94. การพึ่งพาพระเจ้าเป็นปัญญาสูงสุด
ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2011 ฉันได้พบกับคนจากหมู่บ้านเดียวกันชื่อฟางหมิน เธอเป็นคนที่มีความเป็นมนุษยที่ดีและใจดีมาก เธอเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามา 20 กว่าปีแล้ว ทั้งยังเข้าร่วมการชุมนุมและอ่านพระคัมภีร์อยู่เสมอ เธอเป็นผู้เชื่อที่แท้จริง ฉันจึงอยากจะแบ่งปันข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับเธอ ในตอนนั้น ฉันเชื่อในพระเจ้าได้ไม่นานและเข้าใจความจริงน้อยมาก ก็เลยขอให้พี่น้องหญิงซ่งเจียอิ๋น ช่วยเป็นพยานยืนยันให้พระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้ากับฟางหมิน ผ่านการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้า และการอ่านพระวจนะของพระองค์ ฟางหมินก็ตัดสินใจที่จะสืบค้นเพิ่มเติมในทันที ตอนนั้นฉันรู้สึกดีใจมาก แต่ไม่กี่วันต่อมา พอฉันไปเยี่ยมฟางหมิน เธอก็บอกว่าเธอไม่อยากจะสืบค้นต่อแล้ว เธอพูดว่า “ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และรู้สึกว่าดี ก็เลยโทรไปหาแม่และบอกข่าวดีเรื่องการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า แม่ฉันบอกว่าสิ่งที่พวกเธอเชื่อนั้นคือฟ้าแลบจากทิศตะวันออก และฉันไม่ควรเชื่อ นักเทศน์ของเรามักพูดเสมอว่า พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าทั้งหมดอยู่ในพระคัมภีร์ ไม่มีพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าอยู่นอกพระคัมภีร์ พวกเขาบอกว่าการประกาศของฟ้าแลบจากทิศตะวันออกนั้นออกนอกพระคัมภีร์ และเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า” เมื่อเห็นว่าฟางหมินถูกแม่ของเธอและนักเทศน์ในโบสถ์ชักพาให้หลงผิด ฉันก็พูดด้วยความกังวลว่า “ถ้าผู้คนในศาสนาเชื่อว่าพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าอยู่ในพระคัมภีร์ และไม่ปรากฎอยู่นอกพระคัมภีร์ นั่นไม่ใช่การตีกรอบให้พระเจ้าอยู่เพียงในพระคัมภีร์หรอกเหรอ? พระเจ้าไม่สามารถทรงงานใหม่นอกพระคัมภีร์ หรือตรัสพระวจนะใหม่ๆ ได้จริงๆ เหรอ? พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง เป็นต้นกำเนิดแห่งชีวิต พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยมหิทธิฤทธิ์ พระปัญญา และความสมบูรณ์พร้อม ลำพังพระคัมภีร์เพียงอย่างเดียวสามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้ทั้งหมดเหรอ? พระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าจะมีแค่สิ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ได้ยังไง? พระราชกิจของพระเจ้าใหม่อยู่เสมอและไม่เคยเก่าเลย พระราชกิจของพระองค์แต่ละระยะสร้างบนพื้นฐานของระยะก่อนหน้า และพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจที่ใหม่กว่าและสูงส่งขึ้นในแต่ละระยะ เช่น ในยุคธรรมบัญญัติในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าทรงมอบธรรมบัญญัติเพื่อชี้นำการใช้ชีวิตของผู้คนบนแผ่นดินโลก แต่ในยุคพระคุณในพันธสัญญาใหม่ พระองค์ไม่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจของยุคธรรมบัญญัติซ้ำอีก กลับกัน บนพื้นฐานของพระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติ พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่บาปให้มวลมนุษยชาติทั้งปวง พระราชกิจใหม่นี้มีบันทึกไว้ในพันธสัญญาเดิมหรือเปล่า? เปล่าเลย ผู้ที่ยึดมั่นในพันธสัญญาเดิม และไม่ยอมรับพระราชกิจใหม่ขององค์พระเยซูเจ้า ล้วนถูกพระเจ้าทรงละทิ้งและกำจัดออกไป เรื่องแบบเดียวกันนี้ก็เป็นจริงสำหรับระยะของพระราชกิจในยุคสุดท้ายนี้ ตามแผนงานแห่งการช่วยให้รอดของพระองค์ พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาตามความจำเป็นของผู้คน เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องบาปของผู้คนอย่างบริบูรณ์ เพื่อที่ผู้คนจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ มีเพียงการติดตามรอยพระบาทของพระเมษโปดกและการยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าเท่านั้น เราจึงจะได้รับความรอดของพระเจ้าและเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้ แม่ของเธอยังไม่ได้อ่านพระวจนะใหม่ของพระเจ้า ท่านจึงไม่เข้าใจ และนั่นเป็นสาเหตุที่ท่านพูดแบบนั้น เธอน่าจะสืบค้นดูก่อน อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ หากพลาดการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เธอจะไม่มีโอกาสได้รับความรอดจากพระเจ้าอีกเลยนะ” แต่ไม่ว่าฉันจะพูดอะไร เธอก็ไม่ยอมฟัง ฉันอยากจะขอให้พี่น้องหญิงอีกคนมาสามัคคีธรรมกับฟางหมิน แต่เธอก็ไม่ยอม เธอยังบอกด้วยว่าเธอจะกลับบ้านเกิดในอีกไม่กี่วันและได้ซื้อตั๋วรถไฟไว้แล้ว ฉันรู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก เธอถูกก่อกวนและเริ่มลังเลแล้ว หากเธอกลับไปยังบ้านเกิด ศิษยาภิบาลและพวกนักเทศน์จะไม่ก่อกวนเธอมากขึ้นไปอีกเหรอ? แต่ฟางหมินตัดสินใจไปแล้ว ฉันรู้ว่าเธอจะไม่ฟังสิ่งที่ฉันพูดในตอนนั้น ฉันจึงต้องออกมา
หลังจากกลับถึงบ้าน เมื่อคิดถึงความหวังอันน้อยนิดที่จะประกาศข่าวประเสริฐให้ฟางหมินในเมื่อเธอกำลังจะกลับบ้านเกิด ฉันมีความเชื่อน้อยนิดและคิดว่าการประกาศข่าวประเสริฐนั้นยากเกินไป ยิ่งคิด ฉันยิ่งรู้สึกแย่ลง ในขณะที่ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดลบ ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ในยุคพระคุณ พระเยซูทรงมีความกรุณาและมีพระคุณให้กับเหล่ามนุษย์ หากแกะตัวหนึ่งหายออกไปจากหนึ่งร้อยตัว พระองค์จะทรงทิ้งเก้าสิบเก้าตัวเพื่อมองหาหนึ่งตัวนั้น ประโยคนี้มิได้แสดงให้เห็นถึงการกระทำอย่างเครื่องจักรประเภทหนึ่ง และไม่ได้แสดงถึงข้อบังคับ ตรงกันข้าม นี่แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์เร่งด่วนของพระเจ้าในการที่จะนำพาความรอดมาสู่ผู้คน ตลอดจนความรักอันลึกซึ้งของพระองค์สำหรับพวกเขา นี่ไม่ใช่หนทางของการทำสิ่งทั้งหลาย นี่เป็นอุปนิสัยประเภทหนึ่ง ความรู้สึกนึกคิดจำพวกหนึ่ง” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) พระวจนะของพระเจ้าช่างจับใจอย่างยิ่ง หากแม้แกะเพียงตัวเดียวจากร้อยตัวพลัดหลงไป พระเจ้าก็จะทิ้งแกะเก้าสิบเก้าตัวนั้นเพื่อไปตามหาแกะตัวที่พลัดหลง ฉันเห็นถึงความปรารถนาอันมุ่งมั่นและจริงใจของพระเจ้าที่จะช่วยผู้คนให้รอด พระเจ้าไม่ต้องการสูญเสียผู้มีความเชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงเลยแม้สักคน ความรักของพระเจ้าที่มีต่อผู้คนนั้นยิ่งใหญ่มาก ขณะที่ฉันใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกละอายใจ เพื่อช่วยมนุษยชาติที่เสื่อมทรามให้รอด พระเจ้าทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์บนโลกและทรงยอมลำบากอย่างใหญ่หลวง ทั้งหมดนี้เพื่อหวังให้ผู้เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริง ได้มาเฉพาะพระพักตร์พระองค์และยอมรับความรอดของพระองค์ แต่พอฉันพบกับความลำบากยากเย็นในการประกาศข่าวประเสริฐ ฉันกลับกลายเป็นคิดลบและถอยหนี ฉันช่างไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเอาเสียเลย แม้ว่าฟางหมินจะถูกชักพาให้หลงผิดและถูกก่อกวน และมีมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาบางอย่าง แต่เธอก็เป็นผู้มีความเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ฉันต้องทำให้ดีที่สุด เพื่อสามัคคีธรรมความจริงกับเธอ ขจัดมโนคติอันหลงผิดของเธอ และนำเธอมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ นี่คือหน้าที่ของฉัน ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งที่ว่า “หัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ถูกกุมไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และทุกอย่างในชีวิตของพวกเขาก็อยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อเรื่องทั้งหมดนี้หรือไม่ก็ตาม ทุกสิ่งและทุกอย่าง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นมาใหม่และปลาสนาการไปตามพระดำริของพระเจ้า นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์) พระวจนะของพระเจ้าได้มอบความเชื่อและความเข้มแข็งแก่ฉัน ทุกสรรพสิ่งล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า รวมถึงความนึกคิดและแนวคิดของผู้คนด้วย ในสายตามนุษย์ ตอนนี้ฟางหมินถูกก่อกวน และกำลังจะกลับไปบ้านเกิดของเธอ ความหวังที่จะประกาศข่าวประเสริฐให้เธอดูเหมือนจะน้อยนิด แต่พระเจ้าทรงอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง หากเธอเป็นแกะของพระเจ้า เธอก็จะเข้าใจพระสุรเสียงของพระองค์ ทั้งหมดที่ฉันทำได้คือพยายามร่วมมืออย่างเต็มที่ จนกว่าจะถึงปลายทางของเรื่องนี้ ฉันจะถอดใจง่ายๆ ไม่ได้ เมื่อตระหนักได้แบบนี้ ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า “ข้าแต่พระเจ้า! ฟางหมินถูกก่อกวน และตอนนี้เธอไม่กล้าสืบค้นหนทางที่แท้จริง ข้าพระองค์วางใจมอบเธอไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ หากเธอเป็นแกะของพระองค์ ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะทำให้ดีที่สุดเพื่อประกาศข่าวประเสริฐแก่เธอ” หลังจากนั้น ฉันก็ได้รู้ว่า ฟางหมินคิดว่ารถไฟที่เธอจองไว้ออกเวลา 21.10 น. แต่ในความเป็นจริง รถไฟคันนั้นออกเวลา 9.10 น. ทำให้เธอไม่สามารถออกเดินทางได้ ฉันได้เห็นว่าหัวใจและจิตวิญญาณของผู้คนล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และพระเจ้าเป็นผู้ทรงจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันขอบคุณพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ในหัวใจ และฉันก็มีความเชื่อมากขึ้นในการประกาศข่าวประเสริฐให้ฟางหมิน
หลังจากนั้น ฉันไปพบฟางหมิน และเห็นว่าเธอยังยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดของตัวเอง ฉันจึงอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้เธอฟัง “เนื่องจากว่าพวกเรากำลังตามหาก้าวพระบาทของพระเจ้า จึงจำเป็นที่พวกเราต้องค้นหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้า ถ้อยดำรัสของพระองค์—เพราะที่ใดก็ตามที่มีพระวจนะใหม่ๆ ที่พระเจ้าตรัส พระสุรเสียงของพระเจ้าอยู่ที่นั่น และที่ใดที่มีก้าวพระบาทของพระเจ้า กิจการต่างๆ ของพระเจ้าก็อยู่ที่นั่น ที่ใดก็ตามที่มีการทรงแสดงออกของพระเจ้า ที่นั่นพระเจ้าทรงปรากฏ และที่ใดที่พระเจ้าทรงปรากฏ ที่นั่นความจริง หนทาง และชีวิตดำรงอยู่ ในการค้นหาก้าวพระบาทของพระเจ้า พวกเจ้าได้ละเลยคำว่า ‘พระเจ้าคือความจริง หนทาง และชีวิต’ และดังนั้น ผู้คนมากมายแม้ในเวลาที่พวกเขาได้รับความจริงจึงไม่เชื่อว่าพวกเขาได้พบก้าวพระบาทของพระเจ้าแล้ว และพวกเขายิ่งไม่ยอมรับการทรงปรากฏของพระเจ้า เป็นความผิดพลาดร้ายแรงยิ่งนัก! การทรงปรากฏของพระเจ้าไม่สามารถลงรอยกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ได้ และพระเจ้ายิ่งไม่สามารถจะปรากฏโดยคำขอของมนุษย์ พระเจ้าทรงทำการเลือกและทรงทำแผนการของพระองค์เองเมื่อพระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นพระองค์ทรงมีวัตถุประสงค์ของพระองค์เองและวิธีการของพระองค์เอง ไม่ว่าพระองค์จะทรงพระราชกิจใด พระองค์ไม่ทรงมีความจำเป็นต้องหารือกับมนุษย์หรือหาคำแนะนำของเขา นับประสาอะไรที่จะต้องทรงแจ้งให้ทุกๆ คนรู้ถึงพระราชกิจของพระองค์ นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้นทุกคนควรยอมรับการนี้ หากพวกเจ้าปรารถนาที่จะประจักษ์ในการทรงปรากฏของพระเจ้า ตามก้าวพระบาทของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องเดินออกห่างจากมโนคติอันหลงผิดของเจ้าเสียก่อน เจ้าต้องไม่เรียกร้องให้พระเจ้าทรงทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น นับประสาอะไรที่เจ้าจะควรวางพระองค์ไว้ในขอบเขตของเจ้าเองและจำกัดพระองค์ไว้ในมโนคติอันหลงผิดของเจ้าเอง แต่เจ้ากลับควรเรียกร้องตัวพวกเจ้าเองว่าพวกเจ้าควรที่จะแสวงหาก้าวพระบาทของพระเจ้าอย่างไร เจ้าควรที่จะยอมรับการทรงปรากฏของพระเจ้าอย่างไร และเจ้าควรที่จะยอมจำนนต่อพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าอย่างไร กล่าวคือ นี่คือสิ่งที่มนุษย์ควรทำ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 1: การทรงปรากฏของพระเจ้าได้นำมาซึ่งยุคใหม่) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันได้สามัคคีธรรมกับเธอว่า “ถ้าเราต้องการต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยวางมโนคติอันหลงผิดของเราเอง เธอก็รู้ว่าพระดำริของพระเจ้านั้นอยู่เหนือความคิดของมนุษย์ พระเจ้าไม่ได้ทรงงานตามมโนคติอันหลงผิดหรือความคิดฝันของมนุษย์ คำว่า ‘พระวจนะและพระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้าอยู่ในพระคัมภีร์ และไม่มีสิ่งใดอยู่นอกพระคัมภีร์’ คำพูดนี้มีพื้นฐานใดอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าหรือเปล่า? ก็ไม่มี องค์พระเยซูเจ้าไม่เคยตรัสแบบนี้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่เคยเป็นพยานยืนยันให้สิ่งนี้ ถ้าอย่างนั้นสิ่งนี้ก็อิงตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ไม่ใช่เหรอ? เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อทรงงาน พวกฟาริสีไม่ได้พิจารณาว่าองค์พระเยซูเจ้าได้แสดงความจริงไปมากเพียงใด แต่กลับยึดมั่นในพันธสัญญาเดิม โดยคิดว่าพระวจนะและพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าอยู่นอกเหนือพระคัมภีร์ พวกเขาใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างในการกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า และในที่สุดก็ได้กระทำบาปมหันต์ด้วยการตรึงพระองค์บนกางเขน เราจำเป็นต้องเรียนรู้บทเรียนจากความล้มเหลวของพวกฟาริสี! พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าไม่เคยถูกจำกัดโดยบุคคลใดหรือสิ่งใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพระคัมภีร์เลย พระเจ้าตรัสพระวจนะใหม่และทรงงานใหม่อยู่เสมอ ตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์และความจำเป็นของมนุษย์ ดังนั้น หากเราจะพิจารณาว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่เสด็จกลับมาหรือไม่ เราต้องไม่ดูว่าพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อยู่เหนือพระคัมภีร์หรือไม่ แต่ต้องดูว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นความจริงหรือเปล่า และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สามารถทรงงานเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้หรือไม่ เพราะมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต และมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ เธอได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้ว และเธอก็ยอมรับสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพในพระวจนะของพระองค์ นอกจากนี้ พระวจนะของพระองค์ยังเผยให้เห็นถึงแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้า ความล้ำลึกในพระคัมภีร์ ใครที่สามารถเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ และบั้นปลายในอนาคตของมวลมนุษย์ ไม่มีใครรู้ความล้ำลึกของความจริงเหล่านี้ได้ มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะทรงเผยสิ่งเหล่านี้ได้…” แต่ก่อนที่ฉันจะสามัคคีธรรมจบ ฟางหมินก็ขัดจังหวะฉันและไม่ยอมให้พูดต่อ ฉันคิดว่า อาจเป็นเพราะฉันสามัคคีธรรมได้ไม่ชัดเจน จึงอยากให้เจียอิ๋นมาช่วยสามัคคีธรรมกับฟางหมินเพิ่มเติม แต่เธอก็ไม่ยอม ฉันกังวลใจมาก ฉันเชื่อในพระเจ้าได้ไม่นานนัก เข้าใจความจริงน้อย และสามัคคีธรรมได้ไม่ชัดเจนในหลายเรื่อง ฉันรู้สึกเหมือนไม่สามารถแก้ไขปัญหาของเธอได้ เมื่อเผชิญกับความลำบากยากเย็นเหล่านี้ ฉันก็รู้สึกอยากถอยหนี โดยคิดว่า “ถ้าทำไม่ได้จริงๆ ฉันก็จะหยุด เรื่องนี้ยากเกินไป!” ยิ่งฉันคิดมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองคิดลบมากเท่านั้น ระหว่างทางกลับบ้าน ฉันรู้สึกไม่มีแรงใจเหลือเลย
ในระหว่างการชุมนุม พี่น้องชายหญิงได้รู้ถึงสภาวะของฉัน จึงอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งให้ฉันฟัง “คำว่า ‘ความเชื่อ’ นี้อ้างอิงถึงอะไรเล่า? ความเชื่อคือการเชื่อที่จริงแท้และหัวใจที่จริงใจซึ่งมนุษย์ควรครองเมื่อพวกเขาไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสบางสิ่งได้ เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ เมื่อมันอยู่ไกลเกินเอื้อมของมนุษย์ นี่คือความเชื่อที่เราพูดถึง ผู้คนมีความจำเป็นต้องมีความเชื่อในระหว่างช่วงเวลาแห่งความยากลำบากและการถลุง และความเชื่อคือบางสิ่งที่ตามมาด้วยการถลุง การถลุงและความเชื่อไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจอย่างไร และไม่สำคัญว่าสภาพแวดล้อมของเจ้าเป็นอย่างไร เจ้ามีความสามารถที่จะไล่ตามเสาะหาชีวิตและแสวงหาความจริง และแสวงหาความรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าได้ และมีความเข้าใจในการกระทำของพระองค์ และเจ้ามีความสามารถที่จะกระทำตัวสอดคล้องกับความจริงได้ การทำเช่นนั้นคือการมีความเชื่อที่แท้จริง และการทำเช่นนั้นแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ได้สูญเสียความเชื่อในพระเจ้าไปแล้ว เจ้าจะมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อเจ้าสามารถยืนหยัดไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยการก้าวผ่านการถลุง ต่อเมื่อเจ้าสามารถรักพระเจ้าได้อย่างแท้จริงและไม่เกิดคลางแคลงใจเกี่ยวกับพระองค์ขึ้นมา ต่อเมื่อเจ้ายังคงปฏิบัติความจริงเพื่อทำให้พระองค์พึงพอพระทัยไม่ว่าพระองค์จะทรงทำสิ่งใดก็ตาม และต่อเมื่อเจ้าสามารถแสวงหาเจตนารมณ์ของพระองค์ในส่วนลึกของเจ้าและคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระองค์ได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง) หลังจากที่อ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว พี่น้องหญิงคนหนึ่งได้สามัคคีธรรมว่า “ถ้าเรากลายเป็นคิดลบและถอยหนีเมื่อเผชิญกับความลำบากยากเย็นในการประกาศข่าวประเสริฐ หลักๆ แล้วก็เป็นเพราะเราไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า แท้จริงแล้ว พระเจ้าทรงอนุญาตให้ความลำบากยากเย็นเหล่านี้เกิดขึ้นกับเรา เพื่อให้ความเชื่อของเราได้รับการทำให้เพียบพร้อม และสามารถเรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระองค์ ในขณะเดียวกัน ผ่านความลำบากยากเย็นเหล่านี้ เราสามารถติดอาวุธให้ตัวเองด้วยความจริงและเรียนรู้ที่จะเป็นคำพยานให้พระราชกิจของพระเจ้า” ผ่านการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าของเธอ ฉันตระหนักได้ว่า มีเจตนารมณ์อันดีของพระเจ้าอยู่ในความลำบากยากเย็นที่เราเผชิญขณะประกาศข่าวประเสริฐ พระเจ้าต้องการใช้สิ่งนี้เพื่อทำให้ความเชื่อของเราเพียบพร้อม และช่วยให้เราเข้าใจความจริงมากขึ้น แต่พอฉันเผชิญกับความลำบากยากเย็น แทนที่จะคิดถึงการพึ่งพาพระเจ้าและแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของฟางหมิน และนำเธอมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ฉันกลับจมอยู่ในความลำบากยากเย็น อยากถอยหนีและถอดใจ ไม่อยากทุ่มเทความพยายามมากขึ้นหรือยอมลำบากเพิ่มขึ้น ฉันไม่ได้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเลย เมื่อข้อเท็จจริงเผยฉันออกมา ฉันก็เห็นอย่างชัดเจนว่า ฉันไม่มีความเชื่อในพระเจ้าเลยสักนิด และวุฒิภาวะของฉันก็น้อยนิดน่าเวทนา ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ยิ่งผู้คนร่วมมือมากขึ้นเท่าใด และยิ่งพวกเขาไล่ตามเสาะหาการบรรลุถึงมาตรฐานตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรู้จักความเป็นจริง) นั่นจริงทีเดียว ยิ่งผู้คนร่วมมือกันมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าฟางหมินจะเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามานานกว่า 20 ปี และมีความรู้เกี่ยวกับพระคัมภีร์ แต่ฉันก็มีพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงและสามารถแก้ไขปัญหาของผู้คนได้ทุกเรื่อง เมื่อเข้าใจเช่นนี้ ฉันก็เต็มใจที่จะพึ่งพาพระเจ้าอย่างแท้จริงทั้งยอมลำบาก และทำให้ดีที่สุดเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิด ของเธอ
หลังจากนั้น ฉันแสวงหาร่วมกับพี่น้องชายหญิงที่เข้าใจความจริงเกี่ยวกับมโนคติอันหลงผิดที่ฟางหมินยึดถือ และพวกเขาก็ช่วยฉันค้นหาพระวจนะของพระเจ้าบทตอนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จากนั้น ฉันก็ไปที่บ้านของฟางหมินอีกครั้ง และอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้เธอฟังสองบทตอน “จำเป็นต้องนำข้อบังคับมาใช้กับพระราชกิจของพระเจ้าหรือ? และพระเจ้าต้องทรงพระราชกิจตามการพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะหรือ? ในที่สุดแล้ว สิ่งใดยิ่งใหญ่กว่ากัน พระเจ้าหรือพระคัมภีร์? เหตุใดพระเจ้าต้องทรงพระราชกิจตามพระคัมภีร์? เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าจะไม่ทรงมีสิทธิ์ทำเกินกว่าพระคัมภีร์? พระเจ้าไม่สามารถแยกจากพระคัมภีร์และปฏิบัติพระราชกิจอื่นหรือ? เหตุใดพระเยซูและสาวกทั้งหลายของพระองค์จึงไม่รักษาวันสะบาโตต่อไป? หากพระองค์ทรงปฏิบัติตามวันสะบาโตและตามพระบัญญัติของพันธสัญญาเดิม เหตุใดเล่าพระเยซูจึงไม่รักษาวันสะบาโตหลังจากที่พระองค์เสด็จมา แต่ทรงล้างพระบาท เอาผ้าคลุมพระเศียร หักขนมปัง และดื่มเหล้าองุ่นแทน? ทั้งหมดนี้มิใช่ไม่มีอยู่ในพระบัญญัติของพันธสัญญาเดิมหรอกหรือ? หากพระเยซูทรงให้เกียรติพันธสัญญาเดิม เหตุใดพระองค์จึงทรงยุติความเกี่ยวข้องกับข้อบังคับเหล่านี้? เจ้าควรรู้ว่าใครมาก่อน พระเจ้าหรือพระคัมภีร์! ในเมื่อทรงเป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต แล้วพระองค์จะไม่สามารถเป็นเจ้าเป็นนายเหนือพระคัมภีร์ด้วยหรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (1)) “หากเจ้าปรารถนาที่จะพบเห็นพระราชกิจของยุคธรรมบัญญัติ และดูว่าชาวอิสราเอลติดตามหนทางของพระยาห์เวห์อย่างไร เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ต้องอ่านพันธสัญญาเดิม หากเจ้าปรารถนาที่จะเข้าใจพระราชกิจของยุคพระคุณ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ต้องอ่านพันธสัญญาใหม่ แต่เจ้าจะพบเห็นพระราชกิจของยุคสุดท้ายได้อย่างไร? เจ้าต้องยอมรับการเป็นผู้นำของพระเจ้าในวันนี้ และเข้าสู่พระราชกิจของวันนี้ เพราะนี่คือพระราชกิจใหม่ และไม่เคยมีผู้ใดได้บันทึกถึงมันในพระคัมภีร์มาก่อน วันนี้ พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงคัดเลือกผู้ที่ได้รับการเลือกสรรคนอื่นๆ ในประเทศจีน พระเจ้าทรงพระราชกิจในผู้คนเหล่านี้ พระองค์ทรงดำเนินการต่อจากพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก และทรงดำเนินการต่อจากพระราชกิจของยุคพระคุณ พระราชกิจในวันนี้คือเส้นทางที่มนุษย์ไม่เคยเดิน และเป็นหนทางที่ไม่มีใครเคยพบเห็น นี่คือพระราชกิจที่ไม่เคยมีการทำมาก่อน—นี่คือพระราชกิจล่าสุดของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก ดังนั้น พระราชกิจที่ไม่เคยมีการทำมาก่อนจึงไม่ใช่ประวัติศาสตร์ เพราะตอนนี้คือตอนนี้ และยังไม่ได้กลายเป็นอดีต ผู้คนไม่รู้ว่าพระเจ้าได้ทรงพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่กว่า ใหม่กว่าบนแผ่นดินโลก และนอกอิสราเอลแล้ว ไม่รู้ว่าพระราชกิจได้ไปไกลเกินวงเขตของอิสราเอลแล้ว และเกินจากการพยากรณ์ของบรรดาผู้เผยพระวจนะ ไม่รู้ว่านี่คือพระราชกิจที่ใหม่และน่าพิศวงซึ่งอยู่นอกเหนือคำเผยพระวจนะทั้งหลาย และคือพระราชกิจใหม่กว่าที่เลยพ้นอิสราเอล และคือพระราชกิจที่ผู้คนทั้งไม่สามารถรับรู้หรือจินตนาการได้ พระคัมภีร์จะมีบันทึกที่ชัดเจนเกี่ยวกับพระราชกิจเช่นนั้นได้อย่างไร? ใครจะสามารถบันทึกทุกๆ เสี้ยวส่วนของพระราชกิจของวันนี้ไว้ล่วงหน้าโดยไม่มีการตกหล่นได้? ใครจะสามารถบันทึกพระราชกิจนี้ที่ยิ่งใหญ่กว่า มีสติปัญญากว่า และท้าทายระเบียบแบบแผนในหนังสือเก่าคร่ำคร่าเล่มนั้นได้? พระราชกิจของวันนี้ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ และดังนั้น หากเจ้าปรารถนาที่จะเดินบนเส้นทางใหม่ของวันนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องแยกจากพระคัมภีร์ เจ้าต้องไปไกลกว่าหนังสือทั้งหลายเกี่ยวกับคำเผยพระวจนะหรือประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์ เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะมีความสามารถที่จะเดินบนเส้นทางใหม่ได้อย่างเหมาะสม และเมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะมีความสามารถที่จะเข้าสู่อาณาจักรใหม่และพระราชกิจใหม่” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (1)) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้สามัคคีธรรมกับฟางหมินว่า “เพราะเธอเชื่อว่าพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ได้อยู่ในพระคัมภีร์ พระองค์จึงไม่ใช่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่เสด็จกลับมา นี่คือการจำกัดพระเจ้าให้อยู่แต่ในพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นการกำหนดขอบเขตของพระเจ้า พระเจ้าทรงมาก่อน หรือพระคัมภีร์มาก่อนล่ะ? พระคัมภีร์มีอยู่แล้วเมื่อพระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก และทุกสรรพสิ่งหรือเปล่า? อับราฮัมไม่มีพระคัมภีร์ และเขาก็ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าตามพระคัมภีร์ เราสามารถพูดได้หรือไม่ว่าอับราฮัมไม่ได้เชื่อในพระเจ้า? เราต้องเข้าใจว่าพระคัมภีร์เป็นเพียงบันทึกประวัติศาสตร์พระราชกิจของพระเจ้า ซึ่งถูกสร้างขึ้นหลังจากที่พระเจ้าทรงงานของพระองค์เสร็จสิ้นไปแล้ว และถูกรวบรวมขึ้นโดยคนรุ่นหลัง ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงงานนั้น ยังไม่มีพันธสัญญาใหม่ ผู้คนอ่านแต่พันธสัญญาเดิมเท่านั้น เป็นเวลาหลายศตวรรษหลังจากที่องค์พระเยซูเจ้าทรงงานไปแล้ว ที่พันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้น สิ่งนี้พิสูจน์ว่าพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้ามาก่อน แล้วจากนั้นพระคัมภีร์จึงถูกเขียนขึ้น นี่คือข้อเท็จจริง พระเจ้าทรงปรากฏและทรงงานในยุคสุดท้าย แล้วพระวจนะและพระราชกิจของพระองค์จะถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ล่วงหน้าได้ยังไง? หากเราต้องการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า เราต้องก้าวพ้นเหนือพระคัมภีร์ สืบค้นและยอมรับพระวจนะและพระราชกิจในปัจจุบันของพระเจ้า นี่คือหนทางเดียวที่จะติดตามรอยพระบาทของพระเจ้าได้” หลังจากฉันสามัคคีธรรมสิ่งเหล่านี้กับฟางหมิน เธอดูเหมือนจะเข้าใจบางส่วน แต่เธอยังคงสับสนและกล่าวว่า “สิ่งที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสนั้นถูกต้อง เป็นความจริงที่พระราชกิจของพระเจ้ามาก่อน และพระคัมภีร์เกิดขึ้นทีหลัง ฉันเข้าใจว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าพระคัมภีร์ แต่ฉันอ่านพระคัมภีร์มาหลายสิบปี และฉันไม่สามารถปล่อยวางได้ง่ายๆ ฉันยังคงต้องอ่านพระคัมภีร์” จากนั้น ฟางหมินก็ถามคำถามใหม่ๆ หลายข้อ เมื่อได้ยินคำถามเหล่านั้น ในหัวฉันก็ว่างเปล่าขาวโพลน ไม่รู้ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงด้านใดเพื่อตอบคำถามเหล่านั้น หลังจากกลับถึงบ้าน ฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำฉัน จากนั้นฉันก็ตระหนักว่า ถึงแม้ฉันจะสามัคคีธรรมได้ไม่ชัดเจน แต่ฉันสามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้เธอฟังได้ ดังนั้น ฉันจึงอยากจะไปสามัคคีธรรมกับเธออีกครั้ง วันหนึ่ง ฉันไปที่บ้านของเธอ และเห็นพระคัมภีร์และหนังสือพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์วางเปิดอยู่บนขอบหน้าต่าง ฉันตระหนักได้ว่า แม้ฟางหมินจะบอกว่าเธอยังไม่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่ในหัวใจเธออยากสืบค้นเรื่องนี้ และฉันก็เห็นความหวังบางอย่างในตัวเธอ
ต่อมา ฟางหมินป่วยและต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ฉันลางานเพื่อไปดูแลเธอและอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้เธอฟัง หัวหน้างานของฉันเห็นว่าฉันลางานบ่อย จึงจงใจหาข้ออ้างมาตำหนิฉัน ในตอนแรก ฉันก็ยังอดทนได้อยู่ ฉันรู้สึกว่า แม้ฉันจะทนทุกข์เล็กน้อย แต่ตราบใดที่ฟางหมินยอมรับหนทางที่แท้จริง ฉันก็ยินดี แต่หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้เธอฟังหลายครั้ง เธอก็ยังไม่ตกลงที่จะสืบค้น พอถึงจุดนี้ ฉันก็รู้สึกท้อแท้ขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกว่า ฉันยอมลำบากขนาดนี้แล้ว แต่เธอก็ยังเอาแต่ปฏิเสธ ฉันต้องประกาศอีกนานแค่ไหนเธอถึงจะยอมรับข่าวประเสริฐ? ยิ่งคิด ฉันยิ่งรู้สึกหมดกำลังใจ และยิ่งไม่อยากร่วมมือ หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เจ้าตระหนักรู้ภาระบนบ่าของเจ้า พระบัญชาสำหรับเจ้า และความรับผิดชอบของเจ้าหรือไม่? สำนึกแห่งภารกิจครั้งประวัติศาสตร์ของเจ้าอยู่ที่ไหน? เจ้าจะทำหน้าที่เป็นเจ้านายคนหนึ่งในยุคถัดไปให้เหมาะควรได้อย่างไร? เจ้ามีสำนึกอันแรงกล้าของการเป็นนายหรือไม่? เจ้าจะอธิบายการเป็นนายของสรรพสิ่งอย่างไร? ใช่การเป็นนายเหนือสิ่งสร้างที่มีชีวิตทั้งมวลและเหนือสรรพสิ่งทางกายภาพของโลกจริงๆ หรือ? เจ้ามีแผนการอันใดเพื่อความก้าวหน้าของงานระยะต่อไป? มีผู้คนมากมายเพียงใดที่กำลังรอคอยให้เจ้าเลี้ยงดูพวกเขา? งานของเจ้าใช่งานหนักหรือไม่? พวกเขาน่าสงสาร น่าเวทนา ตาบอดและหลงทาง ร้องคร่ำครวญอยู่ในความมืดมิดว่า—หนทางอยู่แห่งใด? พวกเขาโหยหายิ่งนักให้ความสว่างพลันเคลื่อนลงมาเหมือนดาวตก และขับไล่กำลังบังคับแห่งความมืดที่บีบคั้นมนุษย์มานานหลายปีเหลือเกิน พวกเขาหวังอย่างกระวนกระวายใจ และคะนึงหาสิ่งนี้ทั้งกลางวันและกลางคืน—ใครสามารถรู้ขอบเขตทั้งหมดทั้งมวลของสิ่งนี้ได้? แม้กระทั่งในวันที่ความสว่างส่องแสงวาบผ่านไป ผู้คนที่ทุกข์ทนอย่างลึกล้ำเหล่านี้ก็ยังคงถูกจองจำอยู่ในคุกใต้ดินอันมืดมิดโดยไม่มีหวังว่าจะได้รับการปลดปล่อย เมื่อไรที่พวกเขาจะไม่ต้องร่ำไห้อีกต่อไป? ความโชคร้ายของวิญญาณอันเปราะบางที่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้หยุดพักเหล่านี้ช่างเลวร้าย และพวกเขาถูกพันธนาการที่ไร้กรุณาและประวัติศาสตร์ที่เยือกแข็งผูกมัดไว้ในสภาวะนี้มาช้านานแล้ว และผู้ใดได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของพวกเขา? ผู้ใดมองเห็นสภาพอันยากแค้นของพวกเขา? เจ้าเคยฉุกคิดบ้างหรือไม่ว่าพระหทัยของพระเจ้าโทมนัสและกระวนกระวายเพียงใด? พระองค์จะทรงทนเห็นมวลมนุษย์ผู้ไม่ประสา ที่พระองค์ทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ต้องทนทุกข์ทรมานเยี่ยงนี้ได้อย่างไร? ไม่ว่าอย่างไร มนุษย์ก็คือเหยื่อที่ถูกพิษ และถึงแม้มนุษย์จะรอดชีวิตมาได้จนถึงวันนี้ ผู้ใดจะรู้บ้างว่ามวลมนุษย์ถูกมารวางยาพิษมานานแล้ว? เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าก็เป็นหนึ่งในเหยื่อทั้งหลาย? เจ้าไม่เต็มใจที่จะเพียรพยายามด้วยความรักที่เจ้ามีต่อพระเจ้า เพื่อช่วยผู้รอดชีวิตทั้งหมดเหล่านี้ให้รอดหรอกหรือ? เจ้าไม่เต็มใจที่จะอุทิศพลังงานทั้งหมดที่เจ้ามีเพื่อตอบแทนพระเจ้าผู้ทรงรักมวลมนุษย์ประดุจโลหิตและเนื้อหนังของพระองค์เองหรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรจัดการกับภารกิจในอนาคตของเจ้าอย่างไร?) ฉันสามารถรู้สึกได้ถึงเจตนารมณ์อันเร่งด่วนของพระเจ้าจากพระวจนะของพระองค์ สำหรับผู้ที่ยังคงใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตานและยังไม่ได้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พระเจ้าทรงห่วงใยและกังวลใจ พระองค์ทรงหวังว่าผู้ที่เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงจะได้รับความรอดในยุคสุดท้าย ในฐานะผู้ยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันรู้ว่าฉันต้องนำพาผู้ที่ยังไม่ได้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้าเพื่อยอมรับความรอดของพระองค์ นี่คือหน้าที่ที่ฉันต้องแบกรับ ในยุคพระคุณ มีคนจำนวนมากยอมพลีชีพเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ และในที่สุด ข่าวประเสริฐก็ได้เผยแผ่ไปทั่วทุกมุมโลกและเป็นที่รู้จักของทุกคน ฉันยังนึกถึงโนอาห์ด้วย เพื่อลุล่วงพระบัญชาของพระเจ้าในการสร้างเรือ เป็นเวลาต่อเนื่องนานกว่า 120 ปี ที่เขาไม่เคยถอดใจแม้ต้องเผชิญกับความลำบากยากเย็น การเยาะเย้ย และการนินทาว่าร้ายในช่วงเวลานั้น ในที่สุด โนอาห์ก็ทำตามพระบัญชาของพระเจ้าได้สำเร็จและได้รับความเห็นชอบจากพระองค์ โนอาห์มีความเชื่อในพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่มากถึงเพียงนี้ แม้ว่าฉันจะมีความลำบากยากเย็นในการประกาศข่าวประเสริฐ และต้องสู้ทนต่อความทุกข์บ้าง แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่อาจเทียบได้กับการยอมลำบากของบรรดานักบุญในทุกยุคทุกสมัย ฉันนึกย้อนไปถึงตอนที่พี่น้องชายหญิงที่ประกาศข่าวประเสริฐให้กับฉัน ฉันก็ปฏิเสธพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนกัน พวกเขาต้องประกาศด้วยความรักหลายครั้งกว่าฉันจะยอมรับ แล้วทำไมกับฟางหมินตอนนี้ ฉันถึงไม่สามารถปฏิบัติต่อเธอด้วยความรักให้มากกว่านี้ล่ะ? เธอยังไม่เข้าใจความจริงเลย และติดอยู่ในมโนคติอันหลงผิดทางศาสนา ดังนั้นก็เป็นเรื่องปกติที่เธอจะต่อต้านไม่ใช่เหรอ? ฉันไม่ควรถอดใจจากเธอเพียงเพราะความลำบากยากเย็นเล็กน้อย พอตระหนักได้แบบนี้ ฉันก็รู้สึกเสียใจมาก และตั้งใจแน่วแน่ต่อพระเจ้าว่า ไม่ว่าจะเผชิญกับความลำบากยากเย็นใดในการประกาศข่าวประเสริฐ ฉันก็จะทำให้ดีที่สุดเพื่อร่วมมือ นี่คือความรับผิดชอบและหน้าที่ของฉัน
ต่อมา ฉันยังคงดูแลฟางหมินและอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้เธอฟังต่อไป วันหนึ่งเธอพูดกับฉันว่า “จากพระวจนะของพระเจ้าที่เธออ่านให้ฉันฟังในช่วงนี้ ฉันเข้าใจแล้วว่า ผู้คนไม่ควรจำกัดพระเจ้าไว้แค่ในพระคัมภีร์ พระราชกิจของพระเจ้ามีแต่ความใหม่และไม่เคยเก่า และสิ่งที่อยู่ในพระคัมภีร์คือพระราชกิจในอดีตของพระเจ้า ถ้าพระเจ้าทรงเสด็จกลับมาและทรงทำสิ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ พระราชกิจของพระเจ้าก็จะซ้ำเดิม นั่นจะไม่มีความหมายเลย มีเพียงเมื่อพระเจ้าทรงงานใหม่ที่เหนือกว่าพระคัมภีร์ โดยทำให้ผู้คนได้รับการพิพากษาและชำระให้บริสุทธิ์ บนพื้นฐานของการยอมรับพระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า พวกเขาจึงจะได้รับการช่วยให้รอดอย่างแท้จริง ถ้าฉันยังคงยึดมั่นในพระราชกิจก่อนนี้ของพระเจ้า ต่อให้ฉันอ่านพระคัมภีร์ไปตลอดชีวิต ฉันก็ไม่มีวันได้รับความจริงและชีวิต ฉันต้องติดตามรอยพระบาทของพระเจ้าและยอมรับความรอดของพระองค์ในยุคสุดท้าย” เมื่อเห็นว่าในที่สุดฟางหมินก็เข้าใจ ฉันรู้สึกมีความสุขมาก ฉันยังได้เห็นด้วยว่าแกะของพระเจ้าจะฟังพระสุรเสียงของพระองค์ ไม่ว่าพวกเขาจะถูกซาตานก่อกวนอย่างไร หรือมีมโนคติอันหลงผิดมากเพียงใด ในที่สุด พวกเขาก็จะยอมรับความจริงและมาเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า หลังจากนั้น ฟางหมินก็เริ่มอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างกระตือรือร้นและเข้าร่วมการชุมนุม อาการป่วยของเธอก็ค่อยๆ ดีขึ้น ต่อมา เจียอิ๋นได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้ากับฟางหมิน เพื่อช่วยแก้ไขความลำบากยากเย็นและมโนคติอันหลงผิดของเธอ และเธอก็เริ่มแน่ใจในพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย เธอพูดกับฉันว่า “ตอนที่เธออ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ฉันฟังเมื่อก่อน ถึงฉันจะทำเหมือนไม่สนใจเธอ แต่จริงๆ แล้วฉันซึมซับบางส่วนไว้ ฉันรู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มีความจริง แต่ฉันกลัวว่าจะเชื่อผิดพลาด เลยไม่กล้ายอมรับ ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วและยินดีที่จะยอมรับ!” เมื่อเห็นว่าฟางหมินแน่ใจในพระราชกิจของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกดีใจมาก และรู้สึกได้อย่างลึกซึ้งถึง การที่พระเจ้าทรงกำหนดเวลาให้แต่ละคนกลับมาสู่พระนิเวศของพระองค์ ตราบใดที่เราพึ่งพาพระเจ้าอย่างแท้จริง เราก็จะได้เห็นพระราชกิจของพระองค์ ต่อมา ฟางหมินเสนอตัวที่จะประกาศข่าวประเสริฐให้กับเพื่อนและคนรู้จักของเธอ หลังจากร่วมมือกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง มีผู้คนสิบสี่คนยอมรับความรอดของพระเจ้าในยุคสุดท้าย
ผ่านประสบการณ์ในการประกาศข่าวประเสริฐนี้ ฉันได้เห็นกิจการของพระเจ้าอย่างแท้จริง ในช่วงเวลานี้ แม้ว่าฉันจะเผชิญความลำบากยากเย็นมากมาย และบางครั้งฉันก็กลายเป็นคิดลบและถอยหนี แต่ฉันก็ตระหนักได้ว่า พระเจ้าใช้การนี้เพื่อทำให้ความเชื่อและความรักของฉันเพียบพร้อม และเพื่อช่วยทำให้ฉันพร้อมด้วยความจริงมากขึ้น ฉันยังได้มีประสบการณ์ด้วยว่าการพึ่งพาพระเจ้าและการวางใจในพระองค์นั้นเป็นปัญญาสูงสุด ตั้งแต่นั้นมา ฉันตั้งใจแน่วแน่มากขึ้นไปอีกที่จะประกาศข่าวประเสริฐและเป็นคำพยานให้พระเจ้า