89. การสู้รบกับการล้างสมอง

โดย จ้าวเลี่ยง ประเทศจีน

ผมถูกตำรวจพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับเพราะความเชื่อตอนอายุ 19 ปี  พวกเขาทรมานและล้างสมองผมอยู่ 60 วัน เพื่อให้ผมบอกปัดพระเจ้าและขายบรรดาพี่น้องชายหญิง  ประสบการณ์นั้นเป็นรอยเผาไหม้อยู่ในใจผมจริงๆ  ผมจะไม่มีวันลืมมันเลย

ระหว่างทางไปที่การชุมนุมเช้าวันนั้น ผมสังเกตเห็นรถสามคันจอดอยู่แถวนั้นตอนที่ผมใกล้จะไปถึง  ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย  ปกติแล้วตรงนั้นไม่มีรถเยอะขนาดนั้น  พอผมไปถึงผมก็บอกพี่น้องชายหญิงเรื่องนี้ทันที และพวกเราก็รู้ตัวว่า การชุมนุมของพวกเราไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว  พวกเราเริ่มหารือกันเรื่องเปลี่ยนสถานที่  ไม่ทันไร คนแปลกหน้าสี่คนก็เข้ามาที่ลานบ้าน พร้อมทั้งพูดว่า พวกเขามาจากกองพลความมั่นคงแห่งชาติและกำลังตรวจสอบบ้านหลังนั้นเพื่อหาวัตถุระเบิดที่ซ่อนอยู่  พวกเขาบังคับกดตัวพวกเราลงบนโซฟาเพื่อค้นตัว และเมื่อไม่พบอะไร พวกเขาก็เอาตัวผมกับพี่ชายอีกคนหนึ่งขึ้นรถคันหนึ่งของพวกเขา  พวกเขานำตัวพวกเราไปสถานีตำรวจ ที่ซึ่งพวกเราถูกตำรวจพาลงไปที่ชั้นใต้ดินและจับพวกเราขังแยกกัน  การจับกุมแบบไม่ให้ตั้งตัวนี้ทำให้รู้สึกเหมือนฝันไป และผมไม่รู้เลยว่าตำรวจจะปฏิบัติต่อผมอย่างไร  ผมค่อนข้างกลัว และอธิษฐานต่อพระเจ้าไม่หยุด ขอให้พระองค์ประทานความเชื่อให้ผม  ผมนึกถึงบทเพลงสรรเสริญแห่งพระวจนะของพระเจ้าที่พวกเราร้องกันบ่อยๆ ที่ชื่อ “ความเหนือธรรมชาติและความยิ่งใหญ่ขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์”  “ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วยพระดำริแห่งองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และภายใต้พระเนตรของพระองค์  สิ่งทั้งหลายที่มนุษยชาติไม่เคยได้ยินมาก่อนได้มาถึงอย่างฉับพลันทันใด แต่ทว่าสิ่งทั้งหลายที่มนุษยชาติได้ครอบครองมาเนิ่นนานพลันหลุดมือไปอย่างไม่ทันรู้ตัว  ไม่มีใครสามารถหยั่งลึกได้ว่าองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สถิตอยู่ ณ แห่งหนใด นับประสาอะไรที่จะมีใครสามารถสำนึกรับรู้ความเหนือธรรมชาติและความยิ่งใหญ่แห่งพลังชีวิตขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์…(ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ)  ผมกล่าวคำอธิษฐานนี้ต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ข้าพระองค์ขอบคุณและสรรเสริญพระองค์!  พระองค์ทรงปกครองเหนือทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลและชะตากรรมของข้าพระองค์ก็วางอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์  พระองค์ทรงอนุญาตให้ตำรวจจับกุมข้าพระองค์ในวันนี้  ไม่ว่าพวกเขาทรมานข้าพระองค์อย่างไร หรือข้าพระองค์ทนทุกข์แค่ไหน ข้าพระองค์ก็ต้องการยืนหยัดเป็นพยาน ไม่มีวันทรยศพระองค์และกลายเป็นยูดาส”

พอถึงเวลา 4 โมงเย็น พวกตำรวจก็นำตัวผมออกไปยังบริเวณพื้นที่ว่างล้อมรั้วห่างไกลออกไป กลางลานตรงนั้นมีอาคารสูงสี่ชั้นแถวหนึ่งตั้งอยู่ซึ่งดูเหมือนโรงแรม  พี่น้องชายหญิงมากมายเคยพูดว่า ตำรวจส่งผู้ถูกกักกันไปโรงแรมเพื่อสอบสวนและทรมานอย่างลับๆ  ผมอดไม่ได้ที่จะนึกสงสัยว่า พวกเขากำลังจะทรมานผมด้วยหรือเปล่า  มันเป็นสถานที่เปลี่ยวซึ่งรกร้างพอดูเลยทีเดียว  พวกเขาฆ่าผมได้โดยไม่มีใครรู้เลย  ยิ่งคิดผมก็ยิ่งกลัวมากขึ้น และผมร้องเรียกหาพระเจ้าอย่างเงียบๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  พวกเขานำผมเข้าไปในห้องที่ชั้นสี่ และหัวหน้าสืบสวนอาชญากรรมก็แสร้งพูดอย่างสุภาพว่า “คุณชื่ออะไร พักอยู่ที่ไหนครับ?”  ผมถามเขาว่า “คุณจับผมมาทำไม?  ทำไมถึงพาผมมาที่นี่?”  เขาพูดว่า “นี่เป็นหลักสูตรการศึกษาที่ถูกกฎหมาย เพื่อให้การศึกษาและเปลี่ยนความคิดผู้เชื่อโดยเฉพาะ  พวกเราจับคุณมาเพราะพวกเรารู้เรื่องคุณทุกอย่าง  ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงจับคนอื่นมาแทน  คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นเป้าหมายหลักระดับชาติที่ต้องกวาดล้างให้สิ้นซาก  ผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต้องถูกจับกุมทั้งหมด”  “มีอิสรภาพทางการเชื่ออยู่ในรัฐธรรมนูญไม่ใช่หรือครับ?”  ผมถาม  เขายิ้มเยาะพลางพูดว่า “อิสรภาพทางความเชื่อนะหรือ?  นั่นมันมีข้อจำกัดนะ  ในความเชื่อของคุณ คุณต้องฟังและทำตามกฎเกณฑ์ของพรรค เพื่อให้ได้การสนับสนุนจากพวกเรา  คุณกำลังตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับพรรคด้วยการเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเราจะไม่จับกุมคุณได้ยังไง?”  ผมโต้กลับทันควันว่า “พวกเราแค่อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และแบ่งปันข่าวประเสริฐเพื่อเป็นพยานต่อพระเจ้า  พวกเราไม่เคยไปยุ่งกับการเมืองสักนิดเดียว  คุณจะมาอ้างว่าพวกเราตั้งตนเป็นศัตรูกับพรรคได้อย่างไร?  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า ‘พระเจ้าไม่ได้มีส่วนในทางการเมืองของมนุษย์ กระนั้นชะตากรรมของประเทศหรือชนชาติหนึ่งก็ยังถูกควบคุมโดยพระเจ้า  พระเจ้าทรงควบคุมโลกนี้และจักรวาลทั้งหมดทั้งสิ้น  ชะตากรรมของมนุษย์และแผนการของพระเจ้าเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น และไม่มีมนุษย์ ประเทศ หรือชนชาติใดที่ได้รับการยกเว้นจากอธิปไตยของพระเจ้า  หากมนุษย์ปรารถนาจะรู้ชะตากรรมของเขา เขาจะต้องมาอยู่เฉพาะพระพักตร์  พระเจ้าจะทรงทำให้ผู้คนที่ติดตามและนมัสการพระองค์มีความเจริญรุ่งเรือง และจะทรงนำความเสื่อมและการสาบสูญไปสู่ผู้คนที่ต่อต้านและปฏิเสธพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง)  พระวจนะของพระเจ้ามีความชัดเจนอย่างมาก  พระองค์ทรงปกครองเหนือจักรวาลและทรงมีชะตากรรมของทุกชาติและกลุ่มชนอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ แต่พระเจ้าไม่ทรงแทรกแซงการเมือง  พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกในยุคสุดท้ายเพื่อทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาเป็นหลัก เพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าใจความจริง สลัดอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเราออกไป และได้รับการช่วยให้รอด”  เจ้าหน้าที่คนนั้นตัดบทผมอย่างหมดความอดทนก่อนที่ผมจะได้พูดจบ และเขาก็ได้พูดสิ่งต่างๆ ทุกชนิดที่เป็นการหมิ่นประมาทคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  เขาแนะนำให้ผมเลิกเชื่อ  ไม่สำคัญว่าเขาพูดอะไร ผมก็ยังคงสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงอารักขาผมให้พ้นจากเล่ห์กลของซาตาน

ประมาณช่วงเวลากลางวันของวันที่สาม พวกเขาก็เรียกผมกลับเข้าไปในห้องประชุม  เจ้าหน้าที่คนหนึ่งแนะนำตัวเองว่า เขาเป็นหนึ่งในผู้นำกองพลความมั่นคงแห่งชาติ และทำงานในฝ่ายการศึกษาและการเปลี่ยนความเชื่อ  เขาถามชื่อของผม ที่อยู่ และข้อมูลของคริสตจักร  ผมไม่ตอบ เขาจึงให้ผมหงายมือซ้ายยื่นออกไปวางบนโต๊ะ แล้วเขี่ยเถ้าบุหรี่ที่เขาสูบอยู่ลงบนมือของผมพลางพูดว่า “คุณควรรู้ว่า ด้วยเทคโนโลยีทุกวันนี้ ไม่ว่าคุณจะบอกหรือไม่ พวกเราก็รู้อยู่ดี  คุณปัญญาอ่อนหรือไง?  ผมกำลังให้โอกาสคุณอยู่นะ  ปลายบุหรี่ของผมน่ะ 800 องศาฟาเรนไฮต์เชียวนะ  อยากรู้ไหมว่ามันรู้สึกยังไง?”  เขาสูบมันเข้าไปแรงๆ สองเฮือก แล้วจี้ปลายบุหรี่ที่แดงฉานลงบนฝ่ามือของผม  พอผมชักมือกลับด้วยความเจ็บปวด เจ้าหน้าที่อีกคนก็กดบังคับมือผมไว้กับโต๊ะ  มือของผมไหม้ด้วยความปวดแสบปวดร้อนในขณะที่เขาจี้ปลายบุหรี่ลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า  เหงื่อไหลพรูลงมาตามหน้าผากของผม  ด้วยความรู้สึกอ่อนแอลงเล็กน้อย ผมจึงบอกชื่อของผมไป  ถึงจุดนั้นพวกเขาก็หยุดทรมานผม แต่บังคับให้ผมดูวิดีโอและอ่านคำครหาที่กล่าวโทษและหมิ่นประมาทคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

ตอนกลางวันของวันที่ห้า พวกเขาให้ผมดูรายงานข่าวเกี่ยวกับคดีซานตง เจ้าหยวน แล้วก็ถามความคิดเห็นของผม  ผมพูดว่า “พวกเขาไม่ใช่คนของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  ไม่มีใครในคริสตจักรของผมที่จะทำอะไรแบบนั้น  พวกเรามีหลักธรรมในการแบ่งปันข่าวประเสริฐ  พวกเราแบ่งปันข่าวประเสริฐกับผู้คนซึ่งจิตใจอ่อนโยนที่เชื่อว่ามีพระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่กับคนชั่ว ผู้คนที่น่ากลัวเหมือนจางลี่ตงไม่ผ่านมาตรฐานของพวกเราในการแบ่งปันข่าวประเสริฐแม้แต่ฉิวเฉียด  พระเจ้าไม่ทรงระลึกถึงพวกเขาในฐานะผู้เชื่อ และคริสตจักรจะไม่มีวันยอมรับพวกเขา”  เมื่อเห็นว่าความเชื่อของผมไม่สั่นคลอน เขาก็พูดว่า “พวกเราจับพวกผู้นำของคุณมาหมดแล้ว และพวกเราจะรู้ทุกอย่างจากการสอบปากคำพวกเขา  พวกเราไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับคุณแล้ว  แต่พอดีเห็นว่าคุณยังเด็กอยู่ พวกเราก็เลยอยากช่วยคุณ”  ผมคิดว่า “โกหกทั้งเพ พวกเขาแค่พยายามทำให้ผมทรยศพระเจ้า  ไม่ว่าพวกเขาพูดอะไร ผมจะไม่มีวันขายพี่น้องชายหญิง  ผมจะไม่มีวันทรยศพระเจ้า!”  หลังหนึ่งทุ่มของค่ำของวันนั้น นักจิตวิทยาของชั้นเรียนล้างสมองก็ให้ผมเขียนทบทวนหลักสูตรนั้น  สิ่งที่ผมเขียนคือ “เหตุการณ์เจ้าหยวนไม่ได้กระทำโดยผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  แต่เป็นการกระทำของปีศาจชั่ว  เขาจะถูกพระเจ้าทรงลงโทษสำหรับสิ่งที่เขาทำลงไป”

พอสามทุ่มกว่าๆ หัวหน้ากองพลความมั่นคงแห่งชาติก็เข้ามา และไม่พอใจอย่างมากกับสิ่งที่ผมเขียน  เขาเข้ามายกผมขึ้นจากม้านั่งด้วยมือข้างเดียว แล้วใช้มืออีกข้างตบผมซ้ำแล้วซ้ำอีก จากนั้นก็เตะผมลงไปนอนกับพื้น  แล้วเขาก็ลากผมขึ้นไปบนเตียงและเริ่มต่อยผม  หลังจากต่อยไปได้สองสามหมัด เขาก็หยิบที่แขวนเสื้อซึ่งทำจากไม้มาทุบตีผมจนทั่วทั้งตัว และเค้นเรียกเอาข้อมูลของคริสตจักร  ผมปิดปากเงียบ  นี่ทำให้เขาสติแตก เขาสั่งให้ผมถอดเสื้อผ้าออก  การที่เห็นเขาเสียสติขนาดนั้นทำเอาผมหวาดกลัว  ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าเงียบๆ ไม่หยุด ขอให้พระองค์ประทานความเชื่อและความเข้มแข็งให้กับผม  เขากระชากตัวผม บังคับให้ผมถอดเสื้อผ้า และใช้ไม้แขวนเสื้อตีผมอีกสองสามที จากนั้นก็ให้ครูฝึกสองคนกดผมลงกับเตียง  ผมคิดว่าครูฝึกพวกนี้ถูกตำรวจจ้างมาก็จริง แต่ว่ามีมโนธรรมและคงไม่เอาด้วยกับพวกตำรวจในเรื่องการทรมานผู้เยาว์  ผมคิดผิด  พวกเขากดผมไว้แน่นจนผมกระดิกตัวไม่ได้เลย  หัวหน้ากองพลความมั่นคงแห่งชาติคนนั้นเอาบุหรี่มาจี้ที่หัวนมผมราวกับคนวิกลจริต จนมันไหม้เกรียมในพริบตาและมีกลิ่นเนื้อไหม้คละคลุ้งอยู่ในอากาศ  ตัวผมเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อจากความเจ็บปวด และสองขาของผมคอยเตะถีบไปมา  จากนั้นเขาก็เริ่มมายุ่งกับอวัยวะเพศของผม พร้อมแผดเสียงว่า “แกจะยอมพูดไหม?”  ถึงจะร้องลั่นเพราะความเจ็บปวด ผมก็เอาชนะมาได้ด้วยความคิดเดียวก็คือ “ฉันทรยศพระเจ้าไม่ได้”  ผมกำลังอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่ในหัวใจอย่างต่อเนื่อง วอนให้พระองค์ทรงมอบความแข็งแกร่งและความเชื่อให้ผมได้ผ่านพ้นการทรมานของเจ้าหน้าที่ชั่วนั่นไปให้ได้

ผมเอาแต่เงียบ เจ้าหน้าที่จึงพูดอย่างสารเลวว่า “แกจะไม่ยอมเป็นเด็กดีจนกว่าฉันจะหนักข้อขึ้นอีกสินะ”  เขาหมุนตัวไปหยิบกระติกน้ำร้อน แล้วราดน้ำเดือดใส่ผมถ้วยหนึ่ง  ผมร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด  เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “จะพูดไหม?”  ผมตอบไปแบบไม่เกรงกลัวว่า “ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น!”  พอได้ยินแบบนั้นเขาก็โกรธเป็นไฟ และเทน้ำร้อนอีกสองถ้วยใส่ท้องของผม  พอเขาเห็นว่าผมดูไม่เจ็บปวดมากเท่าก่อนหน้านี้ เขาเลยแตะเข้าที่หน้าท้องผม และโวยวายว่าน้ำไม่ร้อน  แล้วก็หันไปสั่งให้ต้มน้ำอีกหนึ่งกา  จากนั้นเขาก็แสยะยิ้มและพูดว่า “อีกเดี๋ยวแกก็จะได้ลิ้มรสชาติน้ำเดือดๆ ที่กำลังราดลงบนตัวแกแล้ว”  ผมอดกลัวไม่ได้เมื่อได้ยินตรงนี้ และคิดถึงน้ำร้อนเมื่อครู่ที่เย็นกว่านี้ด้วยซ้ำ  ถ้าผมโดนน้ำเดือดของจริงราดลงบนตัว ผมจะรับไหวไหม?  ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าเงียบๆ ด้วยความเสียขวัญและหวาดกลัวว่า “ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ โปรดทรงมอบความเชื่อและความแข็งแกร่งให้ข้าพระองค์ทีเถิด  ข้าพระองค์ต้องการยืนหยัดเป็นพยานและไม่ทรยศพระองค์ หรือขายเหล่าพี่น้องชายหญิง”  หลังอธิษฐาน ผมก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ความเชื่อเป็นเหมือนสะพานไม้ซุงท่อนเดียว กล่าวคือ พวกที่ยึดติดอยู่กับชีวิตอย่างน่าสังเวชใจจะประสบความลำบากยากเย็นในการข้ามสะพานนั้นไป แต่บรรดาผู้ที่พร้อมจะสละตัวพวกเขาเองจะสามารถผ่านไปได้ ด้วยเท้าที่มั่นคงและปราศจากความกังวล(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 6)  ผมคิดทบทวนพระวจนะและตระหนักได้ว่า การมีความคิดขี้ขลาดและหวาดกลัว คือการตกเป็นเหยื่อเล่ห์กลของซาตาน และผมก็ได้เห็นว่าตัวผมไม่ได้มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า  ผมต้องเสี่ยงชีวิตและพึ่งพิงพระเจ้าในทุกขณะเพื่อยืนหยัดเป็นพยาน  ความเข้าใจนี้เองที่ได้มอบความเชื่อซึ่งผมจำเป็นต้องมี ในการที่จะเผชิญหน้ากับการทรมานที่รอผมอยู่

ตอนนั้นเอง เขาก็จุดบุหรี่ขึ้นสูบยาวๆ สองครั้ง และมายืนอยู่ตรงหน้าผม พร้อมรอยยิ้มเลวๆ และพูดว่า “นั่งให้ติดที่ละ น้ำใกล้พร้อมแล้ว!”  ขณะที่พูด เขาก็เอาปลายบุหรี่มาจี้หน้าอกของผมตรงที่โดนน้ำลวก  ผมได้แต่พยายามดึงสติคืนจากความเจ็บปวด  สักเจ็ดหรือแปดนาทีต่อมาน้ำก็เดือด  พอเห็นน้ำเดือดปุดแถมมีไอน้ำพวยพุ่งออกจากกา หนังศีรษะของผมก็เริ่มเสียววาบ ตัวสั่นกระตุกและขนลุกไปทั้งตัว  เขาถือกาน้ำมา เปิดฝา แล้วเข้ามาใกล้ผม  ผมรู้สึกได้ถึงไอน้ำบนร่างผม  จากนั้น เขาก็กดทาบกาน้ำร้อนเข้าที่ท้องผม  ผมรู้สึกเจ็บแสบและร้องออกมาโดยสัญชาตญาณ  เขาใช้โอกาสเหมาะนั้นถามผมอีกครั้งว่าจะยอมพูดไหม และพอเห็นว่าผมเอาแต่เงียบ เขาก็คว้าถ้วยมาเทน้ำใส่ และสาดมาที่หน้าอกของผม  มันเจ็บเสียจนผมกระโดดเหยง ส่วนเขาก็เอาแต่สาดน้ำร้อนใส่ผมจนหมดกา  ผมตัวสั่นไม่หยุด และร่างกายส่วนหน้าของผมก็เต็มไปด้วยตุ่มน้ำใสจากการลวกไหม้  แผลที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดเท่าไข่ไก่  พวกครูฝึกทนมองไม่ไหว และต้องการออกจากตรงนั้น เขาจึงเดินตรงรี่ไปที่ประตูและปิดขังครูฝึกไว้ด้านใน แล้วตะคอกใส่ว่า “ไม่ต้องไป อยู่ดูฉันทำให้มันเห็นว่าอะไรเป็นอะไรที่นี่แหละ”  ว่าแล้วเขาก็สั่งให้ครูฝึกไปต้มน้ำมาเพิ่ม  พอได้ยินแบบนั้นผมก็ห้ามความกลัวไม่อยู่  มันยังมีอีก และถ้ากาแรกทำให้ผมตกอยู่ในสภาวะนั้นได้ ถ้าโดนลวกอีก สภาวะของผมจะเป็นอย่างไร?  ผมจะยังเข้มแข็งได้อยู่ไหม?  ผมเรียกหาพระเจ้าไม่หยุด วอนขอความเชื่อและความแข็งแกร่งจากพระองค์  แล้วพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าก็ผุดขึ้นมาในความคิดว่า “บรรดาคนเหล่านั้นที่มีอำนาจอาจดูเหมือนเลวทรามจากภายนอก แต่จงอย่าได้กลัวไปเลย ด้วยเหตุที่การนี้เป็นเพราะว่า พวกเจ้ามีความเชื่ออันน้อยนิด  ตราบเท่าที่ความเชื่อของพวกเจ้าเพิ่มพูนขึ้น จะไม่มีอะไรยากจนเกินไป(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 75)  การที่ตำรวจทรมานผมเกิดขึ้นโดยที่พระเจ้าทรงอนุญาต  พระเจ้าทรงต้องการทำให้ความเชื่อของผมเพียบพร้อม  ไม่ว่าพวกเขาจะชั่วและอำมหิตแค่ไหน มันก็ยังอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  ตราบใดที่ผมอธิษฐานและพึ่งพิงพระเจ้า ผมรู้ว่าพระเจ้าจะทรงนำผมให้มีชัยเหนือการทรมานของซาตาน  ผมจึงไม่ได้รู้สึกกลัวอีกต่อไป แถมยังมีความเชื่อที่จะเผชิญหน้ากับความทรมานต่อไปด้วย

ในไม่ช้า น้ำในกาที่สองก็เดือด  เขายกกามาและรินน้ำร้อนใส่ถ้วยหูใบหนึ่ง ถือถ้วยนั้นมาอยู่ตรงหน้าผม และเริ่มสาดใส่ร่างกายช่วงล่างของผม  ผมร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด และอดไม่ได้ที่จะถอยหนี  เขาเดินหน้ามาสองสามก้าว และเอาแต่ตั้งคำถามกับผม แต่ผมก็ยังปฏิเสธที่จะตอบ  เขาถือถ้วยน้ำร้อนไว้ใต้อวัยวะเพศของผม แล้วถามว่า “แกจะพูดไหม?”  ผมไม่ได้พูดอะไร  เขากระดกถ้วยขึ้นมา เพื่อให้อวัยวะเพศของผมจุ่มลงไปในนั้นเต็มๆ  ผมร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด และหดตัวหนีตามสัญชาตญาณด้วยตัวที่สั่นเทิ้ม  ผมทนไม่ไหวแล้วจริงๆ และได้แต่อธิษฐานไม่หยุด วอนขอความแข็งแกร่งจากพระเจ้าให้ทรงพิทักษ์รักษาผมจากการทรยศพระองค์  แล้วผมก็นึกถึงบางสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าเคยตรัสไว้ว่า “เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด(มัทธิว 16:25)  ผมรู้ว่า ถ้าผมขายคนอื่นๆ และทรยศพระเจ้าเพื่อเลี่ยงความทุกข์ทางกาย นั่นคงล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ผมคงตกนรกและทนทุกข์ไปชั่วกัปชั่วกัลป์  พอเข้าใจเรื่องนี้ ผมก็ตกลงปลงใจว่า ไม่ว่าผมจะทนทุกข์มากแค่ไหน ผมจะกัดฟันเข้าไว้และไม่มีวันทรยศพระเจ้า  เจ้าหน้าที่ชั่วนั่นเทน้ำร้อนอีกสองถ้วยใส่อวัยวะเพศของผม และเอาแต่ตั้งคำถามกับผมไม่หยุด  ผมก้มไปดูและเห็นผิวหนังส่วนนอกของอวัยวะเพศโดนลวกทั้งหมด และครูฝึกสองคนก็ทนมองผมไม่ไหว  พวกเขาพูดอย่างจนปัญญาว่า “ไอ้หนุ่ม พูดเถอะลูก ทนทุกข์แบบนี้จะมีประโยชน์อะไร?”  ผมไม่ส่งเสียงเลยสักแอะ ตอนนั้นเอง ผู้ช่วยของเจ้าหน้าที่ได้เดินเข้ามาพอดี  พอเห็นผม เขาก็อึ้งชะงักไปชั่วขณะ  เขาเบือนหน้าเดินเข้ามาหาผมและพูดว่า “สารภาพเถอะ พวกเราจับพวกแกมาหลายคน  ต่อให้แกไม่พูด คนอื่นก็พูดอยู่ดี  พวกเราจะให้โอกาสแกแล้วกัน”  ผมก้มหน้าลงและไม่พูดอะไร  พอเห็นผมเงียบ เจ้าหน้าที่นั่นก็ตะคอกด้วยความโมโหว่า “พวกคุณถอยไป  ผมขอดูหน่อยว่ามันจะทนได้นานแค่ไหน!”  จากนั้นเขาก็เทน้ำร้อนใส่ถ้วยและสาดใส่หน้าอกของผมอีกครั้ง ทำให้ผมต้องร้องออกมาและกระโดดหนีด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว  ตอนที่เขาสาดน้ำร้อนใส่ผม แผลพุพองบนตัวผมก็แตกออก และผิวหนังก็ติดอยู่กับตัวผม  ไม่ช้าก็มีแผลพุพองขึ้นมาใหม่อีก มันเจ็บปวดจนสุดจะทน  ผมเริ่มอ่อนแอลงไม่น้อยเลย  ผมคิดว่า “พวกเขาจับพี่น้องชายหญิงมาตั้งหลายคน  ต่อให้ฉันไม่พูด ใครสักคนก็อาจจะพูดอยู่ดี  ทำไมฉันต้องมาผ่านอะไรทั้งหมดนี้ด้วย?  ฉันก็แค่บอกพวกเขาไปสักนิดหน่อย จะได้ไม่ต้องมาทนทุกข์แบบนี้”  ผมเห็นว่าเจ้าหน้าที่ไม่มีเจตนาที่จะหยุด และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าจะทานทนกับสิ่งที่เขาตั้งท่าจะทำกับผมไหวไหม  แต่การพูดคงจะทำให้ผมเป็นยูดาส  ตอนนั้นเอง ผมก็นึกขึ้นได้ถึงพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าที่ว่า “กับบรรดาผู้ที่ไม่ได้แสดงให้เราเห็นความจงรักภักดีแม้แต่น้อยในระหว่างช่วงเวลาของความทุกข์ลำบาก เราจะไม่ปรานีอีกต่อไป เพราะความปรานีของเราขยายเวลามาเพียงถึงตอนนี้เท่านั้น  ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่มีความชอบให้กับใครก็ตามที่ครั้งหนึ่งเคยทรยศเรา นับประสาอะไรที่เราจะชอบที่จะเชื่อมสัมพันธ์กับบรรดาผู้ที่ขายผลประโยชน์ของผองเพื่อนของตน นี่คืออุปนิสัยของเรา  ไม่ว่าบุคคลคนนั้นอาจเป็นใครก็ตาม(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า)  พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะข้องแวะกับคนที่ขายผลประโยชน์ของเพื่อนตัวเอง  ถ้าผมพูดไป จะไม่แปลว่าผมทรยศพระเจ้าหรอกหรือ?  ผมพูดอะไรไม่ได้ทั้งนั้น  ผมกล่าวคำอธิษฐานเงียบๆ ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณที่ทรงให้ความรู้แจ้งและและทรงพิทักษ์รักษาไม่ให้ข้าพระองค์ขายพี่น้องชายหญิงของตัวเอง  ไม่ว่าจะทนทุกข์สักแค่ไหน ข้าพระองค์ก็จะไม่มีวันเป็นยูดาส”

พอเห็นผมเงียบไป หัวหน้ากองพลความมั่นคงแห่งชาติก็จุดบุหรี่และพูดด้วยรอยยิ้มที่ส่อแววร้ายว่า “ไม่ต้องรีบ พวกเรามีเวลาเหลือเฟือ” พร้อมกับพ่นควันบุหรี่ใส่จมูกผมไปพลาง  จากนั้น เขาก็หยิบถ้วยมาเทน้ำร้อนใส่หัวผม  ผมขยับหนีโดยสัญชาตญาณ ทำให้น้ำไหลผ่านหูข้างขวาของผมลงไปบนหลังผม  ผมร้องด้วยความเจ็บปวด หลังเหมือนถูกไฟคลอก  เขายังเทอีกหลายถ้วยลงบนช่วงท้อง รวมถึงสาดน้ำใส่ต้นขาของผม  บริเวณที่เขาเทน้ำใส่ปรากฏแผลพุพองขึ้นทันที  พอน้ำหมดกา เขาก็สั่งให้พวกครูฝึกไปต้มมาอีก  ผ่านไปไม่กี่นาที น้ำในกาที่สามก็เดือด ตอนที่เห็นไอน้ำพวยพุ่งออกจากกา ผมก็หยุดตัวสั่นไม่ได้  เขาหยิบกามาพลางแสยะยิ้มและพูดว่า “ยอดเยี่ยม!”  จากนั้นเขาก็เอากามาแนบตัวผมอีกครั้ง แล้วพูดขู่ว่า “สรุปแกจะพูดหรือไม่พูด?”  ผมไม่ได้ตอบอะไร เขาเลยเทน้ำเดือดใส่ตัวผมถ้วยแล้วถ้วยเล่า  ผมประเดประดังไปด้วยความเจ็บปวด  ผมเห็นว่าเขาไม่มีความตั้งใจที่จะหยุด และผมก็ไม่รู้ว่าจะยืนระยะได้อีกนานแค่ไหน  ผมเจ็บปวดมากเสียจนอยากจะตาย เพื่อที่ผมจะไม่ต้องทุกทนข์ในหนทางนั้นต่อไป และผมก็จะได้ไม่ขายคนอื่นเพราะความอ่อนแอทางเนื้อหนังของตัวเอง  ผมมองไปรอบห้อง หาวัตถุแข็งๆ ที่จะเอามาฆ่าตัวเองได้ แต่มันก็มีแค่โต๊ะและกำแพงเท่านั้นที่ทำจากไม้  ผมไม่คิดว่าการเอาหัวกระแทกครั้งเดียวจะทำให้ตายได้ ถ้าแบบนั้นผมก็จะต้องสู้ทนกับการทรมานต่อไป  ผมคิดได้ว่าตอนนี้ ผมคงได้แต่รับปากไปก่อน พวกเขาจะได้พาผมไปชี้บ้านของคนอื่นๆ  อยู่ข้างนอกนั่น ผมก็ยังพอกระโดดออกจากรถฆ่าตัวตายได้  ขณะที่ผมกำลังคิดเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่ก็เอาแต่ถามว่าผมจะพูดไหม และผมก็พยักหน้า  ผมนึกว่าพวกเขาจะพาผมไปชี้บ้านหลังอื่นๆ เดี๋ยวนั้นเลย แต่น่าประหลาดใจที่เขาขอให้ผมเล่าเรื่องคริสตจักรให้ฟัง  มีเจ้าหน้าที่จากชั้นล่างขึ้นมาเพิ่มอีกสิบกว่าคน จุดนั้นผมรู้สึกขลาดกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก  ผมจึงเอาแต่พยักหน้า แล้วถ้าผมไม่พูดอะไร พวกเขาจะยิ่งทรมานผมอย่างโหดเหี้ยมกว่าเดิมไหม?  ผมคิดว่าผมพูดแค่ชื่อคริสตจักรและสถานที่แบบคร่าวๆ ก็ได้  แต่เขากลับได้คืบจะเอาศอก  เขารัวคำถามเกี่ยวกับคริสตจักรใส่ผมมากขึ้น และผมก็เสียใจจริงๆ ที่ไปยอมให้ซาตานแบบนั้น  ถ้าผมยังทำแบบนั้นต่อไป ผมจะไม่เป็นยูดาสหรอกหรือ?  พอเขาถามถึงเรื่องอื่นๆ ผมจึงอ้างว่าไม่รู้  เขาไม่ได้อะไรจากผมสักเท่าไร ก็เลยส่งผมกลับห้อง  พออยู่ที่ห้อง ผมก็คิดกับตัวเองว่า “ทำไมฉันถึงพยายามจะตาย?  พระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้ฉันตายหรือ?  นั่นไม่ใช่สัญญาณของความอ่อนแอหรอกหรือ?”  แล้วผมก็นึกขึ้นได้ถึงบทเพลงสรรเสริญแห่งพระวจนะของพระเจ้าที่ชื่อว่า “จงเสาะแสวงที่จะรักพระเจ้าไม่สำคัญว่าความทุกข์ของเจ้าใหญ่หลวงเพียงใด”  “วันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าความทุกข์นั้นปราศจากคุณค่า พวกเขาถูกกดขี่เพราะความเชื่อ พวกเขาถูกโลกประกาศตัดขาด ชีวิตในบ้านของพวกเขามีปัญหา และความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของพวกเขาแห้งแล้งมืดมน  ความทุกข์ของผู้คนบางคนไปถึงขีดสุด และความคิดของพวกเขาจึงหันเข้าหาความตาย  นี่แสดงให้เห็นหัวใจที่รักพระเจ้าอย่างไรกัน?  ผู้คนเช่นนั้นเป็นคนไร้ค่า พวกเขาไม่มีความพากเพียรบากบั่น พวกเขาอ่อนแอและไร้กำลัง!…ด้วยเหตุนี้ ในระหว่างวันสุดท้ายเหล่านี้ พวกเจ้าต้องเป็นคำพยานต่อพระเจ้า  ไม่สำคัญว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด เจ้าควรต้องเดินไปจนถึงปลายทางสุดท้าย และแม้กระทั่งถึงลมหายใจสุดท้ายของพวกเจ้า พวกเจ้ายังคงต้องสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า และต่อพระกรุณาของพระเจ้า การนี้เท่านั้นคือการรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และนี่เท่านั้นคือคำพยานอันแข็งแกร่งและดังกึกก้อง(ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ)  ขณะที่คิดทบทวนพระวจนะของพระเจ้า ผมก็ได้เห็นว่าตัวเองไร้ความสามารถ อ่อนแอ และขี้ขลาดแค่ไหน  ผมอยากตายเพราะความอ่อนแอทางเนื้อหนัง เพราะผมเกรงกลัวความทุกข์  สิ่งนั้นถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าไม่ได้  นั่นไม่ใช่คำพยานที่แท้จริง  ก่อนถูกจับกุม ผมได้สาบานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่า ถ้าผมมีวันที่ถูกจับกุมและถูกข่มเหงจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผมต้องการยืนหยัดเป็นพยานเหมือนพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ  ผมจะไม่มีวันทรยศพระเจ้า เป็นยูดาส  แต่พอมีเรื่องเกิดขึ้นกับผม พอเผชิญหน้ากับการทรมานของตำรวจ ผมก็คิดแค่ว่าจะออกจากสถานการณ์นั้นอย่างไร  ผมไม่ได้คิดถึงการยืนหยัดเป็นพยานและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยเลย  ผมได้ตระหนักว่า ตัวเองไม่ได้มีความเชื่อหรือการนบนอบที่แท้จริงต่อพระเจ้า  พวกเจ้าหน้าที่กำลังทรมานผม เพื่อให้ผมทรยศพระเจ้าและเสียคำพยานไป  ถ้าผมใช้ความตายหลบหนีออกมา ผมจะไม่กลายเป็นตัวตลกของซาตานหรอกหรือ?  พอคิดแบบนี้ ผมก็เต็มไปด้วยความเสียใจเรื่องความอ่อนแอ  ผมปากสว่างออกไปได้อย่างไร?  พระเจ้าทรงมอบโอกาสให้ผมยืนหยัดเป็นพยาน แต่ผมไม่ได้คว้าโอกาสนั้นมายึดไว้  สำหรับพระเจ้าแล้ว นี่ช่างน่าเจ็บปวดและน่าผิดหวังนัก  ผมจึงตั้งปณิธานไว้ว่า ถ้าพวกเขาต้องการให้ผมชี้บ้าน ผมก็จะไม่ไป  ไม่ว่าพวกเขาจะทรมานผมแค่ไหน ผมก็จะพึ่งพิงพระเจ้าและยืนหยัดเป็นพยาน!

เช้าวันถัดมาตอนหกโมงครึ่ง ผู้อำนวยการสำนักงานต่อต้านลัทธิประจำเขตเทศบาลเห็นว่าผมบาดเจ็บย่ำแย่แค่ไหน และบอกให้ใครบางคนพาผมส่งโรงพยาบาล เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบ  ระหว่างทางไปโรงพยาบาล เขาได้เตือนผมแบบส่อแววร้ายว่า “อยู่ที่โรงพยาบาลแกไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไม่งั้นแกต้องรับผิดชอบกับผลที่ตามมา!”  พอได้ยินแบบนั้นผมก็โมโหขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ  พวกเขาข่มขวัญผมและไม่ยอมให้ผมพูดความจริงแม้แต่หลังจากที่ทำร้ายผมจนย่ำแย่ขนาดนั้น  มันช่างชั่วและน่าดูหมิ่นสิ้นดี!  หมอถามผมว่าไปโดนลวกมาได้อย่างไร และผมก็รู้ว่าถึงจะบอกความจริงไป เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี  ผมก็เลยบอกไปว่าเป็นเพราะกระติกน้ำร้อนแตก  ด้วยความที่ไม่เชื่อ เขาจึงถามว่า “กระติกน้ำร้อนแตกจนเป็นแบบนี้ทั้งหมดเลยหรือ?”  เจ้าหน้าที่ดึงตัวหมอไปทันที และกระซิบกับเขาสั้นๆ หลังจากนั้นหมอก็เริ่มทำแผลให้ผม และบอกว่าผมต้องเข้าเป็นผู้ป่วยใน  เจ้าหน้าที่บอกว่ามันเป็นสถานการณ์พิเศษผมจึงอยู่ไม่ได้ และบอกให้ผมลงลายมือชื่อในแบบเอกสารเพื่อการรับผิดแต่เพียงผู้เดียว  จากนั้นเขาก็พาตัวผมตรงกลับไปที่ศูนย์ล้างสมองนั่นทันที  อาการบาดเจ็บของผมร้ายแรงเกินกว่าจะเข้าชั้นเรียนได้ แต่พวกตำรวจไม่พอใจ จึงส่งสองคนมาจับตาดูและล้างสมองผมทุกวัน  พวกเขาพยายามลองทั้งไม้แข็งไม้อ่อนเพื่อทำให้ผมเลิกเชื่อให้ได้

สิบเจ็ดวันต่อมา แผลของผมยังไม่ทันหายดี พวกเขาก็ส่งผมกลับเข้าชั้นเรียน  พวกเขาเอาศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งกับนักจิตวิทยาคนหนึ่ง ผู้ที่แสร้งทำตัวเป็นมิตร พูดจาดี และพยายามตีสนิทและมาทำให้ผมยอมพูด  ผมร้องเรียกหาพระเจ้าซ้ำๆ วอนให้พระองค์ทรงอารักขาผมจากเล่ห์กลของซาตาน  ผมได้แบ่งปันคำพยานต่อพระเจ้ากับพวกเขา  พวกเขาโกรธที่เห็นว่าผมไม่หลงกล  ตลอดสองสามวันถัดมา พวกเขาให้ผมอ่านหนังสือทั้งหลายที่พวกเขาเขียนหมิ่นประมาทคริสตจักรของพวกเรา และให้ดูวิดีโอแนวหมิ่นประมาทบางเรื่อง  คำโกหกที่พวกเขาสรรค์สร้างกันขึ้นมาแบบไม่มีมูลทำให้ผมคับแค้นใจและคลื่นไส้ผะอืดผะอม  ผมไม่ได้ฟังสิ่งที่พวกเขาพูดเลยสักอย่าง

เช้าวันหนึ่ง ผู้อำนวยการแผนกบุกปึงปังเข้ามาในส่วนพักผ่อนของผมพร้อมกับครูฝึกสองสามคน  การที่เห็นเขาแห่กันมาแบบนี้ทำให้ผมหวาดกลัวอยู่บ้าง ผมจึงกล่าวคำอธิษฐานเงียบๆ ขอให้พระเจ้าทรงมอบปัญญาให้ผมเผชิญหน้ากับตำรวจที่น่ากลัวพวกนั้นได้  เขาพูดขู่ผมว่า “เมื่อวานพวกเรามีประชุมเรื่องการสู้รบร้อยวันของพวกเรากับคริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  โทษจะรุนแรงมาก และจะยิ่งเลวร้ายสำหรับพวกคนที่เป็นหนุ่มโสดแบบแก  โดยเฉพาะคนที่ไม่ยอมกระเตื้องขึ้นเลยแบบแกก็จะถูกส่งไปหาหน่วยยิง  พวกเขาจะเป่าหัวแกจนสมองกระจาย”  ผมรู้สึกตระหนกขึ้นมาไม่น้อยตอนที่เขาพูดแบบนั้น แต่แล้ว ผมก็นึกขึ้นได้ถึงพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าที่ว่า “เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด(มัทธิว 16:25)  ผมรู้ว่าการพลีชีพเพื่อพระเจ้าคงจะเป็นเกียรติ และพระเจ้าคงทรงรำลึกถึง  แต่การทรยศพระเจ้าเพราะกลัวตาย คงจะล่วงเกินพระอุปนิสัยและบันดาลให้พระองค์ทรงขยะแขยง  ต่อให้ร่างกายผมจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้าผมก็คงตายไปแล้ว  พระเจ้าจะทรงกำจัดดวงจิตของผมทิ้ง และผมก็จะถูกลงโทษในนรก  ผู้เชื่อถูกข่มเหงและพลีชีพมานับไม่ถ้วนตลอดหลายยุค  พวกเขาล้วนยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระเจ้า  การพลีชีพคงเป็นการที่พระเจ้าทรงยกระดับผม  ผมเต็มใจที่จะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และยืนหยัดเป็นพยานต่อให้นั่นหมายถึงความตายก็ตาม  พอผมเอาแต่เงียบ เจ้าหน้าที่ก็ข่มขู่ผมว่า “แกอยากกลับบ้านหรือไปเข้าเรือนจำ?”  ผมอยากกลับบ้านมาก แต่ผมรู้ว่ามันคงแลกมากับการลงลายมือชื่อในหนังสือขอกลับใจใหม่และตัดสายใยกับทางคริสตจักร  ผมจึงพูดออกไปอย่างแน่วแน่ว่า “เรือนจำครับ!”  เขาโกรธจนตาแทบถลน แล้วชี้นิ้วมาที่ผมและพูดว่า “ดูเหมือนแกไม่ได้ทุกข์ทนจริงๆ สินะ!”  แล้วเขาก็ปึงปังออกไปด้วยความโกรธ

หลังจากนั้น พวกเขาก็หาศิษยาภิบาลมาคนหนึ่งเพื่อจะมาล้างสมองผม  จังหวะที่เดินเข้ามา เขาพูดว่า “ลูกชาย เธอยังหนุ่มอยู่เลย ฟังนะ เธอกำลังอยู่บนเส้นทางที่ผิด”  เขาเปิดพระคัมภีร์ไปที่มัทธิวบทที่ 24 ข้อ 23-24 และพูดว่า “เธอบอกว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว แต่ดูสิ่งพระคัมภีร์พูดนะว่า ‘ในเวลานั้นถ้าใครจะบอกท่านทั้งหลายว่า “นี่แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่” หรือ “อยู่ที่โน่น” อย่าเชื่อเลย เพราะว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนปรากฏขึ้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อล่อลวงแม้พวกที่พระเจ้าทรงเลือกถ้าเป็นได้’  คนที่บอกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาแล้วน่ะผิด เธอทำตามไม่ได้นะ”  ผมรับพระคัมภีร์มาและตอบกลับไปว่า “องค์พระเยซูเจ้ากำลังทรงเตือนพวกเรา ว่าเมื่อพระองค์ทรงกลับมาในยุคสุดท้าย พระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จจะแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่เพื่อทำให้ผู้คนเข้าใจผิด  พระองค์ทรงบอกให้พวกเราระวังตัว  ถ้าคุณบอกว่าทุกข่าวเรื่องการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเรื่องเท็จ ไม่ใช่ว่าคุณกำลังบอกปัดข้อเท็จจริงเรื่องการทรงกลับมาด้วยพระองค์เองขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่หรือครับ?  พระคริสต์เทียมเท็จไม่ได้ครองความจริง พวกเขาแค่หลอกลวงผู้คนด้วยหมายสำคัญและการอัศจรรย์  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ทรงแสดงสิ่งเหล่านั้น  พระองค์ทรงแสดงแค่ความจริง และทรงพระราชกิจการพิพากษาเพื่อชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว”  พอเห็นว่าผมไม่หลงเชื่อ เขาก็พูดเรื่องหมิ่นประมาททุกชนิด  ผมตอบกลับไปด้วยความโกรธว่า “การหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ได้รับการยกโทษ ไม่ว่าในชาตินี้หรือชาติหน้า”  พอเป็นแบบนี้ เขาเลยพูดกับผมว่า “เธอเป็นเด็กที่ดื้อรั้นจริงๆ  ตั้งสติเถอะ พ่อหนุ่ม แค่พูดในสิ่งที่พวกเขาต้องการและสารภาพเสียเถอะ  ถ้าถูกขังเข้าจริงๆ เธอจะเสียใจ!”  ผมเลยตอบว่า “ผมไม่เสียใจหรอกครับ และขอแนะนำอย่างยิ่งให้คุณไปแสวงหาหนทางที่แท้จริง  หยุดต้านทานพระเจ้าได้แล้ว ถ้าคุณทำบาปมหันต์อีก มันจะสายเกินไปนะครับ”  เขาพูดกับผมด้วยความโกรธว่า “เธอมันเกินเยียวยาจริงๆ  เธอดื้อด้านเกินไป”  แล้วเขาก็ลุกขึ้นและจากไปอย่างเสียไม่ได้

ไม่กี่วันต่อมา หัวหน้าหน่วยสอบสวนอาชญากรรมพยายามบังคับให้ผมทำซ้ำในสิ่งที่บอกปัดและหมิ่นประมาทพระเจ้า  พอผมปฏิเสธ เขาก็พูดอย่างก้าวร้าวว่า “แกกลัวเรื่องการลงทัณฑ์อันสาสมหรือไง?  มันไม่มีพระเจ้า แล้วการลงทัณฑ์อันสาสมนั่นจะมาจากไหน?  พวกที่ล้มเลิกไปก็สุขสบายดีไม่ใช่หรือ?”  ผมตอบว่า “การไม่ตายตอนนี้ไม่ได้บ่งชี้ถึงจุดจบที่ดี  พระเจ้าไม่ทรงลงโทษผู้คนทันทีเสียหน่อย”  เขาคว้าตัวผมด้วยความโมโห และตบหน้าผมไปสองสามที แต่ผมก็ยังไม่พูดอะไรสักคำอยู่ดี  ผมกำลังนึกถึงสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าเคยตรัสไว้ว่า “บาปและคำหมิ่นประมาททุกอย่างจะโปรดอภัยให้มนุษย์ได้ เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะโปรดอภัยให้มนุษย์ไม่ได้(มัทธิว 12:31)  ด้วยความแข็งแกร่งแห่งพระวจนะเหล่านี้ ผมจึงไม่หวั่นไหวอะไรเลย  สองชั่วโมงผ่านไปโดยที่ผมไม่พูดอะไรสักคำ  ด้วยความเดือดดาล เขาเลยกระชากผมของผมลากพาตัวผมกลับไปที่หอพัก แล้วพูดอย่างส่อแววร้ายว่า “ไม่ต้องให้อาหารจนกว่ามันจะยอมพูด”  ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่ในหัวใจ และพระวจนะเหล่านี้ขององค์พระเยซูเจ้าก็ผุดขึ้นมาในความคิดว่า “มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า(มัทธิว 4:4)  พระวจนะของพระเจ้าคือเสบียงอาหารของชีวิตเรา  ถึงจะไม่มีข้าวกิน ผมก็จะไม่ตายจนกว่าพระเจ้าจะทรงยินยอม  น่าประหลาดใจมากที่คืนนั้นมีหญิงทำความสะอาดแอบเอาซาลาเปาให้ผม  ผมรู้สึกได้จริงๆ ว่าหัวใจและดวงจิตของผู้คนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  หลังจากนั้นพวกตำรวจก็ให้ผมทำความสะอาดสำนักงานทุกวัน และบังเอิญมีหนังสือพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์เล่มหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะทำงาน  ขณะกำลังทำความสะอาด ผมแอบมองหนังสือเล่มนั้นทุกวัน และพระวจนะของพระเจ้าก็ได้มอบความเชื่อและความแข็งแกร่งให้กับผม  ตำรวจคอยกรอกหูผมด้วยเหตุผลวิบัติเรื่องไม่มีพระเจ้า แต่ด้วยการนำของพระวจนะของพระเจ้า ผมไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย

วันหนึ่ง พวกเขาส่งศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยสองคนมาพยายามล้างสมองผมทุกวิถีทาง และทดลองผมโดยพูดว่า “ถ้าเธอไม่ได้สติและเซ็นชื่อในจดหมายสามฉบับนี้ เธอจะติดคุกห้าปี และหลังจากนั้นก็จะหาภรรยายากนะ  เธอจะทิ้งชีวิตวัยหนุ่มไปแบบนี้ได้อย่างไร?  มันคุ้มหรือ?”  คำพูดนั้นส่งผลกับผมจริงๆ  ผมนึกถึงการที่ตัวเองยังหนุ่มแน่น และสงสัยว่าผมต้องทนทุกข์อยู่ที่นั่นหลายปีจริงหรือ  ขณะที่คิดเรื่องนั้น ผมก็ตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังตกลงไปในเล่ห์กลของซาตาน ผมจึงรีบเอ่ยคำอธิษฐานนี้ว่า “โอ้พระเจ้า!  ข้าพระองค์เกือบหลงไปกับเล่ห์กลของซาตานเสียแล้ว  โปรดทรงอารักขาให้ข้าพระองค์ยืนหยัดเป็นพยานได้ด้วยเถิด”  หลังอธิษฐาน ผมก็นึกถึงหลายบรรทัดจากบทเพลงสรรเสริญของพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เหล่าคนหนุ่มสาวไม่ควรอยู่โดยปราศจากความจริง อีกทั้งพวกเขาไม่ควรซ่อนความหน้าซื่อใจคดและความไม่ชอบธรรม—พวกเขาควรตั้งมั่นในทีท่าที่เหมาะสม  พวกเขาไม่ควรล่องลอยตามไปเฉยๆ แต่ควรมีวิญญาณที่กล้าที่จะทำการพลีอุทิศและดิ้นรนต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและความจริง(ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ)  ผมรู้ว่าผมควรสู้ทนกับความเจ็บปวดเพื่อให้ได้มาซึ่งความจริง ผมจะทรยศต่อพระเจ้าเพื่อความชูใจเพียงชั่วครู่ชั่วยามไม่ได้  ผมต้องยืนหยัดเป็นพยานและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย ไม่ว่าตำรวจจะทำอะไรกับผมก็ตาม  เมื่อผมจะไม่พูดอะไรเลยสักอย่าง พวกเขาก็จำใจต้องกลับไป  บ่ายวันนั้น ศิษยาภิบาลคนนั้นกลับมาและพูดด้วยรอยยิ้มที่มีเลศนัยว่า “ฉันได้ยินว่าเธอกำลังจะไปเข้าคุก  เธอทำแบบนั้นไม่ได้นะ ชีวิตในนั้นมันไม่มีความเป็นมนุษย์  เธอคิดว่าคนตัวเล็กๆ อย่างเธอจะทนไหวหรือ?”  เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาและเอารูปคริสเตียนบางคนที่โดนทารุณให้ดู และพูดว่า “ดูพวกเขาสิ  บางคนโดนสิบปี บางคนก็ยี่สิบ  บางคนตายในคุก  ฉันเห็นว่าเธอเป็นผู้เชื่อที่แท้จริง  เซ็นชื่อไปตามที่พวกเขาต้องการเถอะ เธอจะได้ไปปฏิบัติความเชื่อได้ตอนออกจากคุก  ไม่จำเป็นต้องมาทนทุกข์แบบนี้!  เซ็นตอนนี้เลย เดี๋ยวฉันช่วยพูดให้  ไม่งั้นเธอก็ไม่มีโอกาสแล้วนะ”  ผมรู้สึกกังวล คิดว่าถ้าผมถูกตัดสินให้ติดคุกจริงๆ พวกตำรวจก็สามารถทรมานผมอย่างไรก็ได้ในคุก  ผมคงเจ็บปวดกว่านี้อีกมาก  ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว แต่ก็รู้ว่าการเซ็นชื่อในจดหมายพวกนั้นคงเป็นการทรยศพระเจ้า และผมคงมีเครื่องหมายของสัตว์ร้ายติดตัว  ผมอธิษฐานและเรียกหาพระเจ้าอยู่ในหัวใจ วอนขอความเชื่อจากพระองค์ให้ผมยืนหยัดเป็นพยานได้  ผมจึงได้บอกศิษยาภิบาลไปว่า “ผมไม่เซ็น”  เขากลับไปแบบไม่ได้ดั่งใจ

ผู้อำนวยการสำนักงานต่อต้านลัทธิประจำเขตเทศบาลก็พยายามจะให้ผมลงชื่อในจดหมายสามฉบับนั้นเหมือนกัน  เขาพูดกับผมอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ผ่านไปสองเดือนแล้วยังไม่ได้ความอะไรเลย  ฉันหวังว่าแกจะแสดงท่าทีอะไรสักอย่างเดี๋ยวนี้เลย  ถ้าพูดว่าแกไม่เชื่อแล้ว แกก็กลับบ้านได้  แต่ถ้าพูดว่ายังเชื่ออยู่ แกจะถูกส่งตัวไปเรือนจำทันที!  แกยังเป็นผู้เชื่ออยู่ไหม?”  ผมรู้สึกขัดแย้งจริงๆ  การพูดว่าใช่ หมายถึงการเข้าเรือนจำ และใครจะรู้ว่ามีการทรมานแบบไหนรอผมอยู่ในนั้น  แต่การพูดว่าไม่ใช่ ย่อมหมายถึงการทรยศพระเจ้า  ผมจึงอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงมอบความกล้าหาญให้ผม และผมก็รู้สึกพร้อมที่จะยืนหยัดเป็นพยาน  ตอนนั้นเอง ผมก็นึกขึ้นมาได้ถึงบทเพลงสรรเสริญแห่งพระวจนะของพระเจ้าเพลงหนึ่งที่ว่า “พระเยซูสามารถทรงเสร็จสิ้นพระบัญชาของพระเจ้าได้—พระราชกิจของการทรงไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง—เพราะพระองค์ทรงมอบทุกความเอาใจใส่ต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า โดยปราศจากแผนการหรือการจัดการเตรียมการใดๆ สำหรับพระองค์เอง  พระองค์ได้สามารถทรงวางแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าได้ตรงจุดศูนย์กลางพอดี และได้ทรงอธิษฐานต่อพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์และทรงแสวงหาน้ำพระทัยของพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ตลอดเวลา  พระองค์ได้ทรงอธิษฐานและตรัสไว้ว่า: ‘พระเจ้าพระบิดา! ขอทรงสำเร็จลุล่วงในน้ำพระทัยของพระองค์ และไม่ทรงทำตามความพึงปรารถนาของตัวเรา แต่ตามแผนการของพระองค์  มนุษย์อาจอ่อนแอ แต่เหตุใดพระองค์จึงควรเอาใจใส่ต่อเขาเล่า?  มนุษย์จะสามารถมีค่าคู่ควรกับความห่วงใยของพระองค์ได้อย่างไร มนุษย์ที่เป็นดั่งมดตัวหนึ่งในพระหัตถ์ของพระองค์?  ในหัวใจของเรา เราปรารถนาเพียงแค่ทำให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จลุล่วงเท่านั้น และเราปรารถนาว่าพระองค์จะสามารถทรงทำในสิ่งที่พระองค์จะทรงทำในตัวเราไปตามความพึงปรารถนาของพระองค์เอง’” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรับใช้โดยกลมเกลียวไปกับน้ำพระทัยพระเจ้า)  องค์พระเยซูเจ้าทรงทนทุกข์ระหว่างเสด็จไปถูกตรึงกางเขน  พระองค์ทรงอ่อนแอทางเนื้อหนัง แต่สามารถทรงจดจ่อกับการทำพระบัญชาของพระเจ้าให้เสร็จสิ้น  พระองค์ทรงนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้า แม้ว่าพระวรกายจะเจ็บปวด  และเปโตรเองก็เต็มใจที่จะเชื่อฟังจนถึงแก่ความตายด้วยความรักของเขาที่มีต่อพระเจ้า เต็มใจที่จะถูกตรึงกางเขนเพื่อพระเจ้า  แล้วความทุกข์ขี้ปะติ๋วของผมนับเป็นอะไรได้หรือ?  พระวจนะของพระเจ้าหนุนความแข็งแกร่งให้กับความเชื่อของผม และผมก็ไม่กลัวอีกต่อไป  ผมตั้งใจแน่วแน่ว่า ต่อให้เข้าเรือนจำไปจริงๆ ผมก็จะยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระเจ้า!  ผมพูดอย่างหนักแน่นว่า “งั้นผมจะเข้าเรือนจำครับ”  เขาตอบกลับมาด้วยความโกรธว่า “เก็บข้าวของเลย พรุ่งนี้แกจะได้ไปเรือนจำสมใจ”  แล้วเขาก็กระแทกประตูปิดและเดินฮึดฮัดออกไป  ที่น่าแปลกใจคือ สองวันต่อมา มีเจ้าหน้าที่สี่คนจากสถานีตำรวจท้องที่ของผมเข้ามา และบอกว่าพวกเขาจะพาผมกลับบ้าน  นาทีนั้นผมรู้สึกได้เลยว่า พระราชกิจของพระเจ้าช่างอัศจรรย์จริงๆ และรู้สึกได้ถึงการทรงดูแลและพระกรุณาที่ทรงมีต่อผม  ตำรวจพาผมกลับมาที่บ้านเกิดและบันทึกปากคำ และบอกให้ผมมารายงานตัวที่สถานีตำรวจอาทิตย์ละครั้ง  โดยผ่านการทรงนำของพระเจ้า ผมจึงได้หลบหนีออกจากพื้นที่นั้น และได้ทำหน้าที่ของผมอีกครั้ง

การถูกตำรวจจับกุมและทรมานสร้างรอยแผลไหม้ในใจผม  ผมได้เห็นว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนอำมหิตและไม่มีความเป็นมนุษย์แค่ไหน  ผมได้เห็นเต็มตาถึงแก่นแท้ที่ต้านทานพระเจ้าของพวกมัน  ผมเกลียดปีศาจพวกนั้นอย่างถ้วนทั่วทุกตัวตน  ผมยังได้รับประสบการณ์กับอำนาจและสิทธิอำนาจแห่งพระวจนะอีกด้วย  พระเจ้าได้ทรงคอยใช้พระวจนะเพื่อทรงนำผม รวมถึงทรงมอบความเชื่อและความแข็งแกร่งให้ผมโดยผ่านบททดสอบและความยากลำบาก  ผมได้เห็นว่า มีเพียงพระเจ้าที่ทรงรักพวกเรา และมีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเป็นชีวิตของพวกเรา  ความเชื่อในพระเจ้าของผมจึงกลายเป็นยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้นกว่าเดิม  ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ก่อนหน้า: 88. ความทุกข์ยากของเรือนจำ

ถัดไป: 90. ความเชื่อที่ได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยผ่านทางบททดสอบและความทุกข์ลำบาก

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger