44. คืนวันที่ฉันถูกจองจำ
ในเดือนกรกฎาคม ปี 2006 ฉันยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ สามีสนับสนุนความเชื่อของฉันในพระเจ้า และให้การต้อนรับพี่น้องชายหญิงที่มาบ้านของเราเป็นอย่างดี ต่อมาเขาได้ยินว่าผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อาจต้องเผชิญการกดขี่และการจับกุมโดยรัฐบาล เขาจึงไปถามลูกพี่ลูกน้องของฉันที่ทำงานในสำนักงานอัยการเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากกลับมาบ้าน เขาก็บอกฉันว่า “ลูกพี่ลูกน้องของเธอบอกว่า รัฐบาลกำลังปราบปรามความเชื่อทางศาสนา โดยเฉพาะผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ อีกทั้ง ถ้าคนหนึ่งเชื่อ ทั้งครอบครัวก็จะโดนร่างแหไปด้วย อย่าเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกเลยนะ ถ้ายังอยากจะเชื่อ ก็ไปคริสตจักรพึ่งตนสามด้านเถอะ” ฉันมองออกว่าสามีไม่เข้าใจเรื่องความเชื่อ “คริสตจักรพึ่งตนสามด้านก่อตั้งโดยพรรคคอมมิวนิสต์” ฉันบอกเขา “พวกเขาให้ความสำคัญกับความรักชาติและความรักพรรคเป็นอันดับแรก แล้วค่อยรักพระเจ้า พวกเขามองว่าพรรคยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า นั่นไม่ใช่ความเชื่อ ฉันจะไม่ไปคริสตจักรพึ่งตนสามด้านหรอก” “ฉันรู้ว่าการเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นสิ่งที่ดี” เขาพูดอย่างจนใจ “แต่เธอต้องมองสถานการณ์ให้ชัดเจนสิ ตอนนี้เป็นโลกของพรรคคอมมิวนิสต์ และถ้าเธอยังเชื่อต่อไป เราอาจตกงานกันทั้งคู่ เธอจะยอมทิ้งงานที่โรงพยาบาลเหรอ? ยิ่งไปกว่านั้น เรามีภาระผ่อนบ้านและต้องใช้เงินเลี้ยงลูกสาว เราจะอยู่กันยังไงถ้าไม่มีเงิน? ถ้าเธอถูกตัดสินจำคุก ผู้คนจะดูถูกฉัน และลูกสาวของเราก็จะถูกเพื่อนร่วมชั้นล้อเลียน เธอต้องคิดถึงพวกเราบ้างสิ! เธอควรเลิกเชื่อได้แล้ว” ฉันรู้ว่าสามีเป็นผู้ไม่มีความเชื่อ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะกังวลเรื่องพวกนี้ ฉันจึงพูดกับเขาว่า “พรรคคอมมิวนิสต์เป็นอเทวนิยมและข่มเหงคนที่เชื่อในพระเจ้ามาโดยตลอด ฉันจะไม่ทิ้งความเชื่อของฉันเพราะการข่มเหงของพรรคหรอก คุณไม่รู้เหรอว่าคนขี้ขลาดเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ไม่ได้? ตอนนี้ความวิบัติรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ช่วยให้รอดได้ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาแห่งยุคสุดท้าย ซึ่งก็เพื่อชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และรอดโดยสมบูรณ์ เพื่อที่เราจะได้รอดจากมหันตภัยและถูกนำเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า นี่เป็นโอกาสที่หาไม่ได้อีกแล้ว! การเชื่อในพระเจ้าหมายความว่าจะต้องทนทุกข์และเผชิญอันตรายชั่วคราวบ้าง แต่เราจะได้รับความจริงและได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าผ่านสิ่งนี้ นั่นต่างหากที่สำคัญ” สามีของฉันพูดว่า “การเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้ายังอีกไกล ตอนนี้สิ่งที่จับต้องได้ที่สุดคือการใช้ชีวิตที่ดี ฉันไม่สนว่าอาจเกิดอะไรในอนาคต และก็จะไม่คิดถึงมันด้วย” ต่อมา เขาทะเลาะกับฉันเมื่อเห็นว่าฉันยังคงไปร่วมการชุมนุมและทำหน้าที่ของตัวเอง เขาพูดว่า “คนเราจะใช้ชีวิตอย่างกระวนกระวายแบบนี้ไม่ได้ ถ้าเธอยังเชื่อต่อไป ครอบครัวเราต้องแตกแยกแน่” ฉันคิดว่า “บางทีครอบครัวอาจจะแตกแยกจริงๆ ถ้าฉันยืนกรานในความเชื่อของฉัน ลูกสาวฉันอายุแค่เก้าขวบ และการไม่มีครอบครัวที่สมบูรณ์จะทำให้ลูกเจ็บปวดมาก!” ในตอนนั้นฉันไม่อยากสูญเสียครอบครัวไป แต่สามีกำลังขวางทางความเชื่อของฉัน และถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันจะทำหน้าที่ของตัวเองได้ยังไง? ลูกสาว ครอบครัว และพระเจ้า ฉันไม่พร้อมที่จะทิ้งสิ่งใดเลย ในขณะที่ฉันต่อสู้ดิ้นรนกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ ฉันก็นึกถึงพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าที่ว่า “ใครที่รักบิดามารดายิ่งกว่ารักเรา ก็ไม่มีค่าควรกับเรา และใครที่รักบุตรชายหญิงยิ่งกว่ารักเรา คนนั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา และใครที่ไม่รับกางเขนของตนและตามเราไป คนนั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา” (มัทธิว 10:37-38) ฉันนึกถึงบรรดานักบุญตลอดทุกยุคทุกสมัย ที่สละทุกสิ่งเพื่อทำให้พระบัญชาของพระเจ้าลุล่วงโดยการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานให้พระเจ้า และฉันผู้ซึ่งได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยความจริงมากมายจากพระเจ้า จะต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระองค์ และไม่อาจละทิ้งความเชื่อและหน้าที่เพียงเพื่อปกป้องครอบครัวตัวเองได้ ฉันคิดถึงพระเจ้า ผู้ทรงประสูติเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเราให้รอดจากอำนาจของซาตานโดยสิ้นเชิง ทรงแสดงความจริงอย่างเงียบๆ เพื่อให้น้ำและค้ำชูเรา ขณะที่ทรงทนรับการกดขี่ การจับกุม การใส่ร้าย และการกล่าวโทษ โดยพญานาคใหญ่สีแดง ตลอดจนการปฏิเสธและการใส่ร้ายป้ายสีโดยชุมชนศาสนา ความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน! ฉันได้รับอะไรมากมายจากพระเจ้า แต่กลับเอาแต่ทะนุถนอมครอบครัวและลูกสาวของตัวเอง โดยไม่เคยคิดว่าจะตอบแทนความรักของพระเจ้าอย่างไร มโนธรรมของฉันอยู่ที่ไหน? เมื่อคิดเช่นนี้ ฉันก็รู้สึกติดค้างความรักของพระเจ้าอย่างสุดซึ้ง และตัดสินใจแน่วแน่ว่า ไม่ว่าสามีจะขวางทางหรือกดดันฉันอย่างไร ฉันก็จะติดตามพระเจ้า ฉันจะเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานให้พระเจ้า
ต่อมา การกดขี่คริสตจักรของพรรคคอมมิวนิสต์เริ่มรุนแรงขึ้น และสามีฉันก็ยิ่งต่อต้านหนักขึ้น ในช่วงครึ่งหลังของปี 2007 พรรคคอมมิวนิสต์อาศัยข้ออ้างเรื่องการรักษาเสถียรภาพในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เพื่อปราบปรามความเชื่อทางศาสนาและกดขี่คริสตจักรต่างๆ และมีพี่น้องชายหญิงจำนวนหนึ่งถูกจับกุม เช้าวันหนึ่งในเดือนกันยายน ขณะที่ฉันกำลังเตรียมตัวจะออกไปประกาศข่าวประเสริฐ สามีห้ามไม่ให้ฉันออกจากบ้าน เขาเรียกพี่ชายของฉันมา แล้วพูดว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อน ลูกพี่ลูกน้องของเธอบอกว่า คณะกรรมการกิจการการเมืองและกฎหมายได้ประสานงานปฏิบัติการร่วมของหน่วยงานความมั่นคงและยุติธรรม โดยส่งกำลังคนจำนวนมากมาดำเนินการจับกุมผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ครั้งใหญ่ เมื่อถูกจับแล้วก็จะถูกตัดสินลงโทษ ดังนั้นเลิกเชื่อในพระเจ้าเถอะนะ?” พี่ชายของฉันก็คะยั้นคะยอฉันเช่นกัน “พี่รู้ว่าความเชื่อเป็นสิ่งที่ดี แต่พรรคคอมมิวนิสต์ไม่อนุญาตให้ผู้คนเชื่อในพระเจ้า เราไม่มีกำลังพอจะไปสู้กับพวกเขาหรอกนะ ดังนั้นถ้ายังอยากจะปฏิบัติความเชื่อ ก็ทำที่บ้านเถอะ เลิกออกไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้แล้ว จะทำยังไงถ้าถูกจับขึ้นมา?” ฉันพูดว่า “ฉันรู้ว่าพวกคุณหวังดีกับฉัน แต่การเชื่อในพระเจ้าและการแบ่งปันข่าวประเสริฐเป็นสิ่งที่ชอบธรรมที่สุด พระเจ้าจะได้ทรงช่วยผู้คนจำนวนมากขึ้นให้รอดและรอดชีวิต นี่เป็นการประพฤติดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จะไม่เป็นการเห็นแก่ตัวมากเหรอถ้าฉันเลิกแบ่งปันข่าวประเสริฐเพียงเพื่อปกป้องตัวเอง?” พอฉันพูดจบ สามีก็คุกเข่าลง แล้วพูดว่า “ขอร้องล่ะ เพื่อครอบครัวเเรา เพื่อลูกของเรา เลิกเชื่อในพระเจ้าเถอะนะ ถ้าคุณเชื่อ ลูกสาวเราจะเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ จะหางานดีๆ ทำไม่ได้นะ จุดหมายปลายทางในอนาคตของลูกเราจะพังทลาย! เรามีลูกคนเดียวนะ เธอต้องคิดถึงลูกสิ! ถ้าเธอถูกจับ ผู้คนจะนินทาฉันลับหลังเวลาฉันออกไปข้างนอก บอกฉันทีสิว่าฉันจะเหลือศักดิ์ศรีอะไรอีก?” เมื่อเห็นสามีเป็นเช่นนั้น ฉันก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจริงๆ เขาทะนงตนมาตลอด แต่ตอนนี้เขากลับคุกเข่าขอร้องฉันต่อหน้าพี่ชายของฉัน เขารังแต่จะเจ็บปวดยิ่งขึ้นถ้าฉันยืนกรานในความเชื่อของฉัน แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวของฉันถ้าในที่สุดพรรคคอมมิวนิสต์ขัดขวางไม่ให้เธอเข้ามหาวิทยาลัยเพราะความเชื่อของฉัน ทำให้เธอหางานดีๆ ทำไม่ได้ และไม่สามารถสร้างอาชีพให้ตัวเองได้? แม้แต่พี่ชายของฉันก็ยังต่อต้านความเชื่อของฉัน ครอบครัวของฉันคงจะขัดขวางความเชื่อของฉันแน่ ถ้ารู้ว่าความเชื่อทำให้ฉันกับสามีบาดหมางกัน นั่นจะทำให้เส้นทางแห่งความเชื่อของฉันยากลำบากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ถ้าฉันยอมสามีและสัญญาว่าจะทิ้งความเชื่อ นั่นจะไม่เป็นการทรยศพระเจ้าหรอกหรือ? ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งกังวล ฉันจึงอธิษฐานในใจขอให้พระเจ้าทรงคุ้มครองหัวใจของฉัน ตอนนั้นเองฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ฉันเคยอ่านมาก่อนที่ว่า “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในตัวผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการรบกวนของมนุษย์ แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานที่พวกเขามีให้พระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง) ใช่แล้ว! ภายนอกดูเหมือนว่าครอบครัวกำลังขัดขวางฉัน แต่แท้จริงแล้วคือซาตานที่กำลังทดลองฉันอยู่ ฉันเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องแล้วโดยเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของตัวเอง ซาตานกำลังใช้ครอบครัวของฉันเพื่อขัดขวางและทำให้ฉันทรยศพระเจ้า ฉันจะตกหลุมพรางของซาตานไม่ได้ แต่ฉันต้องตั้งมั่น เป็นพยาน และทำให้ซาตานอับอาย เมื่อคิดเช่นนี้ ฉันจึงพูดกับพวกเขาอย่างจริงจังว่า “พระเจ้าทรงตัดสินทุกสิ่ง การงานและอนาคตของเราถูกจัดวางเรียบเรียงโดยพระเจ้า ไม่ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จะพูดอะไร การรุ่งเรืองและการล่มสลายของประเทศและพรรคการเมือง ไม่ต้องพูดถึงชะตากรรมของคนที่ไม่สลักสำคัญคนหนึ่ง ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าทั้งสิ้น พวกคุณทั้งคู่ก็รู้ว่าฉันป่วยแค่ไหนก่อนที่จะมาเป็นผู้เชื่อ และฉันคงตายไปนานแล้วถ้าไม่ได้พระเจ้า พระเจ้าประทานชีวิตนี้ให้ฉัน และฉันได้รับอะไรมากมายจากพระองค์ สำหรับฉันแล้ว การไม่เชื่อหรือไม่ทำหน้าที่จะเป็นสิ่งที่ไร้มโนธรรม ฉันจะเป็นมนุษย์อยู่ไหม? ชีวิตของฉันจะมีความหมายอะไร?” พี่ชายของฉันขมวดคิ้วและพูดว่า “ก็จริงที่เธอหายป่วยหลังจากมีความเชื่อ แต่ตอนนี้เราใช้ชีวิตภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์ และพวกเขาอยากจับกุมผู้เชื่อ การออกไปประกาศข่าวประเสริฐก็เท่ากับเอาตัวเองไปเสี่ยงไม่ใช่เหรอ?” สามีฉันที่อยู่ข้างๆ เขาก็เห็นด้วย แต่ฉันยืนกรานในความเชื่อของฉัน ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร เมื่อเห็นว่าฉันไม่ยอมเปลี่ยนใจ พวกเขาก็หันไปใช้วิธีที่รุนแรงขึ้น ประมาณหนึ่งเดือนต่อมา วันหนึ่งทันทีที่ฉันกลับถึงบ้านจากการชุมนุม สามีตบหน้าฉัน และพูดด้วยความโกรธว่า “พรรคคอมมิวนิสต์กำลังจับผู้เชื่ออย่างบ้าคลั่ง แต่เธอก็ยังไปร่วมการชุมนุม ฉันบอกเธอแล้วว่าอย่าเชื่อ แต่เธอก็ยังยืนกรานที่จะเชื่อ! ฉันให้เกียรติเธอมาตลอดหลายปีนี้ ไม่เคยตบตีเธอ พี่ชายกับพี่สะใภ้ของเธอบอกว่าฉันตามใจเธอจนเสียคน และควรจะควบคุมเธอให้อยู่ในกรอบ และไม่ควรให้โอกาสเธอเชื่อในพระเจ้าต่อไป” ฉันจ้องมองเขา ตกตะลึงกับพฤติกรรมของเขา เขาไม่กล้าสบตาฉัน จึงก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “ฉันไม่อยากตบตีเธอจริงๆ ฉันไม่อยากให้เธอถูกจับและถูกขังคุกเพราะความเชื่อในพระเจ้าของเธอ นี่ก็เพื่อตัวเธอเองนะ” ฉันเสียใจมากที่ได้ยินเขาพูดแบบนี้ สามีของฉันดีกับฉันมาตลอด แต่เพราะกลัวจะถูกข่มเหง เขากลับกลายเป็นเครื่องมือของพรรคคอมมิวนิสต์ เขากำลังพยายามทำให้ฉันทรยศพระเจ้า นี่จะดีต่อฉันได้อย่างไร? ต่อมา เมื่อเห็นว่าฉันยังคงแน่วแน่ในความเชื่อ เขาก็เลิกไปทำงาน เขาตามดูฉันอย่างใกล้ชิด ไม่ยอมให้ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้า ไปร่วมการชุมนุม หรือทำหน้าที่ของฉัน ตอนนั้นมีงานมากมายที่ต้องทำในคริสตจักร แต่เขากักบริเวณฉัน และฉันไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ ฉันขอร้องให้เขาเลิกขัดขวางความเชื่อของฉัน ฉันพูดว่า “พระเจ้าทรงคุ้มครองหลายครั้งตอนที่คุณเกือบจะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ สมัยที่คุณยังสนับสนุนความเชื่อของฉัน พระเจ้าประทานพระคุณแก่เรามากมาย คุณต่อต้านและปฏิเสธพระองค์ได้ยังไงกัน?” เขาพูดว่า “ในอดีต ความเชื่อในพระเจ้าของเธอมีประโยชน์ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ตราบใดที่เธอยังเชื่อในพระเจ้า พรรคคอมมิวนิสต์ก็จะไม่ปล่อยเธอไว้เฉยๆ และครอบครัวของเราจะต้องทนทุกข์ การเชื่อในพระเจ้าไม่ควรทำให้เราเสียชีวิตใช่ไหม?” ต่อมา เพราะไม่อยากโดนร่างแหไปด้วย เขาจึงบอกว่าเราควรหย่ากัน นั่นทำให้ฉันเจ็บปวดมาก แต่ความเกลียดชังที่ฉันมีต่อพญานาคใหญ่สีแดงนั้นรุนแรงกว่า เขาข่มเหงและทุบตีฉัน และตอนนี้เขาต้องการหย่า ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากการกดขี่ของพรรคคอมมิวนิสต์ ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “บัดนี้ถึงเวลาแล้ว กล่าวคือ มนุษย์ได้รวบรวมพละกำลังทั้งหมดของเขามานานแล้ว เขาได้อุทิศความพยายามทั้งหมดของเขาและได้จ่ายทุกราคาเพื่อการนี้ เพื่อฉีกใบหน้าอันน่าขยะแยงของมารตนนี้ออกมา และเปิดโอกาสให้ผู้คนที่ถูกทำให้มืดบอดและได้สู้ทนความทุกข์และความยากลำบากมาแล้วทุกรูปแบบ ได้ลุกขึ้นจากความเจ็บปวดของพวกเขาและต่อต้านมารชั่วที่แก่ชราตนนี้ เหตุใดจึงวางสิ่งที่ไม่อาจตีฝ่าเข้าไปได้เช่นนั้นเพื่อกีดขวางพระราชกิจของพระเจ้า? เหตุใดจึงใช้เพทุบายต่างๆ นานาเพื่อหลอกลวงคนของพระเจ้า? ไหนเล่าอิสรภาพที่แท้จริงและสิทธิ์กับผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมาย? ไหนเล่าความเป็นธรรม? ไหนเล่าความชูใจ? ไหนเล่าความอบอุ่น? เหตุใดจึงใช้กลอุบายที่หลอกลวงเพื่อล่อหลอกกลุ่มชนของพระเจ้า?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8)) พรรคคอมมิวนิสต์เป็นปีศาจที่ต่อต้านและเกลียดชังพระเจ้า มันจับกุมและข่มเหงผู้เชื่อเพื่อขัดขวางและกำจัดพระราชกิจของพระเจ้า มันกุข่าวลือสารพัดเพื่อใส่ร้ายป้ายสีพระราชกิจของพระเจ้าและหลอกลวงผู้คน เพื่อให้พวกเขาต่อต้านพระเจ้าและถูกทำลายในที่สุด มันถึงกับกดขี่ข่มเหงครอบครัวของคริสตชน เพื่อให้ทั้งครอบครัวต้องทนทุกข์เพราะความเชื่อของคนคนเดียว ครอบครัวของฉันสนับสนุนความเชื่อของฉันในตอนแรก แต่การข่มเหงและข่าวลือของพรรคคอมมิวนิสต์ ชักนำให้พวกเขาหลงผิด กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการต่อต้านพระเจ้า พรรคคอมมิวนิสต์ช่างเลวร้ายเหลือเกิน! ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งที่ว่า “ในฐานะใครคนหนึ่งที่ปกติและไล่ตามเสาะหาความรักแด่พระเจ้า การเข้าสู่ราชอาณาจักรเพื่อกลายเป็นหนึ่งในประชากรของพระเจ้าคืออนาคตที่แท้จริงของเจ้า และเป็นชีวิตที่มีคุณค่าและมีนัยสำคัญมากที่สุด ไม่มีผู้ใดได้รับพรมากไปกว่าพวกเจ้า เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้? เพราะพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อเนื้อหนัง และพวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อซาตาน แต่วันนี้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า และมีชีวิตอยู่เพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า นี่จึงเป็นเหตุผลที่เรากล่าวว่าชีวิตของพวกเจ้ามีนัยสำคัญมากที่สุด เฉพาะผู้คนกลุ่มนี้ซึ่งพระเจ้าทรงเลือกสรรแล้วเท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตที่มีนัยสำคัญมากที่สุด นั่นคือ ไม่มีใครอีกเลยในแผ่นดินโลกที่สามารถใช้ชีวิตที่มีคุณค่าและมีความหมายเช่นนี้ได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, รู้จักพระราชกิจใหม่ล่าสุดของพระเจ้าและติดตามรอยพระบาทของพระองค์) การไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันตาสว่าง ฉันได้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันได้ชื่นชมยินดีกับการให้น้ำและการหล่อเลี้ยงมากมายจากพระวจนะของพระองค์ ได้ทำหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ประกาศข่าวประเสริฐและเป็นพยานให้พระเจ้า และช่วยให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและได้รับการช่วยให้รอด นี่เป็นสิ่งที่ชอบธรรมและมีค่าที่สุดที่ควรทำ และฉันไม่สามารถทิ้งความเชื่อและหน้าที่ของฉันเพื่อปกป้องครอบครัวได้ ฉันต้องติดตามพระเจ้าจนถึงที่สุด แม้จะต้องหย่าร้างก็ตาม ดังนั้น ฉันจึงพูดกับสามีว่า “ฉันมุ่งมั่นที่จะเดินบนเส้นทางนี้ ในเมื่อคุณยืนกรานที่จะหย่า ฉันก็ตกลง”
เราไปที่สำนักงานกิจการพลเรือนเพื่อดำเนินการในวันนั้นเลย ขณะที่ฉันกำลังกรอกเอกสาร พี่ชายและพี่สะใภ้ของฉันก็พรวดพราดเข้ามา ลากฉันขึ้นรถโดยไม่พูดอะไรสักคำ และพาฉันไปที่ร้านของพวกเขา พ่อของฉันอยู่ที่นั่นแล้ว และทันทีที่พ่อเห็นฉัน ก็ง้างมือจะตีฉัน แต่พนักงานก็รีบเข้ามาห้ามไว้ พ่อตะโกนว่า “พ่อนึกว่ารัฐบาลสนับสนุนความเชื่อของแกซะอีก พ่อไม่รู้ว่าแกอาจถูกจับและครอบครัวของแกจะโดนร่างแหไปด้วย แกจะเชื่อในพระเจ้าต่อไปไม่ได้นะ พ่อจะตัดขาดจากแกถ้าแกยังเชื่ออยู่!” ฉันพูดว่า “พ่อคะ เราถูกสร้างโดยพระเจ้า พระองค์ทรงปกครองทุกสิ่ง มนุษย์ควรมีความเชื่อและนมัสการพระองค์” ก่อนที่ฉันจะพูดจบ พี่ชายของฉันก็ตะคอกว่า “เธอยังอยากจะเชื่ออยู่อีกเหรอถ้ามันหมายถึงการสูญเสียครอบครัว?” ฉันพูดอย่างหนักแน่นว่า “ความเชื่อของฉันไม่มีอะไรผิด เขาต่างหากที่ต้องการหย่า ฉันไม่ใช่คนที่จะทิ้งครอบครัวไป” พี่ชายของฉันตะโกนว่า “เพื่อนของพี่ที่ทำงานให้รัฐบาลบอกว่า รัฐบาลได้ออกเอกสารระบุให้ผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นเป้าหมายหลักในการปราบปราม เขาบอกให้เราจับตาดูเธอและห้ามไม่ให้เธอเชื่อ เพื่อที่เราจะได้ไม่โดนร่างแหไปด้วย” พูดจบ เขาก็หยิบไม้ไผ่ขึ้นมาแล้วตีเข้าที่ตาของฉัน พร้อมกับพูดว่า “นี่จะสั่งสอนเธอที่ไม่เข้าใจสถานการณ์!” มันเจ็บปวดมากที่ครอบครัวทำแบบนี้กับฉัน ฉันใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดดิ้นให้หลุดจากพวกเขาแล้ววิ่งหนีออกมา ฉันร้องไห้สะอึกสะอื้นตลอดทางกลับบ้าน ฉันรู้สึกหมดหนทางและโดดเดี่ยว และไม่รู้จริงๆ ว่าจะเดินบนเส้นทางนี้ต่อไปได้อย่างไร ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าทั้งน้ำตาว่า “ข้าแต่พระเจ้า ตอนนี้ทั้งครอบครัวต่อต้านข้าพระองค์ ขัดขวางข้าพระองค์ บอกว่าข้าพระองค์จะเชื่อไม่ได้ มันยากสำหรับข้าพระองค์จริงๆ ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงชี้แนะข้าพระองค์ให้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ และรู้วิธีที่จะผ่านสถานการณ์นี้ไปให้ได้ด้วยเถิด” ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งหลังจากอธิษฐานที่ว่า “เนื่องจากพระราชกิจเริ่มเปิดตัวในแผ่นดินที่ต่อต้านพระเจ้า พระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้าจึงเผชิญอุปสรรคมหาศาล และไม่อาจทำให้พระวจนะมากมายของพระองค์สำเร็จลุล่วงทันที ด้วยเหตุนั้น เป็นเพราะพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนจึงได้รับการถลุง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์ พระเจ้าทรงมีความลำบากยากเย็นมหาศาลในการดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในแผ่นดินแห่งพญานาคใหญ่สีแดง—แต่พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งของพระองค์ผ่านทางความลำบากยากเย็นนี้ อันเป็นการสำแดงพระปัญญาของพระองค์และกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ และทรงใช้โอกาสนี้ทำให้ผู้คนกลุ่มนี้ครบบริบูรณ์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือไม่?) ผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจว่า พระเจ้าทรงพระราชกิจในยุคสุดท้ายในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดง ที่ซึ่งพระองค์ทรงถูกต่อต้านอย่างรุนแรงที่สุด และพวกเราที่ติดตามพระองค์จะต้องทนทุกข์กับการกดขี่ข่มและการกีดกันอย่างแน่นอน พระเจ้าทรงพระราชกิจเช่นนี้ เพื่อให้เราสามารถมองทะลุพญานาคใหญ่สีแดงและแก่นแท้ที่ชั่วร้ายและต่อต้านพระเจ้าของมัน และไม่ถูกมันชักพาให้หลงผิดอีกต่อไป นอกจากนี้ยังเป็นการทำให้ความเชื่อของเราเพียบพร้อม เพื่อที่เราจะได้เรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระเจ้าผ่านความยากลำบาก และติดตามพระเจ้าโดยไม่ถูกกองกำลังของซาตานจำกัด และมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า แต่หลังจากความทุกข์เพียงเล็กน้อย ฉันก็รู้สึกว่าการมีความเชื่อนั้นยากเกินไป ฉันกำลังใช้ชีวิตอย่างคิดลบและต้องการหนีจากสถานการณ์นี้ ฉันขาดความเชื่อจริงๆ เมื่อเผชิญกับความยากลำบากเหล่านี้ ฉันรู้ว่าฉันต้องยอมรับมันจากพระเจ้า ฉันต้องอธิษฐานและแสวงหาความจริง และตั้งมั่นในคำพยานของฉันให้พระเจ้า ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นั่นคือสิ่งที่ฉันควรทำ พอเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันก็ไม่รู้สึกทุกข์ใจมากนัก ต่อมา ฉันได้รู้ว่าสามีไม่ได้ต้องการหย่าจริงๆ แต่ได้พูดคุยเรื่องนั้นกับครอบครัวฉัน และพวกเขาคิดว่าวิธีนี้จะบังคับให้ฉันทิ้งความเชื่อได้
ไม่นานหลังจากนั้น ขณะที่สามีขับรถพาฉันไปซื้อของ เขาก็เลี้ยวขึ้นทางด่วนและขับตรงไปยังโรงพยาบาลจิตเวช เขาลากฉันเข้าไปในห้องตรวจและพูดกับหมอว่า “เธอเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และกำลังเผยแผ่ข่าวประเสริฐ คุณต้องขังเธอไว้และแยกเธอออกจากผู้เชื่อคนอื่นๆ เหมือนการถอนพิษน่ะ เธอจะออกมาได้ก็ต่อเมื่อเลิกเชื่อในพระเจ้าและเลิกเผยแผ่ข่าวประเสริฐ” มันช่างน่าปวดใจเหลือเกิน เขาอยากให้ฉันอยู่กับผู้ป่วยทางจิตเพื่อหยุดความเชื่อของฉันในพระเจ้า การถูกขังอยู่ในนั้นอาจทำให้คนปกติกลายเป็นบ้าได้! ฉันพูดกับหมอทันทีว่า “ฉันก็เป็นหมอเหมือนกัน ก่อนจะรับฉันเข้าโรงพยาบาล คุณต้องตรวจก่อนว่าฉันมีปัญหาสุขภาพจิตหรือไม่” จากนั้นฉันก็เล่าให้เขาฟังอย่างเป็นลำดับถึงวิธีที่ฉันจัดการเรื่องต่างๆ ในบ้าน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลังจากฟังฉันจบ หมอก็บอกสามีของฉันว่า “เธอไม่ได้ป่วยทางจิต เรารับเธอมารักษาไม่ได้ เราไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของเธอได้ถ้าคุณยืนกรานที่จะทิ้งเธอไว้ที่นี่” สามีของฉันยังคงสั่งให้หมอรับฉันไว้ ฉันพูดว่า “ถ้าคุณขังฉันไว้ที่นี่ ฉันจะฆ่าตัวตายที่นี่แหละ” หมอกลัวว่าจะต้องรับผิดชอบจึงไม่รับฉันเข้ารับการรักษา สามีของฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพาฉันกลับบ้าน
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ฉันเห็นได้ชัดเจนว่า แม้สามีจะอ้างเสมอว่าทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉัน แต่มันเป็นเพียงการแสดง เขาปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าขณะที่ทำร้ายฉันและทำให้ฉันอับอาย เขาถึงกับอยากส่งฉันเข้าโรงพยาบาลจิตเวช เขาทำได้ทุกอย่างเพื่อขัดขวางไม่ให้ฉันมีความเชื่อ การที่เขาต่อต้านพระเจ้าโดยร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์ แสดงให้เห็นว่าเขาก็รักความชั่วร้าย เทิดทูนอำนาจ และเกลียดชังความจริงเช่นกัน พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “บรรดาผู้เชื่อกับบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อไม่สามารถเข้ากันได้ ตรงกันข้าม พวกเขาขัดแย้งซึ่งกันและกัน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน) เราอยู่บนสองเส้นทางที่แตกต่างกัน ฉันหมดหวังในตัวเขา และที่ฉันไม่หย่าก็เพื่อลูกเท่านั้น หลังจากนั้น เขาก็ไม่เคยหยุดทะเลาะและตะคอก และสั่งให้ฉันทิ้งความเชื่อของฉัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงก่อนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เมื่อลูกพี่ลูกน้องของฉันบอกว่ารัฐบาลกำลังมุ่งเน้นไปที่การจับกุมผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และผู้เชื่อกำลังถูกลงโทษอย่างรุนแรงและไม่มีใครสามารถประกันตัวพวกเขาออกมาได้ สามีก็จับตาดูฉันอย่างใกล้ชิดและติดตามทุกการเคลื่อนไหวของฉัน เขากักบริเวณฉันเป็นเวลา 11 วัน ไม่มีทางที่ฉันจะปฏิบัติความเชื่อของฉันที่บ้านได้ ถ้าจะทำและปฏิบัติหน้าที่ ฉันจะต้องทิ้งครอบครัว แต่ฉันทนไม่ได้จริงๆ ที่จะต้องจากลูกสาวไป ลูกจะลำบากมากถ้าฉันไป! ถ้าไม่มีฉันอยู่ข้างๆ และไม่มีใครดูแลเธออย่างเหมาะสม จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเธอถูกชักนำให้หลงผิด? น้ำตาไหลอาบแก้มทุกครั้งที่ฉันคิดถึงเรื่องนี้ ขณะที่ทุกข์ใจเป็นที่สุด ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “เจ้าต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อความจริง เจ้าต้องพลีอุทิศตัวเจ้าให้กับความจริง เจ้าต้องสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อความจริง และเจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์อีกมากเพื่อให้ได้รับความจริงมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ เจ้าต้องไม่โยนความจริงทิ้งไปเพื่อที่จะสุขสำราญกับความกลมเกลียวในครอบครัว และเจ้าจะต้องไม่สูญสิ้นศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตที่มีมาทั้งชีวิตเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีชั่วครู่ชั่วคราว เจ้าควรไล่ตามเสาะหาทั้งหมดที่ดีงามและงดงาม และเจ้าควรไล่ตามเสาะหาเส้นทางในชีวิตที่เปี่ยมความหมายมากขึ้น หากเจ้าดำเนินชีวิตเป็นโลกียวิสัยและเป็นทางโลกเช่นนั้น และไม่มีเป้าหมายใดให้ไล่ตามเสาะหา นี่ย่อมเป็นการใช้ชีวิตของเจ้าอย่างสูญเปล่าไม่ใช่หรือ? เจ้าสามารถได้รับอะไรบ้างจากชีวิตเช่นนั้น? เจ้าควรละทิ้งความชื่นชมยินดีทั้งหมดของเนื้อหนังเพื่อเห็นแก่ความจริงหนึ่งประการ และไม่ควรโยนความจริงทั้งหมดทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีเพียงเล็กน้อย ผู้คนเช่นนี้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตหรือศักดิ์ศรีเลย การดำรงอยู่ของพวกเขาช่างปราศจากความหมาย!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ย้อนคิดถึงช่วงเวลาหลายปีที่ฉันมีความเชื่อ ซาตานใช้ญาติของฉันกดขี่และก่อกวนฉันอยู่เสมอ เพื่อผลักไสฉันให้ห่างจากพระเจ้าและบีบให้ฉันทรยศพระองค์ ฉันอยู่กับครอบครัว แต่ไม่มีความสุข และสามีของฉันก็ไม่ยอมให้ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้า หรือแบ่งปันข่าวประเสริฐและทำหน้าที่ของฉัน นั่นเป็นวิธีใช้ชีวิตที่เจ็บปวด พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการให้ฉันเกิดในยุคสุดท้ายและยอมรับข่าวประเสริฐของพระองค์ เพื่อที่ฉันจะได้ไล่ตามเสาะหาความจริง ได้รับการช่วยให้รอด และลุล่วงหน้าที่ของฉันในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นั่นคือสิ่งที่ฉันควรไล่ตามเสาะหา ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ชะตากรรมของมนุษย์ถูกควบคุมโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า เจ้าไม่สามารถควบคุมตัวเจ้าเองได้ กล่าวคือ ทั้งที่มนุษย์สาละวนเร่งรีบและทำตัวให้ยุ่งวุ่นวายเพื่อตัวเขาเองอยู่เสมอ เขาก็ยังคงไม่สามารถควบคุมตัวเขาเองได้ หากเจ้าสามารถล่วงรู้จุดหมายปลายทางในอนาคตของเจ้าเอง หากเจ้าสามารถควบคุมชะตากรรมของเจ้าเองได้ เจ้าจะยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอยู่อีกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์) ใช่แล้ว สำหรับทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้เนิ่นนานแล้วว่าเราจะเดินบนเส้นทางใดและจะทนทุกข์มากน้อยเพียงใด ไม่มีใครช่วยใครได้ ฉันให้กำเนิดลูกสาว แต่ชะตากรรมของเธออยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าได้ทรงตัดสินใจไว้นานแล้วว่าเธอจะทนทุกข์มากน้อยเพียงใด และจะได้ชื่นชมยินดีพรมากแค่ไหนในชีวิตของเธอ แม้ว่าฉันจะอยู่เคียงข้างเธอ ฉันก็ไม่สามารถแบกรับความทุกข์ใดๆ ที่ถูกกำหนดไว้สำหรับเธอได้ ฉันไม่สามารถควบคุมชะตากรรมของตัวเองได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับชะตากรรมของเธอ ฉันทำได้เพียงมอบลูกสาวของฉันไว้กับพระเจ้าและนบนอบการปกครองของพระองค์ แล้ววันหนึ่ง ขณะที่สามีหลับ ฉันก็แอบออกจากบ้านได้สำเร็จ
น่าประหลาดใจที่ เพียงสองสามสัปดาห์ต่อมา ผู้นำคนหนึ่งบอกฉันว่าสามีของฉันก่อกวนพี่น้องชายหญิงทุกวัน และบอกว่าถ้าฉันไม่กลับไป เขาจะแจ้งตำรวจจับพวกเขา ฉันต้องกลับบ้านเพื่อไม่ให้พวกเขาเดือดร้อน ครั้งนี้ สามีของฉันจับตาดูฉันเข้มงวดยิ่งขึ้น เขาขังฉันไว้ในบ้าน ซ่อนกุญแจ และคอยตามติดฉันไม่ห่าง เขาเฝ้าดูแม้กระทั่งตอนที่ฉันทำอาหารและตอนที่ฉันเข้าห้องน้ำ เขาเปิดทีวีทิ้งไว้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ บังคับให้ฉันดูข่าวและภาพยนตร์ปลุกใจรักชาติกับเขาทุกวัน โดยบอกว่าเขาอยากล้างสมองฉัน เขาบอกว่าลูกพี่ลูกน้องของฉันบอกเขาว่า อย่าให้โอกาสฉันอธิษฐานหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้า และเพื่อที่จะทำให้ฉันทิ้งความเชื่อ เขาต้องคอยบังคับให้ฉันดูทุกอย่างในทีวี เพื่อที่จะไม่มีที่ว่างสำหรับความคิดทางศาสนา เขายังบอกฉันด้วยว่า เขาให้ฉันอยู่อย่างสงบไม่ได้แม้แต่นิดเดียว เพราะทันทีที่ฉันอธิษฐาน พระเจ้าจะประทานทางออกให้ฉัน แล้วฉันก็จะไปร่วมการชุมนุมและเผยแผ่ข่าวประเสริฐอีก ฉันบอกเขาด้วยความโกรธว่า “ฉันมีเสรีภาพที่จะมีความเชื่อ ทำไมคุณถึงร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์กดขี่ฉันและลิดรอนอิสรภาพของฉันล่ะ? คุณได้รับพระคุณของพระเจ้ามากมายเพราะความเชื่อของฉัน และคุณก็ได้เห็นแล้วว่าพระเจ้าทรงทำอะไรได้บ้าง ตอนนี้คุณกำลังขัดขวางความเชื่อของฉันและกดขี่ฉัน นี่ไม่ใช่แค่การกดขี่ฉันนะ แต่เป็นการต่อต้านพระเจ้า!” น่าประหลาดใจที่เขาตะโกนกลับมาว่า “ฉันกำลังต่อต้านพระเจ้าอยู่ งั้นก็ให้พระองค์มาลงทัณฑ์ฉันเลย!” ฉันตกใจมาก เขาพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไง? เขาไม่มีเหตุผลเหลืออยู่เลย เขาขังฉันไว้แบบนี้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ฉันทำไม่ได้แม้แต่จะก้าวเท้าออกไปข้างนอก ฉันไม่สามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้า ไปร่วมการชุมนุม หรือทำหน้าที่ของฉันได้ ฉันทุกข์ใจมาก ฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับ ฉันได้แต่คิดว่า คนอื่นๆ กำลังทำหน้าที่ของตัวเอง ขณะที่ฉันถูกสามีขังไว้ในบ้าน ถูกลิดรอนแม้กระทั่งสิทธิ์ที่จะอธิษฐาน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันจะไม่ยิ่งห่างไกลจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ เหรอ? ยิ่งไปกว่านั้น สมาชิกในครอบครัวก็เข้าข้างสามีฉัน กดขี่ฉัน ฉันแทบจะทนไม่ไหวแล้ว! ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งรู้สึกแย่ลง ฉันโดดเดี่ยวและหมดหนทาง
คืนหนึ่งขณะที่สามีหลับ ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าในใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่สามารถอ่านพระวจนะของพระองค์ได้ ข้าพระองค์รู้สึกอ่อนแอภายในเหลือเกิน ข้าแต่พระเจ้า วุฒิภาวะของข้าพระองค์ต่ำนัก โปรดประทานความเชื่อและความแข็งแกร่งให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ฉันนึกถึงพระวจนะของพระองค์บทตอนหนึ่งที่ว่า “บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงอ้างถึงว่าเป็น ‘ผู้ชนะ’ คือผู้ที่ยังคงสามารถตั้งมั่นในการเป็นพยานของตน และคงไว้ซึ่งความมั่นใจดั้งเดิมและการอุทิศตนที่พวกเขามีต่อพระเจ้าเมื่ออยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานและในขณะที่ถูกซาตานล้อมไว้ นั่นคือ เมื่อพวกเขาพบว่าตนเองอยู่ท่ามกลางกองกำลังแห่งความมืด หากเจ้ายังคงสามารถรักษาหัวใจให้บริสุทธิ์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และคงไว้ซึ่งความรักอันจริงแท้ที่เจ้ามีต่อพระเจ้าไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังตั้งมั่นในการเป็นพยานของตนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงหมายถึงการเป็น ‘ผู้ชนะ’” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรธำรงไว้ซึ่งการอุทิศตนของเจ้าแด่พระเจ้า) พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ฉันเห็นว่า ในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงต้องการสร้างคนกลุ่มหนึ่งให้เป็นผู้ชนะ ที่จะไม่ยอมจำนนต่อกองกำลังแห่งความมืด เมื่ออยู่ภายใต้การโจมตีและการข่มเหงของซาตาน แต่พวกเขาจะยึดมั่นในความเชื่อและการอุทิศตน และเป็นพยานอันงดงามให้พระเจ้า ฉันรู้สึกมีแรงบันดาลใจ และพร้อมที่จะนบนอบและรับบทเรียน ไม่ว่าสามีของฉันจะขัดขวางและกดขี่ฉันอย่างไร ฉันก็จะตั้งมั่นในคำพยานของตัวเองและทำให้พระเจ้าพอพระทัย ต่อมา เมื่อสามีของฉันหลับ ฉันจะไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า อธิษฐานเงียบๆ หรือไม่ก็ร้องเพลงนมัสการในใจ และสิ่งนี้ก็นำความชื่นชมยินดีมาให้ฉันบ้าง ในวันที่สิบเก้าของการกักบริเวณ สามีของฉันเริ่มปวดหัว ปวดคอ และปวดหลังทันทีที่เขาเริ่มทะเลาะกับฉัน ยิ่งเขาโกรธ เขาก็ยิ่งเจ็บปวด จนถึงขั้นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด จนเขาไม่กล้าทะเลาะอีกต่อไป ในที่สุดเขาก็พูดว่า “ฉันทนไม่ไหวแล้ว! ยิ่งฉันขังเธอนาน เธอก็ยิ่งมุ่งมั่น ฉันกลับทำให้ตัวเองป่วยซะเอง” วันรุ่งขึ้นเขาไปทำงานโดยขังฉันไว้ในบ้าน วันหนึ่งฉันบังเอิญเจอกุญแจ และแอบออกจากบ้านตอนที่เขาไม่อยู่ ฉันขอบคุณพระเจ้ามากที่ทรงประทานทางออกให้ และในที่สุดฉันก็สามารถไปร่วมการชุมนุมและทำหน้าที่ของฉันได้อีกครั้ง
หลังจากนั้นสามีของฉันก็ไม่ได้จับตาดูฉันอย่างใกล้ชิดเท่าเดิม บางครั้งพอเขาพยายามจะต่อต้านและห้ามปรามฉันอย่างหนัก เขาจะป่วยและปวดคออย่างรุนแรง วันหนึ่งในเดือนมีนาคม ปี 2012 เขาบอกฉันว่า “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันอยากให้เธอเลือกระหว่างครอบครัวของเรากับความเชื่อของเธอ แต่เธอก็ไม่เคยทิ้งความเชื่อของเธอเลย วันนี้เรามาจบเรื่องนี้กันเถอะ มีสองทางเลือกอยู่ตรงหน้าเธอ ถ้าเธอจะอยู่ในบ้านนี้ เธอก็จะติดตามพระเจ้าไม่ได้ และถ้าเธอจะติดตามพระเจ้า เธอก็จะกลับมาบ้านนี้ไม่ได้อีกเลย” ฉันพูดกับเขาอย่างมั่นใจว่า “ฉันเลือกเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้าแล้ว และฉันจะไม่มีวันหันหลังกลับ” จากนั้นฉันก็เก็บกระเป๋าและออกจากบ้าน เข้าร่วมกับทุกคนที่ทำหน้าที่ของตัวเอง ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!