25. ถูกกดขี่โดยครอบครัวของฉัน: ประสบการณ์การเรียนรู้
ตอนที่ฉันเริ่มเชื่อใหม่ๆ สามีก็ไม่ได้กีดกัน และฉัน แบ่งปันข่าวประเสริฐกับเขาด้วย แต่เขามุ่งเน้นที่การหาเงิน จึงไม่อยากมาเชื่อด้วย จากนั้น เขาก็สังเกตเห็นว่าพฤติกรรมของฉันเปลี่ยนไปหมด และใจเย็นขึ้นมาก เขาจึงสนับสนุนฉันเต็มที่ แต่ว่า หนึ่งปีต่อมา เขาก็เริ่มขัดขวางฉันค่ะ วันหนึ่งตอนที่เขากลับจากงาน เขาก็ถามฉันว่า “คุณเชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออกใช่ไหม? วันนี้ผมไปส่งไมค์ที่บ้าน และเขาบอกผมว่า นักบวชที่คริสตจักรของเขาพูดว่ามันไม่ใช่ทางที่แท้จริง คำเทศนาของมันลึกซึ้ง ทำให้เราหลงผิดได้ง่าย ไมค์เตือนผมว่าคุณไม่ควรฟังคำเทศนาทั้งหลายของมัน” ไมค์เป็นหัวหน้าของเขา และเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามานาน เขาเป็นคนเก่งมาก สามีของฉันนับถือเขามากค่ะ ฉันเห็นว่าสามีคิดว่าไมค์พูดถูก ฉันก็เลยบอกเขาว่า เขาไม่เข้าใจเรื่องของศรัทธา ไม่ควรจำคำคนอื่นมาพูด เขาดูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
แล้วอีกครั้ง เขาก็พูดกับฉันอย่างจริงจังว่า “ผมค้นคว้าออนไลน์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของคุณกำลังถูกพรรคคอมมิวนิสต์กวาดล้าง แถมผู้คนก็พูดเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หลายอย่าง ว่าพระองค์เป็นแค่คนคนหนึ่ง ไม่ใช่พระเจ้า และคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็รีดเงินจากผู้คน ผมให้คุณเข้าร่วมชุมนุมกับคนจากคริสตจักรนั่นไม่ได้แล้ว ผมกลัวว่าคุณจะถูกต้ม” พอฉันได้ยินแบบนี้ ฉันโกรธมากจริงๆ ค่ะ และตอบว่า “คุณไม่เคยอ่านพระวจนะพระองค์ และไม่เข้าใจคริสตจักรนี้เลย จะมาด่วนตัดสินตามอำเภอใจจากข่าวลือออนไลน์ได้ยังไง? รู้ไหมคะว่า คริสเตียนต่างเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้าเที่ยงแท้ สองพันปีก่อน ตอนองค์พระเยซูเจ้าทรงงาน พระองค์ก็ถูกคนมากมายกล่าวโทษและปฏิเสธ พวกเขาพูดว่าพระองค์เป็นแค่คนธรรมดา บุตรของช่างไม้คนหนึ่ง ภายนอกองค์พระเยซูเจ้าทรงดูเหมือนคนธรรมดา แต่พระองค์มีแก่นแท้ที่เป็นพระเจ้า และทรงแสดงความจริงและไถ่มนุษย์ได้ พระองค์คือพระวิญญาณที่นุ่งห่มเนื้อหนัง พระผู้ไถ่ของมนุษยชาติ ถ้าเราฟังพรรคคอมมิวนิสต์และพูดว่าคนที่ภายนอกดูเหมือนคนธรรมดาไม่ใช่พระเจ้า นั่นไม่เป็นการปฏิเสธองค์พระเยซูคริสต์เจ้าด้วยหรอกเหรอ? พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงดูธรรมดาเหมือนองค์พระเยซูเจ้า แต่พระองค์ทรงแสดงความจริง แสดงเสียงของพระเจ้าได้ ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มาเยอะมาก พระวจนะเปิดเผยข้อล้ำลึกทุกประเภทเกี่ยวกับพระคัมภีร์ บอกเราถึงวิธีที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม และวิธีที่พระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ให้รอด บอกรากเหง้าของความชั่วความมืดทั้งหมดในโลก และความจริงของความเสื่อมทราม และแสดงเส้นทางที่จะพ้นจากบาป ถูกช่วยให้รอด และเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ ไม่มีใครแสดงความจริงเหล่านี้ได้ ไม่ว่าจะโด่งดังหรือยิ่งใหญ่แค่ไหน มนุษย์คนไหนหรือที่ สามารถแสดงความจริงได้? ใครหรือที่ทำงานแห่งการไถ่และความรอดได้? ไม่มีหรอกค่ะ นี่พิสูจน์ว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระเจ้าที่เสด็จมาในร่างมนุษย์” ฉันยังบอกเขาด้วยว่า คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่เคยร้องขอของถวาย หนังสือพระวจนะทั้งหมดถูกแจกจ่ายออกไปโดยไม่คิดเงิน ที่พรรคอ้างว่าคริสตจักรแค่ต้องการเงินของผู้คน เป็นการใส่ความกันล้วนๆ ฉันบอกเขาว่าไม่ควรเชื่อคำโกหกพวกนั้นทั้งหมดทั้งสิ้น เขาเดินผละไปเฉยๆ เลยค่ะ
แล้วครั้งหนึ่ง ตอนฉันกลับจากแบ่งปันข่าวประเสริฐ เขาพูดกับฉันอย่างฉุนเฉียวว่า “ผมเพิ่งเห็นออนไลน์ พรรคบอกว่าคนในคริสตจักรของคุณกำลังละทิ้งครอบครัว พักหลังคุณออกไปบ่อยมาก คุณเตรียมจะจากไปแล้วอย่างนั้นเหรอ?” ฉันพูดว่า “ฉันดูแลบ้านของเราอย่างดี คุณพูดอย่างนั้นได้ยังไง? ฉันออกไปเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐ ว่าพระผู้ช่วยให้รอดเสด็จมาแล้ว คนจะได้รับความรอดของพระองค์ได้ คุณก็เห็นแล้วนี่ว่า ตลอดเวลา ผู้คนทำตามกระแสนิยมชั่ว ใช้ชีวิตในบาป จนเสื่อมทรามลงยังไง ดูเพื่อนของคุณสิ ถ้าไม่เล่นพนันก็เที่ยวผู้หญิง มีใครมีศีลธรรมบ้างไหม? โลกนี้ มันช่างชั่วเหลือเกินแล้ว ทุกคนปฏิเสธและต่อต้านพระเจ้า ความเสื่อมทรามก็พุ่งสูงสุด พระคัมภีร์เผยพระวจนะถึงมหาวิบัติในยุคสุดท้าย ซึ่งจะกวาดล้างมนุษยชาติที่เสื่อมทรามจนสิ้น ความวิบัติกำลังเติบโตขึ้น ผู้คนต้องทิ้งความเสื่อมทราม ยอมรับการพิพากษาตีสอนของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระเจ้าจึงจะทรงอารักขาให้พ้นความวิบัติและเข้าสู่ราชอาณาจักรได้ ผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์รู้ว่าพระเจ้าทรงเร่งช่วยคนให้รอด พวกเราจึงเต็มใจปล่อยวางความสุขทางเนื้อหนัง เพื่อเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักร นี่คือการทำตามน้ำพระทัย มันเป็นความชอบธรรมและเป็นการทำความประพฤติดี! แต่พรรคไม่ยอมให้คนมีความเชื่อ หรือเป็นพยานให้พระเจ้า อีกทั้งจับกุมและข่มเหงคริสเตียนอย่างบ้าคลั่ง นั่นบีบให้คริสเตียนมากมายละทิ้งครอบครัว กลับบ้านไม่ได้ บางคนถึงกับถูกจับขัง หรือถูกข่มเหงจนตาย ทั้งหมดนี้ไม่ได้มาจากการที่พรรคข่มเหงคริสเตียนหรอกเหรอ? แต่พวกเขากลับโทษเหยื่อ ว่าเหล่าผู้เชื่อกำลังละทิ้งครอบครัว นี่ไม่บิดเบือนความจริง แบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยเหรอ? การมีความเชื่อนั้นถูกต้องเหมาะสม มีผู้เชื่อมากมายกระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก ความเชื่อกำลังทำลายครอบครัวที่ไหนงั้นเหรอ? พรรคน่ะชั่วร้าย มีแต่โกหก แต่คุณกลับไม่ดูหมิ่นมัน แถมยังเชื่อคำโกหกของมันด้วยซ้ำ คุณเพียงแค่เออออไปกับมัน พูดว่าพวกเราละทิ้งครอบครัว นั่นเป็นการสับสนระหว่างถูกผิดนะ” เขาหลงเชื่อคำโกหกของพรรคก็เลยไม่ยอมฟังที่ฉันพูดค่ะ เขาพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ผมไม่สน จะเชื่ออะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” พอเห็นเขาปักใจในเรื่องนี้มาก ฉันก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาเลยค่ะ เราแต่งงานกันมาสิบกว่าปี และผ่านอะไรด้วยกันมามากมาย เราหารือกันทุกเรื่องและสนับสนุนกันและกันมาโดยตลอด โดยไม่เคยขัดแย้งกันใหญ่โตเลย การเห็นเขาโมโหฉันมากเพราะความที่ฉันเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ช่างน่าเสียใจจริงๆ ค่ะ ฉันกล่าวอธิษฐานเงียบๆ ขอพระเจ้าทรงนำให้เข้าใจน้ำพระทัย หลังอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงพระวจนะบทนี้ “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นการปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการแทรกแซงของมนุษย์ แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาต่อพระเจ้า” (“การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) นี่ช่วยให้ฉันเข้าใจว่า ภายนอกดูเหมือนสามีของฉันกำลังขัดขวางความเชื่อของฉันอยู่ แต่ที่จริง มีการแทรกแซงของซาตานอยู่เบื้องหลัง ซาตานต้องการปกครองและครอบครองผู้คนตลอดไป มันไม่อยากให้ฉันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและนมัสการพระองค์ จึงพยายามทุกอย่างเพื่อหยุดฉัน ใช้คำโกหกและข่าวลือออนไลน์เพื่อหลอกลวงสามีฉัน พยายามใช้เขาให้มาขัดขวางฉัน เพื่อให้ฉันล้มเลิกทางที่แท้จริง ทรยศพระเจ้าเพราะรักเขา ซาตานช่างชั่วร้ายเลวทรามนัก! พอรู้แบบนี้ ฉันก็ตั้งปณิธานว่า ไม่ว่าซาตานจะทำอะไร ฉันก็จะเชื่อและติดตามพระเจ้า ไม่ยอมแพ้ให้แก่ซาตาน! ฉันจึงบอกเขาว่า “ฉันเชื่อและติดตามพระเจ้า มันเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง นี่เป็นทางเลือกของฉัน คุณไม่มีสิทธิ์ขวาง!” เขาไม่พูดอะไร แล้วเดินออกไปอย่างโกรธเคือง
วันหนึ่ง เขาเจอฉันกำลังฟังเพลงสรรเสริญแห่งพระวจนะของพระเจ้า เขาหน้าคว่ำ พูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ผมบอกคุณแล้ว ว่าอย่าเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทำไมคุณถึงไม่เคยยอมฟังเลย? ไมค์เป็นผู้เชื่อมานานมาก เขาเป็นคริสเตียนที่อุทิศตน เขาบอกผมว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกไม่ใช่ทางที่แท้จริง ดังนั้นถ้าคุณจะเชื่อในพระเจ้า ก็ไปคริสตจักรของไมค์สิ ที่นั่นใหญ่โตและเป็นที่รู้จักกันดี ผมจะไปร่วมปรนนิบัติกับคุณทุกสัปดาห์ และไมค์ให้ศิษยาภิบาลของเขาคุยกับคุณได้” ฉันบอกเขาว่า “ทำไมคุณถึงมั่นใจในสิ่งที่ไมค์พูดนัก ทำไมยกย่องพวกศิษยาภิบาล? คุณแค่เห็นว่าพวกศิษยาภิบาลมีคุณวุฒิและชื่อเสียง แต่ไม่สนเลยว่าจริงๆ พวกเขาเทศนาอะไร จะมีความจริงเป็นเสบียงอาหาร ก็ต้องยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ศิษยาภิบาลแค่พูดความรู้เดิมๆ ในพระคัมภีร์ พวกเขาไม่รู้ว่าจะนำพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปสู่การปฏิบัติ หรือแก้ไขความบาปของผู้คนยังไง การไปคริสตจักรนั้น ไม่ได้อะไรสำหรับฉันหรอก การชุมนุมของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้การเลี้ยงดู ฉันได้เข้าใจความจริงมากขึ้นและรู้วิธีที่จะ ใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ คุณเองก็ได้เห็นฉันเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ฉันได้รับความเชื่อ แล้วทำไมคุณถึงไม่ยอมรับข้อเท็จจริงเหล่านี้ แต่ยืนกรานที่จะเชื่อคำโกหกของพรรค และขัดขวางฉันล่ะคะ?” เขาไม่สามารถโต้แย้งได้ จึงแค่ข่มขู่ฉันว่า “คุณช่างไม่ยอมรับฟังผมเอาเสียเลย ถ้าคุณยังยืนกรานจะเชื่อต่อไป คุณจะต้องมอบเงินและบัญชีธนาคารของคุณทั้งหมดให้ผม และคุณต้องโอนบ้านหลังนี้มาเป็นชื่อของผม” พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็เหมือนมีมีดกรีดที่หัวใจของฉัน ตลอดหลายปีที่เราแต่งงานกัน ฉันมัธยัสถ์และทำงานหนักเพื่อหาเงิน การช่วยกันหาเงินดาวน์มาซื้อบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันไม่อนุญาตให้ตัวเองซื้อเสื้อผ้าใหม่สักชุดเลยด้วยซ้ำ เพื่อบ้านของเราแล้ว ฉันได้ทุ่มเทไปจนหมดตัว ฉันตกตะลึง ที่เขาพูดสิ่งที่ไร้หัวใจขนาดนี้กับฉัน หลังจากหลายปีมานี้ ความสัมพันธ์ของเรามาถึงทางตันเพียงเพราะความเชื่อของฉันได้ยังไง ถ้าฉันไม่มีเงินหรือทรัพย์สิน ถ้าเขาไล่ฉันออกจากบ้าน ฉันจะทำยังไงล่ะ? ฉันรู้สึกเหมือน มีมีดกำลังบิดคว้านในหัวใจของฉัน ฉันกลับห้องนอน แล้วก็เริ่มร้องไห้ อธิษฐานต่อพระเจ้าทั้งน้ำตา “พระเจ้า ข้าพระองค์เจ็บปวด และรู้สึกอ่อนแอมาก ข้าพระองค์ไม่รู้จะผ่านอะไรแบบนี้ไปได้ยังไง โปรดทรงนำให้ข้าพระองค์เข้าใจน้ำพระทัย”
จากนั้น ฉันก็นึกถึงพระวจนะตอนหนึ่ง “ในอดีต ผู้คนทั้งหมดจะมาเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าเพื่อสร้างปณิธานของพวกเขา และพวกเขาจะพูดว่า ‘ต่อให้ไม่มีผู้ใดอื่นรักพระเจ้า ข้าพระองค์ก็ต้องรักพระองค์’ แต่ตอนนี้ กระบวนการถลุงเกิดขึ้นแก่เจ้า และในเมื่อนี่ไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของเจ้า เจ้าก็สูญเสียความเชื่อในพระเจ้า นี่คือความรักที่จริงแท้หรือไม่? เจ้าได้อ่านเกี่ยวกับความประพฤติของโยบไปหลายครั้งหลายหนแล้ว—เจ้าได้ลืมเกี่ยวกับพวกมันไปแล้วหรือ? ความรักที่แท้จริงสามารถเป็นรูปเป็นร่างได้จากภายในความเชื่อเท่านั้น เจ้าพัฒนาความรักที่เป็นจริงสำหรับพระเจ้าโดยผ่านทางกระบวนการถลุงที่เจ้าก้าวผ่าน และโดยผ่านทางความเชื่อของเจ้านั่นเอง เจ้าจึงมีความสามารถที่จะคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าในประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้าได้ และโดยผ่านทางความเชื่อนั่นเองเช่นกันที่เจ้าละทิ้งเนื้อหนังของเจ้าเองและไล่ตามเสาะหาชีวิต นี่คือสิ่งที่ผู้คนควรทำ หากเจ้าทำสิ่งนี้แล้วไซร้ เจ้าย่อมจะสามารถมองเห็นการกระทำของพระเจ้าได้ แต่หากเจ้าขาดพร่องความเชื่อแล้วไซร้ เจ้าย่อมจะไร้ความสามารถที่จะมองเห็นการกระทำของพระเจ้าหรือผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ได้” (“บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พระวจนะให้ความเข้มแข็งแก่ฉัน ยามลำบากโดนกดขี่ พระเจ้าทรงต้องการความเชื่อและความรักที่แท้จริง ต่อให้ทุกข์แค่ไหนต้องผ่านอะไร เราก็ต้องไม่ไถลห่างจากพระองค์ ฉันโชคดีมากที่ได้ยินพระสุรเสียงในยุคสุดท้าย ได้ต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ชื่นชมเสบียงอาหารแห่งความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าทรงแสดง ทั้งหมดคือความรักของพระองค์ การทนทุกข์เพื่อติดตามพระคริสต์มีคุณค่าและความหมาย เป็นไปเพื่อความชอบธรรม อัครทูตและสาวกขององค์พระเยซูเจ้า ที่ติดตามและให้คำพยานแด่พระเจ้า ทั้งถูกพวกผู้นำศาสนากดขี่กล่าวโทษและถูกคณะปกครองโรมันข่มเหงอย่างโหดเหี้ยม บางคนถึงกับพลีชีพ สละชีวิตเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ความทุกข์เล็กน้อยของฉัน เทียบไม่ติดกับสิ่งที่ธรรมิกชนตลอดหลายยุคต้องก้าวผ่าน ฉันไม่ควรสงสารตัวเอง แต่ควรเรียนรู้จากพวกเขา และฉันก็จะติดตามพระเจ้าจนถึงปลายทาง พอคิดแบบนี้ ฉันก็เช็ดน้ำตา ออกจากห้องนอน และพูดกับสามีฉันว่า “เราแต่งงานกันมาสิบกว่าปี และฉันทำเพื่อบ้านของเรามาเยอะมาก ตอนนี้คุณอยากเอาเงินและทรัพย์สินทั้งหมดไปจากฉัน ควบคุมเงินฉัน ให้ฉันล้มเลิกหนทางแท้จริง ฉันไม่ฟังคุณหรอกค่ะ ฉันจะติดตามพระเจ้า!” พอได้ยินฉันพูดแบบนี้ เขาก็เดือดดาลขึ้นมา เขาดูขาดสติจนถึงขั้นมากระชากเอาเครื่องเล่นเอ็มพีสามไปจากฉัน แล้วก็ฉีกทึ้้งของใช้ส่วนตัวของฉันทั้งหมด เอาเอกสารแสดงตนและเครื่องประดับทั้งหมดของฉันไป รวมทั้งพวกบัตรเครดิตและเงินสดของฉันด้วย จากนั้น เขาก็มาคว้าโทรศัพท์มือถือของฉัน ขว้างซัดลงกับพื้นอย่างแรง แล้วก็หยิบเก้าอี้มาฟาดใส่โทรศัพท์จนมันแตกเป็นเสี่ยงๆ นั่นเป็นวิธีที่เขาพยายามจะตัดการติดต่อทั้งหมดของฉันกับโลกภายนอก
จากนั้น เขาก็โทรไปตามให้พ่อแม่ พี่สาว น้องสาว และพี่เขยของฉันมาที่บ้านเรา แล้วพวกเขาก็รวมหัวกันรุมฉัน พี่น้องฉันเห็นการใส่ร้ายออนไลน์ทุกรูปแบบ ที่พรรคคอมมิวนิสต์กุขึ้นมาเกี่ยวกับคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และให้ฉันดูข้อมูลเกี่ยวกับคดีจ้าวหยวนที่พรรคกุขึ้นมา ฉันพูดว่า “เรื่องพวกนั้นฉันรู้แล้ว ศาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้ไต่สวนคดีจ้าวหยวน พวกผู้ต้องหาไม่ได้พูดว่าตัวเองเกี่ยวข้องกับคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาพูดในศาลอย่างชัดเจนว่า พวกเขาไม่เคยติดต่อกับคริสตจักรเลย แต่ผู้พิพากษาของพรรคก็ยืนกรานว่าพวกเขาเป็นสมาชิกของคริสตจักร นั่นไม่ใช่การใส่ความคริสตจักรหรอกเหรอ? เห็นชัดว่ามันเป็นคดีเท็จที่สร้างขึ้นไม่ใช่เหรอ? ก็รู้อยู่ว่าพรรคนั่นไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง และข่มเหงความเชื่อทางศาสนามาตั้งแต่มีอำนาจ พวกพี่เชื่อสิ่งที่มันใส่ร้ายคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ยังไง?” แต่พี่น้องของฉันก็หลงเชื่อคำโกหกของมัน และพวกเธอไม่ใช้ความคิดเชิงวิพากษ์กับข่าวลือที่พรรคเผยแพร่เลย พวกเธอพูดว่า “นี่คือสิ่งที่สำนักข่าวใหญ่ๆ พูดกัน มันจะไม่จริงได้ยังไง?” ฉันบอกว่า “สำนักข่าวของจีนทั้งหมดถูกพรรคคอมมิวนิสต์ควบคุมอยู่ พวกเขาเป็นกระบอกเสียงของพรรค พวกเขาต้องพูดอะไรก็ตามที่พรรคบอกให้พวกเขาพูด และพวกเขาไม่กล้ารายงานความจริง สื่อต่างชาติมากมายก็ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนซื้อไปและพูดตามที่มันต้องการ พวกพี่ไม่เห็นเหรอว่านั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ความจริงพูดให้ตัวเอง และคนฉลาดไม่ฟังข่าวลือ ฉันแนะนำให้พวกพี่เปิดตา และเลิกฟังข่าวลือพวกนั้นอย่างมืดบอดเสียที” พวกเธอตอบโต้สิ่งที่ฉันพูดไม่ได้ แม่พูดกับฉันอย่างโกรธขึ้งว่า “ลูกไม่ยอมฟังสิ่งที่พวกเราพูดเลย การละทิ้งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มันยากขนาดนั้นเลยเหรอ? ทั้งครอบครัวพากันเป็นห่วงเรื่องของลูกก็เพราะความเชื่อของลูกนะ ทำไมไม่ฟังที่เราแนะนำล่ะ?” แล้วหลังจากนั้น แม่ก็เริ่มร้องไห้ เป็นเรื่องที่ทำใจลำบากมากค่ะ ที่เห็นแม่เศร้าเสียใจแบบนั้น แม่เลี้ยงดูเราทั้งสามคนมาด้วยตัวเอง ซึ่งไม่ง่ายสำหรับแม่เลย ตอนนี้แม่ก็แก่แล้ว ฉันไม่อยากให้แม่เป็นห่วงฉัน ความคิดนี้ทำให้ฉันกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่ จากนั้น น้องสาวก็พูดว่า “ดูสิ ว่าพี่ทำอะไรกับแม่ของพวกเรา พี่ต้องการแม่ หรือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ล่ะ?” พี่สาวฉันพูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าเธออยากถือศาสนานี้ต่อ ก็อย่าว่ากันนะถ้าเราตัดขาดกับเธอ พวกเราจะแจ้งความกับตำรวจ ว่าเธอก่ออาชญากรรม บอกว่าเธอไปฉ้อโกงคนอื่น แล้วพวกเขาจะส่งเธอให้กับจีน อย่าลืมนะว่า ที่เธอมาแคนาดาได้ ก็เพราะฉันนี่แหละที่เป็นคนสปอนเซอร์ให้” พอได้ยินพวกเขาพูดทั้งหมดนี้ ฉันก็โกรธจัดเลยละค่ะ ฉันไม่เคยนึกเลยว่าพวกเขาจะบังคับให้ฉันล้มเลิกความเชื่อ และถึงกับข่มขู่ฉันด้วยชั้นเชิงที่มุ่งร้ายและน่ารังเกียจแบบนี้ ฉันจะตกหลุมพรางไม่ได้ ฉันเป็นพลเมืองแคนาดาที่แปลงสัญชาติแล้ว พวกเขาจะมาตบหน้าฉันด้วยการแจ้งความให้ฉันถูกส่งกลับไม่ได้ ฉันไม่เคยนึกฝันเลยว่า พี่สาวที่มีเลือดเนื้อเดียวกันจะพูดอะไรแบบนั้นกับฉัน ฉันรู้สึกแย่มากเลยค่ะ ฉันไม่สามารถหยุดร้องไห้ได้เลย
แล้วฉันก็นึกถึงเพลงสรรเสริญหนึ่งของคริสตจักร “พระองค์ทรงอยู่กับข้าพระองค์ในทุกหนทาง” “พระวจนะและพระราชกิจของพระองค์นำข้าพระองค์ และความรักของพระองค์ดึงดูดข้าพระองค์ให้ติดตามพระองค์ ข้าพระองค์สำราญกับพระวจนะของพระองค์ทุกวัน พระองค์ทรงเป็นมิตรสหายผู้สม่ำเสมอของข้าพระองค์ ยามที่ข้าพระองค์คิดลบและอ่อนแอ พระวจนะของพระองค์คือเสบียงอาหารของข้าพระองค์และความเข้มแข็งของข้าพระองค์ ยามที่ข้าพระองค์ทนทุกข์กับความพลาดพลั้งและล้มเหลว พระวจนะของพระองค์คือมือที่ช่วยฉุดข้าพระองค์ให้ลุกขึ้น ยามที่ข้าพระองค์ถูกซาตานตีโอบ พระวจนะของพระองค์มอบความกล้าและปัญญาให้แก่ข้าพระองค์ ยามที่ข้าพระองค์เผชิญกับบททดสอบและกระบวนการถลุง พระวจนะของพระองค์นำข้าพระองค์ให้ยืนหยัดเป็นพยาน พระวจนะของพระองค์ร่วมทางและนำข้าพระองค์ และหัวใจของข้าพระองค์จึงอบอุ่นและสบายใจ ความรักของพระองค์นั้นเป็นจริงยิ่งนัก และหัวใจของข้าพระองค์จึงเปี่ยมด้วยความสำนึกบุญคุณ” (ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) ถึงแม้จะมีครอบครัวซึ่งกดขี่ไม่เข้าใจฉัน แต่พระเจ้าก็ทรงอยู่เคียงข้างฉันเสมอ ด้วยการให้ความรู้แจ้งและการนำของพระวจนะ ฉันมองทะลุเล่ห์เหลี่ยมของซาตานได้ พระเจ้าทรงใช้พระวจนะประทานความเชื่อและชูใจให้ฉันเข้มแข็ง พอคิดในเชิงนั้น ฉันก็ไม่รู้สึกทุกข์ระทมมากนัก มีอีกตอนหนึ่งที่ฉันจำได้ “จงอย่าท้อแท้ จงอย่าอ่อนแอ และเราจะทำให้สิ่งทั้งหลายชัดเจนแก่เจ้า ถนนสู่ราชอาณาจักรมิได้ราบเรียบนัก ไม่มีอะไรเรียบง่ายเช่นนั้นหรอก! เจ้าต้องการให้พรมาถึงเจ้าอย่างง่ายดายมิใช่หรือ? ในวันนี้ ทุกคนจะต้องเผชิญกับการทดสอบอันขมขื่น หากปราศจากการทดสอบเช่นนี้ หัวใจรักของพวกเจ้าที่มีต่อเราก็จะไม่เติบใหญ่แข็งแกร่งขึ้น และพวกเจ้าก็จะไม่มีรักแท้ต่อเรา แม้ว่าการทดสอบเหล่านี้ก็แค่ประกอบด้วยรูปการณ์แวดล้อมเล็กน้อยทั้งหลายเท่านั้น แต่ทุกคนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เพียงแต่ว่าความลำบากยากเย็นของการทดสอบทั้งหลายจะแปรผันไปตามแต่ละตัวบุคคลเท่านั้น…พวกคนที่ร่วมแบ่งปันความขมขื่นของเราจะได้ร่วมแบ่งปันความหวานชื่นของเราอย่างแน่นอน นั่นคือคำสัญญาของเราและพรของเราแก่พวกเจ้า” (“บทที่ 41” ของ ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พอไตร่ตรองเรื่องนี้ ฉันก็เข้าใจว่า ไม่มีใครเลี่ยงความยากลำบากบนเส้นทางสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ การกดขี่และโจมตีจากครอบครัวของฉันนี้ เป็นโอกาสให้ฉันยืนหยัดเป็นพยานเบื้องหน้าซาตาน พระเจ้าทรงยกชูและอวยพรฉัน เป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยได้จากสภาพแวดล้อมอันสุขสบาย ความทุกข์นั้นมีคุณค่าและความหมาย เมื่อมั่นใจว่านี่คือหนทางที่แท้จริง เป็นงานของพระเจ้า ไม่ว่าจะทุกข์ระทมโดนกดขี่แค่ไหน ฉันก็พร้อมติดตามพระเจ้าต่อไป
พอเห็นฉันไม่ลดละให้ เขาก็โกรธจนตาลุกเป็นไฟ และพูดอย่างก้าวร้าวว่า “ผมรู้ว่าเพื่อนของคุณเป็นคนเปลี่ยนความเชื่อคุณ เธอแค่ต้องการสูบเงินคุณเท่านั้นแหละ ผมดูหมิ่นเธอ แล้วแต่คุณจะเชื่อนะ ยังไงต่อให้ติดคุก ผมก็จะฆ่าเธอ” พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ทำเอาฉันอึ้งไปเลย และเสียขวัญมาก ฉันเริ่มตัวสั่นเทาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ฉันไม่เคยนึกฝันเลยว่า ผู้ชายที่ฉันอยู่ด้วยมานานหลายปี จู่ๆ ก็โหดร้ายได้ขนาดนี้ เขาเป็นสามีแบบไหนกัน? เห็นชัดว่าเขาเป็นปีศาจ ที่เกลียดพระเจ้าและความจริง! เขาพูดเรื่องน่าสยดสยองแค่เพื่อกีดกันไม่ให้ฉันเชื่อต่อไป ตอนนั้นฉันเห็นด้านที่ป่าเถื่อนของเขา และกลัวจริงๆ ว่าเขาจะฆ่าเพื่อนของฉัน ฉันยังไมทันได้ทำใจ แม่ก็พูดขึ้นว่า “ดูเหมือนว่าลูกสองคนจะทะเลาะกันนะ ไปเอาเสื้อผ้ามาอยู่ที่บ้านของแม่สักสองสามวันสิ ลูกติดต่อกับภายนอกหรือไปทำงานไม่ได้ ต้องอยู่กับบ้านแล้วคิดทบทวนว่าทำอะไรลงไป” การได้ยินแม่พูดแบบนี้ทำให้ฉันกังวลค่ะ สามีฉันเสียสติไปแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรบ้าง เขาพังโทรศัพท์ของฉันไปแล้ว ฉันก็เลยเตือนเพื่อนของฉันได้ ตอนนี้พวกเขาไม่ให้ฉันติดต่อใครหรือแม้แต่ไปทำงาน นั่นไม่ใช่การกักบริเวณในบ้านเหรอ? ฉันไม่รู้ว่าจะติดต่อคริสตจักร และใช้ชีวิตคริสตจักรยังไง ฉันรีบร้องหาพระเจ้าในหัวใจ ข้อให้พระองค์ทรงนำ แล้วฉันก็นึกได้ว่า ประเทศตะวันตกปกป้องสิทธิ์ทางศาสนา ผู้คนมีอิสระในการเชื่อ พี่สาวฉันอยากแจ้งความกับตำรวจ เพื่อใส่ร้ายฉัน ฉันจึงแจ้งความกับตำรวจได้เช่นกัน ข้อแรก ก็เพื่อปกป้องเพื่อนของฉัน และอีกข้อหนึ่ง เพื่อมีตำรวจมาเกี่ยวข้อง พวกเขาก็มาวุ่นวายไม่ได้ ดังนั้น ฉันจึงพูดกับแม่ว่า “หนูไม่อยากไปบ้านแม่ หนูอยากไปแจ้งความกับตำรวจ” พอพวกเขาได้ยินแบบนี้ก็อึ้งกันหมด และไม่พูดอะไรเลย ฉันออกจากที่นั่นไปสถานีตำรวจในทันที พอฉันไปถึงที่นั่น ฉันบอกพวกเขาสั้นๆ เรื่องที่ครอบครัวข่มเหงฉันเพราะฉันมีความเชื่อ พวกเขาแทบไม่เชื่อหูตัวเองเลยด้วยซ้ำ ว่าจะมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นในประเทศตะวันตกได้ พวกเขาเห็นอกเห็นใจฉันจริงๆ และพาฉันกลับบ้าน พวกเขาเตือนสามีและครอบครัวของฉันว่า “ในประเทศนี้ เรามีอิสระทางศาสนา พวกคุณแทรกแซงความเชื่อของเธอ หรือจำกัดอิสระส่วนตัวของเธอไม่ได้ ถ้าเธออยากไปทำงาน พวกคุณก็ห้ามเธอไม่ได้ อีกอย่าง คืนเอกสารระบุตัวตนและทรัพย์สินส่วนตัวให้เธอด้วย” หลังจากได้ยินตำรวจพูดแบบนี้ พวกเขาก็ไม่กล้าบังคับฉัน ฉันสำนึกบุญคุณและขอบคุณพระเจ้าอย่างมากที่ทรงเปิดทางให้ฉัน
สามีของฉันถูกกฎหมายควบคุม เขาจึงไม่กล้าทำอะไรต่อฉันตรงๆ แต่เขาก็ไม่ล้มเลิก และคิดหาหนทางบังคับให้ฉันล้มเลิกความเชื่อ สองวันต่อมา เขาเริ่มกดดันฉัน ให้โอนบ้านเป็นชื่อของเขา พอเขาพูดแบบนี้ ฉันก็เป็นกังวลขึ้นมา สองวันก่อน เขายึดเอาเงินสดและเครื่องประดับของฉันไป แล้วตอนนี้ก็อยากให้ฉันโอนบ้านเป็นชื่อของเขา ถ้าเขาไล่ฉันออกจากบ้าน ฉันจะไม่เหลืออะไรเลย แถมพ่อแม่และพี่น้องของฉันก็คงไม่รับฉันไปอยู่ด้วย พอคิดถึงทั้งหมดนั้น ฉันก็เริ่มกลัดกลุ้มขึ้นมาอีกครั้ง แต่ตอนนั้น ฉันก็นึกถึงพระวจนะที่ว่า “พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าทรงดูแลบุคคลหนึ่ง ทรงเฝ้ามองบุคคลผู้นี้ และตลอดเวลานั้นซาตานก็ตามติดพระองค์ทุกย่างก้าว ผู้ใดก็ตามที่พระเจ้าทรงโปรด ซาตานก็เฝ้าดูด้วย โดยสะกดรอยตามมาข้างหลัง หากพระเจ้าทรงต้องประสงค์บุคคลนี้ ซาตานก็จะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในอำนาจของมันเพื่อขัดขวางพระเจ้า ใช้ลูกเล่นชั่วร้ายต่างๆ นานาเพื่อทดลองพระราชกิจของพระเจ้า ทำให้พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำหยุดชะงักและอับปางลง ทั้งหมดก็เพื่อที่จะสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ที่ซ่อนเร้นของมัน วัตถุประสงค์นี้คืออะไรหรือ? มันไม่ต้องการให้พระเจ้าได้รับผู้ใดสักคน มันต้องการทุกคนที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์นั้นเพื่อตัวมันเอง มันต้องการที่จะยึดครองพวกเขา ควบคุมพวกเขา กำกับดูแลพวกเขาเพื่อให้พวกเขาเคารพบูชามัน เพื่อให้พวกเขาเข้าร่วมกับมันในการกระทำความชั่ว นี่ไม่ใช่แรงจูงใจที่ชั่วร้ายเลวทรามของซาตานหรอกหรือ?” (“พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 4” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) “หากผู้คนปรารถนาที่จะได้รับการช่วยให้รอด และปรารถนาที่จะให้พระเจ้าทรงรับไว้โดยครบบริบูรณ์ เช่นนั้นแล้ว พวกเหล่านั้นทั้งหมดที่ติดตามพระเจ้าต้องเผชิญหน้ากับการทดลองและการโจมตีทั้งใหญ่หลวงและเล็กน้อยจากซาตาน บรรดาผู้ที่ผุดขึ้นมาจากการทดลองและการโจมตีเหล่านี้และสามารถทำให้ซาตานพ่ายแพ้ได้อย่างเต็มที่คือบรรดาผู้ที่พระเจ้าได้ทรงช่วยให้รอด กล่าวคือ บรรดาผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้าคือบรรดาผู้ที่ได้ก้าวผ่านการทดสอบของพระเจ้า และผู้ที่ได้ถูกซาตานทดลองและโจมตีมานับครั้งไม่ถ้วน บรรดาผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้านั้นเข้าใจน้ำพระทัยและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และสามารถโอนอ่อนให้กับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และพวกเขาไม่ละทิ้งหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วท่ามกลางการทดลองของซาตาน บรรดาผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้านั้นครอบครองความซื่อสัตย์ พวกเขาใจดี พวกเขาจำแนกความแตกต่างระหว่างความรักและความเกลียด พวกเขามีสำนึกรับรู้ถึงความยุติธรรมและมีเหตุผล และพวกเขาสามารถที่จะเอาใจใส่พระเจ้าและทะนุถนอมความล้ำค่าทั้งหมดที่เป็นของพระเจ้า ผู้คนเช่นนั้นไม่ถูกซาตานผูกมัด สอดแนม กล่าวหา หรือล่วงละเมิด พวกเขาเป็นอิสระโดยบริบูรณ์ พวกเขามีเสรีภาพและได้รับการปลดปล่อยโดยสมบูรณ์ โยบก็เป็นมนุษย์เช่นนั้นที่มีอิสรภาพ และแน่นอนว่านี่คือนัยสำคัญของเหตุผลที่พระเจ้าได้ทรงส่งมอบเขาให้แก่ซาตาน” (“พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) เหตุผลที่โยบผ่านพ้นการกล่าวหาและการทดลองของซาตานไปได้ ก็คือเขามีความเชื่อ ความเชื่อฟัง และความเคารพพระเจ้าอย่างแท้จริง เขาเชื่อในการปกครองเบ็ดเสร็จของพระเจ้า และพระเจ้าเป็นผู้ประทานทุกอย่างที่เขามี เขาจึงสามารถยอมรับและนบนอบ ไม่ว่าพระเจ้าประทานหรือริบเอาไป เมื่อโยบสูญเสียทรัพย์สินของเขา ลูกๆ และถึงกับมีฝีหนองลามทั่วตัว เขาก็ยังไม่ตำหนิพระเจ้า แต่กลับสรรเสริญพระนามพระองค์ ภรรยาพูดกับเขาว่า “เธอยังจะยึดมั่นในความซื่อสัตย์อยู่อีกหรือ? จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ” (โยบ 2:9) แล้วเขาก็ต่อว่าเธอว่า “เธอพูดอย่างหญิงโง่เขลาจะพึงพูด เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?” (โยบ 2:10) คำพยานของโยบบันดาลใจฉันมากค่ะ ฉันอยากเป็นเหมือนเขา ไม่ว่าสามีกดขี่ฉันแค่ไหน หรือเขายึดทรัพย์สินไปจากฉันแค่ไหน ถึงเขาไม่เหลืออะไรให้ฉัน และไล่ฉันออกมา ฉันก็จะยังติดตามพระเจ้า ยืนหยัดเป็นพยาน ทำให้ซาตานอับอาย
วันต่อมา เมื่อเราไปธนาคารเพื่อโอนเงินจำนอง พนักงานธนาคารบอกเราว่ามันเป็นสินเชื่อใหม่ ดังนั้นถ้าอยากจำนองใหม่ มันเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนมาก และเกี่ยวข้องกับการสูญเสียอยู่มากเช่นกัน เธอแนะนำว่าถ้าเป็นไปได้ ให้เราเปลี่ยนมันหลังจากห้าปี สามีของฉันทำอะไรไม่ได้ ก็เลยล้มเลิกไป ฉันขอบคุณพระเจ้าจากหัวใจ และรู้สึกว่าพระวจนะจริงแท้แค่ไหน “หัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ถูกกุมไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทุกอย่างในชีวิตของเขาอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม สิ่งใดและทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง สร้างขึ้นมาใหม่และปลาสนาการไปตาม พระดำริของพระเจ้า นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือทุกสรรพสิ่ง” (“พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) ต่อมา ฉันก็กลับไปติดต่อกับพี่น้องชายหญิงอีก พอสามีรู้เข้า ก็ถามฉันว่า ฉันจะยังไปร่วมชุมนุมต่อไปเหรอ ฉันตอบด้วยคำถาม “คุณคิดวางแผนจะขัดขวางฉันอีกอย่างนั้นเหรอ? ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันย้ายออกไปอาศัยอยู่ที่อื่นก็ได้นะ คุณกังวลว่าคริสตจักรจะต้มตุ๋นฉัน และฉันจะละทิ้งครอบครัวไม่ใช่เหรอ? ตลอดหลายปีของฉันกับคริสตจักร พวกเขาเคยโกงเงินฉันสักนิดไหมล่ะ? ข่าวลือว่าผู้เชื่อละทิ้งครอบครัวเป็นความจริงหรือเปล่า?” เขาอึ้งไปเลยค่ะ นิ่งไปสักพักก็พูดขึ้นว่า “คุณพูดถูก ผมไม่เคยเห็นคริสตจักรโกงเงินคุณสักนิด คุณเองก็ไม่ใช่กำลังทอดทิ้งพวกเรา ผมหลงเชื่อข่าวลือพวกนั้นง่ายเกินไป ผมอยากปกป้องคุณจากการถูกฉ้อโกง คุณอยากเชื่ออะไรก็เชื่อได้เลย” ตอนนั้นฉันมีความสุขมาก ตั้งแต่เขาเริ่มขัดขวางฉัน ฉันก็ไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมตามปกติเลย และฉันรู้ว่าเขาจะไม่เหนี่ยวรั้งฉันไว้อีก ต่อมา เขาก็เริ่มรู้สึกว่าการบริหารการเงินของเรานั้นน่าปวดหัว และไม่ใช่จุดแข็งของเขา เขาก็เลยมอบให้ฉันเป็นคนดูแล เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องโอนสัญญาจำนองเป็นชื่อของเขาอีกเลย
ประสบการณ์ที่ครอบครัวกดขี่ฉันครั้งนี้ แสดงให้ฉันเห็นว่าพรรคคอมมิวนิสต์ชั่วแค่ไหน มันไม่เพียงข่มเหงและจับกุมคริสเตียนในประเทศจีนอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น แต่มันยังกำลังเผยแพร่คำโกหกออนไลน์ เพื่อใส่ร้าย พยายามหลอกให้ทั้งโลกต่อต้านคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ต่อสู้กับพระเจ้าไปพร้อมกับมัน ทุกคนจะได้ลงเอยถูกลงโทษในนรก พรรคเป็นปีศาจชั่วร้ายที่ต่อต้านพระเจ้า หลอกผู้คนและกลืนพวกเขาทั้งตัว ซาตานนั้นชั่วร้ายอย่างที่สุด แต่พระปัญญาของพระเจ้าปรับเปลี่ยนไปตามอุบายของซาตาน ซาตานต้องการใช้การกดขี่นั้นทำให้ฉันทรยศพระเจ้า ให้ฉันเสียโอกาสแห่งความรอด แต่มันไม่เคยนึกฝันเลยว่า นี่เปิดโอกาสให้ฉันพัฒนาวิจารณญาณและเห็นความอัปลักษณ์ของมันจริงๆ ฉันสาปแช่งมันและบอกปัดมันจากหัวใจ และความเชื่อในพระเจ้าของฉันก็แข็งแกร่งขึ้น ขอบคุณพระเจ้า!