70. การทรงปรากฏและทรงพระราชกิจของพระเจ้าในประเทศจีนนั้นสำคัญยิ่ง

โดย อาลิชา, ประเทศเกาหลีใต้

วันหนึ่ง ฉันดูวิดีโอบทสวดสรรเสริญที่ชื่อว่า “พระเจ้าทรงนำพระสิริของพระองค์สู่บูรพาทิศ” ซึ่งเป็นเพลงที่กระทบใจฉันอย่างจัง  เนื้อร้องมีอยู่ว่า “เราได้มอบสง่าราศีของเราแก่อิสราเอลแล้วจากนั้นก็เอาสง่าราศีนั้นออกไป และหลังจากนั้นเราได้พาคนอิสราเอลไปยังทิศตะวันออก และนำพามนุษยชาติทั้งมวลไปยังทิศตะวันออก  เราได้นำพาพวกเขาทั้งหมดไปยังความสว่างเพื่อที่พวกเขาจะได้อยู่ร่วมกับความสว่างอีกครั้ง และเชื่อมสัมพันธ์กับความสว่าง และไม่ต้องค้นคว้าหาความสว่างอีกต่อไป  เราจะปล่อยให้ผู้คนทั้งหมดที่กำลังค้นคว้าได้เห็นความสว่างอีกครั้งและได้เห็นสง่าราศีที่เราได้มีในอิสราเอล เราจะปล่อยให้พวกเขาได้เห็นว่าเราได้ลงมาบนเมฆขาวเข้าสู่ท่ามกลางมวลมนุษย์นานมาแล้ว จะปล่อยให้พวกเขาได้เห็นหมู่เมฆสีขาวนับไม่ถ้วนและผลไม้เป็นพวงอันอุดม และที่มากไปกว่านั้นคือ จะปล่อยให้พวกเขาได้เห็นพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล  เราจะปล่อยให้พวกเขาเฝ้ามององค์เจ้านายแห่งชาวยิว พระเมสสิยาห์ซึ่งเป็นที่ถวิลหารอคอย และการปรากฏอันครบถ้วนของเราผู้ที่ได้ถูกพวกกษัตริย์ข่มเหงตลอดทั่วทั้งยุคต่างๆ  เราจะทำงานกับทั้งจักรวาลและเราจะปฏิบัติงานอันยิ่งใหญ่ เป็นการเปิดเผยสง่าราศีของเราทั้งหมดและกิจการของเราทั้งหมดต่อมนุษย์ในยุคสุดท้าย  เราจะแสดงโฉมหน้าอันเปี่ยมสง่าราศีของเราในความครบถ้วนต่อบรรดาผู้ที่ได้รอคอยเรามานานหลายปีแล้ว ต่อบรรดาผู้ที่ได้ถวิลหาให้เราลงมาบนเมฆขาว ต่ออิสราเอลที่ได้ถวิลหาให้เราปรากฏอีกครั้งหนึ่ง และต่อมวลมนุษย์ทั้งปวงที่ข่มเหงเรา เพื่อที่ทั้งหมดจะได้รู้ว่าเราได้เอาสง่าราศีของเราไปและได้นำพาสง่าราศีนั้นมายังทิศตะวันออกเมื่อนานมาแล้ว และสง่าราศีนั้นไม่ได้อยู่ในแคว้นยูเดียอีกต่อไป  ด้วยเหตุที่ยุคสุดท้ายได้มาถึงแล้ว!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังกังวาน—การเผยพระวจนะว่าข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรจะเผยแผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล)  วิดีโอนี้ทำให้ฉันประทับใจมาก  พระเจ้านำพระสิริของพระองค์จากอิสราเอลมายังทิศตะวันออกในยุคสุดท้าย  ในจีนซึ่งเป็นประเทศที่ต้านทานพระเจ้ามากที่สุดในหมู่ประชาชาติทั้งหมด พระองค์ได้ทรงปรากฏ ทรงพระราชกิจของพระองค์และแสดงความจริง เพื่อพิชิตและช่วยผู้คนทั้งหมดทั่วทั้งจักรวาลให้รอด  นี่คือความทรงมหิทธิฤทธิ์และพระปัญญาของพระเจ้า  ในอดีต ฉันไม่คุ้นเคยกับพระราชกิจของพระเจ้า  ฉันคิดตามมโนคติอันหลงผิดของตัวเองว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปรากฏในอิสราเอลเมื่อพระองค์เสด็จกลับมา  หลังจากที่ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้วเท่านั้น ฉันจึงมาเข้าใจนัยสำคัญอันเหลือเชื่อแห่งการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าในประเทศจีน

ฉันค้นพบความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อ ค.ศ. 1997 และเป็นผู้แสวงหาที่กระตือรือร้น  เมื่อไรก็ตามที่มีเวลา ฉันจะเป็นอาสาสมัครที่คริสตจักร และถวายสิบลดอย่างแน่วแน่ทุกเดือน  ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2011 ฉันมาทำงานที่เกาหลีใต้ และไม่ว่าจะงานยุ่งขนาดไหน ฉันก็ยังไปนมัสการวันอาทิตย์  แต่คำเทศนาของศิษยาภิบาลก็เหมือนเดิมเสมอ  ถ้าผู้เข้าร่วมไม่สัปหงก สุดท้ายก็หันมาคุยกันเอง  ไม่มีความรื่นรมย์หรือสิ่งบำรุงเลี้ยงเลย  เมื่อเวลาผ่านไป ฉันก็เลิกอยากไปนมัสการ  แต่เพราะเป็นคริสตชน ฉันจึงรู้สึกว่าการไม่เข้าร่วมนั้นไม่ถูกต้อง  ดังนั้นฉันจึงบังคับตัวเองให้ไปนมัสการต่อ

และแล้ววันหนึ่งฉันก็บังเอิญไปเจอเพื่อนคนหนึ่งจากคริสตจักรเดิมของฉัน  เธอชวนฉันไปที่บ้านของเธอ และออดรีย์ที่เป็นเพื่อนของเธอก็มาด้วย  พวกเราเจอกันเป็นครั้งแรก แต่ก็รู้สึกถูกชะตากันทันที  พวกเราคุยกันเรื่องสถานการณ์ของพวกเราและเรื่องความอ้างว้างในคริสตจักรด้วย  ออดรีย์สามัคคีธรรมกับฉันว่าความอ้างว้างในคริสตจักรนั้นส่วนใหญ่เป็นเพราะพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจใหม่ และพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว และว่าพวกเราต้องเป็นเหมือนหญิงพรหมจารีที่มีปัญญา แสวงหาการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า และคอยฟังพระสุรเสียงของพระองค์ เพื่อที่จะต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าและได้รับการบำรุงเลี้ยงจากน้ำแห่งชีวิต  ฉันพบว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นให้ความรู้แจ้งอย่างมาก จากนั้นออดรีย์ก็พูดว่า “องค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาแล้ว พระองค์ประสูติเป็นมนุษย์ที่มีเนื้อหนังเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และได้ทรงปรากฏเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ในประเทศจีน ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มจากพระนิเวศของพระเจ้า เพื่อชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอด  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเริ่มยุคแห่งราชอาณาจักรและจบยุคพระคุณแล้ว  ทุกคนที่ยอมรับพระราชกิจของพระองค์ในยุคสุดท้ายล้วนเป็นหญิงพรหมจารีที่มีปัญญา ถูกรับขึ้นไปยังเบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้า พวกเขากำลังน้อมรับการจัดเตรียมจากพระวจนะของพระเจ้าและเข้าร่วมงานเลี้ยงอภิเษกสมรสของพระเมษโปดก”  สิ่งที่ออดรีย์พูดทำให้ฉันตกตะลึงและยากที่จะเชื่อเธอว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วหรือ?  แล้วพระองค์เสด็จมาที่จีนอย่างนั้นหรือ?  ในยุคของพันธสัญญาเดิมและใหม่ พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์ในอิสราเอล และในพระคัมภีร์กล่าวว่า ‘ในวันนั้น พระบาทของพระองค์จะทรงยืนอยู่ที่ภูเขามะกอกเทศ ซึ่งอยู่หน้ากรุงเยรูซาเล็มด้านตะวันออก และภูเขามะกอกเทศนั้นจะแยกออกเป็น 2 ส่วน จากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก โดยมีหุบเขากว้างมากคั่นอยู่ ภูเขากึ่งหนึ่งจึงจะถอยไปทางเหนือ และอีกกึ่งหนึ่งจะถอยไปทางใต้(เศคาริยาห์ 14:4)  ในยุคสุดท้าย องค์พระผู้เป็นเจ้าควรจะเสด็จมาที่อิสราเอลบนภูเขามะกอกเทศสิ  พระองค์จะอยู่ในประเทศจีนได้อย่างไร?”  ฉันจึงเล่าความสับสนของตนให้ออดรีย์ฟัง

เธอแค่ยิ้มและพูดว่า “คำเผยพระวจนะเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าล้วนล้ำลึกทั้งนั้น พวกเราไม่สามารถเข้าใจความหมายของคำเผยพระวจนะเหล่านั้นได้จนกว่าคำเผยพระวจนะจะลุล่วงแล้วและพวกเราได้เห็นว่าพระเจ้าดำเนินพระราชกิจของพระองค์อย่างไร—มีเพียงเมื่อนั้นเท่านั้นที่ใครๆ จะสามารถเข้าใจความหมายของคำเผยพระวจนะทั้งหลายได้  พวกเราไม่ควรใช้ความหมายตามตัวอักษรของคำเผยพระวจนะมาจำกัดขอบเขตพระราชกิจของพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเรา เพราะการทำแบบนั้นมักจะทำให้พวกเราต้านทานพระเจ้า  ดูพวกฟาริสีเป็นตัวอย่าง  พวกเขาอ่านคำเผยพระวจนะเรื่องการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ ยึดติดกับความหมายตามตัวอักษรของคำเผยพระวจนะนั้น คิดไปว่าเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา พระองค์จะต้องทรงพระนามว่าเมสสิยาห์  ผลก็คือเมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาและพระองค์มิได้ทรงพระนามว่าเมสสิยาห์ พวกเขาก็คิดว่านี่ไม่ตรงกับคำพูดจากคำเผยพระวจนะ และทุ่มเททุกสิ่งที่พวกเขามีไปกับการไม่ยอมรับและต้านทานองค์พระเยซูเจ้า  ไม่สำคัญว่าสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสเทศนานั้นทรงสิทธิอำนาจและมีฤทธานุภาพเพียงใด—พวกเขาจะไม่ยอมรับอยู่ดี และในท้ายที่สุดก็ตอกตรึงพระองค์เข้ากับกางเขน  พวกเขาจึงถูกพระเจ้าสาปแช่งและลงโทษ  หากพวกเราจำกัดขอบเขตพระราชกิจของพระเจ้าตามคำพูดจากคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์ และไม่ศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า พวกเราก็มีแนวโน้มที่จะทำผิดพลาดเหมือนกับพวกฟาริสี  ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า ทรงแสดงความจริงทั้งหมดที่ชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอด เหมือนความสว่างอันเจิดจ้าที่ปรากฏในทิศตะวันออก  ในเวลาเพียง 20 กว่าปี พระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็แผ่กว้างไปทั่วประเทศจีน และแม้กระทั่งตอนนี้ก็ไปถึงชาติอื่นๆ ทั่วโลกแล้วด้วย  มีการแปลหนังสือ ‘พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์’ ซึ่งรวบรวมพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไปแล้วมากกว่า 20 ภาษา และเผยแพร่ออนไลน์ให้ผู้คนทั่วโลกแสวงหาและสืบค้น  พระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เผยแพร่ออกไปเหมือนแสงฟ้าแลบ สว่างวาบจากตะวันออกถึงตะวันตก เขย่าโลกทั้งใบและทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าที่ว่า ‘ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น(มัทธิว 24:27)  ลุล่วงอย่างสมบูรณ์  และยังทำให้คำเผยพระวจนะในหนังสือมาลาคี 1:11 ที่ว่า ‘พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสว่า ตั้งแต่ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นถึงที่ดวงอาทิตย์ตก นามของเราก็ใหญ่ยิ่งท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย…’ กลายเป็นจริงอีกด้วย”  เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉันก็เข้าใจได้ทันทีว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เสด็จกลับมาในประเทศจีน ไม่ใช่อิสราเอล และพระคัมภีร์ก็เผยพระวจนะในเรื่องนี้เอาไว้เมื่อนานมาแล้ว

จากนั้น ออดรีย์ก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ฉันฟังบทตอนหนึ่ง ความว่า “อันที่จริงแล้ว พระเจ้าคือองค์อธิปัตย์ของสรรพสิ่ง  พระองค์คือพระเจ้าของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวง  พระองค์ไม่เพียงทรงเป็นพระเจ้าของคนอิสราเอลหรือของพวกยิวเท่านั้น พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวงด้วย  ทั้งสองช่วงระยะก่อนหน้านี้ของพระราชกิจของพระองค์เกิดขึ้นในประเทศอิสราเอลซึ่งได้สร้างมโนคติที่หลงผิดบางอย่างไว้ในผู้คน  พวกเขาเชื่อว่าพระยาห์เวห์ทรงพระราชกิจของพระองค์ในประเทศอิสราเอล เชื่อว่าพระเยซูพระองค์เองทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์เสร็จสิ้นในแคว้นยูเดีย และยิ่งไปกว่านั้น เชื่อว่าพระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจ—และไม่ว่ากรณีใดก็ตาม พระราชกิจนี้ไม่ได้แผ่ขยายไปพ้นประเทศอิสราเอล  พระเจ้าไม่ได้ทรงพระราชกิจในคนอียิปต์หรือคนอินเดีย พระองค์ทรงพระราชกิจในคนอิสราเอลเท่านั้น  ดังนั้น ผู้คนจึงก่อมโนคติที่หลงผิดสารพัดและวาดขอบพระราชกิจของพระเจ้าขึ้นภายในขอบเขตหนึ่ง  พวกเขากล่าวว่าเมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจ พระองค์ต้องทรงทำเช่นนั้นท่ามกลางประชากรที่ทรงเลือกสรรและทำในประเทศอิสราเอล นอกจากคนอิสราเอลแล้ว พระเจ้าจะไม่ทรงพระราชกิจต่อผู้อื่นเลย และไม่มีขอบเขตที่กว้างใหญ่กว่านี้อีกแล้วในพระราชกิจของพระองค์  พวกเขาเข้มงวดเป็นพิเศษเมื่อมาถึงเรื่องการจัดให้พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ไม่แตกแถวและไม่อนุญาตให้พระองค์ขยับออกนอกเขตแดนของประเทศอิสราเอล  เหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่มโนคติที่หลงผิดของมนุษย์เท่านั้นหรอกหรือ?  พระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์ทุกชั้นและแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง พระองค์ทรงสร้างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวงขึ้นมา ดังนั้นพระองค์จะทรงจำกัดพระราชกิจของพระองค์ไว้กับประเทศอิสราเอลเท่านั้นได้อย่างไร?  หากเป็นเช่นนั้นแล้ว การที่พระองค์ทรงสร้างสิ่งมีชีวิตทั้งปวงขึ้นมาจะมีประโยชน์อันใด?  พระองค์ทรงสร้างทั้งพิภพและพระองค์ทรงดำเนินแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์จนเสร็จสิ้นไม่เพียงในประเทศอิสราเอล แต่กับทุกๆ คนในจักรวาล… หากพระเจ้าต้องทรงทำตามมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พระองค์ก็จะทรงเป็นเพียงพระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น และดังนั้น จะไม่สามารถแผ่ขยายพระราชกิจของพระองค์ไปยังชนต่างชาติ เพราะพระองค์จะทรงเป็นพระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้นและไม่ทรงเป็นพระเจ้าของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวง  คำเผยพระวจนะทั้งหลายกล่าวไว้แล้วว่า พระนามของพระยาห์เวห์จะยิ่งใหญ่ในหมู่ชนต่างชาติ กล่าวไว้ว่าจะแพร่กระจายไปยังชนต่างชาติ  เหตุใดจึงได้เผยพระวจนะไว้เช่นนี้?  หากพระเจ้าทรงเป็นเพียงพระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น พระองค์ก็จะทรงพระราชกิจในประเทศอิสราเอลเท่านั้น  ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์จะไม่ทรงแพร่กระจายพระราชกิจนี้ และพระองค์จะไม่ทรงกล่าวคำเผยพระวจนะเช่นนี้ ในเมื่อพระองค์ทรงกล่าวคำเผยพระวจนะนี้ไว้แล้ว พระองค์ก็จะทรงแผ่ขยายพระราชกิจของพระองค์ไปท่ามกลางชนต่างชาติ ท่ามกลางทุกชนชาติและทุกแผ่นดินอย่างแน่นอน  ในเมื่อพระองค์ทรงกล่าวไว้เช่นนี้ พระองค์ก็จำต้องทรงปฏิบัติ นี่คือแผนการของพระองค์เพราะพระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง และเป็นพระเจ้าของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวง  ไม่ว่าพระองค์จะทรงพระราชกิจท่ามกลางคนอิสราเอลหรือทั่วแคว้นยูเดียทั้งหมด พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำก็คือพระราชกิจของทั้งจักรวาลและพระราชกิจของมนุษยชาติทั้งมวล  พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำในวันนี้ในชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง—ในชนต่างชาติ—ยังคงเป็นพระราชกิจของมนุษยชาติทั้งมวล  ประเทศอิสราเอลสามารถเป็นฐานสำหรับพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกได้ ในทำนองเดียวกัน ประเทศจีนก็สามารถเป็นฐานสำหรับพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางชนต่างชาติได้เช่นกัน  บัดนี้พระองค์ยังไม่ได้ทรงลุล่วงในคำเผยพระวจนะที่ว่า ‘พระนามของพระยาห์เวห์จะยิ่งใหญ่ท่ามกลางชนต่างชาติ’ ไปแล้วหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวง)

หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้ว ออดรีย์ก็สามัคคีธรรมว่า “พระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง พระองค์ทรงปกครองทั้งจักรวาลและกำกับดูแลชะตากรรมของมนุษย์ทุกคน  พระเจ้าไม่ใช่เพียงพระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์คือพระเจ้าของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งมวล  พระเจ้ามีสิทธิ์ที่จะทรงพระราชกิจของพระองค์ในประเทศใดก็ได้และท่ามกลางชนชาติใดก็ได้  แต่ไม่ว่าพระองค์จะทรงปรากฏและทรงพระราชกิจในประเทศใด พระราชกิจของพระองค์ก็มุ่งไปที่มวลมนุษย์ทั้งปวงเพื่อนำทางพวกเขาในพัฒนาการของตน  ตัวอย่างเช่น ในยุคธรรมบัญญัติ พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงพระราชกิจในอิสราเอล ทรงประกาศธรรมบัญญัติของพระองค์และเริ่มยุคธรรมบัญญัติ  จากนั้นด้วยการใช้แผ่นดินนั้นเป็นศูนย์กลาง พระองค์ค่อยๆ ขยายพระราชกิจของพระองค์ไปยังแผ่นดินอื่นๆ เพื่อให้ทุกประเทศและทุกชนชาติถวายเกียรติแด่พระนามของพระองค์ว่ายิ่งใหญ่  ในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ในยูเดีย  แต่องค์พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงไถ่แต่คนยิวเท่านั้น พระองค์ทรงไถ่มวลมนุษย์ทุกคน  ตอนนี้สองพันปีให้หลัง ข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูเจ้าได้เผยแผ่ไปทั่วทุกมุมโลก  ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เสด็จมาปรากฏพระองค์และเริ่มทรงพระราชกิจในประเทศจีน ก่อนที่จะแผ่ขยายพระราชกิจออกไปทั่วจักรวาล  ขณะนี้พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นเหมือนความสว่างเจิดจ้าที่ส่องแสงมาจากทิศตะวันออก ได้รับการเผยแผ่และมีพยานยืนยันอยู่ในหลายประเทศของโลกตะวันตก  มหาชนมากมายได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และได้มายังเบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้าเพื่อยอมรับการพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์จากพระวจนะของพระองค์  พวกเราสามารถเห็นได้ว่าไม่ว่ายุคไหน เมื่อพระเจ้าตัดสินพระทัยที่จะปรากฏและทรงพระราชกิจท่ามกลางชนชาติหนึ่งหรือในประเทศหนึ่งแล้ว พระองค์จะทรงเลือกสถานที่ทรงพระราชกิจก่อนเสมอ แล้วจากนั้นจึงทรงใช้สถานที่นี้เป็นตัวอย่าง ค่อยๆ ขยายพระราชกิจของพระองค์ไปยังที่อื่นๆ เพื่อทำให้พระราชกิจช่วยมนุษย์ให้รอดของพระองค์เสร็จสมบูรณ์  นี่คือหลักธรรมเบื้องหลังพระราชกิจของพระเจ้า  หากพวกเราทำตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน คิดเอาว่าเพราะพระเจ้าทรงพระราชกิจในอิสราเอลในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ เช่นนั้นพระเจ้าก็ต้องเป็นพระเจ้าของอิสราเอลเท่านั้น ข่าวประเสริฐสามารถมาจากอิสราเอลเท่านั้น ประชาชนชาวอิสราเอลเท่านั้นคือประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรโดยแท้และเป็นประชากรเพียงหนึ่งเดียวที่คู่ควรกับพรของพระองค์ และคิดว่าพระเจ้าจะไม่ทรงปรากฏและทรงพระราชกิจในประเทศของชนต่างชาติ แบบนั้นพวกเราก็กำลังจำกัดขอบเขตของพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  พระเจ้าตรัสไว้ว่า ‘นามของเราก็ใหญ่ยิ่งท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย’ ดังนั้นสิ่งที่ตรัสไว้นี้จะบรรลุผลและลุล่วงได้อย่างไร?  พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายและทรงพระราชกิจของพระองค์ในประเทศจีน ประเทศที่ปกครองในแบบอเทวนิยม ทรงทุบทำลายมโนคติอันหลงผิดของผู้คน  พระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่าพระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจตามกฎเกณฑ์ทั้งหลาย แต่ตามแผนการของพระองค์เองต่างหาก  พระองค์ทรงแสดงให้พวกเราเห็นด้วยว่าพระองค์ไม่ได้ทรงช่วยเพียงประชาชนของอิสราเอลให้รอดเท่านั้น แต่รวมถึงประชาชาติทั้งหลายด้วย และทรงแสดงให้เห็นว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้าของชาวอิสราเอลเท่านั้น แต่เป็นพระเจ้าของมนุษยชาติทั้งมวล  พระองค์คือพระเจ้าของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งหมด  ที่แห่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจ ที่นั่นย่อมมีนัยสำคัญเสมอ และพระองค์ทรงเลือกสถานที่ที่จะรับใช้จุดประสงค์ของการช่วยมนุษย์ให้รอดเสมอ”

การสามัคคีธรรมของออดรีย์ทำให้ฉันรู้สึกละอายใจมาก  ฉันไม่ได้เข้าใจพระเจ้าอย่างแท้จริง  เมื่อรู้ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์ในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณที่อิสราเอล ฉันก็คิดไปว่าพระเจ้าจะทรงปรากฏและทรงพระราชกิจในอิสราเอลเท่านั้น  หากพระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์ในอิสราเอลอีกครั้งในยุคสุดท้าย เช่นนั้นฉันก็คงจำกัดขอบเขตของพระองค์ยิ่งขึ้นอีกว่าเป็นพระเจ้าของคนอิสราเอล และนั่นคงจะเป็นการไม่ยอมรับว่าพระเจ้าคือองค์ปกครองของมวลมนุษย์ทั้งปวง!  สถานที่ที่พระเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจของพระองค์คือภาพสะท้อนแผนการและพระปัญญาของพระองค์เสมอ  พวกเราไม่เหมาะที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า และยิ่งไม่สมควรจำกัดขอบเขตพระราชกิจของพระองค์  แต่ฉันยังมีความสงสัยอยู่บ้าง  จีนเป็นประเทศที่บริหารโดยรัฐบาลอเทวนิยม  เป็นประเทศที่แย่ที่สุดเพราะปฏิเสธและต้านทานพระเจ้า  หากพระเจ้าไม่ทรงมีเจตนารมณ์ที่จะปรากฏและทรงพระราชกิจในอิสราเอล ทำไมพระองค์จึงไม่ทรงพระราชกิจในชาติทั้งหลายอย่างสหรัฐอเมริกาหรือสหราชอาณาจักร ที่ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหลักล่ะ?  ทำไมในบรรดาประเทศทั้งปวง พระองค์จึงเลือกที่จะทรงพระราชกิจของพระองค์ในจีน?  ฉันเล่าให้ออดรีย์ฟังถึงคำถามเหล่านี้  ออดรีย์ก็บอกว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ตรัสไว้ชัดเจนในเรื่องนี้  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า ‘พระราชกิจของพระยาห์เวห์คือการสร้างโลก นั่นคือการเริ่มต้น พระราชกิจช่วงระยะนี้คือปลายทางของพระราชกิจ และเป็นการสรุปปิดตัว  เริ่มแรกนั้นพระราชกิจของพระเจ้าดำเนินไปท่ามกลางผู้ที่ได้รับการเลือกสรรชาวอิสราเอล และเป็นรุ่งอรุณของยุคใหม่ในสถานที่ที่บริสุทธิ์ที่สุดในบรรดาสถานที่ทั้งหมด  พระราชกิจช่วงระยะสุดท้ายดำเนินไปในประเทศที่ไม่บริสุทธิ์ที่สุดในบรรดาประเทศทั้งปวง เพื่อพิพากษาโลกและนำพายุคไปสู่กาลอวสาน  ในช่วงระยะแรกนั้น พระราชกิจของพระเจ้าดำเนินไปในสถานที่ที่สดใสที่สุดในบรรดาสถานที่ทั้งปวง และช่วงระยะสุดท้ายก็ดำเนินไปในสถานที่ที่มืดมนที่สุดในบรรดาสถานที่ทั้งปวง และความมืดมนนี้จะถูกขับออกไป และความสว่างจะถูกนำมา และผู้คนทั้งหมดจะได้รับการพิชิต  เมื่อผู้คนจากสถานที่ที่ไม่บริสุทธิ์ที่สุดและมืดมิดที่สุดในบรรดาสถานที่ทั้งปวงนี้ได้รับการพิชิต และประชากรทั้งหมดทั้งมวลยอมรับรู้ว่ามีพระเจ้า ซึ่งเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ และเมื่อทุกบุคคลเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ เช่นนั้นแล้ว ข้อเท็จจริงนี้จะถูกใช้ดำเนินพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยไปทั่วทั้งจักรวาล  พระราชกิจช่วงระยะนี้มีความเป็นสัญลักษณ์ กล่าวคือ  ทันทีที่พระราชกิจของยุคนี้เสร็จสิ้นลง พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการหกพันปีก็จะมาถึงบทอวสานอันสมบูรณ์  ทันทีที่พวกที่อยู่ในสถานที่ที่มืดมนที่สุดในบรรดาสถานที่ทั้งปวงได้รับการพิชิตแล้ว ก็ย่อมเป็นที่ชัดเจนว่าทั่วทุกหนแห่งจะเป็นเช่นนั้นด้วย  เมื่อเป็นดังนี้จึงมีเพียงพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยในประเทศจีนเท่านั้นที่มีการใช้สัญลักษณ์อย่างมีความหมาย  ประเทศจีนคือรูปจำแลงแห่งกำลังบังคับทั้งมวลของความมืด และผู้คนของประเทศจีนเป็นตัวแทนของทุกคนที่เป็นมนุษย์ เป็นของซาตาน และมีเลือดมีเนื้อหนัง  ผู้คนชาวจีนนี่เองที่ถูกพญานาคใหญ่สีแดงทำให้เสื่อมทรามที่สุด ต่อต้านพระเจ้าอย่างหนักหน่วงที่สุด มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ต่ำช้าและไม่บริสุทธิ์ที่สุด และดังนั้นพวกเขาจึงเป็นแม่แบบของมนุษยชาติที่เสื่อมทรามทั้งหมด… ความเสื่อมทราม ความไม่บริสุทธิ์ ความไม่ชอบธรรม การต่อต้าน และการเป็นกบฏได้ถูกสำแดงอย่างสมบูรณ์ที่สุด และถูกเปิดเผยอยู่ในรูปแบบสารพันภายในตัวผู้คนของประเทศจีนนั่นเอง  ในด้านหนึ่ง พวกเขามีขีดความสามารถอ่อนด้อย และในอีกด้านหนึ่ง ชีวิตและชุดความคิดของพวกเขาล้าหลัง และนิสัยใจคอ สภาพแวดล้อมทางสังคม ครอบครัวที่ให้กำเนิดของพวกเขา—ทั้งหมดล้วนอ่อนด้อยและล้าหลังที่สุด  สถานะของพวกเขาก็ต่ำต้อยเช่นกัน พระราชกิจในที่แห่งนี้จึงมีความเป็นสัญลักษณ์ และหลังจากที่พระราชกิจแห่งการทดสอบนี้ดำเนินไปอย่างครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว พระราชกิจที่ตามมาของพระเจ้าจะง่ายกว่านี้มาก  หากพระราชกิจขั้นตอนนี้สามารถเสร็จสมบูรณ์ เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจที่ตามมาก็ย่อมเป็นที่ชัดเจน  ทันทีที่พระราชกิจขั้นตอนนี้สำเร็จลุล่วงไป ก็ย่อมจะสัมฤทธิ์ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อย่างเต็มที่ และพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยทั่วทั้งจักรวาลก็ย่อมจะถึงกาลอวสานอย่างสมบูรณ์  แท้จริงแล้ว ทันทีที่พระราชกิจท่ามกลางพวกเจ้าประสบความสำเร็จ นี่ก็ย่อมจะเทียบเท่ากับความสำเร็จไปทั่วจักรวาล  นี่คือความสำคัญของการที่ว่าเหตุใดเราจึงให้พวกเจ้าทำหน้าที่เป็นแบบอย่างและตัวอย่าง  ความเป็นกบฏ การต่อต้าน ความไม่บริสุทธิ์ ความไม่ชอบธรรม—ทั้งหมดล้วนพบเจออยู่ในตัวผู้คนเหล่านี้ และในตัวพวกเขายังมีความเป็นกบฏทั้งปวงของมวลมนุษย์  พวกเขาไม่ธรรมดาจริงๆ  ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงได้รับการยกชูให้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการพิชิตชัย และทันทีที่พวกเขาถูกพิชิต พวกเขาจะกลายเป็นตัวอย่างและแบบอย่างสำหรับผู้อื่นไปเอง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (2))  พวกเราสามารถเห็นได้จากพระวจนะของพระเจ้าว่าพระเจ้าทรงเลือกสถานที่และเป้าหมายแห่งพระราชกิจของพระองค์ในทุกช่วงระยะตามความจำเป็นในพระราชกิจของพระองค์  สถานที่และเป้าหมายของพระราชกิจมาพร้อมกับความหมายที่เฉพาะเจาะจงเสมอ และเป็นไปเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ดีขึ้นเสมอ  ตัวอย่างเช่น พระเจ้าทรงพระราชกิจสองระยะแรกในอิสราเอล เพราะคนอิสราเอลคือประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  พวกเขาเชื่อและนมัสการพระเจ้า พวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าและเสื่อมทรามน้อยที่สุดในหมู่มวลมนุษย์  ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการง่ายที่สุดที่พระเจ้าจะทรงสร้างกลุ่มผู้นมัสการพระเจ้าที่เป็นแบบอย่างขึ้นมาด้วยการทรงพระราชกิจท่ามกลางพวกเขา  และด้วยวิธีนี้ย่อมจะมีการเผยแพร่พระราชกิจของพระเจ้าได้รวดเร็วขึ้นและราบรื่นขึ้น เพื่อให้มวลมนุษย์ทั้งหมดสามารถเรียนรู้ถึงพระราชกิจและการมีอยู่ของพระเจ้า และเพื่อให้มีผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและน้อมรับความรอดของพระองค์ได้ในจำนวนที่มากยิ่งขึ้นไปอีก  การที่พระราชกิจสองระยะแรกของพระเจ้าเสร็จสิ้นไปในอิสราเอลมีความเป็นสัญลักษณ์อย่างแท้จริง  พระเจ้าทรงเลือกอิสราเอลตามความจำเป็นแห่งพระราชกิจของพระองค์ทั้งสิ้น  ในยุคสุดท้ายพระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์  พระองค์ทรงแสดงความจริงเพื่อพิพากษาและเปิดโปงความเสื่อมทรามและความไม่ชอบธรรมของมวลมนุษย์ แสดงพระอุปนิสัยอันชอบธรรม เปี่ยมพิโรธ และไม่อาจล่วงเกินได้ของพระองค์ให้มวลมนุษย์ได้เห็น  ดังนั้นพระองค์จึงต้องทรงคัดเลือกผู้คนที่เสื่อมทรามที่สุด ต้านทานพระเจ้าที่สุด มาเป็นตัวอย่าง  ด้วยการทำแบบนี้เท่านั้น พระราชกิจของพระเจ้าจึงจะสามารถบรรลุผลลัพท์ที่ดีที่สุดได้  ดังที่ทุกคนรู้ว่าในบรรดามนุษยชาติทั้งหมด คนจีนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามมากที่สุด  พวกเขาเป็นชาติพันธุ์ที่ล้าหลัง ไม่บริสุทธิ์ ต่ำต้อย ไม่ยอมรับพระเจ้า และต้านทานพระเจ้าที่สุดในหมู่มนุษยชาติทั้งหมด  พวกเขาคือแม่แบบของมนุษยชาติที่เสื่อมทรามทั้งมวล  ด้วยการทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในประเทศจีน และการมุ่งเป้าไปที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของประชาชนชาวจีน พระเจ้าทรงเปิดเผยมวลมนุษย์อย่างทั่วถึงและหลักแหลมที่สุด และความจริงที่พระองค์ทรงแสดงนั้นสมบูรณ์ที่สุดและสามารถเผยให้เห็นพระอุปนิสัยที่บริสุทธิ์และชอบธรรมของพระองค์ได้เป็นอย่างดีที่สุด พระเจ้าทรงใช้ความจริงที่แสดงผ่านพระราชกิจของพระองค์กับประชากรที่ทรงเลือกสรรในประเทศจีน เพื่อพิชิตและช่วยมวลมนุษย์ทั้งปวงให้รอด และเปิดโอกาสให้พวกเขามองเห็นพระอุปนิสัยที่บริสุทธิ์และชอบธรรมของพระองค์ เพื่อให้พวกเขาทั้งหมดมาสรรเสริญพระเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระองค์  นี่คือปัญญาแห่งพระราชกิจของพระเจ้า  หากผู้คนที่เสื่อมทรามที่สุดสามารถได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์โดยพระเจ้าได้ เช่นนั้นการทำให้คนอื่นครบบริบูรณ์ก็เป็นเรื่องธรรมดามาก และเมื่อนั้นซาตานก็จะพ่ายแพ้อย่างราบคาบ  ด้วยการทรงพระราชกิจในจีน พระเจ้าจะทรงได้รับคำพยานที่กึกก้องที่สุดและพระสิริที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  ถ้าพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าดำเนินไปในอิสราเอลหรือในบรรดาประเทศที่นับถือศาสนาคริสต์เป็นหลักอย่างสหรัฐอเมริกาหรือสหราชอาณาจักร ก็จะบรรลุจุดหมายปลายทางของการพิชิตและช่วยมวลมนุษย์ทั้งหมดให้รอดไม่ได้  ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงปรากฏและทรงพระราชกิจในจีนซึ่งมีความหมายที่สุดและเป็นไปตามความจำเป็นของพระราชกิจแห่งการพิพากษา  จากสถานที่และเป้าหมายแห่งพระราชกิจของพระเจ้าและผลสุดท้ายของแต่ละช่วงระยะ พวกเราสามารถเห็นได้ว่าพระราชกิจของพระเจ้านั้นทรงปัญญาและน่าอัศจรรย์โดยแท้!”  ได้ฟังเช่นนี้ ฉันก็พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ใช่แล้ว อิสราเอลเป็นชาติที่นมัสการพระเจ้า และผู้คนที่นั่นก็เสื่อมทรามน้อยที่สุดในหมู่มวลมนุษย์  หากองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาทรงพระราชกิจในอิสราเอล พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยของพระเจ้าก็จะไม่บรรลุผลลัพธ์ที่ดี  ประเทศจีนล้าหลังและต้านทานพระเจ้ามากที่สุดในบรรดาชาติทั้งหลาย ดังนั้นด้วยการพิชิตคนจีน ไม่เพียงพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยของพระองค์จะบรรลุผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่านั้น พระองค์ย่อมจะสำแดงความทรงมหิทธิฤทธิ์ พระปัญญา และกิจการอันมหัศจรรย์ของพระองค์ได้ดีขึ้นอีกด้วย  ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่าการที่พระเจ้าทรงพระราชกิจในประเทศจีนในยุคสุดท้ายนั้นมีนัยสำคัญอย่างแท้จริงเพียงไหน!  ฉันไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า แต่กลับใช้มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันมาจำกัดขอบเขตพระราชกิจของพระองค์—ฉันช่างโอหังเหลือเกิน!”

จากนั้นออดรีย์ก็พูดว่า “ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงพระราชกิจของพระองค์อย่างไรหรือที่ไหน ก็มีความล้ำลึกและความจริงให้แสวงหาอยู่เสมอ  ส่วนเรื่องที่ว่าพวกเราควรรับเสด็จการกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไรนั้น องค์พระเยซูเจ้าตรัสบอกพวกเราไว้แล้วว่า ‘เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด”’ (มัทธิว 25:6)  ‘แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา(ยอห์น 10:27)  มีคำเผยพระวจนะนี้อยู่ในหนังสือวิวรณ์ด้วย ความว่า ‘นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา(วิวรณ์ 3:20)  ดังนั้นในการรับเสด็จการกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและแสวงหาการปรากฏพระองค์ ที่สำคัญที่สุดคือการคอยฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า  หากพวกเราได้ยินคำพยานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาแล้ว พวกเราก็ต้องแสวงหาและสืบค้นดูว่ามีการแสดงความจริงหรือไม่ และใช่พระสุรเสียงของพระเจ้าหรือเปล่า  เพราะที่ไหนก็ตามที่มีการแสดงความจริง ย่อมจะมีพระสุรเสียงของพระเจ้าอยู่ด้วย รวมทั้งการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระองค์  เรื่องนี้จริงอย่างที่สุด  ดังที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า ‘ยิ่งผู้คนเชื่อว่าบางสิ่งเป็นไปไม่ได้มากเท่าใด ก็มีโอกาสที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้มากเท่านั้น เพราะพระปัญญาของพระเจ้าทะยานสูงกว่าฟ้าสวรรค์ พระดำริของพระเจ้าอยู่สูงกว่าความคิดของมนุษย์ และพระราชกิจของพระเจ้าอยู่เหนือขอบเขตของความคิดและมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์  ยิ่งบางสิ่งเป็นไปไม่ได้มากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งมีความจริงที่สามารถค้นหาได้มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งบางสิ่งอยู่พ้นมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของมนุษย์มากเท่าใด ก็ยิ่งมีเจตนารมณ์ของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  นี่เป็นเพราะไม่ว่าพระองค์จะทรงเปิดเผยพระองค์ที่ใด พระเจ้าก็ยังคงเป็นพระเจ้า และแก่นแท้ของพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลงด้วยเหตุของสถานที่หรือลักษณะของการทรงปรากฏของพระองค์  พระอุปนิสัยของพระเจ้ายังคงเหมือนเดิมไม่ว่ารอยพระบาทของพระองค์จะอยู่ที่ใด และไม่ว่ารอยพระบาทของพระเจ้าจะอยู่ที่ใด พระองค์ก็เป็นพระเจ้าของมวลมนุษย์ทั้งปวง เช่นเดียวกับที่องค์พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงเป็นเพียงพระเจ้าของชาวอิสราเอลเท่านั้น แต่เป็นพระเจ้าของผู้คนทั้งหมดในทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาอีกด้วย และยิ่งไปกว่านั้นอีก พระองค์คือพระเจ้าหนึ่งเดียวในจักรวาลทั้งมวล  ดังนั้นพวกเรามาแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า ค้นพบการทรงปรากฏของพระองค์ในถ้อยดำรัสของพระองค์ และก้าวตามให้ทันก้าวพระบาทของพระองค์กันเถิด!  พระเจ้าทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต  พระวจนะของพระองค์และการทรงปรากฏของพระองค์ดำรงอยู่ในเวลาเดียวกัน และพระอุปนิสัยและรอยพระบาทของพระองค์เปิดกว้างต่อมวลมนุษย์ตลอดเวลา(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 1: การทรงปรากฏของพระเจ้าได้นำมาซึ่งยุคใหม่)”  พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทำให้ความสับสนของฉันมลายหายไปหมด  พระวจนะเผยให้เห็นความล้ำลึกของการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า หักล้างมโนคติอันหลงผิดก่อนหน้านี้ของฉันอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน  ฉันถวิลหาที่จะรับเสด็จการกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยตระหนักว่าฉันจำกัดขอบเขตการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าเอาไว้ให้อยู่ในรูปของสิ่งที่ฉันจินตนาการและความหมายตามตัวอักษรของถ้อยคำในพระคัมภีร์  ฉันช่างไม่รู้เท่าทันและมืดบอดมาโดยตลอด!  หลังจากการชุมนุมจบลง ฉันจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากกับออดรีย์ ขอหนังสือ “พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์” ที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงเอาไว้มาเล่มหนึ่ง

เมื่อได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันก็มองเห็นว่าพระองค์ทรงคลี่คลายความล้ำลึกมากมายหลายประการในพระคัมภีร์อย่างไร เช่น แผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้าเพื่อความรอดของมวลมนุษย์ เรื่องราวเบื้องลึกของพระคัมภีร์และพระราชกิจสามช่วงระยะของพระเจ้า ความหมายของพระนามทั้งหลายของพระเจ้า ความล้ำลึกของการประสูติเป็นมนุษย์ นัยสำคัญของพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงกำหนดผลลัพธ์และบั้นปลายของผู้คนทุกประเภทอย่างไร ราชอาณาจักรของพระคริสต์จะเป็นจริงที่นี่บนแผ่นดินโลกอย่างไร และอื่นๆ อีกมาก  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงไว้อย่างอุดมและทั้งหมดล้วนเป็นความล้ำลึกและความจริงที่ฉันไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน  ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากพระเจ้าที่สามารถไขความล้ำลึกเหล่านี้ได้  พระวจนะที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แสดงนั้นเต็มไปด้วยสิทธิอำนาจ ฤทธานุภาพ และพระบารมี  ทั้งหมดคือถ้อยดำรัสของพระเจ้าจริงๆ—เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า  ฉันเกิดความแน่ใจอย่างเต็มที่ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมา  ฉันยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างไม่ลังเล และตอนนี้ฉันก็กำลังติดตามก้าวพระบาทของพระเมษโปดก

ก่อนหน้า: 69. เหตุใดฉันจึงจะไม่แบกรับภาระ?

ถัดไป: 71. บททดสอบจากสภาพแวดล้อมอันยากลำบาก

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger