74. ฉันถูกกระชากหน้ากากด้วยการประจาน
วันหนึ่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2021 พี่น้องหญิงอีกคนบอกกับฉันว่า พี่น้องหญิงอาริอันนาซึ่งถูกย้ายจากคริสตจักรเราไปยังคริสตจักรอื่นพูดว่าฉันสะเพร่าในหน้าที่ของฉัน และไม่ได้จัดการกับปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นในงานข่าวประเสริฐของฉันอย่างรวดเร็วพอ ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของทีมลดต่ำลง เธอพูดว่าฉันมีพฤติกรรมของผู้นำเทียมเท็จ พี่น้องหญิงคนนั้นเตือนให้ฉันทบทวนตนเอง ฉันรู้สึกโมโห พลางคิดว่า “พักหลังมานี้ ฉันไม่ได้ติดตามผลงานอย่างละเอียด แต่ฉันก็มีเหตุผลที่ดี หากคุณมีอะไรจะพูด ก็พูดต่อหน้าฉันสิ การที่คุณพูดลับหลังฉัน ไม่ใช่เป็นการที่คุณกำลังพยายามหาเรื่องหรอกหรือ? แล้วพี่น้องชายหญิงจะคิดอย่างไรอย่างไรกับฉัน? ในเมื่อคุณพูดถึงฉันแบบนั้น ฉันก็จะไม่ปล่อยคุณไปง่ายๆ หรอก ฉันจะเปิดโปงความผิดของคุณบ้าง คนอื่นจะได้รู้ว่า มันไม่ใช่ปัญหาของฉัน แต่เป็นปัญหาของคุณทั้งหมด” ฉันจึงพูดไปว่า “อาริอันนาดูแคลนและคอยจับผิดฉันอยู่ตลอดเวลา ทุกคนก็รู้อยู่ว่าเธอไม่ใช่คนดีนัก เธอไม่เคยทำงานกับคนอื่นได้ดี แต่จู้จี้จุกจิกมาก ตอนนี้เธอกำลังพุ่งเป้ามาที่ฉัน แต่ฉันไม่เคยทำอะไรให้เธอเลย อาจจะเป็นเพราะว่า ฉันได้ย้ายเธอไปที่อีกคริสตจักรหนึ่ง เธอจึงเสียยศศักดิ์ในฐานะหัวหน้าทีม และเธอก็เลยต้องการต้องการแก้แค้นฉันเพราะเรื่องนั้น” แม้หลังจากที่ฉันได้พูดไปแบบนั้น ฉันก็ยังรู้สึกเหมือนว่า สิ่งที่อาริอันนาทำลงไปนั้นช่างน่าขายหน้าเหลือเกิน เธอเปิดโปงฉันต่อหน้าผู้คนเหล่านั้นทั้งหมด หากทุกคนเชื่อเธอ พวกเขาจะมองฉันอย่างไร? พวกเขาจะคิดว่าฉันเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือเปล่า? แล้วหากเรื่องนี้ถูกรายงานต่อผู้นำระดับสูง ฉันอาจจะถึงกับเสียตำแหน่งของฉันไปได้ ฉันหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้มากขึ้นทุกที และเริ่มเกลียดอาริอันนา ไม่ใช่ว่าเธอกำลังเจาะจงเลือกฉันอย่างชัดเจนหรอกหรือ? ฉันคิดไปว่าหากเธอใจร้าย เธอก็โทษฉันไม่ได้กับการที่ไม่เป็นธรรม ตราบที่ฉันเป็นผู้นำ เธอจะไม่ได้เห็นการเลื่อนตำแหน่งอีกเลย ฉันจะนำเอาทุกพฤติกรรมของเธอออกสู่ที่แจ้ง ให้แน่ใจว่าทุกคนได้หยั่งรู้ และหากฉันได้รู้ว่าเธอตัดสินผู้อื่นลับหลัง ฉันก็จะทำให้เธอต้องออกจากคริสตจักรไป ฉันไม่สบายใจนักกับความคิดแบบนี้ และนึกฉงนว่าการปฏิบัติต่อเธอในหนทางนั้นจะอยู่ในแนวเดียวกันกับน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น และฉันก็ไม่ได้แสวงหาความจริงหรือทบทวนตนเอง แต่กลับเพ่งเล็งเธอเขม็ง และต้องการตะครุบความผิดของเธอเพื่อเอามาตอบโต้เธอ เพื่อเปิดโปงเธอ และถึงขั้นแก้แค้นด้วยซ้ำ ฉันรู้ว่านั่นไม่ใช่การยอมรับความจริง
คืนนั้นฉันได้ใช้ความคิดไปกับเรื่องนี้มากพอดู ในใจฉันยังไม่สามารถยอมรับสิ่งที่อาริอันนาพูดเกี่ยวกับตัวฉันได้ แต่ก็กำลังคิดถึงคำพูดนั้นอย่างจริงจัง ว่าฉันใช่ผู้นำที่ดีมีสมรรถภาพอย่างนั้นหรือ? ผู้นำคนหนึ่งควรจับความเข้าใจในทุกแง่มุมของงาน และแก้ไขให้เร็วที่สุดหลังจากที่พบปัญหา ฉันเป็นผู้ควบคุมดูแลงานข่าวประเสริฐ ดังนั้นเมื่อทีมประสบปัญหา ฉันก็ควรเสนอความช่วยเหลือและคำแนะนำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในทันที แต่ฉันไม่ได้ทำแบบนั้นมากสักเท่าไหร่เลย ผู้นำเทียมเท็จไม่ใช่ใครบางคนที่ทำงานไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรอกหรือ? อาริอันนาพูดไม่ผิดเลย เธอไม่ใช่คนชั่ว เธอมีพรสวรรค์และจุดแข็งบางอย่าง และเธอก็มีผลลัพธ์ในหน้าที่ของเธอ หากฉันไม่ปล่อยให้เธอทำหน้าที่หรือถึงกับเขี่ยเธอออกเพราะความคับข้องใจส่วนตัว นั่นไม่เพียงเป็นการทำร้ายอาริอันนา แต่จะทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักไปด้วย ฉันไม่อาจทำบางสิ่งที่ทำให้พระเจ้าทรงขยะแขยงได้ เมื่อคิดเช่นนั้น ฉันก็ปล่อยมือจากอคติที่มีต่อเธอไปได้เล็กน้อย ฉันยังทบทวนถึงประเภทของงานซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงที่ฉันไม่ได้กำลังทำอยู่ด้วยเช่นกัน ฉันรู้ว่าฉันได้เริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ที่เธอกล่าวถึง และสัมพันธ์สนิทกับพี่น้องชายหญิงถึงความลำบากยากเย็นพวกเขา หลังจากที่ทำแบบนั้น ฉันก็รู้สึกดีขึ้น
ตอนนั้นฉันคิดว่าเรื่องทั้งหมดผ่านพ้นไปแล้ว แต่สองวันต่อมา ฉันก็ได้รู้ว่าในการชุมนุมครั้งหนึ่งที่มีคนสี่สิบกว่าคน อาริอันนาพูดถึงสัญญาณต่างๆ ที่ชี้ว่าฉันเป็นผู้นำเทียมเท็จ ความโมโหทั้งมวลของฉันเดือดพลุ่งขึ้นมาเมื่อได้ยินเรื่องนี้ และฉันคิดว่า การที่อาริอันนาเปิดโปงฉันต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนั้น เป็นการลากชื่อของฉันไปจมโคลนจริงๆ ฉันจะเชิดหน้าอยู่ได้อย่างไรหากเธอทำแบบนั้นต่อไป? ฉันอาจถึงขั้นถูกปลดออกเพราะการเป็นผู้นำเทียมเท็จก็เป็นได้ ฉันต้องการแสดงให้เธอเห็นว่าอะไรเป็นอะไร เธอจะได้ไม่คิดว่าฉันเป็นลูกแกะน้อยแสนเชื่อง! หากเธอต้องการเปิดโปงฉันต่อหน้าทุกคนและทำให้ความมีหน้ามีตาของฉันเสียหาย ฉันก็จะหาให้เจอว่าเธอทำผิดอะไรและรวบรวมหลักฐาน แล้วก็หาโอกาสกำจัดเธอออกไป ฉันตึงเครียดอยู่ตลอดเวลาในช่วงสองสามวันหลังจากนั้น พลางคิดถึงวิธีที่จะกอบกู้ความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีของตัวเองคืนมา วิธีที่จะเอาคืนกับเธอ ฉันบอกผู้นำที่คริสตจักรใหม่ของเธอ ว่าเธอไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี รวมทั้งมักตัดสินผู้นำและคนทำงานคนอื่นอยู่เสมอ ดังนั้นผู้นำคริสตจักรจึงควรจับตาดูเธอไว้ และหากเห็นว่าเธอเริ่มมีพฤติกรรมไม่ดี ก็ปลดเธอออกได้เลยโดยไม่ต้องเสียเวลารอ หลังจากที่ฉันได้พูดไปทั้งหมดนั่นแล้ว ฉันก็ค่อนข้างรู้สึกผิดและไม่สบายใจ ฉันคิดว่า “ฉันกำลังทำอะไรอยู่นี่? นี่ไม่ใช่เป็นการตาต่อตาฟันต่อฟัน ไม่ใช่เป็นการฟาดฟันและกีดกันคนอื่นออกไปหรอกหรือ? พระเจ้าทรงต้องการให้ฉันได้รับบทเรียนใดหรือจากเรื่องนี้?” จากนั้น สุดท้ายแล้ว ฉันก็มาอยู่เฉพาะพระพักตร์เพื่ออธิษฐานและแสวงหา
ในการแสวงหาของฉัน ฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ซึ่งกีดกันใครก็ตามที่ตนไม่เห็นด้วย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “สิ่งใดคือวัตถุประสงค์หลักของศัตรูพระคริสต์เมื่อพวกเขาโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่าง? พวกเขาเสาะแสวงที่จะสร้างสถานการณ์ขึ้นมาภายในคริสตจักรที่ไม่มีใครส่งเสียงคัดค้านพวกเขา เป็นสถานการณ์ที่อำนาจของพวกเขา สถานะผู้นำของพวกเขา และคำพูดของพวกเขาถือเป็นเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทั้งสิ้น ทุกคนต้องฟังพวกเขา และต่อให้ผู้คนมีความคิดเห็นที่ต่างออกไป ทุกคนก็ต้องไม่แสดงความคิดเห็นนั้นออกมา ปล่อยให้หมักหมมอยู่ในหัวใจของตนเท่านั้น ใครก็ตามที่กล้าคัดค้านพวกเขาอย่างเปิดเผยย่อมกลายเป็นอริกับศัตรูของพระคริสต์ และพวกเขาจะคิดหาหนทางอันใดก็ตามที่พวกเขาสามารถคิดได้เพื่อทำให้สิ่งต่างๆ ยากลำบากสำหรับคนเหล่านั้น และแทบจะทนรอให้คนเหล่านั้นปลาสนาการไปไม่ไหว นี่คือหนึ่งในหลายหนทางที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้เล่นงานและกีดกันผู้เห็นต่างเพื่อช่วยพยุงสถานะและปกป้องอำนาจของตน พวกเขาคิดว่า ‘ไม่เป็นไรเลยที่คุณจะมีความคิดเห็นทั้งหลายที่ต่างออกไป แต่คุณไม่สามารถเที่ยวไปพูดคุยเกี่ยวกับความคิดเห็นเหล่านั้นตามแต่คุณจะยินดีได้ นับประสาอะไรที่จะทำให้อำนาจและสถานะของฉันต้องเสี่ยง หากคุณมีบางสิ่งจะพูด ก็สามารถพูดสิ่งนั้นกับฉันได้เป็นการส่วนตัว หากคุณพูดสิ่งนั้นต่อหน้าทุกคนและเป็นเหตุให้ฉันเสียหน้า คุณก็กำลังหาเรื่องใส่ตัว และฉันก็จำเป็นที่จะต้องจัดการคุณ!’ นี่คืออุปนิสัยประเภทใด? พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นพูดอย่างอิสระ หากผู้อื่นมีความเห็น—ไม่ว่าจะเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์หรือสิ่งอื่นใด—พวกเขาก็ไม่อาจพูดขึ้นมาตามสบายได้ พวกเขาต้องคำนึงถึงหน้าตาของศัตรูพระคริสต์ ถ้าไม่อย่างนั้น ศัตรูของพระคริสต์ก็จะตราหน้าพวกเขาว่าเป็นศัตรู และโจมตีและกีดกันพวกเขาออกจากกลุ่ม นี่คือธรรมชาติประเภทใดหรือ? นี่ก็คือธรรมชาติของศัตรูพระคริสต์ แล้วเหตุใดพวกเขาจึงทำเช่นนี้? พวกเขาไม่เปิดโอกาสให้คริสตจักรส่งเสียงเป็นอื่น พวกเขาไม่อนุญาตให้มีผู้เห็นต่างในคริสตจักร พวกเขาไม่เปิดโอกาสให้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามัคคีธรรมความจริงและใช้วิจารณญาณแยกแยะผู้คนอย่างเปิดเผย สิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดคือการถูกผู้คนเปิดโปงและรู้ทัน พวกเขาพยายามตลอดเวลาที่จะเสริมสร้างอำนาจของตนและสถานะที่พวกเขามีอยู่ในหัวใจของผู้คน ซึ่งพวกเขารู้สึกว่าจะต้องไม่มีวันถูกสั่นคลอน พวกเขาไม่มีวันสามารถทนยอมรับสิ่งใดก็ตามที่คุกคามหรือส่งผลกระทบต่อความภาคภูมิใจ ความมีหน้ามีตา หรือสถานะและคุณค่าของพวกเขาในฐานะผู้นำ นี่สำแดงถึงธรรมชาติที่มุ่งร้ายของศัตรูพระคริสต์มิใช่หรือ? ด้วยความที่ไม่พอใจในอำนาจที่พวกเขามีอยู่แล้ว พวกเขาจึงสร้างความมั่นคงให้กับอำนาจนั้น พิทักษ์อำนาจนั้นไว้ และแสวงหาการครอบครองชั่วนิรันดร์ พวกเขาไม่เพียงต้องการควบคุมพฤติกรรมของผู้อื่นเท่านั้น แต่ต้องการควบคุมหัวใจของคนเหล่านั้นด้วย วิธีการที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้นี้ล้วนเป็นไปเพื่อปกป้องอำนาจและสถานะของตน และเป็นผลจากการที่พวกเขาอยากรักษาอำนาจเอาไว้ทั้งสิ้น… ข้อนี้เป็นจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีผู้เห็นต่างอยู่ด้วย และพวกศัตรูของพระคริสต์ก็ได้ยินมาว่าผู้เห็นต่างนั้นพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตนหรือวิพากษ์วิจารณ์ตนลับหลัง ในกรณีเช่นนี้พวกเขาจะแก้ไขเรื่องดังกล่าวทันที ต่อให้นั่นหมายถึงการอดนอนทั้งคืนและอดอาหารทั้งวันก็ตาม เหตุใดพวกเขาจึงพยายามถึงขนาดนั้น? เพราะพวกเขารู้สึกว่าสถานะของตนตกอยู่ในอันตราย และกำลังถูกท้าทาย พวกเขารู้สึกว่าถ้าตนไม่ลงมือเช่นนั้น อำนาจและสถานะของพวกตนก็จะมีภัย—และทันทีที่ความประพฤติชั่วและการปฏิบัติตนอันเสื่อมเสียของพวกเขาถูกเปิดโปง ไม่เพียงพวกเขาจะไม่สามารถรักษาสถานะและอำนาจของตนเอาไว้ได้เท่านั้น แต่ยังจะถูกพาตัวออกไปหรือขับไล่ออกจากคริสตจักรอีกด้วย นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาใจร้อนอย่างยิ่งในการคิดหาทางระงับเรื่องเอาไว้และปัดเป่าโพยภัยทั้งปวงที่ซ่อนเร้นอยู่ นี่เป็นวิธีเดียวที่พวกเขาจะสามารถรักษาสถานะของตนเอาไว้ได้ สำหรับศัตรูของพระคริสต์แล้ว สถานะก็คือลมหายใจแห่งชีวิต ทันทีที่พวกเขาได้ยินว่ามีคนกำลังจะเปิดโปงหรือรายงานเรื่องของตน พวกเขาก็หวาดกลัวจนว้าวุ่น กลัวว่าเมื่อวันพรุ่งนี้มาถึง พวกเขาจะสูญเสียสถานะตนเองและไม่มีวันได้ชื่นชมความรู้สึกของการมีอภิสิทธิ์ที่สถานะนำมาให้รวมทั้งผลประโยชน์จากสถานะอีกด้วย พวกเขากลัวว่าจะไม่มีใครยอมทำตามพวกเขาหรือติดตามพวกเขาอีกต่อไป และจะไม่มีใครประจบเอาใจหรือทำตามคำสั่งของตนอีกแล้ว แต่สิ่งที่พวกเขาทนยอมรับไม่ได้มากที่สุดไม่ได้มีเพียงการสูญสิ้นสถานะและอำนาจเท่านั้น แต่เป็นการที่พวกเขาอาจถึงกับถูกนำตัวออกไปหรือขับไล่ออกไป ถ้าเรื่องนั้นเกิดขึ้น ความได้เปรียบและความรู้สึกทั้งปวงของการมีอภิสิทธิ์ซึ่งสถานะและอำนาจมอบให้แก่พวกเขามาโดยตลอด รวมทั้งความหวังที่จะได้รับพรและรางวัลทั้งมวลจากการเชื่อในพระเจ้า ก็จะสูญสิ้นไปทันที ความน่าจะเป็นเช่นนี้คือสิ่งที่พวกเขาทนรับได้ยากที่สุด” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สอง: พวกเขาโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่าง) “สำหรับศัตรูของพระคริสต์แล้ว คนที่เห็นต่างคนนี้เป็นภัยคุกคามต่อสถานะและอำนาจของพวกเขา ใครก็ตามที่คุกคามสถานะและอำนาจของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นใคร พวกศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะ ‘จัดการ’ พวกเขา หากไม่สามารถบีบให้ผู้คนเหล่านี้ยอมเชื่อฟังหรือยอมเป็นพวกตนได้ เช่นนั้นแล้ว ศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะโค่นล้มหรือเอาตัวพวกเขาออกไป สุดท้ายแล้ว พวกศัตรูของพระคริสต์ก็จะสัมฤทธิ์เป้าหมายของพวกเขาในการมีอำนาจเด็ดขาด และอยู่เหนือกฎเกณฑ์ นี่คือหนึ่งในวิธีการที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้ธำรงสถานะและอำนาจของตนเป็นประจำ—พวกเขาโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่าง” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สอง: พวกเขาโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่าง) พระวจนะของพระเจ้าสะเทือนอารมณ์จริงๆ และทำให้ฉันกลัว ฉันไม่ได้ตระหนักเลยว่าฉันสามารถฟาดฟันและกีดกันใครสักคนได้เพื่อชื่อและสถานะของฉัน และฉันกำลังทำความชั่วของพวกศัตรูของพระคริสต์ พอได้ยินว่าอาริอันนาบอกผู้อื่นว่าฉันไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ฉันไม่ได้คิดว่านั่นเป็นความจริงหรือไม่ แต่คิดแค่ว่าเธอกำลังพุ่งเป้ามาที่ฉันและตัดสินฉันลับหลัง นั่นทำร้ายความภาคภูมิใจของฉัน ฉันจึงเริ่มไม่ชอบเธอและแบกความแค้นเคืองไว้ จนถึงกับต้องการที่จะฟาดฟันเธอ จากนั้นพอฉันได้รู้ว่าเธอเปิดโปงฉันที่การชุมนุมซึ่งขนาดใหญ่กว่าเดิมนั้น ฉันก็ยิ่งเกลียดเธอมากขึ้น ฉันต้องการกอบกู้ความภาคภูมิใจและตำแหน่งของฉันคืนมา จึงเอาการฝ่าฝืนในอดีตของเธอมาทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ให้ผู้อื่นคิดว่าเธอไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี และคงจะปฏิเสธเธอ ฉันถึงกับกระตุ้นผู้นำคนปัจจุบันของเธอ ให้คอยจับตามองพฤติกรรมของเธอไว้ โดยหวังที่จะหาโอกาสทำให้เธอถูกไล่ออก ฉันตระหนักดีว่าเธอมีพรสวรรค์และจุดแข็ง และทำหน้าที่ของเธอเองได้ดี รู้ว่าเธอควรทำหน้าที่ในคริสตจักรต่อไป ฉันยังรู้ด้วยว่าอาริอันนาเปิดเผยปัญหาจริงๆ ของฉัน แต่มันมาแตะต้องหน้าตาและสถานะของฉัน ฉันจึงเริ่มมองเห็นเธอเป็นผู้เห็นต่าง เป็นศัตรู และเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจและตำแหน่งของฉัน ฉันต้องการที่จะฟาดฟันเธอ ที่จะแก้แค้น ฉันช่างมีธรรมชาติที่ชั่วร้ายจริงๆ! แล้วฉันก็คิดถึงศัตรูของพระคริสต์ที่ถูกไล่ออกจากคริสตจักร ทันทีที่มีใครคุกคามสถานะของพวกเขา พวกเขาก็จะฟาดหัวฟาดหาง ต้องการให้คริสตจักรเป็นอาณาจักรตัวเอง ต้องการปกครองทุกอย่าง พวกเขาลงเอยด้วยการถูกขับไล่และกำจัดออกไปเพราะทำความชั่วมากเกินไป พฤติกรรมของฉันไม่ต่างอะไรกับพฤติกรรมของศัตรูของพระคริสต์พวกนั้นเลย
ฉันยังคงทบทวนตัวเองต่อไป ว่าเหตุใดฉันได้เป็นผู้เชื่อมาหลายปีเหลือเกิน แต่กลับห้ามตัวเองไม่ได้ ที่จะไม่เดินไปตามเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์และทำสิ่งชั่วที่ชั่วเช่นนั้น จากนั้นในการชุมนุมครั้งหนึ่ง เราอ่าน “ผู้ที่นบนอบพระเจ้าด้วยหัวใจที่แท้จริงย่อมได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าอย่างแน่นอน” มีบทตอนหนึ่งที่ตรงเข้ากลางใจฉัน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เนื่องจากเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าต้องเชื่อในพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าและในพระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ ซึ่งพูดได้ว่า ในเมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็ต้องนบนอบพระองค์ หากเจ้าไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ ก็ย่อมไม่สำคัญแล้วว่าเจ้าจะเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ หากเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปี แต่ไม่เคยนบนอบพระองค์ และไม่ยอมรับพระวจนะของพระองค์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ แต่กลับขอให้พระเจ้าทรงนบนอบเจ้าและทรงกระทำตามมโนคติที่หลงผิดของเจ้า เจ้าก็เป็นกบฏอย่างที่สุด เจ้าคือผู้ไม่เชื่อ ผู้คนเช่นนั้นจะนบนอบพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าซึ่งไม่ประจวบพ้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ได้อย่างไรกัน? ผู้ที่เป็นกบฏที่สุดก็คือพวกที่เจตนาขัดขืนท้าทายและต้านทานพระเจ้า พวกเขาเป็นศัตรูของพระเจ้า เป็นศัตรูของพระคริสต์ ท่าทีของพวกเขานั้นไม่เป็นมิตรต่อพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าเสมอ พวกเขาไม่มีความเอนเอียงแม้แต่น้อยนิดที่จะนบนอบ ทั้งยังไม่เคยนบนอบหรือถ่อมใจตนเองอย่างเปรมปรีดิ์ พวกเขายกย่องตนเองต่อหน้าผู้อื่นและไม่เคยยอมนบนอบผู้ใด เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาพิจารณาว่าตนเองนั้นเก่งที่สุดในเรื่องการประกาศพระวจนะ และมีทักษะสูงสุดในการทำงานให้เกิดผลในตัวผู้อื่น พวกเขาไม่เคยทิ้งขว้าง ‘ขุมทรัพย์’ ที่ตนครอง แต่ปฏิบัติต่อขุมทรัพย์เหล่านั้นเฉกเช่นมรดกตกทอดของครอบครัวสำหรับนมัสการ เพื่อประกาศต่อผู้อื่นไปทั่ว และใช้ขุมทรัพย์เหล่านั้นเพื่ออบรมสั่งสอนพวกคนโง่เขลาที่ชื่นชูพวกเขา ในคริสตจักรมีผู้คนแบบนี้อยู่ไม่น้อยทีเดียวจริงๆ อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเป็น ‘วีรบุรุษผู้มิอาจมีผู้ใดพิชิตได้’ รุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ผ่านมาพักแรมในบ้านของพระเจ้า พวกเขาถือการประกาศพระวจนะ (คำสอน) เป็นหน้าที่อันสูงส่งที่สุดของพวกเขา ปีแล้วปีเล่า รุ่นแล้วรุ่นเล่า พวกเขายุ่งอยู่กับการบังคับใช้หน้าที่ ‘อันศักดิ์สิทธิ์และมิอาจฝ่าฝืนได้’ ของตนอย่างกร้าวแกร่ง ไม่มีใครกล้าแตะพวกเขา ไม่แม้แต่คนเดียวที่กล้าตำหนิพวกเขาอย่างเปิดเผย พวกเขากลายเป็น ‘กษัตริย์’ ในพระนิเวศของพระเจ้า อาละวาดเพ่นพ่านขณะที่พวกเขาปฏิบัติอย่างเผด็จการกับผู้อื่นมายุคแล้วยุคเล่า ปีศาจฝูงนี้พยายามหาทางร่วมมือกันรื้อทำลายงานของเรา เราจะยอมให้มารมีชีวิตพวกนี้ดำรงอยู่ต่อหน้าต่อตาเราได้อย่างไร? แม้แต่ผู้ที่นบนอบเพียงครึ่งใจก็ยังไม่อาจรอดไปถึงปลายทางได้ นับประสาอะไรกับพวกเผด็จการเหล่านี้ที่ไม่มีความนบนอบแม้เพียงน้อยนิดในหัวใจ! พระราชกิจของพระเจ้าไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ได้รับอย่างง่ายดาย แม้จะใช้สรรพกำลังทั้งหมดที่พวกเขามี มนุษย์ก็สามารถได้รับเพียงบางส่วนเท่านั้น ซึ่งก็เปิดโอกาสให้พวกเขาได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมในท้ายที่สุด เช่นนั้นแล้ว บรรดาลูกหลานของหัวหน้าทูตสวรรค์ที่พยายามหาทางทำลายพระราชกิจของพระเจ้าล่ะว่าอย่างไร? พวกเขายิ่งมีความหวังน้อยสักเท่าใดที่จะได้รับการรับไว้โดยพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า) พระวจนะของพระเจ้าเสียดแทงหัวใจฉัน และฉันก็ได้เห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมและเปี่ยมบารมีของพระองค์ สิ่งที่ทำให้ฉันยิ่งตกใจกลัวมากขึ้นคือพระวจนะเหล่านี้ที่ว่า “ไม่เคยยอมนบนอบผู้ใด” “ไม่มีใครกล้าแตะพวกเขา” และ “พวกเขากลายเป็น ‘กษัตริย์’ ในพระนิเวศของพระเจ้า อาละวาดเพ่นพ่านขณะที่พวกเขาปฏิบัติอย่างเผด็จการกับผู้อื่นมายุคแล้วยุคเล่า ปีศาจฝูงนี้พยายามหาทางร่วมมือกันรื้อทำลายงานของเรา เราจะยอมให้มารมีชีวิตพวกนี้ดำรงอยู่ต่อหน้าต่อตาเราได้อย่างไร?” เมื่อฉันได้รู้ว่าอาริอันนาเปิดโปงฉันว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ ฉันก็ตอบสนองด้วยด้วยความเป็นศัตรู ความไม่พอใจ ความขุ่นเคือง และการขัดขืน ฉันฟาดหัวฟาดหางอย่างชั่วร้ายด้วยความโมโห แม้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันก็จะไม่ยอมรับความจริงและขาดการนบนอบโดยสิ้นเชิง เมื่อใครบางคนเปิดเผยปัญหาของฉัน เมื่อความภาคภูมิใจของฉันถูกทำร้ายและตำแหน่งของฉันถูกคุกคาม ฉันก็ต้องการที่จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อฉุดรั้งคนเหล่านั้นและเอาคืนพวกเขา ถึงกับพยายามที่จะเอาสิทธิในการทำหน้าที่ของพวกเขาไป และขับดันพวกเขาออกจากคริสตจักร ฉันมีความรู้สึกนึกคิดแบบมุ่งร้ายนี้ที่ว่า ฉันจะไม่หยุดพักจนกว่าฉันจะทำให้พวกเขาย่อยยับไม่มีชิ้นดี ฉันได้กลายเป็น “กษัตริย์” ในคริสตจักร ที่ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้อง นั่นต่างกันอย่างไรกับพวกปีศาจพรรคคอมมิวนิสต์จีน พวกเผด็จการเหล่านั้น? คติประจำใจของพวกนั้นก็คือ “ผู้ที่ทำตามเราเจริญ พวกที่ต้านทานเราพินาศ” ใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยหรือกล้าเปิดโปงความชั่วที่พรรคคอมมิวนิสต์ทำ มันก็กดขี่ ถอนรากถอนโคน และกำจัดจนสิ้นซาก เพื่อดำรงการปกครองเอาไว้และสร้างความมั่นคงให้กับอำนาจของมัน นั่นคือสิ่งที่มันทำในการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน คือสิ่งที่มันทำกับบรรดาชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ และมันยิ่งเลวร้ายกว่านั้นด้วยซ้ำกับบรรดาผู้เชื่อ โดยทั้งจับกุม กดขี่ และข่มเหงพวกเรา ชีวิตผู้ไร้ความผิดจำนวนมากเหลือเกินได้สูญเสียไปด้วยน้ำมือพวกมัน! ฉันได้รับการศึกษาและได้รับอิทธิพลจากพวกปีศาจคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ฉันยังเล็ก กลายเป็นว่าพิษร้ายเยี่ยงซาตานมากมายได้มาฝังตัวอยู่ลึกมากภายในตัวฉัน อย่างเช่น “เราเท่านั้นที่ครองราชย์สูงสุด” “ให้เหล่าผู้ที่ทำตามเราจงเจริญรุ่งเรือง และพวกที่ต้านทานเราจงพินาศ” “ถ้าเธอใจร้าย ก็อย่าโทษฉันที่ไม่เป็นธรรม” และ “ลิ้มรสขมที่ตัวเองทำไว้เสียบ้าง” พิษร้ายเยี่ยงซาตานเหล่านี้ได้กลายเป็นกฎเกณฑ์เพื่อการอยู่รอด ทำให้ฉันโอหังและชั่วร้ายมากขึ้น ฉันกำลังใช้ชีวิตตามสิ่งเหล่านี้ ฉันจึงสามารถทำความชั่ว กดขี่และทำร้ายผู้อื่นได้ แล้วฉันก็ยังคิดถึงการที่พระเจ้าได้ทรงสามัคคีธรรมความจริงไปมากมายเกี่ยวกับการหยั่งรู้พวกผู้นำเทียมเท็จและพวกศัตรูของพระคริสต์ ตอนนี้ทุกคนกำลังเรียนรู้ความจริงและตื่นขึ้น ดังนั้นจึงมีบางคนเปิดโปงและรายงานเรื่องผู้นำเทียมเท็จ นี่คือการปฏิบัติความจริงและปกป้องงานของคริสตจักร—นั่นเป็นสิ่งที่เป็นบวก ไม่ว่าผู้ที่เปิดโปงฉันเป็นบุคคลจำพวกใด ไม่ว่าพวกเขาพุ่งเป้ามาที่ฉันหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาพูดต่อหน้าฉันหรือไม่ ตราบที่สิ่งที่พวกเขาพูดเป็นความจริง ฉันก็ควรยอมรับมันจากพระเจ้า และยอมรับมัน นบนอบและเรียนรู้บทเรียนอย่างถูกต้องเหมาะสม นั่นคือการยอมรับความจริงและการนบนอบต่อพระเจ้า แต่สำหรับฉัน ฉันไม่เพียงไม่ยอมนบนอบเท่านั้น แต่ยังฟาดฟันผู้ที่เปิดโปงฉันอีกด้วย นั่นไม่ใช่กรณีพิพาทส่วนตัว แต่ฉันกำลังปฏิเสธความจริงและขัดขืนต่อพระเจ้า เมื่อตระหนักเช่นนี้ ฉันก็เกลียดตัวเองและค่อนข้างรู้สึกกลัว ฉันจึงรีบมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว ตอนที่ถูกอาริอันนาเปิดโปง ข้าพระองค์ไม่ได้ทบทวนตนเองหรือเรียนรู้บทเรียน แต่พยายามไล่ล่าเธอ ข้าพระองค์เห็นแล้วว่าข้าพระองค์มีธรรมชาติที่ชั่วร้ายจริงๆ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการกลับใจต่อพระองค์”
ฉันคิดทบทวนสิ่งที่อาริอันนาพูดเกี่ยวกับปัญหาของฉัน และเริ่มทำการติดตามผลจริงๆ ในรายละเอียดของงาน ฉันได้พบว่างานมีปัญหามากมายจริงๆ อย่างเช่น พี่น้องชายหญิงบางคนที่ยังใหม่ต่องานประกาศข่าวประเสริฐ ไม่คุ้นเคยกับความจริงของนิมิตทั้งหลาย พวกเขาจึงไม่สามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความลำบากยากเย็นของผู้คนที่พวกเขาประกาศให้ บางคนก็ไม่เข้าใจหลักธรรมของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ จึงได้ทำการเปลี่ยนเชื่อให้กับผู้คนที่ไม่เหมาะสม ผู้เชื่อใหม่บางคนไม่เข้าใจความจริงสักนิดแม้ได้รับการให้น้ำไปแล้วระยะหนึ่ง รวมทั้งบางคนก็ไม่สนใจความจริงและลาออกไป นั่นเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรของเราเป็นอย่างมาก ฉันหยิบยกปัญหาที่ฉันได้เห็นมาขึ้นมาพูดในการชุมนุม และสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมทั้งหลายเพื่อทำให้ทุกอย่างถูกต้อง พี่น้องชายหญิงเริ่มวางแผนเพื่อให้ตนเองพร้อมมูลด้วยความจริงของนิมิต และเมื่อพวกเขาไม่เข้าใจหรือไม่สามารถสามัคคีธรรมให้ชัดเจนได้ในบางสิ่ง พวกเราก็จะมีการสามัคคีธรรมถึงสิ่งนั้นด้วยกัน ไม่นานพวกเขาก็มีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับความจริงของนิมิตทั้งหลาย และทีมก็ประสบความสำเร็จมากขึ้น ฉันตระหนักว่าพระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้อาริอันนาเปิดโปงฉันว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ และชี้ให้เห็นว่าฉันไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง เพื่อให้ฉันได้ทบทวนตนเองและทำหน้าที่ของฉันให้ดี พระองค์ทรงกำลังคุ้มครองฉัน
ภายหลังต่อมา ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนที่ว่า “พระเจ้าทรงพระราชกิจในบุคคลทุกๆ คน และไม่สำคัญว่าวิธีการของพระองค์คือสิ่งใด ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งของประเภทใดที่พระองค์ทรงใช้ให้เป็นประโยชน์ในการปรนนิบัติของพระองค์ หรือว่าพระวจนะของพระองค์มีกระแสเสียงประเภทใด พระองค์ก็เพียงทรงมีเป้าหมายปลายทางเดียวเท่านั้น นั่นคือ การช่วยเจ้าให้รอด แล้วพระองค์ทรงช่วยเจ้าให้รอดอย่างไรเล่า? พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงเจ้า ดังนั้น เป็นไปได้อย่างไรที่เจ้าจะไม่ทนทุกข์บ้าง? เจ้าย่อมจะต้องทนทุกข์ ความทุกข์นี้สามารถเกี่ยวข้องกับหลายสิ่งหลายอย่าง ก่อนอื่น ผู้คนต้องทนทุกข์เมื่อพวกเขายอมรับการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้า เมื่อพระวจนะของพระเจ้ารุนแรงและแจ่มแจ้งเกินไป และผู้คนตีความพระเจ้าในทางที่ผิด—และถึงกับมีมโนคติอันหลงผิด—นั่นก็สามารถทำให้เจ็บปวดได้เช่นกัน บางครั้งพระเจ้าทรงสร้างสภาพแวดล้อมอย่างหนึ่งขึ้นมารอบตัวผู้คนเพื่อเผยความเสื่อมทรามของพวกเขา เพื่อทำให้พวกเขาทบทวนตนเองและรู้จักตนเอง แล้วจากนั้นพวกเขาก็จะทนทุกข์เล็กน้อยเช่นกัน บางครั้งเมื่อพวกเขาถูกตัดแต่งและเปิดโปงโดยตรง ผู้คนย่อมต้องทนทุกข์ ราวกับว่าพวกเขากำลังถูกผ่าตัด—หากไม่มีความทุกข์ ผลลัพธ์ก็ไม่เกิด ทุกครั้งที่เจ้าได้รับการตัดแต่ง และทุกครั้งที่เจ้าถูกสภาพแวดล้อมบีบให้เผยตัวออกมา หากนั่นปลุกเร้าความรู้สึกของเจ้าและดันเจ้าขึ้นสูง เช่นนั้นแล้ว ด้วยกระบวนการนี้เจ้าย่อมจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และย่อมจะมีวุฒิภาวะ… หากพระเจ้าทรงจัดการเตรียมสภาพแวดล้อม ผู้คน เหตุการณ์ และบางสิ่งไว้ให้เจ้า หากพระองค์ทรงตัดแต่งเจ้า และหากเจ้าเรียนรู้บทเรียนจากการนี้ หากเจ้าได้เรียนรู้ที่จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริง และได้รับความรู้แจ้ง ความกระจ่าง และบรรลุความจริงโดยไม่รู้ตัว หากเจ้ามีประสบการณ์เป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งในสภาพแวดล้อมเหล่านี้ ได้เก็บเกี่ยวบำเหน็จ และมีความก้าวหน้า หากเจ้าเริ่มมีความเข้าใจในเจตนารมณ์ของพระเจ้าสักเล็กน้อย และเจ้าเลิกบ่น เช่นนั้นแล้วทั้งหมดนี้ก็จะหมายความว่า เจ้าได้ตั้งมั่นในท่ามกลางบททดสอบของสภาพแวดล้อมเหล่านี้แล้ว และได้ฝ่าพ้นการทดสอบแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าย่อมจะผ่านพ้นความทุกข์ยากสาหัสนี้แล้ว พระเจ้าจะทรงมองผู้ที่ฝ่าพ้นการทดสอบว่าอย่างไร? พระเจ้าจะตรัสว่าพวกเขามีหัวใจที่แท้จริง และสามารถสู้ทนความทุกข์เช่นนี้ได้ ว่าลึกลงไปแล้วพวกเขารักความจริงและต้องการที่จะได้รับความจริง หากพระเจ้าทรงประเมินเจ้าแบบนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมเป็นคนที่มีวุฒิภาวะมิใช่หรือ? เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมมีชีวิตแล้วมิใช่หรือ? และชีวิตนี้ได้มาอย่างไร? พระเจ้าประทานให้ใช่หรือไม่? พระเจ้าทรงจัดหาให้เจ้าด้วยวิธีการที่หลากหลายและทรงใช้ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ มาฝึกฝนเจ้า นี่ก็เหมือนกับว่าพระเจ้าประทานอาหารและเครื่องดื่มให้เจ้าด้วยพระองค์เอง ทรงส่งเสบียงอาหารนานาไปไว้ตรงหน้าเจ้าด้วยพระองค์เอง เพื่อให้เจ้าได้กินอย่างอิ่มหนำสำราญ เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถเติบโตและยืนหยัดอย่างแข็งแกร่ง เจ้าต้องมีประสบการณ์และจับความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้เช่นนี้ นี่คือวิธีนบนอบทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การที่จะได้รับความจริง คนเราต้องเรียนรู้จากผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายรอบตัว)
เพราะเรื่องราวทั้งหมดนี้ ฉันจึงตระหนักว่าพระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้อาริอันนาเปิดโปงปัญหาในหน้าที่ของฉัน นั่นไม่ง่ายเลยที่ฉันจะยอมรับ แต่มันเป็นประโยชน์มากต่อการเข้าสู่ชีวิตของฉัน การถูกเปิดโปงและตัดแต่งในหนทางนั้นช่วยให้ฉันมองเห็นลักษณะเฉพาะของการเป็นผู้นำเทียมเท็จในตัวฉัน และทำให้ฉันมีแรงจูงใจที่จะแสวงหาความจริงและเปลี่ยนแปลง ยิ่งไปกว่านั้น ฉันได้เห็นธรรมชาติอันโอหังและชั่วร้ายของฉัน ได้เห็นว่าฉันสามารถกดขี่และกีดกันใครสักคนได้เพื่อที่จะปกป้องชื่อและสถานะของตัวเอง นี่ให้ทัศนะที่ชัดเจนต่อความจริงเรื่องความเสื่อมทรามของฉัน ฉันเกลียดตัวเองจนเข้ากระดูกดำ และกลายเป็นสามารถที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและปลดทิ้งความเสื่อมทรามได้ นี่คือพระคุณพิเศษ และความรักกับความรอดที่พระองค์ทรงมีให้ฉัน ฉันรู้สึกสำนึกบุญคุณต่อพระเจ้ายิ่งนัก!