91. กบฏกลับใจ ตอนที่หนึ่ง

ผมมาเป็นคริสเตียนในปี 1990 มีผู้นำคริสตจักรคนหนึ่งที่พูดเสมอว่า พระคัมภีร์คือรากฐานของความเชื่อ และเราต้องทำตามพระคัมภีร์ คำพูดเหล่านั้น หยั่งรากลงในหัวใจของผมจริงๆ ครับ และผมคิดว่า ผมต้องอ่านพระคัมภีร์ให้มากๆ ตราบใดที่เข้าใจพระคัมภีร์ ผมก็จะมีเส้นทางในความเชื่อ ดังนั้น ผมจึงอ่านองค์พระคัมภีร์ซ้ำแล้วซ้ำอีก ไปพบเหล่าผู้อาวุโสในความเชื่อเพื่อขอคำแนะนำบ่อยครั้ง ผมจำได้ว่า ผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดให้กำลังใจผมว่า “คุณหลงใหลในพระคัมภีร์ องค์พระผู้เป็นเจ้าต้องมีที่สำคัญให้สักวัน” ในฐานะผู้เชื่อใหม่ พอได้ยินคำพูดนั้น ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นจริงๆ ครับ ยิ่งทำให้ผมนมัสการพระคัมภีร์มากขึ้นด้วย หลังจากนั้น ผมก็เริ่มตื่นตั้งแต่ตีสี่ทุกเช้าเพื่ออ่านองค์พระคัมภีร์ และผมมีข้อพระคัมภีร์ที่เลือกมาติดไว้ทั่วบ้าน เมื่อไหร่ที่ว่าง ผมจะอ่านหรือท่องจำพระคัมภีร์ เวลาผมนอนตอนกลางคืน ผมถึงกับวางพระคัมภีร์ไว้ข้างหมอน คิดว่า ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้ากลับมาตอนกลางคืน ก็ไปทักทายพระองค์พร้อมพระคัมภีร์ได้ กล่าวคือ ผมทนอยู่ห่างจากพระคัมภีร์ของผมไม่ได้เลย

นั่นเกินไปมากทีเดียวนะครับ

ใช่ครับ หลังจากสองสามปี ผมได้เป็นเพื่อนร่วมงานหลักคนหนึ่งของกลุ่มคาริสแมติกส์ในเมือง รับผิดชอบที่ชุมนุมมากกว่า 300 แห่ง ผมหลงรักพระคัมภีร์อย่างมาก บอกพี่น้องชายหญิงเสมอว่า องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า(มัทธิว 4:4)  ผมจะสามัคคีธรรมกับพวกเขา ว่าพระวจนะทั้งหมดอยู่ในพระคัมภีร์ การอ่านพระคัมภีร์จึงสำคัญเท่ามื้ออาหารประจำวันของเรา ว่าพระคัมภีร์คือรากฐานของความเชื่อ เราจึงต้องทำตามพระคัมภีร์ไม่ว่ายังไง และนี่คือการเป็นผู้เชื่อที่แท้จริง

คุณได้ยินเรื่องงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เมื่อไหร่ครับ?

ในปี 1997 ครับ หลายคริสตจักรทางตะวันออกเฉียงเหนือ มีสมาชิกที่ยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ครับ ผู้นำของเราคนหนึ่งรีบเรียกเพื่อนร่วมงานมาประชุมกัน เขาให้เราดูโฆษณาชวนเชื่อหลายอัน ที่ใส่ความฟ้าแลบจากทิศตะวันออก และบอกเราว่า “ตอนนี้มีคริสตจักรเรียกว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออก พูดว่าองค์พระเยซูเจ้ากลับมาในเนื้อหนัง เป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ว่าทรงดำรัสวจนะใหม่และเปิดม้วนหนังสือแล้ว พวกเขาว่าพระคัมภีร์ล้าสมัย ทางเดียวที่จะได้การค้ำจุนคืออ่านพระวจนะพระองค์ พูดอย่างนั้นได้ยังไง? กว่าหลายพันปี ผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าอ่านพระคัมภีร์ทุกคน พระวจนะล้วนอยู่ในนั้น ที่อยู่นอกพระคัมภีร์ไม่ใช่พระวจนะ เราต้องยึดมั่นในพระคัมภีร์เสมอ การผละจากพระคัมภีร์คือทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อทรงมา จะไม่ทรงช่วยคุณให้รอด” ตอนนั้นผมเห็นด้วยกับเขาอย่างเต็มที่ และคิดว่า “ใช่ ทุกอย่างในความเชื่อของเรามาจากพระคัมภีร์ ผู้คนในฟ้าแลบจากทิศตะวันออกไม่อ่านมันด้วยซ้ำ จะไม่หลงจากทางแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ? ฉันต้องนำเหล่าพี่น้องชายหญิงให้ค้ำจุนพระคัมภีร์ และไม่มีวันหลงไปจากพระคัมภีร์” ผู้นำคนนี้จัดการประชุมแบบนี้เป็นเวลาสามวัน พูดถึงการระวังและต่อต้านฟ้าแลบจากทิศตะวันออก หลังจากการประชุมเหล่านั้น ผมรู้สึกเหมือนความรับผิดชอบของตัวเองสูงลิ่วกว่าเคย เพื่อปกป้องคริสตจักร ผมกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นพยายามอย่างหนัก เพื่อผนึกคริสตจักร ต้านทานฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ในทุกการปรนนิบัติ เราคุยกันเรื่องวิธีเฝ้าระวังตัวจากมัน ผมถึงกับบอกพี่น้องชายหญิงว่าควรอดข้าวและอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าหยุดมันไม่ให้ขโมยเแกะของคริสจักร

ทำถึงขนาดนั้นก็มีคนตรวจสอบงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าเหรอครับ?

ครับ ไม่นานนัก วันหนึ่งพี่น้องหญิงคนหนึ่ีงก็บอกผม ว่าเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออกแล้ว และสมาชิกที่กระตือรือร้นที่สุดในที่ชุมนุมของเขา ก็ได้เชื่อไปกับเขาแล้วด้วย ทำให้ผมกังวลมากจนลืมกินข้าวและรีบไปที่ชุมนุมของเขา และเห็นว่าการชุมนุมที่มี 40 กว่าคนนั้นขาดหายไปถึง 19 คน

ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไป 19 คน?

ใช่ ประเด็นคือ 19 คนนั้นเป็นสมาชิกที่อุทิศตนที่สุดในสถานที่ชุมนุมนั้น ดังนั้นการที่แกะดีเหล่านั้นถูกขโมยไป ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดจริงๆ ผมคิดว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกจัดการยาก ทำงานแค่ไม่กี่วันก็ขโมยแกะดีเหล่านั้นไปได้แล้ว ผมจึงรีบไปพบพี่น้องชายหญิงเหล่านั้นเพื่อห้ามปรามพวกเขา และผมก็ได้พูดว่า “ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกอ้างว่าองค์พระผู้เป็นเจ้ากลับมาและดำรัสคำใหม่ แต่นี่ไม่เป็นความจริง พระวจนะทั้งหมดอยู่ในพระคัมภีร์ นอกนั้นคือการผละจากทางแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อทรงมา พวกเขาจะไม่ได้เข้าสู่ราชอาณาจักร แล้วความเชื่อตลอดหลายปีนั้นจะไม่สูญเปล่าหรอกเหรอ?” ผมขอให้พวกเขากลับใจทันที

พวกเขาตอบสนองยังไงเหรอครับ?

ตอนนั้น ผมคิดว่าพวกเขาจะฟังสิ่งที่ผมพูด แต่ก็ต้องแปลกใจ เมื่อพี่น้องหญิงแซ่จางพูดว่า “น้องกู ที่คุณอ้างว่าพระวจนะทั้งหมดอยู่ในพระคัมภีร์ไม่ใช่ข้อเท็จจริง มีกล่าวไว้ในยอห์น 21:25 ว่า ‘พระเยซูยังทรงทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าจะเขียนให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าแม้ที่ทั้งโลกไม่พอใส่หนังสือที่จะเขียนนั้น’ ข้อพระคัมภีร์นี้แสดงให้เราเห็นว่า สิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำและตรัสไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งหมด และวิวรณ์เผยวจนะว่า เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้ากลับมา จะทรงเปิดม้วนหนังสือ ทำลายผนึกทั้งเจ็ด และตรัสแก่คริสตจักรมากขึ้น เห็นได้ชัดว่า พระวจนะใหม่ๆ สำหรับยุคสุดท้ายไม่อาจถูกเขียนไว้ในพระคัมภีร์ล่วงหน้าได้ ที่อ้างว่าพระวจนะทั้งหมดอยู่ในพระคัมภีร์จึงไม่เป็นความจริง” ตอนนั้น ผมไม่รู้จริงๆ ว่าจะโต้แย้งเรื่องนี้ยังไง ผมคิดว่า “ใช่ ข้อพระคัมภีร์นั้นชัดเจนมาก แล้วทำไมฉันไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน?” จากนั้น พี่จางก็พูดต่อไปว่า “พระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าที่กลับมา ทรงแสดงความจริงที่พิพากษา ชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ และช่วยให้รอด ความจริงนั้นคือพระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ต่อคริสตจักร นี่คือการเปิดม้วนหนังสือที่เผยพระวจนะไว้ในวิวรณ์” แล้วพูดว่าการเชื่อในพระองค์ไม่ใช่ทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เป็นการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า เดินตามพระเมษโปดก ดังที่กล่าวในวิวรณ์ว่า “เป็นพวกที่ติดตามพระเมษโปดกไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน(วิวรณ์ 14:4)  เธอขอให้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พูดว่าต้องถ่อมใจแสวงหาจึงจะได้ยินพระสุรเสียงพระเจ้าและต้อนรับการกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ฟังดูสมเหตุสมผลนะครับ

ใช่ครับ

ตอนนั้นคุณคิดอะไรอยู่ครับ?

ผมแน่วแน่อยู่แต่กับการทำให้เธอหันกลับ การสามัคคีธรรมของเธอก็เลยไม่เข้าหัวผมครับ ผมแค่หยิบพระคัมภีร์ขึ้นมา โบกตรงหน้าเธอ และพูดว่า “ผมรู้พระคัมภีร์ ไม่ต้องแสวงหา! ที่อยู่นอกพระคัมภีร์คือความนอกรีต คุณจะไม่ถูกช่วยให้รอด!” ผมไปทุกวันอยู่หนึ่งสัปดาห์ พยายามเปลี่ยนใจพวกเขา แต่ไม่ว่าผมพูดอะไร พวกเขาทก็มุ่งมั่นจะติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ สุดท้ายผมก็เอาพวกเขากลับมาไม่ได้สักคนเลยครับ

เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจใช่ไหมครับ?

เป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมกลับบ้านแล้วคิดเรื่องคนของคริสตจักรที่ไปหาฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ผมงุนงงอย่างที่สุดเลยครับ ทำไมพอได้อ่านหนังสือของฟ้าแลบจากทิศตะวันออกแล้วไม่ยอมเปลี่ยนใจเลย? หรือจะเหมือนที่ผู้นำบอกว่าจริงๆ แล้วมียาบางอย่างอยู่ในหนังสือ? แต่พวกเขาดูเป็นปกติมาก ไม่สับสนสักนิด และพวกเขาก็กระตือรือร้นและมั่นใจมาก การสามัคคีธรรมก็ลุ่มลึก โต้แย้งไม่ได้เลย ผมรู้สึกสับสนมากครับ ผมอยากเห็นทั้งหมดที่เขียนอยู่ในหนังสือของฟ้าแลบจากทิศตะวันออก แต่คิดว่าสิ่งนอกพระคัมภีร์คือการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า และจะไม่ถูกช่วยให้รอด ผมจึงไม่กล้าดูหนังสือนั่น ต่อมา ผมก็สั่งห้าม 19 คนนั้นจากคริสตจักร และขอร้องคนอื่นๆ ไม่ให้ไปข้องแวะกับพวกเขาอีก โดยเฉพาะเพื่อนร่วมงาน ผมขอให้คอยดูฝูงของตน ขับไล่คนที่ยอมรับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกทันที

มาตรการปิดผนึกคริสตจักรขั้นสูงสุดเลยนะครับ ผลล่ะครับ

ไม่ดีเลยครับ ผมพยายามแยกคริสตจักรออกมาเต็มที่ แต่พี่น้องก็เข้าร่วมกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกมากขึ้นเรื่อยๆ เกือบทุกวันต้องมีสักคน หยุดไว้ไม่ได้เลย ในตอนนั้น เรื่องนี้กัดกินผมทั้งใจ ผมทำงานหนักจริงๆ พยายามให้พวกเขากลับมา แต่ก็โน้มน้าวใจใครไม่ได้แม้แต่คนเดียว ที่ผมประหลาดใจจริงๆ ก็คือไม่นานนัก แม้แต่พี่หวังที่ทำงานคู่กับผมมาตลอด ก็เข้าร่วมฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ผมคิดว่ามันแปลกมากจริงๆ พี่หวังก็เริ่มต้นเหมือนๆ กับผม พูดเสมอเรื่องจะเฝ้าระวังฟ้าแลบจากทิศตะวันออกยังไง ผมไม่เคยคิดว่าเขาจะเข้าร่วมกับพวกนั้น ผมรู้สึกโกรธอย่างมาก และไปที่บ้านของเขาเพื่อต่อว่า ผมพูดว่า “พี่ก็รู้ดีว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกคือการผละจากพระคัมภีร์ เชื่อไปได้ยังไง?” เขาตอบกลับมาว่า “น้องกู ก่อนหน้านี้พี่ก็ฟังผู้นำเหมือนกัน และไม่ได้ตรวจสอบฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเลย พี่ต่อต้าน กล่าวโทษมันอย่างมืดบอด พออ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ก็เห็นว่ามันเปิดเผยความล้ำลึกของพระคัมภีร์มากมาย มอบเส้นทางการถูกชำระให้บริสุทธิ์จากบาปแก่เรา พระวจนะพระองค์คือความจริง และเป็นเสียงของพระเจ้า ทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา น้องก็ควรอ่านพระวจนะของพระองค์นะ” ที่นั่นตอนนั้นเอง ที่ผมตัดพี่เขาออกทันที พูดว่า “พี่พูดมาพอแล้ว! พี่ถูกเอาตัวไปแล้ว อย่าทำแบบเดียวกันกับผม ผมไม่สนว่าพี่พูดอะไรกับผม ผมไม่มีทางอ่านหนังสือนั่น!” ผมกระแทกปิดประตูแล้วปึงปังออกมา ต่อมาผมได้ยินเพื่อนร่วมงานหลิวพูดว่า ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเอาตัวคนของอีกคริสตจักรไปกว่าร้อยคน เพื่อนร่วมงานคนอื่นหลายคนพูดกันว่าในพื้นที่ของพวกเขา แกะดีกำลังถูกฟ้าแลบจากทิศตะวันออกขโมยไปทุกวัน และพวกเขาตามคืนมาไม่ได้สักคน การได้ยินข่าวนี้ทำให้ผมตกตะลึงมากจริงๆ ผมสงสัยว่า ทำไมมันถึงมีอิทธิพลขนาดนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้ากลับมาจริงเหรอ ถ้าไม่จริง ทำไมคนมากมายถึงยอมรับมันและมีความเชื่อเช่นนั้น?

ตอนนั้นคุณคิดที่จะตรวจสอบมันไหมครับ?

ไม่ครับ ผมติดกับมโนคติอันหลงผิด ผมได้แต่คิดว่า พวกเขาไม่อ่านพระคัมภีร์อีกต่อไปแล้ว ความเชื่อต้องมาจากพระคัมภีร์ พวกเขาจะไม่ได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า ผมเลยไม่คิดที่จะตรวจสอบมันเลยครับ

ตอนนั้น คุณได้นึกสงสัยไหมว่า ทำไมถึงโน้มน้าวพี่น้องชายหญิงเหล่านั้นให้กลับมาไม่ได้?

ครับ แต่ผมก็ทำความเข้าใจมันไม่ได้เลย ในตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนว่า หลังจากเชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ก็ดูพวกเขาเข้าใจพระคัมภีร์มากกว่าที่ผมเข้าใจ และผมไม่รู้จะพูดอะไรกับพวกเขา ผมจำได้ว่าในเดือนกันยายนของปีนั้น พี่หลี่ เพื่อนร่วมงานหลักคนหนึ่งในคริสตจักร ก็เข้าร่วมฟ้าแลบจากทิศตะวันออกพร้อมภรรยา เมื่อผมได้ยินข่าวนั้น ก็คว้าพระคัมภีร์ พาเพื่อนร่วมงานสี่คนไปพบพวกเขา พอไปถึง ผมก็ตะโกนใส่โดยไม่ปล่อยให้พวกเขาเอ่ยปากว่า “พวกคุณไม่มีแม้แต่มโนธรรมเหรอ? องค์พระเยซูเจ้าประทานพระคุณให้พวกคุณมากมาย ลืมไปแล้วหรือไง? เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ยังไง? พวกเขาให้อะไรงั้นเหรอ?  พวกเขาให้เงินเท่าไหร่?” น่าแปลกใจ ที่พี่หลี่ยิ้มแล้วพูดว่า “ให้ความจริง ให้ชีวิต ไม่ใช่เงิน” นี่ทำให้ผมยิ่งโกรธขึ้นไปอีก ตอบไปว่า “พวกเขาให้ชีวิตพวกคุณได้ยังไง? สิ่งนอกพระคัมภีร์คือการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า ความจริงกับชีวิตอะไร?” ผมไม่คาดว่าเขาจะตอบโดยถามผมว่า “คุณจะพูดว่าความจริงและชีวิตมาจากพระเจ้า หรือจากพระคัมภีร์? องค์พระเยซูเจ้าตรัสอะไรเมื่อพระองค์ประณามพวกฟาริสี? ‘พวกท่านค้นดูในพระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเองเป็นพยานให้กับเรา แต่พวกท่านก็ยังไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต(ยอห์น 5:39-40)  พระวจนะของพระองค์ชัดเจนมาก พระคัมภีร์เป็นพยานให้แก่พระเจ้า แต่มันไม่มีชีวิตนิรันดร์ การมองหาชีวิตนิรันดร์ภายในพระคัมภีร์เป็นความผิดพลาด พระคริสต์เท่านั้นคือหนทาง ความจริง และชีวิต เมื่อติดตามพระคริสต์ เชื่อฟังงานและพระวจนะของพระองค์เท่านั้น เราจึงจะได้รับความจริงและชีวิตนิรันดร์” ผมไม่รู้เลยว่าจะตอบกลับไปยังไง เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ ผมรู้สึกอับอายขายหน้าทีเดียว ผมคิดว่าเขาเคยฟังผมประกาศอยู่เสมอ แล้วทำไมเขาอธิบายสิ่งต่างๆ กับผม โต้แย้งผมเสียแล้ว? ผมอ่านพระคัมภีร์มาหลายปี พวกเขารู้เรื่องความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าผมได้ยังไง?

เมื่อใช้ประโยชน์จากความรู้ในพระคัมภีร์ ก็ยากจะปล่อยวางอัตตาและแสวงหาอย่างถ่อมใจ

ใช่ ดังนั้น ผมจึงตอบกลับด้วยสิ่งที่ไร้เหตุผลมาก ผมพูดว่า “จะพูดอะไรก็ช่าง ใครที่ไม่อ่านพระคัมภีร์จะตกนรก” จากนั้น เพื่อนร่วมงานอีกสี่คนก็ทั้งปลอบทั้งขู่เพื่อโน้มน้าวพวกเขา แต่จะพูดอะไร พี่หลี่กับภรรยาก็ตั้งมั่นในความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พอผมกลับถึงบ้าน ผมก็คิดถึงสิ่งที่เขาได้พูดไป คิดถึงคนที่เข้าร่วมกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ผมเคยรู้เรื่องพระคัมภีร์ดีกว่าพวกเขา และพวกเขาก็ฟังคำเทศนาของผม แค่ไม่กี่วันในฟ้าแลบจากทิศตะวันออก พวกเขาพูดแค่ไม่กี่คำ ผมก็พูดอะไรไม่ออก มันเกิดอะไรขึ้น? มันเป็นหนทางที่แท้จริงจริงเหรอ? แต่ผมก็ปัดความคิดนั้นทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ผมรู้สึกว่าไม่หรอก สิ่งนอกพระคัมภีร์เป็นการทรยศ ผมตัดสินใจยึดมั่นในพระคัมภีร์ รอให้องค์พระผู้เป็นเจ้ากลับมา พาผมเข้าสู่สวรรค์

ณ ช่วงเวลานั้น พอเห็นผู้อุทิศตนยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และไม่หันกลับมา คุณได้ทบทวนเรื่องนี้ไหมครับ?

คือว่านะครับ ถ้าตอนนั้นผมมีใจแสวงหาหรือเคารพยำเกรงพระเจ้า ผมคงไม่ทำขนาดนั้นเพื่อต่อต้านพระองค์ ผมเห็นคนยอมรับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกมากขึ้นเรื่อยๆ และผมไม่ได้ให้คำเทศนาอีกแล้วด้วยซ้ำ ผมหาเครื่องมือต่อต้านฟ้าแลบจากทิศตะวันออกหลายอย่าง เอามาพูดในประชุมกับเพื่อนร่วมงานและการปรนนิบัติวันอาทิตย์ ผมยังข่มขู่ทุกคนให้ไม่กล้าตรวจสอบฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ถึงกับทำงานกับผู้นำและเพื่อนร่วมงานของคริสตจักรอื่นเพื่อต่อสู้มันด้วยกัน ถ้าผมได้ยินว่ามีใครบางคน พยายามเปลี่ยนคนของคริสตจักรเป็นคนของมัน ผมจะรีบไปไล่พวกเขาไปให้พ้นๆ ทันที บางครั้งผมกลัวว่าการขี่จักรยานจะช้าไป จึงนั่งแท็กซี่ข้ามเมืองไปไล่คนของฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ตอนนั้นผมคิดว่ากำลังคุ้มภัยให้ทางแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าและปกป้องฝูง ถึงกับเต็มใจแขวนชีวิตบนเส้นด้ายเพื่อการนี้ แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือทำไม ยิ่งผมต่อสู้กับมันหนักขึ้น ก็ยิ่งเกิดเหตุในคริสตจักรมากขึ้น

เหตุเหรอครับ?

ใช่ครับ เดือนสิงหาคมปี 1999 ตอนกำลังบัพติศมากลุ่ม มีหลายคนถูกจับและนำตัวไปสถานีตำรวจ แล้วในเดือนสิงหาคมปี 2000 ผมถูกจับพร้อมเพื่อนร่วมงานสำคัญสามคน ตอนกำลังทำบัพติศมา บ้านของผมก็ถูกตรวจค้นด้วยครับ แล้วตำรวจก็ยึดของถวายของคริสตจักรไปจนหมด ระหว่างถูกคุมตัว ผมคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในคริสตจักรสองสามปีมานี้ เหล่าผู้อาวุโสที่เคยเชิญผมไปเทศนาและเผยแผ่ศาสนาตลอด คนหนึ่งคือพี่เจียง อีกคนก็พี่หวู่ พยายามปกป้องฝูงแกะของตน จึงแยกคริสตจักรไปเพื่อต้านทานฟ้าแลบจากทิศตะวันออก พวกเขาเป็นคริสเตียนที่เปี่ยมศรัทธามาก แต่น่าตกใจมากครับ ทั้งคู่เป็นมะเร็งและตายอย่างทุกข์ระทม และครั้งหนึ่งในปี 1998 ในการประชุมใหญ่กับคนงานหลักของคริสตจักรกว่า 200 คน จู่ๆ พวกเขาคนหนึ่งก็ถูกผีร้ายเข้าสิง และไม่มีใครขับมันออกได้ ไม่ว่าทุกคนอธิษฐานให้เขายังไง เหตุการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าผุดขึ้นในใจผมไม่หยุด และผมหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมคริสตจักรมีปัญหามากนัก หลายปีที่ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า ผมทิ้งงานและครอบครัว ทำงานหนักเพื่อพระองค์ อยู่ระดับชั้นนำในงานทุกอย่างของคริสตจักร ทำงานหนักเพื่อคุ้มภัยทางแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าและปกป้องฝูง ทำไมไม่ทรงพิทักษ์รักษาและอวยพรผม? ทำไมยิ่งผมสู้กับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ผมก็ยิ่งเป็นทุกข์ และวิตกกังวลตลอดเวลา? ผมคิดผิดเกี่ยวกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกหรือเปล่า? องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วจริงหรือ? ตลอดเจ็ดวันที่ผมถูกคุมขัง ผมแทบไม่ได้นอนหลับเลย ผมทุกข์ระทมอย่างที่สุด ผมทายหัวก้อยไม่ถูกเลยว่าที่คริสตจักรกำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตอนนั้นผมอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า กล่าวว่า “พระองค์ คริสตจักรเกิดเรื่องมากมายนัก เหตุผลเบื้องหลังคืออะไร? ข้าพระองค์ทำอะไรผิดหรือ?”

เมื่อผมได้รับการปล่อยตัว ผมได้เห็นว่าคริสตจักรรกร้างขึ้นเรื่อยๆ ผมถึงกับใจสลาย ผมกล่าวอีกคำอธิษฐาน ว่า “พระองค์!  ทำไมคริสตจักรอยู่ในสภาวะนี้? คริสตจักรสร้างจากพระโลหิตล้ำค่า ทำไมไม่ทรงแยแสมัน? พระองค์ ข้าพระองค์เป็นทุกข์จริงๆ ฝูงแกะกำลังแตก ยิ่งสู้กับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก คริสตจักรก็ยิ่งไร้ระเบียบ ข้าพระองค์ไม่รู้จะกอบกู้ทั้งหมดนี้และฟื้นคืนคริสตจักรยังไง พระองค์ โปรดทรงเปิดทางให้ด้วยเถิด!” แต่จะอธิษฐานแค่ไหน คริสตจักรก็ยังคงอยู่ในความยุ่งเหยิง เพื่อนร่วมงานกระจัดกระจาย ต่างซ่อนตัวจากการจับกุม คริสตจักรสับสนอลหม่าน และผู้มาเข้าร่วมก็ลดจำนวนลง ผมไม่รู้ว่าจะประกาศอะไร และกลัวการเทศนาวันพุธและวันอาทิตย์ พี่น้องชายหญิงผล็อยหลับตอนผมพูด ผมทำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้จะอธิษฐานอะไร ความเชื่อก็เสื่อมถอย จู่ๆ ผมก็ไม่เหลือความแน่วแน่จากก่อนหน้านี้ ที่ว่าถึงคนอื่นจะไม่เชื่อ แต่ผมจะเชื่อและรักพระองค์ต่อไป ผมค่อยๆ จมลงไปในความชั่วช้า ผมเริ่มดูทีวีและหนัง ถึงกับฝึกไพ่นกกระจอกและโป๊กเกอร์ ผมอยู่ในบาปและหนีไม่ได้ ผมมักจะพบตัวเองยืนอยู่ตรงประตู กำพระคัมภีร์ไว้ รู้สึกทุกข์ระทมและหลงทางมาก ผมไม่รู้เลยว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปยังไง…ผมคุกเข่าบ่อยครั้ง ร้องเรียกหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอร้องพระองค์ ว่า “องค์พระเยซูเจ้า ทรงอยู่ที่ไหน? ข้าพระองค์รู้สึกเหมือนกำลังจะตาย พระองค์ โปรดช่วยข้าฯ และคริสตจักรให้รอดด้วยเถิด”

ฟังดูเหมือนคุณกำลังเจอทางตันจริงๆ นะครับ

ใช่ครับ แล้วในปี 2002 ตอนที่ผมอ่อนแอที่สุด พี่โจวจากภาคใต้ของจีนก็โทรหาผม ขอให้ผมไปหาเพื่อศึกษาการเฝ้าเดี่ยว เมื่อได้ยินเรื่องนี้ผมก็ขอบคุณพระเจ้าอย่างสุดซึ้ง ตอนนั้นผมกำลังดิ้นรนในชีวิตจริงๆ ดังนั้นผมจึงกระตือรือร้นที่จะใช้โอกาสนี้เพื่อฟื้นกำลังของตัวเอง เมื่อผมไปถึงที่นั่น ผมก็เห็นว่า พวกเขาทำได้ดีกว่าครั้งก่อนที่ผมไปที่นั่นเมื่อสองปีที่แล้ว ความเชื่อของพวกเขาแกร่งขึ้น พอพวกเขาเห็นผม พวกเขาก็เห็นใจและให้กำลังใจ และรู้สึกเหมือนครอบครัว ผมตื้นตันใจจริงๆ ครับ วันรุ่งขึ้น พี่โจวก็ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของผมว่าเป็นอย่างไรบ้าง ถามผมอย่างละเอียดว่าติดขัดเรื่องอะไรอยู่ ผมบอกเขาว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับคริสตจักร โดยไม่ปิดบังอะไรเลย พอผมพูดจบ เขาก็แบ่งปันสามัคคีธรรมนี้ “ไม่ใช่แค่คริสตจักรของคุณที่สูญเสียพลังไปในตอนนี้ สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นในคริสตจักรทั่วทุกแห่ง ผู้เชื่อมีความเชื่อและความรักเย็นลง ไม่ถูกบ่มวินัยเพราะบาปตน เพื่อนร่วมงานไม่มีอะไรจะเทศนา สู้และขัดแย้งกันด้วยความอิจฉา คริสตจักรแตกเป็นเสี่ยง ไม่มีการสถิตของพระเจ้านานแล้ว” เขาบอกด้วยว่าทำไมคริสตจักรทุกที่ถึงรกร้างนัก

เขาพูดว่ายังไงครับ?

เขาอ่านหนังสืออาโมสบทที่ 8 ข้อที่ 11 ให้ผมฟัง พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสว่า “นี่แน่ะ วันเวลาก็มาถึง เมื่อเราจะส่งความกันดารมาที่แผ่นดิน ไม่ใช่กันดารอาหาร หรือกระหายน้ำ แต่จะเป็นการกันดารพระวจนะของพระยาห์เวห์” แล้วพูดว่า “เราเห็นได้จากข้อพระคัมภีร์นี้ ว่าเหตุผลหนึ่งของ ‘ความกันดาร’ ก็คือคนไม่ปฏิบัติตามพระวจนะ มันเหมือนปลายยุคธรรมบัญญัติ เมื่อพวกมหาปุโรหิต ธรรมาจารย์ และฟาริสี เพียงแค่ค้ำจุนประเพณีของมนุษย์ ไม่ใช่ธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์ ถวายเครื่องบูชาแย่ๆ อีกทั้งขายปศุสัตว์และแลกเปลี่ยนเงินในวิหารอย่างเปิดเผย เปลี่ยนวิหารเป็นซ่องโจร พระเจ้าจึงทรงรังเกียจและทอดทิ้ง เมื่อมันไม่มีงานของพระเจ้าแล้ว ผู้คนก็ทำตามต้องการ ไม่ถูกบ่มวินัยเพราะบาปตน วิหารกลายเป็นไม่เกิดผล ดังนั้น เหตุผลหลักสำหรับเรื่องนั้น คือผู้นำศาสนาไม่รักษาพระบัญญัติของพระยาห์เวห์ หลงจากทางแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า อีกเหตุผลหนึ่งก็คือพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจระยะใหม่ งานของพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงเปลี่ยนไป องค์พระเยซูเจ้าได้เริ่มยุคพระคุณภายนอกพระวิหาร ผู้ที่ติดตามพระองค์ก็ได้รับการให้น้ำและการค้ำจุนได้ ตราบที่อธิษฐานและสารภาพต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า บาปก็ถูกอภัย และชื่นชมพระคุณและสันติสุขที่ทรงประทานให้ได้ แต่พวกมหาปุโรหิต ธรรมาจารย์ และฟาริสี ที่ไม่ยอมรับงานของพระองค์ แต่กลับต่อต้านและกล่าวโทษ และบรรดาผู้ที่ยืนกรานจะทำต่อไปร่วมกับพวกเขา ก็ถูกงานของพระเจ้าทอดทิ้งและกำจัดทิ้งโดยธรรมชาติ ตกสู่ความมืด ความอ้างว้างร้างเปล่า”

คุณคิดยังไงกับการสามัคคีธรรมนี้ครับ?

ถึงจุดนั้น ผมรู้สึกเหมือนว่ามันให้ความกระจ่างจริงๆ แต่ผมก็สับสนด้วย และคิดว่า “ฉันอ่านทั้งหมดนั่นในพระคัมภีร์มานับครั้งไม่ถ้วน ทำไมไม่เคยเห็นมันในทางนั้นมาก่อน? และพี่น้องชายหญิงที่นั่นยังหนุ่มสาวมากทุกคน แล้วพวกเขาเข้าใจลึกซึ้งในปัญหานี้ได้ยังไง?” ผมนึกสงสัยว่าพวกเขาเข้าใจเรื่องนั้นได้ยังไง ผมฟังอย่างตั้งอกตั้งใจต่อไป จากนั้น พี่โจวก็พูดว่า “เหมือนกับเหตุผลที่วิหารเสื่อมถอยในยุคธรรมบัญญัติ คริสตจักรทุกวันนี้อยู่ในสภาวะนี้เพราะพระเจ้ากำลังทรงงานระยะใหม่” พอผมได้ยินเขาพูดถึงแบบนี้ ใจผมหายวาบและนึกขึ้นได้ ว่าพวกเขาอาจเข้ากับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ใครก็ว่าสิ่งที่พวกเขาสอนหลักแหลม ถ้าผมถูกหลอกด้วยล่ะ? ผมเริ่มรู้สึกประหม่าและขัดแย้งมาก ผมควรรับฟังพวกเขาหรือไม่?

คุณคงตัดสินใจอยู่ต่อใช่ไหมครับ?

ใช่ครับ ในตอนนี้ ผมแค่อยากแก้ไขปัญหาในคริสตจักร ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่มีศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสจากประเทศจีนหรือจากต่างประเทศ สามารถช่วยได้เลย ไม่ว่าพวกเขาจะอ่าน พระคัมภีร์ อดอาหาร และอธิษฐานอย่างไร คริสตจักรก็เสื่อมโทรมลงไปเรื่อยๆ แต่พี่น้องชายหญิงเหล่านั้น เปี่ยมด้วยความเชื่อและความรัก สามัคคีธรรมเปี่ยมความเข้าใจ ไม่มีใครทำได้ดีขนาดนี้ เว้นจะมีงานและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมจึงคิดได้ว่า ถ้าผมหาทางเฟื้นคริสตจักรผ่านการสามัคคีธรรมของพวกเขาได้ เช่นนั้นก็มีความหวังสำหรับพวกเรา ผมต้องการคว้าโอกาสนี้ไว้ ถึงพวกเขาอยู่กับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ผมก็ไม่ต้องกลัว เพราะผมรู้พระคัมภีร์ และถูกนำให้หลงทางไม่ได้ พอผมคิดถึงมันแบบนี้ ผมก็เริ่มฟัง พร้อมเปิดพระคัมภีร์ยืนยันคำพูด เพื่อดูว่ามันสอดคล้องกับพระคัมภีร์หรือไม่

คุณอยู่ต่อจริงๆ แต่ก็ยังระแวดระวังอยู่ด้วย

ใช่ครับ พี่โจวสามัคคีธรรมต่อไป โดยอ่านอาโมส 4:7-8 “‘เราเองเป็นผู้ยับยั้งฝนไว้เสียจากเจ้าด้วย สามเดือนก่อนถึงฤดูเกี่ยว เราให้ฝนตกในเมืองหนึ่ง อีกเมืองหนึ่งไม่ให้ฝน นาแห่งหนึ่งมีฝนตก ส่วนนาที่ไม่มีฝนก็เหี่ยวแห้ง ดังนั้นชาวเมืองสองสามเมืองก็เดินโซเซไปหาอีกเมืองหนึ่ง เพื่อจะหาน้ำดื่ม แต่ไม่สิ้นกระหาย กระนั้น พวกเจ้าก็ยังไม่กลับมาหาเรา’ พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ” เขาอธิบายเรื่องนี้ว่า “ข้อพระคัมภีร์นี้กล่าวถึงเมืองหนึ่งที่มีฝน แต่อีกเมืองแห้งแล้ง ‘ฝน’ คืองานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าทรงนำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์มาจากทุกที่ ทรงเคลื่อนมันไปสู่ผู้ที่ยอมรับงานใหม่พระองค์ พวกที่เดินตามรอยพระบาทได้การหล่อเลี้ยงจากพระวจนะปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และได้รับงานของพระองค์ แต่วพวกที่ไม่ยอมรับงานใหม่ของพระเจ้า ถูกกำจัดทิ้งในครรลองแห่งงานของพระเจ้า ใช้ชีวิตในความมืด” พอพวกเขาสามัคคีธรรมมาถึงตรงนี้ มันก็เริ่มฟังดูสมเหตุสมผลสำหรับผม ผมเห็นว่าคริสตจักรไม่เป็นผล เพราะพระเจ้าทรงงานใหม่ งานของพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงเปลี่ยน ผมถึงไม่รู้สึกถึงการสถิตของพระเจ้ามาตลอดหลายปี รู้สึกมืดมิดทางวิญญาณ เหมือนตกลงสู่หลุมไร้ก้นบึ้ง ไม่เหลือความหวังแม้เสี้ยว ผมใช้ชีวิตในความทุกข์ระทมที่สุด พอคิดถึงการไล่ตามรอยพระบาท และชื่นชมงานและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกครั้ง ผมถามอย่างกระตือรือร้นว่า พี่โจว “เราจะตามรอยพระเมษโปดกและได้รับงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ยังไง?” เขาบอกผมว่า “ในวิวรณ์เผยพระวจนะเจ็ดครั้ง ‘ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย(วิวรณ์ บทที่ 2, 3)  คำเผยพระวจนะนี้บอกเราว่า พระเจ้าจะตรัสกับเหล่าคริสตจักรในยุคสุดท้าย และทุกคนที่ได้ยินพระสุรเสียง จะตามทันรอยพระบาทและร่วมงานอภิเษกของพระเมษโปดก” จากนั้น เขาก็หยิบหนังสืออกมาแล้วพูดต่อว่า “เล่มนี้มีพระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ถึงคริสตจักร อ่านหนังสือนี้แล้วคุณจะเข้าใจทุกอย่าง” ผมรับมาแล้วเห็น พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ของฟ้าแลบจากทิศตะวันออกไม่ใช่เหรอ? ผมนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ และคิดว่า “ฉันสู้กับพวกเขาอย่างหัวชนฝามาห้าปี แต่ไม่เคยเผชิญหน้าด้วยเลยจนกระทั่งตอนนี้” ผมนึกถึงพี่น้องชายหญิงเหล่านั้น ที่เมื่อได้ฟังฟ้าแลบจากทิศตะวันออกแล้วก็ไม่เปลี่ยนใจอีก ผมประหม่ามาก เหมือนหัวใจตกไปอยู่ตาตุ่ม ผมกล่าวอธิษฐาน “พระองค์ ขอทรงพิทักษ์รักษาข้าฯ ด้วย ข้าฯ ต้องไม่หลงจากพระคัมภีร์ จากพระองค์ ไม่ว่ายังไงก็ตาม” ผมจึงถามว่า “หนังสือนี้มีพระวจนะของพระเจ้าได้ยังไง? พระวจนะทั้งหมดอยู่ในพระคัมภีร์ นอกนั้นไม่ใช่พระวจนะ การผละจากพระคัมภีร์เป็นความนอกรีต เป็นการทรยศ” ผมนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ได้อีกต่อไป ผมจึงลุกขึ้นอย่างไม่พอใจ และเลิกฟังพวกเขาอย่างสิ้นเชิง

ตอนได้ยินสามัคคีธรรมว่าทำไมคริสตจักรถึงถูกทิ้งร้าง มันให้ความกระจ่างจริงๆ นะครับ

ครับ ผมรู้ในหัวใจว่ามันเป็นความจริง

แต่คุณก็ไม่สามารถฟังได้อีกต่อไป เมื่อเห็นว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

ใช่ ผมต่อต้านเรื่องนั้นและมีมโนคติอันหลงผิดมากมาย พอเห็นว่าผมต่อต้านมากแค่ไหน และเห็นว่าผมไม่ฟังแล้ว พวกเขาก็ร้องไห้ คุกเข่าลงอธิษฐานให้ผม ขอพระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้ง ให้ผมเห็นพระราชกิจของพระเจ้า ผมถอยไปยืนอยู่ข้างๆ การได้ยินคำอธิษฐานจากใจของพวกเขาทำให้ผมรู้สึกถูกกระตุ้น ผมได้คิดว่า หากไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ใครจะสามารถรักผู้อื่นขนาดนี้ได้? พอถึงจุดนี้ ผมก็เริ่มค่อยๆ สงบใจลง และปล่อยวางใจที่ต่อต้านของผมลงบ้าง หลังจากพวกเขาอธิษฐานเสร็จ พี่โจวก็แบ่งปันประสบการณ์ของเขากับผม เขาพูดว่า “ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณ ตอนแรกผมก็เหมือนกับคุณ ผมต่อต้านงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ว่าร้ายคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตามพวกศิษยาภิบาล และเขียนเนื้อหาต่างๆ ต่อต้านมัน ผมถึงกับข่มขู่พี่น้องชายหญิงไม่ให้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมทำหลายสิ่งเพื่อต่อต้านและหมิ่นประมาทพระเจ้า คิดว่าพิทักน์ทางแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าและอุทิศตน ผมเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่รู้จักพระองค์ ผมหัวแข็งและโอหัง หากไม่ใช่เพราะพระเจ้าทรงลงโทษและบ่มวินัยผม เพราะพระวจนะอันเปี่ยมสิทธิอำนาจและเข้าถึงดวงจิต ผมก็คงไม่มีทางนบนอบ” เขายังพูดด้วยว่าเขาเคยคิดอยู่เสมอ ว่าพระวจนะทั้งหมดอยู่ในพระคัมภีร์ นอกเหนือจากนั้นไม่ใช่พระวจนะ การผละจากพระคัมภีร์จึงเป็นความนอกรีต แล้วเขาก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ที่อธิบายว่าเรื่องนี้ไม่จริงอย่างไร ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ในตอนแรกนั้น ผมรู้สึกสับสนมาก และนึกสงสัยว่ามันไม่ใช่ข้อเท็จจริงยังไง จากนั้น เขาก็พูดกับผมว่า “คุณรู้จักพระคัมภีร์ดี ก็คงรู้ว่ามันถูกรวบรวมขึ้นหลังองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงงานเสร็จหลายปีแล้ว จึงหมายความว่าเนื้อหาบางส่วนถูกตัดออกไป พระวจนะจากพระเจ้าบางส่วนของผู้เผยพระวจนะ ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในพันธสัญญาเดิมอย่างครบถ้วน แต่ถูกใส่ไว้ในคัมภีร์ที่ไม่มีหลักฐาน เช่น ของเอสรา” เขายังพูดด้วยว่าในยุคพระคุณ งานและพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าไม่อยู่ในองค์พระคำภีร์ทั้งหมด พระองค์ทรงงานอย่างเป็นทางการสามปีครึ่ง ใครจะรู้ว่าทรงตรัสมากแค่ไหน มีกี่คำเทศนาในช่วงนั้น ถ้ารวบรวมพระวจนะทั้งหมดขององค์พระเยซูเจ้าจากพระวรสารทั้งสี่ ก็คงเท่ากับที่พระองค์ทรงตรัสแค่ไม่กี่ชั่วโมง แล้วถ้าเอามาเทียบกับที่ทรงตรัสไว้ตลอดสามปีครึ่ง เราจะเห็นว่ามันจำกัดมาก ในยอห์นก็มีกล่าวว่า “พระเยซูยังทรงทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าจะเขียนให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าแม้ที่ทั้งโลกไม่พอใส่หนังสือที่จะเขียนนั้น” (ยอห์น 21:25)  เขาถามผมว่าจริงไหมที่นอกพระคัมภีร์ไม่มีพระวจนะ เป็นข้อเท็จจริงหรือเปล่า และในวิวรณ์ก็เผยพระวจนะไว้หลายครั้ง “ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย(วิวรณ์ บทที่ 2, 3)  นี่พิสูจน์ว่าในยุคสุดท้าย พระองค์จะตรัสอีกหลายสิ่งกับคริสตจักร พระวจนะแห่งยุคสุดท้ายจะถูกเขียนไว้ในพระคัมภีร์ล่วงหน้าได้ยังไง? วิวรณ์ยังเผยพระวจนะด้วยว่าพระเมษโปดกจะเปิดม้วนหนังสือ ซึ่งถูกปิดผนึกไว้แต่เริ่ม และมีเพียงพระเมษโปดกที่ทำลายผนึกนั้นได้ เป็นไปได้ไหมว่าเนื้อหาของม้วนหนังสืออยู่ในพระคัมภีร์แล้ว? ไม่มีทางเลยครับ ดังนั้นที่พวกศิษยาภิบาลอ้างว่าพระวจนะทั้งหมดอยู่ในพระคัมภีร์ มีเหตุผลยืนยันไหม? นั่นไม่ใช่การปฏิเสธและกล่าวโทษพระวจะเหรอ?

คุณคิดอะไรอยู่ตอนที่ได้ยินสามัคคีธรรมนี้จากเขา?

ถึงตรงนั้น ผมเชื่ออย่างสนิทใจ รู้ว่าเป็นความจริง ที่วิวรณ์เผยว่าพระเมษโปดกจะเปิดม้วนหนังสือ ทำลายผนึกทั้งเจ็ด ในยุคสุดท้าย เนื้อหาที่เจาะจงอย่างนั้นจะบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์อยู่แล้วได้เหรอ? ผมตระหนักว่าที่ผมยืนกรานว่าไม่มีพระวจนะนอกพระคัมภีร์ คือการทำผิดไป

ผมจำได้ว่าคุณเคยพูดว่า ตอนที่คุณกำลังกันไม่ให้ผู้คนตรวจสอบฟ้าแลบจากทิศตะวันออก บางคนได้แบ่งปันสามัคคีธรรมอย่างง่ายในเรื่องนี้กับคุณแล้ว

ใช่ พวกเขาบอกนิดหน่อย แต่ตอนนั้นผมโอหังเกินไป และไม่ยอมรับฟัง แต่ว่า สามัคคีธรรมของพี่โจวนั้นชัดเจนมากครับ เขาบอกผมว่าพระคัมภีร์เป็นเพียงบันทึกงานของพระเจ้า และทั้งพันธสัญญาเดิมและใหม่ ก็ถูกรวบรวมโดยมนุษย์หลังจากพระเจ้าทรงเสร็จสิ้นงานหนึ่งระยะแล้ว พระเจ้าไม่ได้ทรงงานตามพระคัมภีร์ อีกทั้งไม่ถูกจำกัดโดยพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงงานตามแผนการบริหารจัดการและความจำเป็นของมวลมนุษย์ เมื่อองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมา พระองค์ไม่ได้ทรงงานตามพันธสัญญาเดิม แต่พระองค์ทำเกินองค์พระคัมภีร์ ประกาศหนทางกลับใจ รักษาคนป่วย ขับผี บอกให้ให้อภัยผู้อื่นเจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด ไม่ถือวันสะบาโต และอื่นๆ สุดท้ายทรงถูกตรึงกางเขน เป็นการสรุปจบงานแห่งการไถ่ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีในพันธสัญญาเดิมเลย บางส่วนดูขัดแย้งกับธรรมบัญญัติในองค์พระคัมภีร์ภาษาฮีบรูด้วยซ้ำ ถ้าเราเชื่อคำพูดพวกศิษยาภิบาล ว่าทุกอย่างนอกองค์พระคัมภีร์คือนอกรีต นั่นจะไม่ใช่การกล่าวโทษงานขององค์พระเยซูเจ้าด้วยหรือ? พระเจ้าคือพระผู้สร้าง ความอุดมของพระองค์ครอบคลุมทุกสิ่ง แล้วจริงหรือที่จะทรงงานได้จำกัดแค่ที่บันทึกในพระคัมภีร์เท่านั้น? จริงไหมที่จะทรงงานใหม่หรือดำรัสถ้อยคำใหม่นอกเหนือพระคัมภีร์ไม่ได้? นั่นไม่เป็นการจำกัดและหมิ่นประมาทพระเจ้าหรอกหรือ? พวกฟาริสีใช้องค์พระคัมภีร์ภาษาฮีบรูกล่าวโทษงานขององค์พระเยซูเจ้า กล่าวว่ามันอยู่นอกองค์พระคัมภีร์ เป็นความนอกรีต พวกเขาปฏิเสธและกล่าวโทษความจริงที่พระองค์ทรงแสดง และสุดท้ายก็สมรู้ร่วมคิดกันตรึงกางเขนพระองค์ และถูกพระเจ้าทรงสาปแช่งและลงโทษ ตอนนี้พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสด็จมาแสดงความจริงที่ชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยให้รอด เหล่านี้คือพระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ถึงคริสตจักร และนี่คือพระเจ้าทรงมอบชีวิตนิรันดร์ให้แก่เรา ถ้าเราไม่ฟังและแสวงหา และยึดติดกับพระคัมภีร์อย่างมืดบอด ต้านทานและกล่าวโทษงานและพระวจนะในยุคสุดท้าย นั่นไม่เป็นการทำผิดพลาดเหมือนพวกฟาริสีหรอกหรือ? นั่นจะทำให้เราถูกพระเจ้ากำจัดทิ้ง!

ใช่ครับ ผลสืบเนื่องนั้นเลวร้ายมาก

ใช่ครับ การได้ยินสามัคคีธรรมนี้จากเขาทำให้ผมรู้สึกกลัว แล้วสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ก็ผุดขึ้นมา “ทุกคนที่กล่าวร้ายบุตรมนุษย์จะได้รับการยกโทษ แต่คนที่กล่าวหมิ่นประมาทต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะไม่ได้รับการยกโทษ(ลูกา 12:10)  ผมคิดถึงตัวเองในความสว่างนี้ ก็รู้ว่าถ้าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มาจากพระเจ้า ก็มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และถ้าผมเรียกงานและพระวจนะของพระองค์ว่านอกรีต นั่นไม่ใช่การหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์หรอกหรือ? เช่นนั้นผมก็ไม่ได้รับการอภัยทั้งโลกนี้และโลกหน้า! ผมจึงรู้ว่า ผมไม่อาจต่อต้านเรื่องนี้ต่อไป แต่ต้องแสวงหาและสืบค้น

งั้นใจคุณก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงน่ะสิครับ

ใช่ แล้วพี่โจวก็อ่านพระวจนะของพระองค์ให้ผมฟังสองบทตอน “ผู้คนมากมายเชื่อว่าความเข้าใจและความสามารถที่จะตีความพระคัมภีร์เป็นสิ่งเดียวกันกับการพบหนทางที่แท้จริง—แต่ในความเป็นจริงแล้ว อะไรๆ ก็ง่ายดายเช่นนั้นจริงๆ หรือ?  ไม่มีใครรู้ความเป็นจริงของพระคัมภีร์  ว่าพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า และพันธสัญญาของพระราชกิจสองช่วงระยะของพระเจ้า และว่าพระคัมภีร์ไม่ได้ให้ความเข้าใจใดๆ เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของพระราชกิจของพระเจ้าแก่เจ้า  ทุกคนที่ได้อ่านพระคัมภีร์รู้ว่าพระคัมภีร์บันทึกพระราชกิจสองช่วงระยะของพระเจ้าในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ  พันธสัญญาเดิมบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของอิสราเอลและพระราชกิจของพระยาห์เวห์นับตั้งแต่เวลาแห่งการทรงสร้างจนกระทั่งจุดสิ้นสุดของยุคธรรมบัญญัติ  พันธสัญญาใหม่บันทึกพระราชกิจของพระเยซูบนแผ่นดินโลก ซึ่งอยู่ในหนังสือหมวดพระกิตติคุณสี่เล่ม ตลอดจนงานของเปาโล—เหล่านี้ไม่ใช่บันทึกประวัติศาสตร์หรือ?  การยกสิ่งต่างๆ ในอดีตมากล่าวถึงในวันนี้ทำให้สิ่งเหล่านั้นเป็นประวัติศาสตร์ และไม่สำคัญว่าสิ่งเหล่านั้นอาจเที่ยงแท้หรือเป็นจริงเพียงใดก็ตาม สิ่งเหล่านั้นยังคงเป็นประวัติศาสตร์—และประวัติศาสตร์ไม่สามารถกล่าวถึงปัจจุบันได้ เพราะพระเจ้าไม่ทรงย้อนกลับไปมองประวัติศาสตร์!  และดังนั้น หากเจ้าเพียงเข้าใจพระคัมภีร์เท่านั้น แต่ไม่เข้าใจพระราชกิจที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยที่จะปฏิบัติในวันนี้เลย และหากเจ้าเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่แสวงหาพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่เข้าใจความหมายของการแสวงหาพระเจ้า  หากเจ้าอ่านพระคัมภีร์เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ของอิสราเอล เพื่อค้นคว้าประวัติศาสตร์การทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกทั้งหมดของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า  แต่วันนี้ เนื่องจากเจ้าเชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาชีวิต เนื่องจากเจ้าไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า และไม่ไล่ตามเสาะหาไปตามตัวอักษรและคำสอนที่ตายไปแล้วหรือความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เจ้าต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าในวันนี้ และเจ้าต้องมองหาทิศทางของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  หากเจ้าเป็นนักโบราณคดี เจ้าจะสามารถอ่านพระคัมภีร์ได้—แต่เจ้าไม่ใช่ เจ้าเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า และเจ้าควรจะแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าของวันนี้อย่างดีที่สุด(“เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (4)” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  “ในระหว่างกาลสมัยของพระเยซู พระเยซูทรงนำคนยิวและบรรดาผู้คนที่ติดตามพระองค์โดยสอดคล้องกับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพระองค์ในเวลานั้น  พระองค์ไม่ได้ทรงนำพระคัมภีร์มาเป็นพื้นฐานของสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ แต่พระองค์ตรัสไปตามพระราชกิจของพระองค์  พระองค์ไม่ได้ใส่พระทัยในสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ อีกทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงสำรวจค้นเส้นทางที่จะนำผู้ติดตามของพระองค์ในพระคัมภีร์  นับตั้งแต่เวลาที่พระองค์ได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจ พระองค์ทรงเผยแพร่หนทางแห่งการกลับใจ—ซึ่งเป็นคำที่ไม่ได้มีการกล่าวถึงไว้ในคำเผยพระวจนะทั้งหลายของพันธสัญญาเดิมโดยสิ้นเชิง  พระองค์ไม่เพียงแต่ไม่ทรงปฏิบัติตามพระคัมภีร์เท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงนำเส้นทางใหม่และทรงพระราชกิจใหม่ด้วย  พระองค์ไม่เคยทรงอ้างอิงถึงพระคัมภีร์เมื่อพระองค์ทรงเทศนาเลย  ในระหว่างยุคธรรมบัญญัตินั้น ไม่เคยมีผู้ใดมีความสามารถที่จะกระทำการอัศจรรย์ของพระองค์ในการรักษาคนป่วยและขับไล่พวกปีศาจได้  ดังนั้น พระราชกิจของพระองค์ คำสอนของพระองค์ และสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระวจนะของพระองค์จึงเกินกว่ามนุษย์คนใดในยุคธรรมบัญญัติเช่นเดียวกัน  พระเยซูเพียงทรงพระราชกิจของพระองค์ที่ใหม่กว่า และถึงแม้ว่าผู้คนมากมายกล่าวโทษพระองค์โดยใช้พระคัมภีร์—และแม้กระทั่งใช้พันธสัญญาเดิมเพื่อตรึงกางเขนพระองค์—พระราชกิจของพระองค์ก็เหนือกว่าพันธสัญญาเดิม  หากนี่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว เหตุใดผู้คนจึงตอกตรึงพระองค์กับกางเขน?  นั่นไม่ได้เป็นเพราะในพันธสัญญาเดิมไม่ได้กล่าวถึงสิ่งใดที่เกี่ยวกับคำสอนของพระองค์และความสามารถในการรักษาผู้ป่วยและขับไล่ปีศาจของพระองค์หรอกหรือ?  พระราชกิจของพระองค์ได้รับการปฏิบัติเพื่อนำเส้นทางใหม่ ไม่ใช่เพื่อจงใจมีเรื่องกับพระคัมภีร์ หรือเพื่อจงใจไม่ใช้พันธสัญญาเดิมอีกต่อไป  พระองค์เพียงเสด็จมาเพื่อดำเนินพันธกิจของพระองค์ เพื่อนำพระราชกิจใหม่มายังผู้ที่โหยหาและแสวงหาพระองค์…สำหรับผู้คนแล้ว ดูเสมือนว่าพระราชกิจของพระองค์ไม่มีพื้นฐานและมีหลายส่วนขัดแย้งกับบันทึกของพันธสัญญาเดิม  นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดของมนุษย์หรอกหรือ?  จำเป็นต้องนำหลักคำสอนมาใช้กับพระราชกิจของพระเจ้าหรือ?  และพระเจ้าต้องทรงพระราชกิจตามการพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะหรือ?  ในที่สุดแล้ว สิ่งใดยิ่งใหญ่กว่ากัน พระเจ้าหรือพระคัมภีร์?  เหตุใดพระเจ้าต้องทรงพระราชกิจตามพระคัมภีร์?  เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าจะไม่ทรงมีสิทธิ์ทำเกินกว่าพระคัมภีร์?  พระเจ้าไม่สามารถแยกจากพระคัมภีร์และปฏิบัติพระราชกิจอื่นหรือ?  เหตุใดพระเยซูและสาวกทั้งหลายของพระองค์จึงไม่รักษาวันสะบาโตต่อไป?  หากพระองค์ทรงปฏิบัติตามวันสะบาโตและตามพระบัญญัติของพันธสัญญาเดิม เหตุใดเล่าพระเยซูจึงไม่รักษาวันสะบาโตหลังจากที่พระองค์เสด็จมา แต่ทรงล้างพระบาท เอาผ้าคลุมพระเศียร หักขนมปัง และดื่มเหล้าองุ่นแทน?  ทั้งหมดนี้มิใช่ไม่มีอยู่ในพระบัญญัติของพันธสัญญาเดิมหรอกหรือ?  หากพระเยซูทรงให้เกียรติพันธสัญญาเดิม เหตุใดพระองค์จึงทรงยุติความเกี่ยวข้องกับหลักคำสอนเหล่านี้?  เจ้าควรรู้ว่าอย่างใดสำคัญกว่ากัน พระเจ้าหรือพระคัมภีร์!  ในเมื่อทรงเป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต แล้วพระองค์จะไม่สามารถเป็นเจ้าเป็นนายเหนือพระคัมภีร์ด้วยหรอกหรือ?(“เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (1)” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  เมื่อผมได้ยินพระวจนะเหล่านี้ ผมรู้สึกเหมือนพวกมันมีสิทธิอำนาจจริงๆ ตลอดหลายปีแห่งความเชื่อของผม ผมได้ฟังคำเทศนามากมายจากนักบวชจีนและต่างประเทศ และผมได้อ่านหนังสือด้านจิตวิญญาณ แต่ผมไม่เคยเห็นใครอธิบายพระคัมภีร์ได้ชัดเจนและครบถ้วนขนาดนี้ มันให้ความรู้แจ้งสำหรับผมจริงๆ ครับ ผมเห็นว่า พระคัมภีร์เป็นเพียงบันทึกงานของพระเจ้า มันมาหลังจากพระเจ้าทรงงานนั้นไปแล้ว แต่ผมจำกัดพระเจ้าไว้ในขอบเขตของพระคัมภีร์ คิดว่าพระองค์ไม่น่าทรงงานหรือดำรัสถ้อยคำใหม่นอกพระคัมภีร์ ผมช่างโง่เขลาจริงๆ! ตอนนั้นเองที่ผมรู้ว่า พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มาจากพระเจ้า มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผมจำเป็นต้องแสวงหาบ้างแล้ว ไม่งั้นจะพลาดโอกาสต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า จะเสียใจก็สายเกินไป ผมจึงรีบอธิษฐาน ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำ

ขอบคุณพระเจ้า! ตอนนั้น คุณได้รับมุมมองที่ถูกต้องต่อพระคัมภีร์

ใช่ แต่ผมก็ยังสับสนอยู่บ้าง องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่าจะเสด็จมาบนเมฆและทรงปรากฏอย่างเปิดเผย แต่ผมยังไม่เห็นสิ่งนั้นเกิดขึ้น พวกเขาพูดว่าพระองค์เสด็จกลับมาแล้ว ทรงอยู่ในร่างมนุษย์ ดำรัสพระวจนะใหม่ๆ แล้วมีคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์ไหมว่าทรงมาครั้งที่สองในเนื้อหนัง? ผมถามพี่โจวเกี่ยวกับเรื่องนี้

เขาพูดว่ายังไงครับ?

เขาบอกผมว่า มีบางส่วนที่พูดถึงการมาบนเมฆและปรากฏต่อทุกคนอย่างเปิดเผย แต่ที่พูดถึงการมาในเนื้อหนังอย่างเป็นความลับก็มีอยู่มาก องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “นี่แน่ะ เรากำลังมาเหมือนอย่างขโมย(วิวรณ์ 16:15)  “เพราะว่าสมัยของโนอาห์เคยเป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้น(มัทธิว 24:37)  “เพราะเหตุนี้พวกท่านจงเตรียมพร้อม เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา(มัทธิว 24:44)  “เพราะว่าบุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน(ลูกา 17:24-25)  ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ต่างกล่าวถึงการเสด็จมาของบุตรมนุษย์ และ “บุตรมนุษย์” หมายถึงการเกิดของบุคคล มีเลือดเนื้อพร้อมความเป็นมนุษย์ที่ปกติ หากพระองค์มาในรูปวิญญาณบนเมฆ ปรากฏแก่ผู้คน เมื่อเห็นพระองค์ ทุกคนจะกลัวและรีบหมอบราบกับพื้น ใครจะกล้าต่อต้านหรือบอกปัดพระองค์? เมื่อพระองค์ทรงกลับมา จะทนทุกข์มากมาย และถูกคนรุ่นนี้ปฏิเสธไหม? ไม่อย่างแน่นอนครับ องค์พระเยซูเจ้าได้เผยพระวจนะว่าพระองค์จะทรงกลับมาในสองทาง ทางแรก จะเสด็จมาอย่างลับๆ ในเนื้อหนัง เพื่อแสดงความจริงและทรงงานแห่งการพิพากษา โดยเริ่มจากพระนิเวศ สร้างกลุ่มผู้ชนะก่อนความวิบัติทั้งหลาย หลังความวิบัติ จะทรงมาบนเมฆและปรากฏอย่างเปิดเผย ถ้าเราแค่รอเห็นองค์พระเยซูเจ้าบนเมฆ ไม่ยอมรับงานและพระวจนะเมื่อทรงมาในเนื้อหนังอย่างลับๆ เราก็อาจถูกองค์พระผู้เป็นเจ้าบอกปัดได้! สามัคคีธรรมของเขาปลุกให้ผมตื่นขึ้นครั้งใหญ่ ผมได้ตระหนักว่าบุตรมนุษย์ก็คือพระเจ้าในเนื้อหนัง ตลอดหลายปี ผมพูดถึงข้อพระคัมภีร์เหล่านั้นกับคนอื่นไปเยอะมาก พูดว่าพระองค์จะมาเช่นขโมย บอกพวกเขาให้ตื่นตัวและอธิษฐาน เฝ้ารอพระองค์ แต่ไม่เห็นเผยพระวจนะว่าจะเสด็จมาอย่างเป็นความลับ

คุณได้รับความเข้าใจใหม่สินะครับ

ใช่ครับ ณ จุดนั้น ผมตระหนักว่า ตลอดหลายปีที่ผมอ่านพระคัมภีร์มา ผมเห็นแต่ความหมายตามตัวอักษร ไม่เคยเข้าใจความหมายแท้จริงของคำเผยพระวจนะเหล่านั้น หลังจากนั้น ผมถามคำถามพี่โจวอีกข้อ ผมพูดว่า “องค์พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขนเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และทรงรับบาปของพวกเราไป ในฐานะผู้เชื่อ บาปของผมได้รับการอภัยแล้ว เมื่อทรงเสด็จมา ก็ควรนำผมตรงสู่ราชอาณาจักรสิ ทำไมพระเจ้าต้องทรงพระราชกิจเพื่อความรอดอีกระยะล่ะ?” เขาตอบผมด้วยการถามว่า “คุณว่าเข้าสู่ราชอาณาจักรได้เพราะบาปถูกอภัย แต่มันมีพื้นฐานในพระวจนะไหม? พระองค์เพียงอภัยบาปให้แก่เรา แต่พระองค์ไม่เคยตรัสว่าพวกเราเข้าสู่ราชอาณาจักรได้เพราะบาปได้รับการอภัย นี่เป็นเพียงมโนคติที่หลงผิดครับ บาปได้รับการอภัยแปลว่าไม่ทรงเห็นเราเป็นคนบาปแล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าเราเป็นอิสระจากบาป และยิ่งไม่ได้แปลว่าเราบริสุทธิ์ ไม่ทำบาป หรือต้านทานพระเจ้าอีก ในเรื่องว่าใครเข้าสู่ราชอาณาจักรได้ องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ชัดเจน ‘ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนจำนวนมากร้องแก่เราว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ?” เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า “เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา”(มัทธิว 7:21-23)  พวกผู้คนที่เผยพระวจนะและขับผีในพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ได้รับการอภัยบาปแล้วไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมพระองค์จึงตรัสว่าไม่เคยรู้จักพวกเขา กล่าวโทษว่าเป็นผู้ทำความชั่ว? พระวจนะนี้แสดงว่า พวกที่ใช้ชีวิตในบาป ถึงจะรับใช้ในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็จะถูกกล่าวโทษในท้ายที่สุด และไม่คู่ควรกับราชอาณาจักร” แล้วพี่โจวก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพื่อตอบคำถามผม “คนบาปเช่นพวกเจ้า ผู้ซึ่งเพิ่งได้รับการไถ่บาป และไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง หรือได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า เจ้าสามารถเป็นที่ถูกพระทัยของพระเจ้าได้หรือ?  สำหรับเจ้า เจ้าผู้ซึ่งยังคงเป็นตัวตนเก่าของเจ้า เป็นความจริงที่ว่าเจ้าได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเยซู และที่ว่าเจ้าไม่ได้ถูกนับว่าเป็นคนบาปเพราะความรอดของพระเจ้า แต่นี่ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้มีบาป และไม่ได้ไม่บริสุทธิ์  เจ้าสามารถเป็นผู้เปี่ยมบริสุทธิ์ได้อย่างไรหากเจ้ายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง?  ภายใน เจ้าถูกรุมเร้าด้วยความไม่บริสุทธิ์ เห็นแก่ตัวและใจร้าย กระนั้นเจ้าก็ยังคงปรารถนาที่จะลงมาพร้อมกับพระเยซู—เจ้าคงจะไม่โชคดีขนาดนั้น!  เจ้าได้พลาดไปขั้นตอนหนึ่งในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าแล้ว นั่นคือ เจ้าเพียงได้รับการไถ่บาปเท่านั้น แต่เจ้ายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง  เพื่อที่เจ้าจะได้เป็นที่ถูกพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าต้องทรงพระราชกิจแห่งการเปลี่ยนแปลงและการชำระล้างเจ้าให้สะอาดด้วยพระองค์เอง มิฉะนั้น เจ้าผู้ซึ่งได้รับการไถ่บาปเท่านั้น ก็จะไม่สามารถบรรลุการชำระให้บริสุทธิ์ได้  ด้วยวิธีนี้เจ้าจะไม่มีคุณสมบัติที่จะแบ่งปันในพรดีๆ ของพระเจ้า เพราะเจ้าได้พลาดขั้นตอนหนึ่งในพระราชกิจของพระเจ้าในการบริหารจัดการมนุษย์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงและการทำให้มีความเพียบพร้อม  ดังนั้นเจ้า คนบาปที่เพิ่งได้รับการไถ่บาป จึงไม่สามารถรับมรดกของพระเจ้ามาเป็นมรดกของเจ้าโดยตรงได้(“ว่าด้วยเรื่องชื่อและอัตลักษณ์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  “แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา  การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา  และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา  พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น  บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น  พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต(คำนำของ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  “ก่อนที่มนุษย์จะได้รับการไถ่ พิษมากมายของซาตานซึ่งได้ถูกปลูกฝังไว้ภายในตัวเขาแล้ว และหลังจากหลายพันปีของการถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เขามีธรรมชาติอย่างหนึ่งซึ่งต้านทานพระเจ้าก่อตัวขึ้นมาภายในตัวเขา  ดังนั้น เมื่อมนุษย์ได้รับการไถ่ ก็ย่อมไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่ากรณีของการไถ่ที่มนุษย์ถูกซื้อมาด้วยราคาแพง แต่ธรรมชาติซึ่งเป็นพิษภายในตัวเขาหาได้ถูกกำจัดให้หมดสิ้นไม่  มนุษย์ซึ่งมีมลทินมากขนาดนั้นจะต้องก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะกลายมามีคุณค่าต่อการรับใช้พระเจ้า  ด้วยวิถีทางแห่งพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า มนุษย์จึงจะมารู้จักธาตุแท้อันโสมมและเสื่อมทรามภายในตัวเขาเองอย่างครบถ้วน และเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างครบบริบูรณ์และกลับกลายเป็นสะอาดได้  เฉพาะด้วยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงสามารถกลายเป็นมีค่าพอที่จะกลับคืนสู่เบื้องบัลลังก์ของพระเจ้าได้ พระราชกิจทั้งหมดที่ทรงกระทำในวันนี้นั้นก็เพื่อที่มนุษย์จะสามารถได้รับการทำให้สะอาดและได้รับการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ มนุษย์สามารถชำระล้างความเสื่อมทรามและได้รับการชำระให้สะอาดได้ โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะ ตลอดจนโดยผ่านทางกระบวนการถลุง  แทนที่จะถือว่าช่วงระยะนี้ของพระราชกิจเป็นช่วงระยะของความรอด น่าจะกล่าวว่านี่คือพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์เสียมากกว่า  ในความจริง ช่วงระยะนี้เป็นช่วงระยะของการพิชิตชัยตลอดจนช่วงระยะที่สองในพระราชกิจแห่งความรอด(“ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  แล้วเขาก็สามัคคีธรรม “ในฐานะที่เชื่อมานาน เราต่างชัดเจนในสิ่งหนึ่ง หลังได้ความเชื่อ เมื่อเราทำบาป เราก็ได้รับการอภัยด้วยการสารภาพและกลับใจต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ แต่สิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ ก็คือเราอดไม่ได้ที่จะโกหกและทำบาปตลอดเวลาต่อไป เราอยู่ในวัฏจักร กลางวันทำบาป กลางคืนสารภาพ หลีกหนียังไงก็ไม่พ้น”

จริงมากครับ ที่จริง ผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกคนอยู่ในสภาวะนี้

“เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงทรงงานแห่งการไถ่ ไม่ใช่การพิพากษาและชำระเพื่อยุคสุดท้าย บาปของเราได้รับการอภัย แต่เรายังมีธรรมชาติอันเปี่ยมบาป ธรรมชาติและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเราไม่ได้รับการแก้ไข และสิ่งเหล่านั้นก็ฝังแน่นยิ่งกว่าบาปเสียเอง นั่นแหละรากเหง้าของบาปและการต่อต้านพระเจ้า” พี่โจวยังให้ตัวอย่างสองสามข้อด้วย ว่าเราโอหัง ฉลาดแกมโกง ชั่วร้าย ใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เราถึงได้โกหกและโกงอยู่ตลอด กอบโกยให้ตัวเองและชอบโอ้อวด เราต่อสู้เพื่อชื่อและผลประโยชน์ เราอิจฉาและเกลียดชัง เมื่อเราเผชิญความวิบัติหรือมีปัญหาที่บ้าน เราก็ตำหนิและเข้าใจพระเจ้าผิด บางครั้งถึงกับปฏิเสธและทรยศพระเจ้า ยิ่งถ้างานของพระเจ้าไม่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของเรา ก็จงใจต้านทานและกล่าวโทษพระเจ้า ตอนนี้องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแสดงความจริง ทรงงานพิพากษาของยุคสุดท้าย และผู้ที่เชื่อมานานหลายคนจำกัดพระองค์ตามมโนคติอันหลงผิดของตัวเอง พูดว่าจะไม่ทรงดำรัสถ้อยคำใหม่ๆ นอกพระคัมภีร์ หรือเสด็จมาทรงงานในร่างมนุษย์ พวกเขาไม่สนใจแสวงหาหรือนบนอบต่องานของพระเจ้า และไม่เคารพพระเจ้าเลย แต่กลับต้านทานและกล่าวโทษ ต่อต้านพระเจ้าอย่างดื้อรั้นและโอหัง พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ แล้วจะทรงปล่อยให้ผู้ที่ต่อต้านพระองค์ คนของซาตาน เข้าสู่ราชอาณาจักรได้ยังไง? จากความจำเป็นของมวลมนุษย์ พระเจ้าทรงงานหนึ่งระยะเพื่้อขจัดบาปเรา บนรากฐานการไถ่บาปขององค์พระเยซูเจ้า ทรงแสดงความจริงเพื่อพิพากษาและชำระเราให้สะอาด ในยุคแห่งราชอาณาจักร พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กำลังแสดงความจริงที่ชำระคนให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอด และพระองค์ได้เปิดเผยความล้ำลึกทั้งหมดของแผนการบริหารจัดการ อย่างเป้าหมายของแผนการบริหารจัดการ เบื้องหลังงานสามระยะของพระองค์ ความล้ำลึกเบื้องหลังการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ความจริงเกี่ยวกับพระคัมภีร์และบั้นปลายในอนาคตของผู้คน ทรงเปิดโปงความจริงของความเสื่อมทรามของมนุษย์ รากเหง้าความเปี่ยมบาปและการต้านทานพระเจ้า แสดงหนทางแก่เราเพื่อการเปลี่ยนอุปนิสัยและกลับใจ ลุล่วงคำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล(ยอห์น 16:12-13)  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงความจริงเพื่อแก้ไขธรรมชาติเปี่ยมบาปของเรา คนที่ยอมรับการพิพากษาของพระวจนะได้รับการชำระให้สะอาดได้ จะถูกพระเจ้าปกป้องจากความวิบัติ ได้เข้าสู่ราชอาณาจักร

สามัคคีธรรมของพี่โจวตอบคำถามของคุณไหมครับ?

หลังจากฟังเขา ผมก็เข้าใจเรื่องนี้ดีขึ้นมาก ในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ ไถ่มวลมนุษย์จากบาป ยุคแห่งราชอาณาจักรคือเมื่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แสดงความจริงเพื่องานแห่งการพิพากษา นี่จะแก้ไขธรรมชาติเปี่ยมบาปของเรา ช่วยเราจากบาป ชำระเราให้บริสุทธิ์ ผมคิดถึงการที่ผมยังถูกบาปควบคุมจริงๆ แม้แต่หลังจากเป็นผู้เชื่อมาตลอดหลายปี โดยเฉพาะหลายปีหลังมานี้ ผมกลายเป็นคนเลวทรามมากขึ้น พอๆ กับคนที่ไม่เชื่อ ผมดูทีวีกับหนัง และเล่นไพ่นกกระจอก ใช้เวลาสูญเปล่า ใช้ชีวิตติดอยู่ในบาป ผมตระหนักว่าผมไม่คู่ควรกับการเข้าสู่ราชอาณาจักรเลย

พอเชื่อมโยงกับสภาวะของคุณ คงส่งแรงขับเคลื่อนและกระตุ้นความคิดได้นะครับ

ครับ เมื่อคิดย้อนไป ช่วงเวลาที่ดำรงอยู่ในบาปนั้นมันเจ็บปวดจริงๆ ครับ และผมไม่รู้ว่าจะหนีออกมายังไง สุดท้ายก็เห็นว่าต้องยอมรับงานการพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า เพื่อเป็นอิสระจากพันธะแห่งบาป ถูกชำระ และช่วยให้รอด ผมคิดว่า พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เปิดเผยรากเหง้าของวงจรการทำบาปแล้วสารภาพของเรา และแสดงเรื่องราวเบื้องหลังของพระราชกิจ เปิดเผยเส้นทางเพื่อรับการชำระให้สะอาดและเข้าสู่ราชอาณาจักร มีเพียงพระเจ้าที่ทรงอธิบายงานของพระองค์ได้ชัดเจน และมีเพียงพระเจ้าที่ทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากบาปได้ ณ จุดนั้น ผมยิ่งรู้สึกแน่ใจ ว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือความจริง และคือเสียงของพระเจ้า ตลอดสองสามวันจากนั้น ผมอ่านพระวจะอย่างหิวโหยทุกวัน ไม่นานก็แน่ใจว่าพระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา

คุณคงจะตื่นเต้นที่ในที่สุดก็ได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้านะครับ

ใช่ครับ เป็นอย่างนั้น แต่ขณะเดียวกันผมก็เสียใจ แม้ในฝันผมก็ไม่เคยนึก ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ผมต่อต้านและกล่าวโทษมาหลายปี ที่จริงแล้วก็คือองค์พระเยซูเจ้าที่ผมถวิลหามาตลอด พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ที่ผมกล่าวโทษคือพระวจนะของพระเจ้า ผมเกลียดตัวเองที่โง่เขลาและมืดบอดนัก นานมากกว่าจะเห็นความสว่าง ผมกอด พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ไว้ในอ้อมแขนแล้วสะอื้น

คุณไม่เคยนึกฝันว่าจะได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าแบบนั้น ใช่ไหมครับ?

ใช่ครับ ผมประหลาดใจมาก ผมเกลียดตัวเองจริงๆ ที่เชื่อในพระเจ้าแต่ไม่รู้จักพระองค์ ที่โอหังและกบฏ จำกัดพระองค์เพราะมโนคติอันหลงผิด ไม่เชื่อว่าจะทรงกลับมาทรงงานในเนื้อหนัง แย่กว่านั้น ผมใช้สื่อที่หมิ่นประมาทนำคนอื่นให้หลงผิด ไม่ให้ตรวจสอบงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า จากสิ่งต่างๆ ที่ผมทำ ผมสมควรโดนพระเจ้าสาปแช่ง แต่ทรงสงสารผม แทนที่จะทรงทำกับผมให้สมกับการล่วงละเมิด ทรงให้ผมได้ยินพระสุรเสียงและได้รับความรอดแห่งยุคสุดท้าย พระองค์ทรงรักผมมาก!

ต่อมา ผมเริ่มชุมนุมกับพี่น้องชายหญิงเหล่านั้นเป็นประจำ ทุกคนร่วมร้องเพลงสรรเสริญ สามัคคีธรรมตามพระวจนะ ชีวิตคริสตจักรแบบนี้ทำให้ผมกลับไปพบความชื่นบานที่งานของพระวิญญาณบริสุทธิ์นำมา ได้รับสันติสุขที่มากับการสถิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผมจำได้ว่า เคยฟังพระวจนะของพระเจ้าที่สร้างแรงขับเคลื่อนได้มากจริงๆ “ในคราวนี้ พระเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจไม่ใช่ในกายจิตวิญญาณ แต่ในกายที่ธรรมดาสามัญมาก  ยิ่งไปกว่านั้น กายนี้ไม่เพียงเป็นพระกายในการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นพระกายที่พระเจ้าทรงใช้กลับคืนสู่เนื้อหนังด้วยเช่นกัน เป็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งธรรมดาสามัญมาก  เจ้าไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดที่ทำให้พระองค์โดดเด่นออกมาจากผู้อื่น แต่เจ้าสามารถได้รับความจริงซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนจากพระองค์ได้  เนื้อหนังซึ่งไร้นัยสำคัญนี้คือสิ่งที่พระวจนะแห่งความจริงทั้งหมดจากพระเจ้าจำแลงร่างขึ้นมาดำเนินพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และแสดงพระอุปนิสัยทั้งหมดของพระเจ้าให้มนุษย์เข้าใจ  เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะมองเห็นพระเจ้าในสวรรค์หรอกหรือ?  เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะเข้าใจพระเจ้าในสวรรค์หรอกหรือ?  เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะมองเห็นบั้นปลายของมวลมนุษย์หรอกหรือ?  พระองค์จะทรงบอกความลับเหล่านี้ทั้งหมดแก่เจ้า—ความลับที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดสามารถบอกเจ้าได้ และพระองค์จะทรงบอกกับเจ้าเช่นกันถึงความจริงที่เจ้านั้นไม่เข้าใจ  พระองค์ทรงเป็นประตูให้เจ้าเข้าไปสู่ราชอาณาจักร  และเป็นผู้นำเจ้าเข้าไปสู่ยุคใหม่  มนุษย์ที่ธรรมดาสามัญเช่นนั้นถือครองความล้ำลึกอันมิอาจหยั่งลึกได้อยู่มากมาย  กิจการของพระองค์อาจมิอาจพิเคราะห์ได้สำหรับเจ้า แต่เป้าหมายโดยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัตินั้นเพียงพอที่จะเปิดโอกาสให้เจ้ามองเห็นว่าพระองค์มิใช่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง อย่างที่ผู้คนเชื่อ  เพราะพระองค์เป็นตัวแทนน้ำพระทัยของพระเจ้าและความใส่ใจที่พระเจ้าทรงแสดงต่อมวลมนุษย์ในยุคสุดท้าย  แม้เจ้าจะไม่สามารถได้ยินพระวจนะของพระองค์ที่ดูเหมือนจะสั่นสะเทือนฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  แม้ว่าเจ้าไม่สามารถมองเห็นพระเนตรของพระองค์ดังเช่นเปลวเพลิงแห่งไฟ  และแม้เจ้าไม่สามารถรับความมีวินัยแห่งคทาเหล็กของพระองค์  แต่ถึงกระนั้น  เจ้าก็สามารถได้ยินจากพระวจนะของพระองค์ว่าพระเจ้าทรงพิโรธ และรู้ว่าพระเจ้ากำลังทรงแสดงความเมตตาสงสารต่อมวลมนุษย์  เจ้าสามารถมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าและพระปรีชาญาณของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้น ตระหนักถึงความกังวลห่วงใยที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์ทั้งปวง  พระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายคือ การเปิดโอกาสให้มนุษย์มองเห็นพระเจ้าในสวรรค์ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกมนุษย์บนแผ่นดินโลก และทำให้มนุษย์สามารถรู้จัก  เชื่อฟัง เคารพ  และรักพระเจ้า  นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดพระองค์จึงได้ทรงกลับคืนสู่เนื้อหนังเป็นครั้งที่สอง  แม้ว่าสิ่งที่มนุษย์เห็นในวันนี้คือพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งเหมือนกับมนุษย์ พระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งมีหนึ่งพระนาสิกและสองพระเนตร  และพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งไม่มีอะไรโดดเด่น  ในตอนท้าย พระเจ้าจะแสดงให้พวกเจ้าเห็นว่า หากมนุษย์คนนี้มิได้ดำรงอยู่ ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจะก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงมหาศาล หากมนุษย์คนนี้มิได้ดำรงอยู่ ฟ้าสวรรค์จะสลัวลง แผ่นดินโลกจะดิ่งพรวดลงสู่ความอลหม่าน  และมวลมนุษย์ทั้งปวงจะดำรงชีวิตท่ามกลางการกันดารอาหารและภัยพิบัติทั้งหลาย  พระองค์จะทรงแสดงให้พวกเจ้าเห็นว่า หากพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อช่วยพวกเจ้าให้รอดในยุคสุดท้าย พระเจ้าก็คงจะได้ทรงทำลายมวลมนุษย์ทั้งปวงในนรกไปเสียนานแล้ว หากไม่มีมนุษย์ผู้นี้อยู่ พวกเจ้าก็จะเป็นพวกคนบาปตัวฉกาจไปตลอดกาล  และเจ้าจะกลายเป็นซากศพชั่วนิรันดร  พวกเจ้าควรรู้ว่า หากเนื้อหนังนี้มิได้ดำรงอยู่ เช่นนั้นแล้ว มวลมนุษย์ทั้งปวงคงจะเผชิญหน้ากับหายนะที่มิอาจหลบหลีกได้เลย  และคงจะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกหนีการลงโทษอันรุนแรงเสียยิ่งกว่าซึ่งพระเจ้าทรงตวงแบ่งให้กับมวลมนุษย์ในยุคสุดท้าย  หากเนื้อหนังธรรมดาสามัญนี้ไม่ถือกำเนิดขึ้น เจ้าทั้งหมดก็คงจะอยู่ในสภาวะที่พวกเจ้าร้องขอชีวิตโดยที่ไม่มีความสามารถที่จะดำรงชีวิตได้ และอธิษฐานขอความตายโดยที่ไม่สามารถตายได้  หากเนื้อหนังนี้มิได้ดำรงอยู่ พวกเจ้าจะไม่สามารถได้รับความจริงและมาอยู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้าในวันนี้ได้  แต่เจ้ากลับจะถูกพระเจ้าลงโทษเพราะบาปอันหนักหนาสาหัสของเจ้าแทน  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า หากมิใช่เพราะพระเจ้าทรงกลับคืนสู่เนื้อหนัง  ก็คงจะไม่มีผู้ใดเลยที่มีโอกาสได้รับความรอด  และหากมิใช่เพราะการมาของเนื้อหนังนี้ พระเจ้าก็คงจะวางบทอวสานให้กับยุคเก่าไปเสียนานแล้ว?  ด้วยความที่เป็นเช่นนี้ พวกเจ้ายังสามารถปฏิเสธการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าได้อยู่อีกหรือ?  เพราะพวกเจ้าสามารถได้รับประโยชน์มากมายเหลือเกินจากมนุษย์ธรรมดาสามัญผู้นี้  เหตุใดพวกเจ้าจึงจะไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปรมปรีดิ์เล่า?(“เจ้ารู้หรือไม่ว่า พระเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ท่ามกลางมวลมนุษย์?” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  ผมนึกถึงส่วนนี้ “หากเนื้อหนังธรรมดาสามัญนี้ไม่ถือกำเนิดขึ้น เจ้าทั้งหมดก็คงจะอยู่ในสภาวะที่พวกเจ้าร้องขอชีวิตโดยที่ไม่มีความสามารถที่จะดำรงชีวิตได้ และอธิษฐานขอความตายโดยที่ไม่สามารถตายได้  หากเนื้อหนังนี้มิได้ดำรงอยู่ พวกเจ้าจะไม่สามารถได้รับความจริงและมาอยู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้าในวันนี้ได้  แต่เจ้ากลับจะถูกพระเจ้าลงโทษเพราะบาปอันหนักหนาสาหัสของเจ้าแทน” ได้ยินแล้วเกิดแรงขับเคลื่อนมากครับ ผมนึกถึงคืนวันที่ไม่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ด้วย รู้สึกว่าคริสตจักรไม่เกิดผล ความเชื่อของพี่น้องก็เสื่อมถอย ไม่มีใครรู้สึกดลใจในคำเทศนา อีกทั้งอิจฉาและขัดแย้งกัน ทุกคนใช้ชีวิตในบาปและหนีออกมาไม่ได้ อยู่อย่างซากศพที่เดินได้ พระวจนะของพระองค์นำผมกลับสู่ชีวิต นำความชื่นบานที่มีพระเจ้าอยู่เคียงข้างกลับมา ผมได้ความเข้าใจพื้นฐานถึงพระราชกิจของพระเจ้ามาหน่อย หากพระเจ้าไม่ทรงปรากฏในรูปมนุษย์และตรัส เปิดเผยความล้ำลึกของพระคัมภีร์และการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ผมก็คงจะยังยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดอย่างดื้อรั้น ใครจะรู้ว่าผมอาจทำความชั่วต่อพระเจ้าไปอีกแค่ไหน การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ล้ำค่ามากสำหรับเรา!

ใช่ คุณคงมีความรู้สึกที่ซับซ้อนอยู่บ้าง

มีครับ ผมได้ยินเรื่องการทรงกลับมาและทรงงานใหม่ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก่อนหน้านั้นหลายปี แต่ผมยึดมโนคติอันหลงผิดอย่างดื้อรั้น ไม่ยอมแสวงหาและสืบค้น ห้าปีนั้น พี่น้องชายหญิงมากมายแบ่งปันข่าวประเสริฐและกระตุ้นให้ผมตรวจสอบมัน แต่ผมไม่ยอมรับฟังเลย ผมไม่เพียงไม่ยอมแสวงหาและสืบค้นมัน แต่ต่อต้านและกล่าวโทษมัน นำคนอื่นให้หลงทาง ขัดขวางพวกเขา พวกเขาจึงเสียโอกาสต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ผมยังนับเป็นผู้มีความเชื่อหรือ? ผมไม่ได้ต่อต้านพระเจ้าเหมือนพวกฟาริสี ตอกพระองค์กับกางเขนซ้ำอีกครั้งหนึ่งหรอกหรือ? ผมได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้ามากมายตลอดหลายปีที่เชื่อ แต่เมื่อทรงกลับมา ผมไม่รู้จักพระองค์ ถึงกับต่อสู้พระองค์อย่างบ้าคลั่งอยู่ห้าปี นานห้าปี ผมเกือบจะทำสิ่งที่อภัยให้ไม่ได้ ผมเป็นกบฏเกินไป!

การเห็นว่าคุณได้ทำผิดมากขนาดไหน ทำให้เจ็บปวดมากครับ

คิดถึงบาปที่นับไม่ถ้วนของผม เห็นเมตตาและความอดกลั้นของพระเจ้า ผมรู้สึกเหมือนไม่มีที่ให้ซ่อนตัว เผชิญพระเจ้าไม่ได้ ผมกำหนังสือพระวจนะ คุกเข่าลง และอธิษฐานด้วยน้ำตา ผมพูดว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! ทรงไม่เคยตีข้าพระองค์ แม้จะกบฏและท้าทายนัก พระองค์ทรงให้โอกาสได้กลับใจ ข้าไม่รู้จะตอบแทนเมตตาของพระองค์ยังไง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ข้าไม่ขออะไรนอกจากใช้ชีวิตที่เหลือตอบแทนความรักพระองค์ ทำทุกสิ่งเพื่อนำผู้คนที่ข้ากันออกจากพระองค์ ที่ยังไม่ได้มาเฉพาะพระพักตร์ กลับมาสู่พระนิเวศ เพื่อนำความชูใจมาให้พระองค์” แม้แต่ตอนนี้ เมื่อไรก็ตามที่ผมคิดถึงช่วงเวลาที่ต่อสู้กับพระเจ้า ก็เหมือนโดนมีดเสียดแทงหัวใจ พระวจนะเหล่านี้ส่งผลต่อผมมาก “มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า  ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  พวกเขาทั้งหมดเป็นคนถ่อยไร้ค่า และแต่ละคนยืนค้ำหัวสั่งสอนพระเจ้า  พวกเขาตั้งใจต่อต้านพระเจ้าแม้ขณะที่พวกเขาถือธงประจำของพระองค์  พวกเขาอ้างความเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงกินเนื้อหนังและดื่มโลหิตของมนุษย์  ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดคือเหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าปีศาจผู้เป็นหัวหน้าที่จงใจขวางทางผู้ที่พยายามก้าวลงบนเส้นทางที่ถูกต้อง และคือเครื่องสะดุดทั้งหลายที่คอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่แสวงหาพระเจ้า  พวกเขาอาจดูมี ‘องค์ประกอบอันเพียบพร้อม’ แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า คนเหล่านั้นมิใช่สิ่งอื่นใดนอกเสียจากศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ยืนต้านพระเจ้า?  ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?(“ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  พระวจนะอธิบายผมได้ดี ผมเคยนำผู้อื่นให้ติดตามตัวหนังสือ คำสอน มโนคติอันหลงผิด ไม่ใช่ติดตามพระเจ้า ยกย่องพระคัมภีร์ ต่อต้านพระราชกิจยุคสุดท้าย คนที่หลงทางเพราะผมก็ยึดติดพระคัมภีร์โดยไร้เหตุผล ไม่กล้ายอมรับพระราชกิจยุคสุดท้าย นี่คืออันตราย คือหายนะที่ผมก่อให้พวกเขา พวกฟาริสียึดติดองค์พระคัมภีร์ ตรึงกางเขนองค์พระผู้เป็นเจ้า กระทำบาปอันเลวร้าย ผมยึดติดพระคัมภีร์ กล่าวโทษงานยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ นั่นคือการตรึงกางเขนพระเจ้าอีกครั้ง ผมกำลังเล่นบทบาทเป็นฟาริสีแห่งยุคสมัยใหม่ ถึงผมจะตายเป็นพันครั้ง ก็ไม่อาจชดเชยให้บาปของตัวองได้

มันจะคอยหลอกหลอน

ใช่ ผมต้องการเพียงไล่ตามความจริงให้ดีที่สุด ทำหน้าที่ แบ่งปันข่าวประเสริฐ เพื่อชดใช้หนี้ให้แก่พระเจ้า

ก่อนหน้า: 90. ตำรวจเรียกเอาเงิน

ถัดไป: 92. การเติบโตผ่านความล้มเหลวและความเสื่อมถอย

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger