46. การทำตามอำเภอใจทำร้ายผู้อื่นและตัวเอง

โดยลินน์ ประเทศออสเตรเลีย

ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักรในเดือนเมษายน ปี 2020 โดยรับผิดชอบงานให้น้ำเป็นหลัก ไม่กี่เดือนก่อน ฉันสังเกตเห็นว่าผู้เชื่อใหม่บางคนเข้าร่วมการชุมนุมไม่สม่ำเสมอ มาสายและกลับก่อน บางคนยุ่งอยู่กับเรื่องเรียนหรือเรื่องงาน และบอกว่าถ้ามีเวลาแล้วจะมา บางคนไม่กล้ามาเพราะถูกชักพาให้หลงผิดจากข่าวลือที่ไม่มีมูลและเหตุผลวิบัติของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและโลกศาสนา เราพยายามพูดคุยกับพวกเขา แต่สองสามคนไม่ยอมรับโทรศัพท์ เหมือนกับว่าพวกเขาหายตัวไป ฉันเลยคิดว่า ในเมื่อเราพยายามติดต่อแล้ว แต่พวกเขาไม่อยากร่วมการชุมนุม ก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเรา น่าจะปล่อยพวกเขาไป อีกอย่าง พระเจ้าทรงต้องการคนที่ดีที่สุด ไม่ใช่แค่คนจำนวนมากขึ้น พระองค์ทรงช่วยคนที่มีความเชื่อที่แท้จริงและรักความจริงให้รอด ถ้าพวกเขาขาดความเชื่อที่แท้จริง เราพยายามมากแค่ไหนก็ไม่ช่วยอะไร ฉันจึงไม่ได้อธิษฐาน แสวงหา หรือหารือเรื่องนี้กับผู้นำ และตัดสินใจด้วยตัวเองที่จะทอดทิ้งผู้มาใหม่เหล่านั้น ในช่วงเวลานี้ ฉันได้ติดต่อพวกเขาไปสองสามคน แต่พวกเขาไม่อยากเข้าร่วมการชุมนุม ฉันจึงยิ่งรู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่าฉันตัดสินใจถูกแล้ว ต่อมาพี่น้องหญิงที่ฉันทำงานด้วยสังเกตเห็นว่า ฉันทอดทิ้งผู้เชื่อใหม่จำนวนมากสองเดือนติดต่อกัน และถามฉันว่าการทำเช่นนั้นเหมาะสมจริงๆ หรือ เธอแนะนำว่าฉันน่าจะไปสามัคคีธรรมกับผู้นำของเราและเรียนรู้หลักธรรม ฉันคิดว่า “ในอดีตเราก็จัดการเรื่องแบบนี้ด้วยวิธีเดียวกัน ไม่ใช่ว่าเราไม่ได้พยายามพูดคุยกับผู้มาใหม่ ก็แค่ตอนนี้เราติดต่อบางคนไม่ได้ ส่วนบางคนก็ไม่อยากจะเชื่อต่อไปแล้วด้วยซ้ำ ไม่มีความจำเป็นที่ฉันต้องแสวงหาหลักธรรม” ดังนั้นฉันจึงปฏิเสธข้อเสนอแนะของเธอ หลังจากนั้นฉันก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย และสงสัยว่าสิ่งที่ทำไปนั้นถูกต้องจริงๆ หรือเปล่า แต่แล้วฉันก็คิดว่าสิ่งที่ฉันทำไปไม่น่าจะผิด เพราะเราได้ให้การสนับสนุนพวกเขาแล้ว และไม่ใช่ความผิดของเราที่พวกเขาไม่มาเข้าร่วมการชุมนุม ประเด็นสำคัญคือพวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริง ดังนั้นฉันจึงไม่ได้อธิษฐานหรือแสวงหา และในแต่ละเดือนฉันก็ทอดทิ้งผู้มาใหม่บางคน

ต่อมาผู้นำพบว่าฉันไม่ได้ทำตามหลักธรรมในการทอดทิ้งผู้มาใหม่ และตัดแต่งฉันอย่างรุนแรงมาก โดยบอกว่าฉันไม่รู้หลักธรรมและไม่ได้แสวงหาหลักธรรม และฉันแค่ทำอะไรตามใจตัวเอง เธอยังบอกด้วยว่าการมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้านั้นเป็นเรื่องยากสำหรับผู้มาใหม่ทุกคน พี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ทุ่มเททุกอย่างเพื่อสนับสนุนพวกเขา แต่ฉันกลับปัดพวกเขาบางคนทิ้งไปอย่างไม่ใยดี ฉันตัดพวกเขาออกไปโดยไม่ได้ให้การสนับสนุนด้วยความรักเลย ซึ่งไร้ความรับผิดชอบอย่างมาก แล้วเธอก็ถามฉันว่า “ทำไมผู้มาใหม่ถึงไม่เข้าร่วมการชุมนุม?  พวกเขามีมโนคติอันหลงผิดและปัญหาอะไรบ้าง?  คุณได้สามัคคีธรรมเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นแล้วหรือยัง?  คุณกำลังพยายามคิดหาวิธีอื่นเพื่อช่วยเหลือผู้มาใหม่หรือเปล่า?” คำถามที่ถาโถมเข้ามาทำให้ฉันพูดไม่ออก และฉากแล้วฉากเล่าที่ฉันทอดทิ้งผู้เชื่อใหม่ฉายซ้ำในหัวฉันเหมือนภาพยนตร์ ตอนนั้นเองที่ฉันคิดได้ในที่สุดว่า ฉันไม่ได้กระทำอย่างรับผิดชอบต่อผู้มาใหม่ ว่าฉันไม่ได้ช่วยเหลือและสนับสนุนพวกเขาด้วยความรักจริงๆ ฉันไม่เคยเข้าใจอย่างชัดเจนเลยว่ามโนคติอันหลงผิดที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขของพวกเขาคืออะไร หรือทำไมพวกเขาถึงไม่มาเข้าร่วมการชุมนุม พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมมาระยะหนึ่ง ฉันก็เลยคิดว่าพวกเขาเลิกเชื่อแล้ว และไม่ได้ใส่ใจพวกเขาเลย ฉันเห็นว่าตัวเองล้มเหลวในความรับผิดชอบต่อผู้เชื่อใหม่จริงๆ และกำลังขัดต่อหลักธรรมด้วยการทอดทิ้งพวกเขาอย่างไม่ใส่ใจ ฉันขาดความเป็นมนุษย์จริงๆ!  ฉันจึงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐาน ขอให้พระองค์ประทานความรู้แจ้งเพื่อที่ฉันจะสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ ทบทวนและรู้จักตัวเอง

หลังจากนั้น ฉันได้เห็นพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าที่ว่า “เจ้าต้องใช้ความใส่ใจและรอบคอบและอาศัยความรักเวลาที่เจ้าปฏิบัติต่อผู้คนที่สืบค้นหนทางที่แท้จริง  นี่เป็นเพราะทุกคนที่สืบค้นหนทางที่แท้จริงคือผู้ไม่มีความเชื่อ—แม้แต่ผู้ที่นับถือศาสนาในหมู่พวกเขาก็เป็นผู้ไม่มีความเชื่อไม่มากก็น้อย—และพวกเขาล้วนเปราะบาง กล่าวคือ หากมีสิ่งใดไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา พวกเขาก็อาจจะโต้แย้ง และหากวลีใดไม่คล้อยตามเจตจำนงของพวกเขา พวกเขาก็อาจจะถกเถียง  ดังนั้นแล้ว การเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่พวกเขาจึงต้องอาศัยความอดทนและการผ่อนปรนจากพวกเรา  พึงต้องใช้ความรักอย่างที่สุดในส่วนของพวกเรา และพึงต้องใช้วิธีการและแนวทางบางอย่าง  แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือการอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟัง ถ่ายทอดความจริงทั้งปวงที่พระเจ้าทรงแสดงเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดแก่พวกเขา และให้พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและพระวจนะแห่งพระผู้สร้าง  ในหนทางนี้ พวกเขาย่อมจะได้รับประโยชน์  หลักธรรมที่สำคัญที่สุดของการประกาศข่าวประเสริฐ คือการให้ผู้ที่กระหายการทรงปรากฏของพระเจ้าและผู้ที่รักความจริงเหล่านั้นได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าและได้ฟังพระสุรเสียงของพระองค์  ดังนั้น จงกล่าวคำพูดของมนุษย์แก่พวกเขาให้น้อยลง และอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟังมากขึ้น  หลังจากเจ้าอ่านจบ จงสามัคคีธรรมความจริง  โดยทางนี้ พวกเขาจะสามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และเข้าใจความจริงบางอย่าง  จากนั้น พวกเขาย่อมจะมีแนวโน้มที่จะหวนคืนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นความรับผิดชอบและเป็นภาระผูกพันของคนทุกคน  ไม่ว่าใครจะได้รับภาระผูกพันนี้ คนคนนั้นก็ต้องไม่บ่ายเบี่ยง หรือใช้ข้อแก้ตัวหรือเหตุผลใดมาปฏิเสธภาระผูกพันดังกล่าว(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การประกาศข่าวประเสริฐเป็นสิ่งที่ผู้เชื่อทุกคนต้องทำให้ลุล่วงโดยหน้าที่)  “มีบางคนที่เพิ่งมาเชื่อในพระเจ้าซึ่งมักคิดลบและอ่อนแอ  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง พวกเขาด้อยวุฒิภาวะเกินไป และพวกเขาขาดพร่องความเข้าใจในความจริงทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในพระเจ้า เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่าตนเองมีขีดความสามารถต่ำ ไม่สามารถตามให้ทัน มีความลำบากยากเย็นมากมาย—ซึ่งก่อให้เกิดความคิดลบ และถึงกับทำให้พวกเขายอมแพ้ กล่าวคือ พวกเขาตัดสินใจล้มเลิก ตัดสินใจหยุดไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขากำจัดตนเองออกไป  สิ่งที่พวกเขาคิดก็คือ ‘ไม่ว่าในกรณีใด พระเจ้าก็จะไม่ทรงเห็นชอบในตัวฉันสำหรับการที่ฉันเชื่อในพระองค์  ทั้งพระเจ้าก็ไม่ทรงโปรดฉัน  และฉันก็ไม่มีเวลามากนักที่จะไปร่วมการชุมนุม  ชีวิตครอบครัวของฉันลำบากยากเย็นและฉันจำเป็นต้องหาเงิน’ เป็นต้น  ทั้งหมดนี้ล้วนกลายเป็นเหตุผลทั้งหลายที่พวกเขาไม่สามารถไปร่วมการชุมนุมได้  หากเจ้าไม่รีบหาให้พบว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เจ้าย่อมมีแนวโน้มที่จะตัดสินลงไปว่าพวกเขาไม่รักความจริง และไม่ใช่คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง หรือไม่เจ้าก็จะตัดสินลงไปว่าพวกเขาใฝ่หาความสุขสบายทางเนื้อหนัง ไล่ตามไขว่คว้าโลก และไม่สามารถปล่อยมือจากสิ่งต่างๆ ทางโลก—และด้วยเหตุนี้ เจ้าย่อมจะทอดทิ้งพวกเขา  นี่ตรงตามหลักธรรมความจริงกระนั้นหรือ?  เหตุผลเหล่านี้แสดงถึงแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาอย่างแท้จริงหรือ?  ในข้อเท็จจริงนั้น ที่พวกเขากลายเป็นคิดลบก็เป็นเพราะความลำบากยากเย็นและความพัวพันของพวกเขา หากเจ้าสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ พวกเขาก็จะไม่คิดลบมากเช่นนั้น และจะสามารถติดตามพระเจ้าได้  เมื่อพวกเขาอ่อนแอและคิดลบ พวกเขาก็จำเป็นต้องได้รับการเกื้อหนุนจากผู้คน  หากเจ้าช่วยเหลือพวกเขา พวกเขาก็จะสามารถกลับลุกขึ้นยืนได้  แต่หากเจ้าเพิกเฉยต่อพวกเขา พวกเขาย่อมจะยอมแพ้เนื่องจากความคิดลบอย่างง่ายดาย  การนี้ขึ้นอยู่กับว่าผู้คนที่ทำงานของคริสตจักรมีความรักหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาแบกรับภาระนี้หรือไม่  การที่ผู้คนบางคนมาร่วมชุมนุมไม่บ่อยนัก มิใช่หมายความว่าพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง มิใช่หมายถึงการไม่ชอบความจริง นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาละโมบในความยินดีทั้งหลายของเนื้อหนัง และไม่สามารถละวางครอบครัวและงานของพวกเขาได้—นับประสาอะไรที่พวกเขาควรถูกตัดสินว่าเจ้าอารมณ์หรือลุ่มหลงในเงินทองมากเกินไป  เพียงแต่ว่าในเรื่องเหล่านี้ วุฒิภาวะและปณิธานของผู้คนย่อมแตกต่างกัน  บางคนรักความจริงและสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้ พวกเขาเต็มใจที่จะทนทุกข์เพื่อที่จะละทิ้งสิ่งเหล่านี้  บางคนมีความเชื่อเล็กน้อย และเมื่อเผชิญหน้าความลำบากยากเย็นจริง พวกเขาก็ไร้พลังและไม่สามารถเอาชนะได้  หากไม่มีผู้ใดช่วยเหลือหรือเกื้อหนุนพวกเขา พวกเขาก็จะโยนผ้ายอมแพ้ และถอดใจไม่ไปต่อ ในช่วงเวลาเช่นนี้ พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการเกื้อหนุน การดูแลห่วงใย และการให้ความช่วยเหลือจากผู้คน  เว้นแต่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ไม่เชื่อ ปราศจากความรักสำหรับความจริง และไม่ใช่คนดี—ซึ่งในกรณีนั้น พวกเขาก็สามารถถูกเพิกเฉยได้  หากพวกเขาคือใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง และไม่ได้เข้าชุมนุมบ่อยครั้งเนื่องจากมีความลำบากยากเย็นที่แท้จริงบางอย่าง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาต้องไม่ถูกทอดทิ้ง แต่ต้องได้รับการช่วยเหลือและการเกื้อหนุนที่เปี่ยมรัก  หากพวกเขาเป็นคนดีและมีความสามารถที่จะจับความเข้าใจ อีกทั้งมีขีดความสามารถที่ดี เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ยิ่งสมควรได้รับการช่วยเหลือและเกื้อหนุน(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  ฉันละอายใจมากเมื่อได้ไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายและเสด็จมาตรัสและทรงพระราชกิจท่ามกลางพวกเราเพื่อความรอดของพวกเรา พระเจ้าทรงทนทุกข์กับความอัปยศอดสูอันใหญ่หลวง และพระองค์ทรงช่วยมนุษยชาติให้รอดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วยความอดทนมหาศาล ตราบใดที่คนเราสามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและยอมรับความจริงได้ พระเจ้าก็จะทรงช่วยพวกเขาให้รอดและไม่ทรงทอดทิ้งผู้ใด แม้ว่ามนุษย์จะกระทำผิด พระเจ้าก็ทรงให้อภัยครั้งแล้วครั้งเล่า ตราบใดที่กลับใจสักหน่อย พระองค์จะประทานโอกาสให้เรา จากสิ่งนี้เราจะเห็นได้ว่าพระเจ้าเปี่ยมล้นด้วยความกรุณาและความอดกลั้นต่อมนุษย์ ความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเราช่างยิ่งใหญ่จริงๆ ผู้มาใหม่ก็เหมือนทารกแรกเกิด ยังไม่เข้าใจความจริงและยังขาดรากฐานในหนทางที่แท้จริง พระเจ้าทรงขอให้เราปฏิบัติต่อผู้มาใหม่เหล่านี้ด้วยความรักและความอดกลั้นอย่างมหาศาล ตราบใดที่พวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่ดีและเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ต่อให้พวกเขาอ่อนแอ มีมโนคติอันหลงผิดทางศาสนา หรือยุ่งเกินกว่าจะเข้าร่วมการชุมนุม เราก็ไม่สามารถปัดพวกเขาทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ และที่แน่ๆ เราไม่ควรตัดพวกเขาออกไปโดยสิ้นเชิง ถ้าเราคิดว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริงและทอดทิ้งพวกเขา เพราะพวกเขาไม่มาเข้าร่วมการชุมนุมหลังจากที่เราสนับสนุนพวกเขาเพียงไม่กี่ครั้ง เราก็กำลังไร้ความรับผิดชอบ ตอนที่ฉันเพิ่งเริ่มเชื่อใหม่ๆ ฉันไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมเป็นประจำเพราะยุ่งอยู่ที่บ้าน พี่น้องชายหญิงเข้าอกเข้าใจฉันมาก และจะเปลี่ยนเวลาการชุมนุมเพื่อรองรับตารางเวลาของฉัน และพวกเขาก็สามัคคีธรรมกับฉันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ความช่วยเหลือและการสนับสนุนของพวกเขา ทำให้ฉันได้เห็นความสำคัญของการไล่ตามเสาะหาความจริง และฉันสัมผัสได้ถึงความรักและความอดกลั้นที่พระเจ้าทรงมีต่อฉัน หลังจากนั้นฉันก็สามารถเข้าร่วมการชุมนุมเป็นประจำและรับหน้าที่ได้ ถ้าพี่น้องชายหญิงปฏิเสธฉันในตอนนั้น และคิดว่าฉันไม่รักความจริงและเป็นผู้ไม่เชื่อ พวกเขาก็คงจะถอดใจกับฉันไปนานแล้ว และฉันก็คงไม่มีวันนี้!  ฉันไม่ได้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเลย และไม่ได้เผื่อใจให้กับความยากลำบากของผู้มาใหม่ด้วย ฉันรู้สึกไม่พอใจพวกเขา คิดว่าพวกเขายุ่งเกินไปและมีมโนคติอันหลงผิดมากเกินไป ดังนั้นฉันจึงตัดพวกเขาออกไปและทอดทิ้งพวกเขา ไม่เต็มใจที่จะจ่ายราคามากขึ้นเพื่อช่วยเหลือพวกเขา ความเป็นมนุษย์ของฉันช่างมุ่งร้าย และฉันไม่ได้แสดงความรับผิดชอบแม้แต่น้อยต่อผู้มาใหม่เหล่านี้ ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อยากกลับใจต่อพระองค์ ข้าพระองค์เต็มใจที่จะแก้ไขการเบี่ยงเบนของตนโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และสนับสนุนผู้มาใหม่เหล่านี้ด้วยความรัก”

หลังจากนั้นฉันก็เริ่มไปกับพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ เพื่อให้การสนับสนุนแก่ผู้มาใหม่เหล่านี้ เราได้รู้เกี่ยวกับการต่อสู้ดิ้นรนของพวกเขาและสามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างใจเย็น และบางคนก็กลับมาเข้าร่วมการชุมนุม มีคนหนึ่งที่ยุ่งกับงานมากจนยากที่เธอจะมาเข้าร่วมการชุมนุมได้ และเธอบอกว่า “ตราบใดที่หัวใจฉันเชื่อ พระเจ้าจะไม่มีวันทรงทิ้งฉัน” ก่อนหน้านี้ฉันเคยคิดว่าเธอมุ่งเน้นแต่จะหาเงินและไม่มีความเชื่อที่แท้จริง แต่พอได้เข้าใจเธอ ฉันก็เห็นว่าที่เธอไม่ได้มาเข้าร่วมการชุมนุมก็เพราะเวลาการชุมนุมที่เราจัดไม่สะดวกสำหรับเธอ เราจึงปรับเวลาการชุมนุมให้เหมาะกับเธอ และสามัคคีธรรมกับเธอว่า “ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงใช้ความจริงเพื่อชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ผู้เชื่อที่แท้จริงควรมาชุมนุมและสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้า ไล่ตามเสาะหาความจริง ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตน นั่นเป็นหนทางเดียวที่จะได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าและเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ ถ้าเรามีความเชื่อแต่ไม่เข้าร่วมการชุมนุม ถ้าเราเพียงแต่ยอมรับพระเจ้าด้วยคำพูดและเชื่อในหัวใจของเรา ถ้าเราปฏิบัติต่อความเชื่อของเราเหมือนงานอดิเรก นั่นก็ทำให้เราเหมือนกับผู้ไม่มีความเชื่อในสายพระเนตรของพระเจ้า ต่อให้เราเชื่อในพระองค์จนถึงที่สุด เราก็จะไม่มีวันได้รับความเห็นชอบจากพระองค์” พอได้สามัคคีธรรม ผู้มาใหม่คนนี้ก็รู้ตัวว่าเธอมีมุมมองที่ผิด และอยากเข้าร่วมการชุมนุม หัวใจของฉันเปี่ยมล้นไปด้วยความสำนึกผิดเมื่อฉันเห็นผู้เชื่อใหม่เหล่านี้ พร้อมที่จะเข้าร่วมการชุมนุมทีละคน ฉันได้ตัดพวกเขาออกไปตามแนวคิดของตัวเอง นี่ฉันไม่ได้กำลังทำร้ายพวกเขาอยู่หรือ?  ฉันได้ทำชั่วครั้งใหญ่จริงๆ!

วันหนึ่งผู้นำถามฉันว่า “ตั้งแต่รับผิดชอบงานให้น้ำมา มีผู้มาใหม่กี่คนที่คุณปล่อยไปเพราะความไร้รับผิดชอบของคุณ?  ระหว่างที่คุณทอดทิ้งพวกเขา คุณได้แสวงหาหลักธรรมความจริงหรือเปล่า?” ในตอนนั้น ฉันไม่รู้จะบอกอะไรเธอ จากนั้นเธอก็ส่งพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งมาให้ฉันที่ว่า “มีผู้คนมากมายที่ทำตามแนวคิดของตนเองไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดก็ตาม และพิจารณาสิ่งทั้งหลายในแบบที่เรียบง่ายเกินจริงอย่างมาก และไม่แสวงหาความจริงด้วย  ไม่มีหลักธรรมอย่างสิ้นเชิง และในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่ได้นึกถึงวิธีปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้าทรงขอ หรือในหนทางที่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และพวกเขารู้เพียงแต่จะทำไปตามเจตจำนงของตนเองอย่างดื้อรั้นดันทุรังเท่านั้น พระเจ้าไม่มีที่ทางในหัวใจของผู้คนเช่นนี้  ผู้คนบางคนพูดว่า ‘ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าก็ต่อเมื่อฉันเผชิญความลำบากยากเย็นเท่านั้น แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าการนี้มีผลพวงอันใด—ดังนั้น โดยทั่วไปแล้วเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับฉันตอนนี้ ฉันก็ไม่อธิษฐานต่อพระเจ้า เพราะการอธิษฐานต่อพระเจ้าไม่มีประโยชน์’  พระเจ้าขาดหายไปจากหัวใจของผู้คนเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง  พวกเขาไม่แสวงหาความจริงไม่ว่าพวกเขากำลังทำสิ่งใดอยู่ในเวลาปกติ พวกเขาเพียงแค่ทำตามแนวคิดของตนเองเท่านั้น  ดังนั้นแล้วการกระทำของพวกเขามีหลักธรรมหรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอน  พวกเขามองทุกสิ่งอย่างเรียบง่าย  แม้ในเวลาที่ผู้คนสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่สามารถยอมรับหลักธรรมเหล่านั้นได้ เพราะการกระทำทั้งหลายของพวกเขาไม่เคยมีหลักธรรมอันใดเลย พระเจ้าไม่ทรงมีที่ทางในหัวใจของพวกเขา และในหัวใจของพวกเขาก็ไม่มีใครเลยนอกจากตนเอง  พวกเขารู้สึกว่าความตั้งใจทั้งหลายของตนนั้นดี ว่าพวกเขาไม่ได้กำลังกระทำความชั่ว ว่าความตั้งใจทั้งหลายของพวกเขาไม่สามารถถูกพิจารณาได้ว่าเป็นการละเมิดความจริง พวกเขาคิดว่าการปฏิบัติตนไปตามความตั้งใจของตนเองควรจะเป็นการปฏิบัติความจริง ว่าการปฏิบัติตนเช่นนั้นเป็นการนบนอบต่อพระเจ้า  อันที่จริง พวกเขาไม่ได้กำลังแสวงหาหรืออธิษฐานต่อพระเจ้าในเรื่องนี้อย่างแท้จริง แต่กระทำการตามความรู้สึกชั่วแล่น ตามเจตนาอันแรงกล้าของพวกเขาเอง พวกเขาไม่ได้กำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนตามที่พระเจ้าทรงขอ พวกเขาไม่มีหัวใจที่นบนอบต่อพระเจ้า ความปรารถนาเช่นนี้ไม่มีอยู่ในตัวพวกเขา  นี่เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในการปฏิบัติของผู้คน  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่ทว่าพระองค์ไม่ทรงอยู่ในหัวใจของเจ้า เจ้าไม่ได้กำลังพยายามหลอกลวงพระเจ้าอยู่หรอกหรือ?  และความเชื่อเช่นนั้นในพระเจ้าสามารถส่งผลพวงใดได้เล่า?  เจ้าสามารถได้รับสิ่งใดกันแน่?  และสิ่งใดหรือที่เป็นประเด็นของความเชื่อเช่นนั้นในพระเจ้า?(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  พระวจนะของพระเจ้าเผยให้เห็นสภาวะและพฤติกรรมที่แท้จริงของฉัน ตอนที่ฉันถอดใจกับผู้เชื่อใหม่เหล่านั้น ฉันไม่ได้อธิษฐานหรือแสวงหาความจริง หรือแม้แต่หารือกับผู้นำ ฉันแค่หลับหูหลับตาทำตามประสบการณ์ โดยนึกถึงผู้เชื่อใหม่บางคนที่เราเคยให้น้ำในอดีตซึ่งขาดการชุมนุมเป็นเวลาหลายเดือน และเราแค่ปล่อยพวกเขาไปหลังจากติดต่อไม่ได้ ฉันคิดว่าตอนนี้เราก็ควรทำแบบเดียวกันเมื่อผู้มาใหม่ไม่กลับมา ฉันถึงกับเชื่อว่า ฉันมีทัศนะที่ชัดเจนว่าคนไหนไม่ใช่ผู้แสวงหาความจริงและคนไหนเป็นผู้ไม่เชื่อ ฉันจึงตัดพวกเขาออกไปและทอดทิ้งพวกเขาอย่างไม่ใส่ใจ แม้ว่าบางครั้งฉันจะรู้สึกไม่สบายใจ แต่ฉันก็ไม่ได้แสวงหาอะไรเลย เมื่อคู่ทำงานของฉันหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา ฉันก็ไม่จริงจังกับข้อเสนอแนะของเธอและแค่ทำอะไรตามใจตัวเอง ฉันปฏิบัติต่อแนวคิดของตัวเองเหมือนเป็นหลักธรรมความจริง โดยคิดว่าฉันไม่น่าจะผิด นั่นไม่โอหังและทะนงตนหรอกหรือ?  ฉันไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา และฉันไม่ได้มีพระเจ้าอยู่ในใจ ฉันทำตามอำเภอใจมากเกินไป!  ฉันตัดสินว่าผู้เชื่อใหม่มีความเชื่อที่แท้จริงหรือไม่โดยแค่ดูว่าพวกเขามาเข้าร่วมการชุมนุมหรือไม่ คิดว่าถ้าพวกเขาไม่มาระยะหนึ่งและฉันติดต่อไม่ได้ เราก็สามารถปล่อยพวกเขาไปได้ ในความเป็นจริง การที่ผู้มาใหม่ไม่เข้าร่วมการชุมนุมไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ การตัดสินว่าคนไหนเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงและคนไหนเป็นผู้ไม่เชื่อนั้น เราต้องเข้าใจสถานการณ์ของพวกเขาอย่างแท้จริง พวกเขาต้องได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างไป บางคนที่ไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุม มาอย่างไม่เต็มใจกับสมาชิกในครอบครัวที่หวังว่าพวกเขาจะกลายเป็นผู้เชื่อ แต่พวกเขาไม่ได้เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าด้วยซ้ำ ไม่ชอบอ่านพระวจนะของพระองค์หรือเข้าร่วมการชุมนุม บางคนกำลังไล่ตามไขว่คว้าสิ่งต่างๆ ทางโลก ชื่อเสียง หรือกระแสชั่วร้าย และไม่ได้สนใจในการติดตามพระเจ้าและการเข้าร่วมการชุมนุมแม้แต่น้อย พวกเขารังเกียจและต่อต้านการสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าทุกรูปแบบ คนเหล่านี้รังเกียจความจริงโดยธรรมชาติ พวกเขาจึงเป็นผู้ไม่เชื่อโดยกำเนิด ถ้าพวกเขาไม่อยากเข้าร่วมการชุมนุม เราก็สามารถปล่อยพวกเขาไปได้อย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม ผู้มาใหม่บางคนมีความเป็นมนุษย์ที่ดีและมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า แต่ไม่เข้าใจความจริงหรือความสำคัญของการชุมนุมเพราะพวกเขาเพิ่งจะเริ่ม พวกเขาคิดว่าแค่ต้องยอมรับพระเจ้าในหัวใจ ว่าการเข้าร่วมการชุมนุมไม่สร้างความแตกต่าง พวกเขาจึงไม่คิดมากเรื่องนี้ และแค่มาตอนรู้สึกอยากมา และบางคนมีความลำบากยากเย็นที่แท้จริงและไม่เต็มใจที่จะมา เพราะเวลางานกับเวลาการชุมนุมขัดกัน เราต้อง ให้ความช่วยเหลือและการสนับสนุนด้วยความรักเพื่อแก้ปัญหาของพวกเขา ใช้ความจริงเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความลำบากยากเย็นของพวกเขา และทำให้พวกเขาเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอด ในขณะเดียวกันเราควรปรับเวลาการชุมนุมให้เหมาะกับพวกเขา แต่ฉันไม่ได้ปฏิบัติต่อผู้เชื่อใหม่ตามสถานการณ์ที่แท้จริงของพวกเขาหรือมีหลักธรรมในหน้าที่ของฉัน ฉันไม่เข้าใจความจริง ฉันแค่ทำสิ่งต่างๆ ตามวิธีของฉันอย่างดื้อรั้น ปฏิบัติต่อผู้มาใหม่บางคนที่ไม่มาเข้าร่วมการชุมนุมเหมือนผู้ไม่เชื่อ และโยนพวกเขาทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ

พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจเบื้องหลังมากมาย ทรงจัดการเตรียมการมากมายและทรงจ่ายราคามหาศาลเพื่อผู้เชื่อใหม่ทุกคนที่ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ พี่น้องชายหญิงได้ประกาศข่าวประเสริฐกับพวกเขาด้วยความอดทนและความรักหลายครั้ง แต่ฉันไม่แสวงหาหลักธรรมด้วยซ้ำตอนตัดผู้มาใหม่บางคนออกไปอย่างไม่ใส่ใจเพราะคิดว่าพวกเขาเป็นคนที่พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยให้รอด ฉันโอหังอย่างไม่มีเหตุผลจริงๆ ไม่ใช่ความผิดของพวกเขาที่พวกเขาไม่มาเข้าร่วมการชุมนุม เป็นความผิดของฉันเองที่ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังเผชิญอะไรอยู่ และไม่ได้ช่วยเหลือและสนับสนุนพวกเขาอย่างที่ฉันควรจะทำ ฉันถึงกับใช้ถ้อยแถลงว่า “พระเจ้าทรงต้องการคนที่ดีที่สุด ไม่ใช่แค่คนจำนวนมากขึ้น” เป็นข้ออ้างในการถอดใจกับพวกเขา แต่จริงๆ แล้ว สิ่งนั้นหมายถึง ราชอาณาจักรของพระเจ้าต้องการคนที่มีความเชื่อที่แท้จริงและรักความจริง และพระเจ้าจะไม่ทรงช่วยผู้ไม่เชื่อ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์ให้รอด แต่ฉันกลับตัดสินผู้เชื่อใหม่ทุกคนที่ขาดการชุมนุมว่าเป็นคนที่พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยให้รอด ฉันเข้าใจพระวจนะของพระองค์ผิดไป ฉันไม่ได้ให้การสามัคคีธรรมหรือความช่วยเหลือที่แท้จริงใดๆ แก่พวกเขา หรือจ่ายราคาและลุล่วงความรับผิดชอบของตัวเอง แถมฉันไม่เข้าใจว่าพวกเขาใส่ใจความจริงจริงๆ หรือเปล่า หรือว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อที่แท้จริงหรือไม่ ฉันแค่หลับหูหลับตาตัดพวกเขาออกไปและทอดทิ้งพวกเขาตามแนวคิดของตัวเอง ถ้าผู้นำไม่ตัดแต่งฉัน ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำร้ายผู้มาใหม่อีกกี่คน ฉันเห็นว่าพฤติกรรมของตัวเองน่ารังเกียจแค่ไหน ฉันไม่รู้หลักธรรมความจริงและไม่ได้แสวงหาหลักธรรม แต่กลับแค่ทำตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตัวเอง นั่นเป็นการกระทำผิด!  ฉันรู้ว่าถ้าไม่กลับใจและเปลี่ยนแปลง พระเจ้าจะทรงรังเกียจเดียดฉันท์ฉันอย่างแน่นอน

ในฐานะผู้นำคริสตจักร เจตนารมณ์ของพระเจ้าคือให้ฉันให้น้ำและสนับสนุนพี่น้องชายหญิงเหล่านี้ที่เพิ่งเริ่มเชื่อ เพื่อช่วยแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและปัญหาของพวกเขา พวกเขาจะได้สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระองค์และหยั่งรากในหนทางที่แท้จริงโดยเร็วที่สุด แต่ฉันทำอะไรตามใจตัวเองและลงมือทำผิดอย่างไม่ยั้งคิด ฉันไม่เพียงหลับหูหลับตาเดินตามหนทางของตัวเอง แต่ฉันยังนำคนอื่นให้หลงทางด้วย เป็นผลให้พี่น้องชายหญิงพลอยทอดทิ้งผู้เชื่อใหม่โดยพลการเช่นกัน ฉันกำลังทำชั่ว เมื่อเห็นว่าผลที่ตามมาร้ายแรงเพียงใด ฉันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว และโกรธตัวเอง ทำไมฉันไม่อธิษฐานถึงพระเจ้าหรือแสวงหาหลักธรรมความจริงในตอนนั้น?  ทำไมฉันไม่ติดต่อผู้นำ แต่กลับทอดทิ้งคนที่ไม่เข้าร่วมการชุมนุมอย่างไม่ใส่ใจ?  อะไรทำให้ฉันกล้าทำเช่นนั้น?  ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้า จากนั้นก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “หากเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงในหัวใจของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะรู้วิธีปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้า และก็เป็นธรรมดาที่จะเริ่มออกเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง  หากเส้นทางที่เจ้าเดินเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ผละจากเจ้าไป—ซึ่งในกรณีนี้ย่อมจะมีโอกาสน้อยลงเรื่อยๆ ที่เจ้าจะทรยศพระเจ้า  หากปราศจากความจริง ย่อมง่ายดายที่จะทำชั่ว และเจ้าจะทำสิ่งนั้นไปทั้งที่เจ้าไม่ตั้งใจ  ตัวอย่างเช่น หากเจ้ามีอุปนิสัยที่โอหังและทะนงตน เช่นนั้นแล้วการบอกให้เจ้าไม่ต่อต้านพระเจ้าก็คงไม่สร้างความแตกต่างอะไร เจ้าไม่อาจห้ามตัวเองได้ นี่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเจ้า  เจ้าคงจะไม่ทำสิ่งนั้นโดยมีจุดประสงค์ เจ้าคงจะทำสิ่งนั้นไปภายใต้การครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของเจ้า ความโอหังและความทะนงตนของเจ้าคงจะทำให้เจ้าดูแคลนพระเจ้าและเห็นพระองค์ทรงไร้ค่าไม่สำคัญ  สิ่งเหล่านั้นคงจะเป็นเหตุให้เจ้ายกย่องตัวเจ้าเอง นำเสนอตัวเจ้าเองอยู่เนืองนิตย์ สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เจ้าสบประมาทผู้อื่น สิ่งเหล่านั้นจะไม่ปล่อยให้หัวใจของเจ้ามีผู้ใดนอกจากตัวเจ้าเอง ความโอหังและความทะนงตนจะปล้นที่ทางของพระเจ้าในหัวใจของเจ้าไป และในท้ายที่สุดก็จะเป็นเหตุให้เจ้านั่งแทนที่พระเจ้าและเรียกร้องให้ผู้คนนบนอบเจ้า และทำให้เจ้าเทิดทูนความคิด แนวคิด และมโนคติอันหลงผิดของตนเองว่าเป็นความจริง  ผู้คนที่อยู่ภายใต้ภาวะครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและหยิ่งทะนงของตนนั้นทำความชั่วไปมากมายเหลือเกิน!(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้)  ฉันอ่านพระวจนะเหล่านี้มาหลายครั้งแล้ว แต่พอได้นำมาเปรียบเทียบกับประสบการณ์ครั้งนี้ พระวจนะเหล่านี้ก็กินใจฉันจริงๆ ฉันรับใช้ในฐานะผู้นำคริสตจักรมาได้ไม่นาน และไม่มีความเป็นจริงความจริงใดๆ เลย มีหลักธรรมความจริงมากมายที่ฉันไม่เข้าใจ แต่ฉันกลับยังคิดว่าตัวเองสูงส่งมาก ราวกับว่าฉันเข้าใจทุกอย่าง กับผู้เชื่อใหม่ ฉันแค่ตัดทุกคนที่ไม่มาเข้าร่วมการชุมนุมออกไปเพราะคิดว่าเป็นผู้ไม่เชื่อ แทนที่จะปฏิบัติต่อพวกเขาแตกต่างไปตามสถานการณ์ที่แท้จริงของพวกเขา ฉันคิดว่าตนเองถูกมากจนไม่ได้อธิษฐาน แสวงหา หรือพูดคุยกับผู้นำ หรือแม้แต่รับฟังคำแนะนำของคู่ทำงาน ฉันนี่มันโอหังจริงๆ!  ในความเป็นจริง มีหลักธรรมความจริงมากมายที่เกี่ยวข้องกับวิธีปฏิบัติต่อผู้เชื่อใหม่ เช่น หลักธรรมในการช่วยเหลือผู้คนด้วยความรัก หลักธรรมในการปฏิบัติต่อผู้คนอย่างยุติธรรม และยังมีความจริงเกี่ยวกับการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของผู้มาใหม่ และอื่นๆ อีกมากมาย หากฉันมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าสักหน่อย ไม่โอหังและคิดว่าตนเองถูกมากขนาดนั้น หากฉันได้คำนึงถึงหลักธรรมเหล่านี้อย่างแท้จริง ฉันก็คงไม่หัวรั้นและขัดขวางงานของเราขนาดนี้ ฉันรู้ตัวว่าการใช้ชีวิตตามอุปนิสัยที่โอหังของฉันหมายความว่า ฉันอดไม่ได้ที่จะทำชั่วและต่อต้านพระเจ้า ฉันเกลียดตัวเองจริงๆ และรู้สึกว่าสมควรถูกพระเจ้าสาปแช่งอย่างแท้จริง ฉันสาบานว่าต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยที่โอหังของตัวเอง

หลังจากนั้นฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอนที่ว่า “ในงานของพวกเขา ผู้นำและคนทำงานทั้งหลายในคริสตจักรต้องให้ความสนใจกับหลักธรรมสองประการ ได้แก่ หนึ่งนั้นคือการทำงานของพวกเขาโดยสอดคล้องกับหลักธรรมที่กำหนดขึ้นโดยการจัดการเตรียมงานทั้งหลายโดยแน่ชัด ไม่มีวันละเมิดหลักธรรมเหล่านั้นและไม่ใช้สิ่งใดก็ตามที่พวกเขาอาจจินตนาการและไม่ใช้แนวคิดอันใดของพวกเขาเองเป็นพื้นฐานในงานของพวกเขา  ในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาควรแสดงความกังวลสนใจในงานของคริสตจักร และให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้ามาก่อนเสมอ  อีกสิ่งหนึ่ง—และการนี้สำคัญอย่างยิ่งยวด—ก็คือว่า ในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาต้องมุ่งความสนใจไปที่การปฏิบัติตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยการรักษาพระวจนะของพระเจ้าอย่างเข้มงวด  หากพวกเขายังคงสามารถต่อต้านการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือหากพวกเขาปฏิบัติตามแนวคิดของตนเองอย่างดื้อดึงและทำสิ่งทั้งหลายตามจินตนาการของตนเอง เช่นนั้นแล้วการกระทำทั้งหลายของพวกเขาก็จะประกอบขึ้นเป็นการต้านทานพระเจ้าที่รุนแรงที่สุด(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  “เวลาเจ้าทำบางสิ่งที่ละเมิดหลักธรรมความจริงและไม่เป็นที่น่ายินดีสำหรับพระเจ้า เจ้าควรทบทวนตนเองและพยายามรู้จักตนเองอย่างไร?  ตอนที่เจ้ากำลังจะทำสิ่งนั้น เจ้าได้อธิษฐานถึงพระองค์หรือไม่?  เจ้าเคยคำนึงหรือไม่ว่า ‘การทำสิ่งต่างๆ ในหนทางนี้ตรงตามความจริงหรือไม่?  พระเจ้าจะทรงมีทัศนะต่อเรื่องนี้อย่างไรหากมันถูกนำพาไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์?  พระองค์จะทรงเป็นสุขหรือจะทรงฉุนเฉียว หากพระองค์ทรงทราบเกี่ยวกับการนี้?  พระองค์จะทรงเกลียดหรือทรงชังสิ่งนั้นหรือไม่?’  เจ้าไม่ได้เสาะแสวงสิ่งนั้น ใช่หรือไม่?  ต่อให้ผู้อื่นได้ย้ำเตือนเจ้า เจ้าก็จะยังคงคิดว่าเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และว่าสิ่งนั้นไม่ได้ขัดต่อหลักธรรมใดและไม่ได้เป็นบาป  ผลลัพธ์ก็คือ เจ้าได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าและยั่วยุให้พระองค์กริ้ว กระทั่งถึงจุดที่ทำให้พระองค์ทรงเกลียดเจ้า  นี่เกิดขึ้นจากความเป็นกบฏของผู้คน  เพราะเหตุนั้นเจ้าควรแสวงหาความจริงในทุกสิ่ง  นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องปฏิบัติตาม  หากเจ้าสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างจริงจังตั้งใจเพื่ออธิษฐานเสียก่อน แล้วจึงแสวงหาความจริงตามพระวจนะของพระเจ้า เจ้าก็จะไม่ผิดพลาด  เจ้าอาจมีความเบี่ยงเบนในการปฏิบัติความจริงอยู่บ้าง แต่การนี้ยากที่จะหลีกเลี่ยง และเจ้าจะสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้องหลังจากที่เจ้ามีประสบการณ์มาบ้าง  อย่างไรก็ตาม หากเจ้ารู้วิธีกระทำการตามความจริง แต่กลับไม่ปฏิบัติความจริง ปัญหาย่อมเป็นว่าเจ้าไม่ชอบความจริง  ผู้ที่ไม่รักความจริงจะไม่มีวันแสวงหาความจริงไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา  เฉพาะผู้ที่รักความจริงเท่านั้นที่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และเมื่อมีสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจเกิดขึ้น พวกเขาก็สามารถแสวงหาความจริง  หากเจ้าไม่สามารถทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและไม่รู้วิธีปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรสามัคคีธรรมกับผู้คนบางคนที่เข้าใจความจริง  หากเจ้าไม่สามารถหาคนที่เข้าใจความจริงได้ เจ้าก็ควรหาผู้คนที่มีความเข้าใจอันถ่องแท้สักสองสามคนมาร่วมอธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยจิตใจและหัวใจที่เป็นหนึ่งเดียวกัน แสวงหาจากพระเจ้า รอเวลาของพระเจ้า และคอยให้พระเจ้าทรงเปิดทางให้แก่เจ้า  ตราบใดที่พวกเจ้าทุกคนโหยหาความจริง แสวงหาความจริง และสามัคคีธรรมถึงความจริงด้วยกัน เวลาที่พวกเจ้าคนใดคนหนึ่งคิดหาหนทางที่ดีในการแก้ปัญหาออกก็อาจมาถึง  หากเจ้าทุกคนพบทางออกที่เหมาะสมและหนทางที่ดี เช่นนั้นแล้ว นี่อาจเป็นเพราะความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์  จากนั้นหากเจ้ายังคงสามัคคีธรรมด้วยกันต่อไปเพื่อคิดหาเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น นี่ย่อมจะสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงอย่างแน่นอน  ในการปฏิบัติของเจ้า หากเจ้าพบว่าหนทางปฏิบัติของเจ้ายังคงไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จำเป็นต้องแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็ว  หากเจ้าทำผิดพลาดเล็กน้อย พระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษเจ้า เพราะเจตนาของเจ้าในสิ่งที่เจ้าทำนั้นถูกต้อง และเจ้ากำลังปฏิบัติตามความจริง  เจ้าเพียงแค่สับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับหลักธรรมและทำผิดพลาดในการปฏิบัติของตน ซึ่งให้อภัยได้  แต่เวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่ทำสิ่งทั้งหลาย พวกเขาทำไปตามวิธีที่พวกเขาคิดว่าควรทำ  พวกเขาไม่ใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานในการใคร่ครวญว่าควรปฏิบัติตามความจริงอย่างไรหรือทำเช่นไรจึงจะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับคิดแต่เพียงว่าจะทำประโยชน์ให้ตนเองอย่างไร จะทำให้ผู้อื่นยอมรับนับถือตนอย่างไร และจะทำให้ผู้อื่นเลื่อมใสตนอย่างไร  พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายตามแนวคิดของตนเองทั้งสิ้นและเพื่อทำให้ตนเองพึงพอใจเท่านั้น ซึ่งก่อความเดือดร้อน  ผู้คนเช่นนี้จะไม่มีวันทำสิ่งทั้งหลายตามความจริง และพระเจ้าจะทรงเกลียดชังพวกเขาเสมอ  หากเจ้าเป็นใครบางคนที่มีมโนธรรมและเหตุผลอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เจ้าก็ควรจะสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและแสวงหา สามารถตรวจสอบเหตุจูงใจและการปลอมปนในการกระทำของเจ้าอย่างจริงจังได้ สามารถกำหนดได้ว่าตามพระวจนะและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าแล้ว สิ่งใดเหมาะสมที่จะทำ และชั่งน้ำหนักและใคร่ครวญซ้ำๆ ว่าการกระทำใดทำให้พระเจ้าทรงยินดี การกระทำใดทำให้พระเจ้าทรงขัดเคือง และการกระทำใดได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  เจ้าต้องทบทวนเรื่องเหล่านี้ในใจของเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งเจ้าเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจน  หากเจ้ารู้ว่าเจ้ามีเหตุจูงใจของตนเองในการทำบางสิ่ง เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องคิดทบทวนว่าเหตุจูงใจของเจ้าคืออะไร เป็นการทำให้ตนเองพึงพอใจหรือทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เป็นประโยชน์แก่ตัวเจ้าเองหรือประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และจะก่อให้เกิดผลสืบเนื่องเช่นไร… หากเจ้าแสวงหาและใคร่ครวญเช่นนี้มากขึ้นในการอธิษฐานของเจ้า และตั้งคำถามกับตัวเจ้าเองให้มากขึ้นเพื่อแสวงหาความจริง เช่นนั้นแล้วความเบี่ยงเบนในการกระทำของเจ้าก็จะน้อยลงเรื่อยๆ  เฉพาะผู้ที่สามารถแสวงหาความจริงในหนทางนี้เท่านั้นที่เป็นผู้คนที่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและยำเกรงพระเจ้า เพราะเจ้ากำลังแสวงหาตามข้อพึงประสงค์แห่งพระวจนะของพระเจ้าและด้วยหัวใจที่นบนอบ และบทสรุปปิดตัวที่เจ้าบรรลุจากการแสวงหาในหนทางนี้ย่อมจะเป็นไปตามหลักธรรมความจริง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  พระวจนะของพระเจ้าได้มอบเส้นทางแห่งการปฏิบัติแก่ฉัน ผู้นำและคนทำงานต้องทำงานตามหลักธรรมความจริงและการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด และทำตามการชี้แนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์เสมอ นอกจากนี้ เราต้องอธิษฐานและหมั่นแสวงหาในหน้าที่ของเรา และรักษาหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าไว้ เราไม่ควรทำตามแนวคิดและประสบการณ์ของตัวเอง หรือความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดของเรา เพียงแค่ทำอะไรตามใจตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่ควรหลับหูหลับตาเชื่อในตัวเอง เราต้องแสวงหาหลักธรรมความจริง เมื่อไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง เราก็สามารถแสวงหาและสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงเพื่อที่จะได้จับความเข้าใจหลักธรรมได้จริงๆ ก่อนที่จะกระทำอะไร เราต้องทำหน้าที่ของเราแบบนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า ประสบการณ์นี้ให้บทเรียนกับฉันจริงๆ ถ้าพระเจ้าไม่ทรงจัดเตรียมสิ่งทั้งหลายและไม่ทรงอนุญาตให้ผู้นำตัดแต่งฉัน ฉันก็คงยังไม่เข้าใจว่าผลที่ตามมาของการทำงานตามแนวคิดของตัวเองนั้นร้ายแรงเพียงใด ฉันบอกตัวเองว่าตั้งแต่นี้ไป ฉันต้องแสวงหาความจริงและทำหน้าที่ตามหลักธรรม ต่อมา สมาชิกใหม่สองคนหยุดมาเข้าร่วมการชุมนุม และฉันไม่กล้าทำตามอุปนิสัยที่โอหังของตัวเอง และสรุปเอาเองอย่างถือดีและทอดทิ้งพวกเขา หลังจากติดต่อเพื่อทำความเข้าใจ ช่วยเหลือ และสนับสนุนพวกเขาคนหนึ่งหลายครั้ง และสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสถานการณ์ของเขากับผู้นำ ในที่สุดเราก็ตัดสินว่าเขาเป็นผู้ไม่เชื่อและปล่อยเขาไป แต่อีกคนเป็นพี่น้องหญิงที่เชื่อในพระเจ้ามาไม่ถึงสองปี ชอบอ่านพระวจนะของพระเจ้าและทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ แต่เมื่อเธออ่านพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับการพิพากษาและเปิดโปงความเสื่อมทรามของผู้คน เธอก็เปรียบเทียบตัวเองกับพระวจนะเหล่านั้น และเห็นว่าเธอเสื่อมทรามมาก เธอตัดสินใจว่าตัวเองเกินจะเยียวยา และเริ่มถอดใจกับตัวเอง ฉันกับคนอื่นๆ จึงสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้ากับเธอ เพื่อให้เธอได้เห็นว่าความรอดจากพระเจ้านั้นมีไว้สำหรับมนุษยชาติทั้งหมด ผู้ซึ่งซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างมาก เราสามัคคีธรรมว่าพระเจ้าทรงเข้าใจความลำบากยากเย็น จุดอ่อน และความต้องการของเรา และตราบใดที่เราไม่ถอดใจกับการไล่ตามเสาะหาความจริง พระเจ้าก็จะไม่ทรงทอดทิ้งเราง่ายๆ เพราะพระองค์ทรงพยายามช่วยมนุษย์ให้รอดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เสมอ พี่น้องหญิงคนนั้นซาบซึ้งจนน้ำตาไหล และเธอรู้สึกได้ถึงความรักของพระเจ้า เราช่วยเหลือและสนับสนุนเธอสองสามครั้ง และตอนนี้เธอก็กลับมาเข้าร่วมการชุมนุมเป็นประจำอีกครั้ง

ประสบการณ์นี้ แสดงให้ฉันเห็นจริงๆ ถึงเจตนารมณ์อันเปี่ยมไปด้วยความอุตสาหะและความรักอันเหลือเชื่อที่พระเจ้าทรงมีในการช่วยมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามให้รอด ในขณะเดียวกัน ผ่านทางการพิพากษาและการเผยของพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับอุปนิสัยที่โอหังของตัวเอง และได้เห็นถึงอันตรายและผลที่ตามมาของการทำหน้าที่ตามวิธีของตัวเอง ในที่สุดฉันก็มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอยู่บ้าง ตอนนี้ฉันสามารถทำหน้าที่ให้สอดคล้องกับหลักธรรมได้ และฉันทำสำเร็จเพราะพระวจนะของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 44. คืนวันที่ฉันถูกจองจำ

ถัดไป: 47. ฉันได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของศิษยาภิบาลแล้ว

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger