43. ฉันเชื่อในพระเจ้าแต่ทำไมถึงยังเทิดทูนบูชาผู้คน?

โดยลอร์เรน ประเทศเกาหลีใต้

ช่วงแรกที่ฉันได้รับมอบหมายงานข่าวประเสริฐในคริสตจักร ผลลัพธ์ไม่ค่อยดีนัก และนั่นทำให้ฉันวิตกกังวลมาก ช่วงนั้นเอง แอนนี่ก็ย้ายมาที่คริสตจักรของเรา ฉันได้ยินมาว่าเธอเชื่อในพระเจ้ามากว่า 20 ปีแล้ว และเธอได้ละทิ้งทุกสิ่งเพื่อทำงานและสละตนเอง ประกาศในที่ต่างๆ มากมาย และได้ผ่านประสบการณ์กับภยันตรายและความทุกข์ยากครั้งใหญ่โดยไม่เคยถอดใจ ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงนับถือเธออย่างสูง และเมื่อผู้นำจัดแจงให้แอนนี่มาเป็นคู่ทำงานข่าวประเสริฐกับฉัน ฉันก็ตื่นเต้นดีใจมาก ในการชุมนุมครั้งแรกกับพวกเรา แอนนี่เล่าถึงการเผชิญหน้า ที่เธอเคยมีกับผู้นำศาสนาที่ชอบขัดขวางขณะแบ่งปันข่าวประเสริฐ และวิธีที่เธอสามัคคีธรรมและโต้แย้งกับพวกเขาจนพวกเขาพูดไม่ออก เธอเล่าวิธีที่เธอสามัคคีธรรมความจริงกับผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐที่ยึดติดกับมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาและมีความรู้พระคัมภีร์มากมาย และในที่สุดก็ได้แก้ไขความสับสนของพวกเขา เธอพูดคุยเรื่องความลำบากยากเย็นมากมายที่เธอเผชิญขณะประกาศข่าวประเสริฐ และวิธีที่เธอกับพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ จ่ายราคาเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐไปยังที่ต่างๆ เธอยังเล่าด้วยว่าผู้นำระดับสูงให้ความสำคัญและบ่มเพาะเธออย่างไร และมอบหมายหน้าที่สำคัญบางอย่างให้เธอ สิ่งที่ทำให้ฉันประทับใจที่สุดคือตอนที่เธอสามัคคีธรรมถึงความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์แบบน้ำตาคลอ เธอบอกว่าเราต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และไม่ว่าเราจะเผชิญความยากลำบากมากเพียงใด ภารกิจของเราคือ ถ่ายทอดข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ ในตอนนั้น ฉันรู้สึกว่าแอนนี่เปี่ยมล้นด้วยความรักต่อพระเจ้า และฉันก็เกิดความเคารพในตัวเธอขึ้นมาทันที ฉันคิดว่า “แอนนี่เชื่อในพระเจ้ามานาน เธอเข้าใจความจริงมากกว่าพวกเรา และมีวุฒิภาวะมากกว่าพวกเราด้วย ฉันควรจะเรียนรู้จากเธอ” ต่อมา ขณะที่เราปฏิบัติหน้าที่ด้วยกัน ฉันสังเกตเห็นว่าแอนนี่สามารถทนต่อความยากลำบากได้จริงๆ เธอมักจะอยู่ดึกเพื่อติดตามงานและแก้ไขปัญหาต่างๆ แถมเธอชี้ให้เห็นถึงความเบี่ยงเบนและข้อบกพร่องในงานของฉัน และสามัคคีธรรมกับฉันถึงเส้นทางแห่งการปฏิบัติ เวลาประกาศข่าวประเสริฐกับผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ เธอยกตัวอย่าง ใช้อุปมาอุปไมย พูดจาได้เฉียบคมมาก และสามารถแก้ไขความสับสนที่พวกเขามีได้ เวลาที่เธอพูดถึงการที่เธอทำหน้าที่ได้ไม่ดีในระหว่างการชุมนุม เธอมักจะเริ่มร้องไห้และบอกว่าเธอติดค้างพระเจ้ามากเพียงใด บางครั้งพวกผู้ให้น้ำจะมาหาเธอพร้อมกับปัญหาที่ต้องแก้ไข และเธอจะหาเวลาช่วยพวกเขาทันที เธอใส่ใจดูแลฉันเป็นอย่างดีด้วยเมื่อสังเกตเห็นว่าฉันสุขภาพไม่ค่อยดี ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้ฉันชอบเธอมากขึ้นไปอีก ต่อมา เมื่อเธอได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันก็ยิ่งมั่นใจว่าเธอเข้าใจความจริงและมีความเป็นจริง ฉันชื่นชมและนับถือเธอยิ่งกว่าเดิม ฉันเห็นว่าเธอยุ่งแค่ไหน วิ่งวุ่นไปทั่ว เพื่อช่วยพี่น้องชายหญิงและแก้ไขปัญหาของพวกเขา และสิ่งนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่าเธอมีบทบาทสำคัญมากในคริสตจักร และพวกเราขาดเธอไปไม่ได้อย่างแน่นอน เวลาที่ฉันเจอปัญหาหรือความลำบากยากเย็น ฉันก็จะไปหาเธอเพื่อขอสามัคคีธรรม ฉันจะจดบันทึกทัศนะและแนวคิดของเธออย่างกระตือรือร้น และนำคำแนะนำของเธอไปปฏิบัติ ฉันถึงกับเลียนแบบพฤติกรรมบางอย่างของเธอ ตัวอย่างเช่น เมื่อฉันเห็นเธอทำงานจนดึกดื่น ฉันก็ถือว่านั่นเป็นเครื่องหมายของการอุทิศตนและความสามารถทนต่อความยากลำบากในการทำหน้าที่ และฉันก็จะอยู่ดึกเหมือนกัน แม้แต่ตอนที่ฉันไม่มีงานด่วนอะไรและสามารถเข้านอนเร็วได้ แต่ถ้าฉันเห็นว่าแอนนี่ยังไม่เข้านอน ฉันก็อยากจะอยู่ดึกด้วย เมื่อฉันเห็นว่าเธอยังคงแข็งแกร่ง และยังคงยุ่งอยู่กับหน้าที่ของเธอหลังจากถูกตัดแต่ง ฉันก็คิดว่านี่หมายความว่าเธอมีวุฒิภาวะและความเป็นจริง ดังนั้นหลังจากที่ฉันถูกตัดแต่ง แม้ว่าจริงๆ แล้วฉันจะรู้สึกทุกข์ใจมาก และอยากใช้เวลาทบทวนตัวเองบ้าง แต่พอฉันนึกถึงพฤติกรรมของแอนนี่ ฉันก็จะรีบกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่ให้ความสำคัญกับการทบทวนและการรู้จักตัวเองเลย ฉันไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะที่นับถือ และเทิดทูนบูชาบุคคล ฉันอยู่ในสภาพนี้เรื่อยมาจนกระทั่งเกิดบางอย่างขึ้น ที่ค่อยๆ ทำให้ฉันมีวิจารณญาณแยกแยะเกี่ยวกับแอนนี่อยู่บ้าง

แอนนี่ลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเองในฐานะผู้นำคริสตจักร และสามารถทนทุกข์และจ่ายราคาได้จริงๆ แต่ปัญหาต่างๆ ก็ยังคงเกิดขึ้นมาทีละอย่าง และประสิทธิผลของงานคริสตจักรก็ค่อยๆ ลดลง อยู่มาวันหนึ่ง พี่น้องหญิงไลลาซึ่งเป็นมัคนายกให้น้ำบอกฉันว่า เธอพบความเบี่ยงเบนบางอย่างในงานของแอนนี่ เธอบอกว่าแอนนี่รับผิดชอบทุกอย่างและไม่ยอมให้พี่น้องชายหญิงได้ปฏิบัติ และเธอก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะคนอื่น ไลลาบอกว่าแอนนี่ทำงานทั้งหมดของมัคนายกและผู้นำทีม ซึ่งหมายความว่าไม่มีใครได้ปฏิบัติเลย และเมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนก็เริ่มรู้สึกไร้ประโยชน์และไร้ค่า แต่กลับชื่นชมแอนนี่มาก นี่ไม่ใช่บรรยากาศที่เอื้อต่อการทำหน้าที่ของคนเรา ไลลาบอกว่าเธออยากจะให้คำแนะนำแอนนี่บ้าง และบอกให้เธอให้โอกาสคนอื่นได้ปฏิบัติมากขึ้น เพื่อที่พวกเขาจะได้รู้ข้อบกพร่องและข้อด้อยของตัวเอง และก้าวหน้าได้เร็วขึ้น แบบนั้นทุกคนจะสามารถใช้ความสามารถของตัวเองได้ และพวกเขาจะทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน ฉันสนับสนุนความคิดของไลลามาก จึงไปคุยกับแอนนี่พร้อมกับเธอ ฉันประหลาดใจที่พบว่าแอนนี่ไม่พอใจกับคำแนะนำของเราอย่างมาก และทำเพียงขมวดคิ้วและไม่เห็นด้วยกับเรา เธอบอกว่าพี่น้องชายหญิงมีข้อด้อยมากเกินไป การสอนพวกเขาจะเป็นเรื่องยุ่งยากมากและรังแต่จะทำให้งานล่าช้า เธอบอกว่าการที่เธอทำทุกอย่างด้วยตัวเองนั้นมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพมากกว่า เมื่อได้ยินเธอพูดอย่างฉะฉาน ฉันก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่เมื่อฉันมาคิดดูทีหลัง ฉันก็ตระหนักว่ามันไม่เหมาะสมที่แอนนี่จะทำงานในลักษณะนั้น คนอื่นๆ จะไม่ได้รับการฝึกฝนเลย และถ้าทุกอย่างขึ้นอยู่กับเธอ งานก็จะยังออกมาไม่ดีอยู่ดี แต่แล้วฉันก็คิดว่าพวกเราไม่เข้าใจความจริง ดังนั้นเราจะแค่ไร้ประโยชน์และเป็นตัวถ่วงถ้าเราพยายามทำงานร่วมกับเธอเพื่อแก้ไขปัญหา ในเมื่อแอนนี่เข้าใจความจริงดีกว่า ฉันจึงคิดว่าเราควรปล่อยให้เธอจัดการทุกอย่าง ผลก็คือ แม้ว่าแอนนี่จะยุ่งมากทุกวัน แต่ปัญหามากมายก็ยังคงอยู่ พี่น้องชายหญิงเฉื่อยชามากในการทำหน้าที่ของตัวเอง และจะรอให้เธอมาแก้ไขปัญหา คนส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะที่เก็บกดและท้อแท้ ต่อมา ผู้นำระดับสูงพบว่ามีปัญหามากมายในคริสตจักรของเรา เธอจึงรวบรวมการประเมินแอนนี่จากพี่น้องชายหญิง และได้รู้ว่าแอนนี่โอหัง ทะนงตัว ชอบควบคุม และไม่รับฟังคำแนะนำเพียงใด และเธอจะยกย่องตัวเอง โอ้อวด และตัดสินทุกคนอยู่เสมอ เมื่อพบเช่นนี้ ผู้นำก็ปลดเธอทันที ผู้นำยังชี้ให้เห็นด้วยว่าพวกเราขาดวิจารณญาณแยกแยะ หลับหูหลับตาชื่นชมและเทิดทูนบูชาแอนนี่ เธอสามัคคีธรรมว่าเราควรแสวงหาหลักธรรมความจริงในหน้าที่ของเรา และไม่ควรชื่นชมหรือเชื่อฟังคนอื่น เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉันก็ตระหนักว่า ฉันได้ดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะที่เทิดทูนบูชาผู้คนมาเป็นเวลานาน และความสัมพันธ์ของฉันกับพระเจ้าก็ไม่เป็นปกติมานานแล้ว ฉันนึกถึงข้อความใน “ประกาศกฎการปกครองสิบประการซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในยุคแห่งราชอาณาจักรต้องเชื่อฟัง” ที่กล่าวว่า “ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าควรนบนอบพระเจ้าและนมัสการพระองค์  จงอย่ายกย่องหรือนิยมบูชาบุคคลใด จงอย่าวางพระเจ้าเป็นลำดับแรก ผู้คนที่เจ้าเคารพนับถือเป็นลำดับที่สอง และตัวเจ้าเองเป็นลำดับที่สาม  ไม่มีบุคคลใดที่ควรมีความสำคัญในหัวใจของเจ้า และเจ้าไม่ควรพิจารณาผู้คน—โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ที่เจ้าเคารพเทิดทูน—ว่าเสมอกับพระเจ้าหรือเทียบเท่าพระองค์  นี่เป็นเรื่องที่มิอาจทนยอมรับได้สำหรับพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า)  ฉันรู้สึกกลัวเล็กน้อย ฉันคิดถึงเรื่องที่ฉันนับถือแอนนี่อย่างสูงมาโดยตลอดตั้งแต่ได้พบเธอ และเรื่องที่ฉันไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแสวงหาหลักธรรมความจริงในหน้าที่ เอาแต่พึ่งพาเธอแทน ฉันจะไปหาเธอทุกครั้งที่มีปัญหาและทำตามที่เธอบอกทุกอย่าง ฉันชื่นชมเธอมากจริงๆ และไม่ได้เผื่อที่ทางในหัวใจให้พระเจ้า ฉันรู้สึกว่างานของเราคงจะทำไม่สำเร็จถ้าไม่มีเธออยู่ในคริสตจักร ราวกับว่าเราสามารถอยู่ได้โดยไม่มีการชี้แนะจากพระเจ้าหรือหลักธรรมความจริง ฉันเป็นผู้เชื่อจริงๆ หรือเปล่า?  ฉันไม่ได้กำลังเทิดทูนบูชาและติดตามคนอีกคนอยู่หรอกหรือ?  พระเจ้าทรงรังเกียจพฤติกรรมเช่นนี้มาก!  มิน่าฉันถึงไม่สามารถได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในหน้าที่ของฉัน และไม่เห็นความก้าวหน้าใดๆ หลังจากปฏิบัติมาเป็นเวลานาน ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้า ปรารถนาที่จะเปลี่ยนสภาวะของตัวเองและเลิกชื่นชมคนอื่น

หลังจากนั้น มีบางอย่างเกิดขึ้นซึ่งทำให้ฉันได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของแอนนี่ หลังจากที่เธอถูกปลดออก แม้จะรู้ดีว่าพี่น้องชายหญิงหลายคนนับถือเธอ เธอก็ยังไม่ยอมชำแหละหรือพยายามรู้จักตัวเองในระหว่างการชุมนุม แต่กลับทำเหมือนว่าเธอถูกเอาเปรียบ โดยบอกว่าเธอนับถือคู่ทำงานของเธอ พี่น้องหญิงวีรา และเมื่อเธอปฏิบัติหน้าที่ เธอก็แค่ทำทุกอย่างที่วีราบอกให้เธอทำ ฉันตกใจที่เห็นเธอโยนความผิดให้วีรา และคิดว่า “ผู้นำเปิดโปงและชำแหละปัญหาของแอนนี่อย่างชัดเจนแล้ว ทำไมเธอถึงไม่มีความเข้าใจในตัวเองและไม่รับผิดชอบเลยล่ะ?  นั่นไม่ใช่การสำแดงของการยอมรับความจริงเลย!” ต่อมา ผู้นำได้มอบหมายให้แอนนี่ทำงานข่าวประเสริฐกับฉันอีกครั้ง และแม้ว่าฉันจะไม่ได้นับถือเธอมากเหมือนเมื่อก่อน ฉันก็ยังดีใจมาก มีคำกล่าวที่ว่า “สิงโตที่อ่อนแอยังแข็งแกร่งกว่ากวาง” และฉันรู้สึกว่าแอนนี่ยังคงดีกว่าฉันมาก แม้ว่าเธอจะมีปัญหามากมาย แต่ทว่า ขณะที่ทำงานกับเธอ ฉันพบว่าเธอไม่ได้เป็นคนสบายๆ หรือเข้าถึงง่ายเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับกลายเป็นคนเคร่งเครียดมาก เวลาที่เราคุยงานกัน เธอจะไม่ฟังทัศนะใดๆ ของฉัน และมักจะปฏิเสธทันที มีหลายครั้งที่เธอหลีกเลี่ยงการคุยกับฉัน แต่กลับไปหารือกับพี่น้องหญิงที่เธอเคยเป็นคู่ทำงานของเธอ สิ่งนี้ทำให้ฉันรู้สึกถูกตีกรอบและถูกปฏิเสธ ในตอนนั้น เราไม่ได้รับผลลัพธ์ใดๆ ในหน้าที่ของเราเลย ฉันจึงไปสามัคคีธรรมกับเธอถึงปัญหาที่ฉันพบในช่วงเวลาที่เราทำงานด้วยกัน ฉันตกใจที่พบว่าเธอไม่ยอมรับปัญหาใดๆ เลย และรู้สึกว่าตัวเองไม่มีปัญหาอะไร เธอตอบฉันอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฉันจะพูดตรงๆ กับคุณ ฉะนั้นอย่าโกรธ ฉันไม่ชินกับการทำงานกับคุณ ฉันไม่ชอบวิธีการทำงานของคุณ และมันทำให้ฉันหมดความอดทน” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกคิดลบมากขึ้น และรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นตัวถ่วงเธอ

ต่อมา ผู้นำได้ยินเรื่องปัญหาของเรา และตัดแต่งแอนนี่ที่โอหัง ถือดีว่าตนถูก และไม่ยอมรับความจริง ในระหว่างการชุมนุม แอนนี่บอกกับทุกคนว่าการที่เธอถูกตัดแต่งเป็นความรักของพระเจ้า เธอร้องไห้ ยอมรับว่าเธอทำให้พระเจ้าผิดหวังที่ไม่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี เธอดูจริงใจมาก เหมือนว่าเธอรู้จักตัวเองจริงๆ แต่ทว่า ตอนที่เรามีปฏิสัมพันธ์ส่วนตัว เธอเอาแต่แพร่ความคิดลบ บอกว่าพอกันที และเธอไม่มีความปรารถนาที่จะทำหน้าที่ของตัวเองเลย ฉันพยายามสามัคคีธรรมกับเธอ แต่เธอก็ไม่ฟัง เมื่อผู้นำพูดถึง ความก้าวหน้าของพี่น้องชายหญิงคนหนึ่ง ว่าพวกเขาทำหน้าที่ได้ดีเพียงใด แอนนี่ก็จะยิ่งคิดลบมากขึ้น คิดว่าผู้นำให้ความสำคัญกับคนอื่นมากกว่าเธอ เธอถามฉันอยู่เสมอว่าคนอื่นหัวเราะเยาะเธอลับหลังหรือเปล่า เห็นได้ชัดว่าเธอรู้สึกคิดลบและกำลังย่ำแย่ทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่เธอกลับอวดเก่งและแข็งแกร่งในการชุมนุม และจะแสร้งทำเป็นยอมรับความจริงและคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า แค่เห็นเธอก็ทำให้ฉันรู้สึกเหนื่อยแล้ว บางครั้งฉันก็ถามตัวเองว่า “นี่คือคนที่เราเคยนับถือและเทิดทูนบูชามากจริงๆ หรือ?  เธอดูไม่เหมือนคนที่มีความเป็นจริงความจริงเลย!” ฉันตระหนักว่าเธอให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีและสถานะมาก และเธอไม่ยอมรับความจริงเลยแม้แต่น้อย เมื่อมีเรื่องร้ายกับเธอ เธอก็ไม่พยายามที่จะรู้จักตนเอง และมักจะแสร้งทำเป็นส่วนใหญ่ เธอไม่ปกติ ต่อมา สภาวะของเธอแย่ลงเรื่อยๆ ผู้นำสามัคคีธรรมกับเธอหลายครั้ง และแม้จะดูเหมือนว่าเธอยอมรับ แต่เธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงเลย เธอถึงกับเกลียดพี่น้องชายหญิงและมองพวกเขาด้วยสายตาอาฆาตแค้น เมื่อผู้นำตัดแต่งและเปิดโปงปัญหาของเธอ เธอก็เกลียดและโทษพระเจ้า เธออดใจไม่ได้ที่จะ โยนความรับผิดชอบสิ่งเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นไปให้พระเจ้าทรงแบกรับ ฉันเห็นว่าเธอมีธรรมชาติที่ชั่วช้า และเธอเกลียดพระเจ้าและความจริง เธอเป็นปีศาจ เป็นศัตรูของพระคริสต์ ต่อมา เธอไม่ได้รับอนุญาตใช้ชีวิตคริสตจักรหรือปฏิบัติหน้าที่อีกต่อไป

ฉันไม่สามารถสงบใจได้เป็นเวลานานหลังจากที่แอนนี่จากไป ฉันสงสัยว่าทำไมฉันถึงเทิดทูนบูชาและนับถือเธอมากนัก ถึงขั้นที่อยากจะเป็นเหมือนเธอ ฉันคิดถึงเรื่องที่ฉันชื่นชม คนที่พูดจาฉะฉาน คนที่สามารถทนต่อความทุกข์อันใหญ่หลวงและละทิ้งทุกสิ่งเพื่อสละตนเองเพื่อพระเจ้ามา และคนที่ไม่เคยทรยศพระเจ้าแม้จะถูกจับกุมและทรมานมาโดยตลอด ทำไมฉันถึงเทิดทูนบูชาและนับถือคนเหล่านี้มากนัก?  ฉันถูกแนวคิดอะไรครอบงำอยู่?  แล้ววันหนึ่ง ฉันก็ได้เห็นพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอนที่กล่าวว่า “ผู้คนบางคนสามารถทนความยากลำบากได้ สามารถจ่ายราคาได้ ภายนอกมีความประพฤติดีมาก ค่อนข้างเป็นที่นับถือดี และชื่นชมกับการเลื่อมใสของผู้อื่น  พวกเจ้าจะพูดว่าพฤติกรรมภายนอกประเภทนี้สามารถถือได้ว่าเป็นการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติหรือไม่?  คนเราจะสามารถกำหนดพิจารณาได้หรือไม่ว่าผู้คนเช่นนี้กำลังทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า?  เหตุใดจึงเป็นว่า ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผู้คนเห็นปัจเจกบุคคลเช่นนี้และคิดว่าพวกเขากำลังสนองเจตนารมณ์พระเจ้า กำลังเดินตามเส้นทางของการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ และกำลังเดินตามทางของพระเจ้า?  เหตุใดผู้คนบางคนจึงคิดเช่นนี้?  มีคำอธิบายเพียงคำเดียวเท่านั้น  คำอธิบายนั้นคืออะไรเล่า?  คำอธิบายก็คือว่า สำหรับผู้คนจำนวนมหาศาล คำถามบางคำถาม—อาทิ การนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติหมายความว่าอะไร การทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยหมายความว่าอะไร และการครองความเป็นจริงความจริงอย่างแท้จริงหมายความว่าอะไร—ไม่ชัดเจนอย่างมาก  ดังนั้น จึงมีผู้คนบางคนที่มักถูกชักพาให้หลงผิดโดยพวกที่ภายนอกดูเหมือนจะเป็นฝ่ายวิญญาณ สูงศักดิ์ สูงส่ง และยิ่งใหญ่  ในส่วนของผู้คนที่สามารถพูดถึงคำพูดและคำสอนได้อย่างมีวาทศิลป์ และวาทะและการกระทำของพวกเขาดูเหมือนจะมีค่าคู่ควรกับการเลื่อมใส พวกที่ถูกพวกนั้นชักพาให้หลงเชื่อไม่เคยได้มองที่แก่นแท้ของการกระทำของพวกเขา หลักธรรมทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของพวกเขา หรืออะไรคือเป้าหมายของพวกเขา  ยิ่งกว่านั้น พวกเขาไม่เคยมองว่าผู้คนเหล่านี้นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่ และไม่เคยพิจารณาว่าผู้คนเหล่านี้ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วอย่างแท้จริงหรือไม่  พวกเขาไม่เคยใช้วิจารณญาณดูแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ในตัวผู้คนเหล่านี้  ตรงกันข้าม เริ่มต้นด้วยขั้นตอนแรกของการทำความคุ้นเคยกับพวกเขา พวกเขาได้มาเลื่อมใสและเคารพผู้คนเหล่านี้ทีละเล็กทีละน้อย และในที่สุด ผู้คนเหล่านี้ก็กลายเป็นรูปเคารพของพวกเขา  นอกจากนี้ ในจิตใจของผู้คนบางคน รูปเคารพที่พวกเขานมัสการ—และผู้ที่พวกเขาเชื่อว่าสามารถทอดทิ้งครอบครัวและอาชีพการงานของพวกเขาได้ และผู้ที่โดยผิวเผินแล้วดูเหมือนจะสามารถจ่ายราคาได้—เป็นพวกที่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอย่างแท้จริง และพวกที่สามารถมีจุดจบที่ดีและบั้นปลายที่ดีได้  ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา รูปเคารพเหล่านี้คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสรรเสริญ(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์)  “มีเพียงสาเหตุที่แท้จริงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้ผู้คนมีการกระทำและทัศนคติที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เช่นนี้ หรือมีข้อคิดเห็นและการฝึกฝนปฏิบัติด้านเดียว—และวันนี้ เราจะบอกพวกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ กล่าวคือ เหตุผลก็คือว่า แม้ว่าผู้คนอาจติดตามพระเจ้า อธิษฐานต่อพระองค์ทุกวัน และอ่านถ้อยดำรัสของพระองค์ทุกวัน แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์อย่างจริงแท้  มีรากเหง้าของปัญหาอยู่ในที่นี้  หากใครบางคนเข้าใจพระทัยของพระเจ้าและรู้ว่าพระองค์ทรงชอบสิ่งใด พระองค์ทรงเกลียดสิ่งใด พระองค์ทรงต้องประสงค์สิ่งใด พระองค์ทรงปฏิเสธสิ่งใด พระองค์ทรงรักบุคคลชนิดใด พระองค์ไม่ทรงชอบบุคคลชนิดใด พระองค์ทรงใช้มาตรฐานชนิดใดเมื่อทำการเรียกร้องต่อผู้คน และพระองค์ทรงใช้การเข้าหาประเภทใดเพื่อทำให้พวกเขามีความเพียบพร้อม เช่นนั้นแล้วบุคคลนั้นยังคงสามารถมีข้อคิดเห็นส่วนตัวของพวกเขาเองได้หรือไม่?  ผู้คนเช่นนี้อาจสามารถไปนมัสการใครอื่นบางคนได้อย่างเรียบง่ายกระนั้นหรือ?  มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งอาจสามารถกลายเป็นรูปเคารพของพวกเขาได้หรือไม่?  ผู้คนที่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าจะครองทัศนคติที่สมเหตุสมผลมากกว่านั้นเล็กน้อย  พวกเขาจะไม่เทิดทูนบุคคลที่เสื่อมทรามผู้หนึ่งโดยพลการ และในขณะที่กำลังเดินไปบนเส้นทางของการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัตินั้น พวกเขาก็จะไม่เชื่อว่าการยึดติดกับกฎเกณฑ์หรือหลักการเรียบง่ายไม่กี่ข้ออย่างมืดบอดนั้นทัดเทียมกับการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์)  พระวจนะของพระเจ้าชี้ให้เห็นสภาวะของฉันอย่างตรงจุด ฉันตระหนักว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันมีมุมมองที่ผิดในเรื่องความเชื่อ โดยคิดว่าถ้าใครบางคนเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลานาน ถ้าพวกเขาสละตนเองอย่างกระตือรือร้น ทนทุกข์และจ่ายราคา และทำงานมากมาย นี่หมายความว่าพวกเขาปฏิบัติความจริงและมีความเป็นจริงความจริง และพวกเขาเป็นคนประเภทที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัยและมีที่ยืนในคริสตจักร ดังนั้น เมื่อฉันเห็นว่าแอนนี่เป็นผู้เชื่อมาหลายปี เธอได้เสียสละมากมายและทนทุกข์อย่างมากเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ และเธอชัดเจนและมีเหตุผลตอนประกาศและสามัคคีธรรม ฉันจึงถูกชักพาให้หลงผิดโดยภาพลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่และพฤติกรรมที่ดีของเธอ และเริ่มนับถือและเทิดทูนบูชาเธอ หลังจากที่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนเหล่านั้นแล้วเท่านั้น ฉันจึงเห็นว่าตัวเองโง่และไม่ประสีประสาแค่ไหน และฉันได้ยึดติดกับแนวคิดที่ไร้สาระเพียงใด เมื่อคนเราพลีอุทิศและสละตนเอง เมื่อพวกเขาทนทุกข์และจ่ายราคาในหน้าที่ นั่นเป็นเพียงพฤติกรรมที่ดีเพียงผิวเผินเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่ดีหรือรักความจริง และที่แน่ๆ ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีความเป็นจริงความจริง แม้ว่าแอนนี่จะเป็นนักพูดที่มีความสามารถ และได้ละทิ้งและสละตนเองอย่างต่อเนื่องในช่วง 20 ปี เป็นผู้เชื่อ แต่เธอกลับถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นต้นทุนส่วนตัว และมักจะใช้มันเพื่อโอ้อวด คุยโต และตัดสินผู้คน เธอไม่สามารถยอมรับหรือปฏิบัติความจริงได้เลย ไม่ว่าเธอจะถูกตัดแต่ง ล้มเหลว หรือทำผิดพลาดกี่ครั้ง เธอก็ไม่เคยทบทวนเพื่อรู้จักตัวเอง และที่แน่ๆ เธอไม่ได้กลับใจอย่างแท้จริง ตอนผู้อื่นให้ความสำคัญกับเธอ และเธอมีสถานะสูง เธอมีพลังงานมากตอนทำหน้าที่ และสามารถอยู่ดึกและทุ่มสุดตัวได้ แต่หลังจากถูกปลด เธอก็หมดความปรารถนาที่จะทำหน้าที่ ต่อต้านและขุ่นเคือง ตอนไม่มีใครเห็น เธอจะแพร่ความคิดลบ แต่ต่อหน้าคนอื่น เธอบอกว่าตัวเองติดค้างพระเจ้าและดูเหมือนจะสำนึกผิดจริงๆ สิ่งนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเธอคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า ว่าเธอมีวุฒิภาวะและมีความเป็นจริง ทุกคนจึงนับถือและเทิดทูนบูชาเธอ หลังจากถูกตัดแต่ง เธอบอกทุกคนว่านั่นเป็นความรักของพระเจ้า แต่ลับหลังเธอกลับโทษและเกลียดพระเจ้า เธอไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ที่เกลียดความจริงและพระเจ้าหรอกหรือ?  ในที่สุดฉันก็เข้าใจว่า เพียงเพราะใครบางคนเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลานาน และสามารถพลีอุทิศและพูดจาฉะฉาน มีประสบการณ์ และผู้อื่นให้ความสำคัญ ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีความเป็นจริงความจริง และที่แน่ๆ ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาทำให้พระเจ้าพอพระทัย ไม่ว่าใครบางคนจะเชื่อมานานแค่ไหนหรือทำงานหนักยังไง ถ้าพวกเขาไม่ปฏิบัติความจริงเลย และไม่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตัวเอง โดยแก่นแท้แล้ว พวกเขาก็ยังคงเป็นคนที่ต่อต้านพระเจ้า และในที่สุดจะถูกเปิดโปงและกำจัดออกไป สิ่งนี้ทำให้พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วงที่ว่า “เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนจำนวนมากร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ?’ เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’(มัทธิว 7:22-23)  ต่อมา ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เราไม่สนใจว่างานที่หนักของเจ้านั้นมีความดีความชอบเพียงใด คุณวุฒิของเจ้าน่าประทับใจเพียงใด เจ้าติดตามเราอย่างใกล้ชิดเพียงใด เจ้าเป็นที่รู้จักมากเพียงใด หรือว่าเจ้าได้ปรับปรุงท่าทีของเจ้าไปมากเพียงใดแล้ว ตราบเท่าที่เจ้ายังไม่ทำตามข้อเรียกร้องของเรา เจ้าจะไม่มีวันได้รับคำสรรเสริญจากเราเลย  จงขีดฆ่าแนวคิดและการคำนวณเหล่านั้นของพวกเจ้าออกไปทั้งหมดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ และเริ่มปฏิบัติต่อข้อพึงประสงค์ของเราอย่างจริงจัง หาไม่แล้ว เราจะทำให้ทุกคนกลายเป็นเถ้าถ่านเพื่อจบงานของเรา และในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เราจะทำให้งานและความทุกข์นานหลายปีของเราสูญสลาย เพราะเราไม่สามารถพาศัตรูทั้งหลายของเราและบรรดาผู้คนที่ส่งกลิ่นความชั่วและยังมีสภาพเสมือนแบบเดิมๆ ของซาตานเข้าสู่อาณาจักรของเราหรือพาพวกเขาเข้าสู่ยุคถัดไปได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฝ่าฝืนจะนำทางมนุษย์ไปสู่นรก)  “เราไม่ได้ตัดสินบั้นปลายของแต่ละบุคคลตามอายุ ความอาวุโส ระดับความทุกข์ และยิ่งกว่านั้นมิใช่จากระดับความน่าสงสาร แต่ทรงพิจารณาจากการที่ว่าพวกเขาครองความจริงหรือไม่  ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากนี้  พวกเจ้าจำต้องตระหนักว่า ทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าย่อมจะถูกลงโทษ  นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า)  พระวจนะของพระเจ้ากินใจฉันมาก พระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดจุดจบหรือบั้นปลายของใครบางคน โดยดูว่าพวกเขาตรากตรำและอุทิศตนมากแค่ไหน ประพฤติดีแค่ไหน หรือทำงานมากแค่ไหน แต่ทรงดูว่าพวกเขามีความจริงหรือไม่ พระเจ้าไม่ได้ทรงพิพากษาผู้คนจากสิ่งที่อยู่ภายนอก แต่จากแก่นแท้ของพวกเขา พระองค์ทรงดูว่าพวกเขารักความจริงและสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้หรือไม่ ว่าพวกเขานบนอบพระองค์และทำตามน้ำพระทัยของพระองค์หรือไม่ ฉันตระหนักว่าพระเจ้าทรงมีพระอุปนิสัยอันชอบธรรมและบริสุทธิ์อย่างแท้จริง พระองค์ทรงมีมาตรฐานในการพิพากษาผู้คน และทรงมีหลักธรรมในการปฏิบัติต่อผู้คน โดยไม่มีความรู้สึกทางเนื้อหนังเข้ามาแทรกแซงแม้แต่น้อย พระเจ้าจะไม่ทรงกำหนดว่าใครบางคนชอบธรรมหรือดีเพียงเพราะพวกเขาแสดงความกระตือรือร้นเล็กน้อย หรือพวกเขาอุทิศตนหรือทนทุกข์เล็กน้อย ในทางตรงกันข้าม ไม่ว่าใครจะเชื่อในพระเจ้ามานานแค่ไหน ทำงานมามากแค่ไหน หรือมีชื่อเสียงดีแค่ไหน ในที่สุดพวกเขาก็จะถูกพระเจ้าทรงกำจัดออกไป ถ้าไม่ปฏิบัติความจริงและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง หลังจากเข้าใจเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเขลาและน่าสมเพช ตลอดหลายปีที่มีความเชื่อมา ฉันไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าเลย ฉันเชื่อโดยอาศัยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตัวเองเท่านั้น และเทิดทูนบูชาคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ฉันช่างตาบอดและเขลาเสียจริง!  ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ในหมู่มนุษยชาติทั้งปวง ไม่มีใครเลยที่สามารถทำหน้าที่เป็นแบบอย่างสำหรับผู้อื่นได้ เพราะพวกมนุษย์ทั้งหมดนั้นโดยพื้นฐานแล้วก็เป็นเหมือนๆ กันและไม่มีอะไรแตกต่างจากกันและกันเลย มีสิ่งที่แยกแยะพวกเขาออกจากคนอื่นน้อยมาก  ด้วยเหตุผลนี้ กระทั่งวันนี้แล้ว พวกมนุษย์ก็ยังคงไม่สามารถที่จะรู้จักงานของเราได้อย่างครบถ้วน  จนเมื่อการตีสอนของเราเคลื่อนลงมายังมวลมนุษย์ทั้งปวงแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงจะกลายเป็นตระหนักรู้ถึงงานของเราโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว และเมื่อปราศจากการกระทำสิ่งใดๆ ของเรา หรือการบังคับใครต่อใครของเรา มนุษย์จึงจะมารู้จักเรา และเห็นงานของเราด้วยผลจากการนั้น  นี่คือแผนการของเรา เป็นแง่มุมเกี่ยวกับงานของเราที่ถูกสำแดงให้ประจักษ์ และเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรจะรู้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 26)  พระวจนะของพระเจ้าชัดเจนอย่างที่สุด ผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและมีแก่นแท้ของซาตาน เราไม่เผยอะไรออกมานอกจากอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ไม่มีใครในพวกเราแม้แต่คนเดียวที่คู่ควรแก่การเทิดทูนบูชา ถ้าฉันเข้าใจเรื่องนั้นมาก่อน ที่ผ่านมาฉันคงจะไม่เทิดทูนบูชาหรือยกย่องผู้ใด

หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็ถูกปลดออกเพราะไม่ลุล่วงอะไรเลยในหน้าที่อยู่นาน ในตอนนั้น ฉันคิดหนัก และทบทวนว่าทำไมฉันถึงล้มเหลว ฉันนึกย้อนถึงการที่ฉันติดอยู่ในสภาวะที่เทิดทูนบูชาและชื่นชมแอนนี่ และเชื่อว่าเธอเข้าใจความจริงและมีความเป็นจริง เพียงเพราะเธอเป็นผู้เชื่อมาเป็นเวลานาน ประกาศข่าวประเสริฐมาหลายปี ทนทุกข์อย่างมาก และมีประสบการณ์การทำงานมากมาย ฉันมักจะเลียนแบบพฤติกรรมของเธอ และไปหาเธอพร้อมกับปัญหาของฉัน ฉันจะยอมรับทุกทัศนะของเธอในทันที โดยไม่ไตร่ตรองให้ดี และแค่ทำตามที่เธอบอกทุกอย่าง ฉันไม่ได้เผื่อที่ทางในหัวใจให้พระเจ้าเลย ฉันไม่ได้แสวงหาความจริงตอนเผชิญปัญหา และการกระทำของฉันก็ไม่มีหลักธรรมใดๆ ฉันเพียงแค่ฟังคนอื่น ฟังแอนนี่ นั่นคือการเชื่อในพระเจ้าเหรอ?  ฉันไม่ได้แค่ติดตามคนคนหนึ่งอยู่หรอกหรือ?  เหมือนที่พระเจ้าตรัสเลยว่า “สิ่งที่เจ้าเลื่อมใสนั้นไม่ใช่ความถ่อมใจของพระคริสต์ แต่เจ้ากลับเคารพผู้เลี้ยงเทียมเท็จที่มีตำแหน่งอันโดดเด่น  เจ้าไม่ได้ชื่นชมบูชาความดีงามหรือพระปัญญาของพระคริสต์ แต่เจ้าชื่นชอบพวกคนเสเพลที่คล้อยตามความโสมมของโลก  เจ้าเอาแต่เยาะเย้ยความเจ็บปวดของพระคริสต์เพราะไม่มีที่จะวางพระเศียร แต่กลับเลื่อมใสซากศพที่ตามล่าของถวายและใช้ชีวิตอยู่กับความเสเพลพวกนั้น  เจ้าไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์เคียงข้างพระคริสต์ แต่เจ้ากลับยินดีที่จะโผเข้าสู่อ้อมแขนของศัตรูของพระคริสต์ที่เอาแต่ใจและไม่ยั้งคิดเหล่านั้น ทั้งที่พวกเขามีให้เจ้าเพียงแค่เนื้อหนัง คำพูด และการควบคุม  แม้กระทั่งในเวลานี้ หัวใจของเจ้าก็ยังคงหันไปหาพวกเขา หาความมีหน้ามีตาของพวกเขา สถานะของพวกเขา กลุ่มคนของพวกเขา  กระนั้นเจ้าก็ยังคงมีท่าทีว่าพระราชกิจของพระคริสต์นั้นยากที่จะยอมรับ และไม่เต็มใจที่จะยอมรับพระราชกิจนั้น  เพียงเพราะเหตุนี้ เราจึงกล่าวว่าเจ้าขาดความเชื่อที่จะยอมรับพระคริสต์  เหตุผลที่เจ้าได้ติดตามพระองค์มาจนถึงวันนี้ก็เพียงเพราะเจ้าไม่มีทางเลือกอื่น  ภาพลักษณ์อันสูงส่งมากมายตั้งตระหง่านอยู่ในหัวใจของเจ้าตลอดไป เจ้าไม่อาจลืมทุกคำพูดและทุกการกระทำของพวกเขา รวมถึงคำพูดกับมือที่มีอิทธิพลของพวกเขา  ในหัวใจของพวกเจ้า พวกเขาคือผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลและเป็นวีรบุรุษไป  แต่หาได้เป็นเช่นนั้นสำหรับพระคริสต์ในวันนี้ไม่  ในหัวใจของเจ้า พระองค์ยังคงไร้ความสำคัญตลอดไปและไม่คู่ควรที่จะได้รับความยำเกรงตลอดกาล  เพราะพระองค์ทรงธรรมดามากเกินไป ทรงมีอิทธิพลน้อยเกินไป และยังห่างไกลจากความสูงส่ง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริงหรือไม่?)  พระวจนะของพระเจ้าเผยให้เห็นสภาวะที่แท้จริงของฉัน เมื่อนึกย้อนถึงหลายปีที่ฉันมีความเชื่อมา ฉันก็เห็นว่าผู้คนที่ฉันชื่นชมล้วนมีขีดความสามารถและพรสวรรค์ และได้รับการสนับสนุนและให้ความสำคัญจากผู้อื่น และฉันมองว่าทุกคำพูดและความประพฤติของพวกเขาเป็นสิ่งที่ควรเอาอย่าง ฉันไม่เคยถามตัวเองเลยว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร การกระทำของฉันเป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการหรือไม่ หรือสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงหรือเปล่า ฉันแค่หลับหูหลับตาเทิดทูนบูชาและติดตามคนอื่น และถึงกับหวังว่าจะเป็นเหมือนพวกเขา ฉันอยู่บนเส้นทางที่ผิดมาโดยตลอด ไล่ตามไขว่คว้าความทุกข์และงานที่มากขึ้น และพึ่งพาขีดความสามารถและประสบการณ์ขณะปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง ฉันไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแสวงหาหลักธรรมความจริง และเน้นย้ำการเข้าสู่ชีวิตของตัวเองน้อยกว่านั้นอีก ผลก็คือ ฉันไม่เข้าใจความจริงมากนักในช่วงเวลาหลายปีที่ฉันมีความเชื่อ และชีวิตของฉันได้รับความเสียหาย ฉันตระหนักว่าตัวเองเขลาและน่าสมเพชอย่างไม่น่าเชื่อ พระเจ้าได้ประทานพระวจนะมากมายแก่เรา และฉันแทบจะจำไม่ได้เลยแม้แต่คำเดียว แต่กลับจำทุกอย่างที่แอนนี่พูด และทัศนะทั้งหมดของเธอได้อย่างแม่นยำ และฉันจะรีบนำไปปฏิบัติเสมอ ฉันพึ่งพาเธอในหน้าที่ตัวเองเสมอ และไม่ได้เผื่อที่ทางในหัวใจให้พระเจ้าเลย สถานการณ์กับแอนนี่ครั้งนี้ได้เปิดโปงฉันอย่างหมดเปลือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เธอถูกปลด เมื่อปัญหามากมายของเธอถูกเผยให้เห็นไปแล้ว ซึ่งฉันรู้ดีทั้งหมด ภาพลักษณ์อันสูงส่งของเธอก็ยังอยู่ในหัวฉันขณะที่ฉันเริ่มร่วมมือกับเธออีกครั้ง ฉันยังคงพึ่งพาเธอในหน้าที่ของตัวเอง และเฝ้าคิดถึงสำนวนที่ว่า “สิงโตที่อ่อนแอยังแข็งแกร่งกว่ากวาง” โดยเชื่อว่าต่อให้แอนนี่มีปัญหาบางอย่าง เธอก็ยังคงดีกว่าฉัน นี่เป็นมุมมองเยี่ยงซาตานล้วนๆ ฉันเทิดทูนบูชาเธอมากเกินไป ฉันไม่ได้แสวงหาหลักธรรมความจริงในปฏิสัมพันธ์ของเรา และฉันขาดวิจารณญาณแยกแยะอย่างสิ้นเชิง ฉันพิจาราณาสิ่งทั้งหลายตามคำพูดเยี่ยงมารซาตานอยู่ตลอดเวลา และต่อมา หลังจากที่ปัญหาของแอนนี่ถูกเปิดเผยออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ฉันก็ยังคงไม่ใช้วิจารณญาณแยกแยะหรือเปิดโปงเธอ ฉันแค่ติดตามเธอต่อไป ถูกเธอตีกรอบ และใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะคิดลบและทุกข์ใจ ฉันสมควรเจอทุกสิ่งที่ฉันเจอมาจริงๆ นั่นแหละ!  ฉันชื่นชมแอนนี่และพึ่งพาเธอในหน้าที่ของตัวเอง แต่เธอเคยให้อะไรฉันบ้าง?  การชักพาให้หลงผิด การตีกรอบ และการปฏิเสธ แถมเธอทำให้ฉันรู้สึกทุกข์ใจและเก็บกดโดยไม่มีความหวังที่จะได้รับการบรรเทา และฉันก็ห่างไกลจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าฉันจะเชื่อในพระเจ้า ฉันก็ไม่ได้พึ่งพาหรือชื่นชมพระองค์ และฉันก็ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงเลยแม้ ฉันแค่เทิดทูนบูชาและติดตามผู้คน ฉันเป็นคนโง่ที่ไม่มีวิจารณญาณแยกแยะเลย การที่ล้มเหลวและล้มลงแบบนั้น เป็นความชอบธรรมของพระเจ้าและความรอดจากพระองค์อย่างแท้จริง ผ่านการเผยนี้ ฉันสามารถมองดูเส้นทางที่ผิดที่ฉันกำลังเดินอยู่อย่างจริงจัง ตรวจสอบทัศนะที่ไร้สาระที่ฉันมี และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของตัวเอง ในขณะเดียวกัน ฉันก็รู้สึกถึงความสำคัญของการไล่ตามเสาะหาความจริงด้วย พระเจ้าตรัสว่า “พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงไม่สามารถติดตามจนถึงที่สุดได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรธำรงไว้ซึ่งการอุทิศตนของเจ้าแด่พระเจ้า) และนี่เป็นเรื่องจริงมาก ผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงจะต้องถูกพระเจ้าทรงเปิดโปงและทรงกำจัดออกไป ความล้มเหลวของคนที่ฉันชื่นชม และความล้มเหลวของฉันเองด้วย เป็นข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดในเรื่องนี้

สองสามเดือนต่อมา ฉันได้เป็นคู่ทำงานข่าวประเสริฐกับซาราห์ ฉันได้ยินมาว่า หลังจากที่เริ่มเชื่อในพระเจ้า เธอได้ละทิ้งงานที่ดีมากเพื่อทำหน้าที่ของตัวเอง และเธอสามารถทนต่อความยากลำบากได้จริงๆ มีขีดความสามารถที่ยอดเยี่ยม และมีประสบการณ์ในการประกาศข่าวประเสริฐ ฉันรู้จักเธอมาสักพักแล้ว และเห็นว่าเธอใส่ใจงานของคริสตจักรมาก เธอสามัคคีธรรมอย่างกระตือรือร้นในการชุมนุม และไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรหรือมีคนอยู่กี่คน เธอก็ไม่เคยรู้สึกถูกตีกรอบ และเธอพูดด้วยความสุขุมและปราศจากความกลัว เธอจะสามัคคีธรรมและช่วยเหลือพี่น้องชายหญิงเมื่อพวกเขาประสบปัญหา และทุกคนก็เห็นชอบกับเธอจริงๆ ฉันรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และฉันนับถือเธออย่างสูง และแม้ฉันจะดีใจที่ได้มีโอกาสทำงานกับเธอ แต่ฉันก็จำความล้มเหลวครั้งก่อนของตัวเองได้ด้วย ว่าการให้ความสำคัญกับขีดความสามารถและพรสวรรค์ของผู้อื่นได้นำฉันไปสู่ การเทิดทูนบูชาและติดตามผู้อื่นอย่างไร ฉันเคยเดินบนเส้นทางที่ผิดเพราะเรื่องนี้ และส่งผลเสียต่อชีวิตของฉัน ฉันรู้ว่าไม่อาจพิจารณาสิ่งทั้งหลายผ่านมุมมองที่คลาดเคลื่อนเช่นนั้นได้ เมื่อเป็นเรื่องปฏิสัมพันธ์ของฉันกับซาราห์ และฉันต้องเข้าหาเธอตามหลักธรรมความจริง ซาราห์มีขีดความสามารถที่ดีและมีประสบการณ์ในการแบ่งปันข่าวประเสริฐ จึงมีอะไรมากมายให้ฉันเรียนรู้จากเธอเพื่อชดเชยสิ่งที่ฉันขาดไป แต่เธอก็เป็นคนเสื่อมทรามเช่นกัน มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ข้อบกพร่อง และข้อด้อย ฉันไม่สามารถเทิดทูนบูชาและพึ่งพาเธอได้ ถ้าเธอมีปัญหาหรือความเบี่ยงเบนในหน้าที่ ฉันก็ไม่อาจหลับหูหลับตาติดตามเธอได้ ฉันต้องใช้วิจารณญาณแยกแยะและปฏิบัติต่อเธอตามหลักธรรมความจริง ต่อมา ตอนเราคุยงานกัน ฉันสังเกตเห็นว่าคำแนะนำส่วนใหญ่ของซาราห์ไม่ค่อยสัมพันธ์กับชีวิตจริงนัก ฉันกับพี่น้องหญิงอีกสองคนรู้สึกว่าคำแนะนำไม่น่าจะได้ผล แต่ซาราห์ก็ยืนกรานมาก เมื่อใดก็ตามที่แนวคิดของเธอไม่ได้รับความเห็นชอบ เราจะติดแหง็กอยู่กับมัน และหาทางออกไม่ได้เป็นเวลานาน ซึ่งทำให้ความคืบหน้าของงานเราล่าช้าอย่างมาก ฉันค่อยๆ เห็นว่าซาราห์โอหัง ถือดีว่าตนถูก และดื้อรั้น และเธอจะโกรธตอนเราไม่ทำตามคำแนะนำของเธอ เธอจะอารมณ์เสีย และสิ่งนี้ตีกรอบคนอื่น เธอไม่ได้มีบทบาทที่เป็นบวกในกลุ่มของเรา และเธอก่อกวนและขัดขวางความคืบหน้าของงาน ฉันจึงรายงานพฤติกรรมที่เธอทำเป็นประจำต่อผู้นำ หลังจากเข้าใจสถานการณ์ ผู้นำก็ได้เปิดโปงและชำแหละปัญหาของซาราห์ และพยายามช่วยเหลือเธอ แต่เธอก็ไม่ยอมรับ ดังนั้นผู้นำจึงปลดเธอ หลังจากประสบการณ์นั้น ฉันก็รู้สึกสงบใจอย่างแท้จริง ฉันรู้สึกว่าในที่สุดก็ได้เปลี่ยนแนวที่คลาดเคลื่อนของตัวเอง และฉันไม่ได้เทิดทูนบูชาและติดตามผู้คนเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าอย่างแท้จริงที่ทรงจัดวางสถานการณ์เหล่านั้นเพื่อช่วยให้ฉันมีวิจารณญาณแยกแยะ และได้รับบทเรียนเหล่านั้น

ก่อนหน้า: 40. ถูกล่ามโซ่ตรวน

ถัดไป: 44. คืนวันที่ฉันถูกจองจำ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger