92. การเติบโตผ่านความล้มเหลวและความเสื่อมถอย

ธันวาคมปี 2020 ฉันยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ สองสามเดือนก่อน ฉันถูกเลือกเป็นผู้นำคริสตจักร มีงานที่ต้องทำและปัญหาที่ต้องแก้มากมายในคริสตจักร ฉันทุ่มเทให้กับคริสตจักรอย่างกระตือรือร้น ผ่านไปสักพัก ฉันก็เริ่มคุ้นเคยกับงานของคริสตจักรมากขึ้น แต่ฉันก็ยังประสบปัญหาอยู่เยอะทีเดียว ผู้มาใหม่มากมายไม่เข้าชุมนุมเป็นประจำ บางคนได้รับผลกระทบจากข่าวลือออนไลน์ บางคนไม่เข้าใจความจริงของนิมิตต่างๆ ติดกับมโนคติอันหลงผิดทางศาสนา บางคนร่วมชุมนุมเป็นประจำไม่ได้ เพราะยุ่งกับงานเกินไป เมื่อเผชิญปัญหาเหล่านี้ ฉันทุ่มเทสามัคคีธรรมน้ำพระทัยกับพวกเขา เพื่อช่วยในสิ่งที่ติดขัด แต่ปัญหาของพวกเขาก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข ฉันท้อจริงๆ ฉันถามตัวเองตลอดว่า ทำไมทั้งที่ฉันทำงานหนัก แต่ทว่าการงานกลับไปเกิดผล? ทำไมพระเจ้าจึงไม่ทรงอวยพรให้คริสตจักรของเรา? บรรดาพี่น้องชายหญิงมีปัญหามากมาย แม้ฉันจะสามัคคีธรรมกับพวกเขาหลายครั้งแต่ก็ล้มเหลว ฉันไม่เหมาะกับการเป็นผู้นำหรือเปล่า? ฉันตำหนิตัวเองว่า ฉันเป็นสาเหตุของปัญหาทั้งหมดนี้ ถ้าฉันรับผิดชอบและลาออก คนอื่นก็มาเป็นผู้นำแทนได้ แล้วงานก็จะประสบความสำเร็จมากขึ้น ฉันเริ่มรู้สึกหดหู่และทำหน้าที่อย่างเฉื่อยชา รอที่จะถูกปลด ฉันถึงกับคิดว่า พระเจ้าทรงจัดเตรียมปัญหาเหล่านี้มาเปิดโปงฉัน ให้ฉันล้มเหลว และอาจจะทรงทอดทิ้งฉันไปแล้วก็ได้ ความคิดนั้นทำให้ฉันหวาดกลัวมาก พระเจ้าทรงทอดทิ้งฉันแล้วเหรอ? ฉันอธิษฐานและแสวงหา แต่ก็ยังไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ความคิดที่ว่าพระเจ้าทรงทอดทิ้งฉันแล้วเฝ้าผุดขึ้นมาในใจหลายครั้งหลายหน ฉันรู้สึกหดหู่ เหนื่อยล้า และอ่อนแออยู่ตลอด ฉันกลัวจริงๆ และรู้สึกว่าฉันไม่มีงานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว

ตอนนั้นคริสตจักร ขาดผู้นำทีมอยู่สองสามคน หัวหน้างานจึงเสนอแนะผู้มาใหม่บางคน ฉันจึงแต่งตั้งพวกเขา โดยไม่ตรวจสอบสิ่งต่างๆ มากมายนัก ในตอนแรก พวกเขาต่างพูดว่าต้องการรับหน้าที่ แต่พอเริ่มงานอย่างเป็นทางการ คนหนึ่งพูดว่าต้องทำงาน และงานเขายุ่ง ก็เลยมาทำงานนั้นไม่ได้ และอีกคนหนึ่งก็มาร่วมชุมนุมช้าเพราะปัญหาในครอบครัว และทำงานนั้นไม่ได้เหมือนกัน ฉันลงความเห็นว่าพวกเขาไม่เหมาะจะถูกฝึกเป็นผู้นำทีม ฉันทำงานหนักเพื่อแก้ไขความยากลำบากที่ฉันเจอในการทำงาน แต่ก็ไม่ได้ผลลัพธ์อะไรอยู่สักพัก ในตอนนั้น ฉันไม่สามารถแบกรับความล้มเหลวทั้งหมดนี้ได้จริงๆ ฉันคิดลบมาก และกลัวที่จะเผชิญการมาถึงของวันใหม่ ฉันไม่อยากทำงานของคริสตจักรอีกต่อไป เพราะว่าฉันทำงานมามาก แต่ไม่สัมฤทธิ์ผลอะไรเลย ฉันคิดว่าตนเจอสถานการณ์นี้เพราะพระเจ้าทรงต้องการเปิดโปงว่าฉันไร้ความสามารถ แต่ฉันไม่อยากให้ตัวเองจ่อมจมลงสู่สภาวะแบบนั้น ฉันไม่อยากถูกเปิดโปงและขับออกเพราะไม่เกิดผลในหน้าที่

ในการเฝ้าเดี่ยวครั้งหนึ่ง ฉันบังเอิญเจอ “หลักธรรมเกี่ยวกับการยอมรับความรับผิดชอบและการลาออก” “ผู้นำหรือคนทำงานเทียมเท็จคนใดที่ไม่ยอมรับความจริง ที่ไม่สามารถทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และที่ได้สูญสิ้นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เป็นเวลานาน ต้องยอมรับความรับผิดชอบและลาออก” (170 หลักธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติความจริง) พออ่านแล้วฉันก็ รู้สึกลบขึ้นอีก ฉันควรจะทำอย่างไร? ฉันไม่ได้แก้ไขปัญหาไหนของคริสตจักรเลย ฉันจึงเป็นผู้นำเทียมเท็จ ฉันควรรับผิดชอบและลาออก เพื่อให้คนมีความสามารถมาเป็นผู้นำหรือเปล่า? ตอนนั้นฉันทำงานคริสตจักรมาสามเดือนแล้ว แต่ก็ยังแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ภายในคริสตจักรไม่ได้ และในสถานการณ์นั้น ฉันก็ยังไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และไม่มีความคืบหน้า ฉันถึงกับเข้าใจพระเจ้าผิดด้วยซ้ำ ฉันกังวลว่าคนอื่นจะคิดว่าฉันคิดลบเกินไป และกลัวว่าพวกเขาจะตำหนิฉันที่มีความคิดจะลาออก

ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง ฉันอ่านพระวจนะที่ว่า “เจ้าเป็นบุคคลธรรมดา เจ้าต้องก้าวผ่านความล้มเหลวหลายครั้ง ห้วงเวลาแห่งความฉงนสนเท่ห์มากหลาย การตัดสินที่ผิดพลาดมากมาย และความไขว้เขวอีกมาก นี่สามารถเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า จุดอ่อนและความขาดตกบกพร่องของเจ้า ความไม่รู้เท่าทันและความเขลาของเจ้าอย่างเต็มที่ ทำให้เจ้าสามารถตรวจสอบตนเองอีกครั้งและรู้จักตนเอง ให้เจ้ามีความรู้เกี่ยวกับมหิทธานุภาพและพระปัญญาอันเต็มเปี่ยมของพระเจ้า และพระอุปนิสัยของพระองค์ เจ้าจะได้รับสิ่งที่เป็นบวกจากพระองค์ และมาเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริง เจ้าจะมีประสบการณ์มากมายที่ไม่เป็นไปตามที่เจ้าปรารถนา ซึ่งเจ้าจะรู้สึกว่าไร้พลังต่อต้าน เมื่อพบเจอสิ่งเหล่านี้ เจ้าต้องแสวงหาและรอคอย เจ้าต้องได้รับคำตอบในแต่ละเรื่องจากพระเจ้า และเข้าใจแก่นแท้เบื้องหลังแต่ละเรื่อง และแก่นแท้ของบุคคลแต่ละจำพวกจากพระวจนะของพระองค์ นี่คือวิธีที่บุคคลปกติธรรมดาประพฤติตน(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้าคือรากฐานของการเชื่อในพระเจ้า) พระเจ้าทรงพระปัญญา ฉันได้รับความเข้าใจใหม่ว่าพระเจ้าทรงงานยังไง ฉันเห็นว่าทุกคนต้องก้าวผ่านความล้มเหลวและถดถอยในหน้าที่ และน้ำพระทัยคือให้ฉันแสวงหาความจริงผ่านสิ่งเหล่านี้ เพื่อแก้ไขความเสื่อมทรามของฉัน ฉันได้เจอความเปลี่ยนแปลงในหน้าที่ และประสบความล้มเหลวบ้าง แต่ไม่แสวงหา ความจริงหรือน้ำพระทัย มัวแต่คิดถึงเรื่องจะลาออก เพราะฉันรู้สึกเหมือนไม่ประสบความสำเร็จในงาน หรือทำสิ่งที่ผู้นำควรทำ ฉันไม่กล้าบอกคนอื่นถึงสภาวะจริงของตัวเองด้วยซ้ำ ฉันโอหังจริงๆ ฉันไม่เข้าใจน้ำพระทัย หรือทำไมพระเจ้าถึงทรงปล่อยให้อะไรแบบนั้นเกิดขึ้นกับฉัน ฉันเห็นจากพระวจนะของพระเจ้า ว่าฉันเป็นแค่คนธรรมดา จึงเป็นเรื่องปกติสำหรับฉันที่จะเจอความยากลำบากและความล้มเหลวในหน้าที่บ้าง น้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่ในนั้น ดังนั้น ฉันเปิดใจกับพี่น้องชายหญิงถึงสภาวะล่าสุดของตัวเองและขอให้พวกเขาช่วย ฉันบอกด้วยว่าฉันคิดจะรับผิดชอบด้วยการลาออก พวกเขาไม่ได้ดูแคลนฉันเลย แต่กลับช่วยเหลือ หนุนใจฉัน และสามัคคีธรรมพระวจนะ ฉันซาบซึ้งมาก

พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ฉันฟัง พระเจ้าตรัสว่า “ในระหว่างที่มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะล้มเหลว ล้มลง ถูกตัดแต่ง จัดการ หรือถูกเปิดโปงสักกี่ครั้งก็ตาม เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี ไม่ว่าเจ้าจะถูกตัดแต่งหรือจัดการอย่างไร หรือจะโดยผู้นำ คนทำงาน หรือพี่น้องชายหญิงของเจ้า เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งดี เจ้าต้องจดจำไว้ดังนี้ว่า ไม่ว่าเจ้าจะทนทุกข์มากเพียงใด แท้จริงแล้วเจ้ากำลังได้ประโยชน์ ผู้ใดก็ตามที่มีประสบการณ์ย่อมสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การถูกตัดแต่ง จัดการ หรือเปิดโปงเป็นเรื่องดีเสมอ นี่ไม่ใช่การกล่าวโทษ นี่คือความรอดจากพระเจ้าและเป็นโอกาสเหมาะที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าที่จะได้รู้จักตัวเจ้าเอง มันสามารถนำพาการเปลี่ยนเกียร์มาสู่ประสบการณ์ชีวิตของเจ้า หากปราศจากมันแล้ว เจ้าจะไม่มีทั้งโอกาสเหมาะ ภาวะ อีกทั้งบริบทที่จะสามารถเข้าถึงความเข้าใจความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของเจ้า หากเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง และสามารถขุดคุ้ยสิ่งเสื่อมทรามที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของเจ้าออกมาได้ หากเจ้าสามารถแยกแยะสิ่งเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน เช่นนั้นแล้วนี่ก็เป็นการดี นี่ย่อมแก้ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตแล้ว และมีประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย การที่สามารถรู้จักตัวเจ้าเองได้อย่างแท้จริงนั้น เป็นโอกาสเหมาะที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าที่จะกลับตัวเสียใหม่และกลายเป็นคนใหม่ มันเป็นโอกาสเหมาะที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าที่จะได้มาซึ่งชีวิตใหม่ ทันทีที่เจ้ารู้จักตัวเจ้าเองอย่างแท้จริง เจ้าจะสามารถเห็นได้ว่าเมื่อความจริงกลายเป็นชีวิตของคนเรา มันเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างแท้จริง และเจ้าจะกระหายความจริง ปฏิบัติความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง นี่ช่างเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้! หากเจ้าสามารถคว้าโอกาสเหมาะนี้ และทบทวนตัวเจ้าเองอย่างจริงจังตั้งใจ และได้รับความรู้อันถ่องแท้เกี่ยวกับตัวเจ้าเองเมื่อใดก็ตามที่เจ้าล้มเหลวหรือตกต่ำ เช่นนั้นแล้ว ในท่ามกลางความเป็นลบและความอ่อนแอ เจ้าจะสามารถกลับขึ้นมายืนได้ ทันทีที่เจ้าได้ข้ามธรณีประตูนี้ไปแล้ว เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะสามารถก้าวครั้งใหญ่ไปข้างหน้าและเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงได้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การที่จะได้รับความจริง คนเราต้องเรียนรู้จากผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายรอบตัว)ความรอดของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์นั้นคือความรอดของบรรดาผู้ที่รักความจริง ความรอดของส่วนหนึ่งจากพวกเขาที่มีเจตจำนงและความมุ่งมั่น และส่วนหนึ่งจากพวกเขาที่เป็นการโหยหาที่พวกเขามีต่อความจริงและความชอบธรรมในหัวใจของพวกเขา ความมุ่งมั่นของบุคคลหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาในหัวใจของพวกเขาที่โหยหาในความชอบธรรม ความดี และความจริง และครองมโนธรรม พระเจ้าทรงช่วยผู้คนส่วนนี้ให้รอด และโดยผ่านทางการนี้ พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขา เพื่อที่พวกเขาอาจจะเข้าใจและได้รับความจริง เพื่อที่ความเสื่อมทรามของพวกเขาอาจจะได้รับการชำระให้สะอาด และอุปนิสัยชีวิตของพวกเขาอาจจะได้รับการแปลงสภาพ หากเจ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ภายในตัวเจ้า เจ้าก็ไม่สามารถที่จะได้รับการช่วยให้รอดได้…เหตุใดจึงมีการกล่าวว่าเปโตรคือดอกผลหนึ่ง? เพราะมีสิ่งทั้งหลายที่มีคุณค่าในตัวเขา สิ่งทั้งหลายที่มีค่าคู่ควรแก่การทำให้มีความเพียบพร้อม เขาแสวงหาความจริงในทุกสิ่ง มีปณิธาน และมีเจตจำนงที่มั่นคง เขามีเหตุผล เต็มใจที่จะทนทุกข์กับความยากลำบาก และรักความจริงอยู่ในหัวใจของเขา เขาไม่ปล่อยให้สิ่งที่เกิดขึ้นผ่านเลยไป และเขาสามารถเรียนรู้บทเรียนจากทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งหมดนี้คือจุดแข็ง หากเจ้าไม่มีจุดแข็งเหล่านี้เลยย่อมหมายถึงความเดือดร้อน การที่เจ้าจะได้รับความจริงและได้รับการช่วยให้รอดย่อมจะไม่ง่าย หากเจ้าไม่รู้วิธีผ่านประสบการณ์หรือหากเจ้าไม่มีประสบการณ์ เจ้าก็จะไม่สามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นของผู้อื่นได้ เนื่องจากเจ้าไม่สามารถฝึกฝนปฏิบัติและผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า และไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้า และกลัดกลุ้ม—พลันร้องไห้ออกมา—เมื่อเจ้าเผชิญปัญหา และกลายเป็นคิดลบและวิ่งหนีเมื่อเจ้าทนทุกข์กับปัญหาเล็กน้อยบางอย่างที่ทำให้ชะงักงัน และไม่เคยสามารถตอบสนองในหนทางที่ถูกต้อง—ด้วยเหตุทั้งหมดนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะเข้าสู่ชีวิต(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) หลังอ่านบทตอนนี้ พี่คนหนึ่งสามัคคีธรรมว่า “ไม่ว่าเราจะเจอความเสื่อมถอยและล้มเหลวแบบไหน เราก็ควรอธิษฐาน แสวงหาน้ำพระทัย ไม่ใช่ละทิ้งความจริง และหน้าที่ของเรา การทิ้งหน้าที่ของคุณไม่ใช่เส้นทางแก้ปัญหา โดยผ่านทางปัญหาที่เราเจอในหน้าที่เท่านั้น ที่ความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของเราจะเผยออกมา ทำให้เรารู้จักตัวเองอย่างแท้จริง หากไม่มีประสบการณ์เหล่านั้น ก็ไม่มีทางที่เราจะเห็นความเสื่อมทรามและสิ่งที่เราขาดได้ แล้วเราจะเปลี่ยนแปลงได้ยังไง? ดังนั้น การล้มเหลวและสะดุดจึงไม่ใช่เรื่องแย่ แต่เราควรแสวงหาความจริง และเรียนรู้บทเรียน เราเข้าใจพระเจ้าผิดไม่ได้ ถ้าเราแค่ลาออก ละทิ้งหน้าที่เมื่อเราเจอความยากลำบาก เราจะประสบงานของพระเจ้าและไล่ตามความรอดยังไง? เราจะมีคำพยานแบบไหน? พระเจ้าไม่ทรงขอจากเรามากมาย ถ้าเราต้องแก้ไขเมื่อเจอปัญหาและความยากเข็ญ แล้วอธิษฐานอย่างจริงใจ แสวงหาความจริง พระเจ้าก็จะทรงนำและช่วยเรา” การได้ฟังสามัคคีธรรมของเธอ ให้ความรู้แจ้งแก่ฉันจริงๆ การล้มเหลวและสะดุด เป็นความรักของพระเจ้า เป็นโอกาสให้ฉันแสวงหาความจริงและได้บทเรียน ฉันนึกถึงการที่ตลอดชีวิตของเปโตร เขาพบบททดสอบ ความเสื่อมถอย และความล้มเหลวมากมาย บางครั้งเขาก็ทุกข์กับความอ่อนแอทางเนื้อหนัง แต่เขาไม่เคยสูญเสียความเชื่อในพระเจ้า เขายังไล่ตามความจริง แสวงหาน้ำพระทัย ชดเชยสิ่งที่เขาขาด สุดท้าย เขาก็เข้าใจความจริงและรู้จักพระเจ้า นบนอบและรักพระเจ้า ฉันควรเข้มแข็งและแน่วแน่เหมือนกับเปโตร มาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์และแสวงหาน้ำพระทัย เมื่อถดถอยและล้มเหลว ทบทวนในสิ่งที่ฉันขาดไป แทนที่จะเข้าใจผิด ตำหนิพระเจ้า

ในการเฝ้าเดี่ยวครั้งหนึ่ง ฉันอ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง ที่ช่วยให้ฉันเข้าใจน้ำพระทัยเล็กน้อย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้คนต้องเรียนรู้ที่จะเอาใจใส่พระวจนะของพระเจ้าและเข้าใจพระทัยของพระองค์ พวกเขาต้องไม่เข้าใจพระเจ้าผิด อันที่จริงแล้วมีหลายกรณีที่ผู้คนมีความกังวลสนใจเกิดขึ้นเพราะผลประโยชน์ของตนเอง กล่าวโดยทั่วไปแล้วก็คือเป็นความกลัวว่าพวกเขาจะไม่มีจุดจบ พวกเขาคิดกับตนเองเสมอว่า ‘จะเกิดอะไรขึ้นหากพระเจ้าทรงตีแผ่ฉัน ขับฉันออกไป และปฏิเสธฉัน?’ นี่คือการเข้าใจพระเจ้าผิด เหล่านี้เป็นเพียงความคิดของเจ้าเท่านั้น เจ้าต้องคิดให้ออกว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร การที่พระองค์ทรงตีแผ่ผู้คนไม่ได้ทำเพื่อขับพวกเขาออกไป ผู้คนถูกตีแผ่เพื่อเปิดโปงข้อบกพร่องและความผิดของพวกเขา รวมทั้งแก่นแท้แห่งธรรมชาติของพวกเขา เพื่อทำให้พวกเขารู้จักตนเองและสามารถกลับใจได้อย่างแท้จริง เมื่อเป็นเช่นนั้นการถูกตีแผ่จึงเป็นไปเพื่อช่วยให้ชีวิตของผู้คนเจริญงอกงาม หากไม่มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ผู้คนก็มีแนวโน้มที่จะเข้าใจพระเจ้าผิด กลายเป็นคิดลบและอ่อนแอ พวกเขาอาจถึงกับยอมจำนนให้แก่ความสิ้นหวัง ในข้อเท็จจริงนั้น การถูกพระเจ้าทรงตีแผ่ไม่จำเป็นต้องหมายความว่าผู้คนจะถูกขับออกไป นี่คือการให้ความรู้แก่เจ้าและทำให้เจ้ากลับใจ บ่อยครั้งเนื่องจากผู้คนเป็นกบฏ และไม่แสวงหาความจริงเพื่อหาทางแก้เมื่อพวกเขาพรั่งพรูความเสื่อมทรามออกมา พระเจ้าจึงต้องทรงใช้การบ่มวินัย และดังนั้นบางครั้งพระองค์จึงทรงตีแผ่ผู้คน เปิดโปงความอัปลักษณ์และความน่าเวทนาของพวกเขา เปิดโอกาสให้พวกเขารู้จักตนเอง ซึ่งช่วยให้ชีวิตของพวกเขาเติบโต การตีแผ่ผู้คนมีความหมายโดยนัยที่แตกต่างกันอยู่สองประการคือ สำหรับคนเลว การถูกตีแผ่ย่อมหมายความว่าพวกเขาจะถูกขับออกไป สำหรับผู้ที่สามารถยอมรับความจริง การถูกตีแผ่คือสิ่งเตือนความจำและการตักเตือน ทำให้พวกเขาทบทวนตนเอง ให้เห็นสภาวะที่แท้จริงของตน ไม่เอาแต่ใจและวู่วามอีกต่อไป เพราะการทำเช่นนี้ต่อไปย่อมจะอันตราย การตีแผ่ผู้คนในหนทางนี้เป็นการเตือนความจำของพวกเขา เพื่อว่าเมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาจะไม่เลอะเลือนและรู้จักระมัดระวัง จริงจังกับหน้าที่ ไม่พอใจในประสิทธิผลเพียงน้อยนิด คิดไปว่าพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนตามมาตรฐานที่ใช้ได้แล้ว—ขณะที่ในข้อเท็จจริงนั้น หากประเมินวัดตามสิ่งที่พระเจ้าทรงขอ พวกเขายังห่างไกลอยู่มาก แต่ทว่าพวกเขายังคงชะล่าใจและคิดไปว่าพวกเขาทำได้ดี ในรูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้ พระเจ้าจะทรงบ่มวินัย เตือนให้ระวัง และเตือนความจำของผู้คน บางครั้งพระเจ้าทรงตีแผ่ความอัปลักษณ์ของพวกเขา—ซึ่งทำหน้าที่เป็นสิ่งเตือนความจำอย่างชัดแจ้ง ในช่วงเวลาเช่นนี้ เจ้าควรทบทวนตนเองว่า การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเช่นนี้ยังไม่เพียงพอ มีความเป็นกบฏเกี่ยวข้อง มีความเป็นลบมากเกินไป สุกเอาเผากินทั้งสิ้น และหากเจ้าไม่กลับใจ เจ้าจะถูกลงโทษ เมื่อพระเจ้าทรงบ่มวินัยเจ้าและตีแผ่เจ้า นี่ไม่จำเป็นต้องหมายความว่าเจ้าจะถูกขับออกไป เรื่องนี้ควรมีการตริตรองให้ถูกต้อง ต่อให้เจ้าถูกขับออกไป เจ้าก็ควรยอมรับและนบนอบการถูกขับออกไป รีบคิดทบทวนและกลับใจ(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงโดยการปฏิบัติความจริงและเชื่อฟังพระเจ้าเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย) พระวจนะแสดงให้ฉันเห็นว่า จุดประสงค์ที่ทรงเปิดโปงผู้คนไม่ใช่เพื่อขับพวกเขาออก แต่เพื่อให้พวกเขามองเห็นความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของตน พวกเขาจะได้ไล่ตามความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา และคืบหน้าในชีวิตเร็วขึ้น ฉันเริ่มทบทวนตัวเอง การเจอความลำบากและปัญหาหลากหลาย ฉันไม่ใคร่ครวญและแสวงหาน้ำพระทัยอย่างแท้จริง หรือทบทวนตัวเองเพื่อรู้ปัญหาของตัวเอง ฉันแค่คิดว่าพระเจ้ากำลังใช้สถานการณ์เหล่านี้เพื่อเปิดโปงและขับฉันออก ว่าฉันไม่เหมาะจะเป็นผู้นำและควรลาออก ฉันกำลังเข้าใจพระเจ้าผิด แล้วฉันก็ตระหนักว่า ปัญหามากมายในงานยังคงไม่ได้รับการแก้ไข เพราะหลักๆ แล้วฉันยังไม่ใส่ใจลงไปในหน้าที่ ฉันรู้สึกเสมอว่ามีหลายอย่างมากที่ต้องทำ แต่ตอนฉันทำงาน แต่ฉันไม่มีทิศทาง หรือเป้าหมาย นึกอะไรออกฉันก็ทำไปตามนั้น ไม่แสวงหาผลลัพธ์เลย บางคนหลงผิดเพราะเชื่อข่าวลือ และฉันไม่แสวงหาว่าควรสามัคคีธรรมความจริงแง่มุมไหนเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา พวกเขาจะได้แยกแยะข่าวลือได้ และตั้งมั่นบนหนทางที่แท้จริง และในการบ่มเพาะผู้คน ฉันไม่แสวงหาหลักธรรมสำหรับเรื่องนั้น หรือทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมของพวกเขาให้ชัดเจน แต่ฉันกลับทำไปอย่างมืดบอด ผลก็คือฉันไม่สัมฤทธิ์อะไรในแง่มุมนั้นเลยเหมือนกัน ในการให้น้ำผู้มาใหม่ ฉันไม่คิดไว้ก่อนว่าจะสามัคคีธรรมความจริงด้านไหนได้เพื่อแก้ไขปัญหาของพวกเขา ฉันจึงไม่ได้รับผลลัพธ์จริงใดๆ ในเรื่องนั้นเลย แม้ว่าผิวเผินจะดูเหมือนฉันกำลังทำงานหนัก แต่ฉันไม่ได้ใส่ใจ และไม่สรุปปัญหาในงานของเราอย่างทันท่วงที ซึ่งแปลว่าไม่มีอะไรสำเร็จเลย และไม่เพียงฉันไม่ทบทวนและเข้าใจตัวเอง แต่ไม่แสวงหาความจริงที่ควรเข้าสู่ด้วย การตอบสนองแรกของฉันคือการผลักความรับผิดชอบให้พระเจ้า เดาว่าพระองค์ทรงจงใจเปิดโปงฉัน ให้ฉันดูแย่ ฉันคร่ำครวญมาตลอด และไม่อยากประสบความล้มเหลวและเสื่อมถอย แต่แค่อยากทำแต่เรื่องง่ายๆ ให้ทุกอย่างแล่นไปอย่างราบรื่น แค่ลำบากเล็กน้อยฉันก็เข้าใจผิดและตำหนิพระเจ้า แล้วจะได้รับประสบการณ์งานของพระเจ้าและทำหน้าที่ให้ดีได้ยังไง? ฉันเป็นคนที่ไม่มีเหตุผลเลย สิ่งมีชีวิตทรงสร้างไม่ควรทำตัวอย่างนั้น พอตระหนักเรื่องนี้ ฉันก็เสียใจ และอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า พระองค์ทรงสร้างสถานการณ์เพื่อฝึกข้าพระองค์ ให้ข้าฯ ได้เติบโตในชีวิต แต่ข้าฯ ไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ เข้าใจพระองค์ผิด ข้าฯ กบฏมาก โปรดทรงนำและช่วยให้ข้าฯ เข้าใจอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเองด้วยเถิด” จากนั้น ฉันอ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง ที่ช่วยให้ฉันเข้าใจตัวเอง พระเจ้าตรัสว่า “เรามีความพอใจในบรรดาผู้ที่ไม่ระแวงผู้อื่น และเราชอบบรรดาผู้ที่ยอมรับความจริงอย่างไม่ลังเล เราแสดงความใส่ใจอย่างมากต่อผู้คนสองประเภทนี้ ด้วยเหตุที่ในสายตาของเราพวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์ หากเจ้าเป็นคนหลอกลวง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมจะระมัดระวังและมีความระแวงต่อผู้คนและเรื่องต่างๆ ทั้งหมดทั้งมวล และด้วยเหตุนี้ความเชื่อของเจ้าในเราจะถูกสร้างขึ้นบนรากฐานแห่งความระแวง เราไม่มีวันสามารถรับรู้ความเชื่อเช่นนั้นได้ เมื่อขาดความเชื่อที่แท้จริง เจ้าก็ยิ่งไร้ซึ่งความรักที่แท้จริงขึ้นไปอีก และหากเจ้ามีแนวโน้มที่จะสงสัยในพระเจ้าและคาดเดาพระองค์ตามอำเภอใจ เช่นนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เจ้าย่อมเป็นผู้ที่หลอกลวงที่สุดในบรรดาผู้คนทั้งมวล เจ้าคาดเดาว่าพระเจ้าสามารถเป็นเช่นมนุษย์ได้หรือไม่ กล่าวคือ มีบาปซึ่งไม่สามารถอภัยให้ได้ มีลักษณะนิสัยที่ใจแคบ ไร้ซึ่งความเที่ยงธรรมและเหตุผล ขาดสำนึกรับรู้แห่งความยุติธรรม หมกมุ่นในยุทธวิธีที่ชั่วร้าย ทรยศและเจ้าเล่ห์ พอใจในความชั่วและความมืด เป็นต้น เหตุผลที่ผู้คนมีความคิดเช่นนั้นไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขาไร้ซึ่งความรู้ในพระเจ้าแม้แต่เพียงเล็กน้อยหรอกหรือ? ความเชื่อเช่นนั้นไม่ต่างอะไรไปจากบาป! มีกระทั่งบางคนที่เชื่อ ว่าบรรดาผู้ที่ทำให้เราพอใจก็คือบรรดาผู้ที่ยกยอปอปั้นและเลียแข้งเลียขานั่นเอง และเชื่อว่าบรรดาผู้ที่ขาดทักษะต่างๆ เช่นนั้นจะไม่ได้รับการต้อนรับในพระนิเวศของพระเจ้า และจะสูญเสียที่ของพวกเขาที่นั่น นี่คือความรู้เพียงอย่างเดียวที่พวกเจ้าได้รับเอาไว้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาหรือ? นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าได้รับไว้หรือ? และความรู้ของพวกเจ้าเกี่ยวกับเราไม่ได้หยุดที่ความเข้าใจผิดต่างๆ เหล่านี้ ยิ่งแย่ไปกว่านั้นคือการที่พวกเจ้าหมิ่นประมาทพระวิญญาณของพระเจ้าและกล่าวร้ายสวรรค์ นี่คือเหตุผลที่เราพูดว่า ความเชื่อเช่นเดียวกับของพวกเจ้านั้นมีแต่จะทำให้พวกเจ้าไถลห่างจากเรามากขึ้น และอยู่ในสภาวะของการต่อต้านเรามากขึ้นเท่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรู้จักพระเจ้าบนแผ่นดินโลก) ฉันละอายใจตัวเองจริงๆ เมื่อเผชิญสิ่งที่พระวจนะเปิดเผย ฉันสงสัยพระเจ้า และเข้าใจพระองค์ผิด เมื่อล้มเหลว คิดว่าพระองค์ทรงเย็นชาและไร้หัวใจเหมือนมนุษย์ ฉันคิดว่าเมื่อพระเจ้าทรงต้องการใช้ใคร ก็ประทานพระคุณให้ ไม่เช่นนั้น ก็จะขับพวกเขาออก ปัดพวกเขาทิ้งและเพิกเฉย ฉันแคลงใจสงสัยพระเจ้าตามจิตวิทยาของความไม่ชอบธรรม ฉันช่างเจ้าเล่ห์มาก! ฉันไม่ได้เป็นผู้เชื่อมานานนัก เข้าใจความจริงจำกัด ข้อด้อยก็มาก แต่พี่น้องชายหญิงก็ยังเลือกฉันเป็นผู้นำ ให้โอกาสฉันได้ปฏิบัติ เพื่อให้ฉันเรียนรู้ความจริงเร็วขึ้น และเข้าสู่ความจริง แม้ว่าการไม่ใส่ใจในหน้าที่มากพอในบางครั้งทำให้ขาดผลสำเร็จ คริสตจักรก็ไม่ได้ปลดฉันออก คนอื่นๆ ต่างก็ยังช่วยและหนุนใจฉัน และสามัคคีธรรมพระวจนะกับฉัน นำให้ฉันเข้าใจน้ำพระทัย เห็นความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของตัวเอง ทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำให้ฉันเป็นการบ่มเพาะและช่วยฉันให้รอดอย่างจริงใจ พระองค์ใจดี และน่ารักมาก! แต่ฉันตั้งกำแพงกับพระเจ้า สงสัยพระองค์ นั่นจะเป็นการมีความเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงได้ยังไง? ฉันถูกพิษของซาตานอย่างลึกล้ำ เชื่อตามคำโกหกของซาตานเสมอ อย่าง “จงอย่างไว้ใจใคร เพราะแม้แต่เงาของเจ้า ก็จะทิ้งเจ้าไปในความมืดมิด” และ “เจ้าไม่อาจมุ่งร้ายได้ แต่เจ้าต้องระวังระไวให้ดี” ฉันเฝ้าระแวงระวังทุกคน แม้แต่ระแวงระวังพระเจ้า นี่แสดงว่าอุปนิสัยฉลาดแกมโกงของฉันร้ายแรงจริงๆ และทั้งหมดนั้น คือจุดที่มา ของความสงสัยและเข้าใจพระเจ้าผิดของฉัน ฉันสงสัยและเข้าใจผิดพระเจ้า เมื่อลำบาก แต่พระเจ้ายังทรงนำให้ฉันเข้าใจความจริง ทรงทำให้ฉันเห็นปัญหาต่างๆ ของตัวเอง ฉันรู้สึกถึงความรักของพระเจ้า และความรอดของพระองค์จริงแค่ไหน ฉันมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ พร้อมกลับใจต่อพระองค์ และเลิกใช้ชีวิตตามอุปนิสัยฉลาดแกมโกงของฉัน นึกสงสัยพระเจ้า

ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะบทตอนนี้ “แม้ว่าตอนนี้เจ้าอาจปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างเต็มใจ และเจ้าอาจทำการพลีอุทิศและสละตัวเจ้าเองอย่างเต็มใจ แต่หากเจ้ายังคงมีความเข้าใจผิด การคาดเดา ข้อกังขา หรือความคับข้องใจเกี่ยวกับพระเจ้า หรือแม้กระทั่งความเป็นกบฏและการต้านทานพระองค์ หรือหากเจ้าใช้แนวทางและกลวิธีนานาเพื่อต้านทานพระองค์และปฏิเสธอธิปไตยที่พระองค์ทรงมีเหนือตัวเจ้า—หากเจ้าไม่แก้ไขสิ่งเหล่านี้—เช่นนั้นแล้วก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ความจริงจะเป็นนายของเจ้า และชีวิตของเจ้าย่อมจะเหนื่อยล้า บ่อยครั้งที่ผู้คนดิ้นรนต่อสู้และถูกทรมานในสภาวะที่เป็นลบเหล่านี้ ราวกับว่าพวกเขาได้จมลงไปในปลักตม ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความจริงและการโป้ปดมดเท็จ สิ่งที่ถูกและสิ่งที่ผิดอยู่เสมอ พวกเขาจะสามารถค้นพบและเข้าใจความจริงได้อย่างไร? การที่จะแสวงหาความจริงนั้น คนเราต้องนบนอบเสียก่อน จากนั้นเมื่อมีประสบการณ์กับการนั้นอยู่ระยะหนึ่ง พวกเขาก็จะสามารถได้รับความรู้แจ้งบางอย่าง ซึ่ง ณ จุดนี้ ก็ย่อมเป็นการง่ายที่จะเข้าใจความจริง หากคนเราพยายามอยู่เสมอที่จะไขคำตอบว่าสิ่งใดถูกและผิด และง่วนอยู่กับสิ่งที่เที่ยงแท้และเทียมเท็จ พวกเขาย่อมไม่มีทางที่จะค้นพบหรือเข้าใจความจริงเลย แล้วจะได้อะไรขึ้นมาหากคนเราไม่มีวันสามารถเข้าใจความจริง? การไม่เข้าใจความจริงทำให้เกิดมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ด้วยความเข้าใจผิด ย่อมเป็นการง่ายที่จะรู้สึกแค้นเคือง เมื่อความคับข้องใจทั้งหลายระเบิดออกมา ก็ย่อมกลายเป็นการต่อต้าน การต่อต้านพระเจ้าก็คือการต้านทานพระองค์และเป็นการฝ่าฝืนที่ร้ายแรง และเมื่อการฝ่าฝืนมีจำนวนมากก็ย่อมแปรเปลี่ยนเป็นความชั่วนานาประการ และต่อจากนั้น คนเราก็ควรแล้วที่จะถูกลงโทษ นี่คือจำพวกของสิ่งที่เกิดจากการไม่อาจเข้าใจความจริงได้ตลอดกาล(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงโดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น คนเราจึงสามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าได้) พออ่านฉันก็นึก กลัวเรื่องที่ผ่านมา ถ้าฉันยังใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะคิดลบ ไม่แสวงหาความจริง ไม่เปิดใจกับพี่น้องชายหญิง ฉันก็คงจะใช้ชีวิตตามอุปนิสัยฉลาดแกมโกงและเข้าใจพระเจ้าผิดต่อไป ฉันต่อต้านพระเจ้าได้ง่ายๆ ซึ่งจะทำให้เกิดการฝ่าฝืน อาจทำชั่วและต่อต้านพระเจ้าด้วยซ้ำ อันตรายมากค่ะ! ระหว่างช่วงนั้น ฉันเคลือบแคลงและเข้าใจพระเจ้าผิด สภาวะคิดลบควบคุมฉันจริงๆ ฉันกลัวถูกเปิดโปงและขับออกเสมอ ฉันขาดเสรีภาพ น่าเหน็ดเหนื่อยมาก ฉันแค่พยายามและทำงานให้เสร็จในหน้าที่ ทันทีที่เกิดปัญหาขึ้น ฉันอดไม่ได้ที่จะเข้าใจพระเจ้าผิด และต้องการลาออก เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่นำฉันให้เปิดใจกับคนอื่น อีกทั้งแสวงหาความจริงและรู้จักอุปนิสัยเสื่อมทรามของตน ไม่อย่างนั้นฉันคงเข้าใจพระเจ้าผิดต่อไป ตัดสินใจทิ้งหน้าที่ ผลสืบเนื่องคงจะน่ากลัวมาก

ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะอีกบทตอนหนึ่ง ที่ให้เส้นทางปฏิบัติแก่ฉันเมื่อฉันเผชิญปัญหาในงานของคริสตจักร พระเจ้าตรัสว่า “สำหรับปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นในคริสตจักร อย่าให้ความคลางแคลงใจหนักอึ้งเอ่อล้น ในครรลองของการสร้างคริสตจักรนั้น ความผิดพลาดเป็นเรื่องที่ไม่อาจเลี่ยงได้ แต่จงอย่าตื่นตระหนกเมื่อเจ้าพบเจอปัญหา ในทางกลับกัน จงสงบและสำรวม ไม่ใช่ว่าเราได้เคยบอกพวกเจ้าไปแล้วหรอกหรือ? จงเข้าเฝ้าเราให้บ่อยและอธิษฐาน และเราจะแสดงเจตนาทั้งหลายของเราให้เจ้าเห็นโดยชัดเจน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 41) ฉันเรียนรู้จากพระวจนะว่า การเจอเข้ากับความยากลำบากต่างๆ ในงานของคริสตจักรนั้นเลี่ยงไม่ได้ เป็นเรื่องปกติเลย พระเจ้าทรงอนุญาต เมื่อเราเผชิญความยากลำบาก ตราบใดที่เราอธิษฐาน พึ่งพิงพระเจ้า พระองค์จะทรงนำเราไปข้างหน้า ผู้เชื่อใหม่บางคนที่เพิ่งยอมรับพระวจนะแห่งยุคสุดท้าย ไม่เข้าใจความจริงแห่งนิมิตเต็มที่ และยังอาจหลงไปกับข่าวลือ ฉันต้องพึ่งพาพระเจ้ามากขึ้น และใช้พระวจนะเพื่อเปิดโปงเล่ห์กลของซาตาน และช่วยผู้เชื่อใหม่หยั่งรางบนทางที่แท้จริง หลังจากเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า แล้วกลับไปทำงานของคริสตจักร ฉันสรุปปัญหาข้อผิดพลาดที่มีในงานก่อนๆ และศึกษาความจริงที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่ผู้เชื่อใหม่เผชิญอยู่ แล้วช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านั้นผ่านการสามัคคีธรรม สำหรับการบ่มเพาะผู้คน ก่อนอื่นฉันหาหลักธรรมเหล่านั้นและอธิษฐานในหัวใจ แล้วฉันก็มุ่งสังเกตว่าใครตรงกับหลักธรรมแห่งการบ่นเพาะในการชุมนุม การเลือกผู้คนแบบนั้นเที่ยงตรงมากกว่า ตอนนั้นฉันยังเจอความล้มเหลวและยากลำบากในหน้าที่อยู่ แต่ฉันมองปัญหาเหล่านี้จากมุมมองที่ต่างไปแล้ว ฉันถามตัวเองว่า พระเจ้าทรงต้องการสอนบทเรียนอะไรให้ฉันจากสถานการณ์นี้? ฉันตั้งใจอธิษฐาน อ่านพระวจนะ และแสวงหาเส้นทางปฏิบัติ และฉันเรียนรู้ว่าจะขอความช่วยเหลือจากพี่น้องชายหญิงอย่างไร คนอื่นชี้ปัญหาในงานของฉัน และฉันสามารถมองเห็นความผิดและข้อบกพร่องของตัวเอง ฉันไม่เชื่ออีกต่อไปว่าพระเจ้าทรงพยายามทำให้ฉันดูแย่ แต่ฉันกลับรู้สึกว่าเป็นโอกาสให้ทบทวนตัวเอง รู้จักตัวเอง และไล่ตามการเติบโตในชีวิต ครั้งหนึ่ง พี่น้องหญิงพูดกับฉันว่า “ฉันสังเกตว่าคุณใจเย็นมากขึ้นเมื่อให้น้ำผู้มาใหม่ และเวลาเจอปัญหาคุณก็แสวงหาน้ำพระทัยได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน” พอได้ยิน ฉันก็ตื้นตันใจมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นความเปลี่ยนแปลงเล็กในส่วนของฉัน ฉันก็มีประสบการณ์ส่วนตัวจริงๆ ว่าความรักและความรอดของพระเจ้าสำหรับมวลมนุษย์นั้นบริสุทธิ์และเป็นจริง พระเจ้าทรงนำฉันเสมอ ชี้ทางให้ฉัน พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างฉัน ฉันมีความมุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่และสนองพระเจ้ามากขึ้น

ก่อนหน้า: 91. กบฏกลับใจ ตอนที่หนึ่ง

ถัดไป: 97. ฉันเปลี่ยนแปลงวิถีที่แสนภาคภูมิอย่างไร?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger