21. การรายงานที่ผิดพลาด

โดย เสี่ยวเจ๋, ออสเตรเลีย

ปีกว่าๆ แล้ว ที่พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมถึงความจริงในการแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ ผมมักจะสามัคคีธรรมความรู้ความเข้าใจของตัวเองในการนัดพบ แต่ในชีวิตจริง ผมกลับแยกแยะผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ พอเห็นผู้นำสำแดงการไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างเล็กน้อยที่สุด ผมก็หลับหูหลับตา ตีตราและกล่าวโทษพวกเขาว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ ผลคือนอกจากผมจะปกป้องงานแห่งพระนิเวศไม่ได้ ผมยังเกือบทำให้งานหยุดชะงักด้วย ผ่านการเปิดเผยข้อเท็จจริง ผมก็ได้เรียนรู้บทเรียนจากความล้มเหลว ที่ทำให้ผมแยกแยะผู้นำเทียมเท็จได้บ้าง

ผมทำงานฝ่ายธุรการในคริสตจักร ผมมีหน้าที่จัดการสิ่งของและเครื่องมือบางอย่าง ขณะทำหน้าที่ ผมพบว่าพี่น้องชายหญิงเก็บรักษาเครื่องมือแบบไม่เหมาะสม ทำให้จัดการได้ลำบาก ผมไปหาพี่หลี่ที่เป็นผู้นำ และรายงานปัญหาเหล่านี้ให้เธอทราบ ผมยังย้ำให้เธอยกประเด็นเหล่านี้มาคุยกับคนอื่นๆ และสามัคคีธรรมในการนัดพบด้วย เมื่อเข้าใจแล้ว เธอก็ตกลง ต่อมา ผมก็รอให้พี่หลี่มานัดพบ แต่รออยู่ตั้งนานผมก็ไม่เคยเห็นเธอมา และเธอก็ไม่เคยติดตามปัญหาเลย ผมจึงเริ่มจับตามองผู้นำ คิดว่า “ค่อนข้างนานแล้วนะ ทำไมเธอยังไม่ตามงานนี้อีก? ผมบอกเธอเรื่องปัญหานี้มากกว่าหนึ่งครั้ง แต่มันก็ยังไม่ถูกแก้ไข พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมถึงแง่มุมแห่งความจริง เรื่องการแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ ถ้าไม่ติดตามและไม่แก้ไขปัญหา คุณก็เป็นผู้นำเทียมเท็จ และผมต้องรายงานเรื่องนี้ให้ระดับสูงของคุณทราบ แบบนั้น ผู้นำของคุณจะได้รู้สึกว่าผมมีสำนึกของความยุติธรรม พวกเขาอาจคิดชื่นชมผมก็ได้!” ตอนนั้น ผมแค่คิดขึ้นมาเฉยๆ ต่อมา ผ่านไปแค่เดือนเดียว สัญญาเช่าโกดังเพื่อเก็บหนังสือพระวจนะ ก็หมดอายุ เลยจำเป็นต้องย้ายหนังสือไปไว้อีกที่หนึ่ง เพราะมีหนังสือเยอะ และแต่ละกล่องก็หนัก มันเลยยากที่ผมจะขนย้ายคนเดียว แถมใช้เวลานาน ผมค่อนข้างกังวล เลยถามผู้นำว่า พอจะหาคนมาช่วยซักสองสามคนได้ไหม ผู้นำเอาแต่บอกว่ากำลังหาคน แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีใครมา สุดท้ายก็มีพี่น้องชายสองคนมาช่วยขนหนึ่งรอบ และกลับไปอย่างรวดเร็ว สถานการณ์นี้ทำผมหงุดหงิดมาก คิดว่า “ทำไมผู้นำถึงหาคนมาเยอะกว่านี้ไม่ได้? ทำไมเธอถึงไม่ตามงานนี้? ทำไมเธอถึงไม่มาดู ว่างานผมเยอะแค่ไหน?” ยิ่งคิดผมก็ยิ่งโกรธ และไม่อยากรายงานปัญหาให้ผู้นำทราบอีกต่อไป เพราะมันดูไม่มีประโยชน์อะไรเลย ระหว่างช่วงนั้น ผมรู้สึกไม่อยากเจอผู้นำ พอเจอผมก็ไม่อยากคุยด้วย คิดว่า “ถ้าคุณไม่อยากหาคนมาให้ผม ไม่เป็นไร ผมจะทำให้เสร็จเอง แต่ยังไงผมจะจำทุกอย่างที่คุณทำเอาไว้ พอถึงเวลา ผมจะรายงานเรื่องนี้ให้ระดับสูงของคุณทราบ” ผมนึกถึงพระวจนะอีกบทตอนหนึ่ง ที่พูดถึงการแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ “ผู้นำเทียมเท็จยังเพิกเฉยต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในงานของคริสตจักรอีกด้วย  พวกเขาไม่เคยไปที่หน้างานเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม ติดตามผล หรือทำความเข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริง เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถระบุชี้ประเด็นปัญหาและแก้ปัญหาได้ทันที และขจัดความเบี่ยงเบนและพลั้งเผลอที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำงานได้  เมื่อเผชิญความลำบากยากเย็นในงานของคริสตจักร ผู้นำเทียมเท็จก็เอาแต่พูดจาเป็นคำสอนนิดหน่อยหรือท่องบ่นวลีไม่กี่วลีเหมือนนกแก้วนกขุนทองเพื่อให้จบเรื่องกันไป(การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ)  ผมคิดว่า “พฤติกรรมของผู้นำผมเหมือนที่พระวจนะอธิบายไว้เลย ถ้าเธอจะไม่สืบค้นหรือแก้ปัญหาในงานของผมเธอก็คือผู้นำเทียมเท็จไม่ใช่หรือ?” ตอนนั้นผมก็คิดเรื่องนี้ครับ ผมเห็นปัญหาและไม่ได้สัมพันธ์สนิทกับเธอ แถมยังไม่ไปขอให้คนที่เข้าใจความจริงช่วยยืนยัน ผมจึงบุ่มบ่ามเรียกเธอว่าผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ คิดว่า “ผมไปแสวงหาหลักธรรมของความจริงในเรื่องนี้เพิ่มก่อน และหารือกับเหล่าพี่น้องที่เข้าใจความจริงสักสองสามคนค่อยตัดสินดีไหม?” แต่พฤติกรรมของเธอเหมือนที่พระวจนะว่าไว้ แล้วยังจะต้องพูดอะไรอีก? ผมไม่แน่ใจว่ามุมมองของผมถูกต้องไหม และไม่อยากกล่าวหาเธอแบบผิดๆ เลยลำบากใจว่าจะทำยังไงดี ในใจของผม เต็มไปด้วยภาพของการที่ผู้นำไม่แก้ปัญหาของผม เพราะแบบนั้น ผมเลยไม่แสวงหาความจริงอีกต่อไป ไม่พิจารณาเบื้องหลังแห่งพระวจนะ แถมยังเข้าใจพระวจนะผิดๆ ผมใช้ข้อความบรรทัดเดียว พฤติกรรมเดียว มาเป็นข้ออ้างกล่าวหาพี่หลี่ และเชื่อว่าเธอคือผู้นำเทียมเท็จ

ต่อมา ผมก็ได้ยินเหล่าพี่น้องหญิงที่ทำงานธุรการพูดว่า พี่หลี่ไม่ได้ตามงานของพวกเธอมากนัก และบางครั้งงานของพวกเธอก็ล่าช้า ได้ยินแบบนี้ ผมก็ยิ่งแน่ใจว่า “พี่หลี่ไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และไม่คอยดูหรือสืบค้นงาน นั่นก็คือการเปิดเผยว่าเธอเป็นผู้นำเทียมเท็จไม่ใช่หรือ? ช่วงนี้เราสามัคคีธรรมเรื่องการแยกแยะผู้นำเทียมเท็จที่การนัดพบ ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเจอเข้าให้ ผมต้องมีความยุติธรรม ค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศ และเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จ” แต่พออยากรายงานปัญหาเหล่านี้ให้ระดับสูงของพี่หลี่ทราบ ผมก็รู้สึกไม่สบายใจ ผมยังไม่ได้หารือปัญหาเหล่านี้กับเธอเลย แถมยังไม่ได้แสวงหา หรือหารือกับคนที่เข้าใจความจริง นี่มันมืดบอด และทำตามอำเภอใจเกินไปไม่ใช่หรือ? แต่ตอนนี้เองที่ผมได้ยินว่า ระดับสูงของพี่หลี่ได้มาพูดคุยกับเธอ และยังถามหัวหน้าทีมทุกคน เกี่ยวกับการทำหน้าที่ของเธอด้วย ตอนที่รู้เรื่อง ผมสงบใจตัวเองไม่ได้เลย โดยไม่ทันคาดคิด ระดับสูงของเธอรู้แล้วว่าพี่หลี่มีปัญหา เลยเกือบมั่นใจได้แล้วว่าพี่หลี่เป็นผู้นำเทียมเท็จ ผมคิดว่า “ผมต้องรายงานปัญหาของพี่หลี่แก่ระดับสูงของเธอทันที ไม่ต้องแสวงหาเพิ่มแล้ว ไม่งั้น พอระดับสูงสืบค้นและปลดเธอเรียบร้อย และหารือกันว่าใครมีปัญญาแยกแยะเรื่องเธอ ใครพบปัญหาของเธอ และใครที่มีความยุติธรรมและรายงานเรื่องเธอ พวกเขาก็คงไม่เอ่ยถึงชื่อผม แล้วผมจะแสดงว่ามีปัญญาแยกแยะได้ยังไง? ผมจะ มัวรอไม่ได้แล้ว” ผมรีบนัดหมายพี่โจว ระดับสูงของพี่หลี่ และรายงานปัญหาของเธอให้เขาทราบ บอกว่า “ในฐานะผู้นำ พี่หลี่ไม่ตามงานของผม และไม่เรียนรู้ปัญหาที่ผมมีในงาน ทุกครั้งที่ผมบอกให้เธอฟัง เธอก็ไม่แก้ไข” ผมยังเอาพระวจนะที่พูดถึงการแยกแยะผู้นำเทียมเท็จให้เขาดูด้วย ผมบอกว่าพฤติกรรมของเธอ เหมือนของผู้นำเทียมเท็จในพระวจนะ และผมคิดว่าเธอคือผู้นำเทียมเท็จ พอผมพูดจบ เขาก็บอกว่า “เราตรวจสอบดูแล้ว และพี่หลี่มีปัญหาอยู่บ้างจริงๆ มีบางงานที่เธอไม่ได้คอยดูอย่างเหมาะสม แถมทำหน้าที่แบบมั่วซั่ว เธอต้องถูกตัดแต่ง จัดการ และช่วยให้ทบทวนตัวเองและเรียนรู้บทเรียน แต่เรารู้มาว่า ช่วงสองสามเดือนมานี้ ส่วนมากพี่หลี่คอยดูแลงานให้น้ำ เพราะช่วงนี้มีผู้มาใหม่เข้าร่วมกับคริสตจักรเยอะ ศิษยาภิบาลบางคน ก็ก่อความไม่สงบร้ายแรง ผู้มาใหม่เหล่านี้ต้องได้รับน้ำโดยด่วน เพื่อปักหลักบนหนทางที่แท้จริง นี่คืองานสำคัญ และจำเป็นที่สุดในเวลานี้ พี่หลี่ทุ่มพลังทั้งหมดที่เธอมีให้กับงานนี้ งานธุรการไม่ได้เร่งด่วนเท่า ตราบใดที่ยังไม่ขวางสิ่งต่างๆ การที่ช่วงนี้เธอตามงานช้า ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะงานมาพร้อมกัน แถมเรายังขาดแคลนเจ้าหน้าที่ด้วย เธอต้องจัดลำดับความสำคัญ จึงต้องระงับงานธุรการไว้ก่อน นี่คือเหตุผลว่าทำไมพี่หลี่ถึงไม่ตามงานคุณให้ทันท่วงที แต่เธอแค่ตัดสินใจปฏิบัติแบบนี้ หลังจากหารือกับคู่ทำงานแล้ว อีกอย่าง เมื่อก่อนพี่หลี่ก็รับผิดชอบงานเดียว เธอเป็นผู้นำคนใหม่ จึงเป็นเรื่องยาก ที่เธอจะรับผิดชอบหลายๆ งาน มีบางอย่างที่เธอติดตามไม่ได้ เธอจึงต้องการความช่วยเหลือและสัมพันธ์สนิทจากเรา” จุดนี้ พี่โจวได้ส่งหลักธรรมที่เกี่ยวข้องมาให้ ตอนนั้นเองที่ผมตระหนักได้ ว่าบางครั้งเราต้องจัดลำดับความสำคัญของงาน ตอนนั้นงานให้น้ำสำคัญที่สุด พวกเขาทำงานอื่นได้ แค่ตราบเท่าที่ไม่กระทบต่องานให้น้ำ ถ้ามันกระทบ จะไม่เป็นการเสียสละสิ่งสำคัญเพื่อสิ่งไม่สำคัญหรือ? ถึงพี่หลี่จะไม่ได้ตามงานบางเรื่องอย่างเหมาะสม เธอก็จัดลำดับความสำคัญ และทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ แต่ผมไม่เคยพยายามเข้าใจเหตุผลที่เธอไม่ตามงานผม หรือเหตุผลที่เธอไม่แก้ปัญหาที่ผมยกมาเลย ผมกลับเกิดอคติต่อเธอ คอยจับจ้องสายตาที่เธอ คิดว่าเธอไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และบอกว่าเธอเป็นผู้นำเทียมเท็จโดยตรง ผมไม่ไร้เหตุผลเกินไปหรือ? นี่คือ ตอนที่พี่โจวถามผมว่า “ถ้าเราปลดพี่หลี่ออกเสียตอนนี้ คริสตจักรจะหาคนมาแทนเธอได้ทันทีไหม? งานจะดำเนินต่อไปได้ไหม?” ผมคิดตาม และรู้สึกว่าพี่หลี่ก็ยังเหมาะจะเป็นผู้นำต่อไป หลังจากคุยกับพี่โจว ผมก็รู้สึกเศร้ามาก เดิมทีผมคิดว่าตัวเองยุติธรรม และถึงกับเจอพระวจนะที่เกี่ยวข้อง ผมคิดว่า ผมรายงานเรื่องพี่หลี่หลังแสวงหาความจริงแล้ว แต่กลายเป็นว่า ผมไม่เข้าใจความจริง และแยกแยะผิด แล้วความผิดพลาดของผมอยู่ตรงไหน?

ตอนแสวงหา ผมได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง “การระบุลักษณะว่าใครบางคนเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือคนทำงานเทียมเท็จต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่มากพอ  ต้องไม่อิงเหตุการณ์หรือการฝ่าฝืนหนึ่งหรือสองครั้ง และยิ่งไม่สามารถใช้ความเสื่อมทรามชั่วคราวเป็นพื้นฐาน  มาตรฐานเพียงอย่างเดียวที่ใช้ระบุลักษณะของใครบางคนได้อย่างถูกต้องแม่นยำคือดูว่าพวกเขาสามารถทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและใช้ความจริงแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ รวมทั้งดูว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่ถูกต้องหรือไม่ พวกเขาเป็นใครบางคนที่รักความจริงและสามารถเชื่อฟังพระเจ้าหรือไม่ และพวกเขามีงานและความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่  การจะระบุลักษณะของใครบางคนได้อย่างถูกต้องว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือคนทำงานเทียมเท็จต้องดูตามปัจจัยเหล่านี้เท่านั้น  ปัจจัยเหล่านี้คือมาตรฐานและหลักธรรมสำหรับประเมินและกำหนดว่าใครบางคนเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือคนทำงานเทียมเท็จหรือไม่(การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ)  ผมเข้าใจจากพระวจนะ ว่าการจะแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ หลักๆ แล้วเราต้องดูว่าพวกเขาทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และยอมรับความจริงได้หรือไม่ มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิดเลย ที่ว่าผู้นำต้องแก้ไขทุกปัญหาในหน้าที่ของผม ถ้าทำถึงจะเป็นผู้นำแท้จริง แต่ถ้าไม่ทำ พวกเขาก็เป็นผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง มุมมองนี้เป็นเท็จ และไม่สอดคล้องกับความจริง การจะกำหนดว่าผู้นำนั้นเทียมเท็จหรือไม่ สำคัญที่สุดคือพวกเขาตรวจตรา เข้าใจ และจับความเข้าใจ ความคืบหน้าและสถานะของแต่ละงานที่รับผิดชอบได้ทันทีหรือไม่ พวกเขาแก้ไขและสืบค้นปัญหา ความยากลำบาก และการเบี่ยงเบนในหน้าที่ของเหล่าพี่น้องได้ทันทีหรือไม่ พวกเขาแสวงหาหลักธรรมของความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกับเหล่าพี่น้องหรือไม่ เราตัดสินว่าผู้นำทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่จากสิ่งเหล่านี้ อีกอย่าง ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขายอมรับความจริง และเป็นคนที่ถูกต้องหรือไม่ หากเหล่าผู้นำมีคำถามที่ไม่เข้าใจ ก็แสวงหาเพิ่มเติมได้ เวลาผู้อื่นเสนอแนะ หรือชี้ให้เห็นถึงข้อเสีย พวกเขาต้องเชื่อฟัง แสวงหาความจริง และทบทวนตัวเองให้ได้ เมื่อเจอการตัดแต่ง จัดการ พ่ายแพ้ และล้มเหลว พวกเขาต้องเรียนรู้บทเรียน และเปลี่ยนแปลงให้ได้ ถึงจะแปลว่าพวกเขาคือคนที่ยอมรับความจริง อีกอย่าง เวลาที่ผู้นำรับผิดชอบงานหลายอย่าง พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมดคนเดียว โดยหลักแล้ว พวกเขามีหน้าที่ตรวจแต่ละงาน ให้งานของคริสตจักรคืบหน้าไปได้ตามปกติ คนที่ทำสิ่งนี้ คือผู้นำที่มีคุณสมบัติ ภายนอกผู้นำเทียมเท็จดูจะยุ่งอยู่เสมอ แต่พวกเขาทำงานที่ผิวเผินหรือไม่สำคัญเท่านั้น พวกเขาไม่เคยทำงานที่สำคัญที่สุดได้ทันการณ์ มัวแต่วิ่งวุ่น ทำตัวยุ่ง ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง พวกเขาเลยไม่อาจพบหรือเห็นปัญหาในงานได้อย่างชัดเจน และไม่รู้วิธีวางแผน หรือจัดการสิ่งต่างๆ พวกเขาได้แต่พูดหลักคำสอน หรือคำพูดว่างเปล่า ที่ไม่ได้ให้เส้นทางปฏิบัติ และไม่ได้แก้ปัญหาที่พี่น้องชายหญิงเผชิญในหน้าที่เลย พวกเขาไม่แสวงหาความจริงเมื่อเจอปัญหา ไม่ยอมรับการนำและช่วยเหลือจากคนอื่นด้วย และสุดท้าย งานหลายอย่างก็ไม่คืบหน้าอย่างราบรื่น หรือถึงกับหยุดนิ่ง นี่คือการทอดทิ้งหน้าที่อย่างร้ายแรง นี่คือผู้นำเทียมเท็จ ผมได้เข้าใจจากพระวจนะ ว่าการแยกแยะว่าใครเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือไม่ ต้องดูจากหลายแง่มุม และสืบค้นให้รอบคอบ ถ้าเราเอาแต่ดูที่พฤติกรรมหรือความเสื่อมทรามเพียงชั่วคราว ไม่มองถึงเบื้องหลัง เหตุผล และดูว่าพวกเขากลับใจและเปลี่ยนแปลงหรือไม่ แถมยังกำหนดลักษณะพวกเขาตามอำเภอใจ ก็ล้วนทำให้กล่าวหาคนอื่นผิดๆ ได้ง่ายเกินไป ทุกคนต่างมีความเสื่อมทราม และข้อเสีย แต่ตราบใดที่รู้จักตัวเอง กลับใจ และเปลี่ยนแปลงได้ พระนิเวศก็จะให้โอกาสพวกเขาได้ปฏิบัติ หลังนำพระวจนะและหลักธรรมมาใช้กับพฤติกรรมของพี่หลี่ ผมก็เห็นว่า เธอกำลังตามงานที่สำคัญที่สุด และเมื่อเจอปัญหา เธอก็หารือสิ่งต่างๆ กับผู้อื่นเพื่อแก้ไข โดยรวมแล้ว ที่จริงเธอก็ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และมีผลลัพธ์ในหน้าที่อยู่บ้าง เพียงแต่งานมาพร้อมกันรวดเดียว และเธอยังหาสมดุลไม่เจอ บางงานจึงถูกลืมไป นี่คือข้อเสียในหน้าที่ของเธอ และเธอต้องได้รับการเตือน และช่วยเหลือ พอผมตระหนักได้ สุดท้ายผมก็เห็นว่า ผมไม่เข้าใจหลักธรรมของความจริง และทำกับคนอื่นอย่างไม่เป็นธรรม ผมเห็นผู้นำมีปัญหา แต่ไม่สัมพันธ์สนิท และพิจารณาได้ไม่ครบทุกแง่มุม แถมหลับหูหลับตาหาว่าเธอเป็นผู้นำเทียมเท็จ ในใจผมไม่ยำเกรงพระเจ้าเลย

จากนั้น ผมได้เห็นพระวจนะบทตอนหนึ่ง “เมื่อใครบางคนถูกพี่น้องชายหญิงเลือกให้เป็นผู้นำ หรือได้รับการส่งเสริมโดยพระนิเวศของพระเจ้าให้ทำงานบางชิ้นหรือปฏิบัติหน้าที่บางอย่าง นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีสถานะหรืออัตลักษณ์พิเศษ หรือว่าความจริงทั้งหลายที่พวกเขาเข้าใจนั้นลึกซึ้งกว่าและมีจำนวนมากกว่าความจริงทั้งหลายของผู้คนอื่นๆ—นับประสาอะไรที่จะหมายความว่าบุคคลนี้สามารถนบนอบต่อพระเจ้าและจะไม่ทรยศพระองค์  นั่นไม่ได้หมายความเช่นกันว่าพวกเขารู้จักพระเจ้าและเป็นใครบางคนที่ยำเกรงพระเจ้า  ในข้อเท็จจริงแล้ว พวกเขายังไม่ได้บรรลุสิ่งใดที่กล่าวมานี้เลย การส่งเสริมและการบ่มเพาะก็เป็นเพียงแค่การส่งเสริมและการบ่มเพาะในความหมายที่ตรงไปตรงมาที่สุด และไม่ได้เทียบเท่ากับว่าพวกเขาได้รับการลิขิตชะตาและได้รับการรับรองจากพระเจ้าแล้ว  การส่งเสริมและการบ่มเพาะของพวกเขาแค่หมายความว่าพวกเขาได้รับการส่งเสริมแล้ว และรอการบ่มเพาะอยู่  และจุดจบสุดท้ายของการบ่มเพาะนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลผู้นี้ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ และสามารถเลือกเส้นทางที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่  ด้วยเหตุนี้ เมื่อใครบางคนในคริสตจักรได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะให้เป็นผู้นำ พวกเขาก็แค่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะในความหมายที่ตรงไปตรงมา ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นผู้นำที่มีคุณสมบัติเหมาะสมแล้ว หรือเป็นผู้นำที่มีความสามารถ ว่าพวกเขาสามารถเข้ารับภาระหน้าที่ของงานผู้นำได้แล้ว และสามารถทำงานได้จริง—นั่นไม่ใช่กรณีเช่นนั้น  ผู้คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจน และพวกเขายอมรับนับถือผู้ที่ได้รับการส่งเสริมเหล่านี้ไปตามความคิดฝันของตน แต่นี่คือความผิดพลาด  ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อมากี่ปีแล้วก็ตาม ผู้ที่ได้รับการส่งเสริมเหล่านั้นครองความเป็นจริงของความจริงอย่างแท้จริงหรือไม่?  ไม่จำเป็น  พวกเขาสามารถนำการจัดการเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้ามาสู่การให้ดอกผลได้หรือไม่?  ไม่จำเป็น  พวกเขามีสำนึกแห่งความรับผิดชอบหรือไม่?  พวกเขาครองความหมายมั่นหรือไม่?  พวกเขาสามารถนบนอบต่อพระเจ้าได้หรือไม่?  เมื่อพวกเขาเผชิญประเด็นปัญหา พวกเขาสามารถสำรวจค้นหาความจริงได้หรือไม่?  ไม่มีผู้ใดรู้ทั้งหมดนี้  ผู้คนเหล่านี้มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่?  และความยำเกรงพระเจ้าของพวกเขาใหญ่หลวงเพียงใดกันแน่?  พวกเขาหมิ่นเหม่ที่จะติดตามเจตจำนงของพวกเขาเองหรือไม่เมื่อพวกเขาทำสิ่งทั้งหลาย?  พวกเขาสามารถแสวงหาพระเจ้าได้หรือไม่?  ในระหว่างเวลาที่พวกเขาปฏิบัติงานของผู้นำ พวกเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเป็นประจำและเนืองนิจเพื่อสำรวจค้นหาน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขาสามารถนำผู้คนในการเข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งความจริงได้หรือไม่?  แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ในทันที  พวกเขายังไม่ได้รับการฝึกฝนและมีประสบการณ์น้อยเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้  นี่คือสาเหตุที่การส่งเสริมและบ่มเพาะใครบางคนไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเข้าใจความจริงแล้ว อีกทั้งไม่ใช่การกล่าวว่าพวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างเป็นที่น่าพึงพอใจแล้ว  ดังนั้น จุดมุ่งหมายและนัยสำคัญของการส่งเสริมและการบ่มเพาะใครบางคนคือสิ่งใด?  นั่นก็คือ บุคคลดังกล่าวในฐานะปัจเจกบุคคล ได้รับการส่งเสริมให้ได้รับการฝึกฝน ได้รับการให้น้ำและการแนะนำเป็นพิเศษ ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถเข้าใจหลักธรรมเกี่ยวกับความจริงได้ รวมทั้งหลักธรรมเกี่ยวกับการทำสิ่งทั้งหลายที่แตกต่างกัน และหลักธรรม วิถีทาง และวิธีการสำหรับการแก้ไขปัญหานานา ตลอดจนวิธีจัดการรับมือและสะสางสภาพแวดล้อมและผู้คนนานาชนิดโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และในหนทางที่อารักขาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเมื่อพวกเขาเผชิญผู้คนและสิ่งเหล่านั้น  การนี้บ่งบอกหรือไม่ว่า ผู้ที่มีความสามารถพิเศษซึ่งได้รับการส่งเสริมและการบ่มเพาะโดยพระนิเวศของพระเจ้า สามารถพอที่จะเข้ารับภาระงานของตนและปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ในระหว่างช่วงเวลาของการส่งเสริมและการบ่มเพาะ หรือก่อนการส่งเสริมและการบ่มเพาะ?  แน่นอนว่าไม่  ด้วยเหตุนี้จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้คนเหล่านี้จะได้รับประสบการณ์กับการถูกจัดการ การตัดแต่ง การพิพากษาและการตีสอน การเปิดโปง และแม้กระทั่งการถูกแทนที่ในระหว่างช่วงเวลาของการบ่มเพาะ การนี้เป็นปกติ และนี่คือความหมายของการได้รับการฝึกฝนและบ่มเพาะ(การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ)  ผมเข้าใจจากพระวจนะ ว่าหากใครถูกเลือกเป็นผู้นำหรือคนทำงาน ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาเข้าใจความจริง และมีคุณสมบัติเพียบพร้อมในงาน และไม่ได้แปลว่าพวกเขาเข้าใจทุกอย่าง และทำงานทุกประเภทได้สมบูรณ์ คนที่ได้เลื่อนขั้น เป็นเพียงคนที่มีขีดความสามารถ และมีความสามารถในงานอยู่บ้าง เป็นคนที่ยอมรับ และไล่ตามความจริงได้ พระนิเวศจึงให้โอกาสพวกเขาได้รับการบ่มเพาะ และฝึกฝน จากการพบและแก้ไขปัญหาในงานอยู่ตลอด สุดท้ายพวกเขาก็ได้รับความจริงขึ้นบ้าง และเรียนรู้ที่จะทำตัวตามหลักธรรม แต่ระหว่างช่วงนี้ ผู้นำและคนทำงานยังอยู่ในขั้นของการฝึก จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการเบี่ยงเบน ข้อบกพร่อง และข้อเสียในงาน และเราควรปฏิบัติต่อเรื่องนั้นให้ถูกต้อง เมื่อมีปัญหาหรือความยากลำบาก เราควรแสวงหา สามัคคีธรรม และแก้ไขสิ่งต่างๆ กับผู้นำ งานถึงจะมีประสิทธิภาพได้ ถ้าเราเรียกร้องจากผู้นำและคนทำงานมากไป ถ้าเราผลักทุกปัญหาที่เจอให้พวกเขาแก้ไข หรือพอแก้ปัญหาได้ช้า เราก็นิยามพวกเขาว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ การปฏิบัติต่อผู้นำแบบนี้มันไร้หลักธรรม และไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัย ผ่านพระวจนะ ผมถึงเห็นว่าการปฏิบัติต่อผู้นำของผมไม่เป็นไปตามหลักธรรมของความจริง แต่เป็นมโนคติอันหลงผิด และจินตนาการของผมเอง ผมต้องการจากตัวผู้นำสูง และเรียกร้องมากเกินไป พอเห็นผู้นำไม่ได้ติดตามหน้าที่ของผมอย่างเหมาะสม และไม่รีบแก้ไขปัญหาและความยากลำบากของผม ผมก็นิยามเธอว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ ผมไม่ดูเบื้องหลัง หรือความคืบหน้าโดยรวมในงานของเธอ และไม่คำนึงเลยว่า เธอยอมรับความจริง หรือเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ให้ดีได้หรือไม่ ผมเพียงแต่หลับหูหลับตากล่าวโทษเธอว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ ตามข้อมูลที่ผมได้เห็นเพียงด้านเดียว นี่ไม่ใช่ความยุติธรรม มันคือการก่อความไม่สงบ และล่วงละเมิดหลักธรรมของความจริง ผมได้เห็นว่าผมไม่เข้าใจความจริง และไม่ได้ปฏิบัติต่อผู้นำและคนทำงานด้วยหลักธรรม ที่ร้ายแรงกว่านั้น คือผมไม่ยำเกรงพระเจ้าในหัวใจเลย ผมทำปัญหาที่เล็กน้อยที่สุดของผู้นำให้เป็นเรื่องใหญ่ และกล่าวโทษเธอโดยไม่ระวัง แถมยังยึดติดทุกประเด็น ผมไม่ได้ปฏิบัติต่อเธอตามธรรมชาติและแก่นแท้ของเธอ หรือสถานการณ์จริง พฤติกรรมของผม เหมือนที่ผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ กดขี่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พอคิดแบบนี้ จู่ๆ ผมก็กลัวขึ้นมาจับใจ ผมตระหนักได้ว่า ธรรมชาติของปัญหานั้นร้ายแรง หากพี่โจวไม่รู้ถึงสถานการณ์นี้ และยอมฟังผมและปลดพี่หลี่ มันคงกระทบต่องานของคริสตจักร แบบนั้นผมก็คงทำชั่วไม่ใช่หรือ? นั่นคงเป็นการฝ่าฝืนครั้งใหญ่ทีเดียว! ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้กับผมอีกครั้ง ผมจะพึ่งพาจินตนาการของตัวเองเพื่อประเมินคนอื่นไม่ได้ ผมต้องแสวงหาหลักธรรมของความจริงให้มากขึ้น ปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเป็นธรรมตามที่พระเจ้ามีข้อพึงประสงค์ และทำสิ่งต่างๆ อย่างมีหลักธรรม

จากนั้น พี่หลี่ก็มาหาผม และพูดคุยกับผมถึงสภาวะ และปัญหาในงานที่เธอมีช่วงนั้น เธอบอกว่าอยากเปลี่ยนแปลง เธอรู้ปัญหาและความยากลำบากในงานของผมแล้ว และได้เอกสารกับผมเพื่อสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงในแต่ละทีม ผมตระหนักได้ว่า เธอไม่ใช่คนที่ไม่ยอมรับความจริง ถึงแม้จะมีการตกหล่นในงาน และมีส่วนที่เธอไม่ได้ตามไปบ้าง แต่พอรู้ว่ามีปัญหา เธอก็เปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ผมเห็นว่าที่จริงเธอไม่ใช่ผู้นำเทียมเท็จ ที่ไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง

ทีแรก ผมคิดว่าผมเข้าใจปัญหานี้อยู่บ้าง ที่ว่าผมไม่เข้าใจความจริง และแยกแยะผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ จนทำให้ผมทำพลาดในครั้งนี้ แต่ครั้งหนึ่งที่การนัดพบ ผมได้ยินพี่น้องชายหญิงพูดว่า บางครั้ง ความผิดพลาดก็ไม่ใช่แค่การขาดปัญญาแยกแยะ หรือขาดความเข้าใจความจริง เราต้องดูด้วยว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น มาจากแรงจูงใจที่ปนเปื้อน หรืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม ผมได้อ่านเพราะพระวจนะที่ว่า “จงอย่าคำนึงถึงการล่วงละเมิดของเจ้าว่าเป็นเพียงความผิดพลาดของบุคคลหนึ่งซึ่งยังไม่เป็นผู้ใหญ่หรือโง่เขลา จงอย่าใช้ข้ออ้างว่าเจ้าไม่ได้ฝึกฝนปฏิบัติความจริงเพราะขีดความสามารถต่ำของเจ้าทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะทำเช่นนั้น  ที่มากกว่านั้นก็คือ จงอย่าเพียงคำนึงถึงการล่วงละเมิดที่เจ้าได้กระทำลงไปว่าเป็นการปฏิบัติตนของใครบางคนที่ไม่ได้รู้อะไรดีไปกว่านี้  หากเจ้าเก่งในการยกโทษให้ตัวเองและปฏิบัติต่อตัวเจ้าเองด้วยความใจกว้าง เช่นนั้นแล้วเราย่อมกล่าวว่าเจ้าคือคนขลาดที่จะไม่มีวันได้รับความจริง และการล่วงละเมิดของเจ้าจะไม่มีวันหยุดตามหลอกหลอนเจ้า พวกมันจะคอยกันไม่ให้เจ้าทำตามข้อเรียกร้องแห่งความจริงได้ และเป็นเหตุให้เจ้าคงความเป็นพวกพ้องที่จงรักภักดีของซาตานไปตลอดกาล(“การฝ่าฝืนจะนำทางมนุษย์ไปสู่นรก” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  พออ่านพระวจนะผมก็เข้าใจว่า เมื่อมีสภาพแวดล้อมเกิดขึ้น เราจะแค่ปล่อยผ่านไปไม่ได้ เราต้องแสวงหาความจริง และมารู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง ถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลง และความเติบโตในชีวิตที่แท้จริง ถ้าเราทำว่าการฝ่าฝืน เป็นความผิดพลาดเพียงชั่วคราวเสมอ รู้สึกว่ามันไม่สำคัญ ตัดสินใจว่าคราวหน้าค่อยสนใจ และให้อภัยการฝ่าฝืนของตัวเองเสมอ เราก็จะไม่มีวันเข้าใจปัญหาของตัวเอง จะไม่มีวันได้รับความจริง และในที่สุด ยิ่งการฝ่าฝืนเพิ่มมากขึ้น และตัวเราไม่เปลี่ยนเลย พระเจ้าก็จะทรงรังเกียจ และขับเราออก ผ่านสิ่งที่เปิดเผยในพระวจนะ ผมก็เริ่มทบทวน ว่าเมื่อสภาพแวดล้อมนี้มาถึงผม ในหัวผมคิดอะไรกันแน่ และผมเปิดโปงแรงจูงใจอันบนเปื้อนหรืออุปนิสัยเสื่อมทรามใด ผ่านการทบทวนผมก็พบว่า เมื่อผมเห็นปัญหาของผู้นำ ที่จริงผมไม่แน่ใจว่าที่เห็นนั้นถูกไหม และอยากอ่านพระวจนะเพิ่มเติม แต่พอได้ยินว่าพี่หลี่ไม่ติดตามงานของเจ้าหน้าที่ธุรการคนอื่น และระดับสูงกำลังตรวจสอบการทำงานของเธอ ผมก็เชื่อว่าเธอต้องเป็นผู้นำเทียมเท็จแน่นอน และผมต้องรีบรายงานต่อระดับสูงของพี่หลี เพื่อให้พี่น้องชายหญิงเห็นว่า ผมมีความยุติธรรม และมีปัญญาแยกแยะ ดังนั้น ผมจึงนิยามพี่หลี่อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ ตามข้อมูลเพียงเล็กน้อยที่ผมได้ยินมา โดยไม่เข้าใจหลักธรรมของความจริง ไม่แสวงหาต่อ และไม่รู้ถึงเบื้องหลังหรือเหตุผล ผมถึงกับคิดว่าตัวเองเห็นสิ่งต่างๆอย่างถูกต้อง และมันไม่ควรมีปัญหาใดๆ แต่ตอนนี้ผมตระหนักแล้วว่า ผมประมาทเกินไป และมีเจตนาที่ผิด ผมได้ทบทวนว่า “ทำไมผมถึงรายงานผู้นำโดยไม่เข้าใจหลักธรรมของความจริง? ต้นกำเนิดของปัญหาคืออะไร?”

ผมได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะ “มีผู้คนมากมายที่ทำตามแนวคิดของตนเองไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดก็ตาม และพิจารณาสิ่งทั้งหลายในแบบที่เรียบง่ายเกินจริงอย่างมาก และไม่แสวงหาความจริงด้วย  ไม่มีหลักธรรมอย่างสิ้นเชิง และในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่ได้นึกถึงวิธีปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้าทรงขอ หรือในหนทางที่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และพวกเขารู้เพียงแต่จะทำไปตามเจตจำนงของตนเองอย่างดื้อรั้นดันทุรังเท่านั้น พระเจ้าไม่มีที่ทางในหัวใจของผู้คนเช่นนี้  ผู้คนบางคนพูดว่า ‘ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าก็ต่อเมื่อฉันเผชิญความลำบากยากเย็นเท่านั้น แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าการนี้มีผลพวงอันใด—ดังนั้น โดยทั่วไปแล้วเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับฉันตอนนี้ ฉันก็ไม่อธิษฐานต่อพระเจ้า เพราะการอธิษฐานต่อพระเจ้าไม่มีประโยชน์’  พระเจ้าขาดหายไปจากหัวใจของผู้คนเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง  พวกเขาไม่แสวงหาความจริงไม่ว่าพวกเขากำลังทำสิ่งใดอยู่ พวกเขาเพียงแค่ทำตามแนวคิดของตนเองเท่านั้น  ดังนั้นแล้วการกระทำของพวกเขามีหลักธรรมหรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอน  พวกเขามองทุกสิ่งอย่างเรียบง่าย  แม้ในเวลาที่ผู้คนสามัคคีธรรมหลักธรรมแห่งความจริงกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่สามารถยอมรับหลักธรรมเหล่านั้นได้ เพราะการกระทำทั้งหลายของพวกเขาไม่เคยมีหลักธรรมอันใดเลย พระเจ้าไม่ทรงมีที่ทางในหัวใจของพวกเขา และในหัวใจของพวกเขาก็ไม่มีใครเลยนอกจากตนเอง  พวกเขารู้สึกว่าความตั้งใจทั้งหลายของตนนั้นดี ว่าพวกเขาไม่ได้กำลังกระทำความชั่ว ว่าความตั้งใจทั้งหลายของพวกเขาไม่สามารถถูกพิจารณาได้ว่าเป็นการละเมิดความจริง พวกเขาคิดว่าการปฏิบัติตนไปตามความตั้งใจของตนเองควรจะเป็นการปฏิบัติความจริง ว่าการปฏิบัติตนเช่นนั้นเป็นการเชื่อฟังพระเจ้า  อันที่จริง พวกเขาไม่ได้กำลังแสวงหาหรืออธิษฐานต่อพระเจ้าในเรื่องนี้อย่างแท้จริง แต่กระทำการตามความรู้สึกชั่วแล่น ตามเจตนาอันแรงกล้าของพวกเขาเอง พวกเขาไม่ได้กำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนตามที่พระเจ้าทรงขอ พวกเขาไม่มีหัวใจที่เชื่อฟังพระเจ้า ความปรารถนาเช่นนี้ไม่มีอยู่ในตัวพวกเขา  นี่เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในการปฏิบัติของผู้คน  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่ทว่าพระองค์ไม่ทรงอยู่ในหัวใจของเจ้า เจ้าไม่ได้กำลังพยายามหลอกลวงพระเจ้าอยู่หรอกหรือ?  และความเชื่อเช่นนั้นในพระเจ้าสามารถส่งผลพวงใดได้เล่า?  เจ้าสามารถได้รับสิ่งใดกันแน่?  และสิ่งใดหรือที่เป็นประเด็นของความเชื่อเช่นนั้นในพระเจ้า?(“การแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการปฏิบัติความจริง” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  ผ่านสิ่งที่เปิดเผยในพระวจนะ ผมก็เห็นว่า เมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น ผมแทบไม่แสวงหาความจริง และปฏิบัติตามหลักธรรมเลย ผมกลับคิดว่าความคิดของผมคือความจริง และทำตามแนวคิดของตัวเอง ในหัวใจผมไม่ได้มีที่สำหรับพระเจ้า และไม่ได้ยำเกรงพระเจ้าเลย คนที่ยำเกรงพระเจ้า จะแสวงหาหลักธรรมของความจริง และสิ่งที่พระวจนะพูดถึงประเด็นเหล่านี้ก่อน แล้วดูผู้คนและสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะและความจริง การที่ผมไร้ซึ่งปัญญาแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ ผมควรแสวงหาความจริง เข้าใจให้ชัดเจนว่าอะไรคือผู้นำเทียมเท็จและการสำแดงของพวกเขา เข้าใจวิธีกำหนดผู้นำเทียมเท็จ และเข้าใจหลักธรรมของความจริงอื่นๆ แต่ผมไม่ทำอย่างนั้น ผมตัดสินตามอำเภอใจ ตามความคิดและจินตนาการของตัวเอง ผมคิดว่าเธอเป็นผู้นำเทียมเท็จ เพราะไม่ตามงานและไม่แก้ไขปัญหาของผม ถึงระหว่างนี้ผมจะอ่านพระวจนะ แต่ผมก็ไม่เข้าใจ พอเห็นพระวจนะบรรทัดที่เกี่ยวกับผู้นำเทียมเท็จที่ดูนำมาใช้ได้ ผมก็นำมาใช้ สรุปเอาว่าเธอเป็นผู้นำเทียมเท็จ แถมคิดว่าตัวเองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ถูกต้องแม่นยำมาก ที่จริงผมกำลังตีความผิด และนำกฎมาใช้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า และตลอดกระบวนการนี้ ผมรู้สึกไม่สบายใจ ผมอยากแสวงหาเพิ่ม และสัมพันธ์สนิทกับพี่หลี่ก่อนจะรายงาน แต่ผมคิดว่าพฤติกรรมของพี่หลีชัดเจนมากอยู่แล้ว และตรงกับที่พระวจนะว่าไว้ ทำไมต้องแสวงหาเพิ่ม? ผมจึงไม่อธิษฐานหรือแสวงหาเพิ่มเติม เอาแต่ทำตัวตามแนวคิดของตนเอง ผมเห็นว่าผมทำตามอุปนิสัยอันโอหัง และทำตัวประมาท ผมทำสิ่งต่างๆ ตามแนวคิด และความคิดของตัวเอง ขณะที่ละวางความจริงไว้ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วผมคงทำชั่ว สิ่งนี้อันตรายเกินไป! และแล้ว ผมก็ได้เห็นว่า ผมมีความเป็นมนุษย์ที่แย่ ผมไม่ได้คำนึงถึงน้ำพระทัย และไม่ได้คุ้มกันผลประโยชน์ของคริสตจักรจริงๆ คนที่มีความเป็นมนุษย์และเหตุผล ควรให้การช่วยเหลือที่ทันการณ์ และคอยเตือนเมื่อเห็นงานของคริสตจักรตกหล่น หรือแสวงหาความจริงร่วมกับผู้นำ และดูว่าจะแก้ปัญหายังไง แต่พอผมเห็นปัญหาในงานของผู้นำ ผมก็ไม่ได้ยกมาแสวงหาและสามัคคีธรรม แต่กลับเก็บซ่อนมันไว้ และรายงานต่อผู้นำที่สูงกว่าเธอ ระดับสูงของเธอจะได้คิดว่า ผมมีปัญญาแยกแยะ แทนที่จะพูดถึงสิ่งเหล่านี้อย่างเปิดเผยกับพี่หลี่ ผมกลับแทงข้างหลังเธอ และใช้การรายงานปัญหาของเธอเพื่ออวดตน ผมเห็นว่าในใจผมช่างมุ่งร้าย และน่ารังเกียจ พอตระหนักได้ มันก็อึดอัดใจ ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองเป็นคนแบบนี้ ผมไม่ได้เข้าใจความจริงชัดเจน และไม่อาจแยกแยะผู้นำเทียมเท็จได้ แถมยังโอหัง และไร้เหตุผลมาก ตอนที่รายงานเรื่องผู้นำ ผมพอใจในตัวเองมาก เพราะรู้สึกว่านอกจากผม ก็ไม่มีใครแยกแยะได้ว่าพี่หลี่เป็นผู้นำเทียมเท็จ และผมเข้าใจหลักธรรมของความจริงดีที่สุด พอมาคิดดู ผมก็ตระหนักว่าผมไม่ได้เข้าใจอะไรเลย ผมเข้าใจแค่หลักคำสอน แต่ก็ยังเอากฎมาใช้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ผมไม่เข้าใจหลักธรรมของความจริง แต่ก็ยังรายงานโดยไม่คิดถึงผลที่ตามมา ผมไม่ได้คำนึงว่าการรายงานที่ผิดพลาด จะกระทบต่องานของคริสตจักร หรือสร้างความเสียหายต่อพี่หลี่หรือไม่ ผมได้เห็นว่า ตอนรายงานเรื่องเธอ ผมไม่ได้คำนึงถึงน้ำพระทัย หรือคุ้มกันผลประโยชน์ของคริสตจักร ผมทำแบบนั้นเพื่ออวดตน ผมรายงานไปตามอำเภอใจโดยไร้หลักธรรม สิ่งนี้ก่อความไม่สงบต่องานปกติของพระนิเวศไม่ใช่หรือ? ผมไม่ได้สะสมการทำดี ผมกำลังทำชั่วต่างหาก!

ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะ และเรียนรู้หลักธรรมในการปฏิบัติต่อผู้นำและคนทำงาน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้คนต้องไม่มีความคาดหวังที่สูงหรือข้อเรียกร้องที่เกินความจริงต่อบรรดาผู้ที่ได้รับการส่งเสริมและการบ่มเพาะ นั่นย่อมจะไม่สมเหตุสมผล และไม่เป็นธรรมกับพวกเขา  พวกเจ้าสามารถสอดส่องงานของพวกเขา และหากพวกเจ้าพบเจอปัญหาหรือสิ่งที่ละเมิดหลักธรรมในครรลองแห่งการทำงานของพวกเขา เจ้าก็สามารถหยิบยกประเด็นปัญหานั้นมาแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องราวเหล่านี้  สิ่งที่พวกเจ้าไม่ควรทำคือตัดสิน กล่าวโทษ โจมตี หรือกีดกันพวกเขาออกไป เพราะพวกเขายังอยู่ในช่วงเวลาของการบ่มเพาะ และไม่ควรถูกมองว่าเป็นผู้คนที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้ว นับประสาอะไรที่จะเป็นผู้คนที่เพียบพร้อม หรือผู้คนที่ครองความเป็นจริงของความจริง  พวกเขาก็เป็นเหมือนพวกเจ้า กล่าวคือ นี่คือเวลาที่พวกเขากำลังรับการฝึกฝน…ดังนั้นแล้ว หนทางที่มีเหตุผลที่สุดที่จะปฏิบัติตนกับพวกเขาคือสิ่งใด?  การคิดถึงพวกเขาในฐานะผู้คนธรรมดา และการสามัคคีธรรมกับพวกเขาและเรียนรู้จากจุดแข็งของกันและกัน และเติมเต็มซึ่งกันและกันเมื่อมีปัญหาที่จำเป็นต้องตรวจค้น  นอกจากนี้ยังเป็นความรับผิดชอบของทุกคนที่จะต้องจับตาดูผู้นำและคนทำงานว่ากำลังทำงานจริงหรือไม่ พวกเขาใช้ความจริงแก้ปัญหาหรือไม่ เหล่านี้คือมาตรฐานและหลักธรรมสำหรับประเมินวัดว่าผู้นำหรือคนทำงานดีพอหรือไม่  หากพวกเขาสามารถจัดการและแก้ปัญหาทั่วไปได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มีความสามารถพอ  แต่หากพวกเขาไม่สามารถรับมือและแก้ไขปัญหาธรรมดาได้ พวกเขาก็ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน และต้องถูกปลดออกโดยเร็ว  จงเลือกคนอื่น และจงอย่าทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าล่าช้า  การทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าล่าช้าเป็นการทำร้ายตัวเจ้าเองและผู้อื่น นั่นไม่เป็นการดีสำหรับผู้ใดเลย(การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ)  หลังอ่านพระวจนะ ผมก็เข้าใจว่าจะปฏิบัติต่อผู้นำและคนทำงานยังไง ผู้นำที่ได้รับการเลื่อนขั้นจากพระนิเวศ ไม่ได้เข้าใจความจริงทั้งหมดและไม่มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่ได้เข้าใจงานทุกชิ้น หรือรู้จักมันเป็นอย่างดี พวกเขายังอยู่ในช่วงของการฝึก และสามารถแสดงความเสื่อมทรามและการเบี่ยงเบนออกมาได้ เราควรปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเป็นธรรม และไม่เรียกร้องจากพวกเขามากเกินไป ไม่ขอให้พวกเขาทำงานทุกชิ้นอย่างสมบูรณ์แบบโดยไร้เหตุผล และไม่แสดงการเบี่ยงเบนหรือการตกหล่น กลับกันเราต้องเข้าใจ อดทน และให้ความร่วมมือเพื่อทำงานของพระนิเวศ นี่คือการคำนึงถึงน้ำพระทัย นี่คือการปฏิบัติต่อผู้นำและคนทำงานโดยสอดคล้องกับหลักธรรม อีกอย่าง เรามีหน้าที่สอดส่องงานของเหล่าผู้นำ เราควรยอมรับและเชื่อฟัง เมื่อพฤติกรรมของผู้นำสอดคล้องกับความจริง แต่หากไม่สอดคล้องกับหลักธรรมของความจริง เราก็ควรยกประเด็นมาสามัคคีธรรม และช่วยเหลือพวกเขาให้ทันการณ์ พวกเขาจะได้ตระหนักถึงการเบี่ยงเบนในหน้าที่ของตน และแก้ไขให้ถูกโดยเร็ว สิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา และต่องานของพระนิเวศ ถ้าใครถูกกำหนดว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงตามหลักธรรมของความจริง พวกเขาก็ควรถูกเปิดโปง และถูกรายงาน พอตระหนักได้ หัวใจผมก็สว่างขึ้น และผมรู้วิธีปฏิบัติต่อผู้นำและควรทำงานในอนาคตแล้ว

ถึงคราวนี้ การรายงานผู้นำของผมจะผิด ผมก็ได้เข้าใจหลักธรรมของความจริงบางอย่าง เรื่องการแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ ผมได้รู้ว่าควรปฏิบัติต่อผู้นำและคนทำงานยังไง ได้เข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเองขึ้นบ้าง และได้เรียนรู้บางบทเรียนด้วย ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 20. ฉันได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าแล้ว

ถัดไป: 22. เรื่องราวของการประกาศแก่ศิษยาภิบาลคนหนึ่ง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger