71. ความแคลงใจของฉัน ต่อการปฏิบัติความจริง
ในเดือนกันยายน ปี 2021 ฉันได้รับผิดชอบงานชิ้นหนึ่งของคริสตจักร และจ้าวติงเป็นผู้นำทีม เวลาที่ทุกคนปรึกษางานกัน จ้าวติงจะยืนกรานความคิดเห็นของตัวเองเสมอและไม่ฟังคนอื่น นี่ทำให้เรามักจะติดค้างอยู่กับที่ และงานก็ไม่คืบหน้า ฉันอยากจะพูดกับเธอเรื่องนี้ แต่คำพูดของฉันก็ติดอยู่ในลำคอ เมื่อฉันนึกขึ้นได้ว่าจ้าวติงมักจะเปิดโปงฉันว่าเป็นคนโอหัง คิดว่าตนเองถูก และยืนกรานความคิดเห็นของตัวเองมาก่อน ถึงฉันจะรู้ว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นจริง ฉันก็ไม่ชอบเรื่องนี้จากก้นบึ้งหัวใจจริงๆ รู้สึกเหมือนเธอกำลังเปิดโปงแผลของฉันด้วยการทำแบบนี้ และฉันต้องการให้เธอแค่หยุดพูด ถ้าฉันชี้ให้เห็นปัญหาของเธอตอนนี้ เธอจะไม่รู้สึกเจ็บแบบที่ฉันเคยเจ็บหรือ? ฉันคิดว่าเงียบไว้ดีที่สุด เราจะได้ไม่มีใครรู้สึกแย่ นอกจากนั้น ฉันไม่ชอบการถูกเปิดโปง และมีคนอื่นมาชี้ให้เห็นปัญหาของฉันแล้วฉันยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ก็ยังเรียกร้องให้คนอื่นเปลี่ยน นั่นจะไม่แสดงให้เห็นหรอกหรือว่าฉันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย? ถ้าเธอสวนฉันกลับว่า “คุณไม่ชอบยอมรับคำแนะนำจากคนอื่นด้วยซ้ำ แล้วมีสิทธิ์อะไรมาวิจารณ์ฉัน?” ฉันก็คงไม่มีคำตอบ อีกอย่าง ปกติเราก็เข้ากันได้ดีมากๆ และมีไมตรีจิตที่ดีต่อกัน และพูดด้วยกันอย่างสุภาพ ถ้าหากว่าฉันพูดถึงปัญหาของเธอขึ้นมา แล้วเธอมองฉันไม่เหมือนเดิม และไม่อยากร่วมงานกับฉันล่ะ? เมื่อมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในใจ ฉันจึงไม่ได้ชี้ให้เห็นปัญหาของเธอ
ไม่นานหลังจากนั้น พี่น้องหญิงที่ชื่ออู๋ซินได้เข้าร่วมทีมของเรา ผ่านไปสักพัก ฉันพบว่าเธอไม่ได้ทำอะไรให้คืบหน้า เธอจะแข่งขันกับคนอื่นอยู่เสมอ และเมื่อเธอเทียบไม่ได้ เธอก็จะโกรธขึ้งไม่เป็นทำการทำงาน ฉันได้สามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าบางตอนที่เกี่ยวกับปัญหาของเธอ และได้นำเอาหลักธรรมมาชี้แนะและช่วยเหลือเธอ แต่เธอไม่ได้ทบทวนปัญหาของตัวเอง และบอกว่าเหตุผลที่เธอไม่ได้ผลลัพธ์ เป็นเพราะเราไม่ได้สามัคคีธรรมถึงหลักธรรมกับเธอให้ชัดเจน เมื่อเห็นเธอแบบนี้ ฉันก็อยากจะสามัคคีธรรมและชำแหละแก่นแท้ของเธอที่ไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะ และผลที่ตามมาของการเป็นแบบนี้ต่อไป แต่แล้วฉันก็นึกถึงการที่เธอพูดถึงการเผยความเสื่อมทรามของเธอในการชุมนุมหนึ่ง ว่าเธอไม่ชอบชี้ให้เห็นปัญหาของคนอื่น และไม่ชอบที่คนอื่นชี้ให้เห็นปัญหาของเธออยู่เสมอ ฉันคิดว่า “ชื่อเสียงและสถานะสำคัญกับฉันเหมือนกัน และฉันอยากจะค่อยๆ เสาะแสวงและเข้าสู่แง่มุมนี้ด้วยตัวเอง ฉันไม่ต้องการให้คนอื่นมาเปิดโปงและชี้ปัญหาของฉัน ถ้าฉันพูดแรงเกินไป ก็จะทำให้เธอไม่พอใจ ฉันจะเริ่มด้วยการสามัคคีธรรมและช่วยเธอคงดีที่สุด บางที เมื่อเธอจับความเข้าใจหลักธรรมและได้ผลลัพธ์บ้างแล้ว การไม่สามารถสนองความปรารถนาที่มีต่อความภาคภูมิใจและสถานะจะไม่ทำให้เธอคิดลบมากนัก” เมื่อคิดแบบนี้ ฉันจึงหยุดชี้ให้เห็นปัญหาของเธอ ฉันมาพบทีหลังว่าอู๋ซินมีความเป็นมนุษย์ที่แย่มาก เธอมักจะพูดกับผู้คนในลักษณะดูแคลนและเสียดสี ทำให้พวกเขารู้สึกถูกบีบบังคับ และบางครั้งเธอจะโจมตีและกีดกันคนที่มีความเห็นต่าง เมื่อเกิดปัญหาเรื่องงาน เธอไม่ทบทวนเลย และพยายามปัดความรับผิดชอบ และเธอไม่ได้ผลลัพธ์อะไรในหน้าที่ของเธอเลย ตามหลักธรรมแล้ว เธอต้องถูกปลด ฉันคิดว่าการทำแบบนั้นอาจล่วงเกินเธอ ฉันจึงรายงานสถานการณ์ของเธอแก่ผู้นำคนหนึ่ง แต่ผู้นำคนนั้นก็ยุ่งเกินกว่าที่จะมา เธอจึงให้ฉันปลดอู๋ซิน ตอนฉันเจอเธอ ฉันอยากชำแหละการไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและสถานะอย่างต่อเนื่องของเธอ การโจมตีและกีดกันความเห็นต่าง และการที่เธอเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ เธอจะได้รู้จักแก่นแท้และผลที่ตามมาของปัญหาของเธอ แต่ฉันก็เก็บกลืนคำที่จะพูดเอาไว้ ฉันคิดถึงการที่เธอให้คุณค่าแก่ชื่อเสียงและสถานะ และเธอช่างเปราะบาง ถ้าฉันเปิดโปงและชำแหละปัญหาของเธอ แล้วเธอรับไม่ได้ และเกิดอคติกับฉันขึ้นมาล่ะ จะเป็นยังไง? ฉันคิดว่าเงียบไว้เป็นดีที่สุด ดังนั้น ฉันจึงแค่หยิบยกเรื่องที่เธอไม่ได้ผลลัพธ์ขึ้นมา แล้วก็ปลดเธอ ให้คำปลอบใจเธอนิดหน่อย และให้เธอทบทวนตนเองอย่างถูกควร พอผู้นำรู้ว่าฉันไม่ได้ชำแหละพฤติกรรมของอู๋ซิน เธอก็ตัดแต่งฉันโดยพูดว่า “ปัญหาของเธอร้ายแรงมาก แต่คุณไม่ได้เปิดโปงหรือชำแหละปัญหาพวกนั้น! คุณเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนมากเกินไป” เป็นเรื่องยากมากที่ได้ยินแบบนี้ ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้จัดการความรับผิดชอบของฉัน แต่ฉันไม่ได้ทบทวนตนเองในตอนนั้น จนกระทั่งถึงเหตุการณ์ต่อมา ในที่สุดฉันจึงได้เริ่มทบทวน
ตอนนั้น จ้าวติงกับกลุ่มของเธอได้รวบรวมข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับบุคคลที่จะถูกขับไล่ แต่มีหลายจุดที่ไม่ชัดเจน ภายใต้สภาวะปกติ ความผิดพลาดระดับต่ำประเภทนี้จะไม่เกิดขึ้น ฉันถามคนอื่นๆ ว่ามีเรื่องอะไรกัน และพวกเขาบอกว่า จ้าวติงยึดมั่นในความคิดของตัวเอง ไม่ว่าใครจะแนะนำอะไร เธอก็ปัดตกไปหมด พวกเขาล้วนรู้สึกถูกตีกรอบ และแค่ต้องทำตามเธอว่า ฉันรู้สึกผิดมากเมื่อได้ยินแบบนี้ ฉันรู้ถึงปัญหานี้ของเธอมาตั้งนานแล้ว แต่เพราะฉันกลัวการล่วงเกินเธอ ฉันเลยไม่เคยเปิดโปงเรื่องนี้เลย และด้วยเหตุนี้ งานจึงล่าช้าออกไป ในที่สุดฉันก็ได้เริ่มเสาะแสวงความจริงและทบทวนตนเอง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าตอนหนึ่ง “ความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่งควรมีทั้งมโนธรรมและสำนึกเป็นส่วนประกอบ สองสิ่งนี้คือรากฐานที่สำคัญที่สุด คนประเภทใดที่ไม่มีมโนธรรมและไร้สำนึกตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ? พูดโดยทั่วไปแล้ว พวกเขาก็คือคนที่ไร้ความเป็นมนุษย์ เป็นคนที่ด้อยความเป็นมนุษย์อย่างยิ่ง เมื่อลงรายละเอียดมากขึ้น คนคนนี้มีลักษณะเช่นไรที่สำแดงให้เห็นว่าสูญเสียความเป็นมนุษย์? ลองวิเคราะห์กันดูว่ามีลักษณะเฉพาะอันใดที่พบเห็นได้ในตัวผู้คนแบบนี้ และพวกเขาแสดงให้เห็นถึงการสำแดงสิ่งใดเป็นการเฉพาะ (พวกเขาเห็นแก่ตัวและต่ำช้า) ผู้คนที่เห็นแก่ตัวและต่ำช้าย่อมสุกเอาเผากินในการกระทำของพวกเขาและปลีกตัวห่างจากสิ่งใดก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเป็นการส่วนตัว พวกเขาไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ได้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขาไม่มีภาระใจเกี่ยวกับ การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาหรือเป็นพยานยืนยันแด่พระเจ้า และพวกเขาไม่มีสำนึกรับรู้แห่งความรับผิดชอบเลย… มีผู้คนบางคนที่ไม่รับผิดชอบใดๆ ไม่ว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ใดอยู่ พวกเขาไม่รายงานปัญหาที่พวกเขาพบต่อผู้บังคับบัญชาของพวกเขาโดยทันทีอีกด้วย เมื่อพวกเขาเห็นผู้คนก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวน พวกเขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เมื่อพวกเขาเห็นคนชั่วทำความชั่ว พวกเขาไม่พยายามห้ามคนพวกนั้น พวกเขาไม่ปกป้อง ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า หรือคำนึงถึง หน้าที่และความรับผิดชอบของพวกเขาเลย เมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน ผู้คนแบบนี้ไม่ทำงานจริงจังใดๆ พวกเขาเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนและลุ่มหลงในความสะดวกสบาย พวกเขาพูดและกระทำเพียงเพื่อความถือดี หน้าตา สถานะ และผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น และยินดีที่ จะอุทิศเวลาและความพยายามของตนเพื่อสิ่งต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเท่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เมื่อมอบหัวใจของคนเราแก่พระเจ้า คนเราย่อมจะสามารถได้มาซึ่งความจริง) พระวจนะของพระเจ้าได้เปิดโปงสภาวะที่แน่ชัดของฉัน ฉันเห็นแล้วว่าจ้าวติงมีอุปนิสัยโอหังและตีกรอบคนอื่น ซึ่งส่งผลกระทบกับงานแล้ว ในฐานะผู้ดูแล ฉันควรชี้ให้เห็นและเปิดโปงปัญหาของเธอ แต่ฉันกังวลว่าเธอจะไม่ยอมรับแล้วจะคิดไม่ดีกับฉัน ดังนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันอยากจะชี้ให้เห็นปัญหาของเธอ มันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างมาติดที่คอฉัน และฉันพูดอะไรไม่ออก ฉันใช้งานมาเป็นข้ออ้าง คิดว่าถ้าความสัมพันธ์ของเราแตกหัก เธอก็จะไม่ให้ความร่วมมือกับงานของฉัน ในขณะที่ดูเหมือนฉันกำลังคำนึงถึงงานอยู่ จริงๆ แล้ว ฉันแค่ไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ฉันมิตรที่ดีของเรา และฉันอยากสร้างความประทับใจอันดีต่อพี่น้องชายหญิงของฉัน อีกอย่าง ฉันสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าปัญหาของอู๋ซินนั้นร้ายแรง แต่ฉันกลัวว่าถ้าฉันเปิดโปงและชี้ให้เห็นปัญหาของเธอ เธอจะมองฉันไม่ดี ฉันจึงไม่ได้เปิดโปงปัญหาของเธอเรื่อยมา ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่รู้จักตนเอง และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเธอก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และเธอก็ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร และทำให้คนอื่นๆ รู้สึกถูกตีกรอบ ตอนทำหน้าที่ของฉัน ฉันคำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเอง และตำแหน่งของฉันในหัวใจของคนอื่นๆ เท่านั้น ฉันเห็นคนอื่นๆ ขัดขวางและรบกวนงานโดยอาศัยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาในหน้าที่ของตนเอง แล้วฉันก็แค่ละเลยเรื่องนี้ ไม่คำนึงถึงงานของคริสตจักรเลย ฉันเห็นแก่ตัวมาก ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลเลย
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง “ธรรมชาติของซาตานนี่เองที่กำกับดูแลและครอบงำผู้คนจากภายในไปจนกว่าพวกเขาจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและเข้าใจความจริงแล้ว สิ่งใดหรือที่ธรรมชาตินั้นพ่วงท้ายมาด้วยเป็นพิเศษ? ตัวอย่างเช่น เหตุใดพวกเจ้าจึงเห็นแก่ตัว? เหตุใดเจ้าจึงปกป้องตำแหน่งของตัวเจ้าเอง? เหตุใดเจ้าจึงมีความรู้สึกรุนแรงเช่นนั้น? เหตุใดพวกเจ้าจึงชื่นชมสิ่งที่ไม่ชอบธรรมเหล่านั้น? เหตุใดพวกเจ้าจึงชอบสิ่งชั่วร้ายพวกนั้น? อะไรคือพื้นฐานของความชื่นชอบของพวกเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายดังกล่าว? สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? เหตุใดเจ้าจึงมีความสุขยิ่งนักที่จะยอมรับสิ่งเหล่านี้? ถึงตอนนี้พวกเจ้าล้วนได้มาเข้าใจว่าเหตุผลหลักเบื้องหลังสิ่งทั้งปวงนี้ก็คือว่า มีพิษของซาตานอยู่ภายในตัวมนุษย์ ดังนั้น อะไรคือพิษของซาตาน? สามารถแสดงมันออกมาในทางใดได้บ้าง? ตัวอย่างเช่น หากเจ้าถามว่า ‘ผู้คนควรดำรงชีวิตอย่างไร? ผู้คนควรดำรงชีวิตเพื่อสิ่งใด?’ ผู้คนก็จะตอบว่า ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’ วลีเดียวนี้แสดงถึงรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหา ปรัชญาและตรรกะของซาตานได้กลายมาเป็นชีวิตของผู้คนไปแล้ว ไม่ว่าผู้คนจะไล่ตามเสาะหาสิ่งใด พวกเขาก็ทำเช่นนั้นเพื่อตัวเอง—ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงดำรงชีวิตเพื่อตัวพวกเขาเองเท่านั้น ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’—นี่คือปรัชญาชีวิตของมนุษย์ และมันยังเป็นตัวแทนธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร) จากการเปิดโปงของพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เข้าใจ เหตุผลหลักที่ฉันมักจะทำเป็นไม่เห็นและกลัวเกินกว่าจะชี้ให้เห็นปัญหาของคนอื่น เป็นเพราะฉันอาศัยปรัชญาเยี่ยงซาตานอย่างเช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “การไม่พูดถึงข้อเสียของเพื่อนสนิท ย่อมทำให้มิตรภาพยืนยาวและดีงาม” และ “เวลาชกผู้อื่น อย่าชกหน้า เวลาวิจารณ์ผู้อื่น อย่าวิจารณ์ข้อบกพร่องของพวกเขา” ฉันเคยคิดเสมอว่าฉันควรทำบางอย่างก็ต่อเมื่อได้ประโยชน์จากสิ่งนั้นเท่านั้น และการเปิดโปงและชี้ให้เห็นปัญหาของคนอื่นจะเป็นการล่วงเกินพวกเขาและไม่เป็นประโยชน์ต่อฉัน ฉันจึงไม่อยากทำ ฉันเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ กะล่อน และหลอกลวงเกินไป ฉันเห็นว่าจ้าวติงเป็นคนโอหัง ดื้อรั้น และไม่ฟังคนอื่น และเธอจะส่งผลกระทบต่องาน แต่ฉันอยากปกป้องความสัมพันธ์ของฉันกับเธอ มากกว่าเปิดโปงหรือชำแหละปัญหาของเธอ ฉันกลัวอยู่เสมอว่าจะล่วงเกินเธอ และยอมตามเพื่อให้เธอพอใจเสมอ ฉันกลัวการล่วงเกินผู้คนแต่ไม่กลัวล่วงเกินพระเจ้า และไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของคริสตจักร ฉันใช้ชีวิตอย่างเลวทรามและไร้ค่า ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล คนที่มีมโนธรรมและเหตุผล สามารถสามัคคีธรรมความจริงเพื่อช่วยคนอื่นได้ เมื่อพวกเขาเห็นคนอื่นอยู่ในสภาวะที่แย่ และเมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร พวกเขาสามารถลุกขึ้นเปิดโปงและหยุดคนเหล่านั้น ในฐานะผู้ดูแล ฉันควรรับภาระและความรับผิดชอบที่มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าพี่น้องชายหรือหญิงจะมีปัญหากับสภาวะหรืองานของพวกเขา ฉันควรสามัคคีธรรมและช่วยพวกเขา หากบุคคลหนึ่งกำลังขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร ฉันควรตัดแต่งพวกเขา เปิดโปงและหยุดพวกเขาให้ทันเวลา นี่คือวิธีที่ผู้ดูแลควรทำงานของพวกเขา แต่เพื่อปกป้องความประทับใจอันดีที่ผู้อื่นมีต่อฉัน ฉันไม่ได้ทำหน้าที่พื้นฐานให้ลุล่วงไปด้วยซ้ำ ฉันไม่มีความรับผิดชอบต่องาน และฉันไม่ได้คำนึงถึงการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงเลย ฉันเห็นว่า ด้วยการเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คน ฉันเป็นคนใจดำและมุ่งร้ายอย่างแท้จริง การทำหน้าที่ของฉันในลักษณะนี้น่ารังเกียจและน่าขยะแขยงสำหรับพระเจ้า ถ้าฉันทำแบบนี้ต่อไป ฉันคงจะถูกพระเจ้าเปิดโปงและกำจัดในที่สุด การตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ช่างปั่นป่วนใจมาก ฉันไม่ต้องการใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพเจ้าต้องการปฏิบัติความจริง แต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของข้าพเจ้าร้ายแรงเหลือเกิน โปรดให้ความรู้แจ้งเพื่อให้ข้าพเจ้ารู้จักตัวเองและค้นพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติ”
วันหนึ่ง ในการเฝ้าเดี่ยวของฉัน ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ในคริสตจักร จงตั้งมั่นในคำพยานที่เจ้ามีให้เราและค้ำชูความจริง ถูกคือถูก ผิดคือผิด อย่าสับสนระหว่างขาวกับดำ เจ้าจักต้องทำสงครามกับซาตานและต้องกำราบมันให้สิ้นซากเพื่อที่มันจะไม่มีวันผงาดขึ้นมาอีก พวกเจ้าต้องมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามีเพื่อปกป้องคำพยานแห่งเรา นี่จะเป็นเป้าหมายแห่งการกระทำของพวกเจ้า—จงอย่าลืมการนี้เสีย” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 41) พระวจนะของพระเจ้าให้เส้นทางแห่งการปฏิบัติแก่ฉัน ฉันจำเป็นต้องค้ำชูหลักธรรมความจริง และปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักรด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง จ้าวติงได้ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรโดยพึ่งพาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเธอในการทำหน้าที่ ฉันต้องสามัคคีธรรมกับเธอ อีกทั้งเปิดโปงและชำแหละเธอ เธอจะได้รู้ปัญหาของตัวเอง ถ้าเธอยังไม่ทบทวนหรือกลับใจ ฉันต้องย้ายหรือปลดเธอทันที ต่อมา ฉันได้ชี้ให้จ้าวติงเห็นปัญหาของตัวเธอเอง และฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบางบทตอนที่เปิดโปงอุปนิสัยโอหังให้เธอฟัง โดยการอ่านพระวจนะของพระเจ้า เธอได้รู้ถึงอุปนิสัยอันโอหังของตัวเอง จากนั้นก็ปรับปรุงตัวและเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เมื่อทุกคนนำเสนอความคิดเห็นที่แตกต่างในการปรึกษาหารือ เธอก็สามารถเสาะแสวงและรับฟังพวกเขา ไม่ยืนกรานความคิดเห็นของตัวเองอีกแล้ว ด้วยการไม่ปกป้องความสัมพันธ์ของฉันกับผู้อื่น และทำหน้าที่ของฉันไปตามหลักธรรมความจริง ฉันรู้สึกสบายใจ ในที่สุด ฉันก็มีสภาพเสมือนมนุษย์ด้วยการใช้ชีวิตแบบนี้
หลังจากนั้น ฉันสงสัยว่า “นอกจากความเห็นแก่ตัวของฉัน ความใจร้าย และความปรารถนาที่จะปกป้องผลประโยชน์ของฉันแล้ว อะไรอื่นอีก ที่ตีกรอบให้ฉันเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนอยู่เสมอ?” วันหนึ่ง ในการชุมนุม ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “โดยความหมายตามตัวอักษรแล้ว คำกล่าวที่ว่า ‘จงอย่ายัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น’ หมายความว่าเจ้าไม่ควรเรียกร้องให้ผู้อื่นชอบหรือทำในสิ่งที่เจ้าไม่ชอบหรือไม่เต็มใจที่จะทำ เมื่อพิจารณาจากคำพูดเหล่านี้แล้ว คำกล่าวนี้ดูสมเหตุสมผลและมีเหตุผลมากทีเดียว และคงไม่มีใครที่จะไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวเช่นนี้ แต่คำกล่าวนี้สอดคล้องกับความจริงอย่างแท้จริงหรือไม่? เป็นไปตามหลักธรรมความจริงอย่างแท้จริงหรือไม่? เรื่องนี้ควรได้รับการแยกแยะ ผลที่ตามมาของการปฏิบัติตนตามปรัชญาเยี่ยงซาตานเช่นนี้จะเป็นเช่นใด? นั่นย่อมจะนำไปสู่การทำผิดพลาดไม่ใช่หรือ? จะนำไปสู่การทำร้ายผู้คน การชี้แนะผู้คนให้หลงผิด หรือแม้กระทั่งการทำอันตรายต่อผู้คนไม่ใช่หรือ? พวกเรามาพูดคุยกันก่อนว่ามีหลักธรรมใดในคำกล่าวนี้หรือไม่ ไม่มีหลักธรรมอยู่ในนั้นเลย เป็นการตัดสินโดยอาศัยความชอบส่วนตนทั้งสิ้น ไม่มองสิ่งต่างๆ ตามความจริง ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่บางคนไม่ชอบเรียนหนังสือ แต่พวกเขากลับชอบที่จะให้ลูกๆ ของตนเรียนหนังสือมากๆ และพยายามใช้เหตุผลกับพวกเขาอยู่เสมอ โดยกระตุ้นให้พวกเขาตั้งใจเรียน สถานการณ์นี้ขัดแย้งกับคำกล่าวที่ว่า ‘จงอย่ายัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น’ ตามคำกล่าวนี้ พ่อแม่เหล่านี้ไม่ควรกระตุ้นให้ลูกๆ ของตนเรียนหนังสือ เพราะพวกเขาเองก็ไม่ได้ชอบเรียนหนังสือ ยังมีคนอื่นๆ ที่เชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง แม้กระนั้นพวกเขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าการเชื่อในพระเจ้าคือเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต หากพวกเขาเห็นว่าลูกๆ ของตนไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่อยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง พวกเขาก็คอยกำชับให้ลูกๆ เชื่อในพระเจ้า ถึงแม้พวกเขาเองไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่พวกเขาก็ยังคงต้องการให้ลูกๆ ของตนไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับพร ในสถานการณ์เช่นนี้ หากพวกเขายึดตามคำกล่าวที่ว่า ‘จงอย่ายัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น’ เช่นนั้นแล้วพ่อแม่เหล่านี้ก็ไม่ควรบังคับให้ลูกๆ ของตนเชื่อในพระเจ้า นั่นย่อมจะตรงตามปรัชญาข้อนี้ของซาตาน แต่ก็จะทำลายโอกาสที่ลูกๆ ของพวกเขาจะได้รับความรอดไปด้วย ใครคือคนที่รับผิดชอบผลลัพธ์นี้? คำกล่าวดั้งเดิมด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ไม่ให้ยัดเยียดสิ่งที่ตัวเจ้าเองไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่นนี้ทำร้ายผู้คนมิใช่หรือ?… ตัวอย่างเช่น บางคนไม่รักความจริง พวกเขาละโมบในความสะดวกสบายทั้งหลายของเนื้อหนัง และหาวิธีอู้งานเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์หรือจ่ายราคา พวกเขาคิดว่าคำกล่าวที่ว่า ‘จงอย่ายัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น’ กล่าวไว้ดีแล้ว และบอกผู้คนว่า ‘พวกคุณควรเรียนรู้ที่จะสนุกบ้าง พวกคุณไม่จำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่ของพวกคุณอย่างถูกควร หรือทุกข์ทนกับความยากลำบาก หรือจ่ายราคา ถ้าพวกคุณอู้งานได้ก็อู้งานเถอะ ถ้าพวกคุณทำบางสิ่งแค่พอให้พ้นตัวได้ ก็ทำแค่พอให้พ้นๆ ไป อย่าทำให้สิ่งต่างๆ ยากเย็นสำหรับตัวเองนักเลย ดูสิ ฉันใช้ชีวิตค่อนข้างดีก็ด้วยวิธีนี้ไม่ใช่หรือ? ชีวิตของฉันสมบูรณ์แบบจริงๆ! พวกคุณกำลังทำให้ตัวเองหมดเรี่ยวหมดแรงไปกับการใช้ชีวิตแบบนั้น! พวกคุณควรเรียนรู้จากฉัน’ นี่ก็เป็นไปตามข้อกำหนดที่ว่า ‘ไม่ยัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น’ ไม่ใช่หรือ? หากเจ้าทำตัวเช่นนี้ เจ้าย่อมเป็นคนที่มีมโนธรรมและสำนึกใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) หากคนคนหนึ่งสูญเสียมโนธรรมและสำนึก พวกเขาก็ไร้คุณธรรมมิใช่หรือ? นี่เรียกว่าไร้คุณธรรม เหตุใดพวกเราจึงเรียกเช่นนี้? เพราะพวกเขาลุ่มหลงในความสะดวกสบาย พวกเขาจึงทำหน้าที่ของตนแต่พอให้พ้นตัว ยุแหย่และชักจูงผู้อื่นให้ทำตัวสุกเอาเผากินและลุ่มหลงในความสะดวกสบายเหมือนตน อะไรคือปัญหาของเรื่องนี้? การสุกเอาเผากินและไม่รับผิดชอบในหน้าที่ของเจ้าคือการใช้เล่ห์กระเท่ห์และต้านทานพระเจ้า หากเจ้าสุกเอาเผากินต่อไปและไม่กลับใจ เจ้าก็จะถูกเผยและกำจัดออกไป” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (10)) “เห็นได้ชัดว่าคำกล่าว ‘จงอย่ายัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น’ นั้นเป็นปัญหามาก ช่องโหว่และข้อบกพร่องในคำกล่าวนี้เป็นสิ่งที่เห็นกันอยู่ทนโท่ ไม่ควรค่าที่จะชำแหละและวินิจฉัยด้วยซ้ำ ด้วยการตรวจสอบเพียงเล็กน้อยก็มองเห็นความผิดพลาดและความน่าหัวร่อของคำกล่าวนี้ได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม มีพวกเจ้าหลายคนที่ถูกคำกล่าวนี้ชักนำและครอบงำโดยง่าย และยอมรับคำกล่าวนี้โดยไม่ใช้วิจารณญาณ เวลามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เจ้ามักจะใช้คำกล่าวนี้เตือนใจตนเองและเตือนสติผู้อื่น ด้วยการทำเช่นนี้ เจ้าจึงคิดไปว่าความสุจริตใจของเจ้านั้นสูงส่งเป็นพิเศษ และการประพฤติปฏิบัติตนของเจ้าก็สมเหตุสมผลมาก แต่ในความเป็นจริง ถ้อยคำเหล่านี้ได้เผยให้เห็นหลักการที่เจ้าใช้ในการประพฤติปฏิบัติตนและจุดยืนของเจ้าโดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัว ในขณะเดียวกัน คำพูดเหล่านี้ก็ได้ทำให้ผู้อื่นถูกเจ้าชักพาให้หลงเชื่อและชี้แนะให้หลงผิดจนไปสู่การเข้าหาผู้คนและสิ่งต่างๆ โดยใช้ทัศนะและจุดยืนของเจ้า เจ้าได้แสดงบทบาทของคนที่ชอบเอาใจผู้คนอย่างแท้จริง เจ้าไม่ใส่ใจสิ่งที่เจ้าทำอย่างจริงจัง และเจ้าไม่สร้างความลำบากให้ตนเองหรือผู้อื่น เจ้าเชื่อว่าหากเจ้าสร้างความลำบากให้ผู้อื่น เจ้าก็กำลังสร้างความลำบากให้ตนเอง การเมตตาต่อผู้อื่นคือการเมตตาตนเอง และหากเจ้าเข้มงวดกับผู้อื่น เจ้าก็กำลังเข้มงวดกับตนเอง สิ่งที่เจ้ากำลังยึดถืออยู่นั้นก็คือความคิดและทัศนะที่ว่า ‘จงอย่ายัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น’ อย่างแท้จริง ซึ่งก็เป็นรางวัลที่ใหญ่ที่สุดที่เจ้าสามารถมอบให้กับตนเอง และเป็นการผ่อนปรนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เจ้าสามารถแสดงต่อตนเองได้ นี่เป็นท่าทีของการไม่พิถีพิถันต่อสิ่งใดเลยอย่างเห็นได้ชัด เจ้าไม่มีจุดยืนหรือมุมมองที่ถูกต้องต่อสิ่งใดทั้งสิ้น เจ้ามองทุกสิ่งในแบบเลอะเลือนและไม่พิถีพิถัน และเพียงแค่ทำเป็นมองสิ่งต่างๆ ไม่เห็น หากเจ้ายึดมั่นในความคิดและมุมมองที่ว่า ‘จงอย่ายัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น’ ตลอดชีวิตแห่งความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใด? เจ้าจะไม่ปฏิบัติความจริง เจ้าจะไม่ค้ำชูหลักธรรมความจริง และเจ้าจะไม่มีความเป็นจริงความจริงแม้แต่เพียงเศษเสี้ยวเดียว ที่เป็นเช่นนั้นเพราะอะไร? เพราะเจ้าได้รับอิทธิพลจากคำกล่าวที่ว่า ‘จงอย่ายัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น’ และนั่นได้นำความเดือดร้อนและปัญหาใหญ่หลวงมาสู่เจ้าแล้ว ทำให้เจ้าไม่อาจมีทัศนะหรือจุดยืนที่ชัดเจนในหลายๆ เรื่อง และเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะรู้หรือกำหนดได้อย่างแน่ชัดว่ามาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดคืออะไร หรือผลลัพธ์ที่เจ้าควรสัมฤทธิ์คืออะไร ผลสืบเนื่องเหล่านี้เกิดจากการที่เจ้าไม่แสวงหาความจริง แต่กลับยึดถือมุมมองของปรัชญาเยี่ยงซาตานในทุกสิ่งแทน ‘จงอย่ายัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น’ เป็นท่าทีที่ถูกต้องที่ผู้คนควรมีในการพูดและการกระทำของตนหรือไม่? ไม่ใช่ นี่เป็นเพียงทฤษฎีที่ดูภายนอกเหมือนถูกต้อง สูงส่ง และใจดี แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวกแต่อย่างใด ชัดเจนว่านี่ยิ่งไม่ใช่หลักธรรมความจริงที่ผู้คนควรยึดปฏิบัติ” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (10)) พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงว่า ซาตานใช้คำกล่าวที่ว่า “จงอย่ายัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น” เพื่อทำให้เราเสื่อมทรามและชักพาให้หลงผิด เพื่อทำให้เราคิดว่าเราไม่ควรยัดเยียด สิ่งที่เราไม่อยากทำหรือทำไม่ได้ให้แก่ผู้อื่น และคิดว่านี่คือพฤติกรรมที่เป็นเหตุเป็นผล ฉันเคยใช้ชีวิตโดยพึ่งพาแนวคิดนี้ ฉันรู้ชัดว่าความโอหังและความคิดว่าตนเองถูกของจ้าวติงกำลังส่งผลกระทบต่องาน และฉันควรชี้ให้เห็นและเปิดโปงปัญหาของเธอ แต่ฉันคิดถึงการที่ฉันมักจะเผยอุปนิสัยโอหัง และเรื่องที่ฉันไม่ชอบถูกคนอื่นวิจารณ์อยู่เสมอ ฉันจึงคิดว่าการยัดเยียดสิ่งที่ฉันไม่ชอบให้แก่คนอื่น นั้นไม่สมเหตุสมผล ฉันจึงกลัวเกินไปที่จะชี้ให้เห็นปัญหาของจ้าวติง ฉันรู้ชัดว่าอู๋ซินแค่ทำงานเพื่อความมีหน้ามีตาและสถานะเท่านั้น และความโอหังของเธอกำลังตีกรอบคนอื่น และขัดขวางและก่อกวนงาน เธอจำเป็นต้องได้รับการเปิดโปงและตัดแต่ง แต่ฉันคิดถึงการที่ฉันให้คุณค่าแก่ความมีหน้ามีตาและสถานะของฉันอย่างมาก และไม่เต็มใจจะให้คนอื่นมาชี้ให้เห็นหรือเปิดโปงปัญหาของฉัน ฉันจึงใช้ชีวิตด้วยมุมมองที่ว่า “จงอย่ายัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น” และฉันจึงไม่ได้เปิดโปงเธอ ฉันคิดว่าการถูกเปิดโปงและถูกวิจารณ์นั้นเจ็บปวดและน่าอับอาย และฉันหวังว่าคนอื่นคงจะไม่ตัดแต่งหรือวิจารณ์ฉัน ฉันจึงไม่ต้องการจะทำแบบเดียวกันนั้นกับคนอื่น จริงๆ แล้ว ฉันแค่อะลุ้มอล่วยให้และปกป้องตัวฉันเอง ฉันปกป้องความภาคภูมิใจและสถานะของฉัน ไม่ยอมรับความจริง และถึงขั้นสมยอมและอะลุ้มอล่วยให้คนอื่น ฉันเป็นกบฏและไม่ยอมรับพระเจ้า และฉันยอมให้คนอื่นทำแบบเดียวกัน ในแก่นแท้ ฉันหวังว่าจะไม่มีใครปฏิบัติความจริง หรือได้รับประสบการณ์การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าหรือถูกตัดแต่ง ฉันน่ารังเกียจและไร้ศีลธรรมจริงๆ! พวกเราถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและเต็มไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ธรรมชาติของเรานั้นโอหัง ทะนงตน เห็นแก่ตัว หลอกลวง และมักจะเสาะแสวงความมีหน้ามีตาและสถานะ เมื่อไม่มีการพิพากษาและการเปิดโปงของพระวจนะของพระเจ้า ไม่ได้รับการตัดแต่ง และไม่มีการวิจารณ์หรือการช่วยเหลือของผู้อื่น ก็ช่วยไม่ได้ที่เราจะขัดขวางงานของคริสตจักร จ้าวติงและอู๋ซินกำลังเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและอยู่บนเส้นทางที่ผิด และถ้าไม่มีใครวิจารณ์หรือเปิดโปงพวกเขา พวกเขาก็จะขัดขวางงานของคริสตจักร ถ้าการละเมิดของพวกเขาเป็นเรื่องเล็ก พวกเขาจะถูกปลด แต่ถ้าร้ายแรงกว่านั้น พวกเขาจะถูกขับไล่ ฉันใช้ชีวิตด้วยปรัชญาแบบซาตาน ที่เห็นปัญหาแต่ไม่หยิบยกขึ้นมาพูด สิ่งนี้แอบทำให้พวกเขาสามารถกระทำการด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานได และนี่จะทำร้ายตัวฉันเองและคนอื่นในที่สุด เมื่อเห็นว่าฉันกำลังใช้ชีวิตด้วยพิษของซาตานที่ว่า “จงอย่ายัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น” ฉันไม่ใช่แค่ไม่ทำหน้าที่ของฉันให้ดี แต่ฉันยังทำตัวเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของซาตาน และขัดขวางงานของคริสตจักรด้วย การตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องยากที่จะรับ และฉันอยากจะสารภาพและกลับใจต่อพระเจ้า
วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “พระเจ้าไม่ได้ทรงเรียกร้องให้ผู้คนไม่ยัดเยียดสิ่งที่พวกเขาเองไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น แต่พระองค์ทรงขอให้ผู้คนชัดเจนในหลักธรรมที่พวกเขาควรถือปฏิบัติเวลารับมือสถานการณ์ต่างๆ แทน ถ้าหลักธรรมนั้นถูกต้องและตรงตามความจริงในพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องยึดตามนั้น และไม่เพียงเจ้าต้องยึดตามนั้นเท่านั้น แต่เจ้าต้องเตือนสอน โน้มน้าว และสามัคคีธรรมกับผู้อื่นด้วย เพื่อให้พวกเขาเข้าใจแน่ชัดว่าสิ่งใดคือเจตนารมณ์ของพระเจ้า และหลักธรรมความจริงคืออะไร นี่คือความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้า พระเจ้าไม่ได้ทรงขอให้เจ้ายึดถือปรัชญาเยี่ยงซาตานและเดินสายกลาง ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ไม่ทรงขอให้เจ้าแสดงให้เห็นว่าเจ้าใจกว้างเพียงใด เจ้าควรปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนดและหลักธรรมความจริงที่พระวจนะของพระเจ้าตักเตือนผู้คน ไม่เพียงแต่เจ้าต้องยึดมั่นในสิ่งเหล่านั้นตลอดไป และต้องนำโดยเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติหลักธรรมความจริงเหล่านี้เท่านั้น แต่เจ้ายังต้องเตือนสติ กำกับดูแล ช่วยเหลือ และชี้แนะผู้อื่นให้ยึดมั่น รักษา และปฏิบัติตามหลักธรรมเหล่านั้นเหมือนที่เจ้าทำด้วย นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องให้เจ้าทำ และนี่คือพระบัญชาของพระองค์ที่มีต่อเจ้า พระเจ้าทรงเรียกร้องให้เจ้าตั้งมั่นในจุดยืนที่ถูกต้อง และยึดมั่นในหลักเกณฑ์แห่งพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง แม้ว่าเจ้าจะไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ในตอนนี้ แม้ว่าเจ้าจะไม่เต็มใจ ไม่ชอบ มีมโนคติอันหลงผิด หรือรู้สึกไม่ยอมรับ เจ้าก็ต้องปฏิบัติต่อสิ่งนี้ในฐานะหน้าที่รับผิดชอบของเจ้า ในฐานะภาระผูกพันของเจ้า เจ้าต้องสามัคคีธรรมกับผู้คนถึงหลักธรรมความจริง และสิ่งที่เป็นบวกซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อช่วยเหลือและชี้แนะพวกเขา เพื่อให้พวกเขาสามารถได้รับประโยชน์และได้รับการเจริญใจจากสิ่งเหล่านี้ และเริ่มต้นบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของเจ้า เจ้าต้องไม่ยึดติดอย่างดื้อรั้นกับคำกล่าวที่ว่า ‘จงอย่ายัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น’ ซึ่งซาตานได้ปลูกฝังไว้ในตัวเจ้า ในสายพระเนตรของพระเจ้า คำกล่าวนั้นเป็นเพียงปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก เป็นความคิดและทัศนะที่แฝงไปด้วยเล่ห์กลของซาตาน และไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวกด้วย พระเจ้าทรงกำหนดให้เจ้าประพฤติปฏิบัติตนอย่างเที่ยงตรงและมีศักดิ์ศรี ดังนั้นเจ้าจึงควรชัดเจนในสิ่งเจ้าควรทำและไม่ควรทำ พระองค์ไม่ได้ทรงขอให้เจ้าเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนหรือเป็นผู้ประนีประนอม และพระองค์ไม่ได้ทรงขอให้เจ้าเดินสายกลาง เจ้าต้องยึดมั่นในหลักธรรมความจริงและตั้งมั่นในจุดยืนที่ถูกต้อง แน่นอนว่าเจ้าต้องพูดในสิ่งที่เจ้าควรพูดและเข้าใจในสิ่งที่เจ้าควรเข้าใจ เจ้ายังต้องช่วยเหลือผู้ที่ไม่เข้าใจด้วย เจ้าควรให้การชี้แนะและความช่วยเหลือแก่พวกเขามากๆ เจ้าต้องลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้าโดยสิ้นเชิง เจ้าต้องไม่เอาแต่ยืนดูอยู่เฉยๆ และยิ่งไม่ควรยึดติดปรัชญาที่ซาตานใส่ไว้ในความรู้สึกนึกคิดของเจ้า เช่น การไม่ยัดเยียดสิ่งที่ตัวเจ้าเองไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น เจ้าเข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) สิ่งที่ถูกต้องและเป็นบวกย่อมเป็นเช่นนั้น ต่อให้เจ้าไม่ชอบ ไม่เต็มใจทำ ไม่สามารถทำและสัมฤทธิ์ได้ ต้านทาน หรือเกิดมโนคติอันหลงผิดที่ต่อต้านก็ตาม แก่นแท้แห่งพระวจนะของพระเจ้าและความจริงจะไม่เปลี่ยนแปลงเพียงเพราะมวลมนุษย์มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและมีภาวะอารมณ์ ความรู้สึก ความอยากได้อยากมี และมโนคติอันหลงผิดบางอย่าง แก่นแท้แห่งพระวจนะของพระเจ้าและความจริงจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอันขาด ทันทีที่เจ้ารู้ เข้าใจ ผ่านประสบการณ์ และบรรลุถึงพระวจนะของพระเจ้าและความจริง เข้าใจพระวจนะและความจริงแล้ว ก็เป็นภาระผูกพันของเจ้าที่จะต้องสามัคคีธรรมคำพยานจากประสบการณ์ของเจ้าให้ผู้อื่นฟัง นี่จะเปิดโอกาสให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นไปอีกเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ตระหนักรู้และบรรลุความจริง เข้าใจมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ และเข้าใจหลักธรรมความจริง ด้วยการทำเช่นนี้ผู้คนเหล่านี้ก็จะมีเส้นทางปฏิบัติเมื่อพวกเขาเผชิญปัญหาในชีวิตประจำวันของตน และจะไม่สับสนหรือถูกแนวคิดและทัศนะต่างๆ ของซาตานตีตรวน คำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า ‘จงอย่ายัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น’ แท้จริงแล้วเป็นกลอุบายที่ฉลาดแกมโกงของซาตานที่จะควบคุมความรู้สึกนึกคิดของผู้คน หากเจ้าค้ำจุนคำกล่าวนี้อยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือคนที่ดำเนินชีวิตตามปรัชญาของซาตาน เป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในอุปนิสัยเยี่ยงซาตานโดยสมบูรณ์ หากเจ้าไม่เดินตามหนทางของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่รักหรือไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลักธรรมที่เจ้าควรปฏิบัติและสิ่งสำคัญที่สุดที่เจ้าต้องทำก็คือช่วยเหลือผู้คนให้มากเท่าที่เจ้าจะทำได้ เจ้าไม่ควรปฏิบัติตามสิ่งที่ซาตานบอก ซึ่งก็คือ ‘ไม่ยัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น’ และเป็นคน ‘ฉลาด’ ที่ชอบเอาใจผู้คน การช่วยเหลือผู้คนให้มากเท่าที่เจ้าจะทำได้หมายถึงอะไร? หมายถึงการลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้า ตราบใดที่เจ้าเห็นว่าสิ่งใดเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่รับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้าควรลุล่วง เจ้าก็ควรสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าและความจริง เพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าใจเจตนารมณ์และข้อกำหนดของพระเจ้าได้ นี่คือความหมายของการลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (10)) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เข้าใจว่า พระเจ้ากำหนดให้เราปฏิบัติความจริง และค้ำชูหลักธรรมในทุกสิ่ง และเข้าใจว่าเมื่อเราทำหน้าที่ด้วยกัน เวลาเราเห็นบางคนละเมิดหลักธรรมหรือก่อกวนงานของคริสตจักร เราควรวิจารณ์และช่วยพวกเขา ต่อเมื่อทุกคนใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น เราจึงจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีขึ้นได้ เมื่อพูดถึงประเด็นที่เกี่ยวกับหลักธรรม เราจะกลัวการล่วงเกินผู้คนหรือคำนึงถึงความรู้สึกของพวกเขาไม่ได้ เราต้องกระทำการตามหลักธรรมความจริง และปกป้องงานของคริสตจักร ไม่ว่าคนอื่นจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม เราทุกคนควรปฏิบัติความจริงและลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตัวเอง ในฐานะผู้ดูแล ความรับผิดชอบของฉันคือการสามัคคีธรรมและแก้ปัญหาให้ทันเวลาเมื่อมองเห็นปัญหาเหล่านั้น ถ้าฉันไม่แก้ปัญหาที่ฉันเห็น แค่เล่นบทคนที่ชอบเอาใจผู้อื่น และไม่เลือกข้าง ฉันก็ไม่ได้กำลังลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตัวเอง และขัดขืนพระเจ้า อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าฉันไม่สามารถชี้ให้เห็นปัญหาของคนอื่นเพียงเพราะฉันเผยความเสื่อมทรามเสียเอง เมื่อฉันเผยความเสื่อมทราม ฉันจำเป็นต้องเสาะแสวงความจริงและทบทวนตัวเอง นั่นเป็นเรื่องของฉันเอง แต่เมื่อฉันเห็นคนอื่นละเมิดหลักธรรมและก่อความเสียหายให้แก่งานของคริสตจักร ฉันต้องสามัคคีธรรม เปิดโปง และหยุดพวกเขา นี่คือการปกป้องงานของคริสตจักร และเป็นความรับผิดชอบของฉัน ฉันไม่ควรสับสนกับสองอย่างนี้ ฉันให้ค่ากับความมีหน้ามีตาและสถานะของฉันมาก และมีอุปนิสัยโอหัง ฉันจำเป็นต้องทบทวนและเสาะแสวงความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านี้ และไม่อะลุ้มอล่วยให้ตัวเอง และผ่อนผันให้ผู้อื่น ฉันเคยใช้ชีวิตด้วยปรัชญาซาตานที่ว่า “จงอย่ายัดเยียดสิ่งที่ตนไม่อยากได้ให้แก่ผู้อื่น” โดยคิดว่าฉันไม่ควรขอให้คนอื่นทำสิ่งที่ฉันไม่อยากทำหรือที่ฉันเองทำไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ จึงพลาดโอกาสที่จะปฏิบัติความจริงไป ในที่สุดฉันก็เห็นว่ามุมมองของฉันนั้นน่าขำและไร้สาระ
ต่อมา เมื่อฉันเห็นคนอื่นละเมิดหลักธรรมและส่งผลกระทบกับงานของคริสตจักร ฉันจะเปิดโปง ชำแหละ และสามัคคีธรรมถึงปัญหากับพวกเขา และแม้ว่าฉันยังคงกังวลว่าพวกเขาจะคิดไม่ดีกับฉัน ฉันก็ไม่ได้ระวังเกินเหตุหรือคิดมากเหมือนที่เคยเป็นเมื่อก่อน ฉันแค่คิดว่าฉันจะช่วยพวกเขาและปกป้องงานของคริสตจักรได้ยังไง ด้วยการปฏิบัติแบบนี้ ฉันได้เห็นพี่น้องชายหญิงมีความก้าวหน้าในหน้าที่ของพวกเขา และฉันก็สุขใจเต็มเปี่ยม ตอนที่แก้ปัญหาของคนอื่น ฉันทบทวนตัวเองได้มากขึ้น และฉันค้นพบอุปนิสัยเสื่อมทรามบางอย่างที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อนโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งทำให้ฉันมีแรงจูงใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและแก้ปัญหาของฉันมากขึ้นไปอีก การปฏิบัติแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น เมื่อฉันละทิ้งเนื้อหนังและปฏิบัติความจริงมากขึ้น ทำให้ฉันรู้สึกสงบสุขและสบายใจที่ใช้ชีวิตแบบนี้