18. ผลสืบเนื่องของการไล่ตามความสบาย

โดย โคลอี, ประเทศสเปน

ฉันทำวิดีโออยู่ในคริสตจักร  ในการทำงาน ฉันพบว่าการผลิตในโปรเจกต์ที่ยากกว่าปกติมีค่าใช้จ่ายสูง เพราะจำเป็นต้องมีการทดลองและแก้ไขเทคนิคภาพทุกเฟรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า และประสบความล้มเหลวอยู่เนืองๆ  แต่ในโปรเจกต์ที่ค่อนข้างเรียบง่าย กลับใช้ความพยายามน้อยกว่า และอัตราความสำเร็จก็มีมากกว่า  ฉันจึงคิดว่า “โปรเจกต์ที่ยากมีข้อกำหนดด้านเทคนิคสูง ฉันต้องใช้เวลาในการคิด ค้นหาวัตถุดิบมาวิเคราะห์และศึกษา แล้วรอบการผลิตก็ยาวนาน  โปรเจกต์ที่เรียบง่ายกว่ากลับไม่มีปัญหามากขนาดนี้ ฉันแค่ต้องเชี่ยวชาญวิธีการและทักษะง่ายๆ บางอย่างเท่านั้น แล้วรอบการผลิตก็สั้นลง ซึ่งหมายความว่าโปรเจกต์ต่างๆ จะทำเสร็จได้เร็วขึ้น  ดูเหมือนว่าการผลิตงานที่เรียบง่ายกว่าจะช่วยลดปัญหาได้มาก”  ดังนั้นในการทำหน้าที่ ฉันจึงสำรวจดูว่าโปรเจกต์ไหนยากและโปรเจกต์ไหนง่าย แล้วค่อยตัดสินใจรับทำ  ครั้งหนึ่งฉันเลือกทำโปรเจกต์ที่ง่าย ทิ้งโปรเจกต์ที่ซับซ้อนให้พี่น้องชายหญิงทำ  เมื่อเห็นว่าพี่น้องชายหญิงพร้อมใจกันตกลงรับทำ ฉันก็รู้สึกผิดนิดหน่อยว่า “นี่ไม่ใช่ว่าฉันถอยเมื่อเผชิญกับความลำบากยากเย็นและไม่เต็มใจที่จะสู้งานหรอกหรือ?”  แต่แล้วฉันก็คิดว่า “โปรเจกต์ยากๆ ใช้เวลาและพลังงานมากเกินไป และยังใช้พลังสมองมากเกินไป เหนื่อยล้าอย่างนั้น เลือกโปรเจกต์ที่เรียบง่ายย่อมดีที่สุด”  ครั้งหนึ่งหลังจากทำโปรเจกต์หนึ่งเสร็จ ฉันก็รู้สึกว่ามีอะไรให้ปรับปรุงดีขึ้นได้อีก แต่ก็ไม่อยากทำงานหนักเกินไปเพื่อเปลี่ยนแปลงอะไร  ฉันสังเกตว่าพี่น้องชายหญิงไม่ได้มองเห็นปัญหาอันใดตอนที่พวกเขาตรวจดูงาน ฉันจึงไม่เปลี่ยนแปลงอะไรไปด้วยและปล่อยผ่าน  บางครั้งเมื่อมีปัญหาในการผลิตวิดีโอ ฉันก็แค่ขบคิดอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น แล้วไปถามพี่น้องชายหญิง  ฉันรู้สึกว่านี่ไม่เพียงแก้ปัญหาได้เร็ว แต่ยังทำให้ฉันไม่เหนื่อย ดังนั้นจึงเป็นวิธีทำงานให้เสร็จโดยง่าย  แต่เมื่อทำเช่นนี้ ฉันก็รู้สึกตำหนิตัวเอง เพราะคำถามเหล่านี้ง่ายมากจริงๆ แค่พยายามสักหน่อยฉันก็คิดออกแล้ว  การถามพี่น้องชายหญิงรังแต่จะประวิงเวลาทำหน้าที่ของพวกเขา แต่ฉันก็ไม่ได้ทบทวนตัวเอง เล่ห์เพทุบายประเภทนี้จึงกลายเป็นปกติวิสัยในการปฏิบัติหน้าที่ของฉัน

นอกจากการทำวิดีโอแล้ว ฉันยังต้องนำพี่น้องชายหญิงศึกษาหาความรู้ และต้องช่วยยกระดับทักษะเชิงวิชาชีพของทุกคน ดังนั้นฉันจึงต้องทำงานมากกว่าปกติ  ฉันไม่เพียงต้องเรียนรู้ทักษะเชิงวิชาชีพเท่านั้น แต่ต้องหาข้อมูลและเตรียมบทเรียนตามสิ่งที่พี่น้องชายหญิงจำเป็นต้องรู้และตามสิ่งที่พวกเขายังอ่อนด้อย  ทุกอย่างให้ความรู้สึกว่าเป็นงานที่ลำบากยากเย็นและเหน็ดเหนื่อย  ดังนั้นฉันจึงเริ่มคิดหาวิธีที่จะสามารถประหยัดเวลาและไม่รู้สึกเหนื่อยล้าขนาดนี้ ฉันตัดสินใจส่งสื่อการสอนไปให้พี่น้องชายหญิง พวกเขาจะได้สามารถเปิดดูเอาเอง  แบบนั้นฉันก็จะไม่ต้องใช้เวลาและความพยายามไปกับการเตรียมการสอน  ฉันรู้สึกว่าไม่มีวิธีการไหนดีกว่านี้แล้ว  พอผ่านไปสักพัก พี่น้องชายหญิงก็บอกว่าสื่อการสอนเหล่านั้นไม่ช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขา  ในเวลานั้นฉันรู้สึกเสียใจนิดหน่อย ดังนั้นเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ฉันจึงหาสื่อบางอย่างเพื่อสอนทุกคนในแบบที่เรียบง่าย ฉันคิดว่าเพียงจัดการให้ทุกคนได้เรียนอย่างเป็นระบบก็เพียงพอแล้ว ไม่นานหัวหน้าทีมของพวกเราก็พูดว่ามีปัญหาหลายอย่างในวิดีโอหนึ่งที่พวกเราเพิ่งทำไป ซึ่งดึงให้งานของพวกเรามีอันต้องช้าลง  เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉันไม่ได้ทบทวนหรือพยายามที่จะเข้าใจตัวเอง และฉันรู้สึกว่าหน้าที่นี้ไม่เพียงต้องทนทุกข์และยอมลำบาก แต่ยังต้องรับผิดชอบหากเกิดความผิดพลาดอีกด้วย แถมมีงานมาก แต่ให้ผลน้อย ฉันจึงยิ่งไม่ต้องการที่จะทำหน้าที่นี้เข้าไปใหญ่

อยู่มาวันหนึ่ง ผู้นำมาหาฉันและเปิดโปงฉันว่าทำงานเลื่อนเปื้อนและฉลาดแกมโกงในการทำหน้าที่ และบอกว่าหากฉันไม่ปรับปรุงตัวเองก็จะถูกปลด  เมื่อได้ยินผู้นำพูดเช่นนั้น แม้ฉันจะยอมรับว่าตัวเองทำหน้าที่อย่างส่งๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงการกลับใจเลย  เมื่อคิดถึงความยากลำบากและปัญหาที่ต้องจากการศึกษาในอนาคต ฉันก็ไม่อยากรับผิดชอบเรื่องการจัดแจงการศึกษาของทุกคนอีกต่อไป ซึ่งจะทำให้สิ่งต่างๆ ง่ายขึ้นสำหรับฉัน  วันถัดมาฉันจึงไปหาผู้นำและพูดว่า “คุณพอหาคนอื่นมาจัดแจงเรื่องการศึกษาของทีมได้ไหม?  ฉันไม่ถนัดเรื่องนี้ค่ะ”  พอได้ฟังดังนั้น เธอก็ตัดแต่งฉันโดยบอกว่า “คุณทำงานนี้ให้ดีไม่ได้จริงหรือ?  คุณพยายามแล้วจริงหรือ?  คุณเลี่ยงงานหนักอยู่เสมอ ทำงานส่งๆ พยายามทำตัวฉลาดแกมโกง แล้วสภาวะความเป็นมนุษย์ของคุณก็ย่ำแย่  เมื่อพิจารณาพฤติกรรมเหล่านั้นแล้ว คุณไม่เหมาะสมกับงานนี้จริงๆ  ตอนนี้ไปทำการเฝ้าเดี่ยวและทบทวนตัวเอง และรอการจัดการเตรียมการเพิ่มเติมจากคริสตจักรเถอะ”  เมื่อได้ฟังผู้นำพูดเช่นนี้ ฉันรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองถูกควักออกไปในทันใด  ฉันเห็นพี่น้องชายหญิงทุกคนต่างก็ง่วนอยู่กับการทำหน้าที่ แต่ฉันกลับถูกปลดและสูญเสียหน้าที่ของตน  ฉันบรรยายไม่ถูกเลยว่าตัวเองเศร้าใจขนาดไหน ไม่เคยคิดเลยว่าตัวฉันอาจจะสูญเสียหน้าที่ไปจริงๆ  แต่แล้วฉันก็คิดขึ้นมาว่า “พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง การที่ฉันถูกปลดคือการมาเยือนแห่งพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  ฉันจำเป็นต้องเชื่อฟัง ทบทวนและรู้จักตัวเอง”  ในวันต่อๆ มา ฉันเอาแต่เห็นฉากเหตุการณ์ที่ผู้นำปลดฉันวนไปเวียนมาอยู่ในหัวเหมือนภาพยนตร์  เมื่อคิดถึงสิ่งที่ผู้นำพูด ฉันก็รู้สึกทุกข์ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่บอกว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ของฉันย่ำแย่  ฉันไม่รู้ว่าจะทบทวนหรือรู้จักตัวเองอย่างไร ดังนั้นระหว่างที่กำลังอยู่ในความเจ็บปวด ฉันจึงอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงนำฉันให้เข้าใจตัวเอง

ภายหลัง ฉันได้เห็นพระวจนะบางส่วนของพระเจ้า ความว่า “การจัดการสิ่งทั้งหลายอย่างตลกคะนองและไร้ความรับผิดชอบเหลือเกินนั้นคือบางสิ่งที่มีอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  นี่คือนิสัยผักชีโรยหน้าที่ผู้คนพูดถึงบ่อยครั้ง  ในเรื่องทุกเรื่องที่พวกเขาทำ พวกเขาก็ทำจนถึงจุดที่ ‘นั่นถูกต้องแล้ว’ และ ‘ใกล้เคียงพอแล้ว’ นั่นคือท่าทีของคำว่า ‘อาจจะ’ ‘เป็นไปได้’ และ ‘สี่ในห้า’  พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายอย่างขอไปที พอใจที่จะทำให้น้อยที่สุด และพอใจกับการพูดอำคนไปเรื่อย พวกเขาไม่เห็นประโยชน์ของการจริงจังกับสิ่งต่างๆ หรือการทำอะไรให้ละเอียดถี่ถ้วน และยิ่งมองไม่เห็นประโยชน์ของการแสวงหาหลักธรรมความจริง  นี่ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรอกหรือ?  นี่ใช่การสำแดงถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติกระนั้นหรือ?  ไม่ใช่  การเรียกสิ่งนี้ว่าความโอหังนั้นถูกต้อง และการเรียกว่าเหลวไหลก็เหมาะสมทุกประการเช่นกัน—แต่ถ้าจะบรรยายให้สมบูรณ์แบบ คำเดียวที่จะทำได้ก็คือ ‘ผักชีโรยหน้า’  ผู้คนส่วนใหญ่มีนิสัยผักชีโรยหน้าอยู่ในตัวเอง เพียงแต่มากน้อยต่างกันเท่านั้น  พวกเขาอยากทำสิ่งต่างๆ อย่างสุกเอาเผากินและฉาบฉวยในทุกเรื่อง และมีกลิ่นอายของการหลอกลวงอยู่ในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ  พวกเขาโกงคนอื่นเมื่อพวกเขาสามารถทำได้ ทำอะไรลวกๆ เมื่อพวกเขามีความสามารถทำได้ ประหยัดเวลาเมื่อพวกเขาสามารถทำได้  พวกเขาคิดกับตัวเองว่า ‘ตราบเท่าที่ฉันหลีกเลี่ยงการถูกเปิดโปง และไม่ก่อให้เกิดปัญหา และไม่ถูกตำหนิ เช่นนั้นแล้ว ฉันย่อมมั่วผ่านเรื่องนี้ไปได้  ฉันไม่จำเป็นต้องทำงานให้ดีนัก แบบนั้นยุ่งยากเกินไป!’  ผู้คนเช่นนั้นไม่เรียนรู้สิ่งใดให้เชี่ยวชาญเลย และพวกเขาไม่พยายามอย่างหนักหรือยอมทนทุกข์และยอมลำบากในการศึกษาของพวกเขา  พวกเขาอยากรู้เรื่องหนึ่งๆ เพียงผิวเผินเท่านั้น แล้วจากนั้นจึงเรียกตัวพวกเขาเองว่าช่ำชองในสิ่งนั้น เชื่อว่าตนเองเรียนรู้ทุกสิ่งที่มีให้รู้แล้ว แล้วจากนั้นจึงพึ่งพาการนี้เพื่อมั่วไปในหนทางของพวกเขาจนตลอดรอดฝั่งไปได้  นี่ไม่ใช่ท่าทีที่ผู้คนมีต่อผู้อื่น ต่อเหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายหรอกหรือ?  นี่ใช่ท่าทีที่ดีหรือไม่?  ไม่ใช่  พูดง่ายๆ ก็คือนี่เป็นการ ‘ทำพอเอาหน้ารอด’  นิสัยผักชีโรยหน้าเช่นนี้มีอยู่ในมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามทุกคน  ผู้คนที่มีนิสัยผักชีโรยหน้าอยู่ในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ใช้ทรรศนะและท่าทีของการ ‘ทำพอเอาหน้ารอด’ กับทุกสิ่งที่พวกเขาทำ  ผู้คนเช่นนี้สามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างถูกควรหรือไม่?  ไม่  พวกเขาสามารถทำสิ่งต่างๆ อย่างมีหลักธรรมหรือไม่?  ยิ่งไม่มีวี่แววว่าจะทำได้เข้าไปใหญ่(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่สอง))  “คนเราจะบอกความแตกต่างระหว่างผู้คนที่ประเสริฐและผู้คนที่ต่ำช้าได้อย่างไร?  จงดูท่าทีและการกระทำที่พวกเขามีต่อหน้าที่ก็พอ และดูว่าพวกเขาปฏิบัติต่อสิ่งต่างๆ และประพฤติตนอย่างไรเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น  ผู้คนที่มีความสัตย์สุจริตและศักดิ์ศรีย่อมมีการกระทำที่รอบคอบ มีมโนธรรม และขยันหมั่นเพียร พวกเขาเต็มใจที่จะจ่ายราคา  ผู้คนที่ปราศจากความสัตย์สุจริตและศักดิ์ศรีนั้นมีการกระทำที่มักง่ายและฉาบฉวย แอบใช้เล่ห์กลอยู่เสมอ อยากทำอะไรแค่ให้พอพ้นตัวอยู่ตลอดเวลา  ไม่ว่าพวกเขาศึกษาด้วยกลวิธีใด พวกเขาก็ไม่ขยันหมั่นเรียนรู้ ไม่สามารถเรียนรู้ได้ และไม่ว่าจะใช้เวลาศึกษานานเท่าใด พวกเขาก็ยังคงไม่รู้ความอยู่ดี  นี่คือผู้คนที่มีบุคลิกลักษณะที่ไม่ดี(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่สอง))  พระวจนะของพระเจ้าเสียดแทงหัวใจของฉัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระวจนะของพระองค์ที่ว่า “พวกเขาโกงคนอื่นเมื่อพวกเขาสามารถทำได้ ทำอะไรลวกๆ เมื่อพวกเขามีความสามารถทำได้” “ปราศจากความสัตย์สุจริตและศักดิ์ศรี” และ “บุคลิกลักษณะที่ไม่ดี”  ล้วนเผยให้เห็นสภาวะความเป็นมนุษย์ของฉันและท่าทีที่ฉันมีต่อหน้าที่  ฉันตระหนักว่านี่คือวิธีการปฏิบัติหน้าที่ของฉันโดยแท้  ฉันทำทุกอย่างแบบส่งเดช และทำพอให้ผ่านมาตรฐานเท่านั้น  ฉันหาทางเลี่ยงความทุกข์อยู่เสมอ หาทางที่จะทำสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้นและไม่เคยคิดถึงวิธีปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีเลย  ฉันเลือกทำโปรเจกต์ที่ธรรมดากว่าและง่ายกว่าเสมอเพื่อความสบายกายและเพื่อเลี่ยงความทุกข์  หลังจากเสร็จงานแล้ว แม้จะเห็นปัญหาและหนทางที่จะปรับปรุงแก้ไข แต่ฉันก็ไม่เต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร แค่พยายามทำส่งๆ ไป  เมื่อทีมของพวกเราจำเป็นต้องเรียนรู้ทักษะเชิงวิชาชีพ ฉันกลับรู้สึกว่าการจัดระบบให้พี่น้องชายหญิงร่ำเรียนนั้นเหน็ดเหนื่อยเกินไป  ดังนั้นเพื่อความสบายกาย ฉันจึงลองใช้เล่ห์เหลี่ยมและความฉลาดแกมโกง โดยให้พี่น้องชายหญิงดูสื่อการสอนเอาเอง ซึ่งส่งผลให้ทักษะของพวกเขาไม่เคยดีขึ้นเลย ทำให้หน้าที่พวกเขามีประสิทธิผลน้อยลง และกระบวนการทำงานก็ล่าช้า ฉันหลอกลวงและใช้เล่ห์เหลี่ยมในการทำหน้าที่ทุกจุด ไม่เคยนึกถึงงานของคริสตจักร  ฉันไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์เลย! ฉันเห็นแก่ตัว น่าดูหมิ่น และมีลักษณะนิสัยที่ต้อยต่ำจริงๆ! ตอนที่ทบทวนเรื่องเหล่านี้ ฉันสำนึกเสียใจและรู้สึกผิดอย่างยิ่ง  หลังจากนั้นฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “จากภายนอก ตลอดเวลาที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน ผู้คนบางคนไม่ได้ดูเหมือนว่ามีปัญหาร้ายแรงอันใด  พวกเขาไม่ได้ทำชั่วอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาไม่ได้ก่อให้เกิดการขัดขวางหรือการก่อกวน หรือเดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์  ในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาไม่มีความผิดพลาดหรือปัญหาใหญ่โตอันใดเกี่ยวกับหลักธรรมเกิดขึ้น แต่กระนั้น โดยไม่ได้ตระหนัก ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี พวกเขากลับถูกเปิดเผยว่าไม่ได้ยอมรับความจริงเลย และเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ไม่เชื่อ  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  ผู้อื่นไม่สามารถมองเห็นประเด็นปัญหาได้ แต่พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจส่วนในสุดของผู้คนเหล่านี้ และพระองค์ทอดพระเนตรเห็นปัญหาดังกล่าว  พวกเขาทำอย่างขอไปทีและไม่สำนึกกลับใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่เสมอ  เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาจึงถูกเปิดเผยเป็นธรรมดา  การที่ยังคงไม่กลับใจหมายความว่าอย่างไร?  นั่นหมายความว่าแม้พวกเขาได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนมาโดยตลอด แต่พวกเขากลับมีท่าทีผิดๆ ต่อหน้าที่เหล่านั้นอยู่เสมอ ท่าทีของการขอไปที ท่าทีลำลองตามสบาย และพวกเขาไม่เคยมีมโนธรรมเลย นับประสาอะไรที่พวกเขาจะมอบหัวใจทั้งหมดของพวกเขาให้กับหน้าที่ของตน  พวกเขาอาจทุ่มความพยายามเล็กน้อย แต่พวกเขาก็แค่แสร้งทำท่าพอเป็นพิธี  พวกเขาไม่ได้มอบทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขาให้กับหน้าที่ของตน และการฝ่าฝืนของพวกเขาก็ไม่มีที่สิ้นสุด  ในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาไม่เคยกลับใจ พวกเขาทำอย่างขอไปทีเสมอมา และไม่เคยมีความเปลี่ยนแปลงอันใดในตัวพวกเขา—นั่นคือ พวกเขาไม่ปล่อยวางความชั่วในมือของพวกเขาและกลับใจต่อพระองค์  พระเจ้าทอดพระเนตรไม่เห็นท่าทีแห่งการกลับใจใหม่ในตัวพวกเขา และพระองค์ทอดพระเนตรไม่เห็นการพลิกกลับในท่าทีของพวกเขา  พวกเขายืนกรานเกี่ยวกับหน้าที่ทั้งหลายของพวกเขาและพระบัญชาของพระเจ้าด้วยท่าทีและวิธีการเช่นนั้น  ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใดในอุปนิสัยอันดื้อดึงและหัวแข็งนี้โดยตลอด และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเขาไม่เคยรู้สึกเป็นหนี้พระเจ้า ไม่เคยรู้สึกว่าการขอไปทีของพวกเขาเป็นการฝ่าฝืน การทำชั่ว  ในหัวใจของพวกเขา ไม่มีความเป็นหนี้เลย ไม่มีความรู้สึกผิดเลย ไม่มีการตำหนิตนเองเลย และนับประสาอะไรที่จะมีการกล่าวหาตนเอง  และเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่าบุคคลประเภทนี้เกินกว่าจะเยียวยาได้  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใด และไม่สำคัญว่าพวกเขาได้ยินคำเทศนากี่คำหรือพวกเขาเข้าใจความจริงมากเพียงใด หัวใจของพวกเขาไม่ได้รับการดลใจและท่าทีของพวกเขาไม่ได้ปรับเปลี่ยนหรือกลับตัว  พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นดังนี้และตรัสว่า ‘ไม่มีความหวังใดเลยสำหรับบุคคลผู้นี้  ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราพูดสัมผัสหัวใจของพวกเขา และไม่มีสิ่งใดเลยที่เราพูดที่ทำให้พวกเขากลับตัว  ไม่มีวิถีทางในการเปลี่ยนแปลงพวกเขา  บุคคลนี้ไม่เหมาะที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน และไม่เหมาะที่จะออกแรงทำงานในบ้านของเรา’  เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสเช่นนี้?  นั่นเป็นเพราะเมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนและทำงาน พวกเขาสุกเอาเผากินอยู่เสมอ  ไม่ว่าพวกเขาจะถูกตัดแต่งมากเพียงใด และไม่ว่าจะหยิบยื่นความอดกลั้นและอดทนให้พวกเขามากเพียงใด นั่นไม่มีผลใดเลยและไม่สามารถทำให้พวกเขาสำนึกกลับใจหรือเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง  นั่นไม่สามารถทำให้พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเป็นอย่างดีได้ นั่นไม่สามารถเปิดโอกาสให้พวกเขาเริ่มเข้าสู่เส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงได้  ดังนั้นบุคคลผู้นี้จึงเกินเยียวยา  เมื่อพระเจ้าทรงกำหนดพิจารณาว่าบุคคลนี้เกินกว่าจะเยียวยา พระองค์จะยังคงทรงควบคุมเขาอย่างเข้มงวดหรือไม่?  พระองค์จะไม่ทรงทำเช่นนั้น  พระเจ้าจะทรงปล่อยพวกเขาไป(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  “วิธีที่เจ้าคำนึงถึงพระบัญชาทั้งหลายของพระเจ้านั้นสำคัญอย่างยิ่งยวด และนี่เป็นเรื่องที่จริงจังมาก  หากเจ้าไม่สามารถทำสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่ผู้คนให้ครบบริบูรณ์ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่เหมาะที่จะดำรงชีวิตอยู่ในการสถิตของพระองค์และเจ้าก็ควรถูกลงโทษ  นี่คือสิ่งที่เป็นธรรมชาติและสมควรอย่างยิ่งที่มนุษย์ควรทำพระบัญชาไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้แก่พวกเขาให้เสร็จสมบูรณ์  นี่คือความรับผิดชอบสูงสุดของมนุษย์ และสำคัญพอกันไม่มีผิดกับชีวิตจริงๆ ของพวกเขา  หากเจ้าไม่จริงจังกับพระบัญชาของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทรยศพระองค์ในหนทางที่ร้ายแรงที่สุด  ในการนี้ เจ้าน่าวิปโยคกว่ายูดาส และควรถูกสาปแช่ง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์)  ฉันอ่านพระวจนะซ้ำแล้วซ้ำเล่า และตระหนักว่าในอดีต แม้ภายนอกจะดูเหมือนว่าฉันปฏิบัติหน้าที่ แต่ในหัวใจนั้น ฉันกำลังทรยศพระเจ้า  ฉันบ่ายเบี่ยงที่จะทำหน้าที่ที่ยากและหนัก คำนึงถึงผลประโยชน์ทางเนื้อหนังเท่านั้น ไม่เต็มใจที่จะยอมลำบากและทนทุกข์ ฉันใช้เล่ห์เหลี่ยมและความฉลาดแกมโกงทำส่งๆ ไป  แม้ในยามที่สามารถทำงานให้ดีขึ้นได้ ฉันก็ไม่ทำ เพราะฉันรู้สึกว่าถึงจะไม่ได้ทำดีมาก แต่อย่างน้อยงานก็เสร็จ และนั่นก็เพียงพอแล้ว  ฉันไม่เคยคิดจริงจังกับปัญหาของการทำส่งๆ ไปของตน และไม่เคยทบทวนตัวเอง  ผู้นำของฉันเปิดโปงและตักเตือนฉัน แต่ฉันไม่ได้รู้สึกกลับใจแม้แต่น้อย ยังคงคำนึงถึงผลประโยชน์ทางเนื้อหนังอยู่ดี  เมื่อฉันคิดว่าหน้าที่ของฉันจำเป็นต้องทำงานหนักและยอมลำบากอย่างไรบ้าง ฉันก็ไม่อยากทำหน้าที่นั้นอีกต่อไป  ทำไมฉันจึงด้านชาและดื้อดึงอย่างนี้?  พระเจ้าประทานโอกาสให้ฉันกลับใจและเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งเป็นความกรุณาจากพระเจ้า แต่ฉันกลับคิดถึงแต่ผลประโยชน์ทางเนื้อหนังของตน ไม่แสวงหาความจริงหรือทบทวนตัวเอง ดื้อดึงต่อต้านพระเจ้าต่อไป  ฉันช่างเป็นกบฏนัก!  หน้าที่ของคนเราคือพระบัญชาและความรับผิดชอบที่พระเจ้าประทานมา พวกเขาจึงควรทำอย่างสุดความสามารถเพื่อลุล่วงหน้าที่  แต่ก็ยังบ่ายเบี่ยงไม่เอางานยาก ทำงานส่งๆ เพื่อหลอกลวงพระเจ้า และถึงขั้นกล้าของานเบาๆ ทำด้วย  นี่มิใช่การต้านทานและทรยศพระเจ้าหรอกหรือ?  พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าย่อมไม่ทนยอมรับการล่วงเกิน พระเจ้าทรงเกลียดทุกอย่างที่ฉันทำลงไป  การที่ฉันถูกปลดแสดงให้เห็นถึงความชอบธรรมของพระเจ้า  เมื่อตระหนักเช่นนี้ ฉันรู้สึกขวัญผวานิดหน่อย  ฉันยังสำนึกผิดที่ทำเรื่องชวนปวดใจให้แก่พระเจ้าอีกด้วย  ฉันจะทำงานส่งๆ แบบนี้ต่อไปไม่ได้ ฉันต้องกลับใจและเปลี่ยนแปลง

หลังจากนั้นฉันก็เผยแผ่ข่าวประเสริฐร่วมกับพี่น้องชายหญิง  เนื่องจากฉันยังไม่เชี่ยวชาญในหลักธรรมและพูดคุยกับผู้คนไม่เก่ง จึงรู้สึกว่าหน้าที่นั้นยากมาก และเป็นอีกครั้งที่ฉันไม่อยากทำงานหนักหรือต้องยอมลำบาก  แต่ฉันก็คิดถึงท่าทีก่อนหน้านี้ที่ฉันละเลยหน้าที่ และตระหนักว่าการได้มาประกาศข่าวประเสริฐอยู่ในตอนนี้คือความกรุณาอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าประทานแก่ฉัน  ฉันไม่ควรวิ่งหนีเมื่อเผชิญความยุ่งยากเหมือนก่อน  ทันทีที่ตระหนักเช่นนี้ ฉันก็รู้สึกแข็งขันขึ้นในการที่จะทำให้ตนเองก้าวหน้า  ฉันทบทวนตัวเองว่าทำไมถึงอยากถอยห่างและหนีไปให้พ้นทันทีที่รู้สึกว่าหน้าที่ของตัวเองยุ่งยาก  ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “วันนี้ เจ้าไม่เชื่อวจนะที่เรากล่าว และเจ้าไม่ใส่ใจกับมันเลย เมื่อถึงวันที่พระราชกิจนี้เผยแผ่ออกไป และเจ้ามองเห็นทั้งหมดทั้งสิ้นของมัน เจ้าจะเสียใจ และ ณ เวลานั้น เจ้าจะอึ้งและงงงัน  พรทั้งหลายนั้นมีอยู่ ทว่าเจ้าไม่รู้ว่าจะชื่นชมพวกมันอย่างไร และความจริงนั้นมีอยู่ ทว่าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหามัน  นี่เจ้าไม่ได้ทำให้ตัวเองน่าเหยียดหยามหรอกหรือ?  วันนี้ ถึงแม้ว่าขั้นตอนถัดไปแห่งพระราชกิจของพระเจ้ายังไม่ได้เริ่มขึ้น ก็ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับข้อเรียกร้องที่ขอจากเจ้าและเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าถูกขอให้ใช้ดำเนินชีวิต  มีพระราชกิจมากมายเหลือเกินและความจริงมากมายเหลือเกิน พวกมันไม่มีค่าคู่ควรที่เจ้าจะรู้หรอกหรือ?  การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าไร้ความสามารถที่จะปลุกจิตวิญญาณของเจ้าให้ตื่นขึ้นมาหรือ?  การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าไร้ความสามารถที่จะทำให้เจ้าเกลียดชังตัวเจ้าเองหรือ?  เจ้าพอใจที่จะมีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานพร้อมกับสันติสุขและความชื่นบาน และสิ่งชูใจเล็กน้อยทางเนื้อหนังอย่างนั้นหรือ?  เจ้าไม่ได้ต่ำต้อยที่สุดในบรรดาผู้คนทั้งหมดหรอกหรือ?  ไม่มีใครเลยที่โง่เขลาไปกว่าพวกที่มองดูความรอดแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาที่จะได้รับมัน กล่าวคือ เหล่านี้เป็นผู้คนที่มูมมามไปกับเนื้อหนังจนเกินขนาดและสุขสำราญไปกับซาตาน  เจ้าหวังว่าความเชื่อของเจ้าในพระเจ้าจะไม่พ่วงเอาความท้าทายหรือความทุกข์ลำบากอันใด หรือความยากลำบากแม้เพียงน้อยนิดมาด้วย  เจ้าไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้นซึ่งไร้ค่าเสมอ และเจ้าไม่ให้คุณค่ากับชีวิต แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับให้ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเจ้าเองมาก่อนความจริง  เจ้าช่างไร้ค่ายิ่งนัก!  เจ้ามีชีวิตอยู่เหมือนสุกรตัวหนึ่ง—มีความแตกต่างอะไรเล่าระหว่างตัวเจ้า และพวกสุกรกับพวกสุนัข?  พวกที่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับรักเนื้อหนัง ไม่ใช่สัตว์ร้ายทั้งหมดหรอกหรือ?  พวกที่ตายไปแล้วและปราศจากจิตวิญญาณไม่ใช่ซากศพที่เดินได้หรอกหรือ?… เรามอบชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงให้แก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา  เจ้าไม่ได้ต่างอะไรจากสุกรหรือสุนัขตัวหนึ่งหรอกหรือ?  พวกสุกรไม่เสาะหาชีวิตของมนุษย์ พวกมันไม่ไล่ตามเสาะหาการได้รับการชำระให้สะอาด และพวกมันไม่เข้าใจว่าชีวิตคืออะไร  ในแต่ละวัน หลังจากที่พวกมันกินกันจนอิ่มแปล้ มันก็แค่หลับไป  เราได้ให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้รับมัน เจ้าเป็นคนมือเปล่า  เจ้าเต็มใจที่จะดำเนินต่อไปในชีวิตนี้ ชีวิตของสุกรตัวหนึ่งหรือไม่?  อะไรคือนัยสำคัญของการที่ผู้คนเช่นนั้นมีชีวิตอยู่?  ชีวิตของเจ้าช่างน่าเหยียดหยามและต่ำศักดิ์ เจ้ามีชีวิตอยู่ท่ามกลางความโสมมและความเสเพล และเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาเป้าหมายใดเลย ชีวิตของเจ้าไม่ได้ต่ำศักดิ์ที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดหรอกหรือ?  เจ้ากล้าดีที่จะมองพระเจ้าหรือ?  หากเจ้ามีประสบการณ์ในหนทางนี้ต่อไป เจ้าย่อมจะไม่ได้สิ่งใดเลยไม่ใช่หรือ?  หนทางที่แท้จริงได้ถูกมอบให้เจ้าไปแล้ว แต่การที่เจ้าจะสามารถรับไว้จนถึงที่สุดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาส่วนบุคคลของตัวเจ้าเอง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา)  คำถามของพระเจ้าทุกคำถามทิ่มแทงหัวใจของฉัน ราวกับว่าพระเจ้ากำลังตรัสถามฉันซึ่งหน้า ฉันรู้สึกว่าติดค้างพระองค์อย่างมากมาย  พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงแสดงความจริงมากมายยิ่งนักเพื่อให้น้ำและหล่อเลี้ยงพวกเรา เพื่อให้พวกเราสามารถได้รับความจริง ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และมีโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอด  นี่คือพรอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าประทานแก่มวลมนุษย์  ผู้มีปัญญาที่แท้จริงย่อมจะทะนุถนอมโอกาสที่พระราชกิจของพระเจ้าจัดเตรียมให้ และใช้เวลาไปกับการไล่ตามเสาะหาความจริง ลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ไล่ตามเสาะหาความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยแห่งการดำเนินชีวิตระหว่างที่พวกเขาทำหน้าที่ แล้วสุดท้ายพวกเขาก็จะเข้าใจความจริงและได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้า  แต่คนที่มืดบอดและไม่รู้เท่าทันย่อมเพียรพยายามให้ได้มาซึ่งความชื่นชมยินดีทางเนื้อหนัง พวกเขาเพียงเอาตัวรอด และไม่อุตสาหะที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาทำสิ่งต่างๆ ไปอย่างนั้นเองและใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อยในการทำหน้าที่ และไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อมานานเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยเข้าใจความจริง ไม่สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยแห่งการดำเนินชีวิตเลย และถูกพระเจ้าทรงกำจัดออกไปในท้ายที่สุด  ฉันนึกถึงพฤติกรรมของตัวเอง  ฉันเป็นคนไม่รู้เท่าทันแบบนี้เลยไม่ใช่หรือ?  ปรัชญาเยี่ยงซาตานอย่างเช่น “จงใช้ชีวิตแบบไม่คิดอะไรให้เป็นไปโดยอัตโนมัติ” และ “ความเกียจคร้านมีพรของมัน” คือหลักธรรมที่ฉันใช้ในการดำรงชีวิต  แต่ละวันฉันพอใจในสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ ทำงานให้รอดตัวไป และแสวงหาความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง  ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีโดยไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่ทบทวนดูว่าฉันได้สัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยหรือไม่ หรือการทำหน้าที่ของฉันสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่  ความชื่นชมยินดีทางเนื้อหนังสำคัญสำหรับฉันมากกว่าการได้รับความจริง ดังนั้นฉันจึงหลีกเลี่ยงงานยาก ทำงานอย่างส่งเดช และใช้เล่ห์เหลี่ยมและกลลวง ไม่ยอมให้ตัวเองลำบากเวลาทำงาน  การนี้ไม่เพียงเป็นเหตุให้การทำหน้าที่ของฉันไม่สัมฤทธิ์ผลเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบและทำให้งานของคริสตจักรล่าช้าอีกด้วย  และแม้จะเป็นเช่นนั้น ฉันก็ไม่ได้สำนึกเสียใจหรือรู้สึกผิดเลย  ฉันด้านชาอย่างแท้จริง  ฉันตระหนักในตอนนั้นเองว่าการใช้ชีวิตตามกฎอันเทียมเท็จของซาตาน แสวงหาแต่ความสะดวกสบายทางเนื้อหนังเท่านั้น ไม่พยายามแสวงหาความก้าวหน้า มีแต่เสื่อมทรามลงเรื่อยๆ มโนธรรมของฉันก็ด้านชามากขึ้นทุกที ไร้จุดหมายใดๆ ในชีวิต–แบบนี้ฉันก็แค่ทิ้งชีวิตให้เสียเปล่ามิใช่หรือ?  ในการสูญเสียหน้าที่ไปนั้นฉันโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง  ฉันเกียจคร้านเกินไป ไม่ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างบุคลิกลักษณะของตัวเอง และไม่ควรค่าที่จะให้ใครมาไว้วางใจ ฉันทำให้พี่น้องชายหญิงรังเกียจและทำให้พระเจ้าทรงเกลียดชัง  ในอดีตฉันรู้สึกว่าหน้าที่ที่มาพร้อมกับข้อกำหนดที่สูงและกิจที่มากมายนั้นเทียบเท่ากับความทุกข์  แต่ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่การทนทุกข์เพื่อหน้าที่แต่อย่างใด  เห็นได้ชัดว่าธรรมชาติของฉันเกียจคร้านและเห็นแก่ตัวเกินไป ฉันกังวลสนใจในเนื้อหนังมากเกินไป  แม้ว่าฉันจำต้องพยายามและยอมลำบากเมื่อเผชิญกับความลำบากยากเย็นในการทำหน้าที่ แต่เหล่านี้คือสิ่งที่ฉันสามารถทนได้ เพราะพระเจ้าไม่เคยสอนสุกรร้องเพลง  และพระเจ้าทรงใช้ความลำบากยากเย็นเหล่านี้เพื่อแสดงให้ฉันเห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและความขาดตกบกพร่องของฉัน เพื่อให้ฉันสามารถรู้จักตัวเอง แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา และเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของฉันได้  ในเวลาเดียวกัน พระเจ้าก็ทรงหวังว่าฉันจะสามารถเรียนรู้ที่จะเคารพยกย่องและพึ่งพาพระองค์ในยามที่เผชิญหน้ากับความลำบากยากเย็นเหล่านี้ และมีศรัทธาที่จริงใจ  ในอดีตฉันไม่รู้เท่าทัน มืดบอด และไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า  ฉันสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความจริงและได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้าไปมากมาย และปล่อยให้เวลาที่แสนวิเศษนี้ผ่านเลยไปอย่างสูญเปล่า  ถึงแม้ว่าจะมีความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง และไม่ได้ทนทุกข์หรือต้องยอมลำบากมากนัก แต่ฉันก็ไม่ได้ครองความเป็นจริงความจริงอันใดและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันก็ไม่ได้รับการแก้ไข ฉันไม่ได้สั่งสมความประพฤติดีในหน้าที่ ถ่วงเวลาให้งานของคริสตจักรล่าช้า แล้วพระเจ้าก็ทรงเกลียดชังฉัน  หากฉันยังดำรงชีวิตในลักษณะที่มัวเมาเช่นนี้ต่อไป ฉันก็จะสูญเสียความรอดของพระเจ้าไปอย่างสิ้นเชิงในท้ายที่สุด  เมื่อตระหนักรู้ทั้งหมดนี้ ฉันก็สำนึกกลับใจอย่างลึกล้ำ เกลียดชังตัวเอง และไม่ต้องการใช้ชีวิตเยี่ยงนั้นอีกต่อไป

อยู่มาวันหนึ่งในระหว่างการเฝ้าเดี่ยว ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอน ความว่า “การไล่ตามเสาะหาของวันนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งการวางรากฐานสำหรับพระราชกิจในอนาคตอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เพื่อที่เจ้าอาจถูกใช้โดยพระเจ้า และสามารถเป็นพยานต่อพระองค์ได้  หากเจ้าทำให้การนี้เป็นเป้าหมายแห่งการไล่ตามเสาะหาของเจ้า เจ้าย่อมจะมีความสามารถที่จะได้รับการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์  เจ้ายิ่งตั้งเป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาของเจ้าสูงขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมมากขึ้นเท่านั้น  เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงมากขึ้นเท่าใด พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยิ่งทรงพระราชกิจมากขึ้นเท่านั้น  เจ้ายิ่งทุ่มกำลังวังชาเข้าไปในการไล่ตามเสาะหามากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งได้รับมากขึ้นเท่านั้น  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อมไปตามสภาวะภายในของพวกเขา  ผู้คนบางคนกล่าวว่า พวกเขาไม่เต็มใจที่จะถูกใช้โดยพระเจ้า หรือได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระองค์ ว่าพวกเขาแค่ต้องการให้เนื้อหนังของพวกเขาคงอยู่อย่างปลอดภัยและไม่ทุกข์ทนกับความโชคร้ายอันใด  ผู้คนบางคนไม่เต็มใจที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักร ทว่ากลับเต็มใจที่จะลงไปสู่บาดาลลึก  ในกรณีนั้น พระเจ้าก็จะทรงอนุญาตให้ตามที่เจ้าปรารถนา  สิ่งใดก็ตามที่เจ้าไล่ตามเสาะหา พระเจ้าจะทรงทำให้มันเกิดขึ้น  ดังนั้นแล้ว สิ่งใดเล่าที่เจ้ากำลังไล่ตามเสาะหา ณ ปัจจุบัน?  ใช่การได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมหรือไม่?  การกระทำและพฤติกรรมปัจจุบันของเจ้านั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า และการได้รับการรับไว้โดยพระองค์หรือไม่?  เจ้าต้องประเมินวัดตัวเจ้าเองดังนั้นอย่างสม่ำเสมอในชีวิตประจำวันของเจ้า  หากเจ้าทุ่มหมดทั้งหัวใจเข้าไปในการไล่ตามเสาะหาเพียงเป้าหมายเดียว แน่ใจได้เลยว่าพระเจ้าจะทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม  เช่นนั้นเองที่เป็นเส้นทางของพระวิญญาณบริสุทธิ์  เส้นทางที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำผู้คนอยู่นั้นบรรลุได้โดยวิถีทางแห่งการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา  ยิ่งเจ้ากระหายที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและได้รับการรับไว้โดยพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยิ่งทรงพระราชกิจภายในตัวเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  ยิ่งเจ้าล้มเหลวที่จะแสวงหามากขึ้นเท่าใด และยิ่งเจ้าคิดลบและถอยหลังมากขึ้นเท่าใด  เจ้าก็ยิ่งตัดโอกาสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการทรงพระราชกิจมากขึ้นเท่านั้น ในขณะที่เวลาดำเนินต่อไป พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทรงทอดทิ้งเจ้า  เจ้าปรารถนาที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าปรารถนาที่จะได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าปรารถนาที่จะถูกใช้โดยพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าควรไล่ตามเสาะหาการทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประโยชน์แห่งการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม และการได้รับการรับไว้ และการถูกใช้โดยพระเจ้า เพื่อที่จักรวาลและทุกสรรพสิ่งสามารถมองเห็นได้ว่า การกระทำทั้งหลายของพระเจ้าได้รับการสำแดงอยู่ในตัวเจ้า  พวกเจ้าเป็นนายท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง และในท่ามกลางของทุกสิ่งที่มีอยู่ เจ้าจะปล่อยให้พระเจ้าทรงชื่นชมคำพยานและพระสิริโดยผ่านทางพวกเจ้า—นี่คือข้อพิสูจน์ว่า พวกเจ้านั้นเป็นที่ได้รับการอวยพรมากที่สุดในบรรดาชนทุกรุ่น!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนที่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแล้วคือบรรดาผู้ที่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว)  “เจ้าต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อความจริง เจ้าต้องมอบตัวเจ้าให้กับความจริง เจ้าต้องสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อความจริง และเจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์มากขึ้นเพื่อที่จะได้รับความจริงมากขึ้น  นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ  เจ้าต้องไม่โยนความจริงทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ชีวิตครอบครัวอันสงบสุข และเจ้าจะต้องไม่สูญสิ้นศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของชีวิตเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีชั่วครู่ชั่วยาม  เจ้าควรไล่ตามเสาะหาทั้งหมดที่ดีงามและงดงาม และเจ้าควรไล่ตามเสาะหาเส้นทางในชีวิตที่เปี่ยมความหมายมากขึ้น  หากเจ้าดำเนินชีวิตที่ช่างหยาบช้าสามานย์เช่นนั้น และไม่เสาะหาวัตถุประสงค์ใดๆ เจ้าไม่ได้ทิ้งชีวิตไปอย่างสูญเปล่าหรอกหรือ?  เจ้าสามารถได้รับอะไรบ้างจากชีวิตเช่นนั้น?  เจ้าควรละทิ้งความชื่นชมยินดีทั้งหมดของเนื้อหนังเพื่อเห็นแก่ความจริงหนึ่งประการ และไม่ควรโยนความจริงทั้งหมดทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีเพียงเล็กน้อย ผู้คนเช่นนี้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตหรือศักดิ์ศรีเลย การดำรงอยู่ของพวกเขาช่างปราศจากความหมาย!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจแล้วว่าการที่จะได้รับความจริงในการทำหน้าที่นั้น พวกเราต้องละทิ้งเนื้อหนังและปฏิบัติความจริง แล้วพวกเราจึงจะสามารถทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองได้และได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้าในที่สุด  นี่คือหนทางอันเปี่ยมความหมายและทรงคุณค่าที่สุดในการดำรงชีวิต  การทอดทิ้งความจริงเพื่อความสะดวกสบายทางเนื้อหนังเพียงชั่วครู่ชั่วยามคือการใช้ชีวิตโดยปราศจากความซื่อตรง ปราศจากศักดิ์ศรี และยังเป็นการสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถูกพระเจ้าทรงทอดทิ้งและกำจัดออกไป และสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความรอดในที่สุด  ฉันยังเรียนรู้อีกว่าการที่จะแก้ปัญหาเกี่ยวกับการกระหายความสะดวกสบายทางเนื้อหนังนั้น พวกเราจำเป็นต้องมีหัวใจที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ทบทวนตัวเองบ่อยๆ ในยามที่มีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น มุ่งเน้นความพยายามไปที่การทำหน้าที่ของพวกเรา และเมื่อเผชิญความลำบากยากเย็น ก็จำเป็นต้องสามารถละวางเนื้อหนัง ละทิ้งตัวเอง และปกป้องงานของคริสตจักรได้  นี่คือวิธีรับการทรงนำและพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ทันทีที่ตระหนักในสิ่งเหล่านี้ หัวใจของฉันก็รู้สึกสว่างไสว ฉันสาบานว่าจะละทิ้งเนื้อหนังและใช้ความพยายามทั้งหมดในการทำหน้าที่  หลังจากนั้นฉันใช้มโนธรรมมาพิจารณาว่าจะประกาศข่าวประเสริฐให้ดีได้อย่างไร  เมื่อหลักธรรมไม่ชัดเจนสำหรับฉัน ฉันก็แสวงหากับพี่น้องชายหญิง หาเวลาศึกษาร่วมกับทุกคน  ต่อมาเมื่อมีคนศึกษาหนทางอันเที่ยงแท้กันมากขึ้น ฉันก็มีสิ่งที่ต้องทำมากขึ้น  กระนั้นฉันก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นความยุ่งยากขนาดนั้นอีกเลย  ฉันกลับรู้สึกว่านั่นคือสิ่งที่ฉันควรต้องทำและเป็นความรับผิดชอบของฉัน  แม้ว่าจะยุ่งมากทุกวัน แต่ฉันก็รู้สึกก้าวหน้าขึ้น

ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งผู้นำจะมาหาฉัน ให้ฉันกลับไปทำวิดีโอ  เมื่อได้ฟังข่าวนี้ ฉันตื่นเต้นมาก  นอกจากสำนึกในบุญคุณของพระเจ้าแล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร  ฉันหวนนึกถึงว่าฉันเคยใส่ใจในเนื้อหนังอย่างไร จัดการหน้าที่ของตนอย่างฉาบฉวยและทำส่งๆ อย่างไร ฉันรู้สึกเป็นหนี้พระเจ้าเป็นพิเศษ  ฉันไม่สามารถชดเชยความผิดพลาดในอดีตได้ จึงได้แต่ขยันหมั่นเพียรและยอมลำบากในหน้าที่ของตนมานับแต่นั้น และตอบแทนความรักของพระเจ้าด้วยการทำหน้าที่ให้ลุล่วง  ภายหลังเมื่อเผชิญความลำบากยากเย็นในการทำหน้าที่ ฉันก็ตั้งใจอธิษฐานต่อพระเจ้าและพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านั้น  ครั้งหนึ่งโปรเจกต์ของฉันงานหนึ่งออกมาไม่ดีสักเท่าไร หัวหน้าทีมและผู้ควบคุมดูแลงานก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร  ฉันเองก็ติดอยู่กับปัญหานั้นและไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นแก้ไขอย่างไรเช่นกัน  ฉันคิดว่า “หากพยายามแก้ไขไปเรื่อยๆ ใช้เวลากับงานนี้ ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้หรือไม่ ดังนั้นบางทีน่าจะให้ใครคนอื่นทำเรื่องนี้แทน”  ฉันตระหนักว่าความคิดเหล่านี้ก็คือตัวฉันเองกำลังพยายามหลีกเลี่ยงปัญหายากๆ อีก ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าโดยเร็ว และหวนระลึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เมื่อหน้าที่มาถึงตัว และเจ้าได้รับความไว้วางใจมอบหมายหน้าที่ให้ทำ จงอย่าคิดหาวิธีหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าความลำบากยากเย็น หากมีบางสิ่งที่รับมือยาก จงอย่าวางมือจากสิ่งนั้นและเพิกเฉย  เจ้าต้องเผชิญสิ่งนั้นซึ่งหน้า  เจ้าต้องจำไว้ตลอดเวลาว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับผู้คน และถ้ามีความลำบากยากเย็นอันใด พวกเขาก็เพียงต้องอธิษฐานและแสวงหาจากพระองค์เท่านั้น และจำไว้ว่าเมื่อมีพระเจ้าแล้ว ไม่มีสิ่งใดเลยที่ยากลำบาก  เจ้าต้องมีความเชื่อนี้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  พระวจนะของพระเจ้าให้เส้นทางปฏิบัติแก่ฉัน  ไม่ว่าจะเผชิญปัญหาและความลำบากยากเย็นอันใด พวกเราก็ควรพึ่งพาพระเจ้าเพื่อแสวงหาหนทางที่จะแก้ไขสิ่งเหล่านั้น  พวกเราไม่ควรพยายามหลีกเลี่ยงความลำบากยากเย็นหรือถอยหนีจากหน้าที่เนื่องจากความทุกข์ทางเนื้อหนัง  หนทางเช่นนั้นคือการทรยศพระเจ้าและการไม่จงรักภักดีต่อหน้าที่ของตน  ทันทีที่ตระหนักเช่นนี้ ฉันก็สัญญากับตัวเองว่าครั้งนี้ฉันจะพึ่งพาพระเจ้า และทุ่มเทความพยายามที่จะแก้ปัญหานี้  ฉันทำใจให้เย็นลงและพยายามแก้ไข แล้วก็ต้องประหลาดใจที่แก้ปัญหาได้ในเวลาอันรวดเร็ว  เมื่อดูจบ ทุกคนรู้สึกว่างานดีแล้วและไม่มีข้อเสนอแนะอีก  หลังจากที่ฝึกฝนปฏิบัติเช่นนี้ หัวใจของฉันก็มีสันติสุขและสบายใจ  ฉันรู้สึกว่าคนเราจะมีศักดิ์ศรีของความเป็นคนได้ก็ด้วยการยอมลำบากในหน้าที่ของตนเท่านั้น  ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 17. ประสบการณ์พิเศษในวัยเยาว์

ถัดไป: 19. การเห็นว่าฉันหน่ายความจริง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger