87. ในที่สุดฉันก็พบเส้นทางสู่การชำระให้บริสุทธิ์

โดย ริชาร์ด, ประเทศสหรัฐอเมริกา

ผมเกิดมาในครอบครัวคาทอลิก และตอนอายุ 13 ผมเริ่มศึกษาคำสอนและได้รับบัพติศมา อันเป็นการเข้าร่วมศรัทธาและการปฏิบัติของนิกายโรมันคาทอลิกอย่างเป็นทางการ  หลังจากนั้น ผมก็ตกลงใจมาเป็นนักบวชเพื่อรับใช้พระเจ้า  ตอนอายุ 22 ผมได้ไปอยู่ที่อารามแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมได้ศึกษาเทววิทยาและองค์พระคัมภีร์ รวมทั้งเข้ารับหลักสูตรอื่นบางอย่าง  แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักและผมก็ยังไม่รู้สึกใกล้ชิดพระเจ้าขึ้นเลย ความอยากของผมที่จะแต่งงานและมีครอบครัวจึงคอยผุดขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา  ผมพร่ำอธิษฐานซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ยังไม่สามารถข่มความรู้สึกนี้ให้สงบลงได้  ผมได้สาบานกับตัวเองไว้ว่าจะถือพรหมจรรย์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เพื่อให้ผมสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผมก็ต้องการละทิ้งข้อผูกพันนั้น  ไม่ใช่ว่าผมกำลังทำบาปและโกหกพระเจ้าอยู่หรอกหรือ?  ผมจะสามารถเข้าไปสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้อย่างไร?  ผมอยู่ที่อารามแห่งนั้นนาน 10 ปี  หลังจากจบการศึกษา ผมก็ไปอยู่ที่อารามแห่งหนึ่งในประเทศอินโดนีเซียอีกหนึ่งปี แต่ความคิดที่มีราคีก็เกิดขึ้นกับผมเป็นระยะๆ  ผมท้อแท้หมดกำลังใจจริงๆ  หลังจากที่ผมเรียนจบ ผมจึงตัดสินใจมาเป็นลูกวัดธรรมดา  ผมกลับไปบ้านเกิดและได้แต่งงาน  แต่ในชีวิตประจำวันนั้น ผมโต้เถียงกับภรรยาบ่อยครั้งเกี่ยวกับเรื่องหยุมหยิมในบ้าน และผมก็ไม่ใช่คนที่มีความอดทนมากนัก  บางครั้งผมจะโกหกเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง  ผมจึงมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอยู่เป็นนิจเพื่อสารภาพและกลับใจาสำหรับสิ่งเหล่านี้ แต่แล้วผมก็ยังทำเรื่องแบบนั้นต่อไป  ผมต้องการฟื้นฟูสัมพันธภาพของผมกับพระเจ้าด้วยการไปร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณและกล่าวคำอธิษฐานให้มากขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้แก้ไขปัญหาให้ผมเลย

แล้วผมก็มาที่ประเทศสหรัฐอเมริกาใน พ.ศ. 2014  ผมได้พบกับคุณหลี่กับคุณหลิว ลูกวัดอีกสองคนที่พิธีมิสซา  เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาส ผมจะพูดคุยเรื่องความเชื่อกับพวกเขา  ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่งตอนที่เรากำลังแบ่งปันองค์พระคัมภีร์กัน คุณหลิวพูดว่า เขารู้จักมัคนายกเปี่ยมศรัทธาที่รู้จักข้อพระคัมภีร์ดีมากคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่เชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออก  เขาพูดว่าสมาชิกคริสตจักรอีกสองคนที่มีศรัทธาแรงกล้าก็เข้าร่วมกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกด้วยเหมือนกัน  เขาฉงนว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเป็นคริสตจักรประเภทไหน และทำไมผู้เชื่ออย่างแรงกล้าจึงได้เข้าร่วมคริสตจักรนั้นกันอย่างมากมายเหลือเกิน  ผมก็สับสนในเรื่อวนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะผมก็เคยรู้จักมัคนายกผู้เคร่งศรัทธาคนหนึ่ง ซึ่งได้เข้าร่วมกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเหมือนกัน  ผมไม่รู้ว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกประกาศอะไร หรือว่า เหตุใดจึงดึงดูดผู้เชื่อที่เคร่งศรัทธาไปมากมายนัก  ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกอาจจะมีแรงบันดาลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือเปล่า?  ผมคิดได้ว่าควรตรวจสอบ และดูว่าสิ่งที่คริสตจักรนั้นประกาศมีอะไรพิเศษนัก  ผมฉงนว่ามันอาจจะสามารถช่วยผมเรื่องการเฝ้าเดี่ยวและการรู้จักพระเจ้าได้หรือไม่  พอคิดได้แบบนั้น ผมก็บอกคุณหลี่กับคุณหลิว ว่าผมต้องการไปตรวจสอบคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  พวกเขาเห็นด้วยที่จะไปกับผม

พอเราไป พี่น้องหญิงคนหนึ่งก็เปิดวิดีโอเรื่อง “จุดกำเนิดและพัฒนาการของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” ให้เราดู  จากวิดีโอนี้ ผมได้เรียนรู้ ว่าองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว ตามที่ผมได้แต่หวังมานานแล้ว  พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในเนื้อหนัง ผู้ที่กำลังทรงแสดงความจริงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย  นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไม ผู้คนจากทุกนิกายซึ่งรักความจริงและถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้าจึงอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ มองเห็นว่าพระวจนะเหล่านั้นเป็นความจริงและเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า และยอมรับพระราชกิจของพระเจ้า  ทั้งข่าวประเสริฐของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็ได้แพร่กระจายจากประเทศจีนในทิศตะวันออกไปยังประเทศตะวันตกมากมายด้วยเช่นกัน อันเป็นการลุล่วงของคำเผยพระวจนะแห่งองค์พระเยซูเจ้าที่ว่า “ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น(มัทธิว 24:27)  ผมประหลาดใจจริงๆ ที่คำเผยพระวจนะนี้ลุล่วงโดยวิธีนั้น  ผมอ่านคำเผยพระวจนะนั้นมาตลอดหลายปีโดยไม่เข้าใจเลย  จากนั้น พี่น้องชายคนหนึ่งก็ได้เปิดภาพยนตร์ข่าวประเสริฐชื่อ “พระคัมภีร์และพระเจ้า”  ภาพยนตร์เรื่องนี้ดลใจผมอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก และผมก็ได้เห็นว่ามีความล้ำลึกมหาศาลอยู่ในพระคัมภีร์  ผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิญญาณมามากมาย แต่ไม่เคยพบนักเทววิทยาหรือผู้อธิบายพระคัมภีร์คนไหนที่เคยอธิบาย ความจริงเบื้องหลังพระคัมภีร์ ประวัติความเป็นมา และสัมพันธภาพกับพระเจ้าได้อย่างชัดเจนเช่นนี้มาก่อน  ผมได้รับอะไรมากมายจากภาพยนตร์เรื่องนั้น  ผมเห็นได้ว่าทำไมบรรดาผู้เชื่อที่มีใจกระตือรือร้นมากมายจึงได้ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หลังจากที่ได้ยินพระวจนะของพระองค์  ผมจึงตัดสินใจที่จะค้นเข้าไปดูพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

ในการเสวนาของพวกเรา เหล่าพี่น้องชายหญิงจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้กล่าวว่าในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า เพื่อชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอดในครั้งสุดท้ายนี้ครั้งเดียว  ผมสับสนกับการที่ได้ยินเช่นนี้ เพราะองค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “สำเร็จแล้ว” บนกางเขน  นั่นควรหมายความว่าพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนั้นเสร็จสิ้นแล้ว แล้วทำไมเล่าพระเจ้าจึงจำเป็นที่จะต้องทรงพิพากษามวลมนุษย์เพื่อชำระพวกเราให้บริสุทธิ์และช่วยให้เรารอด?  ผมต้องการหาคำตอบ แต่นั่นก็ดึกแล้ว ผมจึงจัดการเตรียมการว่าจะกลับมาในวันรุ่งขึ้น  ผมรู้สึกตื่นเต้นตอนอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน  ผมได้เรียนรู้ค่อนข้างมากมายเลยทีเดียวจากการสามัคคีธรรมวันนั้น และรู้สึกเหมือนผมกลายเป็นใกล้ชิดกับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น  ดูมีแววว่าพระราชกิจแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้นเกี่ยวข้องกับพระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้าในยุคสุดท้ายจริงๆ  คงจะไม่น่าเชื่อเลยหากองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกลับมาแล้วจริงๆ และผมสามารถใช้ชีวิตเคียงข้างพระองค์ได้อย่างที่เปโตรเคยทำ  ความคิดนี้ช่างน่าตื่นเต้นจริงๆ และทำให้ผมตั้งตารอการชุมนุมในวันรุ่งขึ้นยิ่งขึ้นไปอีก

ในวันต่อมา ทันทีที่ผมเลิกงาน ผมก็รีบไปสถานที่ชุมนุมของเราและถามพี่น้องหญิงคนนั้นโดยไม่มัวเสียเวลาว่า “คุณพูดว่าองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาแล้วและทรงแสดงความจริงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาแห่งยุคสุดท้าย  นั่นเป็นไปได้อย่างไรครับ?  บนกางเขน พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า ‘สำเร็จแล้ว’  นั่นหมายความว่าพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้เสร็จครบบริบูรณ์แล้ว  บาปของพวกเราได้รับการยกโทษโดยผ่านทางความเชื่อ—พวกเราได้รับความชอบธรรมและได้รับการช่วยให้รอดโดยความเชื่อ และเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในยุคสุดท้าย พระองค์ก็ทรงสามารถนำเราตรงขึ้นไปในราชอาณาจักรของพระองค์ได้  พระองค์จะทรงพระราชกิจแห่งความรอดเพิ่มอีกทำไมเล่า?”

พี่น้องหญิงคนนั้นพูดว่า “องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘สำเร็จแล้ว’ เพราะพระราชกิจแห่งการไถ่ของพระองค์นั้นเสร็จครบบริบูรณ์แล้ว  นั่นไม่ได้หมายความว่าพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนั้นเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว  หากเราลงความเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนั้นทำเสร็จแล้ว เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘สำเร็จแล้ว’ และว่าพระองค์จะไม่ทรงพระราชกิจใหม่เมื่อพระองค์ทรงกลับมา เหตุใดเล่า องค์พระเยซูเจ้าจึงได้ตรัสคำเผยพระวจนะเหล่านี้ไว้?  องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะว่าพระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง แต่พระองค์จะตรัสสิ่งใดก็ตาม ที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น(ยอห์น 16:12-13)  ‘หากใครปฏิเสธเราและไม่ยอมรับวจนะของเรา จะมีสิ่งหนึ่งที่พิพากษาเขา นั่นคือ คำที่เรากล่าวไว้แล้วย่อมจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย(ยอห์น 12:48)  แล้วยังมีหนังสือเปโตร 1 บทที่ 4 ข้อที่ 17 ที่ว่า ‘เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า’  คำเผยพระวจนะเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าในยุคสุดท้ายนั้น เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา พระองค์จะทรงแสดงความจริงเพิ่มเติมและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาเพื่อที่จะชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยมวลมนุษย์ให้รอดโดยสมบูรณ์  หากเราไปตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ และพูดว่าพระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้านั้นได้เสร็จสิ้นโดยครบบริบูรณ์แล้ว แล้วคำเผยพระวจนะเหล่านี้จะลุล่วงได้อย่างไรหรือ?  พระคัมภีร์เผยพระวจนะด้วยว่า ในยุคสุดท้ายนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาเพื่อแยกแกะจากแพะ ข้าวสาลีจากข้าวละมาน หญิงพรหมจารีมีปัญญาจากหญิงพรหมจารีโง่ และผู้รับใช้ที่ดีจากผู้ที่ชั่ว โดยคัดแยกแต่ละคนไปตามประเภทของพวกเขา ไม่ผิดจากที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘ผู้หว่านเมล็ดพืชดีนั้นได้แก่บุตรมนุษย์ และนานั้นได้แก่โลก ส่วนเมล็ดพืชดีได้แก่พลเมืองแห่งแผ่นดินของพระเจ้า แต่ข้าวละมานได้แก่พลเมืองของมารร้าย ศัตรูผู้หว่านเมล็ดพืชเลวได้แก่มารนั้น ฤดูเกี่ยวได้แก่เวลาสิ้นยุค และผู้เกี่ยวทั้งหลายนั้นได้แก่ทูตสวรรค์ เพราะฉะนั้นเขาเก็บข้าวละมานเผาไฟเสียอย่างไร เมื่อเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น บุตรมนุษย์จะใช้บรรดาทูตสวรรค์ของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด และพวกผู้ที่ทำชั่วไปจากแผ่นดินของท่าน และจะทิ้งลงในเตาไฟที่ลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เวลานั้นบรรดาคนชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในแผ่นดินพระบิดาของพวกเขาดุจดวงอาทิตย์ ใครมีหูจงฟังเถิด(มัทธิว 13:37-43) วิวรณ์ก็ได้เผยพระวจนะด้วยว่า พระเจ้าจะทรงสร้างกลุ่มผู้ชนะในยุคสุดท้าย และเผยว่าราชอาณาจักรของพระองค์จะมายังแผ่นดินโลก  นี่คือพระราชกิจทั้งหมดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำในยุคสุดท้าย  หากเราทำตามความเข้าใจแบบมนุษย์ที่ว่าองค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘สำเร็จแล้ว’ นั้นหมายความว่า พระราชกิจของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนั้นเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์  แล้วคำเผยพระวจนะเหล่านั้นจะลุล่วงได้อย่างไร?  ดังนั้นจึงชัดเจนว่า ความเข้าใจนี้ที่มีต่อพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นไม่ถูกต้อง และไม่อยู่ในแนวเดียวกับความหมายขององค์พระผู้เป็นเจ้าและความเป็นจริงของพระราชกิจของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง”

การสามัคคีธรรมของพี่น้องหญิงคนนี้โน้มน้าวผมอย่างครบบริบูรณ์ ผมจึงพยักหน้าไปพลางในขณะที่ฟัง  ทำไมผมจึงไม่เคยเห็นบางสิ่งที่ชัดเจนขนาดนี้มาก่อนเลย?  เธออ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่อไปอีกหลายบทตอนว่า “สำหรับทุกสิ่งที่มวลมนุษย์อาจได้รับการไถ่และการยกโทษในบาปของเขาไปแล้วนั้น พิจารณาได้เพียงว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงจดจำการฝ่าฝืนของมนุษย์และไม่ได้ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์โดยสอดคล้องกับการฝ่าฝืนของเขา  อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมนุษย์ผู้มีชีวิตอยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนังยังไม่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป เขาก็ย่อมสามารถทำบาปต่อไปได้เท่านั้นเอง อันเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขาอย่างไม่รู้จบ  นี่คือชีวิตที่มนุษย์ดำเนินอยู่ วัฏจักรอันไม่รู้จบของการทำบาปและการได้รับการยกโทษ  บาปในตอนกลางวันของมวลมนุษย์ ส่วนใหญ่แล้วก็เพียงเพื่อจะสารภาพในตอนค่ำเท่านั้นเอง  เมื่อเป็นแบบนี้ แม้ว่าเครื่องบูชาลบล้างบาปนั้นมีประสิทธิภาพต่อมนุษย์ตลอดกาล แต่มันก็จะไม่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปได้  พระราชกิจแห่งความรอดเสร็จสิ้นไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากมนุษย์ยังคงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (4))  “แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา  การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปทั้งหลายของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา  และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา  พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น  บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น  พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)  “โดยแก่นแท้แล้วจุดประสงค์ของพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าหมายที่จะชำระมนุษยชาติให้บริสุทธิ์ เพื่อการหยุดพักขั้นสุดท้าย มิเช่นนั้น ก็คงจะไม่มีมนุษย์คนใดถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มแตกต่างกันตามประเภท หรือเข้าสู่การหยุดพักได้  พระราชกิจนี้เป็นเพียงเส้นทางเดียวเท่านั้นของมนุษยชาติที่จะเข้าสู่การหยุดพัก  เฉพาะพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้นที่จะชำระพวกมนุษย์ให้สะอาดจากความไม่ชอบธรรมของพวกเขา และเฉพาะพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์เท่านั้นที่จะนำส่วนประกอบของมนุษยชาติที่เป็นกบฏเหล่านั้นไปสู่ความสว่าง ด้วยวิธีนั้น จึงเป็นการแยกบรรดาผู้ที่สามารถถูกช่วยให้รอดออกจากบรรดาผู้ที่ไม่สามารถถูกช่วยให้รอดได้ และแยกบรรดาผู้ที่จะคงเหลืออยู่ออกจากบรรดาผู้ที่จะไม่คงเหลืออยู่ได้  เมื่อพระราชกิจนี้สิ้นสุดลง บรรดาผู้คนที่ได้รับอนุญาตให้คงเหลืออยู่จะถูกชำระให้สะอาดทั้งหมดและเข้าสู่สภาวะที่สูงขึ้นของมนุษยชาติ ซึ่งพวกเขาจะได้ชื่นชมกับชีวิตที่สองของมนุษย์อันน่าอัศจรรย์มากยิ่งขึ้นบนแผ่นดินโลก กล่าวคือ พวกเขาจะเริ่มวันแห่งการหยุดพักแบบมนุษย์ของพวกเขา และดำรงอยู่ร่วมกันกับพระเจ้า  หลังจากที่บรรดาผู้ไม่ได้รับอนุญาตให้คงเหลืออยู่ได้ถูกตีสอนและถูกพิพากษาแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาจะถูกตีแผ่ออกมาโดยถ้วนทั่ว ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดจะถูกทำลาย และไม่ได้รับอนุญาตให้รอดชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกอีกต่อไป เช่นเดียวกับซาตาน  มนุษยชาติแห่งอนาคตจะไม่รวมเข้ากับผู้คนประเภทนี้คนใดเลยอีกต่อไป ผู้คนเช่นนี้ไม่เหมาะสมที่จะเข้าสู่แผ่นดินแห่งการหยุดพักขั้นสูงสุด อีกทั้งไม่เหมาะสมที่จะร่วมในวันแห่งการหยุดพักที่พระเจ้าและมนุษยชาติจะร่วมแบ่งปันกัน ด้วยเพราะพวกเขาเป็นเป้าหมายแห่งการลงโทษและเป็นผู้คนไม่ชอบธรรมที่ชั่วร้าย… จุดประสงค์ทั้งหมดทั้งมวลเบื้องหลังพระราชกิจขั้นสูงสุดแห่งการลงโทษคนชั่วและการให้บำเหน็จรางวัลคนดีของพระเจ้านั้นคือการชำระพวกมนุษย์ทั้งหมดให้บริสุทธิ์อย่างถ้วนทั่ว เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงนำมนุษยชาติที่บริสุทธิ์สะอาดเข้าสู่การหยุดพักอันเป็นนิรันดร์ได้  พระราชกิจช่วงระยะนี้ของพระองค์มีความสำคัญยิ่งยวดเป็นที่สุด ซึ่งเป็นช่วงระยะสุดท้ายของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ทั้งหมด(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน)

หลังจากที่อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พี่น้องหญิงคนนั้นก็แบ่งปันการสามัคคีธรรมนี้ที่ว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ในยุคพระคุณ โดยทรงไถ่มวลมนุษย์จากบาปของพวกเขา  ตราบที่เราเชื่อในพระองค์ อธิษฐาน สารภาพ และกลับใจ บาปของเราก็ได้รับการยกโทษ  พวกเราสามารถชื่นชมพระคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ และจะไม่ถูกกล่าวโทษและลงโทษภายใต้ธรรมบัญญัติสำหรับบาปของพวกเรา  นี่คือความหมายจริงของ ‘ได้รับการช่วยให้รอดโดยความเชื่อ’ และนี่เองคือสิ่งที่สัมฤทธิ์ผลโดยพระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า  บาปทั้งหลายของพวกเราได้รับการยกโทษโดยองค์พระเยซูเจ้าและเราไม่กระทำบาปที่เห็นได้ชัดอีกต่อไป บางคราวเราก็ทำสิ่งที่ดี  แต่เราก็ยังไม่เป็นอิสระจากบาป  เรายังโกหกและหลอกลวงเพื่อประโยชน์ของเราเอง เราโลภมาก ริษยา เต็มไปด้วยความเกลียดชัง และเก็บงำความคิดชั่วเอาไว้  เราไม่สามารถต้านทานการทดลองของกระแสนิยมทางโลกได้ เราถวิลหาเงินและรักความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม  เราวางอำนาจบาทใหญ่ตำหนิผู้คนที่ทำสิ่งที่เราไม่ชอบ เราเต็มไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน อาทิเช่น ความโอหัง ความมีเล่ห์ลวง การเหนื่อยหน่ายกับความจริงและอื่นๆ  อุปนิสัยเยี่ยงซาตานเหล่านี้ฝังแน่นกว่าบาปภายนอก  สิ่งเหล่านี้ถูกซาตานปลูกฝังไว้ในตัวเรา และเป็นรากเหง้าของการทำบาปและการต้านทานพระเจ้า  จนกว่าสิ่งเหล่านี้จะได้รับการแก้ไข เราก็ยังอดไม่ได้ที่จะทำบาป และเราก็ไม่สามารถเป็นอิสระจากพันธะของบาปได้  พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘พวกท่านจงเป็นคนบริสุทธิ์ เพราะเราเองบริสุทธิ์(1 เปโตร 1:16)  พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และราชอาณาจักรของพระองค์ก็เช่นกัน  พระองค์ไม่ทรงสามารถอนุญาตให้มนุษย์โสมมอยู่ข้างในได้  พวกเราเหล่านั้นที่ทำบาปทุกวันเป็นพวกผู้รับใช้แห่งบาป แล้วเราจะเหมาะแก่การเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้อย่างไร?  พระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า เป็นแค่หนึ่งส่วนของพระราชกิจของพระเจ้าที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ไม่ใช่ทั้งหมด  บาปของเราเพียงได้รับการยกโทษ แต่เรายังไม่ได้ถูกทำให้เป็นอิสระจากบาปหรือปลดออกจากอิทธิพลของซาตาน  พระเจ้ายังไม่ได้รับมวลมนุษย์ไว้โดยครบบริบูรณ์  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เสด็จมาแล้วในยุคสุดท้าย  พระองค์ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพื่อชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเราให้สะอาดและแก้ไขธรรมชาติอันเปี่ยมบาปเยี่ยงซาตานของเราซึ่งอยู่ในฝ่ายตรงข้ามกับพระเจ้า  เพื่อให้เราสามารถปลดโซ่ตรวนแห่งบาปออกได้โดยทั้งหมดทั้งสิ้น ได้รับการช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์ และได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า  การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เปิดเผยผู้รับใช้ดีและชั่ว แกะและแพะ ข้าวสาลีและข้าวละมาน หญิงพรหมจารีมีปัญญาและโง่ด้วยเช่นกัน  พวกที่ไม่ยอมฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ผู้ที่ปฏิเสธและกล่าวโทษพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ก็คือหญิงพรหมจารีโง่ ข้าวละมาน ผู้รับใช้ชั่ว ผู้ที่จะตกลงสู่ความวิบัติในที่สุด ด้วยการร่ำไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน  บรรดาผู้ที่จดจำ พระสุรเสียงของพระเจ้าในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ และยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ ก็คือหญิงพรหมจารีมีปัญญา ข้าวสาลี และแกะ  พวกเขาก้าวผ่านการพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และถูกนำพาเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งพระเจ้าในท้ายที่สุด  นี่จึงทำให้คำเผยพระวจนะทั้งหลายในวิวรณ์ลุล่วงอย่างครบบริบูรณ์ ดังนั้นเมื่อพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายมาปิดตัวลง พระราชกิจการบริหารจัดการของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดก็จะเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์”

การสามัคคีธรรมของเธอช่างเป็นการเปิดหูเปิดตาสำหรับผม  ผมได้ตระหนักว่า องค์พระเยซูเจ้าเพียงทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ และมีเพียงพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอดได้โดยสมบูรณ์  พวกเราได้รับการไถ่บาปเพราะความเชื่อของเรา แต่ธรรมชาติที่เต็มไปด้วยบาปของเรายังคงสลักลึกอยู่ ซึ่งเป็นสาเหตุที่พวกเราดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะของการทำบาปและการสารภาพอย่างคงเส้นคงวา  ทั้งหมดที่ผมสามารถทำได้ก่อนหน้านี้ก็คือการบังคับตัวเองไม่ให้ทำบาป อ่านองค์พระคัมภีร์และทำตามกฎเกณฑ์ทั้งหลายของอาราม แต่นี่ก็ไม่อาจหยุดผมจากการทำบาปได้  แล้วผมก็เข้าใจว่า หนทางเดียวเท่านั้นที่จะแก้ไขปัญหาความเปี่ยมบาปก็คือการได้รับการพิพากษาและชำระให้สะอาดโดยพระเจ้าในยุคสุดท้าย  ผมถามพี่น้องหญิงคนนี้อย่างกระหายร้อนรนถึงวิธีที่พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาเพื่อชำระผู้คนให้สะอาด  เธอเปิดวิดีโอการอ่านพระวจนะของพระเจ้าเรื่องหนึ่ง  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสอนมนุษย์ เพื่อเปิดโปงธาตุแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์  พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรนบนอบพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะใช้ชีวิตตามสภาวะมนุษย์ปกติ ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่ธาตุแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งเปิดโปงว่ามนุษย์รังเกียจเดียดฉันท์พระเจ้าอย่างไร  ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงเปิดโปงและตัดแต่งเป็นเวลายาวนาน  วิธีการเปิดโปงและตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดนี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยคำพูดธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกกำราบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในเจตนารมณ์ของพระเจ้า ในพระประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในข้อล้ำลึกทั้งหลายที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงแก่นแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความอัปลักษณ์ของมนุษย์ ผลที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะแก่นแท้ของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่เปิดเผยความจริง ชีวิต ทางของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง)  หลังจากที่พวกเราได้ชมวิดีโอ เธอก็สามัคคีธรรมต่อไปว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงในยุคสุดท้ายเพื่อทรงพิพากษาและชำระผู้คนให้สะอาด  พระองค์ทรงแสดงความจริงทั้งปวงที่มวลมนุษย์จำเป็นต้องเข้าใจและเข้าสู่ เพื่อให้ได้รับการชำระให้สะอาดและได้รับการช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์  พระองค์ได้ทรงเปิดเผยความล้ำลึกของแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระองค์ และเผยความล้ำลึกแห่งพระราชกิจของพระเจ้าในเนื้อหนัง และความล้ำลึกทั้งหลายของพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ในยุคสุดท้ายและของพระนามของพระองค์  พระองค์ยังทรงตีแผ่รากเหง้าของเหตุผลที่ทำไมมวลมนุษย์จึงทำบาปและต่อต้านพระเจ้า  และความจริงแห่งการที่ซาตานทำให้เราเสื่อมทราม รวมถึงสภาวะเสื่อมทรามทุกจำพวกอีกด้วย  ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยอันบริสุทธิ์ ชอบธรรม ไม่อาจล่วงเกินได้ของพระเจ้า และทรงบอกเราว่า ใครที่ทำให้พระองค์ทรงยินดี ใครที่ทำให้พระองค์ทรงขยะแขยง ใครที่สามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ และใครที่จะถูกลงโทษ รวมถึงบั้นปลายและจุดจบสำหรับบุคคลแต่ละประเภท  พระองค์ยังประทานเส้นทางที่จะแปลงสภาพอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตให้แก่เราอีกด้วย  ตอนนี้ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกำลังก้าวผ่านการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้า และกำลังมองเห็นในที่สุด ว่าซาตานได้ทำให้พวกเราเสื่อมทรามดิ่งลึกเพียงใด ว่าเราเต็มไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เช่น ความโอหัง และความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง  พวกเราไม่สามารถใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ได้เลยแม้แต่น้อยนิด  เรายังมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าที่ไม่ทรงยอมทนต่อการล่วงเกินใดเลย และมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า เริ่มกลับใจและเกลียดตัวเราเองอย่างแท้จริง จนกลายเป็นเต็มใจที่จะละทิ้งเนื้อหนังและปฏิบัติความจริงอีกด้วย  จากนั้น อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเราก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลง และเราก็ไม่เป็นกบฏและท้าทายต่อต้านพระเจ้าเหลือเกินอีกต่อไป แต่กลับมีความนบนอบต่อพระองค์”  หลังการสามัคคีธรรมของเธอ เธอได้เปิดวิดีโอคำพยานให้ผมดูเรื่องหนึ่งชื่อ “ความสว่างที่แท้จริงปรากฏ”  ตัวละครหลักมีความสามารถพิเศษเล็กน้อยที่ทำให้เขาทำตัวเป็นนายเหนือหัวผู้อื่น และดูแคลนทุกคน  เขาหยิ่งผยองและยกตนข่มท่าน และต้องการให้ทุกคนฟังเขา  เขาเป็นผู้เชื่อคนหนึ่ง และเขาอธิษฐานและสารภาพอย่างมากมาย แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะอารมณ์เสียและติติงผู้อื่น  เพื่อนร่วมงานทุกคนของเขาตีตัวออกห่าง รวมถึงภรรยากับลูกสาวของเขาก็กลัวเขา  เขาไม่มีเพื่อนที่ไว้ใจได้แม้แต่คนเดียว  การดำรงชีวิตอยู่ในบาปทำให้เขาเป็นทุกข์อย่างสาหัส  หลังจากที่เขายอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ การพิพากษาและเปิดเผยแห่งพระวจนะของพระเจ้าก็แสดงให้เขาเห็นว่า การนึกถึงตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก การคุยโตโอ้อวดตัวเองเกินจริง และการเรียกร้องให้คนอื่นเชื่อฟังอยู่เสมอนั้น เป็นเพราะเขาโอหังและไม่มีเหตุผล และเห็นว่าเหล่านี้คือการแสดงออกของอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงขยะแขยงและทำให้ผู้อื่นขยาดไม่อยากอยู่ใกล้  เมื่อเขาตระหนักถึงเรื่องนี้ เขาก็เกลียดชังตัวเองเป็นแน่แท้และเต็มไปด้วยความเสียใจ  จากนั้นเขาก็เข้าหาผู้อื่นอย่างอ่อนโยนขึ้น และเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหา เขาก็ละทิ้งเนื้อหนัง แสวงหาความจริง และรับฟังผู้อื่น  เขาจึงค่อยๆ กลายเป็นโอหังน้อยลงกว่าเมื่อก่อน

การดูวิดีโอนี้น่าตื่นเต้นมากสำหรับผม  ผมได้เห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือความจริง เห็นว่าสิ่งเหล่านี้สามารถชำระผู้คนให้สะอาดและแปลงสภาพผู้คนได้จริงๆ  ผมเริ่มอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในทุกโอกาสที่มี รวมถึงดูภาพยนตร์ข่าวประเสริฐและวิดีโอบทเพลงสรรเสริญจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  ยิ่งดูมากขึ้นเท่าไร ผมก็ยิ่งรู้สึกชัดเจนในหัวใจมากขึ้นเท่านั้น  ผมเกิดความแน่ใจว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือความจริงและเป็นพระสุรเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมา  ผมจึงได้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  ขอบคุณพระเจ้า

ก่อนหน้า: 86. สิ่งใดที่พวกเราควรไล่ตามเสาะหาในชีวิต?

ถัดไป: 88. ท่ามกลางความทรมาน ฉันได้เห็นว่า…

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger