74. ผลที่ตามมาจากการบูชาบุคคลอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ในเดือนสิงหาคมปี 2015 ฉันได้รับเลือกเป็นผู้นำคริสตจักร ตอนนั้นคริสตจักรมีจดหมายรายงานบางฉบับที่จำเป็นต้องจัดการ แต่ฉันเพิ่งได้เริ่มงานที่คริสตจักรและไม่เคยจัดการจดหมายรายงานมาก่อน ฉันไม่คุ้นเคยกับหลักธรรมการจัดการจดหมายรายงานและไม่รู้วิธีดูแล ฉันจึงรู้สึกกังวลใจอย่างมาก หลังจากนั้น ผู้นำระดับสูงก็ให้หวังจิงรับผิดชอบงานจดหมายรายงาน ฉันได้ยินมาว่าเธอมีความเชื่อมาเกือบยี่สิบปีแล้วและเคยทำงานรับใช้ในฐานะผู้นำมาก่อน และตอนนี้เธอกำลังจะได้รับมอบหมายให้ดูแลงานจดหมายรายงาน ฉันคิดกับตัวเองว่า “เธอจะต้องเข้าใจความจริงมากแน่ๆ และมีความเป็นจริงความจริง เธอจะช่วยเราได้มาก” หลังจากนั้น ฉันก็พบว่า หวังจิงให้การวิเคราะห์จดหมายรายงานที่เข้าใจง่ายและมีเหตุผลมาก ไม่เพียงแค่สามารถแก้ปัญหาที่เอ่ยถึงในจดหมายรายงาน เธอยังให้การสามัคคีธรรมอันกระจ่างชัดถึงความจริงของวิจารณญาณแยกแยะโดยใช้ตัวอย่างในชีวิตจริง และพบบทตอนจากพระวจนะของพระเจ้าที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหาของทุกคนในหน้าที่ของพวกเขา เรื่องนี้ทำให้ฉันมีความประทับใจต่อหวังจิงอย่างมาก และสำหรับฉันดูเหมือนว่าเธอมีความเป็นจริงความจริงและฉันควรเรียนรู้จากเธอให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากนั้น ระหว่างการชุมนุม หวังจิงได้หารือเกี่ยวกับจดหมายรายงานยากๆ บางฉบับ ว่าคนอื่นจัดการกับจดหมายเหล่านั้นได้ไม่ถูกควรอย่างไร แล้วเธอแก้ปัญหาให้ถูกต้องโดยใช้หลักธรรมและแก้ปัญหาในท้ายที่สุดอย่างไร หลังจากนั้นสักพัก สำหรับฉันดูเหมือนว่าไม่มีปัญหาใดที่เธอแก้ไม่ได้ และฉันเกิดความชื่นชมในตัวเธอขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ครั้งต่อมา เราได้รับจดหมายรายงานฉบับหนึ่ง เขียนเกี่ยวกับปัญหาที่ซับซ้อนมาก แต่หวังจิงระบุประเด็นสำคัญของปัญหาได้จากแค่ไม่กี่คำและแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว พี่น้องหญิงคนหนึ่งพูดกับเธอด้วยความชื่นชมว่า “พวกเราไม่มีใครเข้าใจและจัดการกับปัญหานี้ในจดหมายนี้ได้เลย แม้แต่ผู้ดูแลของเราก็แก้ปัญหาไม่ได้ แต่แค่สามัคคีธรรมหนึ่งครั้งจากคุณก็ ‘ปัญหาคลี่คลาย’ คุณนี่ของจริงเลย” หวังจิงพยักหน้าอย่างตื่นเต้น ดูจะพอใจกับคำสรรเสริญ และยังแสดงความคิดเห็นวิจารณ์ผู้ดูแลกับพวกเราด้วย ฉันตระหนักอย่างเลือนรางได้ว่าเธอดูเหมือนแสดงอำนาจตนเองและดูถูกผู้ดูแล แต่แล้วฉันก็ให้เหตุผลว่าทุกสิ่งที่เธอพูดก็เป็นความจริง ฉันเลยไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น ในทางกลับกัน ฉันคิดว่า ถ้าในอนาคตฉันสามารถแก้ปัญหาให้ผู้คนได้อย่างหวังจิง ฉันต้องทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีแน่นอน หวังจิงไม่เคยหารือว่าเธอเคยมีปัญหาหรือความล้มเหลวใดในหน้าที่ของตนเอง หรือความเสื่อมทรามและจุดอ่อนอะไรที่เธอเคยแสดงออกมา และเธอแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร ดังนั้นพอเวลาผ่านไป ทุกคนจึงเกิดความชื่นชมเธอ ฉันรู้สึกด้วยว่า การชุมนุมกับหวังจิงทำให้ฉันสามารถเข้าใจความจริงได้มากขึ้น เพราะฉันต้องการแก้ปัญหาได้อย่างหวังจิง ฉันจึงไปที่การชุมนุมทุกครั้งที่เธอเข้าร่วม เพื่อดูว่าเธอวิเคราะห์จดหมายรายงานอย่างไร พระวจนะใดของพระเจ้าที่เธอเชื่อมโยงกับพี่น้องชายหญิงเกี่ยวกับสภาวะของพวกเขา แล้วเธอสามัคคีธรรมอย่างไร ฉันเขียนทั้งหมดด้วยปากกาลงในกระดาษ หลังจากนั้น เมื่อฉันจัดการชุมนุมร่วมกับผู้ร่วมงาน ส่วนใหญ่สิ่งที่ฉันสามัคคีธรรมเป็นสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้มาจากหวังจิง การเห็นว่าผู้ร่วมงานฟังสามัคคีธรรมของฉันอย่างใส่ใจถึงขนาดจดบันทึก ฉันก็รู้สึกว่าฉันเป็นคนทำงานที่มีความสามารถ เหมือนกับหวังจิง ซึ่งคนอื่นๆ ต้องพอใจกับงานของฉันและพระเจ้าคงจะทรงยกย่องฉัน
หลังจากนั้น ฉันก็พึ่งพาหวังจิงมากขึ้นเรื่อยๆ เวลาจัดการกับจดหมายรายงานยากๆ หรือปัญหากับคนทำงานจดหมายรายงาน ฉันไม่ได้เงียบเสียงตัวเองเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานถึงพระองค์และแสวงหาความจริง ฉันคิดว่าเมื่อใดที่หวังจิงมาสามัคคีธรรม ปัญหาทั้งหมดของฉันก็จะได้รับการแก้ไข แล้วพระเจ้าก็ค่อยๆ สูญเสียสถานะของพระองค์ในใจฉัน และสถานะของหวังจิงก็ยิ่งทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ฉันพึ่งพาบุคคลมากกว่าพึ่งพาพระเจ้าเสียอีก เวลาผ่านไป ฉันเริ่มมีปัญหาการจับความเข้าใจแม้แต่กับปัญหาที่ง่ายที่สุดในงานคริสตจักร ในขณะชุมนุม ฉันไม่สามารถสามัคคีธรรมความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉันพูดเพียงคำพูดและคำสอนเท่านั้น แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาการเข้าสู่ชีวิตของผู้คนได้ รู้สึกราวกับว่าพระเจ้าทรงหันหลังให้ฉัน ซึ่งฉันทนทุกข์อย่างมาก แต่ในตอนนั้น ฉันไม่ได้ทบทวนตัวเอง
ก่อนการชุมนุมครั้งหนึ่ง ถนนหลายเส้นถูกปิดกั้นเพราะหิมะและไม่มีรถยนต์ขับผ่านได้ หวังจิงบอกว่าเธอไปไม่ได้และขอให้ฉันกับพี่น้องหญิงผู้ร่วมงานกับฉันทำหน้าที่เจ้าภาพการชุมนุม พอฉันได้ยินอย่างนั้น ก็รู้สึกเหมือนเสียศูนย์กระทันหัน ระหว่างการชุมนุม ฉันไม่สามารถหาต้นเหตุของความวุ่ยวายในคริสตจักรตามที่อธิบายในจดหมายรายงานได้ แล้วฉันก็ตื่นตระหนกสุดขีด แต่ฉันไม่ได้ชี้นำให้คนอื่นอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้า เพื่อแสวงหาหลักธรรมความจริงในพระวจนะของพระเจ้า ในทางกลับกัน ฉันแค่หวังให้หวังจิงปรากฏตัวแล้วแก้เรื่องเร่งด่วนตรงหน้า เมื่อการชุมนุมสิ้นสุด ฉันรู้สึกผิดเพราะการชุมนุมไม่เกิดผล และฉันไม่ได้ลุล่วงหน้าที่ของตัวเอง แต่ฉันก็ยังไม่แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า และแค่หวังว่าหวังจิงจะมาช่วยแก้ปัญหานั้นท่าเดียว อีกครั้งหนึ่ง หวังจิงพูดว่าเธอจะทำหน้าที่เจ้าภาพการชุมนุมให้พวกเรา แต่เธอไม่ได้ปรากฏตัวเลยตลอดเช้านั้น แล้วฉันก็เริ่มตื่นตระหนก หวาดกลัวว่าเธอจะมาไม่ได้เหมือนครั้งก่อน ฉันกังวลว่าฉันจะไม่สามารถแก้ปัญหาของทุกคนได้ถ้าเธอไม่มา หลังมื้อกลางวัน อยู่ๆ ฉันก็ได้ยินเสียงเปิดประตู จึงรู้ว่าหวังจิงมาถึงแล้ว ด้วยความยินดีเหลือล้นที่ผู้ช่วยชีวิตของฉันมาถึงแล้ว ฉันจึงรีบออกไปต้อนรับเธอ แต่ขณะที่เดินผ่านลานข้างนอก ฉันก็เสียการทรงตัวและทำข้อเท้าพลิก ข้อเท้าของฉันบวมเป่งและเจ็บมากจนเดินไม่ได้ แต่ฉันคิดว่า ในเมื่อหวังจิงมาถึงแล้ว ฉันต้องแจ้งทุกคนให้รีบมาร่วมการชุมนุมอย่างรวดเร็ว จะได้ไม่มีใครพลาดโอกาสที่เธอจะช่วยแก้ปัญหาของพวกเขา จากนั้นฉันก็ทนเจ็บเพื่อไปจนถึงบ้านของพี่น้องหญิงคนหนึ่ง แต่ในขณะที่จะเคาะประตูนั้น อยู่ๆ ฉันก็เสียการทรงตัวและล้มลงกระแทกกับพื้น หลังจากพยายามจนลุกขึ้นยืนได้ ฉันก็เห็นฝ่ามือข้างขวาเต็มไปด้วยเลือดและเถ้าถ่าน เหตุการณ์ที่เกิดต่อเนื่องครั้งนี้ทำให้ฉันรู้สึกกลัวจับใจ และเริ่มตระหนักอย่างเลือนรางว่า ความปรารถนาที่ฉันรู้สึกตอนที่รอคอยหวังจิงนั้นดูไม่ปกติสักเท่าไหร่ พระเจ้าทรงบ่มวินัยฉันงั้นหรือ? ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อแสวงหาคำตอบ หลังจากนั้น ฉันก็ได้พบบทตอนจากพระวจนะของพระเจ้าดังนี้ “ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าควรนบนอบพระเจ้าและนมัสการพระองค์ จงอย่ายกย่องหรือนิยมบูชาบุคคลใด จงอย่าวางพระเจ้าเป็นลำดับแรก ผู้คนที่เจ้าเคารพนับถือเป็นลำดับที่สอง และตัวเจ้าเองเป็นลำดับที่สาม ไม่มีบุคคลใดที่ควรมีความสำคัญในหัวใจของเจ้า และเจ้าไม่ควรพิจารณาผู้คน—โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ที่เจ้าเคารพเทิดทูน—ว่าเสมอกับพระเจ้าหรือเทียบเท่าพระองค์ นี่เป็นเรื่องที่มิอาจทนยอมรับได้สำหรับพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประกาศกฎการปกครองสิบประการซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในยุคแห่งราชอาณาจักรต้องเชื่อฟัง) ฉันไตร่ตรองถึงพระวจนะของพระเจ้า และภาพตอนฉันมีปฏิสัมพันธ์กับหวังจิงมากมายก็ผุดขึ้นในความคิดเหมือนกับภาพจางๆ ในหนัง ตั้งแต่วันที่ฉันได้พบหวังจิง ฉันก็เห็นว่าเธอมีความสามารถพิเศษ มีวาทศิลป์ เก่งในการประกาศ และเก่งในการแก้ปัญหาเป็นพิเศษ จดหมายฉบับแล้วฉบับเล่าที่ทำให้ฉันคิดไม่ตก กลับถูกแก้ไขอย่างง่ายดายผ่านการวิเคราะห์และสามัคคีธรรมของเธอ ฉันจึงเริ่มบูชาเธอโดยไม่รู้ตัว คิดว่าการชุมนุมกับเธอและฟังสามัคคีธรรมของเธอจะทำให้ฉันรู้ซึ้งถึงความจริงและเกิดความเข้าใจเชิงลึก ถ้าฉันไม่ได้ชุมนุมกับเธอก็คงเหมือนกับฉันเสียโอกาสที่จะได้รับความจริง ฉันเริ่มชอบการชุมนุมและการร่วมสามัคคีธรรมกับหวังจิง มากกว่าการอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริง ฉันพึ่งพาหวังจิงอย่างเต็มที่ และเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ฉันก็ไม่ได้อธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริง แต่แค่รอให้เธอมาสามัคคีธรรมและแก้ปัญหาเหล่านั้น ตอนที่ถนนถูกปิดแล้วเธอมาไม่ได้ ฉันรู้สึกเหมือนว่าเราไม่สามารถทำงานได้ถ้าไม่มีเธอ ยิ่งทบทวนมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น ผู้เชื่อในพระเจ้าควรเทิดทูนพระองค์ว่ายิ่งใหญ่ เราควรนมัสการและเคารพนับถือพระองค์ ในใจของเราไม่ควรมีที่ให้บุคคลใด แต่ฉันกลับไม่มีที่ในใจให้แด่พระเจ้า ในทางกลับกัน ฉันกลับยกย่องบุคคลที่ฉันบูชาและทำให้เธอเป็นรูปเคารพ ถึงฉันเชื่อในพระเจ้า แต่ฉันก็บูชาบุคคล และล่วงเกินอุปนิสัยของพระเจ้าโดยไม่รู้ สถานการณ์นี้เป็นการเตือนและการคุ้มครองฉันของพระเจ้า ฉันรีบอธิษฐานถึงพระเจ้าและพร้อมที่จะกลับใจ
หลังจากนั้น ฉันก็บังเอิญพบพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ที่ว่า “ไม่ว่าผู้นำหรือคนทำงานจะอยู่ในระดับใด หากพวกเจ้าบูชาพวกเขาเพราะพวกเขาพอจะเข้าใจความจริงอยู่บ้างและมีพรสวรรค์บางอย่าง โดยเชื่อว่าพวกเขามีความเป็นจริงความจริงและสามารถช่วยเหลือเจ้าได้ และหากเจ้ายกย่องและพึ่งพาพวกเขาในทุกสิ่ง และพยายามที่จะได้รับความรอดด้วยการทำเช่นนี้ เจ้าก็เบาปัญญาและไม่รู้ความ ในที่สุดทั้งหมดนี้ย่อมจะสูญเปล่า เพราะจุดเริ่มต้นของเจ้านั้นผิดมาแต่แรก ไม่ว่าใครจะเข้าใจความจริงมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถยืนแทนที่พระคริสต์ได้ และไม่ว่าใครจะมีพรสวรรค์มากเพียงใด ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีความจริง—ดังนั้น ใครก็ตามที่บูชา ยกย่อง และติดตามผู้อื่นย่อมจะถูกกำจัดออกไปและถูกกล่าวโทษในท้ายที่สุด ผู้เชื่อในพระเจ้าทำได้เพียงยกย่องและติดตามพระเจ้าเท่านั้น ผู้นำและคนทำงานนั้นไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ยังคงเป็นผู้คนธรรมดาทั่วไป หากเจ้ามองว่าพวกเขาเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของเจ้า หากเจ้ารู้สึกว่าพวกเขาเหนือเจ้า มีความสามารถมากกว่าเจ้า และควรนำเจ้า พวกเขาเหนือกว่าใครอื่นอย่างขาดลอยในทุกทาง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คิดผิด—นั่นเป็นความหลงผิดอย่างหนึ่ง แล้วความหลงผิดนี้จะก่อให้เกิดผลเช่นใดในตัวเจ้า? ความหลงผิดนี้ย่อมทำให้เจ้าประเมินผู้นำทั้งหลายของเจ้าตามข้อกำหนดที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงโดยที่เจ้าเองไม่ทันรู้ตัว และทำให้เจ้าไม่สามารถรับมือปัญหาและข้อบกพร่องที่พวกเขามีได้อย่างถูกต้อง ในเวลาเดียวกันเจ้ายังจะถูกดึงเข้าไปหาความโก้เก๋ พรสวรรค์ และความสามารถพิเศษของพวกเขาอย่างลึกซึ้งโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย จนถึงขั้นก่อนที่เจ้าจะทันรู้ตัว เจ้าก็เคารพบูชาพวกเขาไปแล้ว และพวกเขาก็คือพระเจ้าของเจ้า เส้นทางนั้นนับตั้งแต่พวกเขาเริ่มกลายเป็นแบบอย่างของเจ้า เป็นผู้ที่เจ้าเคารพบูชา จนถึงช่วงเวลาที่เจ้ากลายเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของพวกเขา นี่คือเส้นทางที่จะนำเจ้าออกห่างจากพระเจ้าโดยไม่รู้ตัว” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่หก) “บางคนชื่นชมคนที่ประกาศคำเทศนาอันสูงส่งหรือมีพรสวรรค์ในการพูด และอิจฉาผู้ที่มีท่าทางน่าเกรงขามเวลาเทศนา นี่เป็นทัศนะที่ถูกต้องหรือไม่? นี่เป็นเป้าหมายที่ถูกต้องที่ควรเสาะหาหรือไม่? (ไม่ใช่) ถ้าเช่นนั้นอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง? พวกเจ้าควรเสาะหาที่จะเป็นคนแบบใด? (คนที่ทำหน้าที่ของตนอย่างเงียบๆ โดยไม่เปิดเผยตัวตนและอยู่กับความเป็นจริง ประพฤติปฏิบัติตนและกระทำการอย่างติดดิน) ถูกต้อง พวกเจ้าต้องประพฤติปฏิบัติตนและกระทำการอย่างติดดิน และในทุกเรื่อง พวกเจ้าต้องไม่ละทิ้งการอธิษฐาน หรือละทิ้งพระวจนะของพระเจ้า แต่จงมาอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าบ่อยๆ และมีสามัคคีธรรมที่แท้จริงกับพระองค์—นี่คือรากฐานของการเชื่อในพระเจ้า!” (การสามัคคีธรรมของพระเจ้า) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เรียนรู้ว่า ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า เราต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์เป็นประจำ ในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เราควรอธิษฐานถึงพระเจ้า แสวงหาความจริง ปฏิบัติหน้าที่ตามพระประสงค์ของพระองค์ เทิดทูนพระองค์ว่ายิ่งใหญ่และไม่ควรบูชาบุคคลใดเลย ไม่ว่าจะเป็นความสามารถพิเศษ ความสามารถในการทำงาน หรือความสามารถในการแก้ปัญหาของพวกเขา สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ ผ่านความรู้แจ้งของพระเจ้า ผู้คนจึงให้การสามัคคีธรรมที่ลึกซึ้ง และหากการสามัคคีธรรมของพวกเขาเปิดเผยเส้นทาง นั่นก็เป็นเพราะสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริง ฉันแสวงหาสิ่งทั้งหลายกับพวกเขาในเรื่องที่ไม่เข้าใจและเรียนรู้จากจุดแข็งของพวกเขาได้ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะสามัคคีธรรมดีเพียงใด สุดท้ายแล้วฉันก็ควรยอมรับจากพระเจ้าและไม่ควรบูชาคนธรรมดา หลังจากนั้น ฉันก็ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และเลิกวางใจในตัวหวังจิงอย่างสิ้นเชิง เมื่อไหร่ที่มีปัญหา ฉันจะอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาหลักธรรมความจริงที่เกี่ยวข้องในพระวจนะของพระเจ้า บางครั้งถ้าฉันคิดอะไรบางอย่างไม่ออกก็จะถามหวังจิง แต่ฉันจะตั้งใจเงียบเสียงตัวเองเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และมุ่งเน้นไปที่แง่มุมต่างๆ ของหลักธรรมความจริงที่เธอสามัคคีธรรม แทนที่จะเพียงแค่ชื่นชมเธออย่างเดียว ฉันเริ่มค่อยๆ มีทัศนะที่ปกติมากขึ้นต่อหวังจิง และสามารถแก้ปัญหาบางอย่างในจดหมายรายงานได้ ต่อมา หวังจิงได้รับเลือกให้เป็นผู้นำของคริสตจักรอีกแห่ง และฉันก็เลิกรู้สึกตื่นตระหนกเวลาไม่มีเธออยู่ด้วย ระหว่างการชุมนุม เมื่อเกิดปัญหาที่จัดการได้ยาก ฉันจะอธิษฐานและพึ่งพิงพระเจ้าพร้อมกับคนอื่นๆ และค้นพบเส้นทางของการปฏิบัติผ่านทางพระวจนะของพระองค์ แค่ตอนที่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ฉันจะถามผู้นำหรือบางคนที่เข้าใจความจริง ปัญหาของเราค่อยๆ ได้รับการแก้ไขและฉันเติบโตขึ้นบ้าง
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้นำระดับสูงกว่าได้เขียนมาบอกฉันว่า หวังจิงพึ่งพาความสามารถพิเศษของเธอในการทำงานและไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เธอโอ้อวดและยกย่องตนเองอยู่เสมอเพื่อให้คนอื่นชื่นชมและบูชาเธอ เธอไม่ยอมรับการถูกตัดแต่งและไม่ได้ทบทวนตัวเอง เธอถูกเปิดโปงว่าเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ และถูกปลดเนื่องจากเป็นผู้นำเทียมเท็จ เรื่องนี้มีผลกระทบที่ลุ่มลึกต่อฉัน ตอนที่ฉันใช้เวลาอยู่กับหวังจิง เธอก็แสดงพฤติกรรมเหล่านี้แล้ว เธอไม่เคยหารือว่าอะไรคือความเสื่อมทราม ที่เผยออกมาในหน้าที่ของเธอเอง หรือเธอเคยประสบความล้มเหลวอะไรบ้าง เธอพูดถึงแค่ความสำเร็จของตนเองเท่านั้น ราวกับว่าไม่มีปัญหาใดที่เธอแก้ไขไม่ได้ ผลลัพธ์ก็คือทุกคนต่างเคารพนับถือและบูชาเธอ หลังจากนั้น ฉันได้พบพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “บางคนใช้ตำแหน่งของพวกเขาให้คำพยานซ้ำๆ เกี่ยวกับตัวเอง ยกย่องตัวเอง และแข่งขันกับพระเจ้าเพื่อผู้คนและสถานภาพ พวกเขาใช้วิธีการและมาตรการสารพัดเพื่อทำให้ผู้คนเคารพบูชาพวกเขา พยายามชนะใจผู้คนและควบคุมพวกเขาอยู่เป็นนิตย์ บางคนถึงกับเจตนาทำให้ผู้คนเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขาเป็นพระเจ้าเพื่อที่พวกเขาจะได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นพระเจ้า พวกเขาจะไม่มีวันบอกใครว่าพวกเขาถูกทำให้เสื่อมทรามไปแล้ว—พวกเขาก็เสื่อมทรามและโอหังเช่นกัน อย่าเคารพบูชาพวกเขาเลย และไม่ว่าพวกเขาจะทำได้ดีเพียงใดก็ล้วนเป็นเพราะการยกชูจากพระเจ้า ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็กำลังทำสิ่งที่พวกเขาควรจะทำอยู่แล้ว เหตุใดพวกเขาจึงไม่พูดสิ่งเหล่านี้เล่า? เพราะพวกเขากลัวอย่างลึกล้ำที่จะสูญเสียที่ทางของพวกเขาในหัวใจของผู้คน นี่คือสาเหตุที่ผู้คนเช่นนี้ไม่มีวันยกย่องพระเจ้า และไม่มีวันเป็นพยานให้พระเจ้า พวกเขาไม่ยกย่องพระเจ้าหรือเป็นพยานให้พระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1) การมองเธอตามความสว่างแห่งพระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันได้รับวิจารณญาณเกี่ยวกับหวังจิงขึ้นมาบ้าง เธอมักจะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับว่าเธอแสวงหาความจริงเมื่อต้องจัดการกับความยากลำบากอย่างไร เธอรับมือกับจดหมายยากๆ ฉบับแล้วฉบับเล่าอย่างง่ายดายอย่างไร และเธอช่วยผู้อื่นแก้ปัญหาของพวกเขาอย่างไร แต่เธอแทบไม่เคยพูดถึงความเบี่ยงเบนและข้อบกพร่องของตัวเธอเอง หรือเปิดเผยเกี่ยวกับความเสื่อมทรามและจุดอ่อนของเธอเลย เธอไม่เคยหารือปัญหาหรือจดหมายใด ที่เธอตัดสินผิดพลาดหรือไม่สามารถจับความเข้าใจได้ และสิ่งเหล่านั้นได้เผยข้อบกพร่องของเธออย่างไร แล้วเธอก็ไม่เคยพูดถึงปัญหาที่เธอไม่อาจเข้าใจได้ ที่ว่าผู้อื่นช่วยเธออย่างไรและแง่มุมของหลักธรรมความจริงอะไรที่นำให้เธอเข้าใจได้ เธอให้ผู้คนเห็นแต่เบื้องหน้าเทียมเท็จอันสมบูรณ์แบบที่สร้างขึ้นเท่านั้น เมื่อพวกเราบูชาและสรรเสริญเธอ เธอก็ไม่สามัคคีธรรมกับเราเกี่ยวกับการไม่บูชาผู้คนทั่วไป และดูเหมือนว่าเธอจะชื่นชอบและเพลิดเพลินกับเรื่องนั้น เมื่อแยกแยะพฤติกรรมของเธอผ่านความสว่างแห่งพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เห็นว่าเธอเพียงแค่พึ่งพาความสามารถพิเศษของเธอในการทำงานและการประกาศ เธอไม่เคยยกย่องหรือเป็นพยานให้พระเจ้า แต่โอ้อวดตัวเองเพื่อชักพาผู้อื่นให้หลงผิดเท่านั้น ทำให้ผู้คนมองไม่เห็นความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของเธอ แต่กลับบูชาและติดตามเธอ เธอแสดงออกในลักษณะนี้เพื่อให้ได้ที่ยืนในใจของผู้คน—ช่างหลอกลวงและชั่วร้ายจริงๆ! แต่ไม่เพียงแค่ฉันไม่มีวิจารณญาณในพฤติกรรมของเธอ ฉันยังชื่นชมความสามารถพิเศษ ความชำนาญ และความสามารถในการแก้ปัญหาของเธออีกด้วย ฉันคิดว่าเธอเข้าใจความจริง มีความเป็นจริงความจริง ฉันจึงบูชาเธอ ฉันช่างตาบอดเสียจริง!
หลังจากนั้น ฉันก็บังเอิญพบบทตอนจากพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ที่ว่า “จึงมีผู้คนบางคนที่มักถูกชักพาให้หลงผิดโดยพวกที่ภายนอกดูเหมือนจะเป็นฝ่ายวิญญาณ สูงศักดิ์ สูงส่ง และยิ่งใหญ่ ในส่วนของผู้คนที่สามารถพูดถึงคำพูดและคำสอนได้อย่างมีวาทศิลป์ และวาทะและการกระทำของพวกเขาดูเหมือนจะมีค่าคู่ควรกับการเลื่อมใส พวกที่ถูกพวกนั้นชักพาให้หลงเชื่อไม่เคยได้มองที่แก่นแท้ของการกระทำของพวกเขา หลักธรรมทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของพวกเขา หรืออะไรคือเป้าหมายของพวกเขา ยิ่งกว่านั้น พวกเขาไม่เคยมองว่าผู้คนเหล่านี้นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่ และไม่เคยพิจารณาว่าผู้คนเหล่านี้ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วอย่างแท้จริงหรือไม่ พวกเขาไม่เคยใช้วิจารณญาณดูแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ในตัวผู้คนเหล่านี้ ตรงกันข้าม เริ่มต้นด้วยขั้นตอนแรกของการทำความคุ้นเคยกับพวกเขา พวกเขาได้มาเลื่อมใสและเคารพผู้คนเหล่านี้ทีละเล็กทีละน้อย และในที่สุด ผู้คนเหล่านี้ก็กลายเป็นรูปเคารพของพวกเขา” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์) “ไม่ว่าผู้คนจะมุ่งเน้นเรื่องที่ตื้นเขินหรือลุ่มลึก หรือเน้นวาจาและคำสอนหรือว่าความเป็นจริง พวกเขาก็ไม่ยึดปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเขาควรยึดปฏิบัติมากที่สุด และพวกเขาก็ไม่รู้จักสิ่งที่พวกเขาควรรู้จักมากที่สุด เหตุผลของเรื่องนี้คือผู้คนไม่ชอบความจริงเอาเสียเลย เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงไม่เต็มใจที่จะใช้เวลาและความพยายามไปกับการแสวงหาและนำหลักธรรมของการปฏิบัติที่พบในถ้อยดำรัสของพระเจ้าไปปฏิบัติ แต่พวกเขากลับเลือกที่จะใช้ทางลัดแทน โดยสรุปว่าสิ่งที่พวกเขาเข้าใจและรู้นั้นเป็นการฝึกฝนปฏิบัติที่ดีและพฤติกรรมที่ดี เช่นนั้นแล้วบทสรุปนี้จึงกลายเป็นเป้าหมายของพวกเขาเองในการไล่ตามเสาะหา ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นความจริงที่จะได้รับการปฏิบัติ ผลพวงโดยตรงของเรื่องนี้คือผู้คนใช้พฤติกรรมที่ดีของมนุษย์เป็นสิ่งแทนที่สำหรับการนำความจริงไปปฏิบัติ ซึ่งก็สนองความอยากของพวกเขาที่จะประจบประแจงพระเจ้าอีกด้วย นี่เป็นต้นทุนให้พวกเขาใช้ขับเคี่ยวกับความจริง ซึ่งพวกเขาก็ใช้เป็นเหตุผลมาแข่งขันกับพระเจ้าอีกด้วย ในเวลาเดียวกัน ผู้คนก็กันพระเจ้าออกไปอย่างไม่มีหลักศีลธรรม แล้ววางรูปเคารพที่พวกเขาเลื่อมใสลงแทนที่พระองค์” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์) จากพระวจนะของพระเจ้าฉันได้พบว่า ตลอดหลายปีที่มีความเชื่อ ฉันมีทัศนะที่คลาดเคลื่อนนี้อยู่เสมอ ฉันนึกเอาว่าคนที่ฉลาด มีความสามารถพิเศษ ที่ทำงานและประกาศได้ดี แล้วสามารถแก้ไขปัญหาได้ ย่อมเข้าใจความจริงและมีความเป็นจริงความจริงโดยธรรมชาติ ฉันตระหนักว่าฉันไม่รู้เลยว่าความเป็นจริงความจริงคืออะไร พระเจ้าทรงแสดงความจริงและทรงงานแห่งการพิพากษา เพื่อชำระผู้คนให้บริสุทธิ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา และอนุญาตให้พวกเขาเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและใช้ชีวิตอย่างสภาพเสมือนมนุษย์ ถ้าใครเพียงแค่สามารถแก้ปัญหาของผู้อื่นและแยกแยะผู้อื่นออกได้ แต่ไม่สามารถยอมรับการพิพากษาแห่งพระวจนะของพระเจ้า รวมถึงการถูกตัดแต่ง อย่างนั้นไม่ว่าจะมีความสามารถมากแค่ไหน หรือทำงานและประกาศได้ดีเพียงใด พวกเขาก็ยังคงไม่มีความเป็นจริงความจริง หวังจิงไม่เคยพูดเกี่ยวกับการรู้จักตนเอง ไม่เคยเปิดเผยหรือชำแหละอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเธอเอง ทั้งยังไม่ได้ยอมรับความจริงและเชื่อฟังอย่างแท้จริงเมื่อถูกตัดแต่ง แล้วเธอจะมีความเป็นจริงความจริงได้อย่างไรกัน? เธอแค่สามารถจัดการกับจดหมายรายงานได้ เพราะเธอมีประสบการณ์การทำงานมาบ้างและมีความรู้เรื่องหลักธรรมมากกว่าเล็กน้อย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอมีความเป็นจริงความจริง ฉันไม่เข้าใจความจริงและล้มเหลวในการแยกแยะเธอออก ฉันถึงกับบูชาเธออย่างไม่ลืมหูลืมตาและเห็นเธอเป็นรูปเคารพของฉัน พยายามเอาอย่างและลอกเลียนแบบเธอ ฉันช่างโง่เขลานัก ฉันตกอยู่ในอันตรายอย่างมากที่ปฏิบัติความเชื่อในลักษณะนี้!
ต่อมา ฉันได้พบพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งที่ว่า “สิ่งที่เจ้าเลื่อมใสนั้นไม่ใช่ความถ่อมใจของพระคริสต์ แต่เจ้ากลับเคารพผู้เลี้ยงเทียมเท็จที่มีตำแหน่งอันโดดเด่น เจ้าไม่ได้ชื่นชมบูชาความดีงามหรือพระปัญญาของพระคริสต์ แต่เจ้าชื่นชอบพวกคนเสเพลที่คล้อยตามความโสมมของโลก เจ้าเอาแต่เยาะเย้ยความเจ็บปวดของพระคริสต์เพราะไม่มีที่จะวางพระเศียร แต่กลับเลื่อมใสซากศพที่ตามล่าของถวายและใช้ชีวิตอยู่กับความเสเพลพวกนั้น เจ้าไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์เคียงข้างพระคริสต์ แต่เจ้ากลับยินดีที่จะโผเข้าสู่อ้อมแขนของศัตรูของพระคริสต์ที่เอาแต่ใจและไม่ยั้งคิดเหล่านั้น ทั้งที่พวกเขามีให้เจ้าเพียงแค่เนื้อหนัง คำพูด และการควบคุม แม้กระทั่งในเวลานี้ หัวใจของเจ้าก็ยังคงหันไปหาพวกเขา หาความมีหน้ามีตาของพวกเขา สถานะของพวกเขา กลุ่มคนของพวกเขา กระนั้นเจ้าก็ยังคงมีท่าทีว่าพระราชกิจของพระคริสต์นั้นยากที่จะยอมรับ และไม่เต็มใจที่จะยอมรับพระราชกิจนั้น เพียงเพราะเหตุนี้ เราจึงกล่าวว่าเจ้าขาดความเชื่อที่จะยอมรับพระคริสต์ เหตุผลที่เจ้าได้ติดตามพระองค์มาจนถึงวันนี้ก็เพียงเพราะเจ้าไม่มีทางเลือกอื่น ภาพลักษณ์อันสูงส่งมากมายตั้งตระหง่านอยู่ในหัวใจของเจ้าตลอดไป เจ้าไม่อาจลืมทุกคำพูดและทุกการกระทำของพวกเขา รวมถึงคำพูดกับมือที่มีอิทธิพลของพวกเขา ในหัวใจของพวกเจ้า พวกเขาคือผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลและเป็นวีรบุรุษไป แต่หาได้เป็นเช่นนั้นสำหรับพระคริสต์ในวันนี้ไม่ ในหัวใจของเจ้า พระองค์ยังคงไร้ความสำคัญตลอดไปและไม่คู่ควรที่จะได้รับความยำเกรงตลอดกาล เพราะพระองค์ทรงธรรมดามากเกินไป ทรงมีอิทธิพลน้อยเกินไป และยังห่างไกลจากความสูงส่ง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริงหรือไม่?) พระวจนะแห่งการพิพากษาของพระเจ้าแทงใจฉันอย่างแรง พระเจ้าทรงประสูติเป็นมนุษย์ด้วยความอ่อนน้อมและไม่เคยแสดงอำนาจตัวพระองค์เอง พระองค์เพียงทรงแสดงความจริงเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด ความอ่อนน้อมถ่อมตนของพระเจ้าเป็นการแสดงถึงเกียรติยศ ความยิ่งใหญ่ และความบริสุทธิ์ของพระองค์ เป็นสิ่งที่คู่ควรแก่การชื่นชมของเราอย่างยิ่ง แต่การเห็นหวังจิงได้เป็นผู้นำ สามารถแก้ปัญหาและพูดด้วยความเชื่อมั่นและแรงผลักดันได้ ฉันก็ชื่นชมเธอ ฉันเชื่อในพระเจ้าโดยปราศจากการนมัสการพระองค์และไม่ได้เคารพความอ่อนน้อมถ่อมตนและความน่ารักของพระคริสต์ แต่ฉันกลับบูชาบุคคลที่น่าเกรงขามและน่าประทับใจ คิดถึงผู้ที่มีบุคลิกสูงส่ง มีความสามารถพิเศษ และมีความสามารถในการทำงานและประกาศ ฉันถึงกับเห็นพวกเขาเป็นรูปเคารพของฉัน นี่เป็นการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์อย่างแท้จริง เราไม่ควรชื่นชมและนับถือบุคคลทั่วไปคนใด เพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเป็นความจริงและควรแก่การติดตามและนมัสการ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เราขอบอกว่าทุกคนที่ไม่เห็นค่าของความจริงคือผู้ไม่เชื่อและเป็นคนที่ทรยศความจริง พวกมนุษย์เช่นนั้นจะไม่มีวันได้รับการยอมรับจากพระคริสต์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริงหรือไม่?) ฉันไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่มีความรู้แม้แต่น้อยเกี่ยวกับพระเจ้าแม้จะมีความเชื่อมานานหลายปี ฉันถึงกับเห็นบุคคลที่เสื่อมทรามเป็นรูปเคารพ บูชาและทำตามเธอ แต่กลับไม่นมัสการพระคริสต์หรือมุ่งเน้นไปที่การไล่ตามเสาะหาความจริง นี่เป็นการทรยศพระเจ้าและฉันทำเหมือนกับเป็นผู้ไม่เชื่อ และถ้าฉันไม่กลับใจ พระเจ้าคงรังเกียจเดียดฉันท์และกำจัดฉัน!
ต่อมา ฉันได้ยินว่าหวังจิงทำตัวเหมือนยูดาสตอนที่ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุมตัว เธอเปิดเผยข้อมูลพี่น้องชายหญิงหลายคน เมื่อเธอถูกปล่อยตัว เธอก็ยังคงไม่กลับใจ และถูกขับไล่จากคริสตจักรในท้ายที่สุด ฉันได้เห็นว่าแม้ว่าหวังจิงจะปฏิบัติหน้าที่มากมาย มีความสามารถพิเศษ มีความสามารถในการประกาศที่ดี และใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อแก้ปัญหาได้ เพราะเธอไม่ได้ไล่ตามเสาะหาการรู้จักตนเองและยอมรับความจริง อีกทั้งไม่ได้มีความเป็นจริงความจริงแม้แต่น้อยแม้จะมีความเชื่อมานานหลายปี เมื่อเผชิญกับสถานการณ์นี้ เธอก็ถูกเผยให้เห็นอย่างถ้วนทั่วและถูกกำจัด หลังจากนั้น ฉันก็บังเอิญพบพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง “เจ้าต้องรู้ว่าเราพึงปรารถนาผู้คนประเภทใด พวกที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ราชอาณาจักร พวกที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำผืนดินศักดิ์สิทธิ์แปดเปื้อน แม้ว่าเจ้าอาจได้ทำงานมากมายแล้ว และได้ทำงานมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ในที่สุดหากเจ้ายังคงโสมมอย่างน่าสังเวช เช่นนั้นแล้วการที่เจ้าปรารถนาที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของเราก็เป็นเรื่องที่ธรรมบัญญัติแห่งสวรรค์ไม่อาจทนยอมรับได้! ตั้งแต่การแรกสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ เราไม่เคยเสนอช่องทางอันง่ายต่อการเข้าสู่ราชอาณาจักรของเราให้แก่พวกที่ประจบเรา นี่คือกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์ และไม่มีใครสามารถทำลายสิ่งนั้นได้! เจ้าต้องแสวงหาชีวิต วันนี้ บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมคือคนประเภทเดียวกันกับเปโตร นั่นคือ พวกเขาคือบรรดาผู้ที่แสวงหาการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของพวกเขาเอง เต็มใจที่จะเป็นคำพยานให้พระเจ้า และลุล่วงหน้าที่ของพวกเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม หากเจ้าเพียงมุ่งหวังบำเหน็จรางวัล และไม่พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของชีวิตของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วความพยายามของเจ้าทั้งหมดก็จะสูญเปล่า—นี่คือความจริงที่มิอาจปรับเปลี่ยนได้!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน) พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า การที่คนได้รับความรอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้หรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถพิเศษของพวกเขา ปริมาณงานหรือการประกาศที่พวกเขาทำ แต่ขึ้นอยู่กับพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง ยอมรับและนบนอบต่อการพิพากษาแห่งพระวจนะของพระเจ้า และบรรลุการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาหรือไม่ ในความเชื่อของเขา เปโตรเทิดทูนพระเจ้าว่ายิ่งใหญ่และแสวงหาความจริงในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เขามองการได้รับความจริงและชีวิตนั้นอยู่เหนือทุกสิ่ง ดังนั้นแม้ว่าเขาไม่ได้ทำงานมากเท่าเปาโล หลังจากได้รับประสบการณ์การพิพากษาของพระเจ้า เขาสามารถนบนอบต่อความตาย และรักพระเจ้าจนสุดหัวใจ ซึ่งในที่สุดก็เป็นพยานสูงสุดให้แด่พระเจ้าและได้รับคำชื่นชมจากพระองค์ จากหนทางที่เปโตรเดิน ฉันพบเส้นทางของการปฏิบัติว่า ฉันจะไม่ชื่นชมผู้คนที่มีความสามารถพิเศษอีกต่อไป และไม่แสวงหาเพื่อเป็นอย่างพวกเขา แต่ฉันตัดสินใจอย่างจริงจังที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และทำหน้าที่ของฉันในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นี่เท่านั้นที่เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง
หลังจากนั้น ระหว่างทำหน้าที่ของตัวเอง ฉันจะมุ่งเน้นที่การพึ่งพาพระเจ้าและแสวงหาหลักธรรมความจริง เมื่อไหร่ที่ฉันพบคนมีความสามารถพิเศษที่สามารถประกาศได้ ฉันจะตั้งใจพยายามมองพวกเขาในความสว่างที่ถูกต้อง เมื่อสามัคคีธรรมของพวกเขามีความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉันจะยอมรับสิ่งนั้นจากพระเจ้า เมื่อแนวคิดของพวกเขาอยู่กับหลักธรรมความจริง ฉันจะยอมรับและเชื่อฟังพวกเขา ถ้าพวกเขาไม่อยู่กับหลักธรรมความจริง ฉันจะไม่ฟังพวกเขาอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่จะแสวงหาความจริงไปพร้อมกับพวกเขาแทน หลังจากการปฏิบัติในลักษณะนี้มาระยะเวลาหนึ่ง ฉันก็รู้สึกอิสระและสบายใจมากขึ้น ในหน้าที่ของฉัน ฉันยังสามารถระบุเส้นทางของการปฏิบัติและบรรลุผลสำเร็จบางอย่างได้ ขอบคุณพระเจ้า!