ไม่คุ้นในโลกกว้างในตอนที่ผมยังหนุ่มและไม่พึ่งพาญาติกับเพื่อนเสมอไป ผมตัดสินใจไปแล้ว ผมจะเริ่มต้นด้วยตัวเอง” ญาติของผมเห็นว่าผมตัดสินใจแล้ว และพวกเขาก็เคารพการตัดสินใจของผม ผมเข้าใจว่านี่คือพระเจ้าทรงแสดงทางออกให้ผม และผมก็ถือโอกาสนี้ปล่อยงานของตัวเองไป หลังจากนั้นผมก็เชื่อในพระเจ้าและเข้าร่วมการชุมนุมได้อย่างสงบใจ แล้วก็เริ่มทำหน้าที่ของผม เวลาที่มีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้อง ผมก็ไม่ต้องสวมหน้ากากและทำตัวหน้าซื่อใจคดเหมือนตอนทำธุรกิจอีกแล้ว ในคริสตจักร ผมขจัดภาระและการเสแสร้งทั้งหมดได้ ถ้าผมมีปัญหา ผมก็อธิษฐานถึงพระเจ้าได้และเปิดใจกับพี่น้องและสื่อสารกับพวกเขาได้ และพวกเขาก็จะช่วยเหลือด้วยความจริงใจและสุดใจ ผมรู้สึกได้ว่าพี่น้องจริงใจและใจดีแค่ไหน และผมก็รู้สึกอบอุ่น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน ผมมีความสุขมากที่ได้ดำเนินชีวิตแบบนั้น และความสงบสุขกับความเปี่ยมสุขนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ว่าเงินจำนวนเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้! ตอนนี้ผมเจองานง่ายๆ ธรรมดาๆ แล้ว แค่มีเสื้อผ้าและอาหารก็เพียงพอสำหรับผมแล้ว ผมทุ่มเทเวลาและพลังงานให้กับสิ่งที่มีความหมายและมีคุณค่าที่สุด นั่นคือ การไล่ตามเสาะหาความจริงและการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ขอบคุณพระเจ้าที่ยอมให้ผมติดโควิด และปลุกหัวใจที่ไร้ความรู้สึกของผมให้ตื่น และช่วยให้ผมเห็นเส้นทางและทิศทางชีวิตได้ชัดเจนและตัดสินใจเลือกได้ถูกต้องที่สุด

ก่อนหน้า: 51.เราควรฟังใครในเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ถัดไป: 55. ฉันไม่ไล่ตามไขว่คว้าสถานะอย่างไม่ลดละอีกต่อไปแล้ว

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger