43. ฉันเชื่อในพระเจ้าทว่าเหตุใดจึงบูชาบุคคล?

ตอนที่ฉันรับผิดชอบงานข่าวประเสริฐ ทีมเราทำได้ไม่ดีนัก ฉันกังวลจริงๆ ต่อมาอู๋ปิง ถูกย้ายมาที่คริสตจักรของเรา ได้ยินว่าเธอเป็นผู้เชื่อมายี่สิบกว่าปี เสียสละมากมายเพื่อพระเจ้า เดินทางไปประกาศในหลายที่ และเผชิญอันตรายมากมายโดยไม่เคยล้มเลิก ฉันรู้สึกเคารพเธอจริงๆ ในไม่ช้า ผู้นำก็จัดให้อู๋ปิงมาทำงานข่าวประเสริฐคู่กับฉัน และฉันก็รู้สึกตื่นเต้นมาก สามัคคีธรรมแรกของเธอ ตราตรึงในความทรงจำของฉันจริงๆ เธอเล่าถึงครั้งที่ไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และเจอผู้นำศาสนาทำให้เกิดการหยุดชะงัก เธอสามัคคีธรรมและโต้แย้ง จนพวกเขาพูดไม่ออก เล่าว่าเธอสามัคคีธรรมกับคนที่มีมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาและความรู้ทางพระคัมภีร์มาก และแก้ไขความสับสนในใจของพวกเขา แถมยังเล่าถึงความยากลำบากที่เจอในการเผยแผ่ศาสนา ราคาที่เธอและเหล่าพี่น้องต้องจ่ายเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐในพื้นที่ต่างๆ เล่าว่าผู้นำระดับสูงกว่า ให้ค่าและบ่มเพาะเธอ และมอบหน้าที่สำคัญให้เธอทำ สิ่งที่ทำให้ฉันประทับใจที่สุด คือเธอน้ำตาคลอตอนพูดถึงความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ บอกว่าเราต้องคำนึงถึงน้ำพระทัย จะเจอความยากลำบากแค่ไหน เราก็ต้องเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้าย มันคือภารกิจของเรา ตอนนั้น ดูเหมือนเธอเปี่ยมด้วยความรักที่มีต่อพระเจ้า และฉันก็เกิดเคารพเธอขึ้นมาทันที มันเหมือนกับ เธอมีความเชื่อมายาวนาน เข้าใจความจริงมากกว่าเรา และมีวุฒิภาวะมากกว่า ฉันจึงควรเรียนรู้จากเธอ

จากนั้นเราก็เริ่มทำหน้าที่ด้วยกัน พอทำงานด้วยกัน ฉันก็สังเกตว่าอู๋ปิงสู้ทนกับความยากลำบากได้จริงๆ และโต้รุ่งอยู่บ่อยครั้ง เพื่อติดตามงานและแก้ไขปัญหา เธอชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดและสิ่งที่ตกหล่นในงานของฉัน และสามัคคีธรรมถึงเส้นทางปฏิบัติ เวลาแบ่งปันข่าวประเสริฐกับคนอื่นๆ เธอจะยกตัวอย่าง เปรียบเปรย มีคำพูดที่เฉียบแหลม และแก้ไขความสับสนของผู้คนได้ ในการชุมนุม เวลาเธอพูดถึงงานที่ยังดีไม่พอ เธอก็น้ำตานองหน้า บอกว่าติดค้างพระเจ้ามากแค่ไหน บางครั้ง เวลาเจ้าหน้าที่ให้น้ำมีเรื่องมาถามเธอ เธอก็จะรีบหาเวลาเพื่อช่วยเหลือพวกเขา และยังเป็นห่วงจริงๆ เวลาเห็นฉันรู้สึกไม่ดี ตอนนั้น ฉันก็ยิ่งชอบเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมา เธอได้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันยิ่งรู้สึกเหมือนเธอมีความเป็นจริงของความจริง และยิ่งเคารพนับถือเธอมากขึ้นอีก ฉันเห็นว่าเธอ มักจะวิ่งวุ่นไปมาเพื่อแก้ปัญหา ให้เหล่าพี่น้องชายหญิงในคริสตจักร ฉันรู้สึกเหมือนเธอมีบทบาทสำคัญในคริสตจักรจริงๆ และเราอยู่กันไม่ได้แน่ถ้าไม่มีเธอ เวลาที่ฉันเกิดเจอปัญหา ฉันก็ไปหาเธอเพื่อสามัคคีธรรม กุลีกุจอจดมุมมอง และสิ่งที่เธอพูดเอาไว้ แล้วทำตามทุกสิ่งที่เธอให้ข้อเสนอแนะมา ฉันถึงกับเลียนแบบพฤติกรรมบางอย่างของเธอ อย่างเช่น เวลาที่เห็นเธออยู่จนดึก ฉันก็คิดว่านั่นคือการอุทิศตน และทนทุกข์เพื่อหน้าที่ เลยอยู่จนดึกด้วยเหมือนกัน บางครั้งฉันไม่ได้มีเรื่องเร่งด่วน และเข้านอนเร็วได้ พอเห็นอู๋ปิงยังไม่นอน ฉันก็เลยไม่นอนด้วย ฉันเห็นว่าเธอยังคงยืนหยัดแม้จะถูกจัดการ และยังคงวุ่นอยู่กับหน้าที่ของตัวเอง ฉันคิดว่านี่คือการมีวุฒิภาวะ และความเป็นจริง เวลาที่ถูกจัดการ ฉันจะไม่พอใจจริงๆ อยากทำการเฝ้าเดี่ยวและกลับใจ แต่พอคิดย้อนถึงพฤติกรรมของอู๋ปิง ฉันก็รีบกลับไปทำหน้าที่ โดยไม่มุ่งเน้นที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองให้มากขึ้น ฉันใช้ชีวิต อยู่ในสภาวะของการเคารพ และบูชาอู๋ปิง โดยไม่มีการตระหนักรู้สักนิดเลย แล้วพระเจ้า ก็ทรงจัดสถานการณ์ ที่ค่อยๆ ทำให้ฉันแยกแยะเรื่องอู๋ปิงได้บ้าง

ตอนที่เธอเป็นผู้นำคริสตจักร เธอลงมือทำจริง และทนความยากลำบากได้ทุกอย่าง แต่ปัญหาในงานของเรา กลับผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด และประสิทธิภาพในงานของคริสตจักรก็ค่อยๆ แย่ลง วันหนึ่ง พี่หยางมัคนายกให้น้ำบอกฉันว่า เธอพบปัญหาบางอย่างในงานของอู๋ปิง เธอรับผิดชอบทุกอย่าง โดยไม่ยอมให้เหล่าพี่น้องปฏิบัติ และไม่บ่มเพาะคนที่มีพรสวรรค์ อู๋ปิงทำงานของมัคนายก และผู้นำทีม ไม่ปล่อยให้ใครได้ปฏิบัติ เวลาผ่านไป ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนตัวเองไร้ประโยชน์ และนับถืออู๋ปิงจริงๆ มันไม่ใช่บรรยากาศที่ดีเลย พี่หยางบอกว่า เธออยากพูดกับอู๋ปิงถึงอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับการให้โอกาสคนอื่นได้ปฏิบัติ ทุกคนจะได้เรียนรู้ข้อเสียของตัวเอง และก้าวหน้าได้เร็วขึ้น แล้วพวกเขาก็จะได้ใช้พรสวรรค์ของตัวเองด้วย ผลงานในหน้าที่ของพวกเขา ย่อมดีขึ้นแน่นอน ฉันสนับสนุนแนวคิดของพี่หยางเต็มที่ เราสองคนจึงไปคุยกับอู๋ปิงด้วยกัน แต่น่าประหลาดใจ ที่อู๋ปิงไม่พอใจเลย เธอหน้าตาบูดบึ้ง และไม่เห็นด้วยกับเรา เธอบอกว่าคนอื่นมีปัญหามากเกินไป สอนไปก็เสียเวลา และทำให้อะไรๆ ล่าช้า เธอทำเองย่อมดีกว่า และมีประสิทธิภาพมากกว่า ตอนนั้น เธออธิบายสิ่งต่างๆ อย่างฉะฉาน และฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไร แต่พอ กลับมาคิดดูทีหลัง ฉันก็รู้สึกเหมือน เธอไม่ได้รับมือกับสิ่งต่างๆ อย่างเหมาะสม เราจะบ่มเพาะผู้คนแบบนั้นไม่ได้ พี่น้องชายหญิงจะไม่ได้รับการฝึกฝน และเราก็ต้องพึ่งเธอ แบบนี้งานก็จะออกมาไม่ดี แต่แล้วฉันก็คิดว่า เราไม่เข้าใจความจริง การสามัคคีธรรมเพื่อแก้ไขปัญหากับเธอคงเปล่าประโยชน์ เราคงเป็นตัวถ่วง เธอเข้าใจความจริงดีกว่า ควรปล่อยให้เธอเป็นคนดูแล ดังนั้น ในทุกวันอู๋ปิงจึงยังยุ่งมาก แต่ปัญหามากมายก็ยังคงอยู่ พี่น้องชายหญิงเอื่อยเฉื่อยในหน้าที่ และจะรอให้เธอมาแก้ปัญหา คนส่วนมากรู้สึกแย่ และหดหู่อยู่ตลอดเวลา ต่อมา ผู้นำระดับสูงกว่า พบว่าคริสตจักรของเรามีปัญหาเยอะ และได้รวบรวมการประเมินอู๋ปิง ซึ่งทำให้เห็นว่าเธอโอหังและเผด็จการ และไม่ยอมรับฟังข้อเสนอแนะ แถมเธอยังคุยโวโอ้อวด และพาคนอื่น มาอยู่หน้าตัวเองเสมอ อู๋ปิงจึงถูกปลดไปในทันที ผู้นำยังบอกว่า เราขาดปํญญาแยกแยะ และหลับหูหลับตาเทิดทูนอู๋ปิง เธอบอกให้เราแสวงหาหลักธรรมแห่งความจริงในหน้าที่ ไม่ใช่เอาแต่เคารพใครคนหนึ่ง แล้วฉันก็ตระหนักว่า ฉันใช้ชีวิตอยู่สภาวะของการเทิดทูนมนุษย์มาตลอด เลยไม่มีความสัมพันธ์แบบปกติกับพระเจ้า ฉันนึกถึงกฤษฎีหาบริหารข้อแปดที่ว่า “ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าควรเชื่อฟังพระเจ้าและนมัสการพระองค์  จงอย่ายกย่องหรือนิยมบูชาบุคคลใด จงอย่าวางพระเจ้าเป็นลำดับแรก ผู้คนที่เจ้าเคารพนับถือเป็นลำดับที่สอง และตัวเจ้าเองเป็นลำดับที่สาม  ไม่มีบุคคลใดที่ควรมีความสำคัญในหัวใจของเจ้า และเจ้าไม่ควรพิจารณาผู้คน—โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ที่เจ้าเคารพเทิดทูน—ว่าเสมอกับพระเจ้าหรือเทียบเท่าพระองค์  นี่เป็นเรื่องที่มิอาจทนยอมรับได้สำหรับพระเจ้า(“ประกาศกฤษฎีกาบริหารสิบประการซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในยุคแห่งราชอาณาจักรต้องเชื่อฟัง” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  ฉันรู้สึกกลัวนิดหน่อย เหมือนกับล่วงเกินพระอุปนิสัย ฉันคิดถึงการที่ ฉันนับถืออู๋ปิงตั้งแต่ที่เราติดต่อกัน และการที่ฉันไม่แสวงหาหลักธรรมแห่งความจริงในหน้าที่ เอาแต่พึ่งพาเธอ ไม่ว่ามีปัญหาอะไรฉันก็ไปหาเธอ และทำตามที่เธอว่า ฉันเคารพเธอจริงๆ และไม่มีที่สำหรับพระเจ้าในหัวใจ ฉันรู้สึกเหมือนถ้าคริสตจักรขาดเธอไป งานของเราก็ไม่อาจเสร็จได้ ราวกับไม่มีการทรงนำของพระเจ้า และหลักธรรมแห่งความจริง ก็ไม่เป็นไร แต่ต้องมีเธออยู่ด้วย ฉันยังเป็นผู้เชื่ออยู่อีกเหรอ? นี่มันแค่บูชาและติดตามมนุษย์ไม่ใช่เหรอ? นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจจริงๆ ไม่แปลกเลยที่ฉันไม่ได้รับงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในหน้าที่ และไม่มีความก้าวหน้าใดๆ แม้จะผ่านมานานแล้ว ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า อยากเปลี่ยนแปลงสภาวะ และหยุดเทิดทูนผู้คน

ต่อมาก็มีเรื่องเกิดขึ้น ที่ทำให้ฉันเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของอู๋ปิง หลังจากที่เธอถูกปลด ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามีคนเทิดทูนเธอมากมาย เธอก็ยังไม่วิเคราะห์ หรือเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองในการชุมนุม เธอกลับทำเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม บอกว่าเธอนับถือพี่โจวคู่ทำงาน และฟังทุกอย่างที่พี่โจวพูด ฉันตกใจมากที่เห็นเธอ โบ้ยความผิดไปให้พี่โจวอย่างนั้น ฉันคิดว่า ผู้นำเปิดเผยและวิเคราะห์ปัญหาของเธออย่างชัดเจนแล้ว ทำไมเธอถึงไม่เข้าใจตัวเอง หรือรับผิดชอบอะไรเลย? นี่แสดงให้เห็นถึงการไม่ยอมรับความจริง ต่อมา ผู้นำมอบหมายให้เธอมาทำงานข่าวประเสริฐกับฉัน ถึงฉันจะไม่ได้ชื่นชมเธอเหมือนเมื่อก่อน ฉันก็มีความสุขจริงๆ มีคำกล่าวว่า แม้อูฐตัวผอมก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า และฉันก็ยังรู้สึก เหมือนเธอทำได้ดีกว่าจริงๆ แต่ในการทำงานคู่กับเธอหลังจากนั้น เธอไม่ได้เป็นคนเข้าหาง่ายๆ เหมือนเดิม แต่กลับขึงขังมาก เวลาหารือกันเรื่องงาน เธอไม่ฟังข้อเสนอแนะของฉันเลย แถมยังปฏิเสธทันทีอยู่บ่อยๆ เธอหลบเลี่ยงฉันอยู่หลายครั้ง และเอาแต่ไปหารือเรื่องต่างๆ กับพี่สาวที่เคยทำงานด้วย ฉันรู้สึกอึดอัด และรู้สึกถูกปฏิเสธจริงๆ ผ่านไปสักพัก เราไม่บรรลุอะไรเลยในหน้าที่ ฉันจึงเอาปัญหาในการทำงานร่วมกันไปคุยกับเธอ ฉันตกใจมากที่เธอไม่ยอมรับสักอย่าง และรู้สึกเหมือนไม่ได้ผิดอะไร เธอเพียงแต่พูดกับฉันว่า “ฉันจะพูดตรงๆ อย่าโกรธแล้วกัน แต่ฉันไม่ชินกับการทำงานกับคุณ ฉันไม่ชอบวิธีทำงานของคุณเลย มันทำให้ฉันกังวลใจ” ได้ยินเธอพูดแบบนี้ ฉันก็ค่อนข้างรู้สึกแย่ และรู้สึกเหมือนเป็นตัวถ่วงเธอด้วย

ต่อมา ผู้นำก็รู้ถึงปัญหาเหล่านี้ เธอจัดการกับอู๋ปิงที่โอหังและไม่ยอมรับความจริง ต่อมาในการชุมนุมครั้งหนึ่ง อู๋ปิงก็พูดต่อหน้าทุกคน ว่าการถูกจัดการเป็นความรักของพระเจ้า เธอร้องไห้ออกมา บอกว่ารู้สึกติดค้างพระเจ้า ที่ไม่ทำหน้าที่ให้ดี มันดูเหมือน เธอรู้จักตัวเองจริงๆ แต่เวลาที่เราพูดคุยกันแบบส่วนตัว เธอกลับระบายความคิดลบ มักจะพูดว่าเบื่อ และไม่มีใจจะทำหน้าที่อีกแล้ว เธอไม่ฟังสามัคคีธรรมของฉันเลย ยิ่งตอนที่ผู้นำพูดว่า พี่น้องชายหญิงบางคนก้าวหน้า และทำหน้าที่ได้ดี เธอยิ่งหดหู่มากขึ้น และคิดว่าผู้นำให้ค่าคนอื่นๆ แทนเธอ เธอมักจะมาถามฉันส่วนตัว ว่าคนอื่นหัวเราะเยาะเธอไหม ฉันรำคาญทุกครั้งที่เราคุยกันเรื่องนั้น ฉันเห็นได้ว่าเธอหดหู่ ดูไม่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ในการชุมนุม เธอทำเป็นเข็มแข้งดี ทำหน้าตาว่ายอมรับความจริง และใส่ใจน้ำพระทัย เห็นแล้วมันดูเหนื่อยจริงๆ บางครั้ง ฉันก็ถามตัวเอง ว่านี่คือคนที่ฉันเคยนับถือมากเหรอ? เธอดูไม่เหมือนคนที่มีความเป็นจริงของความจริงเลย เธอมุ่งเน้นชื่อและสถานะมาก และไม่ยอมรับความจริงเลย เธอไม่เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองเวลามีปัญหา แต่กลับทำเป็นแสร้งทำ ดูไม่ใช่คนนั้นเลย จากนั้น สภาวะของเธอก็แย่ลงเรื่อยๆ ผู้นำสามัคคีธรรมกับเธออยู่หลายครั้ง เธอดูยอมรับได้ แต่ก็ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย เธอถึงกับเกลียดชัง และมองคนอื่นด้วยสายตาอาบยาพิษ ผู้นำจัดการเธอ และเปิดโปงปัญหาของเธอ แต่เธอกลับเกลียด และตำหนิพระเจ้าอยู่ในใจ เธออดไม่ได้ที่จะ โบ้ยความผิดทั้งหมดไว้บนบ่าของพระเจ้า ฉันเห็นว่าเธอมีธรรมชาติที่เลวทราม เกลียดพระเจ้าและความจริง เธอเป็นปีศาจ เป็นศัตรูของพระคริสต์ ต่อมา เธอก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ชีวิตคริสตจักรหรือทำหน้าที่อีก

หลังเธอออกไป ฉันก็สงบใจไม่ได้อยู่พักใหญ่ ฉันสงสัย ว่าทำไมถึงบูชาเธอมาก จนถึงจุดที่อยากเป็นอย่างเธอด้วยซ้ำ? เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันเจอคนพูดได้ดี คนที่ทนทุกข์ ล้มเลิก และสละทุกอย่างเพื่อพระเจ้า คนที่ถูกจับและทรมานโดยไม่ทรยศพระเจ้า ฉันก็จะชื่นชมพวกเขามาก ทำไมฉันถึงเทิดทูนบูชาคนพวกนี้นัก? แนวคิดแบบไหนควบคุมฉันอยู่กันแน่? หลังจากนั้น ฉันได้เห็นพระวจนะสองบทตอน “ผู้คนบางคนสามารถทนความยากลำบากได้ สามารถจ่ายราคาได้ ภายนอกมีความประพฤติดีมาก ค่อนข้างเป็นที่นับถือดี และชื่นชมกับการเลื่อมใสของผู้อื่น  พวกเจ้าจะพูดว่าพฤติกรรมภายนอกประเภทนี้สามารถถือได้ว่าเป็นการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติหรือไม่?  คนเราจะสามารถกำหนดพิจารณาได้หรือไม่ว่าผู้คนเช่นนี้กำลังทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า?  เหตุใดจึงเป็นว่า ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผู้คนเห็นปัจเจกบุคคลเช่นนี้และคิดว่าพวกเขากำลังทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย กำลังเดินตามเส้นทางของการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ และกำลังเดินตามทางของพระเจ้า?  เหตุใดผู้คนบางคนจึงคิดเช่นนี้?  มีคำอธิบายเพียงคำเดียวเท่านั้น  คำอธิบายนั้นคืออะไรเล่า?  คำอธิบายก็คือว่า สำหรับผู้คนจำนวนมหาศาล คำถามบางคำถาม—อาทิ การนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติหมายความว่าอะไร การทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยหมายความว่าอะไร และการครองความเป็นจริงของความจริงอย่างแท้จริงหมายความว่าอะไร—ไม่ชัดเจนอย่างมาก  ดังนั้น จึงมีผู้คนบางคนที่มักถูกหลอกลวงโดยพวกที่ภายนอกดูเหมือนจะเป็นฝ่ายวิญญาณ สูงศักดิ์ สูงส่ง และยิ่งใหญ่  ในส่วนของผู้คนที่สามารถพูดถึงตัวอักษรและคำสอนได้อย่างมีวาทศิลป์ และวาทะและการกระทำของพวกเขาดูเหมือนจะมีค่าคู่ควรกับการเลื่อมใส พวกที่ถูกพวกนั้นหลอกลวงไม่เคยได้มองที่แก่นแท้ของการกระทำของพวกเขา หลักการทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของพวกเขา หรืออะไรคือเป้าหมายของพวกเขา  ยิ่งกว่านั้น พวกเขาไม่เคยมองว่าผู้คนเหล่านี้นบนอบต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่ และพวกเขาไม่เคยกำหนดพิจารณาว่าผู้คนเหล่านี้ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วอย่างแท้จริงหรือไม่  พวกเขาไม่เคยหยั่งรู้แก่นแท้ของสภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้คนเหล่านี้  ตรงกันข้าม เริ่มต้นด้วยขั้นตอนแรกของการทำความคุ้นเคยกับพวกเขา พวกเขาได้มาเลื่อมใสและเคารพผู้คนเหล่านี้ทีละเล็กทีละน้อย และในที่สุด ผู้คนเหล่านี้ก็กลายเป็นรูปเคารพของพวกเขา  นอกจากนี้ ในจิตใจของผู้คนบางคน รูปเคารพที่พวกเขานมัสการ—และผู้ที่พวกเขาเชื่อว่าสามารถทอดทิ้งครอบครัวและอาชีพการงานของพวกเขาได้ และผู้ที่โดยผิวเผินแล้วดูเหมือนจะสามารถจ่ายราคาได้—เป็นพวกที่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอย่างแท้จริง และพวกที่สามารถบรรลุบทอวสานที่ดีและบั้นปลายที่ดีได้  ในจิตใจของพวกเขา รูปเคารพเหล่านี้คือพวกที่พระเจ้าทรงสรรเสริญ(“วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)

มีเพียงสาเหตุที่แท้จริงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้ผู้คนมีการกระทำและทัศนคติที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เช่นนี้ หรือมีข้อคิดเห็นและการฝึกฝนปฏิบัติด้านเดียว—และวันนี้ เราจะบอกพวกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ กล่าวคือ เหตุผลก็คือว่า แม้ว่าผู้คนอาจติดตามพระเจ้า อธิษฐานต่อพระองค์ทุกวัน และอ่านถ้อยดำรัสของพระองค์ทุกวัน แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์อย่างจริงแท้  มีรากเหง้าของปัญหาอยู่ในที่นี้  หากใครบางคนเข้าใจพระทัยของพระเจ้าและรู้ว่าพระองค์ทรงชอบสิ่งใด พระองค์ทรงเกลียดสิ่งใด พระองค์ทรงต้องประสงค์สิ่งใด พระองค์ทรงปฏิเสธสิ่งใด พระองค์ทรงรักบุคคลชนิดใด พระองค์ไม่ทรงชอบบุคคลชนิดใด พระองค์ทรงใช้มาตรฐานชนิดใดเมื่อทำการเรียกร้องต่อผู้คน และพระองค์ทรงใช้การเข้าหาประเภทใดเพื่อทำให้พวกเขามีความเพียบพร้อม เช่นนั้นแล้วบุคคลนั้นยังคงสามารถมีข้อคิดเห็นส่วนตัวของพวกเขาเองได้หรือไม่?  ผู้คนเช่นนี้อาจสามารถไปนมัสการใครอื่นบางคนได้อย่างเรียบง่ายกระนั้นหรือ?  มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งอาจสามารถกลายเป็นรูปเคารพของพวกเขาได้หรือไม่?  ผู้คนที่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าจะครองทัศนคติที่สมเหตุสมผลมากกว่านั้นเล็กน้อย  พวกเขาจะไม่เทิดทูนบุคคลที่เสื่อมทรามผู้หนึ่งโดยพลการ และในขณะที่กำลังเดินไปบนเส้นทางของการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัตินั้น พวกเขาก็จะไม่เชื่อว่าการยึดติดกับกฎเกณฑ์หรือหลักการเรียบง่ายไม่กี่ข้ออย่างมืดบอดนั้นทัดเทียมกับการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ(“วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  พระวจนะพูดเรื่องฉันได้ตรงจุด ฉันเห็นว่าตัวเองมีมุมมองที่ผิดในความเชื่อมาตลอด คิดว่าการเชื่อมานาน กระตือรือร้นยอมลำบากและทำงานเยอะ คือการปฏิบัติความจริง และมีความเป็นจริงของความจริง ฉันคิดว่าคนประเภทนั้นจะนำความปีติมาสู่พระเจ้า และมีที่มั่นในพระนิเวศ ดังนั้นเวลาปฏิสัมพันธ์กับพี่อู๋ พอฉันเห็นเธอเชื่อมานาน เสียสละมามาก ทนทุกข์มากมายเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และสามัคคีธรรมได้อย่างคมคาย ฉันก็หลงเชื่อภาพลักษณ์อันยิ่งใหญ่ และพฤติกรรมที่น่าประทับใจของเธอ มันทำให้ฉัน บูชาเธอ ในที่สุด ฉันก็เห็นว่าฉันช่างโง่เขลาและรู้ไม่เท่าทัน ฉันมีมุมมองที่น่าขันจริงๆ เวลาที่ใครเสียสละ และทนทุกข์ในหน้าที่ได้ นั่นเป็นแค่พฤติกรรมดีเพียงผิวเผิน ไม่ได้แปลว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่ดี รักความจริง หรือมีความเป็นจริงของความจริง อย่างตัวอู๋ปิง เธอเป็นผู้เชื่อมายี่สิบกว่าปี เสียสละหลายสิ่ง และเป็นนักพูดที่ดี แต่เธอใช้สิ่งเหล่านี้เป็นทุนส่วนตัว มักจะอวดตน และนำผู้คนมาอยู่หน้าเธอ เธอยอมรับหรือปฏิบัติความจริงไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเจอคำวิจารณ์ หรือความล้มเหลวมากแค่ไหน เธอก็ไม่เคยทบทวนตัวเอง หรือกลับใจอย่างแท้จริง ตอนที่มีคนเห็นค่า และมีสถานะ เธอก็มีแรงทำหน้าที่ อยู่จนดึกดื่นและทุ่มเททุกอย่างได้ แต่พอถูกปลด เธอกลับเสียทุกแรงขับเคลื่อนในหน้าท่ี เธอต่อต้านและพร่ำบ่นอยู่ตลอด และแอบระบายความคิดลบ แต่โดยผิวเผินนั้น เธอบอกว่าติดค้างพระเจ้า และดูเหมือนกลับใจได้ คนอื่นจึงรู้สึกเหมือนเธอใส่ใจน้ำพระทัย มีวุฒิภาวะ และความเป็นจริง ทุกคนจึงเคารพ เทิดทูนเธอ หลังจากถูกตัดแต่งและจัดการ เธอก็บอกทุกคนว่ามันคือความรักของพระเจ้า แต่เธอแอบตำหนิ และเกลียดพระเจ้า เธอคือศัตรูของพระคริสต์ ที่เกลียดความจริงและพระเจ้าไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า การเชื่อมานาน เสียสละได้ และพูดจาดี การมีประสบการณ์ และถูกให้ค่า ไม่ได้แปลว่าคนนั้นมีความเป็นจริงของความจริง ไม่ต้องพูดถึงการทำให้พระเจ้าทรงปีติเลย ไม่ว่าจะเชื่อมานาน หรือทำงานหนักแค่ไหน ถ้าพวกเขาไม่ปฏิบัติความจริง และไม่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน โดยเนื้อแท้แล้วพวกเขาก็ยังต่อต้านพระเจ้า และสุดท้ายจะถูกขับออก นี่ทำให้สิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ลุล่วง “เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนจำนวนมากร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ?’ เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’(มัทธิว 7:22-23)  ต่อมา ฉันก็นึกถึงพระวจนะที่ว่า “เราไม่สนใจว่างานที่หนักของเจ้านั้นมีความดีความชอบเพียงใด คุณวุฒิของเจ้าน่าประทับใจเพียงใด เจ้าติดตามเราอย่างใกล้ชิดเพียงใด เจ้าเป็นที่รู้จักมากเพียงใด หรือว่าเจ้าได้ปรับปรุงท่าทีของเจ้าไปมากเพียงใดแล้ว ตราบเท่าที่เจ้ายังไม่ทำตามข้อเรียกร้องของเรา เจ้าจะไม่มีวันได้รับคำสรรเสริญจากเราเลย  จงขีดฆ่าแนวคิดและการคำนวณเหล่านั้นของพวกเจ้าออกไปทั้งหมดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ และเริ่มปฏิบัติต่อข้อพึงประสงค์ของเราอย่างจริงจัง หาไม่แล้ว เราจะแปรทุกคนไปเป็นขี้เถ้าเพื่อให้งานของเราสิ้นสุดลง และถ้ามองในแง่เลวร้ายที่สุดก็คือ แปรช่วงเวลาหลายปีของงานและการทนทุกข์ของเราไปเป็นการไม่มีอะไรเลย เพราะเราไม่สามารถนำพาศัตรูทั้งหลายของเราและผู้คนเหล่านั้นที่เหม็นคลุ้งไปด้วยความชั่วและมีรูปลักษณ์ของซาตานเข้าสู่อาณาจักรของเราหรือพาพวกเขาเข้าไปสู่ยุคถัดไปได้(“การฝ่าฝืนจะนำทางมนุษย์ไปสู่นรก” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  “เราตัดสินใจเรื่องบั้นปลายของแต่ละบุคคลโดยไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอายุ ความอาวุโส ปริมาณความทุกข์ และที่น้อยที่สุดคือ ระดับความชวนสังเวชของพวกเขา แต่เป็นไปโดยสอดคล้องกับการที่ว่า พวกเขาครองความจริงหรือไม่  ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากนี้  พวกเจ้าจำต้องตระหนักว่า ทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจะถูกลงโทษด้วยเช่นกัน  นี่คือข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้(“จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  ฉันประทับใจในพระวจนะมาก พระเจ้าไม่ทรงกำหนดบั้นปลายของใคร ตามความพยายาม การทำตัวดี หรือการทำงานหนัก แต่ตามที่พวกเขามีความจริงหรือไม่ พระเจ้าไม่ทรงตัดสินผู้คนจากสิ่งภายนอก แต่ทรงตัดสินจากแก่นแท้ พระองค์ทรงดูว่า พวกเขารักความจริง และนำมาปฏิบัติได้หรือไม่ พวกเขานบนอบต่อพระเจ้า และทำตามน้ำพระทัยหรือไม่ ฉันเห็นว่า พระเจ้าทรงมีพระอุปนิสัยชอบธรรม และบริสุทธิ์จริงๆ พระองค์ทรงมีมาตรฐาน และหลักธรรมในการตัดสินผู้คน ไม่มีความรู้สึกเข้ามาแทรก พระเจ้าจะไม่ตัดสินว่าใครชอบธรรมหรือเป็นคนดี แค่เพราะเขากระตือรือร้น มีส่วนช่วย หรือทนทุกข์อยู่บ้าง ตรงกันข้าม ไม่ว่าคนนั้นจะเชื่อมานานแค่ไหน ทำงานหนัก หรือเป็นที่รู้จักแค่ไหน ถ้าไม่ปฏิบัติความจริง และไม่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัย พวกเขาจะถูกพระเจ้าขับออกแน่นอน พอเข้าใจเรื่องนี้ ฉันก็ได้เห็นว่า ฉันรู้ไม่เท่าทัน และน่าสมเพชจริงๆ หลายปีที่เชื่อมา ฉันไม่ได้ไล่ตามความจริง หรือเข้าใจน้ำพระทัยเลย ฉันเพียงแต่เชื่อตามมโนคติอันหลงผิด และเฝ้าบูชาคนอื่น ฉันได้เห็นว่า ฉันมืดบอดและโง่เขลาแค่ไหน ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะบทตอนนี้ “ในมนุษยชาติทั้งหมด ไม่มีใครเลยที่สามารถทำหน้าที่เป็นแบบอย่างสำหรับผู้อื่นได้ เพราะพวกมนุษย์ทั้งหมดนั้นโดยพื้นฐานแล้วก็เป็นเหมือนๆ กันและไม่มีอะไรแตกต่างจากกันและกันเลย มีสิ่งที่แยกแยะพวกเขาออกจากคนอื่นน้อยมาก  ด้วยเหตุผลนี้ กระทั่งวันนี้แล้ว พวกมนุษย์ก็ยังคงไม่สามารถที่จะรู้จักงานของเราได้อย่างครบถ้วน  จนเมื่อการตีสอนของเราเคลื่อนลงมายังมวลมนุษย์ทั้งปวงแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงจะกลายเป็นตระหนักรู้ถึงงานของเราโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว และเมื่อปราศจากการกระทำสิ่งใดๆ ของเรา หรือการดลใจใครต่อใครของเรา มนุษย์จึงจะมารู้จักเรา และเป็นพยานต่องานของเราด้วยผลจากการนั้น  นี่คือแผนการของเรา เป็นแง่มุมเกี่ยวกับงานของเราที่ถูกสำแดงให้ประจักษ์ และเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรจะรู้(“บทที่ 26” ของ พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  พระวจนะว่าไว้ชัดเจนที่สุด ผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และมีแก่นแท้ของซาตาน เราแสดงออกแต่อุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ไม่มีสักคนเดียวที่ควรค่าแก่การบูชา ถ้าเมื่อก่อนฉันเข้าใจเรื่องนี้ ฉันคงไม่เทิดทูน หรือบูชาใครเลย

จากนั้นไม่นาน ฉันก็ถูกปลดเพราะไม่มีผลในหน้าที่ ตอนนั้น ฉันใช้ความคิดอย่างหนัก และทบทวนสิ่งที่ผิดพลาดไป ฉันนึกถึงการที่ฉัน ติดอยู่ในสภาวะแห่งการบูชาอู๋ปิง คิดว่าเธอเป็นผู้เชื่อมานาน ประกาศข่าวประเสริฐมาหลายปี ทนทุกข์มากมาย และมีประสบการณ์เยอะ เธอก็ควรเข้าใจความจริง และมีความเป็นจริง ฉันจึงพยายามเลียนแบบพฤติกรรมเธอเสมอ และเห็นด้วยกับเธอในทุกคำถาม ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร ฉันก็จะแค่เชื่อโดยไม่คิด และทำทุกอย่างที่เธอพูด พระเจ้าไม่มีที่ในหัวใจฉันเลย ฉันไม่ได้แสวงหาความจริงเมื่อเจอปัญหา และไม่มีหลักธรรม ฉันฟังแค่มนุษย์ ฟังอู๋ปิง ฉันไม่ได้ติดตามพระเจ้า แต่กลับติดตามบุคคล เหมือนที่พระเจ้าตรัสว่า “สิ่งที่เจ้าเลื่อมใสนั้นไม่ใช่ความถ่อมใจของพระคริสต์ แต่เป็นบรรดาผู้เลี้ยงเทียมเท็จที่มีจุดยืนอันโดดเด่นเหล่านั้น เจ้าไม่ได้ชื่นชมบูชาความดีงามหรือพระปัญญาของพระคริสต์ แต่เป็นพวกคนหลงระเริงที่เกลือกกลิ้งในความโสมมของโลก เจ้าหัวเราะให้กับความเจ็บปวดของพระคริสต์ที่ไม่มีที่จะวางพระเศียรของพระองค์ แต่เจ้ากลับเลื่อมใสบรรดาซากศพเหล่านั้นที่ตามล่าหาของถวายและใช้ชีวิตอยู่กับความเสเพล เจ้าไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์เคียงข้างพระคริสต์ แต่เจ้ากลับเปรมปรีดิ์ที่จะโผเข้าสู่อ้อมแขนของพวกต่อต้านพระคริสต์ที่บ้าบิ่นสิ้นคิดเหล่านั้น แม้พวกเขาจะจัดหาให้เจ้าเพียงแค่เนื้อหนัง คำพูดและการควบคุม แม้ว่าบัดนี้หัวใจของเจ้ายังคงหันเข้าหาพวกเขา เข้าหาความมีหน้ามีตาของพวกเขา เข้าหาสถานภาพของพวกเขา เข้าหาอิทธิพลของพวกเขา และกระนั้นเจ้าก็ยังคงสงวนท่าทีที่ทำให้เจ้าพบว่าพระราชกิจของพระคริสต์นั้นยากที่จะกลืนลง และเจ้าก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับพระราชกิจนั้น  นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราจึงกล่าวว่าเจ้าขาดความเชื่อที่จะยอมรับพระคริสต์ เหตุผลที่เจ้าได้ติดตามพระองค์มาจนถึงวันนี้ก็เพียงเพราะเจ้าไม่มีทางเลือกอื่น  ภาพลักษณ์อันสูงส่งเป็นชุดๆ ตั้งตระหง่านอยู่ในหัวใจของเจ้าตลอดกาล เจ้าไม่อาจลืมทั้งวาจาและความประพฤติทุกอย่างของพวกเขา และคำพูดกับมือที่มีอิทธิพลของพวกเขาได้ ในหัวใจของพวกเจ้านั้น พวกเขาคือผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดตลอดกาลและเหล่าวีรบุรุษตลอดกาล แต่นี่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นสำหรับพระคริสต์ในวันนี้ พระองค์ไม่มีนัยสำคัญตลอดกาลในหัวใจของเจ้าและไม่คู่ควรที่จะได้รับความเคารพตลอดกาล เพราะพระองค์นั้นทรงมีความเป็นธรรมดาเกินไปมาก ทรงมีอิทธิพลน้อยเกินไปมาก และห่างไกลจากคำว่าสูงส่ง(“เจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริงหรือไม่?” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  พระวจนะเปิดเผยสภาวะจริงของฉัน คิดย้อนไปถึงหลายปีที่เชื่อมา ฉันเอาแต่เทิดทูนคนรอบตัวที่มีขีดความสามารถ และพรสวรรค์ คนที่ได้รับการสนับสนุน และให้ค่า ฉันเคารพทุกคำพูดและการกระทำของพวกเขา ราวกับเป็นสิ่งที่ไว้เลียนแบบ โดยไม่แสวงหาน้ำพระทัยเลย ราวกับเป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการ และสอดคล้องกับหลักธรรมแห่งความจริง ฉันหลับหูหลับตาเคารพ และติดตาม จนถึงขั้นที่อยากเป็นเหมือนพวกเขา ฉันอยู่บนทางที่ผิดมาโดยตลอด แสวงหาจะทนทุกข์ และทำงานให้เยอะ ฉันพึ่งพาขีดความสามารถ และประสบการณ์ในหน้าที่ ไม่เคยมุ่งเน้นการแสวงหาหลักธรรมแห่งความจริง หรือการเข้าสู่ชีวิตของตัวเองเลย หลายปีที่ผ่านมาฉันจึงไม่ได้เรียนรู้ความจริงมากนัก และชีวิตฉันก็ทุกข์ ฉันรู้สึกจริงๆ ว่าฉันรู้ไม่เท่าทันและน่าเวทนาแค่ไหน พระเจ้าทรงมอบพระวจนะมากมาย แต่ฉันแทบไม่จำเลย แต่อะไรที่อู๋ปิงพูด ความเห็นอะไรที่เธอมี ฉันกลับจำได้แจ่มแจ้ง และจะทำตามทันที ฉันมักจะพึ่งพาเธอในหน้าที่ แต่พระเจ้ากลับไม่มีที่ในใจฉันเลย ฉันถูกเปิดโปงแบบหมดเปลือก ผ่านทุกเรื่องกับอู๋ปิง โดยเฉพาะตอนที่เธอถูกปลด ปัญหาของเธอถูกนำมาพูด และฉันก็รู้ถึงปัญหานั้น แต่พอเรากลับมาร่วมงานกันอีก ฉันก็ยังมีภาพที่ยิ่งใหญ่และโดดเด่นของเธอในใจ ฉันยังคงพึ่งพาเธอในหน้าที่ และคิดว่าต่อให้จะเป็นอูฐที่ผอมโซ ก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า ฉันรู้สึกว่าถึงจะมีปัญหาบ้าง เธอก็เก่งกว่าฉันอยู่ดี นี่คือวิธีที่ฉันมองสิ่งต่างๆ ฉันบูชาบุคคลมากเกินไป ไม่ได้แสวงหาหลักธรรมแห่งความจริงในการมีปฏิสัมพันธ์ และขาดปัญญาแยกแยะ ฉันมองสิ่งต่างๆ ตามคำโกหกเยี่ยงซาตาน ต่อมา แม้จะเห็นปัญหาของอู๋ปิงมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันก็ยังไม่มีปัญญาแยกแยะ ฉันยังติดตามเธอ และถูกเธอบีบคั้น ฉันอยู่ในสภาวะที่คิดลบ และทุกข์ใจตลอด สมควรแล้วที่จะเป็นแบบนั้น ที่ผ่านมาฉันนับถืออู๋ปิง และพึ่งพาเธอในหน้าที่ แต่ตัวฉันได้อะไรจากสิ่งนั้นบ้าง? การหลอกลวง บีบคั้น และปฏิเสธ ฉันทุกข์ใจ และรู้สึกอึดอัด เริ่มไกลออกจากพระเจ้าขึ้นเรื่อยๆ ฉันเชื่อโดยไม่พึ่งพาหรือเคารพพระเจ้า และไม่ไล่ตามความจริงเลย ฉันเอาแต่บูชา และติดตามบุคคล ฉันเป็นคนโง่ที่ขาดปัญญาแยกแยะ ตอนนั้น ฉันพลาดและล้มลง และนั่นคือความชอบธรรม และความรอดที่พระเจ้ามีต่อฉัน การเปิดเผยคราวนั้น ทำให้ฉันเพ่งมองทางที่ผิดที่ฉันเดินอยู่ ทำให้ฉันตรวจสอบความเข้าใจผิดของตัวเอง และได้มาแสวงหาความจริง เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ฉันยังเห็นถึงความสำคัญของการไล่ตามความจริงด้วย ที่พระเจ้าตรัสว่า “พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงไม่สามารถติดตามจนถึงที่สุดได้” มันจริงมากเลยค่ะ คนที่ไม่ไล่ตามความจริง จะต้องถูกพระเจ้าเปิดโปงและขับออกแน่นอน ประสบการณ์แห่งความล้มเหลวของฉันเองและของคนที่ฉันนับถือ เป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุด

สองเดือนต่อมา ฉันก็ได้ทำงานข่าวประเสริฐคู่กับหวังลี่ ฉันเคยได้ยินมาว่า หลังจากได้รับความเชื่อ เธอก็ยอมทิ้งงานที่ดีมากเพื่อมาทำหน้าที่ เธอทำงานหนัก และมีขีดความสามารถที่ดีมาก เธอทำงานข่าวประเสริฐมากมาย และมีประสบการณ์ พอได้รู้จักเธอไปสักระยะ ฉันก็เห็นว่าเธอใส่ใจงานของคริสตจักรมาก เธอกระตือรือร้นสามัคคีธรรมในการชุมนุมจริงๆ และดูไม่ฝืนใจ ไม่ว่าจะในสถานการณ์ใด หรือคนเยอะแค่ไหน เธอพูดด้วยท่าทางที่ดูดี และไม่มีความกลัว เธอสามัคคีธรรมอย่างแข็งขัน ช่วยเหลือคนที่เจอปัญหา และทุกคนก็ชอบเธอมากจริงๆ ฉันรู้สึกเหมือนเธอไล่ตามความจริง และเคารพเธอมาก ฉันมีความสุขมาก ที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับเธอ แต่ฉันก็นึกถึงความล้มเหลวคราวก่อนขึ้นมา การที่ฉันให้ค่ากับขีดความสามารถและพรสวรรค์ของอู๋ปิง บูชาเธอ ติดตามเธอ ฉันจึงเดินบนทางที่ผิด และมันอันตรายต่อชีวิตฉัน ฉันรู้ว่าในการปฏิสัมพันธ์กับหวังลี่ ฉันจะพึ่งพาความเข้าใจผิด เพื่อดูสิ่งต่างๆ อีกไม่ได้ ฉันต้องเข้าหาเธอตามหลักธรรมแห่งความจริง หวังลี่มีขีดความสามารถที่ดี และมีประสบการณ์แบ่งปันข่าวประเสริฐ จึงมีหลายสิ่งให้เรียนรู้จากเธอ เพื่อชดเชยสิ่งที่ฉันขาด แต่เธอก็เป็นคนเสื่อมทรามเหมือนกัน ด้วยอุปนิสัยเสื่อมทรามและข้อเสียนั้น ฉันจะนับถือ และพึ่งพาเธอไม่ได้ ถ้าเธอมีปัญหาและข้อผิดพลาดในหน้าที่ ฉันก็ไม่อาจติดตามเธอแบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้ ฉันควรมีปัญญาแยกแยะ และปฏิบัติต่อเธอตามหลักธรรมแห่งความจริง ต่อมา ในการหารือเรื่องงานของเรา ฉันก็สังเกตว่า ข้อเสนอแนะส่วนใหญ่ของหวังลี่ ใช้งานไม่ได้จริง ฉันกับพี่สาวอีกสองคน รู้สึกว่ามันใช้ไม่ได้ แต่เธอก็ยึดมั่นในความคิดของตัวเองจริงๆ เธอติดอยู่กับอะไรก็ตามที่เราไม่เห็นด้วย และพอเธอติดอยู่กับทางตันนั้นนานๆ ก็ทำให้งานคืบหน้าช้า แล้วฉันก็ค่อยๆ เห็นว่า หวังลี่โอหังและดื้อรั้นจริงๆ เวลาข้อเสนอแนะของเธอถูกปฏิเสธ เธอจะอารมณ์ไม่ดี เธอจะทำหน้ามุ่ย แล้วทำให้คนอื่นอึดอัด เธอทำให้ทีมข่าวประเสริฐหยุดชะงัก และขัดขวางความคืบหน้าของงาน ฉันเล่าพฤติกรรมของเธอให้ผู้นำฟัง พอรู้เรื่องนี้ ผู้นำก็เปิดโปง และชำแหละปัญหาของเธอ แต่เธอยังคง ปฏิเสธไม่ยอมรับ หลังจากนั้นเธอจึงถูกเปลี่ยนหน้าที่ พอเป็นแบบนั้น ฉันก็รู้สึกสงบสุขจริงๆ มันเหมือนกับ ในที่สุดฉันก็เปลี่ยนแปลงแนวคิดผิดๆได้ และฉันไม่ได้เคารพบูชาและติดตามผู้คนอย่างเมื่อก่อน ฉันยังรู้สึกขอบคุณพระเจ้า ที่สร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมา ให้ฉันมีปัญญาแยกแยะ ฉันจึงเรียนรู้ จากบทเรียนเหล่านั้นได้ ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 40. ถูกล่ามโซ่ตรวน

ถัดไป: 44. ช่วงเวลาที่ถูกกักขัง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger